สิกขิม เดิมเป็นประเทศเล็กๆที่มีกษัตริย์ปกครอง แต่ปัจจุบันแล้วกลายเป็นรัฐเล็กๆรัฐหนึ่งของอินเดีย ที่นี่เป็นอีกแห่งหนึ่งที่เราจะได้เห็นเทือกเขาหิมาลัยได้ใกล้ชิดมากขึ้น โดยเฉพาะส่วนยอดเขาที่สูงเป็นอันดับสามของโลก รองจาก Mt.Everest และ K2
ที่นี่ Mt.Kangchenjunga ปรากฏให้เราเห็นบนฟากฟ้าในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส
เบื้องต้นนั้น เราว่าจะไป Trekking กันแต่ด้วยเวลาที่จำกัด เราจึงไม่ได้ไป Trekking อย่างที่ตั้งใจไว้ แต่การไปเที่ยวสิกขิมครั้งนี้ก็ต้องใช้เวลาไปพอประมาณทีเดียว เนื่องจากแต่ละสถานที่สำคัญและน่าไปเที่ยวนั้นอยู่ห่างกันมาก และต้องไปด้วยเส้นทางที่ยากลำบาก แถมต้องเดินทางเป็นครึ่งค่อนวัน เราเริ่มต้นกันที่เมือง Gangtok ซึ่งอยู่ในส่วนของ East sikkim จากนั้นขึ้นไปทางเหนือคือ North Sikkim ไปเจอกับหิมะที่หนาวเย็นและหมู่บ้านชนบทที่น่ารักในแถบเทือกเขาหิมาลัย ย้อนลงมาทางใต้เข้าไปสู่ West Sikkim ก่อนที่จะกลับมาแวะเที่ยวที่เมืองดาร์จิริง เมืองที่ปลูกชาอันขึ้นชื่อติดอันดับโลก จากนั้นมาแวะที่กัลกัตตา 1 คืน แล้วกลับเมืองไทย
ในช่วงเวลา 10 กว่าวันที่สิกขิม ข้าพเจ้ามีความประทับใจมากทีเดียว ผู้คนที่นี่น่ารักไม่น้อย พวกเขาเป็นส่วนผสมของคนธิเบต เนปาล ภูฎาน และนับถือพุทธศาสนามหายานแบบธิเบต เราจะเห็นธงมนต์ปลิวไสวอยู่ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นในเมือง หรือที่หมู่บ้านเล็กๆ นอกเมือง รวมทั้งสองข้างทางที่รถผ่านและที่สะพานข้ามแม่น้ำ ผู้คนที่นี่มีศรัทธามั่นในพุทธศาสนาและส่วนใหญ่ทานมังสะวิรัต
ทุกหมู่บ้านมีวัด ในเมืองก็มีวัด และสถานที่สำคัญของสิกขิม ซึ่งพวกเขาแนะนำให้เราไปเที่ยวชมก็คือวัดสำคัญๆ ต่างๆ และวัดที่นี่มีความสวยงามและเงียบสงบมาก แม้จะเก่าแก่ แต่ก็ได้รับการดูแลอย่างดีสะอาดสะอ้าน บางวัดก็มีที่เก็บคัมภีร์โบราณทางพุทธศาสนาภาษาธิเบต มีผู้กล่าวว่าพระลามะนำมาที่นี่ตอนที่ธิเบตแตก
และที่ข้าพเจ้าได้พบเห็นก็คือ ไม่ว่าจะเป็นบ้านของชาวบ้านธรรมดาๆ หรือในโรงแรมที่พัก ในร้านอาหาร ในร้านขายของ มีรูปหนึ่งที่พวกเขาตั้งไว้สูงสุด นั่นคือรูปของท่านดาไล ลามะที่ 14 บางแห่งมีป้ายคำสอนของท่านติดใส่กรอบไว้เป็นภาษาอังกฤษด้วยซ้ำ ท่านเป็นที่เคารพนับถือของผู้คนที่นี่จริงๆ
ที่ Yuksom ข้าพเจ้าประทับใจกับการเดินขึ้นไปยังวัด Dubdi ซึ่งถือว่าเป็นวัดเก่าแก่ที่สุดของสิกขิม เราต้องเดินผ่านป่าอันร่มรื่นขึ้นไปยังวัดบนเนินเขา เหมือนเป็นการเดิน Trekking ช่วงสั้นๆ ได้พบเห็นธรรมชาติอันรื่นรมย์ ที่นี่ข้าพเจ้าและกัลยาณมิตรที่ปฎิบัติธรรมด้วยกัน จึงถือโอกาสอันดีในการ Walking Meditation
เราเดินขึ้นไปตามลมหายใจ และตามการก้าวย่างของเท้าทั้งสองข้าง เราเดินเพื่อที่จะเดิน ไม่ได้คิดถึงที่หมาย ไม่ได้คิดถึงการไปให้ถึง การเดินของเราจึงเป็นการเดินที่มีความสุข และไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแม้แต่นิด นี่คือการเดินเพื่อที่จะเดินอย่างแท้จริง และทำให้เรามีความสุขอยู่ในปัจจุบันขณะ มีความสุขในทุกย่างก้าวของเรา
และเมื่อไปถึงที่หมาย วัด Dubdi ก็อยู่ที่นั่นเบื้องหน้าของเรา
http://gotoknow.org/blog/sunmoola/170227