ข้อความโดย: होशདངພວན2017
« เมื่อ: พฤษภาคม 06, 2018, 09:45:13 pm »ตัดสินใจที่จะพักงานแสดงไว้ก่อน แล้วไปทำงานกับอาจารย์สมเกียติ อ่อนวิมล ที่บริษัท แปซิฟิก โดยเริ่มงานทางช่อง 11 ก่อน ดำเนินรายการคู่กับคุณกรรณิการ์ ธรรมเกสร เป็นรายการชื่อ 11 ค่ำ เป็นเรื่องทั่ว ๆ ไป ที่จะมีรายการหลาย ๆ อย่างมารวมกัน ไม่ว่าจะเป็นดินดำน้ำชุ่ม หลังคาสีรุ้ง เป็นต้น หลังจากนั้นก็มาเป็นผู้ประกาศข่าว ที่พักงานแสดงไปไม่ใช่ว่าเป็นการอิ่มตัว เพราะอย่างที่เห็นๆ กันว่านักแสดงส่วนมากก็รับแสดงหนัง แสดงละคร ไปจนแก่ จนตาย แต่เป็นเรื่องที่ว่ามีอาชีพใหม่ที่ท้าทายความสามารถเข้ามา และเราก็อยากลองทำเท่านั้นเอง พอมาทำงานร่วมกับอาจารย์สมเกียรติ มันไม่เหมือนกับงานแสดง ที่เราไม่รู้กลางวัน กลางคืน ไม่รู้วันหยุด แต่ในการการทำงานที่นี่ เรารู้เวลาเข้าทำงานที่แน่นอน เช่น จันทร์ - ศุกร์ เวลา 8.00 - 17.00 โดยมีการตกลงเรื่องเวลาทำงานไว้ว่าเป็นวัน จันทร์ - พฤหัสบดี อันนี้คือเวลาที่แน่นอนสามารถกำหนดได้ ถึงงานจะหนัก แต่เราก็ยังทราบถึงวันหยุดและเวลาที่แน่นอน พอหลังจากเลิกเป็นผู้ประกาศข่าวแล้ว ก็มาจัดรายการที่นี่กรุงเทพ ความจริงผมเองไม่ได้หายไปจากวงการ ก็ยังคงอยู่บนจอทีวี เพียงแต่ว่าไม่ได้รับงานละคร พอเลิกทำรายการที่นี่กรุงเทพ ก็มาทำรายการเช้าวันนี้ อยู่ในรายการ
ประมาณ 9 - 10 ปีหลังจากหายหน้าจากงานละครไปประมาณปีกว่า คุณนิรุตต์ก็ได้รับการติดต่อจากคุณเทิ่งให้ไปเล่นหนังใหญ่ โดยทางกองถ่ายพยายามจัดเวลาให้ตามความสะดวกของคุณนิรุตน์ โดยที่ยังทำงานประจำได้ด้วย ได้มาค้นพบนิสัยตัวเองเต็มที่ ก็ตอนที่แสดงภาพยนตร์ครั้งแรก เริ่มแสดงไปได้ซักครึ่งเรื่องก็เริ่มรู้สึกว่าชอบมากๆ เพราะเราได้พบผู้คนมาก และไม่ต้องถูกบังคับเรื่องของเวลาเข้างาน เลิกงาน เจ้าไม่มีนายที่แท้จริง มีแต่เพื่อนร่วมงาน รู้สึกว่าได้เปลี่ยนสถานที่ทำงานใหม่ๆ ตลอด ไม่จำเจ เพราะต้องไปถ่ายทำตามจังหวัดต่างๆ เช่น อยุธยา สละบุรี กาญจนบุรี เชียงใหม่ มันไม่ใช่ความสบาย ในสมัยนั้นเดินทางโดยใช้รถไฟ ออกจากกรุงเทพฯตอนกลางคืน ถึงที่หมายตอนตี 5 พอ 6 โมงเช้าก็ต้องทำงานต่อแล้ว ไม่ได้นั่งเครื่องบิน 1 ชั่วโมงถึงเหมือนในสมัยนี้ เมื่อได้เดินทางบ่อยๆ ก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า นี่ต่างหากคือสิ่งที่เราชอบ และมันก็เป็นธรรมชาติอีกครึ่งหนึ่งที่ฝังอยู่ข้างในตัวของเรา เมื่อมีโอกาสได้มาแสดงภาพยนตร์ ต้องเดินทางไปตามชนบทหลายๆ แห่ง ทำให้เราค้นพบตัวเราเอง หลังจากนั้นก็เลยรับงานแสดงภาพยนตร์มาเรื่อย ๆ เมื่อชีวิตในเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัวเริ่มจัดเวลาได้ คุณนิรุตน์ก็คิดอยากจะมีบ้านของตัวเองที่
