ตอบ

ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
เคยนวดฝ่าเท้าให้ คุณพ่อคุณแม่บ้างไหม ถ้ามีโอกาส เราควรทำหรือไม่ (ควรกระทำอย่างยิ่ง หรือ ไม่ควรทำ):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: มกราคม 09, 2024, 12:50:42 pm »

กระบี่อยู่ที่ใจ ปรัชญาเต๋าของเลี่ยจื่อ



กระบี่อยู่ที่ใจ ปรัชญาเต๋าของเลี่ยจื่อ

โกวเล้ง...ผู้มีปรัชญาเลี่ยจื่ออยู่ในหัวใจและนำมาถ่ายทอดเป็นนิกายกำลังภายในที่ประทับใจคนไทยมาหลายยุคหลายสมัย...

คัมภีร์ "เหลาจื่อ" "จวงจื่อ" และ "เลี่ยจื่อ" เป็นคัมภีร์หลักสามเล่มของ "เต๋า" แต่ปราชญ์กล่าวกันว่า คัมภีร์ "เลี่ยจื่อ" เผย

แก่นแท้ของชีวิตได้ชัดเจนที่สุด










จาก http://www.book-ddshop.com/



กระบี่อยู่ที่ใจ


มีนิทานเต๋า จากคัมภีร์เลี่ยจื่อ ที่สอนว่า สุดยอดความเชี่ยวชาญของทุกวิชาคือการทำงานที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจิต เป็นต้นว่า เพลงอาวุธ การรำเพลงอาวุธถ้าหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจิต ย่อมไม่มีใครต้านทานได้ ดังที่นักประพันธ์ชอบนำสำนวน “กระบี่อยู่ที่ใจ” มาใช้

นิทานเรื่องแรก นำเอาเรื่องการฝึกขับขี่รถม้าหรือรถศึก เป็นอุทาหรณ์สอนใจ


ช่างทำคันธนูที่ดี ต้องฝึกสานบุ้งกี๋มาก่อน เจ้าอยู่ที่นี่กับข้า ต้องหมั่นฝึกฝนไตร่ตรอง เมื่อเจ้าเข้าใจเท่าๆ กับข้าแล้ว กุมบังเหียนม้าทั้งหกสายได้มั่นแล้ว จึงจะควบคุมบังคับม้าทั้งหกตัวได้ดั่งใจ

ไท่โต้วปักเสาไม้ เรียงเป็นแถวยาว ให้จ้าวฟู่ฝึกเดินไปมาบนหัวเสาไม้นั้น

จ้าวฟู่ฝึกเดินอยู่สามวันก็ชำนาญ เดินไปมาบนหัวเสาไม้ได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว

ไท่โต้วจึงบอกจ้าวฟู่ว่า ขณะที่เจ้าเดินอยู่บนหัวเสา ภายนอกดูเหมือนเจ้าใช้เท้าเดิน แต่ความจริงเจ้าใช้ใจเดินต่างหาก การขับรถม้าก็เช่นเดียวกัน ขณะที่เจ้าดึงบังเหียน จะเป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าขบฟันแน่น มือจะกุมบังเหียนมั่นหรือไม่ จะออกแรงดีหรือไม่ อยู่ที่ว่า ภายในเจ้าต้องผนึกเข้ากับดวงจิต ภายนอกต้องสื่อทอดถึงตัวม้า ข้างหนึ่งรุกข้างหนึ่งถอย ข้างหนึ่งนิ่งข้างหนึ่งเคลื่อน มีสมดุลดังนี้ แม้เดินทางไกลสักเพียงใดก็ไม่อ่อนเพลีย ทำได้ถึงขั้นนี้จึงจะสามารถขับขี่รถม้าได้ แรงจากบังเหียนสื่อทอดสู่ม้า ม้าจะเริ่มลากดึง แรงลากดึงของม้าสื่อกลับสู่มือเรา จากมือสื่อเข้าถึงจิต เมื่อใช้จิต ก็จะสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวทั่วทั้งร่างได้ ถึงตอนนั้นเราไม่จำเป็นต้องใช้ตามอง ไม่จำเป็นต้องลงแส้เฆี่ยนตี เพียงกุมด้วยจิต ม้าก็จะควบทะยานไปดั่งเหินบิน”

อีกเรื่องนึงชื่อว่า “ยิงโดยไม่ยิง”

ในยุดเลียดก๊ก มีชายคนหนึ่งชื่อจี้ชาง อยากจะเป็นนักแม่นธนูมือหนึ่งในพิภพ เขาจึงดั้นด้นไปขอเรียนวิชายิงธนูจากเฟยเว่ย ผู้ขมังธนู ยิงกิ่งหลิวระยะห่างร้อยก้าวไม่เคยผิดพลาด เฟยเว่ยยอมรับจี้ชางเป็นศิษย์ แต่ยังไม่สอนอะไรให้ กลับสั่งให้จี้ชางกลับบ้านไปฝึกหัดการไม่กระพริบตาให้สำเร็จก่อน

จี้ชางกลับไปฝึกที่บ้าน เขานอนลงใต้หูกทอผ้าของเมีย เฝ้าจ้องแป้นเหยียบหูกเคลื่อนไหวอย่างไม่กระพริบตา ผ่านไปสองปี เขาฝึกได้สำเร็จถึงขั้น แม้คมมีดกระทบถึงขนตา เขาก็ยังไม่กระพริบตา

