ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: สิงหาคม 24, 2010, 05:36:33 pm »เรื่องของหลวงปู่ ตอนที่ ๑ หลวงปู่คือใคร
ถาม หลวงปู่ค่ะ ทำไมคนเขาถึงเรียกท่านว่าหลวงปู่ บางทีก็เรียกเป็นพระโลกอุดร
บ้าง เป็นพระองค์ที่ ๑๐ บ้าง เป็นพระพุทธเจ้าบ้าง
ตอบ ทำไมคนเขาถึงเรียกท่านว่าหลวงปู่ บางทีก็เรียกเป็นพระโลกอุดรบ้าง เป็น
พระองค์ที่ ๑๐ บ้าง เป็นพระพุทธเจ้า
การที่เขาเรียกว่าพระโลกอุดร เพราะปกติแล้วพระโลกอุดรถ้ามีชีวิตอยู่ตอนนี้ประมาณ
สามร้อยกว่าปี ชีวิตของพระโลกอุดรปกติจะไปไหนก็อิสระ จะมาไหนก็เป็นผู้ไม่ยึดไม่ผูกพัน และพระ
โลกอุดรมีชีวิตแปลกตรงที่ว่า ผู้ใดต้องการปรารถนาเห็นท่านจะไม่ได้เห็น ผู้ใดไม่ปรารถนาจะเห็น
หรือเมื่อหมดความปรารถนา สามารถจะเห็นได้ทุกเวลา และผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นพระโลกอุดร
ปกติที่พระโลกอุดรปฏิบัติท่านจะไปทุกที่ ที่มีธรรมชาติ และไปทุกที่ที่บุคคลทั้งหลายมีความทุกข์
ความเดือดร้อนใจ แล้วท่านจะแสดงออกซึ่งร่างกายที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ท่านอาจแสดงออกใน
รูปพระหนุ่ม อาจจะแสดงออกในรูปของพระผู้เฒ่า อายุ ๑๐๐ กว่าปี และอาจแสดงออกในรูปของ
สามเณร นี่เป็นปกติของพระโลกอุดร
ทำไมเขาจึงเรียกฉันเป็นพระโลกอุดร เพราะว่าคนทั้งหลายเหล่านั้นอยากจะเห็นฉันมาก
ก่อนที่จะมีวันในวันนั้น อยากจะเห็นฉันเป็นเวลาแรมปี แต่ก็ม่มีโอกาสได้เห็น เมื่อเขาสิ้นหวังที่จะได้
เห็น เขาก็ได้เห็นฉันในวันนั้น คงจะเป็นสาเหตุอย่างนี้กระมัง ที่เขาเรียกฉันว่า พระโลกอุดร ซึ่งเป็น
ความเข้าใจของชาวบ้าน แตยังไงฉันก็ยังเป็นพระปกติอยู่ หรืออาจไม่ใช่พระ เพราะมีพระมากมายมา
ถามฉันว่าเป็นพระหรือเปล่า ฉันบอกฉันไม่ใช่พระ พระดูกันตรงไหน จะบอกว่าดูกันที่รูปถ่าย การแต่ง
กายอย่างนี้ที่เป็นลักษณะของพระ ไม่ถูกต้อง พระมันอยู่ที่ใจ
พระองค์ที่ ๑๐ หมายความว่าอย่างไร
พระองค์ที่ ๑๐ ก็คือพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๑๐ พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๑๐ คือพระกกุสันธะ
เขานับเริ่มต้นจากพระกัสสปะองค์ที่ ๓ จนถึงพระกกุสันธะ รับภาระธุระหน้าที่เผยแพร่พุทธศาสนาด้วน
กฎเกณฑ์ กติกา ของธรรมชาติ ท่านไม่มรหลักการ ไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีตำราในสิ่งคำสอน มีแต่
เพียงว่า " ขอเธอทั้งหลายจงมุ่งมั่นหมายใจในการพิจารณาในสภาวะสิ่งแวดล้อม ให้เป็นธรรมะที่ถูก
