ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ความดีนำทาง:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
พิมพ์คำว่า (แสงธรรมนำทางธรรมะนำใจ) ครับ:
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: สิงหาคม 09, 2010, 10:40:14 pm »

 :13: อนุโมทนาครับพี่มด
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: สิงหาคม 09, 2010, 09:59:19 pm »




 ที่จริงเรื่องที่มีเนื้อหาสาระคล้ายๆ กับเรื่องที่ผู้เขียนเขียนกับได้พูดมาแล้วตั้งหลายหน แต่นั่นก็แสนจะนานมาแล้ว ตอนนี้เอามาเขียนใหม่ เพราะมนุษย์เรา - อาจจะเนื่องจากเพราะก่อนนี้เราดูถูกดูหมิ่นธรรมชาติสิ่งแวดล้อมนานาประการ ทั้งยังคิดจะแข่งขันหรือพยายามเอาชนะมันโดยคิดว่ามนุษย์ยิ่งใหญ่ที่สุด ธรรมชาติหรือสิ่งใดที่มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ คือความแปลกประหลาดหรือกลัวไว้ก่อน จนกระทั่งเรารู้จักกับมันดีและรู้ว่าเราปลอดภัย ในทางตรงกันข้าม สิ่งใดก็ตามที่เราเห็นจนเจนตาหรือคุ้นเคยกับมันและคิดว่าปลอดภัย เรามักจะไม่แยแสสนใจ และน้ำธรรมดาๆ เป็นหนึ่งในธรรมชาตินั้นที่เรามักไม่แยแสสนใจ    เราจึงใช้มันอย่างไม่รู้จักบันยะบันยัง ทิ้งๆ ขว้างๆ มัน ปล่อยให้น้ำขังเละเทะสกปรกและเต็มไปด้วยมลพิษมลภาวะ ผู้เขียนคิดเองว่าแม้ผู้อ่านที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่เดี๋ยวนี้ และตั้งใจจะอ่านให้จบส่วนใหญ่มากๆ ไม่ได้ดูถูกนะครับ ก็ยังไม่รู้ว่าน้ำที่แสนจะธรรมดานั้น แท้ที่จริงมันมีความสำคัญอย่างคิดไม่ถึงอย่างไร? จนกระทั่งบัดนี้เดี๋ยวนี้แล้วเท่านั้น - เมื่อธรรมชาติทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่าง รวมทั้งน้ำที่คิดว่าธรรมด๊าธรรมดา ชนิดที่เราไม่เคยรู้จักมันเลยถูกข่มเหงย่ำยีถึงขีดสุดและค่อยๆ ขาดแคลน เพราะการใช้มันอย่างทิ้งๆ ขว้างๆ แถมซ้ำร้ายเรายังออกลูกออกหลานมาเต็มบ้านเต็มเมือง เพราะเอาแต่ “ตามใจกู” -  เราถึงกับแก่งแย่งน้ำกันแทบฆ่ากันตาย มิหนำซ้ำในหน้าน้ำมันยังก่อภัยธรรมชาติที่หฤโหดสุดๆ ทำให้คนตายเป็นเบือที่โน่นและที่นี่ตลอดเวลา


