ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ตุลาคม 16, 2020, 05:24:53 am »ทำไม...จึงไม่รู้จัก"ต้นสาละ"
ทำไม...จึงเข้าใจสับสน
ทำไม...จึงเข้าใจกันผิด
คนไทยมักรู้จักแต่ชื่อ"ต้นสาละ"ในพุทธประวัติกันมานาน แต่มาเข้าใจสับสนเข้าใจต้นสาละกันผิดๆ เพราะในช่วงแรกไปได้ข้อมูลผิดๆมาจากชาวศรีลังกาที่เขาก็เข้าใจมาผิดเช่นกัน
ในปี พ.ศ.๒๔๙๘ ท่านพุทธทาสภิกขุได้ไปเยือนอินเดีย และกลับมาในปี พ.ศ.๒๔๙๙ โดยได้นำต้นสาละมาปลูก ณ สวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานีเป็นต้นแรกในประเทศไทย และหลังจากนั้นก็มีท่านอื่นๆได้ไปนำต้นสาละจากอินเดียมาปลูกอีกหลายต้น จนกระทั่งต้นสาละที่ปลูกไว้ในประเศไทยได้ออกดอกออกผล จึงได้เพาะขยายพันธุ์นำไปปลูกต่อๆกันมา
นับเวลาที่มีการปลูกต้นสาละในประเทศไทยถึงปัจจุบัน ปี๒๔๙๙ - ๒๕๖๓ ได้ ๖๔ ปี แต่ทำไมคนไทยยังไม่รู้จักต้นสาละที่แท้จริง ก็เพราะด้วยสาเหตุต่างๆ
๑.ต้นสาละเป็นไม้วงศ์ยาง ต้องใช้เวลานานถึง ๑๕ ปีถึงจะออกดอกออกผล
๒.ต้นสาละเป็นไม้ในถิ่นอินเดีย เมื่อนำมาปลูกในไทยทำให้ปลูกให้รอดยาก ต้องมีเหตุปัจจัยต่างๆช่วยให้เหมาะสม
๓.ต้นสาละจะออกดอกออกผลได้ต้องมีอากาศและสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมเท่านั้น และอาจจะไม่ได้ออกดอกทุกปี
๔.การเพาะเมล็ดสาละให้โตเป็นต้นกล้าที่แข็งแรงพร้อมจะนำไปปลูกต้องใช้เวลาประมาณ ๓ ปี
๕.การปลูกต้นสาละต้องเลือกพื้นที่น้ำไม่ขัง ไม่แฉะ ไม่ท่วม และเป็นดินระบายนำ้ได้ดี
๖.การปลูกต้นสาละต้องดูแล บำรุง รักษา ต่อเนื่อง และยาวนานถึง ๕ ปี จึงจะปล่อยให้เติบโตตามธรรมชาติต่อไป
๗.การดูแลต้นสาละต้องให้นำ้เป็นประจำ หากนำ้น้อยอาจจะไม่รอด ไม่โต นำ้น้อยได้แค่ประทังกันตายเท่านั้น หากให้นำ้มากพอเปียกถึงรากจะทำให้ต้นสาละโตไว
๘.ด้วยสาเหตุที่ปลูกต้นสาละแล้วไม่ได้รับการดูแลต่อเนื่อง จึงทำให้มีต้นสาละที่โตเป็นไม้ใหญ่ให้เห็นกันน้อยมาก จากการสำรวจของชมรมรักษ์สาละ ทั่วประเทศไทยมีต้นสาละที่โตเป็นไม้ใหญ่จำนวนไม่ถึง ๒๐ ต้น เป็นสาเหตุที่คนไทยไม่รู้จักต้นสาละที่แท้จริง
๙.ด้วยต้นสาละต้องมีสิ่งแวดล้อมและอากาศที่เหมาะสมจึจะออกดอกออกผล คนไทยส่วนใหญ่จึงไม่เคยเห็นดอกสาละที่แท้จริง และไปหลงเข้าใจผิดว่าดอกลูกปืนใหญ่เป็นดอกสาละแทน และทางชมรมรักษ์สาละได้มีการสำรวจต้นสาละที่เคยออกดอกทั่วทั้งประเทศไทย มีจำนวนเพียง ๘ ต้น ใน ๘ จังหวัดเท่านั้น คือ
