ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: ธันวาคม 23, 2017, 04:01:44 pm »Star Wars VIII : The Last Jedi
ผมไปดูสตาร์วอร์ภาคนี้มาแล้วสามรอบภาคนี้ เป็นภาคที่เสียงแตกมากๆ คนที่ชอบก็ชอบมาก คนที่เกลียดก็เกลียดไปเลย นั่นทำให้หนังเรื่องนี้น่าสนใจ
เราจะมาลองวิเคราะห์กันว่าสารที่อยู่ในตัวเรื่อง The Last Jedi คืออะไร และการตอบสนองของแฟนสตาร์วอร์ที่แตกเป็นสองฟากอย่างชัดเจนนี้แสดงให้เราเห็นอะไรบ้าง
คราวนี้ไม่ใช่บทความแนะนำหนัง แต่จะเป็นบทวิจารณ์หนังครับ
ดังนั้นมันจะสปอย เป็นบทความสำหรับคนที่ดูมาแล้ว หรือคนที่ไม่แคร์ว่าจะโดนสปอยเท่านั้นครับ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
=ครู กับ ศิษย์=
ตัวตีมของหนัง The Last Jedi ภาคนี้ยังคงเป็นเรื่อง "การฝึกวิชา" ซึ่งเป็นตีมที่ล้อกับภาค 5 empire strikes back
แต่หนังภาคนี้ได้พยายามเล่าเรื่อง "การฝึกวิชา" ในมุมมองใหม่
มันตั้งคำถามถึง การเรียน กับ การสอน - ครู กับ ศิษย์ - ผู้ใหญ่ กับ เด็ก - ยุคสมัยเก่า กับ ยุคสมัยใหม่
ตัวเรื่องเป็นการจับคู่ระหว่างคู่ศิษย์กับอาจารย์ ผู้ใหญ่กับเด็ก ผู้สอนกับผู้เรียน เพื่อนำเราพิจารณาคำถามต่างๆเพื่อหาคำตอบ
.
.
.
[ลุค Fallen Hero - เรย์ Nobody From Nowhere]
ตัวแทนของผู้ใหญ่คนแรกคือ ลุค สกายวอร์คเกอร์
ลุค ในภาคที่เราเคยรู้จักคือฮีโร่ผู้สมบูรณ์แบบ ปรมจารย์เจได ในด้านแสงสว่าง
ทุกคนคาดหวังในอนาคตที่สดใสหลังจากจบภาค 6 ทุกคนคิดว่าตำนานควรจะจบที่ "แล้วทุกคนก็มีชีวิตกันอย่างมีความสุข"
ทว่าหนังเรื่องนี้พลิกทุกอย่างกลับหัวกลับหางไปหมด
ลุค เป็นภาพของผู้ใหญ่ที่เรามองเห็นได้เรื่อยๆในสังคม ผู้ใหญ่ที่เคยประสบความสำเร็จ เป็นตำนาน ถูกคาดหวังจากคนทั้งจักรวาล (รวมทั้งผู้ชมด้วย) แต่แล้วเขาก็พบว่าตัวเองเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ที่ไม่อาจแบกรับความคาดหวังทั้งหมดไว้ได้
ลุค ถูกคาดหวังด้วยค่านิยมของเจได เขากลัวว่าตัวเองจะล้มเหลวในการฝึกสอนศิษย์ชุดแรกของเขาคือเบน กลัวว่าศิษย์ของเขาจะเข้าสู่ด้านมืด ลุคมีความคาดหวังในตัวเบน
