ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
ท่านจะปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อตกลงของเว็บใต้ร่มธรรมทุกประการหรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
เคยนวดฝ่าเท้าให้ คุณพ่อคุณแม่บ้างไหม ถ้ามีโอกาส เราควรทำหรือไม่ (ควรกระทำอย่างยิ่ง หรือ ไม่ควรทำ):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
พิมพ์คำว่า (แสงธรรมนำทางธรรมะนำใจ) ครับ:
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: สิงหาคม 05, 2010, 09:50:28 pm »

อนุโมทนาครับพี่มด  :13:
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: สิงหาคม 05, 2010, 05:00:25 pm »

ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: สิงหาคม 05, 2010, 04:59:27 pm »

รู้เช่นเห็นชาติ รู้แจ้งเห็นจริง ในเรื่อง “กรรมของกฎแห่งกรรม”
สแกนอดีต..แก้กรรม..ทำได้บ่? สมัยที่กรรมเอาไปทำอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะสแกน แก้ หรือ ตัดให้หายทิ้งไปเคยถามตัวเองหรือไม่ ว่าเราก็กำลังอยู่กับอะไร เชื่อในสิ่งไหน ใช่หรือลวง
“ในชีวิตนี้คุณคิดว่าเรามีเวลาอยู่กันคนละกี่ปี ไม่ถึงร้อยครึ่งหนึ่งทะเลาะกับเพื่อนบ้าน ครึ่งหนึ่งติดละครน้ำเน่า ครึ่งหนึ่งอิจฉาริษยาครึ่งหนึ่งก็ไปเล่นการเมือง และอีกครึ่งหนึ่งก็คุ้มดีคุ้มร้าย เล่นคุณไสยฯแล้วคุณจะเหลือช่วงชีวิตดีๆ สักกี่ปีคุณคิดตัวเองว่ามีเวลาบ้าได้นานขนาดนั้นเชียวหรือ”
มาทำอะไรที่เป็น “ประโยชน์สูง และประหยัดสุด” ให้คุ้มค่ากับการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ดีกว่า
“อย่ามัวแต่ไปตีอก ชกตัว กอดรัด อยู่กับสิ่งที่มันจบไปแล้วเลย”
เหล่านี้คือคำท้าทาย คำถาม และคำชี้ชวน จากท่านพระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เจ้าอาวาสวัดนาป่าพง ,พระมหาวุฒิชัย (ว.วชิรเมธี) ผู้ก่อตั้งสถาบันวิมุตยาลัย, และแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ผู้ก่อตั้งสาวิกา สิกขาลัย และ เสถียรธรรมสถานจากวงสนทนาธรรมเรื่อง รู้เช่นเห็นชาติ รู้แจ้งเห็นจริงซึ่งจัดขึ้นที่เสถียรธรรมสถานเพื่อไขข้อข้องใจเรื่องเกี่ยวกับ กรรมเก่า กรรมใหม่ให้ทุกคนรู้เรื่องกรรมให้ถูกต้องแล้วจะได้กลับมามีชีวิตในปัจจุบันที่เป็นอิสระไม่ถูกพันธนาการจากความทุกข์ในอดีตอีกต่อไป
๑. รู้เช่นเห็นชาติ
