ตอบ

ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ความดีนำทาง:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
เคยนวดฝ่าเท้าให้ คุณพ่อคุณแม่บ้างไหม ถ้ามีโอกาส เราควรทำหรือไม่ (ควรกระทำอย่างยิ่ง หรือ ไม่ควรทำ):
พิมพ์คำว่า (แสงธรรมนำทางธรรมะนำใจ) ครับ:
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):
ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (It is never too late to mend):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: มกราคม 05, 2024, 09:38:32 am »

‘วันพีซมีอยู่จริง’ ปรัชญาของโจรสลัด และความสำคัญของความฝันอันเรียบง่าย



การกลับมาของวันพีซภาค Live Action เป็นการกลับมาที่น่าสนใจ เพราะนอกจากได้เห็นภาพที่เคยอยู่ในการ์ตูน กลายเป็นฉากแห่งความเป็นจริงแล้ว สำหรับเด็กวัย 30 ปี หลายคนก็เหมือนได้กลับไปเยี่ยมยุคต้นที่เราแสนจะเสพติด เป็นช่วงเวลาที่หลายคนรอจะอ่านซี-คิดส์ (C-Kids) กับเพื่อนในทุกๆ สัปดาห์ 

 
สำหรับเราที่เวลาล่วงเลยมาหลาย 10 ปีแล้ว การได้กลับไปดูเรื่องราวในช่วงต้นของวันพีซอีกครั้ง เหมือนได้ย้อนดูความฝันหรือจุดเริ่มต้นของการเดินทางมุมใหม่ นอกจากเป็นคนแสดงจริงแล้ว เราเองก็อาจจะได้ทบทวนหรือมองเห็นความหมายบางอย่างที่ตอบเราได้ว่า ทำไมเราถึงชอบวันพีซ และทำไมมันถึงกลายเป็นหนึ่งในสุดยอดการ์ตูนที่ชนะใจคนทั่วโลก จนเป็นหนึ่งในแฟรนไชส์ที่หลายคนติดตามต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้

อันที่จริงเรื่องราวจุดเริ่มของวันพีซ หรือเป้าหมายหลักของเรื่องนั้นง่ายแสนง่าย นั่นคือความเชื่อที่ว่าวันพีซนั้นมีอยู่จริง ซึ่งจนบัดนี้เราเองก็ยังไม่แน่ใจว่า วันพีซหรือสมบัติสุดท้ายของโจรสลัดในตำนานอย่างโกล ดี โรเจอร์ คืออะไร แต่คำพูดสุดท้ายก่อนหน้าถือเป็นสิ่งที่ตัวละครในโลกวันพีซ โดยเฉพาะลูฟี่ เชื่อว่ามีอยู่จริงที่สุดปลายของการเดินทาง ความเชื่อและความฝันง่ายๆ ที่เราอาจคิดอยู่หลายแวบว่า ‘หรือถ้ามันไม่มีจริงล่ะ’ แต่สุดท้ายด้วยความเชื่อจากความฝันซึ่งดูโง่ๆ นี่แหละเป็นสิ่งที่รวมผู้คนเข้าไว้ด้วยกัน

เพราะความเรียบง่ายของการใช้ชีวิต หรือการเดินทางที่ยิ่งใหญ่

บางครั้งก็มาจากการรวมกันของคนที่มีความฝันอันเรียบง่าย


การกลับมาของวันพีซ และการได้ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่ยาวนานเท่ากับช่วงชีวิต การเดินทางที่เรียกได้ว่า เติบโตขึ้นมาพร้อมกับใครหลายคน เราขอถือโอกาสนี้ชวนย้อนอ่านปรัชญาบางแง่ในเรื่องราวของวันพีซ จากการรักษาความฝันโง่ๆ ไปจนถึงปรัชญาภาพใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับบริบทโจรสลัดในศตวรรษที่ 19 ทั้งการพูดถึงระบบระเบียบของโลก และการแสวงหาเสรีภาพในน่านน้ำที่ไร้การปกครอง