ความกลัวนั้นก็ทำให้ตัวเขาเองล้มเหลว ลุคเผชิญกับความอ่อนแอ และพ่ายแพ้ให้แก่มัน ไม่ใช่แค่รู้สึกล้มเหลวที่ทำให้เกิดไคโรเร็ต แต่เขาผิดหวังกับตัวเอง เขาไม่คิดว่าปรมจารย์อย่างเขาจะมีความเกลียดชังแบบนั้นในจิตใจ เขากลัวตัวเองจะกลายเป็นแบบเวเดอร์
และเมื่อลุคล้มเหลว เกียรติของผู้กอบกู้จักรวาลที่ลุคแบกอยู่ ทำให้เขาลุกไม่ขึ้นอีกเลย
ลุคกลายเป็นคนแก่ผู้ล้มเหลว ปิดตัวเองจากสังคม ปิดตัวเองจากพลัง และมองดูสาธารณรัฐที่เขาสร้างขึ้นมาในวัยหนุ่มค่อยๆล่มสลายเงียบๆ
เป็นชีวิตที่ล้มเหลวที่สุดของการเป็นวีรบุรุษ ด้วยการถูกบอกว่าทุกสิ่งที่เคยทำมานั้นไร้ค่า ความสำเร็จทั้งหมดก็พังทลายลงมา
สำหรับคนที่มองโลกเป็นตรรกะแบบนิยายกำลังภายใน ที่ฝึกวิชาเก็บเลเวล เมื่อสะสมพลังวัตรถึงขั้นหนึ่งแล้วย่อมเก่งกว่าคนไม่ได้สะสม และไม่ย้อนเสียเวเวลกลับมา หรือมองโลกเป็นการปฏิบัติธรรม ที่คนจิตสะอาดไปแล้ว ย่อมไม่มีความหวั่นไหว ความอ่อนแอ คงจะรับการล่มสลายของลุคได้ยาก
จริงๆมันทำให้คนรุ่นก่อนรู้สึกว่า ตัวเองเป็นลุคที่ประสบความสำเร็จแล้ว มีสิทธิ์สอนคนอื่นได้ ภาคลุคที่ล้มเหลวทำให้พวกเขาเหมือนโดนด่าว่าจริงๆแล้วคนรุ่นใหม่ไม่ได้เคารพเขาและมองว่าเขาล้มเหลว
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ มนุษย์เป็นแบบนั้นจริงหรือ การเติบโตของคนเป็นการก้าวไปข้างหน้าแบบไม่ถอยหลังแบบนั้น หรือเนื้อแท้เราก็เป็นมนุษย์คนเดิม ถ้าเจอโจทย์เดิมที่เคยเอาชนะไปได้แล้วอีกครั้งในอีกมุมหนึ่งเราจะต้องเอาชนะได้อีกครั้งหรือเปล่า?
ปรมจารย์อาวุโส จะไม่มีอารมณ์โกรธ เกลียด อิจฉา อยากฆ่าคน ขึ้นมาในอารมณ์เลยเหรอ? หรือจริงๆแล้วเราก็เป็นคนคนเดิมกับตัวเองในวัยเด็กนั่นแหละ? เราที่ผิดพลาดซ้ำๆ อยู่กับอารมณ์และความเป็นมนุษย์เหมือนเดิม
การเติบโตคือการก้าวไปข้างหน้าอย่างเดียวเหรอ? หรือมีถดถอย? หรือจริงๆเราย่ำกลับไปกลับมา? ฮีโร่เมื่อ 30 ปีก่อน จะยังเป็นฮีโร่ในวันนี้หรือไม่?