๑.เชียงใหม่
๒.ลำปาง
๓.สระบุรี
๔.อ่างทอง
๕.ชลบุรี
๖.กรุงเทพมหานคร
๗.เพชรบุรี
๘.ปัตตานี
ซึ่งมีอากาศและสิ่งแวดล้อมเหมาะสม จึงทำให้ต้นสาละสามารถออกดอก
๑๐.ในปี พ.ศ.๒๕๐๐ ได้มีคณะคนไทยไปยังประเทศศรีลังกา ได้ไปพบเห็นต้นไม้ชนิดหนึ่งเป็นไม้ยืนต้นเป็นไม้เนื้ออ่อน มีงวงออกจากลำต้นมากมาย และในงวงก็จะมีช่อดอกมีสีชมพูส้มสวยมาก มีลูกกลมใหญ่คล้ายลูกปืนใหญ่โบราณ โดยชาวศรีลังกาได้บอกว่าเป็นต้นซาล(Sal) ซึ่งปกติต้นซาล(Sal) คือ ช่ือทางพฤกษศาสตร์ของต้นสาละ(สาละอินเดีย) แต่ลักษณะของต้นดังกล่าวมันไม่ใช่ต้นสาละในพุทธประวัติ แต่คณะคนไทยก็ได้นำต้นดังกล่าวมาปลูกในประเทศไทย ด้วยความคิดที่ว่าน่าจะไม่ใช่ต้นสาละในพุทธประวัติ จึงเรียกต้นนั้นว่าสาละลังกา(คือ ต้นสาละตามที่ชาวศรีลังกาบอกและนำมาจากศรีลังกา) คิดว่าหากเป็นต้นซาล(Sal) หรือ สาละจริงๆคงจะเรียกว่า ต้นซาล(sal) หรือ ต้นสาละแล้วตั้งแต่นั้น ด้วยต้นสาละลังกา เป็นพืชที่เติบโตง่าย จึงมีการขยายพันธุ์ปลูกกันไปทั่วประเทศด้วยความหลงเข้าใจผิดกัน เพราะคนที่เอาไปปลูกก็ไม่ได้รู้จริงโดยรู้ตามที่เขาบอกต่อๆกันมาผิดๆ และอีกสาเหตุเนื่องจากคนไทยมักชอบเรียกอะไรง่ายๆสั้นๆ เขียนกันสั้นๆว่า ต้นสาละ และเมื่อต้นสาละไปอยู่ในวัดของพุทธศาสนา จึงเป็นการตอกย้ำให้ชาวพุทธเข้าใจว่าเป็นต้นสาละในพุทธประวัติโดยไม่ได้ศึกษาข้อเท็จจริงให้เข้าใจกันให้ถูกต้อง
ต่อมาภายหลังชาวศรีลังกาได้ทราบข้อมูลทางพฤกษศาสตร์ที่ถูกต้องของต้นไม้ที่ให้คนไทยมาปลูก ว่าที่เคยบอกไปนั้นมันผิดพลาด จึงได้ทำหนังสือถึงประเทศไทย พร้อมชี้แจงข้อเท็จจริงว่าเป็น #ต้นลูกปืนใหญ่(Cannon ball Tree)โดยชื่อนี้เป็นชื่อสามัญทางพฤกษศาสตร์ที่ถูกต้องโดยมีที่มาจากลักษณะของผล ลูกปืนใหญ่ แต่ด้วยมีการเรียกผิดๆว่าต้นสาละ และฝังในหัวคนไทยมานาน อีกทั้งก่อนนั้นการสื่อสารประชาสัมพันธ์ก็ไม่ทันสมัยเหมือนเช่นปัจจุบันที่มีโซเชียลมีเดีย ทำให้คนไทยเข้าใจกันได้น้อยมาก
คนไทยทั้งหลายเมื่อทราบแล้วว่าต้นไหนคือ ต้นสาละ(Sal)ที่แท้จริง และ ต้นไหนคือ ต้นลูกปืนใหญ่(Cannon ball Tree) ได้โปรดศึกษาทำความเข้าใจให้ถูกต้อง และเผยแพร่บอกต่อข้อเท็จจริงนี้ อย่าได้ฝืนกระแสความจริงนี้เลย...สาธุ สาธุ สาธุ
หลวงสิน ชมรมรักษ์สาละ
๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๓