เขากลับไปหาอาจารย์เฟยเว่ย แต่อาจารย์เฟยเว่ยก็ยังไม่สอนเคล็ดลับการยิงธนูให้ เขาสั่งให้จี้ชางกลับไปฝึกมองสิ่งเล็กให้ใหญ่ มองสิ่งไกลให้ใกล้ สำเร็จแล้วจึงกลับมาหาอาจารย์

จี้ชางกลับไปบ้าน จับตัวเห็บตัวหนึ่งใหญ่เท่าตัวไหม ครั้นหนึ่งปีผ่านไป ตัวเห็บนั้นใหญ่เท่าหนู เวลาผ่านไปอีกสามปี จี้ชางสามารถมองเห็นเห็บใหญ่เท่าวัว เมื่อจี้ชางออกจากบ้าน เขาเห็นอะไรใหญ่โตไปหมด เขามองดูม้า มันใหญ่โตเหมือนภูเขาเลากา เขารีบกลับไปหาเฟยเว่ย เฟยเว่ยก็ให้เข้าฝึกยิงธนูทันที

ถึงตอนนี้จี้ชางสามารถยิงธนูถูกเหรียญที่อยู่ห่างร้อยก้าวทุกครั้ง ขั้นต่อไปเขายิงธนูโดยนำเอาถ้วยใส่น้ำ วางไว้ที่ข้อศอก ลูกศรก็ไม่เคยพลาดเป้าและน้ำก็ไม่เคยกระฉอกหก เขาสามารถยิงต่อเนื่องกันให้ลูกศรลูกแรกปักใจกลางเป้า ลูกที่สองปักลงบนโคนลูกศรลูกแรก ลูกที่สามปักบนโคนลูกศรลูกที่สอง เรียงเป็นลำดับกันจนยาวมาถึงคันธนู

จี้ชางดีใจเดินทางกลับบ้าน แต่เมื่อถึงบ้านเมียของเขากลับด่าเขาว่าเป็นผัวเฮงซวย มัวแต่เที่ยวเตร่อยู่นอกบ้าน จี้ชางใช้ขนนกเป็นลูกธนู ยิงขนตาของเมียขาดไปสามเส้นนางยังไม่รู้สึกตัว ด่าว่าจี้ชางไม่หยุด

ฝีมือธนูของจี้ชางนับเป็นเอกหาผู้ทัดเทียมยากแล้ว แต่ทว่าตัวเขายังไม่พอใจ เขานึกว่ายังมีอีกคนหนึ่งที่ฝีมือเหนือกว่าเขา นั่นคืออาจารย์เฟยเว่ย เขาคิดว่าต้องกำจัดอาจารย์ วันนึงเขาสบโอกาส อาจารย์เฟยเว่ยยืนหันหลังให้เขา จี้ชางลอบยิงธนูใส่เฟยเว่ย แต่เฟยเว่ยก็รู้ตัว หันมายิงธนูถูกลูกศรของจี้ชางกระเด็นไปทุกลูก แต่จี้ชางมีลูกศรมากกว่าเฟยเว่ยหนึ่งลูก จี้ชางได้ทียิงธนูลูกสุดท้ายหวังกำจัดเฟยเว่ยได้แน่ แต่แล้วเฟยเว่ยกลับใช้ฟันกัดรับลูกธนูไว้ได้

ทั้งสองคนรู้สึกสะเทือนใจมาก หลั่งน้ำตาทิ้งคันธนูกอดกันร้องไห้ จี้ชางขอเป็นลูกบุญธรรมของเฟยเว่ย ทั้งสองสาบานว่าจะไม่เผยเคล็ดลับแก่คนอื่นอีก

เฟยเว่ยบอกจี้ชางว่า เราถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้เจ้าหมดแล้ว ถ้าเจ้ายังต้องการเรียนลึกซึ้งกว่านี้ เจ้าต้องไปหาอาจารย์ของข้า – ผู้เฒ่ากานอิ๋ง ที่ภูเขาฮั่วซาน

จี้ชางดั้นด้น เดินทางข้ามเทือกเขาไท่หังซานอันทุรกันดาร เดินทางตามหาผู้เฒ่ากานอิ๋งจนกระทั่งได้พบตัว
จี้ชางแสดงฝีมือให้ผู้เฒ่ากานอิ๋งชมดู เขายิงแม่นก็จริง แต่ผู้เฒ่ากานอิ๋งบอกว่า การใช้ลูกศรยิง ยังมีร่องรอย ยังไม่นับเป็นสุดยอดฝีมือ มันต้องถึงขั้น “ยิงโดยไม่ยิง” ตราบใดที่ยังใช้ธนู ตราบนั้นก็ยังเข้าไม่ถึงเคล็ดแห่งธนู

ผู้เฒ่ากานอิ๋ง สามารถทำให้นกร่วงตกลงมาโดยไม่ต้องยิงธนูเลย

จี้ชางได้ศึกษาร่ำเรียนกับผู้เฒ่ากานอิ๋งบนภูเขาอยู่เก้าปี ไม่มีใครรู้ว่าเขาได้เรียนอะไรบ้าง แต่เมื่อเขาลงจากภูเขามา เขาเปลี่ยนแปลงไปหมด ท่าทางทระนงไม่เหลืออีกเลย ผู้คนต่างยกย่องเขาเป็นยอดฝีมือธนู แต่เขาไม่จับคันธนูอีกเลยตลอดชีวิต

สุดยอดของความเคลื่อนไหวคือ ไม่เคลื่อนไหว
สุดยอดของคำกล่าวคือ ไม่กล่าว
สุดยอดของการยิงคือ ไม่ยิง”

จาก https://mgronline.com/china/detail/9490000118717

ป้ายยา แนะนำ นอกนั้นไปหาอ่านเอง  :yoyo109: