ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):
ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (It is never too late to mend):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: แก้มโขทัย
« เมื่อ: สิงหาคม 12, 2010, 10:54:44 pm »

ขอบคุณมากครับพี่แป๋ม   :23:
ข้อความโดย: กระตุกหางแมว
« เมื่อ: สิงหาคม 12, 2010, 09:23:45 pm »

เป็นหนังสือที่ดีมากครับ..
จริงอย่างเขาว่า..วัดที่ผมไปบวชนี่..หนังสือเกี่ยวกับธรรมก็ไม่ค่อยจะมี
แต่ของกินนี่ล้นวัด..เหลือทิ้งทุกวัน..ผมเห็นแล้วเสียดายแทน
พระวัดผมไม่มีอะไรจะทำก็ดูทีวี กลางดึกตื่นมาดูบอลอีก  :16:
เห็นแล้วไม่รื่นรมเลยครับ น่าจะให้พระท่านเสพหนังสือบ้างก็จะดี  :25:
 :13:  :13:
ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: สิงหาคม 12, 2010, 09:17:32 pm »

 :13:อนุโมทนาสาธุครับ ขอบคุณครับพี่แป๋ม
ข้อความโดย: สายลมที่หวังดี
« เมื่อ: สิงหาคม 12, 2010, 09:00:23 pm »

ทุกปีต้องก็ชอบทำหนังสือสวดมนต์ถวายวัด ปีนี้คงต้องเปลี่ยนแนวใหม่
ขอบคุณนะค่ะพี่แป๋ม
:19:
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 12, 2010, 04:21:06 pm »



ประมาณ ๒๐-๓๐ ปีที่แล้ว ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ในฐานะประธานธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ ได้เดินทางไปเปิดอาคารสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคจิต โรคประสาท ที่โรงพยาบาลศรีธัญญา ซึ่งธนาคารกรุงเทพพาณิชยการบริจาคเงินสร้าง
       
       พอท่านอาจารย์ตัดริบบิ้นเปิดตึกเสร็จ แพทย์และพยาบาลก็เดินนำพาท่านเข้าไปในอาคาร ซึ่งคณะแพทย์และพยาบาล ได้จัดให้ผู้ป่วยนั่งประจำบนเตียงคอยต้อนรับ
       ท่านเดินดูและประนมมือรับไหว้ ทักทายผู้ป่วยไปตามช่องทางเดินตรงกลาง แล้วท่านก็หยุดหน้าเตียงผู้ป่วย ที่ต้องหยุดเพราะผู้ป่วยคนนั้น กำลังยกมือรำป้ออยู่คนเดียว และมีผู้ป่วยเตียงข้างๆชำเลืองดู ด้วยท่าทางไม่ค่อยพออกพอใจเท่าใดนัก
       
       ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ทักว่า “คุณเป็นอะไรครับ” (เข้าใจว่า ท่านคงหมายถึง เป็นโรคอะไร)
       
       ผู้ป่วยตอบว่า
       
       “ผมเป็นเทวดา !”
       
       “อ้อ! เป็นเทวดา” ท่านอาจารย์ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ทวนคำ
       
       “อย่าไปเชื่อมัน ผมยังไม่ทันแต่งตั้งมันเลย จะเป็นได้ยังไง!” เสียงแหวจากคนไข้เตียงข้างๆ ซึ่งมองชำเลืองอยู่ พร้อมกับค้อนให้วงใหญ่
       
       “อ้าว! แล้วคุณเป็นอะไรถึงไปแต่งตั้งเขา” ท่านอาจารย์ถาม
       
       “ผมเป็นพระอินทร์!!”
       
       คนป่วยคนนั้นประกาศ พร้อมกับเชิดหน้า วางท่าปั้นปึ่ง
       
       ท่านอาจารย์ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ยกมือไหว้คนไข้ทั้งสอง แล้วพูดว่า
       
       “ผมขอกราบลาท่านไปก่อนนะคร้าบ...เพราะตอนนี้ยังไม่อยากอยู่บนสวรรค์”
       
       พูดจบแล้วท่านก็หัวเราะหึ ๆ เดินออกจากห้องผู้ป่วยไป....
       
       คุยกันมาถึงตรงนี้แล้ว อยากให้ท่านผู้อ่านลองสำรวจ มองดูรอบตัวๆ ซิครับว่า
       ทุกวันนี้ใครกัน ที่เป็นสามัญชนคนธรรมดา แต่ถูกพวกสอพลอสูบลมจนดูตัวพองโต ราวเหมือนจะละล่องลอยได้เหมือน...เทวดา!
       