น้ำนั้นในทางวิทยาศาสตร์หรือเคมี อาจกล่าวได้ว่าเป็นสารประกอบที่มีโมเลกุลประกอบด้วยก๊าซ 2  ชนิดที่หาง่ายที่สุด คือ ไฮโดรเจน (1 อะตอม) กับออกซิเจน (1 อะตอม) ก๊าซที่ไม่น่าจะเข้ากันได้ที่สุดเช่นกัน คือ ออกซิเจนนั้นไวไฟที่สุด ในขณะที่ไฮโดรเจนก็เหมือนน้ำมันหรือเป็นเชื้อเพลิงเราดีๆ นี่เอง นอกจากนี้โมเลกุลของน้ำก็เป็นโมเลกุลที่พิเศษสุดพิสดารที่สุด คือมีความจำเป็นเลิศที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า  ระบบน้ำ (water system หรือระบบน้ำที่พิเศษสุดพิเศษที่จะกล่าวถึงต่อไป) ส่วนในทางวิทยาศาสตร์ชีววิทยาบอกอย่างชัดเจนว่าน้ำสำคัญที่สุดกับชีวิต เราอาจจะเถียงว่าอากาศ หรือดิน หรือแสงแดดต่างก็มีความสำคัญเหมือนกัน อย่างน้อยก็พอๆ กับน้ำนั่นแหละ แต่เราอาจกล่าวได้ว่า ทั้งหมดนั้นมีความจำเป็นอย่างขาดไม่ได้สำหรับชีวิตทั้งนั้น แต่น้ำสำคัญกว่าเพื่อน เด็กหรือชีวิตในท้องแม่ไม่ต้องใช้อากาศสำหรับหายใจ หรือไม่มีผืนดิน ไม่มีแสงแดด ไม่มีอาหารอาจมีชีวิตอยู่ได้ แต่ถ้าขาดน้ำ - แม้แต่น้ำคร่ำ (amniotic fluid) - ก็จะตายในทันที ส่วนในทางวิทยาศาสตร์ด้านฟิสิกส์เราจะพบ 3 ความพิเศษ หรือจะถูกกว่าหากจะพูดว่าเป็นความอัศจรรย์ดุจปาฏิหาริย์ของน้ำที่เราคิดว่าเป็นธรรมด๊าธรรมดาที่ไม่เคยมีใครในประเทศไทยพูดมาก่อน หรือรู้ว่า “น้ำธรรมดาๆ” มีคุณสมบัติเป็นเช่นนั้น ยกเว้นบางส่วนของข้อห 1 และความน่าอัศจรรย์ใจดุจปาฏิหาริย์นี้น่าที่จะเอาไปให้กรรมการจัดการทรัพยากรน้ำพิจารณาดู ข้อที่ 1 ในด้านของฟิสิกส์นั้นถ้าเราขยายภาพของน้ำธรรมดาๆ 1 หยดออกไปได้ 1,000 ล้านเท่า ซึ่งเท่ากับ 10 ยกกำลัง 8  หรือ 1 ยกกำลัง 9 (1,000,000,000) หรือ 1 ตามด้วย 0 เก้าตัว ซึ่งเท่ากับขนาดของอะตอมพอดี (10 ยกกำลัง - 8 cm) ทั้งนี้ โดยมีอะตอมของก๊าซไฮไดรเจน (2 อะตอม) จับกับอะตอมของก๊าซออกซิเจน (1  อะตอม) โดยการจับกันอย่างแน่นหนาที่สุดนั้นจะต้องมีอะตอมของก๊าซออกซิเจนอยู่ตรงกลาง และก๊าซไฮโดรเจนที่อยู่ทั้ง 2 ข้าง ซึ่งทำมุมกันประมาณ 110 องศา ข้อที่ 2 เรื่องของระบบน้ำที่พิเศษสุดแสนจะพิเศษ (water system) ซึ่งเป็นน้ำธรรมดาๆ แต่โมเลกุลที่จับกับออกซิเจนตรงกลางไม่ได้ธรรมดาแม้แต่น้อย เพราะมีแต่โมเลกุลของน้ำเท่านั้น - ระหว่างสารประกอบอะไรต่อมิอะไรที่นักวิทยาศาสตร์รู้จักดีทั้งหลาย - ที่พิเศษสุดจะพิเศษอยู่อย่างเดียว ซึ่งมีอุณหภูมิของน้ำเย็นกว่าอุณหภูมิของธรรมชาติอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ตัว โดยน้ำ จะมีการเรียงตัวโมเลกุลของตัวเอง (crystalline array) เป็นรูปหกเหลี่ยม  (hexagonal) - โดยมีอะตอมของออกซิเจน (ที่อยู่ตรงกลางของโมเลกุลทั้ง 3 มิติ) เป็นหลัก - และการเรียงตัวของโมเลกุลของน้ำเป็นรูปหกเหลี่ยมสามมิตินี่เองที่ทำให้โมเลกุลของน้ำธรรมด๊าธรรมดามีความจำเป็นเลิศ คือโมเลกุลของน้ำจากการเรียงตัวของโมเลกุลเป็นผลึกหกเหลี่ยมนั้น ทำให้น้ำสามารถจดจำโมเลกุลของสารต่างๆ ที่ผ่านหรือละลายในน้ำนั้นพร้อมกับคุณสมบัติของสารละลายนั้นๆ โดยในโลกนี้มีแต่น้ำเท่านั้นที่เป็นสารประกอบที่พิเศษสุดเพียงอย่างเดียว ทั้งหมดนี้คือระบบน้ำ (water system) ที่กล่าวมาแล้วนั้น และข้อที่ 3 ความสำคัญของน้ำต่อชีวิตอีกอย่างหนึ่ง นอกจากน้ำจำเป็นเท่าๆ กับหรือยิ่งกว่าอาหารหรือแสงแดดหรืออากาศที่เรารู้ดีกันทุกคนแล้ว น้ำธรรมดาๆ เมื่อมันมีสภาพเป็นน้ำแข็ง หรือเปลี่ยนคุณสมบัติจากของเหลวเป็นของแข็งแล้ว นับว่าเป็นสารประกอบหรือสารผสมหรือธาตุทั้งหลายทั้งปวงแต่ชนิดเดียวหรือหนึ่งเดียวที่แข็งแล้วลอยน้ำได้ ความแปลกประหลาดมหัศจรรย์นี้อาจจะเป็นคุณสมบัติธรรมชาติของน้ำตามปกติธรรมดาของมันเองก็ได้ที่อาจเกี่ยวข้องกับลักษณะโมเลกุลที่ต้องจับกันเป็นหกเหลี่ยมสามมิติ (hexcal หรือ hexagonal ถ้าป็นเรขาคณิตที่มีสองมิติ) เมื่อเย็นจัดจะทำให้เกล็ดหิมะแม้จะมีหกเหลี่ยม แต่ทั้งหมดจะเป็นผลึกหกเหลี่ยมที่ไม่เหมือนกันเลย ซึ่งน้ำแข็งที่แข็งแต่ลอยน้ำได้นี้  เพราะมันเป็นสารประกอบเพียงอย่างเดียวในจักรวาลที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ คือเรารู้ดีว่าน้ำธรรมดาๆ นั้นเมื่อเย็นหรืออุณหภูมิลดลงไปนั้น โมเลกุลจะเรียงตัวกันเป็นรูปหกเหลี่ยมสามมิติ แต่เมื่อเย็นลงไปอีกเรื่อยๆ มันก็สร้างให้โมเลกุลกลายเป็นผลึกสามมิติจนอุณหภูมิต่ำลงถึง 96 องศาเซลเซียส ต่อจากนี้ไปถึงจุดเยือกแข็งของน้ำหรือ 100 องศาเซลเซียส 4 องศาสุดท้ายก่อนน้ำแข็งจะแข็งตัวเองกลายเป็นน้ำแข็ง  น้ำพลันพองตัวอย่างรวดเร็วจนขณะที่น้ำมันเปลี่ยนสภาวะจากของเหลวเป็นของแข็งที่อุณหภูมิ 100  องศาเซลเซียสนั้น น้ำแข็งมันจะพองตัวโดยมีปริมาตรมากกว่าน้ำธรรมดา  คือจะเบากว่าน้ำเล็กน้อย น้ำแข็งจึงลอยน้ำ ตรงนี้สำคัญ เพราะว่าถ้าหากน้ำแข็งมันหนักกว่าน้ำและจมน้ำ มหาสมุทรอาร์กติกและมหาสมุทรแอนตาร์กติกก้นน้ำก็จะเต็มไปด้วยน้ำแข็ง ยิ่งฤดูหนาวยิ่งไปกันใหญ่ น้ำทะเลที่ยิ่งลึกยิ่งเย็นอยู่แล้ว  เมื่อก้นทะเลก้นมหาสมุทรเต็มไปด้วยน้ำแข็ง ความเย็นจัดก็จะแผ่กระจายมากขึ้น ชีวิตหลากหลายในมหาสมุทรและในเขตหนาวไล่มาถึงเขตร้อนจึงอยู่ได้ยากยิ่งนักหรืออยู่ไม่ได้ด้วยซ้ำไป ทำไม? ธรรมชาติถึงได้เป็นแบบนี้ แบบที่คนขี้เกียจคิดหรือคนที่ไม่มีเหตุผลที่ตนเองรับไม่ได้กับสิ่งที่ตนมองไม่เห็น คือเชื่อมั่นว่าใช้คำว่าบังเอิญ บังเอิญ บังเอิญ ไม่ว่ามันจะมีคำว่าบังเอิญถึงเป็นหมื่นเป็นพันบังเอิญ ก็ยังเป็นวิทยาศาสตร์หรือน่าเชื่อกว่าฉันจะต้องยอมรับว่ามันมีสิ่งที่มองไม่เห็น เช่น จิตหรือจิตวิญญาณว่ามี เป็นความจริงที่แท้จริงอย่างที่ทุกศาสนาและทุกๆ ลัทธิความเชื่อบอกกับเราก็ได้ ไม่ว่าอย่างไรสำหรับผู้เขียนแล้วขอคิดว่ามันไม่มีคำว่าบังเอิญเป็นหมื่นเป็นพันบังเอิญหรอก จริงๆ แล้วมันก็มีปรากฏการณ์ธรรมชาติทั้งหมดที่อธิบายไม่ได้จริงอยู่เพียงแค่นั้นเช่นเดียวกัน สำหรับผู้เขียนแล้ว ผู้เขียนเห็นด้วยกับนักฟิสิกส์จำนวนมากที่มีความคิดเห็นกับมีข้อพิสูจน์บางส่วนว่า มันมีหลักการของธรรมชาติที่เรียกว่าหลักการมนุษย์จักรวาลวิทยา (Anthropic Cosmologic Principle) ที่ดูประหนึ่งว่าธรรมชาติของจักรวาลของเราเฉพาะจักรวาลแห่งนี้มีหรืออุบัติขึ้นสำหรับให้มีชีวิตและมีมนุษย์เป็นการเฉพาะ เมื่อถึงเวลา และที่กล่าวมานั้นจะได้เล่าต่อไปข้างล่างเมื่อพูดถึงวัฒนธรรมหรือลัทธิพระเวทและศาสนา


นั่นเป็นการกล่าวทางด้านวิทยาศาสตร์ของน้ำธรรมดาๆ ที่มีประวัติศาสตร์อยู่คู่กับชีวิตและมนุษย์มาตั้งแต่ไหนแต่ไร และเพราะมันดำรงอยู่มานานทำให้เราส่วนใหญ่มากๆ จึงมักลืมเลือนความสำคัญของน้ำไปเกือบทั้งหมด รู้แต่ว่ามันเป็นสิ่งของที่ไม่มีค่าหรือหาง่าย และคิดว่าธรรมชาติจะต้องจัดหามาให้เราตลอดเวลาเมื่อชีวิตใดๆ และมนุษย์ต้องการจะใช้มันเพื่อบริโภคอุปโภคเท่านั้น ยังจำได้ที่ครูเล่าถึงขอทานที่อินเดียให้ฟังตอนเข้ามาเรียนที่โรงเรียนเตรียมอุดมฯ ใหม่ๆ ว่า ขอทานคนหนึ่งได้เดินเข้ามาขอบริจาคที่หน้าประตูบ้านว่า “นายจ๋าขอให้ช่วยให้ทานแก่ข้าด้วยเถิด แม้เป็นเพียงอุทกที่ไร้ค่าก็ยังดี” นั่นคือ แม้แต่ขอทานยังรู้ว่าน้ำธรรมดาๆ นั้นไร้ค่าจริงๆ


ซึ่งก็ได้เล่ามาแล้วในคอลัมน์นี้หลายหน แต่นานมาแล้ว วัฒนธรรมก่อนพระเวท (pre-Vedic  culture) นั้น นักวิจัยค้นคว้าประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีวิทยาศาสตร์ส่วนมากเชื่อว่ามาจากชนเผ่าแอฟริกันตะวันออกที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกับชนเผาดราวิเดียน ที่อยู่ตอนใต้ของประเทศอินเดียกับศรีลังกาในปัจจุบัน โดยเดินข้ามอ่าวอาหรับมาที่ยังเป็นผืนดินที่ตอนนั้นติดต่อระหว่างแอฟริกากับเอเชียตะวันตกเมื่อราว 12,000 ปีมาแล้ว สุดท้ายก็มาอยู่ที่ลุ่มน้ำสินธุ และสร้างอารยธรรมขึ้นที่นั่นเมื่อประมาณห้าหกพันปีก่อน (Indus civilization) วัฒนธรรมก่อนพระเวทนี้เป็นศาสนาที่มีพระเจ้าองค์เดียวคือพระอิศวรที่ประทับบนหลังวัวร่ายรำ ศิวลึงค์ ต้นพิพัล (papal tree) ที่พบที่แอฟริกา แต่ไม่มีที่ลุ่มน้ำสินธุ และที่สำคัญกับบทความนี้คือการนับถือน้ำว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงยิ่ง เพราะเป็นสิ่งที่สัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับพลังงานปฐมและพลังงาน “ปราณ” ที่เราทุกคนต้องมี (vital force) ภาพพระอิศวรกำลังร่ายรำหรือแผ่นดินเหนียวนี้คือสัญลักษณ์ของอารยธรรมสินธุ (pictograph) ที่มาพบที่คลองท่อม กระบี่ ที่ภาคใต้ฝั่งอันดามัน ซึ่งสันนิษฐานว่าอารยธรรมสินธุคงมีการค้าขายกับบ้านเรา อารยธรรมสินธุและวัฒนธรรมก่อนพระเวทที่มีพระเจ้าองค์เดียวนี้มีมาก่อนพวกอารยันจากเอเชียกลาง ซึ่งนับถือพระเจ้าหลายองค์ เช่น  พระอัคนี พระสุริยะ เป็นต้น เข้าใจว่าลัทธิพระเวทของอินเดียโบราณนั้นเป็นผลของการรวมกันของลัทธิก่อนพระเวท (pre-vedic culture) กับลัทธิพระเจ้าหลายองค์ของชาวอารยันที่มาจากเอเชียกลาง รวมทั้งตอนใต้ของรัสเซียในปัจจุบันที่มีหลักฐานว่าภาษาสลาวิคเกี่ยวข้องกับภาษาอินโด-ยูโรเปียน เช่น คำว่าสุญตา ที่แปลว่าเหมือนๆ กัน

อมิต โกสวา มีนักควอนตัมฟิสิกส์เชื้อสายอินเดียที่มีชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยโอเรกอน (Amit  Goswami : God Is Not Dead, 2008) ได้เขียนในเรื่องการหาตำแหน่งของน้ำใต้ดิน (dowsing) ว่าน้ำธรรมดาๆ นั้นมีความพิเศษสุดพิเศษ เพราะเป็นสารเดียวที่สัมพันธ์กับเหตุที่ก่อให้เกิดผลด้านล่าง  (dawnward causation) ที่ฟิสิกส์ใหม่ให้ความสนใจ (ปกติเหตุต้องก่อผลด้านบนหรือไปข้างหน้า (upward   causation) เป็นเส้นตรงตามลูกศรแห่งเวลา แต่นานๆ ทีก็มีเหตุที่ก่อผลย้อนไปข้างหลังที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้ นอกจากนี้ พลังงานชีวิต (vital force) ยังมีในชีวิตในคนแต่ละคนและทุกๆ คน ที่คนอินเดียเรียกว่า “ปราณ” และคนจีนเรียกว่า “ชี่” และการมีความจงใจอย่างจดจ่อที่ดีงาม (intention) นั้นก็คือการทำให้พลังชีวิตของผู้นั้นๆ สามารถติดต่อกับพลังโดยรวมให้หาตำแหน่งของน้ำใต้ดินให้พบ (อย่าลืมว่าการทำสมาธินั้นต้องประกอบด้วยองค์ 3 เสมอ คือเราต้องมี intention, attention, และ repetition).



http://www.thaipost.net/sunday/080810/25883