ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: ธันวาคม 21, 2023, 07:54:33 am »เราทุกคนล้วนมีร้านเวทมนตร์อยู่ในใจ(Into The Magic Shop)
เนื้อหาเป็น เป็นเรื่องเล่าประวัติของประสาทศัลยแพทย์คนหนึ่งที่เกิดในครอบครัวยากจนและมีปัญหาความรุนแรงในครอบครัว แต่ประสบความสำเร็จจากกลของร้านขายของเวทมนตร์
เล่มนี้คล้ายเล่ม TheSecret ที่บอกให้เชื่อแล้วเราจะได้ทุกอย่าง คล้ายกับกฎแรงดึงดูด แต่ละเอียดกว่าและเป็นเรื่องจริง ได้เรียนรู้ไปกับตัวละครในเรื่องที่นอกเหนือจากกฎนี้
ความคิดเห็นส่วนตัว ชอบเล่มนี้ ดีมากเลย แค่บทนำก็ดีมาก เข้าไปอยู่ในลิสหนังสือที่ชอบแล้ว เป็นเล่มที่อ่านแล้วน้ำตาซึมตลอดเล่ม เขียนดี เล่มนี้บุคลากรทางกายแพทย์น่าอ่านมาก มันสะท้อนคิดเรื่องของตัวเราเอง จากคนที่มีประสบการณ์มากกว่า แต่มาจากคนที่born to be หมอ นะ ไม่ใช่จากคนที่เรียนๆไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีเป็นแล้ว
อ่านจบ
-อยากอ่านวิธีผูกมิตรและจูงใจคนเลย ของแดล คาร์เนกี้ เพราะจิม(ตัวละครในเล่ม)ก็อ่านเหมือนกัน
-คิดว่า บางทีเราอาจจะเปลี่ยนศาสนาเพราะเล่มนี้ ศาสนา แห่งความเอื้ออารี ทำให้อยากอ่านเล่มของที่องค์ไทลามะเขียน คือเล่มข้ามพ้นศาสนา เป็นเล่มที่Ray Dalio แนะนำมีแปลไทยแล้วเตรียมอ่านต่อ และทำให้อยากอ่านเล่มแค่รู้วิธีให้คนรับได้เท่าไรคนให้ได้มากกว่า
-เล่มนี้ทำให้เรายิ่งชอบชีวิตตอนนี้ อาชีพตอนนี้มากขึ้นมากนะ รู้สึกว่าเราโชคดีในหลายๆอย่าง ถึงจะไม่เคยมีเป้าหมายอะไรตั้งแต่เด็ก แต่เหมือนมาอยู่ในที่ทางที่ถูกต้องแล้ว ทำไมเมื่อก่อนไม่คิดยังงี้ไม่รู้นะ
https://t.co/vJT45jf51t
ไปเจอลิ้งค์นี้เขียนรีวิวโดยบังเอิญ เขียนดีมาก เป็นประสบการณ์คนที่มีปัญหาเรื่องอารมณ์จนไปพบจิตแพทย์แล้วก็เชื่อมโยงกับเล่มนี้
NOTE: ข้อความที่ชอบ//สิ่งที่คิด
-สมองคือเครื่องจักรที่ยิ่งใหญ่ แต่หากปราศจากหัวใจ มันก็คือก้อนซับซ้อนที่พร้อมจะพาเราหลงทาง
-ผมจะเรียกมันว่าหน้ากากยอดมนุษย์และห้องสว่างเพื่อไม่ให้เขารู้สึกกลัวเกินไป//ประโยคนี้นึกถึงpapoose board เรามักจะเรียกมันว่าผ้าห่มกับเด็กๆ หมอผ่าตัดสมองก็มีคำเรียกของเขาเหมือนกันนะ
-ผมยังจำได้ถึงครั้งแรกในห้องผ่าตัดในฐานะผู้ช่วยของศัลยแพทย์ชื่อดังคนหนึ่ง ผู้ที่แม้มีความสามารถปราดเปรื่องแต่ก้าวร้าวและเจ้าอารมณ์มากๆเวลาผ่าตัด//คุ้นๆนะ พูดถึงตอนนี้เรากลับนึกถึงตอนเรียนของภาควิชาหนึ่ง
-ทีมที่ดีทำให้เกิดจังหวะและความลื่นไหลอย่างยอดเยี่ยม//จริงมาก นึกถึงผู้ช่วยเลย นึกถึงตอนผ่าตัด แค่ผ่าเล็กๆน้อยๆเรายังหงุดหงิดเลยถ้าเป็นผู้ช่วยหัดใหม่ จนต้องบอกว่าให้เปลี่ยนคน สลับผู้ช่วยจากเตียงอื่น
-เธอจะทำอะไรก็ได้ที่ต้องการ.. แค่ฝึกฝน..เธอแค่ยังไม่รู้จักมัน // สะดุดกับคำพวกนี้
-ผมมักได้ยินผู้ป่วยหลายคนกล่าวถึงความเจ็บปวดที่รู้สึกโดยเฉพาะตอนกลางคืน ไม่ใช่ว่าความเจ็บปวดมีมากขึ้นตอนกลางคืน แต่เพราะตอนกลางคืนไม่มีสิ่งรบกวนใจ เมื่อจิตใจสงบลง ความเจ็บปวดที่มีอยู่ทั้งวันก็ดูชัดเจนขึ้น
-ตอนที่หัวใจของเราบาดเจ็บ มันจะเปิดออกและเราจะโตขึ้นจากการบาดเจ็บนั้น
-ในชีวิตทุกๆคน เราเลือกได้ว่าอะไรยอมรับได้ ตอนเป็นเด็ก เราไม่ได้มีทางเลือกมาก เราเกิดในครอบครัวและสถานการณ์ที่เหนือความควบคุม แต่เมื่อเราโตขึ้น เราเลือกได้
-อย่าดูถูกตัวเองเกินไป //??