วันพีซมีอยู่จริง ว่าด้วยความสำคัญของความฝันโง่ๆ

จุดเริ่มต้นของวันพีซเรียบง่ายมาก ในตอนที่กลับมาดูใหม่อีกครั้งก็พอเข้าใจว่า ในตอนเด็ก เราไม่เคยกังขาเลยว่าวันพีซมีอยู่จริงไหม? โดยในเรื่องช่วงแรกค่อนข้างเล่นกับความฝันของมังกี้ ดี ลูฟี่ ถึงนัยความฝันแบบเด็กๆ ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้เขาทำเรื่องที่ยากลำบาก นั่นคือการเดินทางออกไปยังทะเลที่ปลายทางแสนไกล ทั้งยังเต็มไปด้วยศัตรูและสารพัดอันตรายจากท้องทะเล

ความน่าสนใจคือ การเลือกตัวละครให้ลูฟี่เป็นผู้นำและเป็นกัปตัน แม้ว่าช่วงแรกๆ ลูฟี่ดูไม่มีทางที่จะพาเรือหรือพาตัวเองไปที่ไหนได้เลย เพราะเขามีแต่ความฝันล้วนๆ ดังนั้นสิ่งที่พิเศษในตัวลูฟี่ จึงเป็นความเรียบง่ายอย่างที่สุด เขามีแรงผลักดันเป็นความฝัน และมีการกินเป็นความต้องการพื้นฐาน เรียกได้ว่าลูฟี่แทบจะเป็นตัวแทนของการใช้สัญชาตญาณ จากการใช้ความไว้เนื้อใจและลางสังหรณ์ต่อการตัดสินใจเรื่องต่างๆ เช่น ความเชื่อมั่นในมิตรภาพต่อการตัดสินใจ

ความพิเศษของวันพีซคือ เมื่อเรื่องดำเนินไปสักพักหนึ่งแล้ว จากความฝันในนามความฝันโง่ๆ ก็ค่อยๆ เป็นจริงขึ้นมาเรื่อยๆ เราเองแม้จะยังไม่รู้ว่าสมบัติที่สุดปลายฟ้ามีจริงไหม หรือมันคืออะไรกันแน่ แต่ตัวเรื่องก็ค่อยๆ ทำให้เรารู้สึกว่า แม้แต่ในผู้ใหญ่หรือตัวละครอื่นๆ จำนวนมาก ทั้งเหล่าคนเท่ในกองทัพเรือ หรือในโลกโจรสลัด ก็ล้วนเชื่อในปลายทางของวันพีซแทบทั้งนั้น ความฝันที่ดูไร้เดียงสา จึงเริ่มมีค่าที่จะรักษามันไว้

นอกจากความฝันของลูฟี่ คือการเป็นราชาโจรสลัดแล้ว กลุ่มของเขาเองเกือบทั้งหมดก็ล้วนเชื่อในความฝันที่หลายคนดูแคลน แต่ความฝันที่ดูเป็นจริงไม่ได้กลับค่อยๆ มีรายละเอียดมากขึ้น จากความฝันถึงออลบลู (All Blue) ของซันจิ ความฝันที่จะได้ทำแผนที่ทั่วโลก ความฝันจะเป็นนักดาบอันดับหนึ่ง มาจนถึงความฝันที่เราเริ่มรู้สึกว่ามันจริงจังขึ้น เช่น การมองเห็นประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้

ถ้าเราพูดอย่างเชยๆ เมื่อวันพีซเดินทางมาเกือบ 30 ปี วันพีซเองกลายเป็นปลายทางที่ดูพร่าเลือน มีความสำคัญอยู่ไกลๆ เป็นเป้าหมายในอุดมคติที่เราเองจะไปถึงหรือไม่ ก็อาจจะไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว (แม้ว่าลึกๆ เราเองก็อยากรู้ว่ามันคืออะไร) ความสำคัญและความลักลั่นของวันพีซสำหรับเรา คือถ้าเรารู้ว่ามันคืออะไร ก็แปลว่าการเดินทางของเรื่องสิ้นสุดลง ถือเป็นตอนจบของเรื่องที่เรารัก ดังนั้นการผจญภัยระหว่างทาง จึงเป็นเรื่องที่อาจสำคัญกว่าปลายทาง จากปริศนาสำคัญที่ผลักลูฟี่ให้ลงทะเล ก็อาจมีสิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือความหมายในความฝันจริงๆ ของลูฟี่