แม่ชีศันสนีย์ อธิบายว่า “รู้เช่น” ก็คือรู้ ว่าทุกสิ่งมันเป็นเช่นนั้นเองทุกอย่างไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้ "เห็นชาติ"ก็คือเห็นชาติของความทุกข์จากการยึดมั่นในอัตตาของเรา ส่วน “รู้แจ้ง” หมายถึงการเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นไปตามกฎของไตรลักษณ์ คือ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา (เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป) และ "เห็นจริง" คือ เห็นการเกิด-ดับ อารมณ์ต่างๆอันเป็นเหตุแห่งทุกข์นั่นเอง
พระอาจารย์คึกฤทธิ์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องคำสอนจากพระโอษฐ์ ของพระพุทธเจ้าตอบคำถามของ ช่อผกา วิริยานนท์ผู้ดำเนินรายการ เป็นท่านแรกว่า "พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า เรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับกรรม คือต้องเข้าใจว่า “กรรมคือการกระทำของจิต” และ “เรากล่าวซึ่งเจตนาว่าเป็นกรรม”
และเพื่อให้เข้าใจมากขึ้น ช่อผกาได้ขอให้ ท่าน ว.วชิรเมธีอธิบายเพิ่มเติมแบบที่ทำให้ดูมีสีสันน่าตื่นเต้นและร่วมสมัยมากขึ้นว่าเป็นอย่างไรท่านก็อธิบาย ว่ากรรมแบ่งเป็น ๒ ระดับคือ
๑) ระดับศีลธรรม เป็นการสอนเรื่องกรรม เพื่อให้เราหันมาทำความดีและหนีความชั่ว "ระดับนี้สนุกมากเหมือนหนังแฟนตาซี" ท่านบอก "มันจะมีคนทำกรรมแล้วก็มีคนรับผลแห่งกรรมนั้นเช่น มีคนหนึ่งทำอะไรไม่ดีไว้ก็จะมีคนมาลุ้นว่าเดี๋ยวเถอะทำกรรมไม่ดีไว้... เดี๋ยวจะโดน"
๒) ระดับปรมัตถ์ อันนี้เป็นความเข้าใจในระดับที่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นท่านสอนให้เราถอดถอนอัตตาหรือความสำคัญว่าเป็นตัวเรา ตัวเขา ตัวฉัน ทิ้งไป
ทั้งสองส่วนนี้ ถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่ต้องเข้าใจก่อนว่าจะพูดกันถึงเรื่องกรรมระดับไหน เพราะถ้าเอามาปนกัน จะทำให้คนสับสน และ“คนเราถ้าเข้าใจเรื่องกรรมผิดเพี้ยนไป ก็อาจมีผลให้ชีวิตของเราเพี้ยนไปด้วย”
ท่านบอกว่า "ที่เทศน์ สอนกันทั่วไปอยู่ในปัจจุบันนี้ก็เป็นกรรมระดับศีลธรรม"ว่าแล้วท่านก็อธิบายต่อไปว่าอีกอย่างเราต้องรู้จักแยกแยะเป็นว่ากรรมแบบไหนเป็นแบบพุทธกรรมแบบไหนไม่ใช่พุทธเสียก่อนด้วย
พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่ามีอยู่ ๓ ลัทธิที่สวนทางกับพระพุทธศาสนาอย่างสิ้นเชิงคือ
๑) ลัทธิกรรมเก่า ที่เชื่อว่า ความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดีการเป็นไปในวิถีชีวิตคนเราแต่ละคนทั้งหลายนั้นเป็นผลพวงของกรรมเก่าที่เราทำเอาไว้ผลก็คือทำให้เรายอมจำนนต่อปัญหาชีวิตโดยสิ้นเชิง
