ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: มกราคม 03, 2024, 11:00:32 pm »Frieren คำอธิษฐานในวันที่จากลา กับการตามหาความหมายของชีวิต
ชีวิตจะยังมีความหมายอยู่ไหม ถ้าเราไม่มีวันตาย?
การมีชีวิตอยู่อย่างยืนยาวดูจะเป็นภารกิจที่มนุษย์เราเสาะแสวงหา เราพยายามยืดชีวิตของเราออกไปให้ยาวนานมากที่สุดด้วยวิทยาการทางการแพทย์ ไปจนถึงความเชื่ออย่างยาอายุวัฒนะ การได้พรพิเศษต่างๆ ที่ทำให้มนุษย์ก้าวข้ามข้อจำกัดสำคัญของเผ่าพันธุ์ไปให้ได้อย่างศัตรูตามธรรมชาติของเรานั่นคือ ความตาย
ทว่าถ้าเรามองลงไปอย่างลึกซึ้งในนามของมนุษย์ เช่นคำว่า Mortal ลักษณะสำคัญของเราคือการเป็นสิ่งมีชีวิตที่ตายได้ เพราะเรามีชีวิต เราจึงตาย ในหลายตำนานจึงมักพูดถึงการที่มนุษย์ก้าวข้ามเส้นเขตแดนของความตาย ไปสู่การเป็นอมตะ ในนวนิยาย เรื่องเล่า และตำนานมากมายทำให้มองเห็นว่า ความไม่ตายนั้นอาจเป็นพรหรือคำสาปก็ยังไม่แน่นัก
ยิ่งถ้าเรานึกคิดไปถึงว่า ชีวิตของเรามีความหมายอย่างไร ความหมายของการใช้ชีวิตหนึ่งๆ ของเรานั้น ส่วนหนึ่งมาจากการมองเส้นตรงของชีวิตที่มีเวลาอยู่อย่างจำกัด เราเกิดและตายภายในช่วงอายุขัยหนึ่ง จะ 70, 80 หรือ 100 ปี การตระหนักถึงปลายทางที่รอเราอยู่ก็อาจเป็นหลักคิดหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่า ชีวิตของเรานี้ ‘มีความหมาย’ เป็นความหมายที่ว่าสุดท้ายแล้วเราย่อมจะต้องสูญเสียมันเป็นการสิ้นสุดลง ซึ่งดูจะเป็นอีกเงื่อนไขสำคัญในการผลักดันการใช้ชีวิตของเรา
คำถามที่ฟังดูจริงจังและเป็นคำถามของมวลมนุษยชาติ เป็นส่วนสำคัญของอนิเมะที่กำลังฉายและเป็นกระแสน่าสนใจคือ Frieren คำอธิฐานในวันที่จากลา อนิเมะจากมังงะที่เรานิยามได้ว่า เป็นงานเขียนแนวแฟนตาซี แต่ความแฟนตาซีของเรื่องนี้กลับมีความน่าสนใจ คือเรื่องราวของฟรีเรน เอลฟ์จอมเวทผู้มีอายุยืนยาว โดยตัวเรื่องไม่ได้เล่าจากจุดเริ่มต้นแล้วค่อยๆ พาเราไปยังการผจญภัยต่อสู้ตามขนบแฟนตาซีทั่วไป แต่เรื่องนี้กลับพาเราไปจุดสิ้นสุดของการต่อสู้
การเริ่มต้นจากจุดสิ้นสุดและการเล่าเรื่องด้วยสายตาของเผ่าพันธุ์อื่น จึงนับเป็นอีกหนึ่งการใช้ประเภทงานเขียนแฟนตาซีได้อย่างน่าสนใจ เป็นงานเขียนที่พาเราไปยังโลกและตรรกะอื่นๆ ที่สุดท้ายแล้วในสายตาของอายุแสนยืนยาว ในความฝันของเราที่มีต่อเผ่าพันธุ์อื่นๆ อย่างเอลฟ์ ในการครุ่นคิดและนึกทบทวน ความสนุกของแฟนตาซีในที่นี้ จึงถูกนำมาให้ความหมายใหม่ เป็นความหมายที่พาเรากลับมาตั้งคำถามกับตัวเราเองในฐานะมนุษย์ได้อีกครั้ง
