ข้อความโดย: 時々होशདང一རພຊຍ๛
« เมื่อ: พฤศจิกายน 01, 2017, 04:33:41 pm »ដើរឆ្ពោះទៅរកការរំលត់ទុក្ខ
Skanda (Chinese塞建陀, 室建陀)also known as Wei Tuo (Chinese: 韋馱) and Idaten (Japanese: 韋駄天) is a Mahayana bodhisattva regarded as a devoted guardian of Buddhist monasteries who protects the teachings of Buddhism. He is also sometimes called in the Chinese tradition Hufa Weituo Zuntian Pusa meaning "Honored Dharma Protector Skanda Bodhisattva"because he is the leader of the twenty-four celestial guardian deities mentioned in the Golden Light Sutra.
In Chinese temples, Skanda faces the statue of the Buddha in the main shrine. In others, he is on the far right of the main shrine, whereas on the left is his counterpart, Sangharama (personified as the historical general Guan Yu). In Chinese sutras, his image is found at the end of the sutra, a reminder of his vow to protect and preserve the teachings.
According to legends, Skanda was the son of a virtuous king who had complete faith in Buddha's teachings. When the Buddha entered nirvana, the Buddha instructed Skanda to guard the Dharma. It was his duty to protect members of the sangha when they are disturbed by Mara, the tempter, and also to resolve conflicts amongst members of the sangha. A few days after the Buddha's passing and cremation, evil demons stole his relics. Skanda's vow of protecting the faith and Dharma was proven when he managed to defeat the evil demons and returned the relics.....Credit From Wikipedia
เมื่อเด็ดชายสันติอายุได้สิบสองขวบ พอจะรู้ว่าพ่อของตัวมีจิตใจทุจริตไม่ซื่อต่อพวกอา และคนที่มาติดต่อทั่วไป ก็เกิดละอายใจขึ้นมา อยากจะบวชเป็นเณรเข้าหาทางธรรม จึงเข้าไปหาย่าซึ่งเป็นแม่เลี้ยงของพ่อ ขอให้จัดการบวชให้เป็นเณร ย่าจึงได้ถามว่า
การจะบวชเณรไปบอกพ่อแล้วหรือ ทำไมไม่บอกพ่อเล่า ถ้าบอกพ่อไม่บวชให้ ย่าก็จะบวชให้เอง ควรจะบอกพ่อก่อน
เด็กชายสันติได้ฟังย่าพูดเช่นนั้นก็บอกย่าว่า ผมอยากให้ย่าบวชให้ก็เพราะว่าเป็นผู้มีศีลธรรม จิตใจสะอาดบริสุทธิ์ผิดกับคุณพ่อ ซึ่งจิตใจไม่บริสุทธิ์เบียดเบียนผู้อื่นเพื่อความสุขตัว
ผู้เป็นย่าได้ฟังนิ่งอึ้ง ไม่นึกว่าเด็กอายุเพียงนี้จะพูดได้เหตุได้ผลเช่นนี้ จึงบอกกับหลานชายว่า ย่าไม่มีสมบัติอะไรมากนัก ก็มีแต่พวกเพชรนิลจินดา ที่ย่าได้สะสมไว้ ย่าก็ตั้งใจว่าจะมอบให้หลานต่อไป แต่เวลานี้หลานก็ยังเล็กเกินไปที่จะรักษาไว้ เติบโตมากกว่านี้ย่าจะมอบให้ ถ้าจะบวชเณรก็ไปบอกให้พ่อเขารู้เสียก่อน
หลานชายได้ฟังย่าพูดดังนั้น จึงบอกว่า ไม่อยากให้คุณพ่อบวชให้ผม เพราะคุณพ่อหาเงินมาได้ด้วยความไม่บริสุทธิ์ จะพลอยทำให้จิตใจของผม ซึ่งมีศรัทธาอยู่แล้วพลอยเศร้าหมองไปด้วย
วันนั้นผู้เป็นพ่อก็ได้ทราบจากแม่เลี้ยงว่า บุตรชายเบื่อโลก อยากจะบวชเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา ตนเองไม่พอใจ เพราะยังไม่เลื่อมใส ไม่ชอบเรื่องบุญเรื่องบาป จึงเรียกบุตรชายเข้ามาในห้อง ถามถึงความรู้สึกที่อยากบวช
