ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: มกราคม 05, 2024, 09:17:49 am »The Flash : ต่อให้เราวิ่งได้ไกลแค่ไหน ก็หลีกหนี ‘ความจริง’ ในชีวิตไปไม่พ้น
• ในที่สุด ค่ายดีซี (DC) ก็เข็น The Flash หนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่เปิดโอกาสให้ตัวละครเอกของพวกเขาได้สำรวจทฤษฎีเกี่ยวกับการย้อนเวลาและการกระโดดข้ามโลกมัลติเวิร์ส ออกมากับเขาบ้าง เพราะหนังเล่าถึงชีวิตของพ่อหนุ่มสายฟ้าฟาดความเร็วสูงอย่าง เดอะ แฟลช ที่มีตัวตนแบบมนุษย์ปุถุชนในชื่อ แบร์รี อัลเลน (รับบทโดย เอซรา มิลเลอร์) และปมดราม่าภายในจิตใจของเขา ซึ่งทำให้เจ้าตัวออก ‘วิ่งย้อนเวลา’ เพื่อไปแก้ไขปัญหาในอดีต
• โดยปมปัญหาที่ว่า ก็คือการที่แบร์รียังคงฝังใจกับการสูญเสียแม่ผู้ใจดีจากเหตุฆาตกรรมไปเมื่อครั้งยังเด็ก และพ่อของเขาก็ยังถูกคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคนฆ่าภรรยาของตัวเองจากเหตุโศกนาฏกรรมครั้งนั้น จนต้องถูกจำคุกอย่างไม่เป็นธรรมมาจนถึงทุกวันนี้
• The Flash จึงสะท้อนให้ผู้ชมได้เห็นว่า เราอาจกลายเป็น ‘ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดสำหรับตัวเราเอง’ ขึ้นมาก็ได้ในวันใดวันหนึ่ง หากเราไม่พยายามปล่อยวาง ยอมรับ และทำความเข้าใจกับสิ่งที่ ‘ยังคงขมวดปม’ อยู่ภายในจิตใจของเรา แล้วค้นหาหนทางที่จะอยู่กับ ‘ปัจจุบัน’ มากกว่าที่จะเอาแต่คร่ำครวญถึง ‘อดีต’ และวาดหวังถึง ‘อนาคต’ ไปวันแล้ววันเล่า
หมายเหตุ : บทความนี้เล่าถึงเนื้อหาส่วนหนึ่งของหนัง แต่ไม่ถึงกับ ‘สปอยล์’ จุดหักมุม
หลังจากปล่อยให้ซุปเปอร์ฮีโร่ของค่ายมาร์เวลสนุกสนานกับการย้อนเวลาและการกระโดดข้ามโลกมัลติเวิร์สกันจนหนำใจมาหลายปี ในที่สุด ค่ายดีซี (DC) ก็เข็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่เปิดโอกาสให้ตัวละครเอกของพวกเขาได้สำรวจทฤษฎีเกี่ยวกับ ‘เส้นเวลา’ เหล่านี้ ออกมากับเขาบ้าง
หนังเรื่องนั้นก็คือ The Flash ของ แอนดี มุสชิเอตติ ผู้เคยกำกับหนังชุดสยองขวัญอย่าง It (2017) และ It Chapter Two (2019) จนเป็นที่ฮือฮามาก่อนหน้า
และเมื่อชื่อเรื่องก็บ่งบอกอยู่แล้ว ว่าตัวละครหลักของหนังคือ เดอะ แฟลช ที่มีตัวตนแบบมนุษย์ปุถุชนในชื่อ แบร์รี อัลเลน (รับบทโดย เอซรา มิลเลอร์) เราจึงได้มีโอกาสไปสำรวจชีวิตของพ่อหนุ่มสายฟ้าฟาดความเร็วสูงนายนี้ -ผู้เป็นหนึ่งในสมาชิก Justice League กลุ่มซุปเปอร์ฮีโร่ที่รวมตัวกันเพื่อปกป้องมวลมนุษยชาติในจักรวาลภาพยนตร์ดีซี ซึ่งมีผลงานโลดแล่นอยู่บนหน้าจอมาแล้วจำนวนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นในหนัง Batman v Superman: Dawn of Justice (2016), Justice League (2017) หรือซีรีส์ Peacemaker (2022)- แบบเต็มๆ เสียที หลังจากที่เพื่อนๆ ร่วมกลุ่มส่วนใหญ่มีหนังเดี่ยวของตัวเองไปแล้วคนละภาคสองภาค
https://youtu.be/r8heEaJWUzU?si=FdGbqcQR_cyfnPZ7
