ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2023, 08:47:19 pm »Loki ลิขิตอันทรงเกียรติ The God Of Stories โลกิผู้คงอยู่ เมื่อตัวร้าย กลายเป็นตัวรัก
ด้วยพลังของ The God Of Stories ที่ยอมอยู่อย่างโดดเดี่ยว เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้ชีวิตด้วย ‘เจตจำนงเสรี’ ต่อไป
https://www.youtube.com/v//UKwAQN9xZSg
[สปอยล์] เฉลยปมซีรีส์ ‘Loki’ ซีซัน 2 ตอนสุดท้าย ทำไมโลกิต้องรวบเส้นเวลาเป็นต้นไม้อิกดราซิล ?
ตอนสุดท้ายในซีซันที่ 2 ของซีรีส์ ‘Loki’ เรียกได้ว่าเป็นตอนสุดท้ายที่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่มีทั้งสมการรอคอย และใจหายอยู่ไม่น้อย เพราะเป็นตอนที่ทำให้เราได้เห็นเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นจากทั้ง 12 ตอนได้มาบรรจบกันด้วยบทสรุปที่ยิ่งใหญ่ การเปลี่ยนตัวเองกลายเป็นเทพแห่งเรื่องราว (God of Story) ผู้ควบคุมเส้นเวลาทั้งมวลเอาไว้ด้วยตัวเอง
บทสุดท้ายของเรื่องราว จึงเป็นเหมือนกึ่ง ๆ บทสรุปของเรื่องราวต่าง ๆ ของโลกิที่เกิดขึ้นใน MCU ที่ผ่านมาในอดีตถึงความต้องการใน ‘ลิขิตอันทรงเกียรติ’ หรือ ‘Glorious Purpose’ ของเขา ในการปลดแอกจากการควบคุมเส้นเวลาศักดิ์สิทธิ์ของ ชายผู้คงอยู่ (He Who Remains) เสียสละเพื่อปกป้องสรรพชีวิตในทุก ๆ มัลติเวิร์ส มอบเจตจำนงเสรี (Free Will) ให้กับเหล่าพนักงานและเจ้าหน้าที่ของสำนักงาน TVA (Time Variance Authority)
เกิดอะไรขึ้นในตอนสุดท้าย
ในตอนสุดท้ายของซีรีส์ ‘ลิขิตอันทรงเกียรติ’ หลังจากที่โลกิเผชิญกับเหตุการณ์ที่เครื่องทอเวลา (Temporal Loom) ไม่สามารถรับกำลังการถักทอเส้นเวลาที่เพิ่มขึ้นได้อีกต่อไป จนทำให้ทุก ๆ เส้นเวลาระเบิด TVA ล่มสลาย โลกิเผชิญกับอาการเวลาไถล (Time Slipping) ทำให้ตัวเขาย้อนกลับไปยังอดีต และค้นพบตัวแปรของพนักงาน TVA เขาพยายามค้นหาวิธีป้องกันไม่ให้เส้นเวลาสูญสลาย แต่ไม่ได้ผล แต่สิ่งที่เขาได้ค้นพบก็คือ เวลานี้เขาค้นพบวิธีการควบคุมเวลาไถลได้แล้ว
โลกิย้อนกลับมาเหตุการณ์ตอนซ่อมเครื่องทอ ช่วงเวลาก่อนเกิดเหตุระเบิดอีกครั้ง เขาจึงคิดใช้การไถลเวลาเพื่อย้อนกลับไปยังอดีต เพื่อแก้ไขไม่ให้เหตุการณ์ซ้ำรอย แต่ไม่ว่าจะพยายามขนาดไหน หรือใช้เวลาย้อนกลับไปเรียนรู้วิชาฟิสิกส์อีกกี่ร้อยปี TVA ก็ยังจะคงล่มสลายเช่นเดิม เพราะเส้นเวลาได้ขยายตัวเพิ่มอีกเป็นทวีคูณ
