ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: มกราคม 17, 2024, 05:38:20 am »Be What You Really Are: เห็นธรรมชาติที่ไปพ้นจากตัวตน และฝึกที่จะ identify กับมัน
โพสต์โดย วัชรสิทธา
บทความโดย วิจักขณ์ พานิช
หากสมถะ คือ Peace
วิปัสสนาก็คือ Light
การภาวนาเริ่มต้นด้วยการพัฒนาท่าทีที่เป็นมิตรต่อสภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในร่างกายและจิตใจ การฝึกที่จะรู้เฉยๆ ไม่วิ่งตามความคิด อารมณ์ impulse หรือสิ่งเร้าต่างๆ คือการตัดวงจรอันไม่รู้จบของนิสัยและความเคยชินที่เราใช้ในฐานะกลยุทธ์ของตัวตน หรืออีกนัยยะหนึ่งการภาวนาคือ การไม่ให้อาหารตัวตน ดังคำที่เพม่า โชดรัน กล่าวไว้
ไม่ใช่เพียงแค่ทำงานกับพื้นผิวของตัวตนเท่านั้น การภาวนาที่ตั้งอยู่บนความรู้สึกตัวและลงไปในกายระดับลึก คือการเชื่อมต่อกับมหาสมุทรแห่งประสบการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการสัมพันธ์กับ sensation ในร่างกาย, สังเกตการอัดคลายของร่างกายตามจุดต่างๆ, การฝึกที่จะอยู่กับ felt sense, หรือการทำความรู้จักกับ inner body ที่ประกอบด้วยช่องทางไหลเวียนของพลังงานและการตระหนักรู้ที่แผ่ซ่าน ทั้งหมดจะเปิด “พื้นที่” ของการสัมพันธ์กับทุกสภาวะจิตใจอย่างสันติ อีกทั้งตระหนักว่า สภาวะเหล่านั้นล้วนถักทอเชื่อมต่อกัน ราวกับคลื่นในมหาสมุทรกว้างใหญ่และลึกเกินหยั่งอันเดียวกัน
อาจกล่าวได้ว่า ในชั่วขณะนั้นๆ ของการตระหนักรู้ เรากำลังทำงานกับ totality หรือทั้งหมดของความเป็นไปได้ของจิตวิญญาณมนุษยชาติ
เมื่อสมถภาวนา พาเราไปสัมผัสกับความสงบนิ่งภายใต้คลื่นลมอันผันผวนปรวนแปรของท้องทะเล…
วิปัสสนาภาวนา ก็คือการมองอย่างชัดแจ้งเข้าไปยังธรรมชาติเนื้อแท้ของจิตใจเรา ที่เป็นดั่งมหาสมุทรอันลึกซึ้งและไพศาลนั้น ที่ว่าเป็นการมองอย่างชัดแจ้ง ก็เพราะเราจะไม่มัวสับสนไปกับคลื่นลมอันผันผวน อีกทั้งยังกล้าที่จะเผชิญกับทุกสภาวะที่เกิดขึ้นได้อย่างสันติ
เราเป็นใคร? เราเป็นอะไร?
โดยไม่ต้องมีใครสอนหรือบอก เราเชื่อว่าตัวเองเป็นคนขี้โกรธ ขี้อิจฉา ขี้เบื่อ ขี้เกียจ เราเชื่อว่าตัวเองเป็นคนไม่เก่ง ไม่ดีพอ ฯลฯ มันอาจจะเริ่มต้นด้วยคลื่นลมรุนแรงที่เกิดขึ้นเพียงไม่กี่ครั้งในบางวัน แต่ที่สภาวะเหล่านั้นถูกทำให้เข้าใจว่าเป็นตัวเรา เป็นธรรมชาติที่เป็นเนื้อแท้ของเรา “ฉันเป็นคนแบบนี้” ก็เพราะเรา identify กับสภาวะนั้นในฐานะพื้นฐานของเราไปแล้ว
ตรงกันข้าม เรากลับไม่เคย identify ตัวเองกับคุณสมบัติที่ดำรงในตัวเรายามไร้คลื่นลม เช่น ฉันคือสันติ ฉันคือความรัก ฉันคือความเปิดกว้าง เราไม่เคยบอกตัวเองแบบนั้นเลย เราไม่เคย identify กับสภาวะปกติพื้นฐานนั้นว่าคือตัวเราที่แท้จริง ซึ่งวิปัสสนาภาวนาเป็นโอกาสให้เราได้ “Clear Seeing” มองเห็นอย่างชัดแจ้งถึง who we really are หรือ what we really are
“ฉันเป็นความโกรธจริงเหรอ?”