https://www.facebook.com/groups/630313774119219/permalink/954228358394424/
ทำไม...จึงเข้าใจสับสน
ทำไม...จึงเข้าใจกันผิด
คนไทยมักรู้จักแต่ชื่อ"ต้นสาละ"ในพุทธประวัติกันมานาน แต่มาเข้าใจสับสนเข้าใจต้นสาละกันผิดๆ เพราะในช่วงแรกไปได้ข้อมูลผิดๆมาจากชาวศรีลังกาที่เขาก็เข้าใจมาผิดเช่นกัน
ในปี พ.ศ.๒๔๙๘ ท่านพุทธทาสภิกขุได้ไปเยือนอินเดีย และกลับมาในปี พ.ศ.๒๔๙๙ โดยได้นำต้นสาละมาปลูก ณ สวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานีเป็นต้นแรกในประเทศไทย และหลังจากนั้นก็มีท่านอื่นๆได้ไปนำต้นสาละจากอินเดียมาปลูกอีกหลายต้น จนกระทั่งต้นสาละที่ปลูกไว้ในประเศไทยได้ออกดอกออกผล จึงได้เพาะขยายพันธุ์นำไปปลูกต่อๆกันมา
นับเวลาที่มีการปลูกต้นสาละในประเทศไทยถึงปัจจุบัน ปี๒๔๙๙ - ๒๕๖๓ ได้ ๖๔ ปี แต่ทำไมคนไทยยังไม่รู้จักต้นสาละที่แท้จริง ก็เพราะด้วยสาเหตุต่างๆ
๑.ต้นสาละเป็นไม้วงศ์ยาง ต้องใช้เวลานานถึง ๑๕ ปีถึงจะออกดอกออกผล
๒.ต้นสาละเป็นไม้ในถิ่นอินเดีย เมื่อนำมาปลูกในไทยทำให้ปลูกให้รอดยาก ต้องมีเหตุปัจจัยต่างๆช่วยให้เหมาะสม
๓.ต้นสาละจะออกดอกออกผลได้ต้องมีอากาศและสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมเท่านั้น และอาจจะไม่ได้ออกดอกทุกปี
๔.การเพาะเมล็ดสาละให้โตเป็นต้นกล้าที่แข็งแรงพร้อมจะนำไปปลูกต้องใช้เวลาประมาณ ๓ ปี
๕.การปลูกต้นสาละต้องเลือกพื้นที่น้ำไม่ขัง ไม่แฉะ ไม่ท่วม และเป็นดินระบายนำ้ได้ดี
๖.การปลูกต้นสาละต้องดูแล บำรุง รักษา ต่อเนื่อง และยาวนานถึง ๕ ปี จึงจะปล่อยให้เติบโตตามธรรมชาติต่อไป
๗.การดูแลต้นสาละต้องให้นำ้เป็นประจำ หากนำ้น้อยอาจจะไม่รอด ไม่โต นำ้น้อยได้แค่ประทังกันตายเท่านั้น หากให้นำ้มากพอเปียกถึงรากจะทำให้ต้นสาละโตไว
๘.ด้วยสาเหตุที่ปลูกต้นสาละแล้วไม่ได้รับการดูแลต่อเนื่อง จึงทำให้มีต้นสาละที่โตเป็นไม้ใหญ่ให้เห็นกันน้อยมาก จากการสำรวจของชมรมรักษ์สาละ ทั่วประเทศไทยมีต้นสาละที่โตเป็นไม้ใหญ่จำนวนไม่ถึง ๒๐ ต้น เป็นสาเหตุที่คนไทยไม่รู้จักต้นสาละที่แท้จริง
๙.ด้วยต้นสาละต้องมีสิ่งแวดล้อมและอากาศที่เหมาะสมจึจะออกดอกออกผล คนไทยส่วนใหญ่จึงไม่เคยเห็นดอกสาละที่แท้จริง และไปหลงเข้าใจผิดว่าดอกลูกปืนใหญ่เป็นดอกสาละแทน และทางชมรมรักษ์สาละได้มีการสำรวจต้นสาละที่เคยออกดอกทั่วทั้งประเทศไทย มีจำนวนเพียง ๘ ต้น ใน ๘ จังหวัดเท่านั้น คือ
๑.เชียงใหม่
๒.ลำปาง