ในวันที่การเดินทางสิ้นสุด อีกช่วงเวลาของโลกแฟนตาซี
จริงๆ Frieren เป็นเรื่องแนวแฟนตาซีที่อาจจะเริ่มมาจากคำถามเรียบง่าย ซึ่งเป็นคำถามที่ไม่ค่อยมีงานเขียนหรือมังงะแฟนตาซีเรื่องไหนทำอย่างจริงจัง คือการเล่าอีกด้านของการเดินทาง เป็นจุดคล้ายกับเวลาที่เราเล่นเกมผจญภัยจบ เราอาจจะทำเควสย่อยหรืออ้อยอิ่งไปสักพัก แต่ถ้าเรื่องเล่าแฟนตาซีเป็นชีวิตจริงล่ะ ถ้าเราจบภารกิจของช่วงชีวิตในฐานะมนุษย์ เราก็คงแค่ใช้ชีวิตต่อไปจนตายลง และฝากเรื่องเล่าของเราเอาไว้เหมือนกับตัวละครมนุษย์อื่นๆ หน้าที่ของเราก็จบลงเท่านั้น ทว่าคำถามที่ง่ายแต่ซับซ้อนกว่านั้นคือ ถ้าเราไม่ใช่มนุษย์แล้วใช้ชีวิตต่อไป อะไรจะเป็นเป้าหมายและแรงจูงใจในการใช้ชีวิตของเรา
ถ้าเรามองย้อนวรรณกรรมประเภทแฟนตาซี แฟนตาซีถือเป็นหนึ่งเรื่องเล่าเก่าแก่ เกือบทั้งหมดพูดเรื่องการผจญภัยที่ชัยชนะ หรือความสงบสุขเป็นตอนจบของเรื่อง เราอ่านเรื่องราวการเดินทางไปทำลายแหวน อ่านการเติบโตของพ่อมดน้อยจนเรียนจบและเอาชนะเจ้าแห่งศาสตร์มืด และเก่ากว่านั้นอย่างตำนานเบวูล์ฟ ก็พูดเรื่องมหากาพย์การต่อสู้ กระทั่งเรื่องราวในมหากาพย์กรีกที่พูดถึงหลังสงครามกรุงทรอย ก็ไม่ได้พูดถึงในฐานะดินแดนอันสงบสุข ชีวิตหรือเรื่องเล่าของมนุษย์เรา คือการเดินทางและไขว่คว้าอะไรบางอย่าง และอันที่จริงหนึ่งในนั้นคือ สันติสุข
ถ้าเรามองเรื่องราวของ Frieren หากเรานิยามฟรีเรนเป็นวีรสตรี หรือตัวเอกอย่างฮีโร่ที่พาเราไปผจญภัยและประกอบวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ และยิ่งถ้าเราดูจากมุมมองของการเป็นมังงะแบบโชเน็นแล้ว ฟรีเรนเกือบจะเป็นตัวละครและงานแฟนตาซีแบบแอนตี้ฮีโร่ (Anti Hero) ได้เลย เพราะด้วยบริบทของการสิ้นสุด การต่อสู้ และความยิ่งใหญ่เป็นเรื่องที่ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว ฟรีเรนเองเป็นตัวเอกที่แทบจะตรงข้ามกับภาพพระเอกกระทั่งนางเอกในมังงะ เรื่องราวและตัวฟรีเรนเองดำเนินไปอย่างอ้อยอิ่ง ฟรีเรนไม่อินังขังขอบอะไรกับชีวิต ไม่ได้เป็นตัวละครที่โผงผายโวยวาย ซ้ำในช่วงการต่อสู้ วิธีการของเธอกลับใช้วิธีที่ถูกนิยามว่า ขี้ขลาด คือการควบคุมปริมาณพลัง ไปจนถึงการปกปิดตัวตนที่ใช้ชีวิตมาอย่างเนิ่นนาน