ลูกศิษย์ของลุค ในภาคนี้คือเรย์ เด็กที่เต็มไปด้วยพลัง และความต้องการครอบครัว
เรื่องนี้ไม่ได้เอาง่ายๆ แบบ ผู้ใหญ่แย่ เด็กดีกว่า แต่ก็นำเสนอว่าเด็กเฟลพอกัน
บนเกาะเจได ที่มีโบราณสถานด้านสว่าง กับโบราณสถานด้านมืด เรย์ตรงสู่ด้านมืดอย่างรวดเร็ว
ความเกลียดชังด้านมืดของพลังในนิกายเจไดที่เราได้รับรู้ในภาคที่ผ่านๆมานั้นรุนแรงมาก
หากเจไดเป็นสัญลักษณ์ของแสงสว่างและธรรมะ ซิดก็เป็นสัญลักษณ์ของความมืดและกิเลส
พวกเจไดกลัวและรังเกียจด้านมืด โอบีวันไม่ยอมให้ อานาคินพบพอแม่เพราะกลัวว่าความผูกพันธ์นั้นจะนำอานาคินสู่ด้านมืด บางคนถึงกับเสนอให้ฆ่าอานาคิน
ลุคเองก็ถึงกับมีความคิดสังหารเบน เมื่อสัมผัสได้ถึงด้านมืดของเบน
แต่เรย์มุ่งตรงเข้าสู่ด้านมืดเลยในทีเดียว
ทว่าสิ่งที่เรย์พบในส่วนลึกสุดของด้านมืด กลับไม่ใช่ความน่ากลัว ไม่มีสิ่งใดเลย นอกจากเงาของตัวเธอเอง
เรย์ก้าวข้ามธรรมเนียมของเหล่าเจไดไป เธอขโมยคำภีร์เจได และออกเดินทางไปเกลี้ยกล่อมไคโร เรน หรือ เบน โซโล ให้กลับใจ
สำหรับเรย์ เธอไม่เคยใช้คำว่าด้านมืด หรือด้านสว่าง เธอก้าวผ่านการมองโลกสองสีแบบเจไดไป และเห็นความสับสนใจตัวของเบน
ไอ้ ฟอร์ทไทม์ เชทกันข้ามอวกาศนี่ ผมว่ามันเป็นความใหม่ของวัยรุ่น เมื่อก่อนคุยกันยาก ทุกวันนี้คอลแบบเห็นหน้ากันได้ทุกวัน เราห้ามวัยรุ่นไม่ให้แชทกันไม่ได้หรอก เห็นได้ชัดว่าทั้งสองฝ่ายหวั่นไหวมากๆ ซึ่งถ้าเป็นศาสนาเจไดเดิม คงห้ามไม่ให้มีความรัก และโดนห้ามแชทไปแล้ว แต่ระบบวิหารมันไม่เหลืออยู่แล้ว คุมเด็กไม่ได้ ลุคทำได้แค่โวยวาย
ที่สุดแล้วการติดต่อกันระหว่างเรย์ กับ ไคโรเร็น ทำให้เรย์รู้ถึงความเลวร้ายของลุค ที่ลุคพยายามปกปิดไว้ สุดท้ายลุคก็ไม่ยอมเผชิญหน้ากับความผิดพลาดของตัวเอง และไม่แก้ไขมัน
เรย์ก็เลยเลือกไคโร เร็น มากกว่าลุค ที่จริงก็เป็นความคิดแบบสาวๆว่าจะเปลี่ยนแบดบอยได้
ในเรื่องนี้เธอก็เปลี่ยน ไคโร เร็น ได้บ้าง แต่ในทางกลับกันอิธิพลของเบนก็ทำให้ตัวตนของเรย์พัฒนาขึ้น
ที่สุดแล้วเราก็เข้าใจว่า ความจริงแล้วเรย์ไม่ได้ต้องการตามหาพ่อแม่ของเธอ
แท้จริงแล้วเธอแค่ต้องการเป็น Somebody เป็นแค่คนไร้ตัวตน ไร้คุณค่า ที่ต้องการแสวงหาความยิ่งใหญ่ ด้วยการเพ้อฝันว่า จริงๆแล้วฉันมีพ่อแม่ที่แท้จริง เป็นใครสักคนที่ยิ่งใหญ่
ความจริงนี้ทำให้คนดูผิดหวัง ไม่ยอมรับ พอๆกับที่เรย์รู้มาตลอดแต่เธอไม่ยอมรับตัวเอง ทั้งคนดูและเรย์ติดอยู่ในความคิดว่าการเป็น Somebody จะต้องมีเรื่องราวที่น่าสนใจ มีสายเลือดยิ่งใหญ่ เป็นผู้ถูกเลือก มีพลังพิเศษ เกี่ยวข้องกับเรื่องราวใหญ่ๆของจักรวาล
แต่แท้จริงๆแล้ว เรย์เป็นแค่ Nobody From Nowhere คนดูรับไม่ได้ เธอเองก็รับเรื่องนี้ไม่ได้เหมือนกัน รู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีคนความหมาย ถึงกับหลอกตัวเองแล้วเดินทางตามหาพ่อแม่ข้ามจักรวาล
แต่ ไคโร เรน ทำให้เธอรู้ว่า เธอไม่จำเป็นต้องมีพ่อแม่ที่มีชื่อเสียงสำหรับการเป็นคนสำคัญสำหรับใครสักคน
เราจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องมีพ่อแม่มีชื่อเสียง หรือถูกเลือก สำหรับการเป็นใครสักคน
และอันที่จริงด้านมืดของพลัง ก็ตอบคำถามจริงๆที่เธออยากรู้แล้ว ว่าคนที่จะทำให้เธอเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ได้ก็คือตัวของเธอเอง
.