โลกิได้ย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ที่ซิลวีสังหาร He Who Remains เขาได้พยายามจะยับยั้งเหตุการณ์ไม่ให้ซิลวีลงมือ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร He Who Remains ก็ต้องตายอยู่ดี แต่เขาก็ได้รู้ความจริงว่า หากจะเปลี่ยนเหตุการณ์ไม่ให้เกิดขึ้นแบบวนซ้ำอีก สิ่งที่เขาต้องทำคือการสังหารซิลวีลง นอกจากนี้เขายังได้รู้ว่า การที่เครื่องทอระเบิด ก็เพื่อทำลายเฉพาะเส้นเวลาแตกแขนง (Branched Timeline) เพื่อปกป้องเส้นเวลาศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Timeline) เอาไว้ เพื่อให้เหตุการณ์ยังคงวนลูปต่อไป
โลกิไถลเวลาย้อนกลับไปในเหตุการณ์ที่เขาคุยกับมอร์เบียสครั้งแรก ทำให้เขาเริ่มตระหนักถึงลิขิตอันทรงเกียรติ และการเลือกเส้นทางที่ยากเพื่อหลีกหนีจากลูปที่ He Who Remains สร้างเอาไว้ โลกิย้อนกลับไปช่วงก่อนเหตุการณ์ระเบิด ก่อนจะตัดสินใจระเบิดกระสวยเครื่องทอเวลา จนทำให้เส้นเวลาทั้งหมดเฉาตาย โลกิใช้เวทมนตร์ของตัวเองในการฟื้นชีวิตของเส้นเวลา เก็บรวมเอาไว้ และขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ ณ จุดสิ้นสุดของเวลา โลกินั่งควบคุมเส้นเวลาทั้งหมดที่ตอนนี้แปรสภาพกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ ที่มีรูปทรงคล้ายกับต้นอิกดราซิล (Yggdrasil)
แม้เขาเองในเวลานี้จำต้องโดดเดี่ยวจากเพื่อนร่วมชะตากรรมของเขาไปตลอดกาล แต่การเสียสละของโลกิในการยืดทุกไทม์ไลน์จาก He Who Remains มาไว้ที่ตัวเองแบบเบ็ดเสร็จ ช่วยปกป้องรักษาทุกชีวิตในทุก ๆ เส้นเวลาเอาไว้นับไม่ถ้วน รวมทั้งยังปกป้อง TVA ที่ตอนนี้เปลี่ยนเป้าประสงค์จากการกำจัดผู้ที่ทำให้เกิดการแตกแขนงของเส้นเวลา (Nexus Event) เป็นการเฝ้าระวังตัวแปรของ แคงผู้พิชิต (Kang the Conqueror) ในเส้นเวลาต่าง ๆ แทน
ตำนานต้นอิกดราซิล
ต้นอิกดราซิล (Yggdrasil) เป็นต้นไม้ในตำนานตามเรื่องราวของเทพปกรณัมนอร์ส (Norse) เป็นตำนานเก่าแก่ที่ถูกเล่าไว้ในบทกวีที่เรียบเรียงขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 13 กล่าวถึงต้นไม้แห่งชีวิต ที่มีมีลักษณะเป็นต้นแอช (Ash) สีเทาซีด แต่เขียวชอุ่มอยู่ตลอด คอยโอบอุ้มโลกทั้ง 9 เอาไว้อยู่ที่จุดแกนกลางของสวรรค์ได้แก่ โลกมนุษย์ หรือ มิดการ์ด (Midgard) โลกของยักษ์, โลกของคนแคระ, โลกของเอลฟ์
นอกจากนี้ยังมีรากที่แตกกิ่งก้านออกเป็น 3 รากและหยั่งลึกลงไปยังเบื้องล่าง เป็นตัวเชื่อมโยงเรื่องราวของเทพ ยักษ์ และมนุษย์เข้าด้วยกัน เช่น โยทันไฮล์ม (Jotanheim) ดินแดนแห่งยักษ์, นิฟล์ไฮล์ม (Niflheim) ดินแดนแห่งหมอกและน้ำแข็ง และแอสการ์ด (Asgard) ดินแดนแห่งเทพเจ้าที่มี โอดิน (Odin) ปกครองอยู่ และยังมี เฮลไฮม์ (Helheim) ดินแดนใต้พิภพที่เป็นอาณาจักรแห่งความตาย