“ฉันเป็นความกลัวจริงเหรอ?”
ธรรมชาติพื้นฐานที่เป็นปกติจริงๆ ของคนเราคือความโกรธ ความเกลียด และความกลัวจริงล่ะเหรอ?
วิปัสสนาภาวนาคือการมองเข้าไปยังธรรมชาติพื้นฐานของใจที่ไม่ถูกเร้า ไม่ปรุงแต่ง ไม่พยายาม …ในภาวะปกติและมีสันติในใจ โดยเนื้อแท้แล้ว เราเป็นอย่างไร เราเป็นอะไร เราเป็นใคร
Practice to SEE clearly and IDENTIFY
วิปัสสนาภาวนาเป็นการมองที่ไปพ้นการคิดหาเหตุผลหรือคำตอบ ไปพ้นกระบวนการ conceptualization ใดๆ ของจิต เป็นการปล่อยจากความพยายามทั้งปวง เพียงอยู่ตรงนั้น แล้วมองเข้าไปยังธรรมชาติที่อยู่ตรงนั้นอย่างไร้เงื่อนไขของใจตัวเอง
ราวกับดำรงอยู่ในท้องทะเล ที่มีทั้งความนิ่ง การเคลื่อนไหว ความกว้าง ความลึก ความสว่าง ความมืด ความใส ความทึบ ทว่าเมื่อดำรงอยู่ตรงนั้นไปเรื่อยๆ แล้ว make peace กับทุกสภาวะที่เกิดขึ้น เราจะค่อยๆ เห็นอย่างแจ่มชัดด้วยประสบการณ์ตัวเองว่า “เนื้อแท้” ของมหาสมุทรมีธรรมชาติเช่นไร
การฝึก identify ธรรมชาติที่เป็นเนื้อแท้ของจิต ในขั้นวิปัสสนา ดูเหมือนจะง่าย แต่เอาจริงๆ กลับไม่ง่ายเลย ด้วยเหตุว่าเราได้เชื่อหรือยึดติดกับมุมมองที่ผิดจากความจริงไปเสียแล้ว ดังนั้นเราจึงต้องค่อยๆ ฝึกฝนและทำงานกับสิ่งที่ปกคลุมหรือซุกซ่อนอยู่ในใจของเราไปทีละชั้นๆ เพื่อคลี่คลายและปลดปล่อยมันออก
เราอาจเลือกนิยามตัวเองด้วยประสบการณ์แย่ๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ หรือกระทั่งความล้มเหลวที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในอดีต เราอาจรู้สึกว่าตัวเองมีบาดแผล หรือเคยทำบางสิ่งบางอย่างผิดพลาดที่ไม่อาจให้อภัยตัวเองได้ โดยไม่รู้ตัว เรา identify กับความคิดลบที่มีต่อตัวเอง หรือความคิดที่คนอื่นมีต่อเราอยู่ซ้ำๆ ตลอดเวลา กระทั่งเราได้กลายเป็น “คนที่ลึกๆ แล้วเราไม่อยากเป็น” ไปแล้วจริงๆ
เราไม่เคยเห็นเลยว่า จริงๆ แล้วยามไม่มีความคิดฟุ้งซ่าน ความทรงจำแย่ๆ หรืออารมณ์ลบๆ เหล่านั้น “ฉันคือสันติ” “ฉันคือแสงสว่าง” “ฉันคือความว่างอันไพศาล” เราไม่เคยตระหนักว่า เพียงแค่กลับมาดำรงอยู่ในเนื้อในตัวและในปัจจุบันขณะ เราก็จะได้สัมพันธ์อยู่กับ what we really are in that very moment ซึ่งคือธรรมชาติของความดีพื้นฐาน ความเป็นปกติ ความเต็มเปี่ยม และการตื่นรู้ เมื่อไม่เคยเห็นธรรมชาติที่แท้ของตัวเอง เราจึงไม่เคยสามารถรักหรือศรัทธาตัวเองได้ในแบบที่เป็น อย่างที่ไม่จำเป็นต้องพยายามเป็นอะไรก็ได้