       จะไปไหนมาไหนแต่ละที ไอ้พวกลิ่วล้อนายหน้าม้าใช้ (สำนวนอีตา ’รัญ) ต้องให้บังคับผู้คนลูกเด็กเล็กแดง ออกมาตั้งแถวต้อนรับเอิกเกริก
       
       ทำราวกับ รับเสด็จเจ้านายท่าน เลยทีเดียวเชียว!
       
       ร้ายยิ่งไปกว่านั้น ไอ้พวกจะเอาใจนาย ยังดันทะลึ่งบังคับให้เด็กๆและผู้คนที่เกณฑ์มา ต้อง ก้มกราน หมอบกราบไหว้วันทา ถวายบังคม เทวดาของพวกมัน แล้วยังเสือกแพร่ภาพออกมา ให้ผู้คนในบ้านในเมืองได้ดูกัน จนรู้สึกคันหัวอก เหมือนถูกหมามุ่ยโรยใส่หัวใจ เพราะพวกมันทำราวจะประกาศศักดาว่า
       
       เทวดาของพวกตัวนั้น สถิตอยู่เหนือบรรดาเหล่า ผู้มีบุญหนักบักใหญ่ทั้งมวล!
       
       ผู้ใหญ่ที่เคารพของผม เห็นรูปที่นำไปให้ท่านดูเข้าเท่านั้น เกิดอาการ ‘ของขึ้น’ ถึงกับกระหน่ำวิพากษ์วิจารณ์ ว่า
       
       “โอ้โฮ เฮะ!... ยังกะให้พวก ‘ยี่เก’ วิกตาหอมหวล ทำท่าถวายบังคมโต้โผเลย
       โว้ยยยย...” ลากเสียง “โว้ย” ซะยาวยืด แล้วขยับต่อ...
       
       “...ถ้า ‘อาจารย์หม่อม’ ซือแป๋ของกูยังอยู่ ท่านคงร้องด่าพวกมันไปแล้ว ว่า...”
       หยุดจิบกาแฟขมนิด ก่อนจะตะโกนปิดท้ายเสียงลั่น
       
       “ไม่กลัว ขี้กลาก-แดกหัวกบาล กันบ้าง หรือไงวะ...ไอ้พวกบ้า ****!!?”



 :43:  http://khunnamob.globat.com/backup/khunnamob/www.khunnamob.info/board/show.php-Category=khunnamob&No=626&forum=6&page=10&PHPSESSID=5df051bc51e3404a3b6bdcb9f62a03ba.htm
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 12, 2010, 04:12:16 pm »


   อาจารย์เสฐียรพงษ์ฯ ท่านบอกว่า นี่เป็นการยืนยันชัดเจนว่า แม้แต่พวกเทวดาเองนั้น ยังมองว่า โลกนั้นสำคัญที่สุด เป็น "สุคติ" ที่แท้จริง ประเสริฐกว่าเทวโลกด้วยซ้ำ แม้จะถูกจัดชั้นว่าเป็น ‘สุคติภูมิ’ เหมือนกัน
       
       ท่านผู้อ่านอาจสงสัยว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ท่านอาจารย์เฉลยต่อไป ว่า
       
       “เพราะเทพเขาถือว่า เป็นมนุษย์มีโอกาสดีกว่าเทพ มีโอกาสพัฒนาตนตามหลักอริยมรรคบรรลุมรรคผลนิพพานได้ ซึ่งเทวดาไม่สามารถทำได้ ถ้าอยากเป็นพระอรหันต์ ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์เท่านั้น”
       
       แสดงว่า ถ้าอยากเป็นพระอรหันต์ ต้องตั้งต้นจากการเป็นมนุษย์ ท่านอาจารย์พูดอย่างนี้ ทำให้เกิดสงสัยขึ้นมาครามครัน ว่า
       
       ท่านจตุคามรามเทพที่ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อฟังธรรมเป็นประจำนั้น ป่านนี้จุติเป็นมนุษย์และสำเร็จมรรคผลพระนิพพานไปหรือยัง!?
       
       ใครรู้ช่วยบอกผมด้วย
       
       ที่ประทับใจผมเหลือเกิน ก็ตรงที่ท่านท่าน อาจารย์ อ.เสฐียรพงษ์ฯ ราชบัณฑิต ย้ำว่า ขนาดเทวดายังดีใจ ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ แต่...
       
