ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: มกราคม 04, 2024, 12:05:59 am »FRIEREN คำอธิษฐานในวันที่จากลา : อนิเมะที่ชวนเราพิจารณาความชรา ความตาย และการจากลาของเหล่าผู้กล้า
》 ซีรีส์อนิเมะ FRIEREN ที่มีชื่อไทยว่า ‘คำอธิษฐานในวันที่จากลา’ ไม่ได้จบลงตรงที่เหล่า ‘ผู้กล้า’ สามารถปราบ ‘ราชาปิศาจ’ ลงได้ และทุกคนบนโลกใบนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่กันอย่างสงบสุขไปชั่วกาลนาน แต่นั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราว เพื่อที่ตัวละครจะได้เรียนรู้ถึงความเสื่อมถอยและการจากลาที่แท้จริงในชีวิตต่างหาก
》 ฟรีเรน คือชื่อของนักเวทสาวเผ่าเอลฟ์ผู้มีอายุยืนยาว ที่แม้จะถูกใครๆ มองว่าเป็นคนเย็นชา ไร้ความรู้สึก และดูไม่ค่อยจะใส่ใจกับสิ่งต่างๆ รอบตัวมากนัก แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็เคยใช้เวลาถึงหนึ่งทศวรรษในการออกเดินทางเพื่อช่วยเหลือผู้คน และกำจัดราชาปิศาจ ในฐานะของ ‘ผู้กล้า’ ร่วมกับเพื่อนๆ ผู้แสนเฮฮาอย่างฮีโร่ ฮิมเมล, นักบวช ไฮเตอร์ และนักรบคนแคระ ไอเซ็น มาแล้ว
》อย่างไรก็ดี หลังจากงานศพของฮิมเมลเสร็จสิ้นในอีก 50 ปีถัดมา ฟรีเรนที่รู้สึกสั่นสะเทือนอยู่ภายใน ก็ตัดสินใจเดินทางไปตามลำพังอีกครั้ง แล้วออกเดินทางไปตามเส้นทางที่เธอและพวกฮิมเมลเคยผจญภัยไปด้วยกัน เพื่อรำลึกถึงความทรงจำที่พวกเขามีร่วมกันมาแต่หนหลัง และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น คือเพื่อที่จะทำความเข้าใจ ‘มนุษย์’ ให้มากขึ้นกว่านี้
》เรื่องราวของฟรีเรน และผองเพื่อนที่ค่อยๆ จากลาเธอไปทีละคน อาจทำให้ผู้ชมอย่างเราได้หันมาพิจารณาถึง ‘ความเปลี่ยนแปลง’ ในชีวิตของตัวเอง ที่ไม่ว่าใครๆ ก็ต้องประสบเข้าในสักวัน หากมีชีวิตอยู่ได้นานพอ ไม่ว่าจะเป็นภาวะความเสื่อมถอยของมนุษย์ หรือการจากลา ที่ที่ทำให้ฟรีเรนต้องหันกลับมาทบทวนตัวเองว่า เธอได้เคยพยายามเข้าใจคนอื่นๆ มากพอแล้วหรือยัง และหากว่าคำตอบคือ ‘ยัง’ เธอควรต้องเรียนรู้ที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในชีวิตด้วยวิธีการใด
https://youtu.be/tYcRTdJJOmQ?si=bub0OTxcilBW0Jaf
ในเรื่องเล่าแฟนตาซีส่วนใหญ่ หลายเรื่องมักจบลงตรงที่เหล่า ‘ผู้กล้า’ สามารถปราบ ‘ราชาปิศาจ’ ลงได้ในท้ายที่สุด และทุกคนบนโลกใบนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่กันอย่างสงบสุขไปชั่วกาลนาน
แต่ซีรีส์อนิเมะ FRIEREN ที่มีชื่อไทยว่า ‘คำอธิษฐานในวันที่จากลา’ กลับเริ่มต้นเล่าเรื่องราวหลังจากนั้น และบอกกล่าวกับเราว่า “...แต่ชีวิตของเหล่าผู้กล้าก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป”