รักและศรัทธาในตัวเอง : Be What You Really Are
วิปัสสนาภาวนา หรือ Clear Seeing คือการฝึกปฏิบัติที่จะมองเห็นตัวเองอย่างที่เป็น ทะลุผ่านชั้นของการตัดสิน คำนิยาม อดีต ตัวตน ความทรงจำ อารมณ์ หรือการปรุงแต่งทางความคิดทั้งหลายเข้าไป การภาวนาช่วยให้เราเห็นว่า มีธรรมชาติพื้นฐานที่เป็นเนื้อแท้ดำรงอยู่ตรงนั้นเสมอ เราฝึกความรู้สึกตัวที่เฉียบคมที่จะมองมัน เห็นมัน รู้จักมัน แล้วค่อยๆ identify กับธรรมชาติพื้นฐานนั้น กระทั่งเราสามารถที่จะรัก ชื่นชม ศรัทธา และวางใจตัวเองได้
นี่คือกระบวนการภาวนา อันประกอบด้วยสมถะและวิปัสสนา บ่มเพาะสันติในใจที่จะมองเห็นอย่างชัดแจ้ง ที่อาจต้องใช้เวลาสักหน่อยในการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ที่จะทวนกระแสความเคยชินของความคิดที่เรากระทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน กระนั้นท้องฟ้าก็ยังคงเป็นท้องฟ้า ท้องทะเลก็ยังคงเป็นท้องทะเล ผืนดินก็ยังคงเป็นผืนดิน และพื้นเดิมของจิตใจก็ยังคงกว้างใหญ่ ไร้ความมัวหมอง และประภัสสรอยู่เช่นนั้น เนื้อแท้อันทำลายไม่ได้ของจิตใจนี่เองที่ในพุทธศาสนาวัชรยานเรียกว่า ธรรมชาติวัชระ (Vajra Nature)
หากเราค่อยๆ เห็นและ identify กับเนื้อแท้นี้ในท่ามกลางทุกความเปลี่ยนแปลงของสภาวะจิตใจ มันคงนำมาซึ่งความหนักแน่น มั่นคง และจริงแท้ ในความปั่นป่วน สับสน โกลาหล ที่เมื่อเราเริ่ม identify กับธรรมชาติพื้นๆ ของจิตใจได้ ความทุกข์ก็ไม่อาจทำให้เราสูญเสียความรักและศรัทธาที่มีให้กับตัวเอง ความดีงามพื้นฐานเสมือนเป็นเข็มทิศนำทาง ราวกับเป็น Great Eastern Sun ที่ขึ้นทางทิศตะวันออกเสมอยามที่เราสุข ทุกข์ ท้อแท้ สิ้นหวัง สมหวัง มีความรัก หรือกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากในชีวิต
จาก https://www.vajrasiddha.com/vipassana/
วัชรสิทธา
สถาบันวัชรสิทธา ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่ทดลองทางการศึกษา บนพื้นฐานของการภาวนา การใคร่ครวญด้วยใจ และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์อย่างเป็นมนุษย์ระหว่างผู้เรียน
โพสต์โดย วัชรสิทธา
บทความโดย วิจักขณ์ พานิช
หากสมถะ คือ Peace
วิปัสสนาก็คือ Light