       “....ในขณะที่มนุษย์กลับดูถูกศักยภาพของตนเอง หวังพึ่งแต่เทพบันดาลอย่างเดียว...”
       
       อ่านจบแล้ว ยกมือขึ้นสาธุท่านอาจารย์ หูตาสว่างขึ้นมาเลยคิดว่า ไม่อยากเป็นแล้วเทวดา ขออยู่บนโลกฟังเทศน์ฟังธรรมดีกว่า เผื่อสะสมบารมีไว้หลายๆชาติ จะบรรลุอรหันต์ตามท่านอาจารย์ไปบ้าง...๕๕๕
       
       พูดถึงเรื่องเทวดาแล้ว ผมเคยเขียนความหลัง เกี่ยวกับท่านอดีตนายกรัฐมนตรี
       พล.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เอาไว้เมื่อเกือบหกปีแล้ว หลายท่านอาจไม่ได้อ่าน จึงขอนำมาเล่าซ้ำอีกครั้งในวันนี้
       
       ผมว่าเอาไว้อย่างนี้ครับ
       
       ...เทวดานั้น อาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งเป็นศิลปินเอกของเมืองไทย เคยสอนผมไว้ว่า
       ช่างไทยยุคก่อนที่วาดเทวดาไว้ตามผนังโบสถ์ ตามเรื่องในพุทธประวัติก็ดี หรือทศชาติก็ดี เป็นจินตนาการของศิลปินไทยโดยแท้ ที่กำหนดให้เทวดาในความคิดของบรรพบุรุษช่างไทย มีหน้าตาเป็นอย่างไร
       
       ผมอยากให้ท่านผู้อ่านออกจากบ้าน แล้วเดินด้วยเท้าไปทั้งวัน มองหน้าคนที่เดินสวนมาว่า คนไหนหน้าเหมือนเทวดาตามผนังโบสถ์บ้าง
       
       รับรองว่าไม่มี...ต่อให้เดินไปที่หน้ารัฐสภาด้วย....เอ้า!
       
       ที่เป็นดั่งนี้ เพราะเทวดาตามฝาผนังโบสถ์นั้น เป็นจินตนาการของช่างไทยแท้ๆ แตกต่างจากเทวดาแขก จีน และฝรั่ง โดยสิ้นเชิง
       
       พูดเรื่องนี้แล้ว ผมมีเรื่องสั้นๆ ที่จะเล่าให้ท่านฟัง เป็นเรื่องที่มีคนรู้น้อยมาก
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 12, 2010, 04:08:50 pm »


      ก่อนพระพุทธศาสนา จะเข้ามาเผยแพร่ในดินแดนสุวรรณภูมินั้น ศาสนาพราหมณ์มีบทบาทมาก่อน ตั้งแต่กษัตริย์เขมรรับเอาความเชื่อ ในศาสนาพราหมณ์และลัทธิไศเลนทรมาจากชวา และแผ่ความเชื่อนั้นเข้าครอบคลุมดินแดนย่านนี้
       
       ครั้นเมื่อศาสนาพุทธ เข้ามาลงหลักปักฐานมั่นคงในสุวรรณภูมิแล้ว แต่ความเชื่อดั้งเดิมก็ยังไม่สูญหายไป หากกลับเกลื่อนกลืนกันไปกับศาสนาพุทธ บางครั้งจึงดูคล้ายความศรัทธาในพระพุทธศาสนา เกาะกุมจิตใจคนไทยส่วนใหญ่ได้แล้ว แต่ยังเป็นศรัทธาที่อ่อนยวบ ไม่สามารถทำลายความเชื่อในเรื่องเทวดา ผีสาง นางไม้ อันมีมาแต่ดั้งเดิมลงไปไม่ได้ เลยมีการนับถือคู่กันเรื่อยมา
       
       จนถึงยุคแตกตื่น ‘จตุคามรามเทพ’ อย่างที่เห็นกัน
       
       ตรงนี้การศึกษาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ที่จะช่วยคลี่คลายปัญหา ความสับสนในเรื่องความเชื่อที่ถูกต้อง ของพุทธศาสนิกชนคนในชาติ เกี่ยวกับหลักการของพระพุทธศาสนาได้
       
       ต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ไม่ทราบได้ กว่าการศึกษาของผู้คน จะถึงขนาดแยกแยะแก่นแท้ของศาสนา ออกจากความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทวดาฟ้าดินต่างๆได้เด็ดขาด เพราะปัจจุบัน นี้ ก็ยังไม่สามารถลดความเชื่อในเรื่อง ‘เทพ’ ลงได้
       