ระเบียบโลกและอิสรภาพในฐานะปรัชญาของโจรสลัด

จากการรักษาความฝันอันเรียบง่าย สิ่งที่พิเศษของเรื่อง คือการค่อยๆ พาให้เรามองเห็นปมบางอย่าง ที่เกี่ยวข้องกับความฝันของตัวละครทั้งหลาย ทำให้เราเริ่มเห็นภาพที่ใหญ่ขึ้นอย่างภาพโลกในดินแดนของวันพีซ โดยตัวโลกนี้เองก็มีสิ่งที่เราเรียกได้ว่า ระเบียบโลก (World Order) พูดง่ายๆ คือการทำให้เราได้ภาพการถ่วงดุลทางอำนาจ และการรักษาความสงบเรียบร้อยของโลกที่เชื่อมต่อกันด้วยท้องทะเล

ในช่วงแรกสุด เราจะสัมผัสได้ว่าโลกในวันพีซค่อนข้างให้ภาพพื้นฐาน จากการมีอำนาจของรัฐ หรืออำนาจในนามกฎหมาย ผ่านทหารเรือและรัฐบาลโลก ในขณะที่โจรสลัดถือเป็นระบบปกครองอีกด้าน โดยเฉพาะในพื้นที่โลกใหม่ โลกวันพีซจึงมีดุลอำนาจที่ซับซ้อน ทั้งรัฐบาลโลก การใช้ระบบ 7 เทพโจรสลัด ไปจนถึงระบบ 4 จักรพรรดิ

แน่นอนว่าระเบียบโลกที่ว่านั้นเต็มไปด้วยความซับซ้อนและยอกย้อน ในพื้นที่อำนาจรัฐ หรือในนามความยุติธรรมก็เต็มไปด้วยความฟอนเฟะ การหยิบยืมอำนาจที่อยู่เหนือขึ้นไป ซึ่งมีนัยทางชนชั้นและการกดขี่ เช่น เผ่ามังกรฟ้า หรือกระทั่งกลุ่มโจรสลัดใหญ่ ก็ล้วนมีการปกครองพื้นที่ของตนอย่างไม่เป็นธรรมในส่วนใหญ่ โดยเต็มไปด้วยการกดขี่ ขูดรีด จากการตั้งตนเป็นใหญ่และแสวงหาอำนาจ

ในแง่นี้ลูฟี่จึงค่อนข้างเป็นตัวแทนของโจรสลัดยุคใหม่ (ก็ทำในนามของพระเอก) เพราะความฝันของลูฟี่ต่อการเป็นโจรสลัด คือการแสวงหาอิสรภาพ การได้รับอิสรภาพ และการไม่ต้องยึดติดกับการถูกปกครอง กระทั่งกฎเกณฑ์ใดๆ ก็ตาม จุดนี้เองก็อาจย้อนกลับไปตอบลักษณะพื้นฐานของลูฟี่ได้ว่า

ลูฟี่เป็นตัวแทนของความเป็นอิสระ และการทำตามอำเภอใจ

โดยไม่ได้ไปทำร้ายหรือเอารัดเอาเปรียบใคร

หากเรามองในบริบทประวัติศาสตร์ของโจรสลัด พวกเขาเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับโลกนี้มายาวนาน แต่ในการศึกษาว่าด้วยโจรสลัดกลับชี้ให้เห็นว่า โจรสลัดเป็นกลุ่มตัวละคร หรือเรื่องเล่าที่มีความสำคัญขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 ยุคสมัยที่เกิดการล่าอาณานิคม และการเดินทางเชื่อมโลกใบนี้เข้าหากัน โจรสลัดจึงเป็นความกังวลอย่างหนึ่งของผู้ล่าอาณานิคม และถ้าเรามองบรรยากาศ รวมถึงการเมืองในการล่าอาณานิคมแล้ว พื้นที่เกือบทั้งหมดบนโลกนั้นก็มีการปักหมุด วาดเขตแดน และถูกยึดครอง เพื่อปกครองที่ทั้งหมดในนามของรัฐ

โจรสลัดจึงเป็นตัวแทนของการไม่ยอมรับอำนาจ การอยู่ในน่านน้ำที่ไม่ขึ้นอยู่กับใคร และในทางกลับกัน คือการแสดงอำนาจ หรือหัวใจของการล่าอาณานิคมอย่างการค้า ไม่ว่าจะเป็นการหาแหล่งวัตถุดิบ หาแหล่งผลิตและตลาด การเชื่อมโยงกันในระดับโลก เพราะมีการเดินทางด้วยท้องทะเลเป็นช่องทางสำคัญ ดังนั้นโจรสลัดจึงเป็นอุปสรรคและกลุ่มนอกกฎหมาย ที่คอยท้าทายและบ่อนเซาะอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ของผู้ปกครองอันเกรียงไกร