.
.
[ผู้การโฮโด ผู้บัญชาการเพื่อปกป้องแสงสว่าง - โพ นายทหารที่อยากเป็นฮีโร่]
เรื่องนำเรามองในมุมของโพ สุดยอดนักบินของฝ่ายต่อต้าน ที่นิยมการบุกตะลุย นำตัวเองเข้าสู่สมรุภูมิอันตราย และเสี่ยงกับความเป็นไปได้ที่มีเพียงเล็กน้อยเพื่อสร้างปราฏิหาริย์
ในสถานการณ์อันตรายเขารู้สึกว่าโฮโด ผู้บัญชาการในเวลาวิกฤติเป็นพวกขี้ขลาด จึงเริ่มแผนการของตัวเองคู่ขนานอย่างลับๆ
แต่ท้ายที่สุดแล้ว โฮโด น่าจะเป็นตัวละครที่ผู้ชมชอบที่สุดในภาคนี้ เธอวางแผนอย่างรัดกุม ทำทุกอย่างพอเหมาะพอดี มีความเสียสละเพื่อเป้าหมาย และไม่ต้องการหน้า
กลับกลายเป็นว่าแผนของโพ เป็นสิ่งที่ทำให้ทุกอย่างพังพินาจ ความต้องการเป็นฮีโร่ ไม่ได้เท่ากับการนำไปสู่เป้าหมายที่ดีที่สุดเสมอไป
ลองคิดดูว่าในองค์กรมีหัวหน้าฝ่ายสุดเทพ คิดว่าตัวเองจัดการทุกสิ่งได้ เลยอยากรู้ว่า CEO วางแผนอะไรอยู่ พอบุกเข้าไปจนรู้ส่วนหนึ่ง ก็ไม่เห็นด้วยไปทวีตด่าแผนให้เพื่อนฟัง เพื่อนของเพื่อนที่รู้ข้อมูลไปด้วยเลยเอาไปขายให้คู่แข่ง ตอนจบก็ชิบหายกันหมด
เราควรจะทำอย่างไร ควรจะไล่หัวหน้าฝ่ายออก หรือเป็นความผิด CEO ที่ไม่เล่าความลับบริษัทให้ทุกคนฟัง? หัวหน้างานควรจะฝึกฝนลูกน้องอย่างไร?
เราเจอสถานการณ์แบบนี้บ่อยๆในการสอนงานในองค์กร เมื่อหัวหน้าจะต้องสอนงานลูกน้อง เราควรจะเป็นอาจารย์ในรูปแบบไหน
โฮโดมองท่าทีและความผิดพลาดของโพด้วยสายตาเข้าใจ เธอรู้ว่าโพทำไปเพราะความห่วงองค์กร ท้ายที่สุดแล้วโพจะเป็นผู้สืบทอดของเธอ และองค์กรจะดำเนินต่อไปได้ด้วยคนรุ่นใหม่หลังจากที่เธอจากไปแล้ว
ทีสุดแล้วโฮโดเป็นครูที่ประสบความสำเร็จที่สุดของเรื่อง โพเรียนรู้และเปลี่ยนวิธีตัดสินใจไปในช่วงท้ายของเรื่อง
เลอาได้ยอมรับโพ แสดงให้เห็นว่าเขาผ่านแล้วที่จะเป็นผู้บัญชาการ ไม่ใช่แค่นักบินที่นิยมการกระโดดขึ้นยานแล้วระเบิดข้าวของ
.
