ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: ธันวาคม 11, 2022, 05:15:59 pm »ภาคที่ห้า : บทร้อยกรองปกิณกะ
1
เมฆทะมึนเหนือท้องฟ้า
ถูกลมอุ้มหอบพัดพัดลอยไปหมดสิ้น
เหลือแต่แผ่นฟ้าสีน้ำเงินสดโปร่ง
ฉันถือบาตรใบน้อย
ออกจากกระท่อม
หาเที่ยวภิกขาจาร
ด้วยจิตใจที่ปลอดโปร่งเป็นสุข
นี่คือความเมตตาของสวรรค์
ที่โปรยแผ่มายังฉัน
ผ่านสายลมรำเพย
และธรรมชาติยามรุ่งอรุณ
2
ฉันกับเพื่อน
เริงเล่นกลางทุ่งกว้าง
เราขับลำนำ
อ่านบทกวี
เล่นลูกบอล
สองคนสองชีวิต
แต่หัวใจกลับแน่นสนิท
เป็นหัวใจเดียวกัน
3
ฉันนอนอิงหมอนหญ้า
อยู่เพียงลำพังในกระท่อม
ปล่อยความฝันและจินตนาการ
ให้ลอยละล่อง
ไปสู่โลกในอุดมคติ
ที่ปราศจากเสียงร่ำไห้
ของคนทุกข์
เงียบเหงา อ้างว้าง
เหลือเกินโลกมนุษย์
4
ยามที่ฉันมองดูเด็กเพลินเล่น
ด้วยอาการที่ไร้เดียงสา
พลันน้ำตาของฉัน
ก็เอ่อรินชุ่มใบหน้า
ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไม
ฉันจึงร้องไห้เมื่อเห็นภาพเช่นนั้น
5
คราที่ฉันครุ่นคำนึง
ถึงความเป็นไปของผู้คน
บนผืนแผ่นดินวิปโยคผืนนี้
ราตรีกาลดูผ่านผัน
ไปด้วยความเหนื่อยหน่าย
และมึนซึมเหลือเกิน
ฉันครุ่น ฉันคิด
แล้วหยาดน้ำตาก็ไหลริน
จนชุ่มอาบแขนเสื้อคลุม
6
ขโมยทิ้งดวงจันทร์
เอาไว้
ที่หน้าต่าง
7
จะมีใครใหมหนอ
เอื้ออาทรต่อพระชรารูปนี้
ช่วยทีเถิด
ฉันลืมไม้เท้าไว้ที่กลางทาง
ช่วยเก็บมันคืนให้ฉัน
นี่ก็ค่ำมากแล้ว
ฉันจำเป็นต้องใช้มัน
คลำทางกลับกระท่อม
8มตัว
อีกไม่กี่ปี
พระชรานามว่าเรียวกัน
จะต้องลาโลก
ไปตามกฎของความเปลี่ยนแปลง
ดังดอกไม้แห้ง
ผล็อยร่วงจากต้นยามรุ่งสาง
แต่สิ่งที่พระรูปนี้
จะยังทิ้งไว้เป็นมรดกแก่โลก
อีกตราบนานเท่านาน
คือดวงใจอันปรารถนาดี
ต่อทุกคนเสมอหน้ากัน
9
ขณะรอคอยแขกผู้จะมาเยือน
ฉันดื่มเหล้าสาเก
หมดไปสี่ห้าถ้วย
ความหอมหวานของสุรา
ทำให้ฉันเพลินดื่มจนลืมตัว
เมื่ออาคันตุกะมาถึง
ฉันกลับเมามายจนจำเขาไม่ได้
คราวหน้าเห็นฉันจะต้อง
สังวรตัวเองให้มากกว่านี้
10
หากเสื้อคลุมของฉัน
กว้างพอที่จะโอบคลุม
คนผู้ยากไร้ทั้งโลก
ฉันจะไม่รีรอเลย
ที่จะแผ่โอบเสื้อคลุมออกรับ
ความแร้นแค้นของผู้คน
ที่น่าสงสารเหล่านั้น
11
เธอลืมหนทางสู่กระท่อม
ของฉันเสียแล้วหรือ
ทุกวันยามเย็นย่ำ
ฉันคอยเงี่ยหูฟังเสียงของเธอมา
ด้วยจิตใจอันจดจ่อ
แต่ทุกอย่างก็เป็นเพียง
ความว่างเปล่า
ไม่มีวี่แววของเธอปรากฎ
เลยเพื่อนเอ๋ย
12
บนฟากฟ้ากว้างไกลสุดสายตา
ดวงอาทิตย์จวบจะลาลับไปแล้ว
หนทางกลับกระท่อม