อีกมิติที่น่าสนใจคือ ตัวเรื่องฟรีเรนไม่ได้เล่าในฐานะผู้ที่กำลังเติบโตเหมือนกับเรื่องราววีรบุรุษโดยทั่วไป แต่เล่าในฐานะผู้ชี้แนะสั่งสอน แม้ลักษณะทั่วไปของฟรีเรนเองจะมีความแปลกประหลาดบ้าง ไม่ค่อยสมกับภาพความเป็นเอล์ฟที่ดูสูงส่ง หรือเข้าใจโลกอย่างสลับซับซ้อน แต่จริงๆ เงื่อนไขของฟรีเรนคล้ายการสำรวจความปรารถนาของมนุษย์เรา เช่นในเรื่องคลาสสิกอย่างเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เราเองก็มองว่าโลกของเอลฟ์เป็นโลกที่พึงปรารถนา อนิเมะเรื่องนี้เลยพาเราไปสำรวจความหมายของการมีอายุที่ยืนยาวอย่างแท้จริงไปเลย
ปลายทางของชีวิตและการเดินทางที่ไม่มีจุดหมายใหญ่
บรรยากาศที่น่าสนใจและน่าลุ้นมากของเรื่อง คือการเป็นแฟนตาซีที่มีจังหวะเนิบๆ เป็นเรื่องที่ไม่โผงผาง ไม่โชว์พลังการต่อสู้อะไรตั้งแต่ช่วงต้น ตัวเรื่องมีความโดดเด่นในความเนิบนาบของการใช้ชีวิต เป็นการใช้ชีวิตหลังการต่อสู้จบ ความเรื่อยๆ ของตัวเรื่อง จึงนับได้ว่าเป็นอนิเมะที่เลือกหยิบเอามิติทางความรู้สึกมาเล่าให้เรารู้สึกอยากติดตาม
ฟรีเรนจึงดูต่างจากเอลฟ์อย่างที่เราคาดหวัง นึกภาพว่าเวลาเราพูดถึงเอลฟ์ เรามักนึกถึงตัวละครที่เต็มไปด้วยความลึกลับ เป็นตัวละครที่เข้าใจโลก มองเห็นอดีต หยั่งรู้อนาคต ทว่าฟรีเรนเองกลับไม่เชิงว่าเป็นเช่นนั้น เพราะมีมุมมองต่อโลกจากการมีชีวิตยืนยาวโดยตลอดตั้งแต่ต้นของเรื่อง และจุดเด่นของเรื่องนี้คือการที่ฟรีเรนได้กลับไปสำรวจความหมายของชีวิต ผ่านการกลับไปเดินทางอีกครั้ง กลับไปยังรายทางที่ตัวเองเคยเดินและพิชิตมาแล้ว ในแง่นี้การหวนไปหาความทรงจำ จึงเป็นอีกกระบวนการเพื่อค้นหาความหมายของชีวิตที่สำคัญอย่างหนึ่ง
การเดินทางในครั้งนี้ของฟรีเรน จึงยังแตกต่างกับการเดินทางทั่วไปของโลกแฟนตาซี เป็นการเดินทางย้อนเส้นทางของตัวเอง และยังนับเป็นการเดินทางที่ไม่มีจุดหมายหลัก เราจะเห็นว่าการเดินทางของเธอและคณะเดินทางใหม่ เป็นการเดินทางที่มีรายทางเล็กๆ สุดแล้วแต่เรื่องราวและภารกิจย่อยๆ จะพาไป
ตรงนี้เองทั้งในมิติการเรียนรู้ความหมายของชีวิตผ่านความทรงจำ และการเดินทางหรือการใช้ชีวิตที่บางครั้งเราเองก็ไม่ได้มีจุดหมายสลักสำคัญหรือจุดหมายใหญ่ แม้เราจะเป็นมนุษย์ แต่เราเองกลับเชื่อมโยงตัวเราเข้ากับมุมมองและการใช้ชีวิตในโลกแฟนตาซีของฟรีเรนได้ ชีวิตที่บางครั้งเราก็รู้สึกว่าไร้ความหมาย เพราะหลายครั้งเราก็ทำเป้าหมายปลายทางของเราหล่นหายไป