.
.
[สโนก เผด็จการ - ไคโร เรน นักรัฐประหาร]
สโนกเป็นตัวแทนของครูที่แย่ที่สุดในเรื่อง แน่นอนเพราะเป็นตัวร้าย
สิ่งที่สโนกทำคือพยายามควบคุมบังคับศิษย์ และศิษย์เป็นเครื่องมือของตัวเอง ฝึกฝนไว้เพื่อใช้งานเพื่ออำนาจของตัวเอง
อันที่จริงสิ่งที่สโนกทำ คือพยายามรักษาระบบจักรวรรดิแบบเก่า โดยที่ตัวเองเป็นศูนย์กลาง ความทะเยอทยานที่ใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือ
ไคโร เรน ตอบโต้ด้วยการปฏิวัติ เขาล้างครูของตัวเอง และก้าวผ่านอาจารย์ของตัวเองไป ด้วยวิธีที่ได้สืบทอดมาจากสโนกเอง
สโนกตาย เพราะเขาสอนไคโร เรน ให้ทำแบบนี้เอง
บางครั้งคนรุ่นเก่าแย่ๆก็ตายเพราะคนรุ่นใหม่ด้วยวิธีที่คนรุ่นใหม่เรียนจากเขาไปเอง
ที่สุดแล้ว คนรุ่นเก่าจะเติบโตขึ้น ไม่มีใครควบคุมชีวิตของผู้อื่นได้
.
.
.
[ฟิน คนขี้ขลาด - DJ นักเอาตัวรอด]
บางครั้งเราก็เรียนจากตัวอย่างที่ไม่ดี
DJ เป็นตัวละครที่น่ารังเกียจที่สุดของเรื่องนี้ เขาก็แค่ไหลไปตามสถานการณ์ที่จะเอาตัวรอดได้
เขาช่วยฟินเพื่อผลประโยชน์ และขายข้อมูลให้ศัตรูเพื่อเอาชีวิตรอด
แต่อันที่จริงแล้ว สิ่งที่ DJ ทำ ก็ไม่ต่างจากสิ่งที่ฟินทำเท่าไหร่
สิ่งที่ฟินทำมาตลอดก็คือการหนี เอาตัวรอด จะขายคนอื่น ทิ้งคนอื่นก็ไม่เป็นไร
จริงๆฟินพึ่งจะโดนโรสด่าเรื่องหนีในตอนต้นเรื่อง แล้วตัวเองก็มาด่า DJ กลับแบบเดียวกันในตอนท้าย
ผลคือฟินก็กลายเป็นคนที่อินกับพวกฝ่ายต่อต้านขึ้นมา ถึงขั้นคิดจะยอมตายสละชีพ (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะดีหรือไม่ดี)
อิธิพลอีกทางหนึ่งที่ฟินได้คือจากโรส มันทำให้เขารู้จักสิ่งสำคัญ ที่เขาจะต้องปกป้องสิ่งที่สำคัญ จนไม่อาจทิ้งมันเพื่อหนีเอาตัวรอดได้
.
.
.