-เพียงเพราะบางอย่างหักพังไม่ได้หมายความว่ามันพังไปทั้งหมด.. ทุกอย่างไม่ได้เลวร้ายเพียงเพราะบางอย่างเลวร้าย ผมไม่จำเป็นต้องร้ายไปด้วย
-การได้เห็นพ่อแม่มีความสุขทำให้ผมรู้ว่าตะกร้าเหล่านี้มีค่าเพียงใดกับอีกหลายคน..ไม่บ่อยนักที่จะได้อยู่ทั้งสองฝั่งของการให้หรือความเอื้อเฟื้อ.. ผมได้เรียนรู้ความสุขจากการให้และการรับ.. การรู้จักทั้งสองด้านนี้เองช่วยส่องทางชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของผม //คือต้องมีทั้งสองด้านสินะ ให้และรับให้เป็น ไม่ใช่ให้อย่างเดียว คือเจอจากไหนมาก่อนหน้านี้แล้วนะที่สอนเกี่ยวกับอันนี้
-เส้นทางของพวกเรานั้นไม่ได้มีแต่การเดินทางภายใน แต่ยังมีการเดินทางภายนอกและการเชื่อมโยงกับคนอื่นๆด้วย
-อาการที่รู้สึกโดดเดี่ยว กังวล และซึมเศร้าแพร่หลายเพิ่มขึ้นในโลกโดยเฉพาะฝั่งตะวันตก เพราะจิตวิญญาณและการเชื่อมโยงกันระหว่างผู้คนนั้นถดถอยไป
-เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการการติดต่อทางสังคม เราพัฒนามาเพื่อทำงานร่วมกันและติดต่อประสานกับคนอื่น และเมื่อสิ่งเหล่านี้ขาดหายไปก็ทำให้เราป่วย
-บ่อยครั้งที่เราตัดสินใครบางคนด้วยลักษณะท่าทาง การพูด หรือความประพฤติ และการตัดสินเหล่านั้นส่วนมากเป็นทางลบและผิดไปจากความจริง เราต้องมองผู้อื่นแล้วคิดว่า เขาก็เหมือนเรา เขาก็ต้องการสิ่งที่เราต้องการ คืออยากมีความสุข
-ในเวลาที่รู้สึกดีเรามักมีแนวโน้มที่จะพยายามเก็บรักษาและยึดติดกับความปิติยินดีเกินไป จนดึงเราไปจากชั่วขณะที่เราอยู่ปัจจุบัน เช่นเดียวกันกับการวิ่งหนีความรู้สึกไม่ดี.. อารมณ์ที่ขึ้นและลงนั้นล้วนแต่เกิดชั่วคราว
-การให้อภัย เป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งที่เราจะให้ผู้อื่นได้และเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราให้ตัวเองได้เช่นกัน
-ความจริงแล้วพวกเราทุกคนเคยทำผิดกับคนอื่นทั้งสิ้น เราต่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่เปราะบาง พร้อมจะผิดพลาด ที่หลายครั้งในชีวิตไม่สามารถไปถึงความสมบูรณ์ที่เราหวังไว้ และหลงทำร้ายหรือทำให้คนอื่นต้องเจ็บ
-ความซาบซึ้งใจ คือการรู้สึกขอบคุณชีวิตที่เป็นอยู่ แม้จะมีความเจ็บปวดและทุกข์.. บ่อยครั้ง.. เรามองดูกันและกันอย่างอิจฉาริษยาการรู้สึกซาบซึ้งใจแค่ช่วงเวลาสั้นๆก็มีผลอย่างมากต่อเจตคติในใจ คุณจะรู้สึกทันทีว่าคุณโชคดีแค่ไหนแล้ว