ต้นอิกดราซิลในตำนานนอร์สโบราณ ทำหน้าที่เป็นแก่นกลางที่เชื่อมโยงอาณาจักรและชีวิตทั้งมวลอาศัยอยู่ในดินแดนต่าง ๆ เป็นตัวเชื่อมเรื่องราวของเทพ ยักษ์ และมนุษย์เข้าด้วยกัน เป็นจุดกำเนิดแห่งธาตุ และพลังที่ทำหน้าที่รักษาสมดุลของโลกเอาไว้ เป็นสถานที่บ่อเกิดแห่งปัญญา และยังเป็นสัญลักษณ์ของวัฏจักรแห่งชีวิต การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของสรรพสิ่งทั้งมวล
อิกดราซิล คืออุปมาอุปไมยที่สื่อไปถึงรากเหง้าของโลกิ
การที่โลกิตัดสินใจเข้าควบคุมเส้นเวลาของตัวเอง ณ จุดสิ้นสุดของเวลา ด้วยการรวมเส้นเวลาทั้งหมดและห่อหุ้มตัวเองเอาไว้จนมีรูปร่างดั่งต้นอิกดราซิล นอกจากจะเป็นการย้อนไปสู่รากเหง้าของแอสการ์ดที่เขาเติบโตมา ยังเป็นการสะท้อนตัวตนและเจตนาข้างในลึก ๆ ของโลกิ ที่ครั้งหนึ่งเขาถูกลิขิตให้เป็นเทพจอมเจ้าเล่ห์ที่ต้องพบกับความพ่ายแพ้ ขาดมิตรภาพที่แท้จริงมาตลอด หรือแม้แต่ตัวแปรของเขาที่มาอยู่ใน TVA ก็ยังค้นพบว่า แม้จะย้อนกลับไปแก้ไขเหตุการณ์อีกกี่ร้อยกี่พันครั้ง เหตุการณ์ก็จะยังคงเป็นแบบเดิมตลอดไป
นั้นจึงทำให้โลกิ ที่บัดนี้ได้พบกับมิตรภาพและเจตจำนงเสรีของเขาเอง ที่ต้องการจะรักษา TVA และรักษามิตรภาพที่เขา (ในไทม์ไลน์นี้) ได้มีโอกาสมีไม่ให้สูญเสียไปจากการระเบิดของเส้นเวลา ทำให้เขาตัดสินใจเลือกเส้นทางที่ยากลำบาก เช่นเดียวกับมอร์เบียสที่เลือกไม่สังหารเด็กน้อยคนนั้น เพื่อหวังจะไต่เต้าขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งสูง ๆ แบบเดียวกับผู้พิพากษา ราวอนนา เรนสเลเยอร์
โลกิ เทพแห่งการหลอกลวง ได้เลือกเส้นทางที่ยากลำบาก เพื่อปกป้องทุกคน ด้วยการยอมเสียสละตนเองในการฝืนชะตากรรม ทำหน้าที่เป็น God of Story เขียนเรื่องราวของตนเองใหม่ ด้วยการยืดทุกไทม์ไลน์มาไว้ที่ตัวเองเพื่อทำลายลูปเวลาของ He Who Remains
การเสียสละของเขาไม่ต่างอะไรที่เขาตัดสินใจเลือกลิขิตอันทรงเกียรติ ด้วยการเสียสละปกป้องธอร์ จนตัวเองถูกสังหารไปใน ‘Avengers: Infinity War’ (2018) เพื่อรักษาชีวิตและเจตจำนงเสรีของทุก ๆ ชีวิตในทุก ๆ เส้นเวลา และเปลี่ยนชะตากรรมของเรื่องราวให้ต่างไปจากเดิม แม้จากนี้ เขาจะต้องอยู่ภายในต้นอิกดราซิลแห่งมัลติเวิร์สอย่างโดดเดี่ยวไปตลอดกาลก็ตาม
จาก https://www.beartai.com/lifestyle/1328636
https://www.youtube.com/v//Bn3j_Hs_iSY
เด๋วมา อัพเดทต่อ รอหน่อย
ด้วยพลังของ The God Of Stories ที่ยอมอยู่อย่างโดดเดี่ยว เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้ชีวิตด้วย ‘เจตจำนงเสรี’ ต่อไป
[สปอยล์] เฉลยปมซีรีส์ ‘Loki’ ซีซัน 2 ตอนสุดท้าย ทำไมโลกิต้องรวบเส้นเวลาเป็นต้นไม้อิกดราซิล ?