ส่วนความฝันของลูฟี่ต่อการเป็นอิสระ และการเป็นเจ้าแห่งโจรสลัด ก็เป็นไปได้ว่าลูฟี่เองอาจจะสานต่อการเดินทางที่เราเริ่มเห็น โดยทำหน้าที่เป็นผู้ปลดแอกและทำลายผู้ปกครองที่ไม่เที่ยงธรรม ซึ่งปลายทางสุดท้าย คือการทำลายและวางระเบียบโลกใหม่ขึ้น ระเบียบโลกที่อาจมีอิสรภาพเป็นหัวใจของโลกใบนี้

ความน่าสนใจเล็กๆ อีกจุดของระเบียบโลกในวันพีซ คือการให้ภาพความสัมพันธ์ขององค์กรระดับโลกคล้ายๆ กับรูปแบบการเมืองโลกยุคใหม่ การวาดภาพตัวร้ายในเรื่องจึงคล้ายกับภาพในเรื่องเล่าร่วมสมัย ด้วยการเสนอภาพกลุ่มองค์กรลับที่กำลังทำอะไรบางอย่าง เพื่อประโยชน์ขององค์กรตัวเอง ถ้าเป็นในหนังหรือองค์กรอาชญกรรมจริงๆ ก็มักจะมีความเกี่ยวข้องกับการค้าอาวุธ หรือยาเสพติด และมักเป็นองค์กรแบบข้ามชาติ ซึ่งในวันพีซเองก็เริ่มให้ภาพความเป็นองค์กรลับ และองค์กรอาชญกรรมในลักษณะข้ามชาติ (ข้ามอาณาจักร) มากขึ้น

จุดเล็กๆ อีกจุดหนึ่งขององค์กรเหล่านี้ เราอาจนิยามได้ว่าเป็นองค์กรแบบข้าราชการ (Bureaucratic) ทั้งองค์กรอาชญากรรม และองค์กรของฝ่ายรัฐบาล เพราะเป็นการบริหารแบบมีลำดับชั้น มีระบบตำแหน่ง ทั้งลำดับในตัวองค์กรเองและจากการที่องค์กรเหล่านั้นกดขี่ผู้คนต่อไป ซึ่งหมวกฟางหรือลูฟี่เองดูจะเป็นกลุ่มที่มีความตรงข้ามกับความเป็นองค์กรดังกล่าว และ Bureaucratic ส่วนหนึ่งก็สะท้อนความรู้สึกร่วมสมัยของผู้คน ที่มีต่อทั้งรัฐและองค์กรขนาดใหญ่ โดยมองข้ามความเป็นปัจเจกบุคคลออกไป เป็นแค่เฟื่องหรือหมากที่ทำให้องค์กรดำเนินต่อไปได้ 

สุดท้ายการได้ย้อนกลับไปดูวันพีซจากจุดเริ่มอีกครั้ง บางส่วนอาจทำให้เราได้กลับไปนึกถึงการรักษาความฝันโง่ๆ ที่แท้จริงคือความฝันอันเรียบง่าย หรือความเชื่อบางอย่างของเราเอาไว้ ในขณะเดียวกัน ภาพที่ใหญ่ขึ้นของฝันโง่ๆ นั้นก็อาจจะมีนัยสำคัญ ทำให้เรามองเห็นความไม่เป็นธรรม มองเห็นระเบียบโลกที่จริงๆ แล้วอาจนำไปสู่ระเบียบแบบอื่นได้ ซึ่งในจุดนี้ถ้าอ้างอิงจากวันพีซ เราเองก็ต้องรอดูต่อไปว่า หมวกฟางในฐานะราชาโจรสลัด จะสร้างระเบียบโลกใหม่ในยุคสมัยใหม่ออกมาหน้าตาอย่างไร


ทว่าเราต้องเชื่อก่อนนะว่า วันพีซน่ะมีอยู่จริง


จาก https://thematter.co/entertainment/philosophy-of-one-piece/212347#google_vignette