๒) ลัทธิเทพเจ้าบันดาลลัทธินี้เชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้นและผ่านพ้นไปเพราะอำนาจการดลบันดาลของเหล่าเทพเจ้าต่างๆกลุ่มนี้ก็จะงอมืองอเท้าและยอมจำนนต่อสถานการณ์ เหมือนแบบแรก “ประเทศไทยเข้าสู่กลียุคในทุกวันนี้ คำถามของอาตมาก็คือเทพมากมายแต่ทำไมไทยไม่เคยพ้นวิกฤติเห็นไหมตรรกง่าย ๆ แค่นี้” ประเทศอินเดียซึ่งเป็นแหล่งที่ชุมนุมของเทพเจ้าต่างๆมากที่สุดในโลกก็มีแค่บางเมืองเท่านั้นที่เจริญ
๓) ลัทธิว่าด้วยความบังเอิญ ลัทธินี้จะเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกเกิดขึ้นเพราะความบังเอิญ ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย อย่างมีคนพูดว่า “ประเทศไทยเข้าสู่วิกฤติ มาดูแล้วดวงนายกฯ กับดวงกรุงเทพฯ มันทับกัน ลัคนาไม่ตรงกันอธิบายได้แบบมั่ว ๆ อันนี้ก็น่าตกใจแล้วนะแต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือมีคนเชื่อด้วย”
“ทีนี้รู้ตัวหรือยัง ว่าเราเชื่อแบบไหน” ท่าน ว. วชิรเมธีกล่าวเพื่อให้เราแยกเอาเรื่องที่ไม่เป็นพุทธออกมาเพื่อจะได้เห็นทัศนะที่เป็นพุทธชัดเจนขึ้น
๒. รู้แจ้ง ให้เห็นจริง
แม่ชีศันสนีย์อธิบายเพิ่มเติมว่า “ความเชื่อเรื่องความบังเอิญนั้นไม่ใช่พระพุทธศาสนาเลยพระพุทธองค์ท่านสอนแต่ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุมีเหตุปัจจัยแต่ใครที่มีปัจจุบันขณะที่รู้ทันการกระทบอย่างไม่เผลอ ไม่เพลินก็จะรู้ว่าอิสรภาพในกฎแห่งกรรมมีอยู่แต่ท่านบอกว่าต้องระวังอีกอย่างคือ "ความดีกับของดีมันก็คนละเรื่องนะรู้ว่าทำดีก็ดีแล้วไม่ใช่ทำดีแล้วต้องได้ของดีด้วย ใครที่คิดอย่างนั้น...งมงายนะ” ท่านแม่ชีฯ บอก
ท่าน ว.วชิรเมธี เพิ่มเติมว่า "ถ้าเราจะสอนต้องสอนเพื่อกระตุ้นจริยธรรมในหัวใจคน ให้หันมาทำความดีหลีกหนีความชั่วแต่ทุกวันนี้ต้องบอกว่า "เป็นกรรม" ของกฎแห่งกรรมเพราะมันถูกใช้เพื่อต่อยอดสู่กรรมพาณิชย์ทำกำไรจากคนที่ถูกข่มขู่ว่ามีกรรมหนักทั้งหลาย
"พวกที่มีกรรมหนักทั้งหลาย ชาติที่แล้วฆ่าเขามาชาตินี้ลำบากอายุไม่ถึง ๗๐ นะแก้กรรมซะค่าแก้กรรมก็สัก ๓,๐๐๐มีไหม"ท่านเล่าให้ฟังแบบขำๆ "ทุกวันนี้ไม่ใช่กรรมของพระพุทธเจ้าแล้วมันเป็นกรรมพาณิชย์เราจะต้องถอดถอนเรื่องนี้ออกไป"
ถึงกระนั้น "คนกลัวกรรม" ทั้งหลายก็ยังอยากรู้อยู่ดีว่า แล้วเราจะมีวิธีดับกรรมได้จริงๆ ไหม ท่านคึกฤทธิ์ จึงบอกว่าเคยมีคนถามพระพุทธเจ้าเหมือนกันท่านก็ทรงตอบว่า “มี” แต่ท่านบอกว่า ความดับของกรรมต้องดับที่ผัสสะ คือรู้ตัวว่าคิด ก็ละความคิดนั้นก่อน มโนกรรม (ความคิด) นั้นก็ “ดับ” ไปก่อนไม่เป็นวจีกรรม (คำพูด) หรือ กายกรรม (การกระทำ)เป็นต้น