The Flash เริ่มต้นด้วยการแสดงให้เราเห็นถึงชีวิตประจำวันอันแสนวุ่นวายของแบร์รี นับจากการเร่งรีบในยามเช้าเพื่อไปเข้างานที่กองพิสูจน์หลักฐานให้ทัน และการต้อง ‘แวบ’ ออกมาระหว่างการต่อคิวรอซื้ออาหารเช้า เพื่อช่วยเหลือผู้คนที่กำลังประสบเหตุโรงพยาบาลถล่มไกลถึงเมืองก็อตแธมที่เพื่อนรุ่นพี่ร่วมทีมอย่าง แบตแมน (เบน แอฟเฟล็ก) ดูแลคุ้มครองอยู่ ก่อนจะกลับมารับอาหาร และรีบรุดไปเข้างานตามเดิม
หลังจากนั้น หนังก็ค่อยๆ เผยถึงปมปัญหาสุดดราม่าภายในจิตใจของแบร์รีมาที่คงอยู่มาเป็นสิบปี เมื่อผู้ชมได้รับรู้ว่าเขายังคงฝังใจกับการสูญเสียแม่ผู้ใจดีจากเหตุฆาตกรรมไปเมื่อครั้งยังเด็ก และพ่อของเขาก็ยังถูกคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคนฆ่าภรรยาของตัวเองจากโศกนาฏกรรมครั้งนั้น จนต้องถูกจำคุกอย่างไม่เป็นธรรมมาจนถึงทุกวันนี้
นั่นจึงเป็นเหตุให้แบร์รี ที่เติบโตมาโดยไม่มีทั้งแม่และพ่อ ตัดสินใจร่ำเรียนอย่างหนักเพื่อเป็นเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน โดยหวังว่าความรู้ความสามารถของเขาจะช่วยพ่อให้รอดพ้นจากคำตัดสินที่ผิดพลาด ซึ่งยืดเยื้อมาเป็นทศวรรษขนาดนี้ได้
แบร์รีตัดสินใจ ‘วิ่ง’ ไปแก้ไขอดีตในปี 2013 อย่างเริงร่า – เพียงเพื่อที่จะพบว่า การวิ่งทางไกลครั้งนี้เพื่อหลีกหนีความเป็นจริงในเวิร์สหนึ่งของเขา กลับส่งผลกระทบอันใหญ่หลวงให้กับความเป็นจริงในอีกเวิร์สหนึ่ง
แต่จนแล้วจนรอด เขาก็ยังไม่สามารถช่วยให้พ่อออกมาจากคุกได้ แถมความคิดถึงและความรู้สึกผิดที่เขามีต่อแม่ก็ยังวนเวียนไม่ไปไหน เพราะเขาโทษตัวเองเสมอมาว่า หากเขาไม่ชอบกินสปาเกตตีซอสมะเขือเทศ จนแม่ต้องใช้พ่อออกไปซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อมะเขือเทศบดกระป๋องมาให้ แม่ก็คงไม่ถูกคนบุกเข้ามาเอามีดแทงจนตายไปแบบนี้
กระทั่งในคืนนั้นเอง แบร์รีในวัยผู้ใหญ่ก็ได้พบว่า เขาสามารถวิ่งได้เร็วจนถึงขั้นทะลุมิติเวลาเพื่อเข้าไปในไทม์ไลน์ต่างๆ ของอดีตได้ ซึ่งด้วยความสามารถนี้ เขาอาจย้อนเวลากลับไปเมื่อสิบปีก่อนเพื่อช่วยให้แม่ไม่ตาย และยังคงเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขามาจนถึงปัจจุบันได้
เขาจึงตัดสินใจ ‘วิ่ง’ ไปแก้ไขอดีตในปี 2013 อย่างเริงร่า – เพียงเพื่อที่จะพบว่า การวิ่งทางไกลครั้งนี้เพื่อหลีกหนีความเป็นจริงในเวิร์สหนึ่งของเขา กลับส่งผลกระทบอันใหญ่หลวงให้กับความเป็นจริงในอีกเวิร์สหนึ่ง แม้ว่าเขาจะสามารถช่วยแม่ให้กลับมามีชีวิตได้อีกครั้งก็ตาม
เราอาจพูดได้ว่า การเปลี่ยนแปลงอดีตอันโหดร้ายของแบร์รี ก่อให้เกิดอดีตที่ ‘โหดร้ายยิ่งกว่า’ นั่นคือการที่เขาทำให้ นายพลซอด (ไมเคิล แชนนอน) จากดาวคริปตัน บุกมายังโลกก่อนเวลาอันควร ที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้น ก็คือ เวิร์สนี้ปราศจากสมาชิกคนอื่นๆ ของ Justice League ยกเว้นก็แต่ แบตแมน ที่เกษียณตัวเองจากการปกป้องเมืองไปแล้วเรียบร้อย (เวิร์สนี้รับบทโดย ไมเคิล คีตัน – เจ้าของบทแบตแมนยุค ทิม เบอร์ตัน ซึ่งก็ทำให้ผู้ชมจากยุคนั้นพากันน้ำตารื้นขึ้นมา) และ ซุปเปอร์เกิร์ล (ซาชา แคลล์) ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องเพศหญิงของ ซุปเปอร์แมน -ผู้หายสาบสูญไปหลังถูกส่งตัวมายังโลกใบนี้- ซึ่งเธอเข้าใจว่าเขาเป็น ‘เป้าหมาย’ ของนายพลซอดในการบรรลุอะไรบางอย่าง