ซีรีส์ ‘คำอธิษฐานในวันที่จากลา FRIEREN’ เริ่มต้นเล่าเรื่องราวหลังจากที่เหล่า ‘ผู้กล้า’ สามารถปราบ ‘ราชาปิศาจ’ ลงได้ และบอกกล่าวกับเราว่า “...แต่ชีวิตของเหล่าผู้กล้าก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป”
ฟรีเรน คือชื่อของนักเวทสาวเผ่าเอลฟ์ผู้มีอายุยืนยาว ที่แม้จะถูกใครๆ มองว่าเป็นคนเย็นชา ไร้ความรู้สึก และดูไม่ค่อยจะใส่ใจกับสิ่งต่างๆ รอบตัวมากนัก แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็เคยใช้เวลาถึงหนึ่งทศวรรษในการออกเดินทางเพื่อช่วยเหลือผู้คน และกำจัดราชาปิศาจ ในฐานะของ ‘ผู้กล้า’ ร่วมกับเพื่อนๆ ผู้แสนเฮฮาอย่างฮีโร่ ฮิมเมล, นักบวช ไฮเตอร์ และนักรบคนแคระ ไอเซ็น มาแล้ว
และหลังจากที่ทำภารกิจสำเร็จลุล่วง จนได้มาเฉลิมฉลองกันเป็นครั้งสุดท้ายในคืนที่มีฝนดาวตกที่ในรอบ 50 ปีจะเกิดขึ้นสักครั้ง ทั้งยังมีรูปปั้นผู้กล้าเป็นของตัวเองตั้งตระหง่านอยู่กลางเมืองหลวง พวกเขาก็แยกย้ายกันไปตามเส้นทางชีวิตของตัวเอง ทั้งฮิมเมลที่ตัดสินใจลงหลักปักฐานอยู่ในเมืองแห่งนั้นต่อไป, ไอเซ็นที่กลับไปยังหมู่บ้านคนแคระของตน, ไฮเตอร์ที่หวนคืนไปยังเมืองศักดิ์สิทธิ์ และฟรีเรนที่ออกตระเวนไปศึกษาเวทมนตร์ทั่วภูมิภาค
โดยพวกเขาสัญญากันไว้ว่า จะกลับมาร่วมดูฝนดาวตกหาชมยากนี้ด้วยกันอีกครั้ง ในอีก 5 ทศวรรษข้างหน้า
“ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย เราเดินทางมาด้วยกันแค่ 10 ปีเท่านั้นเอง …มนุษย์น่ะอายุขัยสั้น แต่ทั้งที่รู้อยู่แล้วแท้ๆ ทำไมฉันถึงไม่พยายามทำความรู้จักเขาให้มากกว่านี้กันนะ”
ฟรีเรนเอ่ยประโยคดังกล่าวขึ้นมาพร้อมน้ำตาที่นองหน้า ขณะยืนดูโลงศพที่บรรจุร่างไร้วิญญาณในวัยชราของฮิมเมลค่อยๆ ถูกฝังกลบลงดิน เพราะกว่าที่เธอจะได้เจอหน้าเขาอีกครั้ง -ซึ่งกลายมาเป็นการเจอกันครั้งสุดท้าย- และร่วมเดินทางไปดูฝนดาวตกตามที่สัญญากันเอาไว้ ‘เวลา’ ก็ล่วงผ่านมานานเกินไป โดยที่เอลฟ์อย่างเธอแทบจะไม่ทันได้ตั้งตัว
หลังจากงานศพของฮิมเมลเสร็จสิ้น ฟรีเรนจึงตัดสินใจเดินทางไปตามลำพังอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ใช่แค่การออกศึกษาเวทมนตร์เพียงอย่างเดียว ทว่ายังเป็นการออกเดินทางไปตามเส้นทางที่เธอและพวกฮิมเมลเคยผจญภัยไปด้วยกัน เพื่อรำลึกถึงความทรงจำที่พวกเขามีร่วมกันมาแต่หนหลัง
และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น คือเพื่อที่จะทำความเข้าใจ ‘มนุษย์’ ให้มากขึ้นกว่านี้