การภาวนาเริ่มต้นด้วยการพัฒนาท่าทีที่เป็นมิตรต่อสภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในร่างกายและจิตใจ การฝึกที่จะรู้เฉยๆ ไม่วิ่งตามความคิด อารมณ์ impulse หรือสิ่งเร้าต่างๆ คือการตัดวงจรอันไม่รู้จบของนิสัยและความเคยชินที่เราใช้ในฐานะกลยุทธ์ของตัวตน หรืออีกนัยยะหนึ่งการภาวนาคือ การไม่ให้อาหารตัวตน ดังคำที่เพม่า โชดรัน กล่าวไว้
ไม่ใช่เพียงแค่ทำงานกับพื้นผิวของตัวตนเท่านั้น การภาวนาที่ตั้งอยู่บนความรู้สึกตัวและลงไปในกายระดับลึก คือการเชื่อมต่อกับมหาสมุทรแห่งประสบการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการสัมพันธ์กับ sensation ในร่างกาย, สังเกตการอัดคลายของร่างกายตามจุดต่างๆ, การฝึกที่จะอยู่กับ felt sense, หรือการทำความรู้จักกับ inner body ที่ประกอบด้วยช่องทางไหลเวียนของพลังงานและการตระหนักรู้ที่แผ่ซ่าน ทั้งหมดจะเปิด “พื้นที่” ของการสัมพันธ์กับทุกสภาวะจิตใจอย่างสันติ อีกทั้งตระหนักว่า สภาวะเหล่านั้นล้วนถักทอเชื่อมต่อกัน ราวกับคลื่นในมหาสมุทรกว้างใหญ่และลึกเกินหยั่งอันเดียวกัน
อาจกล่าวได้ว่า ในชั่วขณะนั้นๆ ของการตระหนักรู้ เรากำลังทำงานกับ totality หรือทั้งหมดของความเป็นไปได้ของจิตวิญญาณมนุษยชาติ
เมื่อสมถภาวนา พาเราไปสัมผัสกับความสงบนิ่งภายใต้คลื่นลมอันผันผวนปรวนแปรของท้องทะเล…
วิปัสสนาภาวนา ก็คือการมองอย่างชัดแจ้งเข้าไปยังธรรมชาติเนื้อแท้ของจิตใจเรา ที่เป็นดั่งมหาสมุทรอันลึกซึ้งและไพศาลนั้น ที่ว่าเป็นการมองอย่างชัดแจ้ง ก็เพราะเราจะไม่มัวสับสนไปกับคลื่นลมอันผันผวน อีกทั้งยังกล้าที่จะเผชิญกับทุกสภาวะที่เกิดขึ้นได้อย่างสันติ
เราเป็นใคร? เราเป็นอะไร?
โดยไม่ต้องมีใครสอนหรือบอก เราเชื่อว่าตัวเองเป็นคนขี้โกรธ ขี้อิจฉา ขี้เบื่อ ขี้เกียจ เราเชื่อว่าตัวเองเป็นคนไม่เก่ง ไม่ดีพอ ฯลฯ มันอาจจะเริ่มต้นด้วยคลื่นลมรุนแรงที่เกิดขึ้นเพียงไม่กี่ครั้งในบางวัน แต่ที่สภาวะเหล่านั้นถูกทำให้เข้าใจว่าเป็นตัวเรา เป็นธรรมชาติที่เป็นเนื้อแท้ของเรา “ฉันเป็นคนแบบนี้” ก็เพราะเรา identify กับสภาวะนั้นในฐานะพื้นฐานของเราไปแล้ว
ตรงกันข้าม เรากลับไม่เคย identify ตัวเองกับคุณสมบัติที่ดำรงในตัวเรายามไร้คลื่นลม เช่น ฉันคือสันติ ฉันคือความรัก ฉันคือความเปิดกว้าง เราไม่เคยบอกตัวเองแบบนั้นเลย เราไม่เคย identify กับสภาวะปกติพื้นฐานนั้นว่าคือตัวเราที่แท้จริง ซึ่งวิปัสสนาภาวนาเป็นโอกาสให้เราได้ “Clear Seeing” มองเห็นอย่างชัดแจ้งถึง who we really are หรือ what we really are
“ฉันเป็นความโกรธจริงเหรอ?”
