ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: เมษายน 28, 2018, 02:12:25 pm »AVENGERS: INFINITY WAR | เสียสละ, เมตตา หรือไร้ความปราณี?
(***บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของเรื่อง***)
ถึงแม้จะไม่ได้เป็นแฟนคอมมิค MARVEL หรือติดตามจักรวาล MCU (Marvel Cinematic Universe) อย่างใกล้ชิด แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับอย่างปฏิเสธไม่ได้คือ Avengers: Infinity War นั่นเป็นหลักไมล์สำคัญครั้งหนึ่งของโลกภาพยนตร์
การเดินทางมานับทศวรรษของจักรวาลซูเปอร์ฮีโร่ครั้งนี้มันยิ่งใหญ่ และแม้จะไม่รักมันสุดๆ ก็แอบตื่นเต้นไม่น้อยที่มันมาได้ถึงขนาดนี้ จากหนังฮีโร่เล็กน้อยที่มีเรื่องของตัวเองมาโคจรพบกันใน The Avengers (2012) เมื่อ 6 ปีก่อนก็ว่าน่าตื่นตาแล้ว แต่ในครั้งนี้ปี 2018 เส้นทางของจักรวาลมาไกลและสเกลใหญ่สุดๆ การที่ทุกคน (และไม่ใช่คน) เดินทางลัดฟ้าข้ามอวกาศมาเจอกันเพื่อเป้าหมายเดียวอย่างการเอาชนะ “ธานอส” ศัตรูตัวฉกาจ ถือว่าควรค่าแก่การลิ้มลองและเป็นสักขีพยานอย่างแท้จริง
.
นี่เป็นหนังของธานอส - ความคิดแรกหลังจากรับชม Infinity War ที่แม้จะรวมเหล่าฮีโร่จากเรื่องต่างๆมาฟอร์มทีมต่อสู้ด้วยกัน แต่ตัวละครเดียวที่เฉิดฉายและมีพื้นที่ให้ชีวิตและจิตใจมากที่สุดกลับเป็น ธานอส วายร้ายผู้มีเป้าหมายในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างจักรวาลด้วยการลดประชากรทุกดาวให้เหลือครึ่งเดียว
แต่ก่อนที่เขาจะทำแบบนั้นได้แบบชิลล์ๆ ด้วยการดีดนิ้ว ธานอส ต้องรวบรวมอัญมณีเทพทั้ง 6 ให้ครบเสียก่อน นำมาซึ่งภารกิจตามล่าที่เป็นดั่งบททดสอบสำคัญให้ชีวิตตัวเขาเองในเวลาเดียวกัน
.
ประเด็นที่น่าสนใจคือพวกเขา (ไม่ว่าจะทั้งผู้สร้าง ทีมบท หรือผู้กำกับก็ตามที) เลือกจะปั้นตัวละคร ธานอส ให้ออกมามีเลือดเนื้อและจิตใจมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยให้ตัวละครฮีโร่มีพื้นที่เหลือเพียงการต่อสู้เท่านั้น ซึ่งก็เข้าใจได้ในฐานะที่ทุกคนต่างมีข้อมูลที่ถูกสร้างตามรายทาง และเก็บมาใช้งานในเรื่องนี้จนเกือบหมด (ซึ่งส่วนมากเป็นเรื่องความรักความสัมพันธ์) เราเลยแอบประทับใจที่ ธานอส เป็นตัวละครที่ดูมีชีวิตชีวาที่สุดในเรื่อง ทั้งที่มันจะถูกทำให้เป็นแค่ตัวร้ายบ้าๆดาดๆก็ยังได้ (แต่ไม่ทำ)
.