-ความเอื้ออารี คือ ความห่วงใยผู้อื่น เป็นเหมือนภาคการแสดงออกของความเมตตา.. การแสดงความเอื้ออารีจะกระเพื่อมวงออกไปส่งผลให้เพื่อนและคนที่อยู่รอบตัวคุณมีความเอื้ออารีมากขึ้น เป็นเหมือนโรคติดต่อทางสังคมที่ทำให้สังคมดีขึ้น และในที่สุดความอารีนั้นก็จะกลับมาถึงเราในรูปของความรู้สึกดีข้างในใจและในรูปของสิ่งที่คนอื่นทำต่อเราด้้วยความเอื้ออารี//อันนี้คิดว่าจริงนะ
-ผมเริ่มปล่อยวางเรื่องราวที่นิยามความหมายชีวิตผม ผมได้สร้างตัวตนขึ้นมาจากความยากจน แต่ตราบใดที่ผมยังแบกตัวตนนั้นไว้ ไม่ว่าผมมีเงินทองมากมายเพียงใด ผมจะยังจมปลักอยู่ในความยากจน
-ผมเปิดหัวใจให้แม่และพ่อ และผมก็รู้สึกว่าผมให้อภัยพวกเขา ผมเปิดหัวใจของผมให้เด็กที่ผมเคยเป็น และพบความเมตตา ผมเปิดหัวใจของผมให้ความผิดพลาดทั้งหมดที่ผมเคยทำและให้หนทางโง่ๆที่ผมพยายามจะพิสูจน์คุณค่าของผมในโลกใบนี้และได้พบกับความถ่อมตน.. เมื่อทำเช่นนั้นแล้ว ผมก็รู้ว่าผมไม่ใช่คนเดียวในโลกที่รู้จักโดดเดี่ยว รู้สึกทิ้งขว้าง หรือแตกต่างจากคนอื่น ผมเปิดหัวใจและพบว่าหัวใจของผมมีความสามารถที่จะเชื่อมโยงกับหัวใจดวงอื่นๆที่ได้พบ//แบบนี้นี่เองที่เค้าบอกว่าเชื่อมโยงกับผู้คนในหน้าก่อนหน้า
-การศึกษาหลายครั้งแสดงว่าเมื่อผู้ป่วยได้ฟังดนตรีก่อนผ่าตัด ผลคือผู้ป่วยกังวลน้อยลง ต้องการยาลดปวด และยาสลบลดลง ดนตรีส่งผลเช่นเดียสกับยาที่ช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ ลดความเครียด และควาทดันโลหิต ให้ผลด้านความสงบทั้งกับผู้แ่วยและศัลยแพทย์เอง // ไปค่ะเปิดเพลงไประหว่างทำ ก่อนนี้เคยเปิด ก็รู้สึกอารมณ์ดีตอนทำนะ รู้สึกอยากทำงานมากขึ้น ตอนเบื่อๆ เช่น ตอนทำโอที
-แย่หน่อยที่ประสาทศัลยแพทย์บางคนอธิบายอาการที่ร้ายแรงที่สุดอย่างทื่อๆตรงไปตรงมาด้วยข้อเท็จจริง บอกวิธีการรักษาและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่ได้เข้าใจเลยว่า แม้นี่จะเป็นงานปกติประจำวันของแพทย์อย่างเรา แต่การรักษานั้นมักจะเป็นเรื่ิองใหญ่มากในชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัวของพวกเขา.. เธอจึงกลับมาด้วยความหวาดกลัว ด้วยความรู้สึกเหมือนตนเองไม่ใช่คน แต่เป็นโรค ??// เราคนนึงเหมืิอนจะไม่ค่อยได้มองในมุมนี้เลย หรือบางทีก็ลืมไป
-ผมรู้เสมอว่าการใช้เวลากับผู้ป่วยเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นแพทย์ สุดท้ายแล้วพวกเราอยู่กับคนจริงๆที่มีความกังวลและความกลัวจริงๆ ผู้ป่วยไม่ใช่เครื่องจักรที่ทำงานผิดปกติ และศัลยแพทย์ไม่ใช่ช่างเครื่อง
-การที่คนไข้มั่นใจในความสามารถของคุณนั้นเป็นเรื่องวิเศษ แต่มันต่างไปถ้าเขาหรือเธอเป็นเพื่อนด้วย