ตอนสุดท้ายในซีซันที่ 2 ของซีรีส์ ‘Loki’ เรียกได้ว่าเป็นตอนสุดท้ายที่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่มีทั้งสมการรอคอย และใจหายอยู่ไม่น้อย เพราะเป็นตอนที่ทำให้เราได้เห็นเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นจากทั้ง 12 ตอนได้มาบรรจบกันด้วยบทสรุปที่ยิ่งใหญ่ การเปลี่ยนตัวเองกลายเป็นเทพแห่งเรื่องราว (God of Story) ผู้ควบคุมเส้นเวลาทั้งมวลเอาไว้ด้วยตัวเอง
บทสุดท้ายของเรื่องราว จึงเป็นเหมือนกึ่ง ๆ บทสรุปของเรื่องราวต่าง ๆ ของโลกิที่เกิดขึ้นใน MCU ที่ผ่านมาในอดีตถึงความต้องการใน ‘ลิขิตอันทรงเกียรติ’ หรือ ‘Glorious Purpose’ ของเขา ในการปลดแอกจากการควบคุมเส้นเวลาศักดิ์สิทธิ์ของ ชายผู้คงอยู่ (He Who Remains) เสียสละเพื่อปกป้องสรรพชีวิตในทุก ๆ มัลติเวิร์ส มอบเจตจำนงเสรี (Free Will) ให้กับเหล่าพนักงานและเจ้าหน้าที่ของสำนักงาน TVA (Time Variance Authority)
เกิดอะไรขึ้นในตอนสุดท้าย
ในตอนสุดท้ายของซีรีส์ ‘ลิขิตอันทรงเกียรติ’ หลังจากที่โลกิเผชิญกับเหตุการณ์ที่เครื่องทอเวลา (Temporal Loom) ไม่สามารถรับกำลังการถักทอเส้นเวลาที่เพิ่มขึ้นได้อีกต่อไป จนทำให้ทุก ๆ เส้นเวลาระเบิด TVA ล่มสลาย โลกิเผชิญกับอาการเวลาไถล (Time Slipping) ทำให้ตัวเขาย้อนกลับไปยังอดีต และค้นพบตัวแปรของพนักงาน TVA เขาพยายามค้นหาวิธีป้องกันไม่ให้เส้นเวลาสูญสลาย แต่ไม่ได้ผล แต่สิ่งที่เขาได้ค้นพบก็คือ เวลานี้เขาค้นพบวิธีการควบคุมเวลาไถลได้แล้ว
โลกิย้อนกลับมาเหตุการณ์ตอนซ่อมเครื่องทอ ช่วงเวลาก่อนเกิดเหตุระเบิดอีกครั้ง เขาจึงคิดใช้การไถลเวลาเพื่อย้อนกลับไปยังอดีต เพื่อแก้ไขไม่ให้เหตุการณ์ซ้ำรอย แต่ไม่ว่าจะพยายามขนาดไหน หรือใช้เวลาย้อนกลับไปเรียนรู้วิชาฟิสิกส์อีกกี่ร้อยปี TVA ก็ยังจะคงล่มสลายเช่นเดิม เพราะเส้นเวลาได้ขยายตัวเพิ่มอีกเป็นทวีคูณ
โลกิได้ย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ที่ซิลวีสังหาร He Who Remains เขาได้พยายามจะยับยั้งเหตุการณ์ไม่ให้ซิลวีลงมือ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร He Who Remains ก็ต้องตายอยู่ดี แต่เขาก็ได้รู้ความจริงว่า หากจะเปลี่ยนเหตุการณ์ไม่ให้เกิดขึ้นแบบวนซ้ำอีก สิ่งที่เขาต้องทำคือการสังหารซิลวีลง นอกจากนี้เขายังได้รู้ว่า การที่เครื่องทอระเบิด ก็เพื่อทำลายเฉพาะเส้นเวลาแตกแขนง (Branched Timeline) เพื่อปกป้องเส้นเวลาศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Timeline) เอาไว้ เพื่อให้เหตุการณ์ยังคงวนลูปต่อไป