“ฉันเป็นความกลัวจริงเหรอ?”
ธรรมชาติพื้นฐานที่เป็นปกติจริงๆ ของคนเราคือความโกรธ ความเกลียด และความกลัวจริงล่ะเหรอ?
วิปัสสนาภาวนาคือการมองเข้าไปยังธรรมชาติพื้นฐานของใจที่ไม่ถูกเร้า ไม่ปรุงแต่ง ไม่พยายาม …ในภาวะปกติและมีสันติในใจ โดยเนื้อแท้แล้ว เราเป็นอย่างไร เราเป็นอะไร เราเป็นใคร
Practice to SEE clearly and IDENTIFY
วิปัสสนาภาวนาเป็นการมองที่ไปพ้นการคิดหาเหตุผลหรือคำตอบ ไปพ้นกระบวนการ conceptualization ใดๆ ของจิต เป็นการปล่อยจากความพยายามทั้งปวง เพียงอยู่ตรงนั้น แล้วมองเข้าไปยังธรรมชาติที่อยู่ตรงนั้นอย่างไร้เงื่อนไขของใจตัวเอง
ราวกับดำรงอยู่ในท้องทะเล ที่มีทั้งความนิ่ง การเคลื่อนไหว ความกว้าง ความลึก ความสว่าง ความมืด ความใส ความทึบ ทว่าเมื่อดำรงอยู่ตรงนั้นไปเรื่อยๆ แล้ว make peace กับทุกสภาวะที่เกิดขึ้น เราจะค่อยๆ เห็นอย่างแจ่มชัดด้วยประสบการณ์ตัวเองว่า “เนื้อแท้” ของมหาสมุทรมีธรรมชาติเช่นไร
การฝึก identify ธรรมชาติที่เป็นเนื้อแท้ของจิต ในขั้นวิปัสสนา ดูเหมือนจะง่าย แต่เอาจริงๆ กลับไม่ง่ายเลย ด้วยเหตุว่าเราได้เชื่อหรือยึดติดกับมุมมองที่ผิดจากความจริงไปเสียแล้ว ดังนั้นเราจึงต้องค่อยๆ ฝึกฝนและทำงานกับสิ่งที่ปกคลุมหรือซุกซ่อนอยู่ในใจของเราไปทีละชั้นๆ เพื่อคลี่คลายและปลดปล่อยมันออก
เราอาจเลือกนิยามตัวเองด้วยประสบการณ์แย่ๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ หรือกระทั่งความล้มเหลวที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในอดีต เราอาจรู้สึกว่าตัวเองมีบาดแผล หรือเคยทำบางสิ่งบางอย่างผิดพลาดที่ไม่อาจให้อภัยตัวเองได้ โดยไม่รู้ตัว เรา identify กับความคิดลบที่มีต่อตัวเอง หรือความคิดที่คนอื่นมีต่อเราอยู่ซ้ำๆ ตลอดเวลา กระทั่งเราได้กลายเป็น “คนที่ลึกๆ แล้วเราไม่อยากเป็น” ไปแล้วจริงๆ
เราไม่เคยเห็นเลยว่า จริงๆ แล้วยามไม่มีความคิดฟุ้งซ่าน ความทรงจำแย่ๆ หรืออารมณ์ลบๆ เหล่านั้น “ฉันคือสันติ” “ฉันคือแสงสว่าง” “ฉันคือความว่างอันไพศาล” เราไม่เคยตระหนักว่า เพียงแค่กลับมาดำรงอยู่ในเนื้อในตัวและในปัจจุบันขณะ เราก็จะได้สัมพันธ์อยู่กับ what we really are in that very moment ซึ่งคือธรรมชาติของความดีพื้นฐาน ความเป็นปกติ ความเต็มเปี่ยม และการตื่นรู้ เมื่อไม่เคยเห็นธรรมชาติที่แท้ของตัวเอง เราจึงไม่เคยสามารถรักหรือศรัทธาตัวเองได้ในแบบที่เป็น อย่างที่ไม่จำเป็นต้องพยายามเป็นอะไรก็ได้