-เป็นเรื่องอันตรายมากสำหรับศัลยแพทย์ที่จะคิดถึงความเป็นมนุษย์ของผู้ป่วยระหว่างผ่าตัด งานนี้ต้องเป็นเรื่องทางเทคนิคล้วนๆ คุณจำเป็นต้องมองคนเหมือนว่าเขาเป็นวัตถุชิ้นหนึ่ง หากคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเพื่อนมนุษย์คนนี้ คุณจะผ่าตัดต่อไม่ได้ //ฉุกคิดขึ้นมาว่า เวลาทำเคสคนใกล้ตัวชอบมีอะไร เพราะแบบนี้รึเปล่า หรือนี่เป็นคนเดียวนะ
-เราทุกคนมีพรสวรรค์และความสามารถที่จะเชื่อมโยงถึงผู้อื่น ไม่ว่าจะผ่านดนตรี ศิลปะ บทกวี หรือเพียงฟังซึ่งกันและกัน มีวิธีการหลายล้านวิธีที่หัวใจจะพูดคุยกัน
-//เล่มนี้มีบอกที่มาของพิธีมอบเสื้อกาวน์นิดหน่อย แต่พึ่งรู้เลย มันเริ่มจากประเพณีท่องคำปฏิญาณว่าจะรักษามาตรฐานทางจริยธรรมอย่างสูงสุด จากสำนวนละติน Primum non nocere แปลว่าเหนือสิ่งอื่นใด ห้ามทำให้เกิดอันตราย ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของการแพทย์
-//เล่มนี้ทำให้คิดได้ว่า อย่าดูถูกเพื่อนที่เรียนไม่เก่ง เหมือนกับคนเขียนหนังสือเล่มนี้ ที่สุดท้ายก็ประสบความสำเร็จในชีวิต เป็นอาจารย์ ทุกคนเรียนรู้ได้ และบางทีมันมาจากโอกาสด้วยเหมือนเล่มoutlierบอก และเล่มนี้บอก
-การเชื่อมโยงจุดต่างๆในชีวิตทำได้ง่ายเมื่อมองย้อนหลัง แต่จะยากกว่ามากที่จะเชื่อว่าจุดเหล่านี้จะเชื่อมกันเป็นภาพอันสวยงามขณะที่ชีวิตพัวพันอยู่ในความยุ่งเหยิง
-การให้ความรักเป็นไปได้เสมอ รอยยิ้มให้กับคนแปลกหน้าอาจเป็นของขวัญได้ ทุกขณะของการไม่ตัดสินมนุษย์คนอื่นเป็นของขวัญ ทุกขณะของการให้อภัยตัวเองและคนอื่นเป็นของขวัญการแสดงออกซึ่งความเมตตา
-ความตั้งใจที่จะทำเพื่อผู้อื่นทุกครั้งเป็นของขวัญให้กับโลกและตัวคุณเอง
-การหยิบยื่นให้คนอื่น.. กระตุ้นศูนย์ความพึงพอใจและให้รางวัลในสมองยิ่งกว่าเวลาเราเป็นผู้รับ และเมื่อเราเห็นคนทำสิ่งที่เอื้ออารีหรือช่วยเหลือผู้อื่น ผลคือเราจะยิ่งแสดงความเมตตากรุณามากขึ้น //นี่เองคือเหตุผลเวลาบริจาคจะรู้สึกดีแต่ไม่รู้จะมากกว่าการรับแบบที่เค้าทดลองไหม แต่ข้อความที่สองคิดว่าจริงนะเช่นเวลาเห็นใครบริจาคเราก็อยากจะทำด้วย อย่างงี้ใครทำดีช่วยเหลือคนอื่นก็ควรแชร์อ่ะ มันจะได้สร้างสิ่งดีๆต่อๆไปได้ในสังคม เหมือนเป็นโรคติดต่อ
-ผมตระหนักว่าผมตั้งใจพูดประโยคในช่วงท้ายนี้มากจนไม่สามารถสนใจผู้ฟังเมื่อพูดจบผมเห็นหลายคนร้องไห้//me too ?? เล่มนี้นี่น้ำตาคลอหลายรอบไม่ได้เศร้านะ แต่มันตื้นตันแปลกๆ
-เราอยู่ในช่วงเริ่มต้นของยุคความเมตตา ผู้คนเรียกร้องหาความเข้าใจที่ยืนของตนในโลก และหนทางที่จะมีความสุข
จาก https://medium.com/@preawampanmaipetra
https://www.youtube.com/live/2040dHr4lNo?si=vYHx_NDn9j5slQHd
https://youtu.be/UN27v3NSz5Q?si=b_TVNq_dPj08cDkn
https://youtu.be/wUPB0N_LUSQ?si=xt3w_1xXv9HRqbD