โลกิไถลเวลาย้อนกลับไปในเหตุการณ์ที่เขาคุยกับมอร์เบียสครั้งแรก ทำให้เขาเริ่มตระหนักถึงลิขิตอันทรงเกียรติ และการเลือกเส้นทางที่ยากเพื่อหลีกหนีจากลูปที่ He Who Remains สร้างเอาไว้ โลกิย้อนกลับไปช่วงก่อนเหตุการณ์ระเบิด ก่อนจะตัดสินใจระเบิดกระสวยเครื่องทอเวลา จนทำให้เส้นเวลาทั้งหมดเฉาตาย โลกิใช้เวทมนตร์ของตัวเองในการฟื้นชีวิตของเส้นเวลา เก็บรวมเอาไว้ และขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ ณ จุดสิ้นสุดของเวลา โลกินั่งควบคุมเส้นเวลาทั้งหมดที่ตอนนี้แปรสภาพกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ ที่มีรูปทรงคล้ายกับต้นอิกดราซิล (Yggdrasil)
แม้เขาเองในเวลานี้จำต้องโดดเดี่ยวจากเพื่อนร่วมชะตากรรมของเขาไปตลอดกาล แต่การเสียสละของโลกิในการยืดทุกไทม์ไลน์จาก He Who Remains มาไว้ที่ตัวเองแบบเบ็ดเสร็จ ช่วยปกป้องรักษาทุกชีวิตในทุก ๆ เส้นเวลาเอาไว้นับไม่ถ้วน รวมทั้งยังปกป้อง TVA ที่ตอนนี้เปลี่ยนเป้าประสงค์จากการกำจัดผู้ที่ทำให้เกิดการแตกแขนงของเส้นเวลา (Nexus Event) เป็นการเฝ้าระวังตัวแปรของ แคงผู้พิชิต (Kang the Conqueror) ในเส้นเวลาต่าง ๆ แทน
ตำนานต้นอิกดราซิล
ต้นอิกดราซิล (Yggdrasil) เป็นต้นไม้ในตำนานตามเรื่องราวของเทพปกรณัมนอร์ส (Norse) เป็นตำนานเก่าแก่ที่ถูกเล่าไว้ในบทกวีที่เรียบเรียงขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 13 กล่าวถึงต้นไม้แห่งชีวิต ที่มีมีลักษณะเป็นต้นแอช (Ash) สีเทาซีด แต่เขียวชอุ่มอยู่ตลอด คอยโอบอุ้มโลกทั้ง 9 เอาไว้อยู่ที่จุดแกนกลางของสวรรค์ได้แก่ โลกมนุษย์ หรือ มิดการ์ด (Midgard) โลกของยักษ์, โลกของคนแคระ, โลกของเอลฟ์
นอกจากนี้ยังมีรากที่แตกกิ่งก้านออกเป็น 3 รากและหยั่งลึกลงไปยังเบื้องล่าง เป็นตัวเชื่อมโยงเรื่องราวของเทพ ยักษ์ และมนุษย์เข้าด้วยกัน เช่น โยทันไฮล์ม (Jotanheim) ดินแดนแห่งยักษ์, นิฟล์ไฮล์ม (Niflheim) ดินแดนแห่งหมอกและน้ำแข็ง และแอสการ์ด (Asgard) ดินแดนแห่งเทพเจ้าที่มี โอดิน (Odin) ปกครองอยู่ และยังมี เฮลไฮม์ (Helheim) ดินแดนใต้พิภพที่เป็นอาณาจักรแห่งความตาย
