ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ความดีนำทาง:
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
ท่านจะปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อตกลงของเว็บใต้ร่มธรรมทุกประการหรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
พิมพ์คำว่า (แสงธรรมนำทางธรรมะนำใจ) ครับ:
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):
ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (It is never too late to mend):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: กันยายน 02, 2010, 01:30:59 pm »

 :13: อนุโมทนาสาธุครับ ขอบคุณครับพี่มด
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กันยายน 02, 2010, 10:37:01 am »

คำตอบของครูก็คือ

การพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่งาน
การตื่นตัวและพร้อมเสมอที่จะเผชิญกับสถานการณ์
ที่จะเกิดขึ้นอย่างสามารถและมีไหวพริบ
นี่แหละคือความมีสติโดยแท้


ไม่มีเหตุผลใดที่การมีสติ
จะต่างไปจากการพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่งานของ ตน
ตื่นตัวอยู่เสมอ และพร้อมจะตัดสินใจอย่างดีที่สุด
ในขณะของการปรึกษาหารือ การแก้ปัญหา
และการจัดการกับปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น

เราจะต้องมีหัวใจที่สงบและควบคุมตัวเองได้อย่างดี
การงานนั้นๆจึงจะได้รับผลเป็นที่น่าพอใจ


ผู้ปฏิบัติงานทุกคนคงตระหนักในข้อนี้

ถ้าเราอยู่ในภาวะที่ควบคุมตัวเองไม่ได้
ปล่อยให้ความไม่อดกลั้นและโทสะเข้าครอบงำ
งานของเราก็จะหมดความหมายและไร้คุณค่าทันที

การมีสติเป็นสิ่งอัศจรรย์ตรงที่ช่วยให้เราเป็นนายของตนเอง
และรักษาใจตนเองอยู่ได้ในทุกๆสถานการณ์


ลองคิดเปรียบอย่างนี้

นักมายากลผู้หนึ่งตัดส่วนต่างๆของร่างกายออกเป็นชิ้นๆ
และวางเอาไว้คนละทิศละทาง
เอามือไปไว้ทิศใต้ เอาแขนไว้ทิศตะวันออก เอาขาไปไว้ทิศเหนือ ฯลฯ

และด้วยอิทธิปาฏิหาริย์
พอร้องเพี้ยงเดียวส่วนต่างๆของร่างกาย
ก็รวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียว สู่สภาพปกติ

สติก็อุปมาอย่างนั้น มันมีปาฏิหาริย์ตรงที่
สามารถเรียกจิตใจที่พุ่งไปร้อยแปดทิศกลับมา
และถนอมรวมเข้าเป็นหนึ่ง
เพื่อเราจะได้มีชีวิตอยู่ในทุกขณะจิตของชีวิต



[ท่านติช นัท ฮันห์ (Thich Nhat Hanh)
หมู่บ้านพลัม (Plum Village) เมือง Bordeaux ประเทศฝรั่งเศส]




(ที่มา : ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ โดย ท่าน ติช นัท ฮันห์)


http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=33983
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กันยายน 02, 2010, 10:36:01 am »

โพธิอาสน์คือที่นั่งของพระพุทธเจ้าตอนตรัสรู้
ถ้าใครๆ ก็เป็นพุทธได้และพุทธนั้นไม่อาจนับได้
นั่นหมายความว่า ผู้บรรลุผู้เป็นพุทธะได้นั่งตรงที่ฉันนั่งมาแล้ว


การนั่งตรงที่เดียวกับพุทธะผู้นำมาซึ่งความสุข
และการนั่งในภาวะแห่งสติในตัวเอง
ก็แปลว่าได้กลายเป็นพุทธะแล้ว


กวี เงวียน คอง ทรู ได้สัมผัสในสิ่งเดียวกันนี้
เมื่อท่านนั่งตรงที่แห่งหนึ่ง
ท่านพลันเห็นคนอื่นๆ ที่เคยนั่งมาแล้วแต่อดีตกาลไกลโพ้น

และจะมีคนอื่นอีกนับไม่ถ้วน
ที่จะมานั่งตรงนั้นในอนาคตกาลข้างหน้า


ณ ที่ฉันนั่งในวันนี้
ผู้คนเคยนั่งมาแล้วในกาลแห่งอดีต
หนึ่งพันปี ผู้คนยังจะมานั่งอีก
ใครคือผู้ขับร้อง ใครคือผู้รับฟังกันหนอ