รักและศรัทธาในตัวเอง : Be What You Really Are
วิปัสสนาภาวนา หรือ Clear Seeing คือการฝึกปฏิบัติที่จะมองเห็นตัวเองอย่างที่เป็น ทะลุผ่านชั้นของการตัดสิน คำนิยาม อดีต ตัวตน ความทรงจำ อารมณ์ หรือการปรุงแต่งทางความคิดทั้งหลายเข้าไป การภาวนาช่วยให้เราเห็นว่า มีธรรมชาติพื้นฐานที่เป็นเนื้อแท้ดำรงอยู่ตรงนั้นเสมอ เราฝึกความรู้สึกตัวที่เฉียบคมที่จะมองมัน เห็นมัน รู้จักมัน แล้วค่อยๆ identify กับธรรมชาติพื้นฐานนั้น กระทั่งเราสามารถที่จะรัก ชื่นชม ศรัทธา และวางใจตัวเองได้
นี่คือกระบวนการภาวนา อันประกอบด้วยสมถะและวิปัสสนา บ่มเพาะสันติในใจที่จะมองเห็นอย่างชัดแจ้ง ที่อาจต้องใช้เวลาสักหน่อยในการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ที่จะทวนกระแสความเคยชินของความคิดที่เรากระทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน กระนั้นท้องฟ้าก็ยังคงเป็นท้องฟ้า ท้องทะเลก็ยังคงเป็นท้องทะเล ผืนดินก็ยังคงเป็นผืนดิน และพื้นเดิมของจิตใจก็ยังคงกว้างใหญ่ ไร้ความมัวหมอง และประภัสสรอยู่เช่นนั้น เนื้อแท้อันทำลายไม่ได้ของจิตใจนี่เองที่ในพุทธศาสนาวัชรยานเรียกว่า ธรรมชาติวัชระ (Vajra Nature)
หากเราค่อยๆ เห็นและ identify กับเนื้อแท้นี้ในท่ามกลางทุกความเปลี่ยนแปลงของสภาวะจิตใจ มันคงนำมาซึ่งความหนักแน่น มั่นคง และจริงแท้ ในความปั่นป่วน สับสน โกลาหล ที่เมื่อเราเริ่ม identify กับธรรมชาติพื้นๆ ของจิตใจได้ ความทุกข์ก็ไม่อาจทำให้เราสูญเสียความรักและศรัทธาที่มีให้กับตัวเอง ความดีงามพื้นฐานเสมือนเป็นเข็มทิศนำทาง ราวกับเป็น Great Eastern Sun ที่ขึ้นทางทิศตะวันออกเสมอยามที่เราสุข ทุกข์ ท้อแท้ สิ้นหวัง สมหวัง มีความรัก หรือกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากในชีวิต
จาก https://www.vajrasiddha.com/vipassana/
วัชรสิทธา
สถาบันวัชรสิทธา ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่ทดลองทางการศึกษา บนพื้นฐานของการภาวนา การใคร่ครวญด้วยใจ และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์อย่างเป็นมนุษย์ระหว่างผู้เรียน