ทั้งนี้ กรรมมี ๓ ระดับ คือ กรรมที่ให้ผลในปัจจุบันภพ (ในภพนี้)กรรมที่ให้ผลในภพหน้า และ กรรมให้ผลในภพต่อๆ ไป แต่เวลาแค่ไหน ไม่รู้ว่า๑๐ ปี ๒๐ ปี หรือชาติหน้าหรือนานเท่าไหร่ ก็แล้วแต่เหตุปัจจัยท่านคึกฤทธิ์อธิบายต่อ "เรื่องนี้สอดคล้องกันกับมุมมองที่ว่าคนเราเกิดดับกันมาคนละไม่รู้กี่ครั้งกี่หนกันแล้ว
"เราไม่มีทางตามรู้ได้หมดหรอกว่า แต่ละภพแต่ละชาติ หรือหนึ่งการเกิดไปจนถึงตายในแต่ละครั้ง เราทำ(กรรม)อะไร กับใครไว้บ้าง แล้วจะไปตามแก้กรรมทั้งหลายหมดได้อย่างไรกันเพราะแก้อันนี้อันโน้นก็โผล่มาใหม่แก้อันนั้นก็จะต้องโผล่ออกมาอยู่ดีแล้วเมื่อไรจะแก้กันได้หมดสิ้น"ดังนั้นจึงไม่ควรไปเสียเวลากับเรื่องเหล่านี้
๓. ตัดกรรมได้ด้วยมรรคมีองค์ ๘
ขณะที่ ท่าน ว.วชิรเมธี บอกว่า “กรรม ตามแนวพุทธไม่ใช่เฉพาะแค่กรรมเก่าและไม่ใช่กรรมใหม่ล้วนๆแต่ให้ความสำคัญทั้งกรรมเก่ากรรมปัจจุบัน และกรรมที่จะเกิดในอนาคต และชีวิตของเรานั้นก็อยู่ในกาลทั้ง ๓นี้ตลอดเวลานั่นแหละ"
แม่ชีศันสนีย์ ก็บอกอีกว่า “อดีตเป็นสิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้แต่เราตั้งรับอดีตได้ที่ปัจจุบัน”
ท่านหมายความว่า เราต้องกลับมาอยู่กับการกระทำในปัจจุบันของเราให้ดีเพื่อเป็นผลให้อนาคตของเราดี ส่วนอดีตเป็นเรื่องผ่านมาแล้วกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แต่ให้ผลในปัจจุบันและอนาคตได้ดังนั้นหากปัจจุบันเราไม่ดี ก็ยากจะมีอนาคตที่ดีและตรงนี้ก็จะกลายเป็นอดีตที่ไม่ดี ให้ผลที่ไม่ดีต่อเนื่องกันไป
"ทำปัจจุบันกรรมให้ดี เพื่ออนาคตเราไม่ต้องแก้ตัวอีก ไม่ต้องโทษนั่น โทษนี่ตรงนี้สำคัญ ไม่ว่าอดีตคุณจะทำกรรมอะไรมาแต่กรรมปัจจุบันนี่แหละจะพาให้คุณรอด"ท่านบอก ซึ่งน่าจะหมายถึง รอดจากการตกนรก
พระอาจารย์คึกฤทธิ์บอกต่อไปว่า วิธีแก้กรรมที่เด็ดขาด ถาวร แบบฉบับพระพุทธองค์ก็คือให้เจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ย่อลงก็เหลือ ศีล สมาธิ ปัญญาและถ้าย่อลงไปอีกเหลือ ๒ พระองค์ก็ตรัสว่า สมถะ และวิปัสสนาท่าน ว.วชิรเมธีย้ำว่า “ปฏิบัติตามหนทางแห่งอริยมรรค ซึ่งมีองค์ ๘แล้วไม่ต้องถามเลยแค่เรื่องลดกรรม มันตัดกรรมได้หมดแน่นอนแม้แต่เจ้ากรรมนายเวรก็ไม่ต้องมาขอให้เหลือน้อยๆตัดไปได้หมดเลย”
แม่ชีศันสนีย์ เสริมว่า กฎแห่งกรรมก็คือกฎของความจริง ถ้าเราเข้าใจความจริงก็จะเผชิญกับทุกสิ่งได้ด้วยปัญญา"
แล้วก็มาถึง อีกคำถามยอดฮิต "ผีมีจริงไหม"
พระอาจารย์คึกฤทธิ์ อธิบายว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าภพเรานั้นก็ไม่ได้อยู่อย่างเดี่ยวๆยังมีอีกหลายภพภูมิเหมือนโลกของเรายังมีหมู หมา กา ไก่ ที่ก็ไม่เหมือนเราแต่เราไม่เห็นกลัวเลย ไม่เห็นเอาธูปไปจุดหน้าไก่ สาธุ! อย่าหลอกลูกเลย...