ดังนั้นแล้วท่ามกลางโลกของเหล่านักใช้ชีวิต เหล่าวัยรุ่น และผู้เจนโลกที่เต็มไปด้วยเปลวไฟและเป้าหมายที่ตนเองพร้อมจะบุกตะลุยไป เรื่องราวของฟรีเรนจึงเป็นอีกหนึ่งรูปแบบการใช้ชีวิต ที่ตัวละครเองก็พยายามค้นหาความหมายของชีวิต เป็นเรื่องราวในโลกแฟนตาซี ซึ่งทำให้เราย้อนกลับมามองเห็นตัวตนของเราในโลกของความจริง โลกที่บอกกับเราว่าต้องมีเป้าหมาย และใช้ชีวิตเป็นเส้นตรง
ในความเนิบช้าและในความเบาหวิวของชีวิต โลกแฟนตาซีและเรื่องราวที่นิ่งเฉยของเอลฟ์ผู้มีอายุนับพันปีนั้น การค้นหาความหมายของชีวิตผ่านรายทาง ผ่านการมองย้อนไปอดีต ผ่านการจดจำ กระทั่งผ่านการเริ่มต้นการเดินทางและความสัมพันธ์ครั้งใหม่ๆ เรื่องราวที่ดูไกลตัวและอยู่คนละโลกนั้นอาจกำลังช่วยให้เราเข้าใจความหมายของชีวิต ความหมายที่อาจไม่ได้อยู่แค่ปลายทาง แต่อาจอยู่ในเส้นทางที่เราเดินผ่านมาแล้ว ความหมายที่อาจอยู่ในเส้นทางใหม่ๆ ซึ่งเราอาจเลือกเริ่มต้นอีกครั้งกับกลุ่มคนและการเดินทางใหม่ๆ
นี่คือพลังของโลกแฟนตาซี โลกที่ทำให้สิ่งที่ไม่สมจริงกลับมาอธิบายความจริงบางอย่างได้
จาก https://thematter.co/entertainment/frieren-beyond-journeys-end/217424
https://www.youtube.com/v//q0b46t5obQ4
https://youtu.be/q0b46t5obQ4?si=_orKqeVhvrJuvGW4
https://www.youtube.com/v//4XAhVVMjaJw
https://youtu.be/4XAhVVMjaJw?si=KgdgFal4fkzfCUWR
https://www.youtube.com/v//94i5TO_lcuw
https://youtu.be/94i5TO_lcuw?si=Wmc3NHH0ZEGYe3KN
https://www.youtube.com/v//wwztEW9BeBw
https://youtu.be/wwztEW9BeBw?si=dDTGXd2ZWt0M1RFY
ชีวิตจะยังมีความหมายอยู่ไหม ถ้าเราไม่มีวันตาย?
การมีชีวิตอยู่อย่างยืนยาวดูจะเป็นภารกิจที่มนุษย์เราเสาะแสวงหา เราพยายามยืดชีวิตของเราออกไปให้ยาวนานมากที่สุดด้วยวิทยาการทางการแพทย์ ไปจนถึงความเชื่ออย่างยาอายุวัฒนะ การได้พรพิเศษต่างๆ ที่ทำให้มนุษย์ก้าวข้ามข้อจำกัดสำคัญของเผ่าพันธุ์ไปให้ได้อย่างศัตรูตามธรรมชาติของเรานั่นคือ ความตาย
ทว่าถ้าเรามองลงไปอย่างลึกซึ้งในนามของมนุษย์ เช่นคำว่า Mortal ลักษณะสำคัญของเราคือการเป็นสิ่งมีชีวิตที่ตายได้ เพราะเรามีชีวิต เราจึงตาย ในหลายตำนานจึงมักพูดถึงการที่มนุษย์ก้าวข้ามเส้นเขตแดนของความตาย ไปสู่การเป็นอมตะ ในนวนิยาย เรื่องเล่า และตำนานมากมายทำให้มองเห็นว่า ความไม่ตายนั้นอาจเป็นพรหรือคำสาปก็ยังไม่แน่นัก