[โยดา อาจารย์ของอาจารย์ - ลุค เจ้าหนูลุค]
ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องนี้สอนเราว่า ไม่มีใครที่จบสิ้นการฝึกฝนแล้ว ทุกคนยังต้องเรียนรู้ และยังเติบโตได้
จริงๆไอ้ที่ลุคพลาด โยดาทำมาหมดแล้ว ทั้งเคาท์ดูกู อนาคิน ลุคเองก็นั่งด่าโยดาให้เรย์ฟัง แต่โยดาได้เรียนรู้แล้ว และสอนให้เรียนรู้
เราล้มเหลว และเรียนรู้ เรียนรู้ และเติบโต เติบโต และวนอยู่กับความผิดพลาดเดิมๆ
โยดาสรุปความหมายของเรื่องทั้งหมดนี้ไว้กว่า "ศิษย์ต้องไปได้ไกลกว่าเรา คือหน้าที่แท้จริงของอาจารย์"
ความหมายของเรื่องนี้คือ คนรุ่นเก่ามีหน้าที่ทำให้คนรุ่นใหม่ไปได้ไกลกว่าที่เคยทำไว้
.
.
.
= ความล้มเหลว ล้มเหลว และล้มเหลว =
ภาคนี้เป็นสตาร์วอร์ ที่ล้มเหลวทุกภารกิจ
การทำลายเดทนอร์ท ทำให้สูญเสียกองยาน และทำให้เกิดปัญหาที่ตามมาต่อจากนั้น
การตามลุคกลับมาของเรย์ล้มเหลว
การตามหาเซียนถอดรหัสของฟินล้มเหลว
การลอบเข้าไปปิดเครื่องติดตามของฟินล้มเหลว และความล้มเหลวนั้นยังทำให้แผนหลบหนีล้มเหลวตามไปด้วย
การชวนไคโร เรน ให้กลับใจของเรย์ล้มเหลว
การทำลายป้อมปืนเจาะประตูของพวกฝ่ายต่อต้านล้มเหลว
มันทำให้เรารู้สึกเหมือนตอกย้ำในเรื่องที่เราเคยทำตัวโง่ๆ เพราะคิดว่าทำแล้วเป็นฮีโร่ แต่จริงๆผลมันอาจจะไม่ดีเท่ากับการคิดอย่างรอบคอบด้วยเหตุผล
แต่คนไม่อยากโดนตอกย้ำถึงความโง่ของตัวเอง
ความล้มเหลวนี้ทำให้หลายคนรู้สึกว่า เรื่องราวพวกนี้ไม่ต้องมีเลยจะดีกว่า เรื่องราวพวกนี้ตัดออกจากเรื่องไปเลยก็ได้
เราไม่ต้องการฮีโร่ที่ล้มเหลว
โดยเฉพาะหนังที่บอกเราว่าการทำตัวเป็นฮีโร่นำไปสู่ความล้มเหลว
แต่ถ้าไม่มีการตามหานักถอดรหัส คงไม่ได้ส่งสัญลักษณ์กบฏให้เด็กที่ดูแลสัตว์
ถ้าไม่เกลี้ยกล่อมไคโร เรน สโนกคงไม่ถูกกำจัด
ถ้าไม่ได้บุกทำลายป้อมปืน โพ กับ ฟิน คงไม่เรียนรู้
ตีมหลักของภาคนี้คือการเรียนรู้
ถ้าเราไม่มองความล้มเหลวเราก็ไม่เรียนรู้ เอาแต่หลอกตัวเองว่าไม่ใช่ความล้มเหลวเป็นความสำเร็จ
และเป็นอย่างที่อาจารย์โยดาบอกว่าความล้มเหลวคืออาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ดังนั้นภาคนี้จึงเต็มไปด้วยอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ชื่อความล้มเหลว
.
.
.