ต้อง " นี่คือคำสอนของพระองค์ที่ ๑๐ ฉะนั้น คำสอนของฉันอาจจะเหมือนพระองค์ที่ ๑๐ ก็ได้
มีอีกครั้งหนึ่ง เขาเรียกฉันว่าพระพุทธเจ้า ทำไมเขาจึงเรียกฉันว่าพระพุทธเจ้า ครั้งนั้นฉัน
ไปนั่งอยูใต้ต้นโพธิ์ มีเก้าอี้แดงเวลานี้เขาก็สร้างศาลาเรือนแก้วไว้ให้ฉันอยู่ ก็ไม่รู้ว่าจะได้ไปอยู่หรือ
เปล่า วันที่เขาสร้าง เขาส่งคนมาขอรูป เพื่อจะไปหล่อรูปเหมือน ฉันก็บอกว่า เอ..ถ้าจะไม่เข้าท่า
ตรงที่คำสอนของฉัน สอนให้ทุกคนไม่ยึด ไม่ผูกพัน ไม่ติด ไม่รัดรึง ไม่กราบไหว้ ไม่เคารพบูชาใน
ตัวฉัน แต่จงเคารพในการปฏิบัติตัวเอง ซึ่งประกอบด้วยสติปัญญา ความสามารถและการเรียนรู้ แล้ว
ทำไมฉันจึงต้องส่งรูปไปให้เขาหล่อ ก็เลยไม่อนุญาตในการถ่ายรูป
ทำไมเขาถึงเรียกฉันว่าพระพุทธเจ้า เพราะฉันนั่งห้อยขา มีพระสมุนมือขวามานวดให้ฉัน
ก็คงจะนวด เพราะว่าเริ่มนั่งตั้งแต่ตี ๕ ถึง ๔ โมงเย็น เลือดลมมันก็ลงไปกองอยู่ที่พื้นหมด นวดไป
นวดมาเขาก็ไปพลิกฝ่าเท้า เขาบอกว่าเขาเห็นกงจักรที่ฝ่าเท้าทั้ง ๒ ข้างของฉัน เขาเลยพาลเรียก
ฉันว่าพระพุทธเจ้า ซึ่งฉันมามองอยู่ตั้งนาน ยังไม่เห็นกงจักรเลย ที่เห็นแนๆคือรอยฝ่าเท้า
นี่เป็นสาเหตุให้เขาเรียกฉันว่าพระโลกอุดร พระองค์ที่ ๑๐ พระพุทธเจ้า แล้วก็หลวงปู่ คำ
ว่า หลวงปู่ นี่เริ่มเรียกจากหมู่คนที่วัดนั้นเหมือนกัน
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นความถูกต้อง ไม่ถูกต้อง ฉันไม่เข้าใจ ฉันเข้าใจอยู่เพียงว่าใจฉัน
สบายเป็นปกติ มีความรู้สึกเฉยๆ ในคำเรียกเหล่านั้น และมีความรู้สึกไม่ผูกพัน ไม่ยึดถือ ไม่สนใจ
ถ้าฉันอยากไปแสดงตัว ง่ายนิดเดียว เดินไปพักเดียว เดี๋ยวก็ได้เจอความอัศจรรย์ นั่นก็จะเป็นเหมือน
สิ่งที่ผ่านมา พวดเราก็อย่าไปสนใจ อย่าไปวุ่นวายและอย่าไปสืบอายุ อย่าไปค้นหา ขอเพียงฉันเป็น
ผู้ให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจเป็นใช้ได้
ทีนี้คนจะเห็นฉันหนุ่ม เห็นฉันแก่ เห็นฉันขาว เห็นฉันดำ เห็นฉันอ้วน เห็นฉันมีอายุ
ปานกลาง มีอายุปฐมวัย ปัจฉิมวัย ยังไงก็แล้วแต่ นั้นถือว่าเป็นเรื่องตาของชาวบ้าน
ความจริงฉันไปวันนั้นไม่ได้มีเจตนาอะไร เพียงอต่ทำหน้าที่ในการแสดงออก ความจริง
วันนั้นมีพระประมาณ ๒๐๐ กว่ารูปในศาลาหลังเก่าริมน้ำวัดจันทาราม ซึ่งฉันก็ไปรวมอยู่กับพระทั้ง
หลายแต่บรรดาผู้คนทั้งหลาย ก็ไม่ทราบว่าตาจะสูงจะต่ำอบ่างไร ก็มาจับเอาฉันเริ่สต้นจากที่ฉันไปนั่ง
อยู่กับพระ ความจริงก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร แต่เมื่อพวกเราสงสัยอยากจะรู้