       บางครั้งกระแสความศรัทธาในเทพยดา ก็โด่งล้ำออกมาอย่าง เช่น ยามบ้านเมืองตกอยู่ท่ามกลางกลิ่นอายอบอวล ของการปฏิวัติรัฐประหาร อีกทั้งความไม่สงบสุขยังปรากฏให้เห็นชัดเจนในบางภูมิภาคของประเทศ ราษฎรทุกข์ระทม ว้าเหว่ และขาดที่พึ่งทางจิตใจ
       
       จังหวะนี้เอง ที่เทพศักดิ์สิทธิ์อย่าง ‘จตุคามรามเทพ’ จึงถลันเข้ามามีบทบาททดแทน ความรู้สึกขาดที่พึ่งทางจิตใจ ให้กับผู้คนที่อ่อนไหว และไม่ไว้วางใจต่อสถานการณ์ ความเป็นไปของบ้านเมือง อย่างน้อยก็มีความรู้สึกว่า
       
       หากตนเองนั้น มีวัตถุมงคลรูปเทพศักดิ์สิทธิ์ ไว้ในความครอบครองแล้ว ตนเองนั้นจะได้มีเทพยดาที่ทรงมหิทธานุภาพ คอยปกปักรักษาตนอยู่ ซึ่งก็ดูไม่เป็นเรื่องเสียหายนัก และน่าจะมีผลอยู่บ้าง ในเรื่องการปลุกขวัญกำลังใจ ให้กับผู้มีศรัทธาความเชื่อเช่นนั้นด้วย
       
       เมื่อเร็วๆนี้เองอาจารย์ เสฐียรพงษ์ วรรณปก เขียนในคอลัมน์ประจำของท่านชื่อ ‘ รื่นร่มรมเยศ’ ของมติชนวันอาทิตย์ ว่า
       
       บางพระสูตรในพระไตรปิฎก พระพุทธองค์ถึงกับตรัสเตือนสติมนุษย์ว่า แม้แต่ในบรรดาเทวดาทั้งหลายเองนั้น เวลามีเทวดาตนใดจะจุติ (คือตาย) เพื่อนเทวดาที่อยู่บนสวรรค์ชั้นเดียวกัน จะพากันมาห้อมล้อม กล่าวอนุโมทนาด้วยความยินดีว่า
       
       "ยินดี ที่ท่านจะตายไปเกิดในสุคติ คือโลกมนุษย์"
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 12, 2010, 02:52:39 pm »





ธรรมะ HOW TO
ศาสตราจารย์ เสฐียรพงษ์ วรรณปก


เมื่อไม่กี่วันมานี้ ผมออกไปใส่บาตรพระสงฆ์ในต่างจังหวัด หลวงพี่รูปที่เคยรับบาตรประจำ ท่านทักทายแล้วถามไถ่ทุกข์สุข บอกว่าคุณโยมหายไปหลายวัน จึงกราบเรียนท่านว่ามีภารกิจที่กรุงเทพมา และได้ถวายหนังสือชื่อ ‘ธรรมะ HOW TO’ ของศาสตราจารย์ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิตไป ๑ เล่ม
       
       พระสงฆ์บ้านนอกนั้น ญาติโยมไม่ค่อยได้ถวายหนังสือ ทั้งๆที่เป็นสิ่งน่าถวายมากที่สุด เพราะท่านบวชแล้วจะได้เรียนไปด้วย อย่างที่เขาเรียกว่า “บวช-เรียน” แต่ญาติโยมชอบชอบถวายแต่หนังสือสวดมนต์กัน ทั้งๆแต่ละวัดก็มีแล้ว ควรหาหนังสือดีๆอย่างอื่นไปถวายท่าน ซึ่งน่าจะได้กุศลดีด้วย บางทีอาจเป็นอานิสงส์ส่งให้ลูกหลานของเรา กลายเป็นคนรักในหนังสือหนังหา และเอาใจใส่ในการเรียนก็เป็นได้
       