ต้นอิกดราซิลในตำนานนอร์สโบราณ ทำหน้าที่เป็นแก่นกลางที่เชื่อมโยงอาณาจักรและชีวิตทั้งมวลอาศัยอยู่ในดินแดนต่าง ๆ เป็นตัวเชื่อมเรื่องราวของเทพ ยักษ์ และมนุษย์เข้าด้วยกัน เป็นจุดกำเนิดแห่งธาตุ และพลังที่ทำหน้าที่รักษาสมดุลของโลกเอาไว้ เป็นสถานที่บ่อเกิดแห่งปัญญา และยังเป็นสัญลักษณ์ของวัฏจักรแห่งชีวิต การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของสรรพสิ่งทั้งมวล
อิกดราซิล คืออุปมาอุปไมยที่สื่อไปถึงรากเหง้าของโลกิ
การที่โลกิตัดสินใจเข้าควบคุมเส้นเวลาของตัวเอง ณ จุดสิ้นสุดของเวลา ด้วยการรวมเส้นเวลาทั้งหมดและห่อหุ้มตัวเองเอาไว้จนมีรูปร่างดั่งต้นอิกดราซิล นอกจากจะเป็นการย้อนไปสู่รากเหง้าของแอสการ์ดที่เขาเติบโตมา ยังเป็นการสะท้อนตัวตนและเจตนาข้างในลึก ๆ ของโลกิ ที่ครั้งหนึ่งเขาถูกลิขิตให้เป็นเทพจอมเจ้าเล่ห์ที่ต้องพบกับความพ่ายแพ้ ขาดมิตรภาพที่แท้จริงมาตลอด หรือแม้แต่ตัวแปรของเขาที่มาอยู่ใน TVA ก็ยังค้นพบว่า แม้จะย้อนกลับไปแก้ไขเหตุการณ์อีกกี่ร้อยกี่พันครั้ง เหตุการณ์ก็จะยังคงเป็นแบบเดิมตลอดไป
นั้นจึงทำให้โลกิ ที่บัดนี้ได้พบกับมิตรภาพและเจตจำนงเสรีของเขาเอง ที่ต้องการจะรักษา TVA และรักษามิตรภาพที่เขา (ในไทม์ไลน์นี้) ได้มีโอกาสมีไม่ให้สูญเสียไปจากการระเบิดของเส้นเวลา ทำให้เขาตัดสินใจเลือกเส้นทางที่ยากลำบาก เช่นเดียวกับมอร์เบียสที่เลือกไม่สังหารเด็กน้อยคนนั้น เพื่อหวังจะไต่เต้าขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งสูง ๆ แบบเดียวกับผู้พิพากษา ราวอนนา เรนสเลเยอร์
โลกิ เทพแห่งการหลอกลวง ได้เลือกเส้นทางที่ยากลำบาก เพื่อปกป้องทุกคน ด้วยการยอมเสียสละตนเองในการฝืนชะตากรรม ทำหน้าที่เป็น God of Story เขียนเรื่องราวของตนเองใหม่ ด้วยการยืดทุกไทม์ไลน์มาไว้ที่ตัวเองเพื่อทำลายลูปเวลาของ He Who Remains
การเสียสละของเขาไม่ต่างอะไรที่เขาตัดสินใจเลือกลิขิตอันทรงเกียรติ ด้วยการเสียสละปกป้องธอร์ จนตัวเองถูกสังหารไปใน ‘Avengers: Infinity War’ (2018) เพื่อรักษาชีวิตและเจตจำนงเสรีของทุก ๆ ชีวิตในทุก ๆ เส้นเวลา และเปลี่ยนชะตากรรมของเรื่องราวให้ต่างไปจากเดิม แม้จากนี้ เขาจะต้องอยู่ภายในต้นอิกดราซิลแห่งมัลติเวิร์สอย่างโดดเดี่ยวไปตลอดกาลก็ตาม
จาก https://www.beartai.com/lifestyle/1328636
เด๋วมา อัพเดทต่อ รอหน่อย