ยิ่งถ้าเรานึกคิดไปถึงว่า ชีวิตของเรามีความหมายอย่างไร ความหมายของการใช้ชีวิตหนึ่งๆ ของเรานั้น ส่วนหนึ่งมาจากการมองเส้นตรงของชีวิตที่มีเวลาอยู่อย่างจำกัด เราเกิดและตายภายในช่วงอายุขัยหนึ่ง จะ 70, 80 หรือ 100 ปี การตระหนักถึงปลายทางที่รอเราอยู่ก็อาจเป็นหลักคิดหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่า ชีวิตของเรานี้ ‘มีความหมาย’ เป็นความหมายที่ว่าสุดท้ายแล้วเราย่อมจะต้องสูญเสียมันเป็นการสิ้นสุดลง ซึ่งดูจะเป็นอีกเงื่อนไขสำคัญในการผลักดันการใช้ชีวิตของเรา
คำถามที่ฟังดูจริงจังและเป็นคำถามของมวลมนุษยชาติ เป็นส่วนสำคัญของอนิเมะที่กำลังฉายและเป็นกระแสน่าสนใจคือ Frieren คำอธิฐานในวันที่จากลา อนิเมะจากมังงะที่เรานิยามได้ว่า เป็นงานเขียนแนวแฟนตาซี แต่ความแฟนตาซีของเรื่องนี้กลับมีความน่าสนใจ คือเรื่องราวของฟรีเรน เอลฟ์จอมเวทผู้มีอายุยืนยาว โดยตัวเรื่องไม่ได้เล่าจากจุดเริ่มต้นแล้วค่อยๆ พาเราไปยังการผจญภัยต่อสู้ตามขนบแฟนตาซีทั่วไป แต่เรื่องนี้กลับพาเราไปจุดสิ้นสุดของการต่อสู้
การเริ่มต้นจากจุดสิ้นสุดและการเล่าเรื่องด้วยสายตาของเผ่าพันธุ์อื่น จึงนับเป็นอีกหนึ่งการใช้ประเภทงานเขียนแฟนตาซีได้อย่างน่าสนใจ เป็นงานเขียนที่พาเราไปยังโลกและตรรกะอื่นๆ ที่สุดท้ายแล้วในสายตาของอายุแสนยืนยาว ในความฝันของเราที่มีต่อเผ่าพันธุ์อื่นๆ อย่างเอลฟ์ ในการครุ่นคิดและนึกทบทวน ความสนุกของแฟนตาซีในที่นี้ จึงถูกนำมาให้ความหมายใหม่ เป็นความหมายที่พาเรากลับมาตั้งคำถามกับตัวเราเองในฐานะมนุษย์ได้อีกครั้ง
ในวันที่การเดินทางสิ้นสุด อีกช่วงเวลาของโลกแฟนตาซี
จริงๆ Frieren เป็นเรื่องแนวแฟนตาซีที่อาจจะเริ่มมาจากคำถามเรียบง่าย ซึ่งเป็นคำถามที่ไม่ค่อยมีงานเขียนหรือมังงะแฟนตาซีเรื่องไหนทำอย่างจริงจัง คือการเล่าอีกด้านของการเดินทาง เป็นจุดคล้ายกับเวลาที่เราเล่นเกมผจญภัยจบ เราอาจจะทำเควสย่อยหรืออ้อยอิ่งไปสักพัก แต่ถ้าเรื่องเล่าแฟนตาซีเป็นชีวิตจริงล่ะ ถ้าเราจบภารกิจของช่วงชีวิตในฐานะมนุษย์ เราก็คงแค่ใช้ชีวิตต่อไปจนตายลง และฝากเรื่องเล่าของเราเอาไว้เหมือนกับตัวละครมนุษย์อื่นๆ หน้าที่ของเราก็จบลงเท่านั้น ทว่าคำถามที่ง่ายแต่ซับซ้อนกว่านั้นคือ ถ้าเราไม่ใช่มนุษย์แล้วใช้ชีวิตต่อไป อะไรจะเป็นเป้าหมายและแรงจูงใจในการใช้ชีวิตของเรา
ถ้าเรามองย้อนวรรณกรรมประเภทแฟนตาซี แฟนตาซีถือเป็นหนึ่งเรื่องเล่าเก่าแก่ เกือบทั้งหมดพูดเรื่องการผจญภัยที่ชัยชนะ หรือความสงบสุขเป็นตอนจบของเรื่อง เราอ่านเรื่องราวการเดินทางไปทำลายแหวน อ่านการเติบโตของพ่อมดน้อยจนเรียนจบและเอาชนะเจ้าแห่งศาสตร์มืด และเก่ากว่านั้นอย่างตำนานเบวูล์ฟ ก็พูดเรื่องมหากาพย์การต่อสู้ กระทั่งเรื่องราวในมหากาพย์กรีกที่พูดถึงหลังสงครามกรุงทรอย ก็ไม่ได้พูดถึงในฐานะดินแดนอันสงบสุข ชีวิตหรือเรื่องเล่าของมนุษย์เรา คือการเดินทางและไขว่คว้าอะไรบางอย่าง และอันที่จริงหนึ่งในนั้นคือ สันติสุข
ถ้าเรามองเรื่องราวของ Frieren หากเรานิยามฟรีเรนเป็นวีรสตรี หรือตัวเอกอย่างฮีโร่ที่พาเราไปผจญภัยและประกอบวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ และยิ่งถ้าเราดูจากมุมมองของการเป็นมังงะแบบโชเน็นแล้ว ฟรีเรนเกือบจะเป็นตัวละครและงานแฟนตาซีแบบแอนตี้ฮีโร่ (Anti Hero) ได้เลย เพราะด้วยบริบทของการสิ้นสุด การต่อสู้ และความยิ่งใหญ่เป็นเรื่องที่ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว ฟรีเรนเองเป็นตัวเอกที่แทบจะตรงข้ามกับภาพพระเอกกระทั่งนางเอกในมังงะ เรื่องราวและตัวฟรีเรนเองดำเนินไปอย่างอ้อยอิ่ง ฟรีเรนไม่อินังขังขอบอะไรกับชีวิต ไม่ได้เป็นตัวละครที่โผงผายโวยวาย ซ้ำในช่วงการต่อสู้ วิธีการของเธอกลับใช้วิธีที่ถูกนิยามว่า ขี้ขลาด คือการควบคุมปริมาณพลัง ไปจนถึงการปกปิดตัวตนที่ใช้ชีวิตมาอย่างเนิ่นนาน
อีกมิติที่น่าสนใจคือ ตัวเรื่องฟรีเรนไม่ได้เล่าในฐานะผู้ที่กำลังเติบโตเหมือนกับเรื่องราววีรบุรุษโดยทั่วไป แต่เล่าในฐานะผู้ชี้แนะสั่งสอน แม้ลักษณะทั่วไปของฟรีเรนเองจะมีความแปลกประหลาดบ้าง ไม่ค่อยสมกับภาพความเป็นเอล์ฟที่ดูสูงส่ง หรือเข้าใจโลกอย่างสลับซับซ้อน แต่จริงๆ เงื่อนไขของฟรีเรนคล้ายการสำรวจความปรารถนาของมนุษย์เรา เช่นในเรื่องคลาสสิกอย่างเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เราเองก็มองว่าโลกของเอลฟ์เป็นโลกที่พึงปรารถนา อนิเมะเรื่องนี้เลยพาเราไปสำรวจความหมายของการมีอายุที่ยืนยาวอย่างแท้จริงไปเลย
ปลายทางของชีวิตและการเดินทางที่ไม่มีจุดหมายใหญ่
บรรยากาศที่น่าสนใจและน่าลุ้นมากของเรื่อง คือการเป็นแฟนตาซีที่มีจังหวะเนิบๆ เป็นเรื่องที่ไม่โผงผาง ไม่โชว์พลังการต่อสู้อะไรตั้งแต่ช่วงต้น ตัวเรื่องมีความโดดเด่นในความเนิบนาบของการใช้ชีวิต เป็นการใช้ชีวิตหลังการต่อสู้จบ ความเรื่อยๆ ของตัวเรื่อง จึงนับได้ว่าเป็นอนิเมะที่เลือกหยิบเอามิติทางความรู้สึกมาเล่าให้เรารู้สึกอยากติดตาม
ฟรีเรนจึงดูต่างจากเอลฟ์อย่างที่เราคาดหวัง นึกภาพว่าเวลาเราพูดถึงเอลฟ์ เรามักนึกถึงตัวละครที่เต็มไปด้วยความลึกลับ เป็นตัวละครที่เข้าใจโลก มองเห็นอดีต หยั่งรู้อนาคต ทว่าฟรีเรนเองกลับไม่เชิงว่าเป็นเช่นนั้น เพราะมีมุมมองต่อโลกจากการมีชีวิตยืนยาวโดยตลอดตั้งแต่ต้นของเรื่อง และจุดเด่นของเรื่องนี้คือการที่ฟรีเรนได้กลับไปสำรวจความหมายของชีวิต ผ่านการกลับไปเดินทางอีกครั้ง กลับไปยังรายทางที่ตัวเองเคยเดินและพิชิตมาแล้ว ในแง่นี้การหวนไปหาความทรงจำ จึงเป็นอีกกระบวนการเพื่อค้นหาความหมายของชีวิตที่สำคัญอย่างหนึ่ง