๓.สระบุรี
๔.อ่างทอง
๕.ชลบุรี
๖.กรุงเทพมหานคร
๗.เพชรบุรี
๘.ปัตตานี
ซึ่งมีอากาศและสิ่งแวดล้อมเหมาะสม จึงทำให้ต้นสาละสามารถออกดอก
๑๐.ในปี พ.ศ.๒๕๐๐ ได้มีคณะคนไทยไปยังประเทศศรีลังกา ได้ไปพบเห็นต้นไม้ชนิดหนึ่งเป็นไม้ยืนต้นเป็นไม้เนื้ออ่อน มีงวงออกจากลำต้นมากมาย และในงวงก็จะมีช่อดอกมีสีชมพูส้มสวยมาก มีลูกกลมใหญ่คล้ายลูกปืนใหญ่โบราณ โดยชาวศรีลังกาได้บอกว่าเป็นต้นซาล(Sal) ซึ่งปกติต้นซาล(Sal) คือ ช่ือทางพฤกษศาสตร์ของต้นสาละ(สาละอินเดีย) แต่ลักษณะของต้นดังกล่าวมันไม่ใช่ต้นสาละในพุทธประวัติ แต่คณะคนไทยก็ได้นำต้นดังกล่าวมาปลูกในประเทศไทย ด้วยความคิดที่ว่าน่าจะไม่ใช่ต้นสาละในพุทธประวัติ จึงเรียกต้นนั้นว่าสาละลังกา(คือ ต้นสาละตามที่ชาวศรีลังกาบอกและนำมาจากศรีลังกา) คิดว่าหากเป็นต้นซาล(Sal) หรือ สาละจริงๆคงจะเรียกว่า ต้นซาล(sal) หรือ ต้นสาละแล้วตั้งแต่นั้น ด้วยต้นสาละลังกา เป็นพืชที่เติบโตง่าย จึงมีการขยายพันธุ์ปลูกกันไปทั่วประเทศด้วยความหลงเข้าใจผิดกัน เพราะคนที่เอาไปปลูกก็ไม่ได้รู้จริงโดยรู้ตามที่เขาบอกต่อๆกันมาผิดๆ และอีกสาเหตุเนื่องจากคนไทยมักชอบเรียกอะไรง่ายๆสั้นๆ เขียนกันสั้นๆว่า ต้นสาละ และเมื่อต้นสาละไปอยู่ในวัดของพุทธศาสนา จึงเป็นการตอกย้ำให้ชาวพุทธเข้าใจว่าเป็นต้นสาละในพุทธประวัติโดยไม่ได้ศึกษาข้อเท็จจริงให้เข้าใจกันให้ถูกต้อง
ต่อมาภายหลังชาวศรีลังกาได้ทราบข้อมูลทางพฤกษศาสตร์ที่ถูกต้องของต้นไม้ที่ให้คนไทยมาปลูก ว่าที่เคยบอกไปนั้นมันผิดพลาด จึงได้ทำหนังสือถึงประเทศไทย พร้อมชี้แจงข้อเท็จจริงว่าเป็น #ต้นลูกปืนใหญ่(Cannon ball Tree)โดยชื่อนี้เป็นชื่อสามัญทางพฤกษศาสตร์ที่ถูกต้องโดยมีที่มาจากลักษณะของผล ลูกปืนใหญ่ แต่ด้วยมีการเรียกผิดๆว่าต้นสาละ และฝังในหัวคนไทยมานาน อีกทั้งก่อนนั้นการสื่อสารประชาสัมพันธ์ก็ไม่ทันสมัยเหมือนเช่นปัจจุบันที่มีโซเชียลมีเดีย ทำให้คนไทยเข้าใจกันได้น้อยมาก
คนไทยทั้งหลายเมื่อทราบแล้วว่าต้นไหนคือ ต้นสาละ(Sal)ที่แท้จริง และ ต้นไหนคือ ต้นลูกปืนใหญ่(Cannon ball Tree) ได้โปรดศึกษาทำความเข้าใจให้ถูกต้อง และเผยแพร่บอกต่อข้อเท็จจริงนี้ อย่าได้ฝืนกระแสความจริงนี้เลย...สาธุ สาธุ สาธุ
หลวงสิน ชมรมรักษ์สาละ
๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๓
https://www.facebook.com/groups/630313774119219/permalink/954228358394424/