บุตรชายจึงบอกว่า ผมอยากจะเล่าเรียนศึกษาทางธรรม จนกว่าจะมีอายุครบ ก็จะอุปสมบทเป็นพระสงฆ์ต่อไป ผมเบื่อที่จะอยู่ในทางโลก เห็นตัวอย่างที่สกปรกเบียดเบียนกันก็เศร้าใจ จึงอยากหาความสงบในทางสัจธรรม จึงอยากให้คุณย่าบวชให้เพราะคุณย่ามีความบริสุทธิ์เข้าใจในศีลธรรมดี ผู้เป็นพ่อได้ฟังเช่นนั้นก็เกิดไม่พอใจพูดว่า
เจ้าเป็นลูกของพ่อ ทำไมไม่บอกพ่อ บอกความเป็นจริงให้พ่อทราบว่า เจ้าได้เห็นตัวอย่างสกปรกที่ไหน อายุเจ้ายังน้อยไม่เคยพบเคยเห็นอะไรมาก อยู่แต่ในบ้าน ทำไมเจ้าจึงรู้ว่าสิ่งใดสกปรกและสิ่งใดสะอาด
ลูกชายเป็นคนซื่อ เมื่อพ่อถามเช่นนี้ก็บอกว่า ตัวอย่างที่สกปรก ก็อยู่ที่คุณพ่อปฏิบัติอย่างทุกวันนี้ คอยฉ้อโกงทรัพย์สินผู้ที่เขายากจนได้รับความเดือดร้อน หวังจะพึ่งเงินทองยอมเสียดอก คุณพ่อก็ฉ้อโกงเขาจนหมดตัว มันบาปหนา ฉะนั้นเงินทองของคุณพ่อจึงไม่บริสุทธิ์ ส่วนคุณย่านั้นเป็นคนมีศีลธรรม ไม่เคยเบียดเบียนฉ้อโกงใครมาก่อนจึงบริสุทธิ์ ผมจึงอยากให้คุณย่าบวชให้ นั่นแหละเป็นเหตุผลตามความจริง ให้คุณพ่อฟังทราบไว้ตามความปรารถนา
เมื่อได้ฟังลูกชายพูดถูกใจดำ แม้จะรู้ว่าเป็นความจริง แต่ก็ไม่มีใครมาว่าซึ่งๆ หน้า ทำให้ผู้เป็นพ่อโกรธจัดจนตัวสั่น ลืมหมดทุกอย่าง มีแต่อารมณ์โกรธอย่างเดียวเหมือนคนบ้า คำพูดของลูกเหมือนเอาน้ำมันราดบนกองไฟ หาไม้เหลี่ยมได้ข้างมือ ก็หวดไปตามหัวตามตัวด้วยความโกรธสุดขีด หวดกระหน่ำลงไปไม่ต้องดูว่ามันจะถูกที่ไหน ลูกชายอายุวัย ๑๒ ขวบก็ใจเด็ด ปล่อยให้พ่อตีเพื่อคลายอารมณ์โกรธ ไม่ร้องขอชีวิต ไม่ปิดป้องพยายามอดทน แต่แล้วมือพ่อตีไปถูกตรงกกหูเป็นรอยสันลึกลงไป เจ็บปวดแทบขาดใจ ล้มฮวบลงสิ้นสติอยู่ในที่นั้น
ผู้เป็นพ่อเห็นเช่นนั้น ได้สติตกใจทิ้งไม้วิ่งเข้าไปประคองลูก เห็นโลหิตไหลโทรมหน้า ก็ใจหายอุ้มลูกไว้แนบอก ปากก็ร้องเรียกลูก แต่ลูกชายหลับตาสนิทหายใจระรวย พ่อก็ต้องฟูมฟายน้ำตาด้วยความรักสงสารทั้งฝ่ายอาชายหญิง และย่าได้ยินพ่อร้องเรียกชื่อลูกชาย ฟูมฟายน้ำตาต่างก็วิ่งมา เห็นหลานถูกเฆี่ยนจนบอบช้ำเช่นนี้ต่างก็หลังน้ำตาร่ำไห้ โกรธแค้นพ่อของเด็กอยู่ในใจ แต่ไม่ได้พูดอะไรช้ำเติมอีก เพราะเห็นความเศร้าโศกผู้เป็นพ่อ เป็นการรับโทษในตัวอยู่แล้ว เสียงผู้เป็นพ่อรำพันถึงลูกอย่างสะอื้นว่า“ลูกเอ๋ย พ่อรู้สึกตัวแล้ว ต่อจากนี้พ่อจะไม่สร้างกรรมทำชั่วอีกต่อไป ยกโทษให้พ่อเถิดลูก”
เมื่อลูกขายฟื้นได้สติ เห็นอยู่ในอ้อมกอดของพ่อ และได้ยินพ่อพูดเช่นนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า
ผมดีใจครับ ที่คุณพ่อคิดได้ พูดเท่านั้นก็หมดสติต่อไป
ภายหลังเมื่อถูกตีแล้ว ลูกชายบอบช้ำสาหัสอยู่ไม้ได้นานก็ถึงแก่กรรมลง เหลือความสามารถของหมอจะรักษาได้ ทางบ้านเมืองก็จะเอาเรื่องขึ้นฟ้องร้อง แต่ที่สุดก็กลบเกลื่อนกันได้ หลังจากนั้นได้เปลี่ยนจิตใจผู้เป็นพ่อให้เกิดมีศีลธรรมขึ้น ได้แบ่งแยกมรดกให้พวกน้อง ๆ อย่างเป็นธรรม และใช้จ่ายเงินของตนไปในทางกุศล เพื่ออุทิศส่วนกุคลให้แก่วิญญาณที่บริสุทธิ์ของบุตรชาย ตลอดมา
ถ่ายภาพโดย.....