การเดินทางในครั้งนี้ของฟรีเรน จึงยังแตกต่างกับการเดินทางทั่วไปของโลกแฟนตาซี เป็นการเดินทางย้อนเส้นทางของตัวเอง และยังนับเป็นการเดินทางที่ไม่มีจุดหมายหลัก เราจะเห็นว่าการเดินทางของเธอและคณะเดินทางใหม่ เป็นการเดินทางที่มีรายทางเล็กๆ สุดแล้วแต่เรื่องราวและภารกิจย่อยๆ จะพาไป
ตรงนี้เองทั้งในมิติการเรียนรู้ความหมายของชีวิตผ่านความทรงจำ และการเดินทางหรือการใช้ชีวิตที่บางครั้งเราเองก็ไม่ได้มีจุดหมายสลักสำคัญหรือจุดหมายใหญ่ แม้เราจะเป็นมนุษย์ แต่เราเองกลับเชื่อมโยงตัวเราเข้ากับมุมมองและการใช้ชีวิตในโลกแฟนตาซีของฟรีเรนได้ ชีวิตที่บางครั้งเราก็รู้สึกว่าไร้ความหมาย เพราะหลายครั้งเราก็ทำเป้าหมายปลายทางของเราหล่นหายไป
ดังนั้นแล้วท่ามกลางโลกของเหล่านักใช้ชีวิต เหล่าวัยรุ่น และผู้เจนโลกที่เต็มไปด้วยเปลวไฟและเป้าหมายที่ตนเองพร้อมจะบุกตะลุยไป เรื่องราวของฟรีเรนจึงเป็นอีกหนึ่งรูปแบบการใช้ชีวิต ที่ตัวละครเองก็พยายามค้นหาความหมายของชีวิต เป็นเรื่องราวในโลกแฟนตาซี ซึ่งทำให้เราย้อนกลับมามองเห็นตัวตนของเราในโลกของความจริง โลกที่บอกกับเราว่าต้องมีเป้าหมาย และใช้ชีวิตเป็นเส้นตรง
ในความเนิบช้าและในความเบาหวิวของชีวิต โลกแฟนตาซีและเรื่องราวที่นิ่งเฉยของเอลฟ์ผู้มีอายุนับพันปีนั้น การค้นหาความหมายของชีวิตผ่านรายทาง ผ่านการมองย้อนไปอดีต ผ่านการจดจำ กระทั่งผ่านการเริ่มต้นการเดินทางและความสัมพันธ์ครั้งใหม่ๆ เรื่องราวที่ดูไกลตัวและอยู่คนละโลกนั้นอาจกำลังช่วยให้เราเข้าใจความหมายของชีวิต ความหมายที่อาจไม่ได้อยู่แค่ปลายทาง แต่อาจอยู่ในเส้นทางที่เราเดินผ่านมาแล้ว ความหมายที่อาจอยู่ในเส้นทางใหม่ๆ ซึ่งเราอาจเลือกเริ่มต้นอีกครั้งกับกลุ่มคนและการเดินทางใหม่ๆ
นี่คือพลังของโลกแฟนตาซี โลกที่ทำให้สิ่งที่ไม่สมจริงกลับมาอธิบายความจริงบางอย่างได้
จาก https://thematter.co/entertainment/frieren-beyond-journeys-end/217424
https://youtu.be/q0b46t5obQ4?si=_orKqeVhvrJuvGW4
https://youtu.be/4XAhVVMjaJw?si=KgdgFal4fkzfCUWR
https://youtu.be/94i5TO_lcuw?si=Wmc3NHH0ZEGYe3KN
https://youtu.be/wwztEW9BeBw?si=dDTGXd2ZWt0M1RFY