รวมถึงการที่แบร์รีผู้มาจากปัจจุบัน-หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องสำหรับเวิร์สนี้ ก็คือ ‘ผู้มาจากอนาคต’ ได้เข้ามามีความสัมพันธ์ฉันเพื่อนพี่น้องกับ ‘แบร์รีเวอร์ชันปี 2013 ในอีกเวิร์สหนึ่ง’ แบบลับๆ หลังจากที่เขาอดใจไม่ไหวจนต้องเข้ามาทักทายแม่ที่ฟื้นคืนมาได้ และพ่อที่ไม่ต้องไปติดคุกของตน ก่อนที่ความพยายามในการพาเด็กหนุ่มแบร์รีไปรับพลังความเร็วจากอุบัติเหตุสายฟ้าฟาด -ให้ตรงตามโชคชะตาในอีกเวิร์สหนึ่ง- ของชายหนุ่มแบร์รี จะทำให้ฝ่ายหลังต้องสูญเสียพลังไป ซึ่งนำมาสู่ความวุ่นวายถัดจากนั้นอีกเพียบ
The Flash สะท้อนให้ผู้ชมได้เห็นว่า เราอาจกลายเป็น ‘ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดสำหรับตัวเราเอง’ ขึ้นมาก็ได้ในวันใดวันหนึ่ง หากเราไม่พยายามปล่อยวาง ยอมรับ และทำความเข้าใจกับสิ่งที่ ‘ยังคงขมวดปม’ อยู่ภายในจิตใจของเรา
แต่สิ่งที่ทำให้การตัดสินใจเปลี่ยนแปลงอดีตครั้งนี้ของ เดอะ แฟลช ยิ่งสร้างความพังพินาศมากขึ้นทุกขณะ ก็คือการที่ตัวเขาทั้งเวอร์ชันปัจจุบัน และเวอร์ชันต่างเวิร์สปี 2013 ต่างไม่ยอมรับ ‘ความจริง’ ให้ได้เสียทีว่า แม่ของพวกเขาได้ตายไปแล้ว และความตายของแม่ในวันนั้น ก็จะทำให้แบร์รีค่อยๆ เข้าใจสิ่งต่างๆ ที่เกิดตามมา และพัฒนาตัวเองจนกลายเป็น ‘ตัวเขา’ ได้จนถึงทุกวันนี้ – ซึ่งความดื้อรั้นนี้ส่งผลให้เขาค่อยๆ ทำร้ายทั้งตัวเองและคนอื่นไปทีละนิด โดยที่หลายครั้งเขาเองก็อาจไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
The Flash -โดยเฉพาะการได้เรียนรู้สัจธรรมบางอย่างของแบร์รีทั้งสองเวอร์ชันในช่วงครึ่งหลัง- จึงสะท้อนให้ผู้ชมได้เห็นว่า เราอาจกลายเป็น ‘ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดสำหรับตัวเราเอง’ ขึ้นมาก็ได้ในวันใดวันหนึ่ง หากเราไม่พยายามปล่อยวาง ยอมรับ และทำความเข้าใจกับสิ่งที่ ‘ยังคงขมวดปม’ อยู่ภายในจิตใจของเรา แล้วค้นหาหนทางที่จะอยู่กับ ‘ปัจจุบัน’ มากกว่าที่จะเอาแต่คร่ำครวญถึง ‘อดีต’ และวาดหวังถึง ‘อนาคต’ ไปวันแล้ววันเล่า
– ซึ่งสิ่งที่น่าจะช่วยเราให้อยู่กับปัจจุบัน และมองอนาคตได้อย่าง ‘เป็นจริง’ มากที่สุด ก็คือ การรู้จักที่จะหันกลับไปโอบกอดอดีตอันโหดร้ายที่ผ่านมาในชีวิต และเผชิญหน้ากับมันอย่างกล้าหาญ ‘ซ้ำแล้วซ้ำเล่า’ จนกว่าจะถึงวันที่ความทุกข์นั้นได้กลายมาเป็นเพียงอีกหนึ่งเรื่องเล่าที่ ‘พอรับไหว’ ในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ของเรา
เพราะต่อให้เราวิ่งได้ไกลแค่ไหน ก็หลีกหนี ‘ความจริง’ ในชีวิตไปไม่พ้นอยู่ดี
จาก https://plus.thairath.co.th/topic/subculture/103349