อย่างที่เกริ่นไปก่อนหน้า หากฝั่ง Avengers ศึกครั้งนี้คือการปกป้องมนุษยชาติจากภัยอันตรายด้วยการปกป้องอัญมณี แต่สำหรับ ธานอส นี่คือการเดินทางยากลำบากบนเส้นทางอุดมการณ์ที่แข็งแกร่ง และมั่นคง ความคิดที่ว่าประชากรของจักรวาลควรถูกลดเหลือเพียงครึ่งหนึ่งเพื่อให้เดินหน้าต่อไปได้นี่น่าสนใจมากๆ แม้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ก็ตามที แต่การที่ ธานอส คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำไปก็เพราะ ‘ความเมตตา’ มันทำให้เราสนใจในเบื้องลึกจิตใจของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ภายใต้ความคิดของเหล่า Avengers ที่มองเขาว่าช่าง ‘ไร้ความปราณี’ แต่สำหรับ ธานอส เขาคิดว่าตัวเองนั้นเป็น ‘ผู้เสียสละ’ ที่ยอมสูญเสียทุกอย่างเพื่อประชากรจักรวาลทั้งหมด ไม่ว่าจะการเดินทางทำลายดวงดาวต่างๆ หรือตามล่าหาอัญมณี เขาได้สูญเสียบางอย่างไปด้วยเสมอ แต่ที่ไม่เคยหายไปนั่นคือ ‘อุดมการณ์’ อันแข็งแกร่งที่แม้กระทั่งหนึ่งเดียวที่เขารักอย่าง ‘กามอร่า’ เขาก็ยอมเสียสละเพื่อให้ได้มาซึ่งจุดมุ่งหมายสูงสุดอยู่ดี
.
แนวคิดของ ธานอส ที่ต้องการทำลายประชากรให้เหลือครึ่งเดียว (คำว่าครึ่งเดียวมันเจ๋งมากๆ สำหรับเรา มันดูไม่เสียสติ มีการไตร่ตรอง และน่ากลัวในเวลาเดียวกัน) คือการที่เขามองว่าหากมีประชากรเยอะเกิน ทรัพยากรก็จะหมดไป และทำให้ดวงดาวหรือกลุ่มประชากรเหล่านั้นถึงกาลอวสาน การที่เขาอาสา (แบบที่ไม่มีใครต้องการ) กำจัดประชากรแต่ละดาวให้เหลือครึ่งเดียวจึงเป็นความเมตตากรุณาในมุมมองของเขา ที่ต้องการรักษาสมดุลจักรวาลให้คงที่ และเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งสุดท้ายจะจริงแท้แค่ไหนก็ไม่มีใครรู้ (รวมถึงตัวธานอส เองก็ตาม)
.
ฉากที่ชอบที่สุดในช่วงท้ายของเรากลับไม่ใช่การ ‘ล้างกระดาน’ กำจัดฮีโร่ให้เหลือเพียงครึ่งเดียว แต่เป็นภาพนิมิตของธานอส (ที่ถูกใส่เข้ามาเรื่อยๆ ในหนัง) ที่เขากลับไปเจอ กามอร่า วัยเด็กอีกครั้งหลังจากได้อัญมณีครบทั้ง 6
“คุณทำสำเร็จมั้ย?’
“ใช่”
“แล้วสูญเสียไปเท่าไหร่?”
“ทุกอย่าง”
ชัยชนะในครั้งนี้ของธานอส มาพร้อมกับสิ่งที่เขาต้องสูญเสียและสละทิ้งมากมาย
เราชอบมากๆ ที่หนังจบลงด้วยภาพของเขาอยู่บนดาวสงบสุข (จากแวดล้อมที่เห็นอย่างเผินๆ) นั่งยิ้มอย่างมีความสุขในภารกิจที่ตัวเองทำสำเร็จ
ขณะที่ประชากรมหาศาลล้มตายหายกลายเป็นฝุ่นอย่างเยือกเย็น นี่ไม่เพียงแต่เป็นภาพความย้อนแย้งที่ทำให้ใครหลายคนอยู่ในระดับ ‘ช็อก’ แต่กลายเป็นทิศทางที่น่าสนใจให้กับจักรวาล MCU ได้อย่างน่าชื่นชมด้วยเช่นเดียวกัน (พอเล่นแบบนี้ก็นึกไม่ออกเลยว่าจะยังไงอะไรต่ออะนะ)
นอกเหนือจากวิธีคิดที่น่าสนใจแล้ว สิ่งที่ทำให้เราชอบในตัวธานอส คือบุคลิกภายนอกของเขา เราชอบในความน่าเกรงขาม ความไม่ล่อกแล่กหรือแปรไปตามอารมณ์ และจดจ่อกับเป้าหมายโดยไม่สนใจอุปสรรคตามรายทางที่เข้ามาขัดขวาง (แม้จะเป็นเรื่องส่วนตัวก็ตาม) ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากแนวคิดหรือจุดเริ่มต้นการเป็นวายร้ายของเขาไม่ได้สืบเนื่องมาจากเรื่องอารมณ์หรือปมจิตใจแต่อย่างใด ยิ่งมาบวกกับความตลกเฮฮาของเหล่าฮีโร่ในหนัง (ที่เป็นธรรมเนียมไปแล้ว) เราเลยมองได้อย่างชัดเจนว่าธานอส คือตัวละครที่เอาจริงสุดๆ และไม่มีทีท่าจะอ่อนข้อให้เลย
.