โดยในฉบับซีรีส์อนิเมะ 4 ตอนแรกที่ถูกปล่อยออกมา (FRIEREN เริ่มต้นจากการถูกตีพิมพ์เป็นมังงะ ซึ่งในบ้านเรามีลิขสิทธิ์แปลไทยอยู่ที่สำนักพิมพ์ Siam Inter Comics) เราจะได้เห็นถึงการเดินทางของฟรีเรน นับจากที่ฮิมเมลตายไปแล้วอีกราว 20-30 ปี ที่ทำให้เราค่อยๆ เข้าใจความรู้สึกนึกคิดที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้สีหน้าท่าทางที่ดูไร้อารมณ์ของเธอมากขึ้น ว่าฟรีเรนก็นึกถึงใจของ ‘เพื่อน’ มากกว่าที่ใครคิดด้วยเหมือนกัน – ซึ่งถึงแม้ว่าซีรีส์จะเล่าชีวิตของตัวละครเหล่านี้ผ่านช่วงเวลานานเป็นหลายสิบปี แต่มันก็ยังสามารถถ่ายทอดช่วงเวลาอันเนิ่นนานเหล่านั้นออกมาได้ ด้วยจังหวะที่กระชับฉับไว และตรงตามประเด็นต่างๆ ที่ผู้เล่าอยากจะสื่อสาร
ทั้งจากการที่ฟรีเรนไปเยี่ยมเยือนไฮเตอร์ที่บ้านกลางป่าแสนสันโดษของเขา ที่ทำให้เธอพบว่าอดีตนักบวชผู้นี้แก่ชราลงไปมาก และเขาก็กำลังรับมือกับอาการป่วยไข้ อันเป็นผลมาจากนิสัยการเป็น ‘นักดื่ม’ ในช่วงวัยหนุ่มของตน ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาตัดสินใจฝากฝัง เฟรุน เด็กหญิงกำพร้าที่เขารับมาดูแล ให้ฟรีเรนช่วยรับหน้าที่นี้แทน และฝึกฝนเด็กหญิงในฐานะ ‘ว่าที่นักเวท’ ผู้เปี่ยมพรสวรรค์ต่อไป
การไปทำความสะอาดรูปปั้นของฮิมเมลที่ถูกปล่อยร้างในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ตามคำขอของหญิงนักเก็บสมุนไพรวัยชราที่เคยถูกฮิมเมลช่วยชีวิตไว้ในวัยเด็ก จนทำให้ฟรีเรนอยากออกตามหา ‘หญ้าจันทร์คราม’ ดอกไม้หายาก -และอาจถึงขั้นสูญพันธุ์ไปแล้ว- ที่ฮิมเมลเคยเล่าให้เธอฟังว่าเติบโตอย่างงอกงามในบ้านเกิดของเขา เพื่อนำมาปลูกประดับรอบๆ รูปปั้นให้สำเร็จ
และการไปพบไอเซ็นที่หมู่บ้านคนแคระ เผื่อว่าเธอจะสามารถช่วยเหลืออะไรเขาได้บ้าง ก่อนที่เขาจะบอกให้เธอช่วยค้นหาสมุดบันทึกเวทมนตร์ของ ฟรังเม จอมเวทหญิงในตำนาน ผู้เป็นอาจารย์ของฟรีเรน ที่ถูกร่ายคาถาซ่อนเอาไว้ในต้นไม้เก่าแก่ต้นหนึ่งบนผืนป่ากว้างใหญ่เมื่อราวพันปีที่แล้ว ซึ่งในนั้นน่าจะเขียนถึงวิธีการติดต่อกับ ‘คนที่ตายไปแล้ว’ และมันก็อาจทำให้ฟรีเรนรู้ว่า หลังจากนี้เธอควรต้องเดินทางไปที่ใดต่อ
เรื่องราวของฟรีเรน และผองเพื่อนที่ค่อยๆ จากลาเธอไปทีละคน อาจทำให้ผู้ชมอย่างเราได้หันมาพิจารณาถึง ‘ความเปลี่ยนแปลง’ ในชีวิตของตัวเอง ที่ไม่ว่าใครๆ ก็ต้องประสบเข้าในสักวัน หากมีชีวิตอยู่ได้นานพอ
เรื่องราวของฟรีเรน และผองเพื่อนที่ค่อยๆ จากลาเธอไปทีละคน อาจทำให้ผู้ชมอย่างเราได้หันมาพิจารณาถึง ‘ความเปลี่ยนแปลง’ ในชีวิตของตัวเอง ที่ไม่ว่าใครๆ ก็ต้องประสบเข้าในสักวัน หากมีชีวิตอยู่ได้นานพอ
ไม่ว่าจะเป็นภาวะความเสื่อมถอยของมนุษย์ ที่ปรากฏในหลายรูปแบบ ทั้งความป่วยไข้ ที่ทำให้ไฮเตอร์อยากทำความดีก่อนตายอีกสักหน ด้วยการรับดูแลเด็กสาวที่เคยอยาก ‘ตาย’ ตามพ่อแม่ไปอย่างเฟรุน และความแก่ชรา ที่ทำให้ไอเซ็นผู้เคยเหวี่ยงขวานได้อย่างทรงพลังเมื่อครั้งอดีต ถึงกับเอ่ยปากกับฟรีเรนว่า เมื่อแก่ตัวลง ทุกอย่างที่เราเคยทำได้ก็ ‘ยากขึ้น’ จนน่าแปลกใจ
หรือจะเป็นการจากลา ทั้งการ ‘จากเป็น’ ที่ฟรีเรนเคยต้องเผชิญมาอย่างนับครั้งไม่ถ้วนตลอดช่วงชีวิตแบบเอลฟ์ของเธอ ก่อนที่เจ้าตัวจะค่อยๆ ตระหนักได้ว่า ช่วงเวลาก่อนหน้านั้นที่ ‘เรายังได้เจอกัน’ คือโมเมนต์ที่เธอควร ‘รู้สึกรู้สา’ ให้มากกว่าที่เคยเป็นมา และการ ‘จากตาย’ ที่ทำให้ฟรีเรนต้องหันกลับมาทบทวนตัวเองว่า เธอได้เคยพยายามเข้าใจคนอื่นๆ มากพอแล้วหรือยัง และหากว่าคำตอบคือ ‘ยัง’ เธอควรต้องเรียนรู้ที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในชีวิตด้วยวิธีการใด
เพราะจากเมื่อก่อนที่เธอเคยเข้าใจว่า ผู้คนและสิ่งต่างๆ รอบข้างไม่ได้สลักสำคัญสำหรับเอลฟ์อย่างเธอถึงเพียงนั้น แต่มาในตอนนี้ เธอได้เริ่มตระหนักแล้วว่า การเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตามุ่งไปสู่จุดหมายปลายทาง อาจไม่ได้มีความหมายมากเท่ากับสิ่งที่เธอได้เรียนรู้ระหว่างการเดินทางผจญภัยเหล่านั้น ทั้งจากสิ่งของ เรื่องราว และผู้คนรอบข้าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณค่าของ ‘เวลาในชีวิตของผู้อื่น’ ที่เธอเคยได้ ‘ผูกพัน’ ไปโดยไม่รู้ตัว
อย่างไรก็ดี จะว่าไปแล้ว พวกเราที่กำลังใช้ชีวิตอยู่บนโลกในสังคมทุกวันนี้ ก็คงมีสถานะคล้ายคลึงกับ ‘ผู้กล้า’ ท่านหนึ่งเหมือนกัน เพราะปัญหาต่างๆ ที่เราต้องพานพบระหว่างเส้นทาง หรือเป้าหมายสุดโหดหินที่เราตั้งเอาไว้เพื่อต้องการที่จะทุ่มเทกายใจไปให้ถึงนั้น อาจสามารถเปรียบได้กับ ‘ราชาปิศาจ’ ที่เหล่าผู้กล้าในเรื่องเล่าแฟนตาซีอย่าง FRIEREN เคยต้องฝ่าฟันไปให้ได้
แต่ถึงอย่างนั้น แม้เราจะรู้สึกว่า ตัวเองสามารถเอาชนะ ‘ราชาปิศาจ’ ที่ว่านั้นไปได้เรียบร้อยแล้ว
...แต่ชีวิตของเราก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป
เราอาจต้องใช้ ‘ความกล้าหาญ’ ในการรับมือกับอะไรๆ อีกมากมายหลายสิ่ง โดยเฉพาะจากการพยายามทำความเข้าใจกับความสัมพันธ์อันละเอียดอ่อนที่สามารถผันแปรไปได้อยู่ตลอด ภายในของตัวเราเองและผู้คนแวดล้อม อีกวันแล้ววันเล่า
และเราก็อาจต้องใช้ ‘ความกล้าหาญ’ ในการรับมือกับอะไรๆ อีกมากมายหลายสิ่ง โดยเฉพาะจากการพยายามทำความเข้าใจกับความสัมพันธ์อันละเอียดอ่อนที่สามารถผันแปรไปได้อยู่ตลอด ภายในของตัวเราเองและผู้คนแวดล้อม อีกวันแล้ววันเล่า
ตราบเท่าที่เรายังต้องมีลมหายใจ เพื่ออยู่เคียงข้างใครสักคน
แม้ว่าใครสักคนนั้น จะหมายถึงตัวของเราเองก็ตาม
จาก https://plus.thairath.co.th/topic/subculture/103800