วันนั้นฉันไปนั่งอยู่ที่โคนต้นไม้ เป็นตอไม้อยู่ริมแม่น้ำสะแกกรัง ฉันกำลังเล่าเรื่องอดีต
ของการสร้างวัด แล้วก็เล่าเรื่องเจดีย์สามองค์ที่ล่มลงไปในแม่น้ำ กับลูกศิษย์ ๓ คนที่เขาตามไป
จากกรุงเทพฯ ในขณะที่เล่าอยู่นั้น มีชาวบ้านมาฟังหลายคน สุดท้ายฉันก็ไปสรงน้ำในแม่น้ำสะแก
กรัง วันนั้นมันคงจะเกิดปาฏิหาริย์ ในขณะที่ฉันสรงน้ำลำน้ำมันไหลทวนกลับ ปกติมันไหลลงใต้
พวกชาวบ้านเห็นเป็นเรื่องอัศจรรย์ผิดปกติ ตั้งแต่นั้น เลยนอนไม่ได้ กลางคืน ตี ๑ ตี ๒ ก็มาถ่าย
รูป จะนอนท่าไหนก็ถ่ายหมด เลยหลบไปอยู่ใต้พุ่มไม้ ก็มีคนตามไปที่พุ่มไม้ สุดท้ายก็ตามจองเวร
กันไม่รู้จักจบจักสิ้น
ครั้นรุ่งขึ้นเข้าไปนั่งสมาธิในโบสถ์เก่า มันก็พากันไปรอเป็นพันคน พอออกมาเสร็จเรียบร้อย ตั้งแต่ตี
ห้าครึ่งถึงสี่โมงเย็นไปไหนไม่ได้
ของถวายมีก๋วยเตี๋ยว ขนม กับข้าวมีมาก แต่ก็ฉันไม่ได้ มันมีหลายสาเหตุ
๑) กลางคืนทั้งคืนไม่ได้นอน กลางวันไม่ได้พัก โรคที่มันเป็นอยู่ในกระเพาะก็ทรมาน จึงทำให้ฉัน
อะไรไม่ได้
๒) ผู้คนมากันมากมาย พากันมานั่งรอ ถ้าจะไปนั่งฉัน ก็เป็นเรื่องผิดปกติวิสัย เพราะคนเหล่านั้นต้อง
การจะถามปัญหา ภาระธุระที่มีอยู่ ถือว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันอาหารไม่ได้
ตอนเย็นแล้วก็กลับมาที่พัก ความจริงแล้วเขาให้คนมานิมนต์ให้อยู่ต่อ แต่ฉันมีความ
รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้องที่ฉันต้องไปทำภาระอย่างอื่น การอยู่ต่อก็เป็นการมาผูกพัน รัดรึงเหนียว
แน่นเกินไปเลยรีบหนีออกมาตอนนั้น เขาก็ส่งคนมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่วันนั้นมา ฉันก็มีความรู้สึกไม่ถูกต้อง
ที่ส่งคนมา และขอรูปที่จะปั้นรูปไว้ วันนั้นเข้าใจว่าจะได้สตางค์ที่ติดกัณฑ์เทศน์ซึ่งชาวบ้านเขาถวาย
ตั้งแต่เช้าจรดเย็นก็ประมาณร่วมสามแสนกว่าบาท ทองอีกประมาณ ๒๗ บาท เพชรนิลจินดา แก้ว
แหวนเงินทองก็มากพอสมควร มากขนาดพานทองเส้นผ่าศูนย์กลาง ๕ นิ้วใส่ถึง ๓ พาน ฉันก็ไม่
ได้สนใจ มีพระที่นั่นเขาเก็บไป ไม่ใช่ว่าฉันให้เงินเขามากมาย แล้วเขาเรียกฉันว่าหลวงปู่หรอกนะ
คำเรียกหลวงปู่ เขาเริ่มเรียกตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันเหยียบเข้าไปในอุทัยธานี ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ฉันไป
ก็เป็นเรื่องธรรมดามันผ่านไปแล้วก็ผ่านไป
จาก http://malabuchakhun.blogspot.com/2014/03/10.html