เอาเข้าจริงหนังของ MCU ช่วงหลังๆ เราค่อนข้างชอบ ‘ตัวร้าย’ มากกว่าตัวละครฮีโร่มาตลอดเลย ตั้งแต่ บารอน ซีโม่ใน Captain America: Civil War (2016) , เอเดรียนใน Spider-Man: Homecoming (2017), เฮล่า ใน Thor: Ragnarok และล่าสุด คิลมอนเกอร์ ใน Black Panther (2018) อาจจะเพราะที่มาที่ไปของตัวละครล้วนมีตัวแปรมาจากผลพวงบางสิ่งที่พวกเขาต้องรับชะตากรรม (โดยเฉพาะการสูญเสีย) และหลายๆครั้งที่เราเผลอเอาใจช่วยโดยไม่รู้ตัว ซึ่งถึงแม้ว่า ธานอส จะไม่ใช่ตัวละครในหมวดหมู่ที่เราอยากจะเชียร์นัก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าความร้ายกาจของเขามีน้ำหนักที่รองรับอย่างน่าสนใจ และเป็นวัตถุดิบที่น่าเอาไปเล่นต่อเป็นอย่างยิ่ง
.
นอกเหนือจากประเด็น ธานอส ที่เราสนใจ ยังมีส่วนหนึ่งที่เราอยากชื่นชมใน Avengers: Infinity War คือการจัดแจงแบ่งกลุ่มตัวละครฮีโร่ในแต่ละส่วน แม้ว่าเราจะไม่ค่อยชอบการจัดพื้นที่เวลาในหนังนัก (และที่สำคัญ เราไม่ค่อยชอบท่าทีตลกโปกฮาภายใต้ความตึงเครียดเท่าไหร่ - แต่เข้าใจได้แหละ)
แต่เราว่าหนังเก่งมากๆที่จับคู่ตัวละครได้ถูกกลุ่ม ถูกคนมากๆ เหมือนฮีโร่แบบนี้ต้องไปลุยกับอีกฮีโร่แบบนี้เท่านั้น ซึ่งพอเคมีมันถูก ไม่เพียงแต่แอ็กชั่นซีนจะเวิร์คแล้ว แต่ยังช่วยการดำเนินเรื่องให้ลื่นไหลไม่ต้องเสียเวลาในการเข้าขาของตัวละครมากเท่าไหร่ (นี่ชอบคู่โทนี่ สตาร์ค, ด็อกเตอร์ สเตรนจ์ และสตาร์ลอรด์ มาก คือมาเจอกันแล้วสนุกเลย อีโก้จัดแบบนี้)
.
โดยรวม Avengers: Infinity War แม้จะไม่ใช่หนังฮีโร่ที่เราชอบสุดๆ (และแน่นอนว่ามีอีกหลายเรื่องใน MCU ที่เราเอนจอยและชอบมากกว่า) เพราะภายใต้ฉากต่อสู้ในสเกลที่ใหญ่ยักษ์ หนังก็มีแผลและบางอย่างขาดตกบกพร่องอยู่ไม่น้อยโดยเฉพาะบทภาพยนตร์ที่เป็นหัวใจหลักของหนัง
กระนั้น ก็ต้องยอมรับว่าการนั่งดูเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่หนัง Blockbuster ทั่วไป แต่ยังชวนให้นึกย้อนกลับไป 10 ปีที่แล้วที่เรา (ในช่วงเด็กๆ) กำลังนั่งดู Iron Man (2008) ในบนจอทีวีอย่างสนุกสุดๆ ตอนนั้นแค่โทนี่ สตาร์ค สร้างชุดเกราะ MARK II ตัวเองก็ตื่นเต้นแล้ว (ฮา) ซึ่งมันทำให้เห็นว่าในระยะเวลา 10 ปี จักรวาลนี้เติบโตแและเดินทางมาไกลเกินกว่าจะจินตนาการได้จริงๆ และเชื่อว่าใครหลายคนก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกัน
นักเขียน : Kanin The Movie
จาก https://www.facebook.com/gmliveonline/