       หนังสือ‘ธรรมะ HOW TO’ นั้นอ่านได้สบายๆ แต่ให้ความรู้ที่เป็นแก่นทางศาสนาได้เป็นอย่างดี ท่านที่มีลูกหลานน่าจะหาติดบ้านเอาไว้ อาจารย์เสฐียรพงษ์ฯนั้น ท่านเป็นอัจฉริยะในด้านการศึกษาพระพุทธศาสนา เป็นสามเณรรูปแรกที่ได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค มีความสามารถในการบรรยาย และเขียนเรื่องธรรมะที่เข้าใจยาก ให้ชาวบ้านฟังหรืออ่านแล้ว ไม่รู้สึกเคร่งเครียดอย่างที่คนกลัวกัน กลายเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย ทั้งยังสนุกและชวนให้ติดตามด้วย เพราะท่านมีอารมณ์ขันเหลือเฟือ ผมเองติดทั้งหนังสือ และการบรรยายของท่านเป็นอย่างมาก บางครั้งก็หยิบเอาบางเสี้ยวส่วนในหนังสือ หรือข้อเขียนของท่านมาเขียนต่อ
       
       ฉะนั้น หนังสือของปราชญ์ใหญ่ท่านนี้ ออกมากี่เล่มๆ ผมต้องซื้อหามาอ่านหมด บางเล่มก็อ่านอยู่หลายเที่ยว เพราะคนกิเลสจับเขลอะอย่างคนเขียนนั้น ต้องอ่านให้มากหน เผื่อจะซึมซับเข้าไปกับเขาบ้าง
       
       เมื่อเร็วๆนี้ ท่านอาจารย์เสฐียรพงษ์ฯพูดทางโทรทัศน์ ในรายการเกี่ยวกับธรรมะของช่อง ๓ ตอนเช้าตรู่ ซึ่งมีคุณพัชรี พรหมช่วย พิธีกรที่ความสาวคงกระพัน เป็นผู้ดำเนินรายการ ท่านอาจารย์เสถียรพงษ์ฯบอกว่า
       
       ...น่าดีใจที่หนังสือธรรมะขายได้ดีในตอนนี้ เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า คนไทยสนใจธรรมะกันมากขึ้น...
       
       ผมฟังแล้ว เห็นด้วยทุกประการ ขอยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง เพราะสอบถามเจ้าหน้าที่ตามศูนย์หนังสือต่างๆ ก็พูดเช่นเดียวกัน อีกทั้งไม่นานนี้ ได้อ่านปรากฏการณ์แปลกในเรื่องการศึกษา เพราะข่าวต่างประเทศเขาบอกว่า ทั้งมหาวิทยาลัยใหญ่ๆในสหรัฐเช่น ฮาร์วาร์ด ปรินซ์ตัน เยล วิชาศาสนามีคนลงเรียนมากขึ้น จนน่าแปลกใจ!
       
       โลกเรานั้น แม้จะก้าวหน้าไปทางด้านวิทยาการมากขึ้น แต่ความเชื่อในเรื่องพระเจ้ากลับไม่ลดลง ดูตรงข้ามกับที่พระสันตะปาปาจอห์น ที่ทรงล่วงลับไปแล้ว เคยรับสั่งเอาไว้ด้วยความห่วงพระทัย และผมจำได้แม่นยำนัก ว่า
       
       “...ก่อนที่โลกของเราจะก้าวเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ วงการศาสนา (คริสต์) จะพบกับคำถามเรื่องพระเจ้ามากขึ้น!...”
       
       นั่นหมายความว่า เมื่อโลกาภิวัตน์มันพัดผ่าน คำถามเรื่อง ความมีอยู่จริงของพระผู้เป็นเจ้า อาจได้รับการท้าทาย น่าจะมีคำถามจากนักวิทยาศาสตร์มากขึ้น แต่การณ์กลับหาเป็นอย่างที่โป๊ปท่านทรงคาดคิดไม่ เพราะความศรัทธาในเรื่อง ‘พระเจ้า’ ของศาสนาที่เป็น ‘เทวนิยม’ นั้นหาได้ลดลงเลย แต่มีคนให้ความสนใจศึกษามากขึ้น
       
       ใช่แต่ศาสนา ‘เทวนิยม’ เท่านั้น ที่ได้รับการศึกษามากขึ้น แม้ศาสนาที่เป็น
       ‘อเทวนิยม’ อย่างพระพุทธศาสนา ที่ไม่มีเรื่องพระเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่มีการสวดอ้อนวอนต่อพระผู้สถิตบนสรวงสวรรค์ เพื่อทรงโปรดประทานพรให้ แต่คำสอนของพระพุทธองค์นั้น ซึ่งเป็นไปเพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ ก็ได้รับความสนใจใฝ่ศึกษามากขึ้น และอายุของผู้ศึกษาก็น้อยลง
       
       ตรงนี้น่าชื่นใจมาก!