แล้วเราก็ไม่แปลกใจเวลาเจอคลื่นวิทยุ คลื่นโทรทัศน์ธรรมชาติ ซึ่งก็มองไม่เห็นจับต้องไม่ได้ส่วนผีจะว่าไปก็ตายเหมือนกัน ฉะนั้น "มันก็ผี เราก็ผี จะไปกลัวอะไร"ท่านบอก...พร้อมกับเสียงถอนหายใจบ้าง เสียงฮือฮาบ้างจากรอบศาลา
นั่นหมายความว่า ถ้าเชื่อท่านต่อไปอีกกี่สิบผีก็ไม่ต้องกลัวแล้วเพราะความกลัวเป็นแค่ความคิด ไม่คิดก็หายกลัวแล้ว
"ทีนี้ เรื่องเจ็บป่วยหาสาเหตุไม่ได้ เป็นเพราะกรรมเก่าหรือเปล่าคะ"ผู้ดำเนินรายการ ยิงคำถามต่อ
"ถ้าบอกว่าหาสาเหตุไม่ได้มันก็เหลือทางเดียวคือต้องกรรม ฉะนั้นกรรมก็เป็นจำเลยเรียกว่า โรคที่เกิดแต่กรรมจริงๆ แล้ว สาเหตุของโรคนั้น ถ้าจะหากันจริงๆไม่พบวันนี้ อาจจะพบวันพรุ่ง หรือพบอีก ๑๐๐ปีข้างหน้าก็ได้ เหมือนเขาหานิวตรอนนิวเคลียส หลายร้อยปีถึงจะค้นพบ
แต่เป็นเพราะเรามีความเชื่ออยู่ชุดหนึ่งว่า โรคบางโรคเกิดแต่กรรมก็ได้ฉะนั้นถ้าพูดอย่างเป็นธรรมนะถ้าหาแล้วเธอรอได้ เธออาจจะค้นพบคำอธิบายก็เป็นได้แต่ถ้าเราขี้เกียจรอ โรคเกิดแต่กรรมเป็นได้ไหมถ้าตอบในระดับศีลธรรมก็เป็นไปได้เหมือนกัน" ท่าน ว.วชิรเมธี ให้คำตอบ
๔. ใช้ลมหายใจเป็นเครื่องมือ
พระอาจารย์คึกฤทธิ์ กล่าวถึงวิธีการปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ ที่ย่อเหลือสอง คือสมถะกับวิปัสสนา เพื่อแก้กรรมว่า ให้เริ่มจากการนั่งรู้ลมหายใจเข้า-ออก สบายๆ อยู่บ้านไม่ต้องไปเซ่นไหว้ ไม่ต้องไปหามีดหมอที่ไหน ไม่ต้องไปเสียค่ายกครูไม่ต้องไปทำอะไรใดๆ ทั้งสิ้น
"แค่กลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ ตระหนักรู้ ทุกครั้งที่คิด ทุกกิจที่ทำทุกคำที่พูด และทุกครั้งที่เคลื่อนไหว ทำแค่นี้เราก็จะเป็นคนใหม่อยู่ทุกขณะจิตแก้กรรมได้แล้ว เรียกว่าประโยชน์สูง ประหยัดสุด" ท่านสรุปสั้นๆซึ่งก็เหมาะกับยุคสมัยที่เศรษฐกิจฝืดเคือง
นอกจากนี้ ท่าน ว.วชิรเมธี ย้ำว่าให้หมั่นฝึกทำอานาปานัสสติให้ดีฝึกให้รู้ลมหายใจเข้า-ลมหายใจออกให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้หลุดไปก็กลับมารู้ใหม่เผลอไปก็กลับมารู้ใหม่
"ฝึกตามดูรู้เท่าทันกาย คือลมหายใจ เวทนาคือความรู้สึก จิตคือความคิดและธรรมก็คือสภาวธรรมที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป...



ใครมาฝึกแล้วรู้ของพวกนี้ อาตมากล้าการันตีได้ว่า ไม่เกิน ๗วันคุณจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ การที่คุณเปลี่ยนเป็นคนใหม่ กลายเป็นคนที่มีสติมากขึ้นเป็นอันว่าคุณตัดกรรมได้แล้ว ไม่ต้องใช้เงินใช้ทองอะไรใช้ต้นทุนต่ำที่สุดเลยใช้กายกับใจของเราเท่านั้นเป็นเครื่องมือ" ท่านประกาศอย่างมั่นใจด้วยรอยยิ้มเมตตา
มรรคมีองค์ ๘ ประกอบด้วย
๑. สัมมาทิฏฐิ คือ ความเข้าใจถูกต้อง
๒. สัมมาสังกัปปะ คือความใฝ่ใจถูกต้อง
๓. สัมมาวาจา คือ การพูดจาถูกต้อง
๔. สัมมากัมมันตะ คือการกระทำถูกต้อง
๕. สัมมาอาชีวะ คือ การดำรงชีพถูกต้อง
๖. สัมมาวายามะ คือความพากเพียรถูกต้อง
๗. สัมมาสติ คือ การระลึกประจำใจถูกต้อง
๘. สัมมาสมาธิ คือ การตั้งใจมั่นถูกต้อง
ฉะนั้น การปฏิบัติธรรมทุกขั้นตอน รวมลงในมรรคอันประกอบด้วยองค์แปดนี้เมื่อรวมกันแล้วเหลือเพียง ๓ คือ ศีล-สมาธิ-ปัญญา และย่อเหลือ ๒ คือ สมถะและวิปัสสนา สรุป คือ การปฏิบัติธรรมก็คือ การเดินตามหนทางแห่งมรรคมีองค์ ๘ นั่นเอง