ยังเหลืออีกไกลนัก
บ่าสองข้างของฉัน
หนักอึ้งด้วยสัมภาระ
สองเท้าอ่อนล้า
ขณะย่ำไปตามทางสายเปลี่ยว
เพียงผู้เดียว
13
รูป สี ชื่อและสันฐาน
เป็นเพียงสิ่งสมมุติ
ที่กล่าวเรียกกันในโลก
เมื่อเงื่อนไขแห่งวันเวลามาถึง
สิ่งเหล่านี้ย่อมแปรเปลี่ยน
สูญสลายไปไม่เหลือ
14
คราฉันครุ่นคำนึง
ถึงความทุกข์เข็ญอับจน
ของเพื่อนร่วมโลก
ความระทมเศร้าของเขาเหล่านั้น
พลันละลายเข้าเกาะกุมหัวใจ
ดังว่ามันเป็นความทุกข์
ของฉันเอง
15
ย่ำค่ำสนธยาง
ฉันกับเพื่อน
นั่งสนทนากันบนหน้าผา
ท่ามกลางทิวสนภูเขา
ที่พริ้วใบระริกเล่นลมค่ำ
16
ณ เกาะซาโดะแห่งนี้
ฉันยังวันคืนให้ผ่านล่วงไป
ด้วยการรำลึกถึงใบหน้า
อันอ่อนหวานเปี่ยมแววเมตตา
ของแม่ผู้น่าสงสาร
ที่ฉันจากมา
ทิ้งให้อ่านเผชิญชะตากรรม
ตามลำพังเป็นเวลาหลายขวบปี
17
ชีวิตคนเรา
ไม่ต่างจากสวะ
ที่ไหลลอยกระแสชล
ยามราตรี
บางคราวถูกแสงจันทร์สาดทาบ
บางครั้งก็เลื่อนไหล
เข้าไปในเงามืดของคืนแรม
แปรเปลี่ยนเวียนวน
เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง
ไม่จีรังยั่งยืน
18
ความรู้สึกส่วนลึก
ภายในใจของพระชรารูปนี้
ที่มีต่อสรรพสิ่งอันผ่านเข้ามาในชีวิต
เปรียบได้กับความอ่อนละมุน
ของสายลมแผ่ว
ที่ล่องลอยกระซาบสัมผัส
ทุกสิ่งทั้งที่ดีและเลว
ให้เกิดความฉ่ำเย็นเสมอกัน
โดยไม่ลำเอียง
19
ร่างกายสังขารของมนุษย์
ไม่กี่ปีก็ผุพังแตกดับ
ลงเป็นเถ้าธุลีดิน
สิ่งที่อันจะคงอยู่
ชั่วดินฟ้าแยกสลาย
ก็คือสัจธรรม
อันมิอาจลบล้าง
ได้ด้วยพลังแห่งความแปรเปลี่ยนใด
20
สิ่งที่เรามองเห็นข้างหน้านั่น
คือหุ่นฟางเก่า ๆ ตัวหนึ่ง
สวมหมวกปุปะ และเสื้อชาวนา
สีซีดหม่นกระรุ่งกระริ่ง
ใครเล่าหนอจะยังทราบ
ว่าในความซอมซ่อเก่าปอนนั้น
หุ่นไล่กาได้ทำหน้าที่ของมัน
อย่างเต็มเปี่ยมบริบูรณ์แล้ว
21
ทำไมหนอ
ท่านจึงระหกระเหิน
ไปไกลเช่นนั้น
เพียงเพราะว่าท่านต้องการ
เข้าสู่แก่นแห่งพุทธะสัจจะ
หยุดมองกลับเข้าไป
ในตัวเองบ้างเถิด
ท่ามกลางความป่วนปั่น
แห่งคลื่นลมชีวิต
ท่านจะเห็นความสงบเงียบ
ของมันด้วยตัวท่านเอง
22
ฉันเดินเลียบชายทะเล
ออกหาชมสาหร่าย
ที่ถูกคลื่นพัดหอบมา
จากแดนไกล
บางคราวเมื่อหลับอยู่
ในกระท่อม
ฉันจะฝันเห็นสาหร่ายทะเลเหล่านี้
ผุดพราวขึ้นในห้วงรำลึก
23
หลายเดือนผ่านไป
วันเวลาคลี่คลาย
กลายเป็นอดีตทับถมกัน
วันนี้ฉันย้อนรำลึก
ไปหาความทรงจำอันเลือนราง
แต่ไม่อาจไขว่คว้า
รอยรำลึกที่ผ่านเลย
มาสู่ห้วงจินตนาการอีกครั้ง
โอ อดีตของชีวิต
ช่างยาวนานและเต็มด้วย
ความหนักเหนื่อยเหลือเกิน