ต่างจังหวัด แบบที่เคยอยากจะได้มาตั้งแต่เด็ก ๆ ตอนนั้นก็ไปดูที่อยู่หลายแห่ง แต่ก็ยังตัดสินใจไม่ได้ซักทีว่าจะเอาที่ไหน ตอนขึ้นไปที่เชียงใหม่ ก็รู้สึกว่าชอบพอสมควร แต่ทีนี้พอกลับมาคิดดูเมื่อไกลขนาดนั้นแล้ว ข้อแรกเลยคือปัญหาในเรื่องของระยะทาง และสองคือค่าใช้จ่ายในการเดินทาง สมมุติว่าคุณขับรถไปเอง ไปถึงที่นั่น แต่ก่อนต้องขับรถ 10 กว่าชั่วโมง ถนนสายเอเชียก็ยังไม่มี 10 กว่าชั่วโมงต้องอยู่ในรถ กว่าจะไปถึงก็พอดีสลบ เสร็จแล้ววันรุ่งขึ้น พอทำอะไรเสร็จก็ต้องขับรถกว่า 10 ชั่วโมงกลับมากรุงเทพ ก็สลบอีก แล้วคุณจะทำงานได้อย่างไร ก็เลยตัดสินใจไม่เอาที่ที่เชียงใหม่ ก็เลยยังไม่มีที่ไหนเป็นพิเศษที่จะตัดสินใจซื้อ ย้อนกลับไปสมัยที่ผมทำงานอยู่สายการบินอาลิตาเลีย ซึ่งเป็นช่วงก่อนเข้าวงการแสดง ผมมีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ที่จันทบุรี แล้วเขาก็ชวนผมไปเที่ยวบ้าน ซึ่งผมยังไม่เคยไป ในตอนนั้นก็ถือว่าไกลต้องขับรถประมาณ 6 ชั่วโมงเพราะต้องขับไปอ้อมเส้นสุขุมวิท แต่ก็อยู่แค่ประเดี๋ยวเดียว ยังไม่ได้รู้สึกว่าชอบอะไรมากมาย แต่พอมาแสดงภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ต้องถ่ายทำที่จันทบุรี ช่วงที่ไม่มีคิวถ่าย ก็ทำให้เรามีเวลาว่างมาก 4 - 5 วัน ตอนนั้นเป็นช่วงที่ทำให้ได้สัมผัสกับจันทบุรีมากขึ้น คนจันทบุรีโดยทั่วไปแล้วเป็นคนที่มีจิตใจ
ดี มีน้ำใจ ชอบให้ความช่วยเหลือ แต่ก็อยู่กับแบบเงียบๆ ใช้ชีวิตง่ายๆ ช่วงนั้นได้มีโอกาสนั่งเรือล่องแม่น้ำจันทบุรี ได้ไปนั่งเล่นชายทะเล เวลาจะกินอาหารก็สามารถไปจับปลาแล้วนำมาทำเองได้ ไปเที่ยวป่า เที่ยวเขา ก็กางเต็นท์นอนได้ ก็เกิดความรู้สึกชอบเพราะมันเป็นชนบทจริงๆ แบบที่เราต้องการ แล้วเพื่อนก็พามาดูที่ตรงนี้คืออำเภอโป่งน้ำร้อน ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีถนนขับรถขึ้นมาได้สบายๆ แบบนี้ ยังมีความเป็นชนบท และธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบมากๆ เพื่อนก็เลยบอกว่าถ้าผมชอบจริง ๆ ก็จะยกให้แล้วกัน ให้เอาเงินไปจ่ายให้ผู้ดูแล ตอนแรกก็ซื้อไว้ 50 ไร่