= ยุคเก่า กับ ยุคใหม่=
สตาร์วอร์ภาคนี้มันทำลายโครงเรื่องของภาคเดิมๆทิ้งไปหมด
เมื่อก่อนเป็นการต่อสู้ระหว่าง แสงสว่าง กับ ความมืด วนเวียนอยู่กับการเลือกข้าง ย้ายข้าง
เหมือนโลกมีแค่ห้องเดียวที่กั้นไว้ด้วยกำแพง เป็นแสง หรือ เป็นมืด
ภาคนี้ทำลายทั้งหมดนั้นทิ้งไป
ไม่ใช้การย้ายข้างได้ แต่เป็นการทุบกำแพงนั้นทิ้ง
ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีความมืด ที่สุดแล้วทั้งสองฝ่ายก็เป็นมนุษย์
เจได ก็เป็นพวกยึดติดแต่แสดงสว่าง ยึดติดในกฎทางศีลธรรม ในความดี
ซิด ก็เป็นพวกสนใจแต่อำนาจ ในระเบียบปกครอง ในความรุนแรง
ภาคนี้เราทำลายซิดและเจไดลง
มันทะลายระเบียบแบบแผนการฝึกฝนเจได ที่ต้องมีระบบวิหาร อาจารย์ พาดาวัน แบบภาค 1-3 ที่ศิษย์ต้องติดตามครูเป็นสิบๆปี กว่าจะบรรลุ ก็ต้องทำตามคำสั่งวิหารที่ยุ่งยากน่าเบื่อ
มันบอกเราว่า จริงๆทุกคนเข้าถึงพลังได้ แค่ที่ผ่านๆมาพวกวิหารเจไดฝูดขาดความรู้เรื่องนี้ไว้ ไม่ยอมให้คนอื่นเข้าถึง เพราะกลัวจะเข้าสู่ด้านมืด
น่าสงสัยว่าจะเป็นอย่างไรถ้าเรย์เอาตำราที่ขโมยมา ไปก็อปปี้แจกทั่วทั้งจักรวาล?
หนังเรื่องนี้ทำลายรูปแบบฮีโร่แบบเดิมๆไปทั้งหมด
เราไม่ต้องการตัวเอกของเรื่องที่มาจากชาติตระกูลที่มีความเป็นมา ไม่ได้ต้องการคนที่เสนอหน้าออกไปเป็นฮีโร่
แท้จริงแล้วความหวังอยู่ในทุกๆคน
ทุกๆคนต่างเป็นมนุษย์ ที่โง่ ผิดพลาด อ่อนแอ มีความดี มีความโกรธเกลียด มีความรัก
ทุกคนล้วนสามารถเป็นตัวเองของเรื่อง เราต่างมีคุณค่าต่อเรื่องนี้ในแบบของเรา โดยไม่ต้องเป็นสกายวอร์เกอร์ หรือพาพันทีล
จริงๆศูนย์กลางของเรื่องนี้คือเด็กเลี้ยงสัตว์ที่ไม่มีชื่อ เขาเป็นเหตุผลของเรื่องทั้งหมดในภาคนี้ เป็นเหตุผลที่ฟินต้องไปดาวการพนัน เป็นเหตุผลที่เรย์ต้องไปที่วิหารแรกของเจไดและเอาตำราออกมา เป็นเหตุผลที่ลุคต้องสู้กับทั้งกองทัพเพื่อพาตำนานมายังเขา
ทุกๆคนอาจจะเป็นศูนย์กลางของเรื่องก็ได้
ไม่ใช่ว่า มี Somebody เป็น Hero และคนที่เหลือเป็น Nobody แต่สารที่ภาคนี้บอกเราคือ Everybody เป็น Hero ได้
.
.
.
บางครั้งพวกเราก็ยึดติดกับรูปแบบเก่าๆ
กับตำนาน ความสำเร็จ วันเก่าๆภาพฮีโร่ เหมือนเรย์มองหาภาพฮีโร่ในอุดมคติจนลืมดูตัวเอง
กับเส้นแบ่งดี-เลว เหมือนพวกเจไดภาคแล้วๆที่ติดกับกรอบ
"ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมองผ่านกองหนังสือพวกนั้นไป" by อ.โยดา น่าจะเป็นบทสรุปของภาคนี้
โดยรวม ผมชอบภาคนี้ที่สุดในหมู่สตาร์วอร์ 8 ภาค
สำคัญคือ เมื่อเรื่องมันทลายโครงเรื่องที่ผ่านๆมาแล้ว มันเดาไม่ออกเลยว่าภาค 9 จะจบอย่างไรครับ
จาก https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1566827563405330&id=1030548200366605