ณ สถานที่ตรงนั้น
ในขณะจิตที่ท่านกวีนั่งอยู่นั้นเป็นจุดเชื่อมสู่สัจภาวะ


แต่ไม่มีผู้ปฏิบัติงานของเราคนไหน
จะมีเวลาอย่างฟุ่มเฟือยที่จะเดินเล่นไปตามทางที่เขียวขจีไปด้วยหญ้า
และนั่งสงบอยู่ภายใต้ร่มเงาของแมกไม้

ผู้ปฏิบัติงานต้องเตรียมโครงงาน
ต้องปรึกษาหารือกับชาวบ้าน
ต้องพยายามแก้ไขอุปสรรคมากมายที่เกิดขึ้น
ต้องทำงานตามทุ่งนาและต้องเผชิญกับความทุกข์ยากทุกชนิด

ในช่วงเวลาเช่นนั้น
ผู้ปฏิบัติงานจะต้องมุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่งาน
เขาต้องตื่นตัวอยู่เสมอ
พร้อมจะเผชิญกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นอย่างสามารถและมีไหวพริบ

เธออาจจะถามครูว่า
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ทำอย่างไร


ผู้ปฏิบัติงานของเราจึงจะเจริญสติได้?
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กันยายน 02, 2010, 10:35:06 am »

ครูชอบเดินไปคนเดียวตามทางเท้าในชนบท
มีต้นข้าวต้นหญ้าเขียวขจีสองข้างทาง
ค่อยๆวางเท้าลงไปทีละก้าวๆ อย่างมีสติ

รู้ตัวว่ากำลังก้าวไปบนแดนมหัศจรรย์ ในชั่วขณะจิตเช่นนั้น

การดำรงอยู่ของชีวิตเป็นความจริงที่ลึกลับปาฏิหาริย์

คนเรามักจะคิดว่า
การเดินบนน้ำหรือบนอากาศเป็นเรื่องปาฏิหาริย์


แต่ครูว่าปาฏิหาริย์ที่แท้จริงมิใช่การเดินบนน้ำบนอากาศหรอก
หากแต่การเดินบนพื้นโลกนี่แหละเราอยู่กับความอัศจรรย์ทุกๆวัน


แต่เราไม่ตระหนักเอง ควง เธอ ลองคิดดู
ท้องฟ้าสีคราม หมู่เมฆสีขาว ใบไม้สีเขียว
และสีดำของดวงตาที่อยากรู้อยากเห็นคู่นั้นของไห เทรียว อัม ลูกสาวของเธอ

ดวงตาของเธอเองด้วยก็เป็นสิ่งอัศจรรรย์
เช่นเดียวกันกับท้องฟ้า หมู่เมฆ ใบไม้หลากสี
และดวงตาของหนูน้อยคู่นั้น

ท่านอาจารย์เซน ดอก เถ แนะไว้ว่า

เวลาจะนั่งสมาธิให้นั่งตัวตรงและนึกขึ้นในใจว่า

“นั่งตรงนี้เหมือนนั่งบนโพธิอาสน์”
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กันยายน 02, 2010, 10:34:03 am »

เวลาที่ผู้ปฏิบัติงานของเราเดินเข้าหมู่บ้านไปตามถนนฝุ่นแดง
เขาก็สามารถฝึกสติได้

ขณะที่กำลังเดินไปตามทางฝุ่น
มีหญ้าเขียวขึ้นเป็นหย่อมๆ สองข้างทาง

ถ้าจะฝึกสติเขาจะต้องรู้ตัวว่าเขากำลังเดินอยู่บนถนน

ถนนนั้นมุ่งไปสู่หมู่บ้าน
จะฝึกสติได้โดยการนึกอยู่ในใจตลอดเวลาว่า

“ฉันกำลังเดินไปตามทางเข้าหมู่บ้าน”

ไม่ว่าฝนจะตกแดดจะออกทางจะเปียกหรือจะแห้ง
ก็ให้นึกอย่างนั้นตลอดเวลา

แต่ต้องไม่ใช่การคิดแบบเครื่องจักรซ้ำๆซากๆ
การคิดแบบเครื่องจักรนั้นตรงข้ามกับการมีสติ

คนบางคนท่องบ่นชื่อของพระพุทธเจ้าดุจเครื่องจักร
แต่จิตใจฟุ้งซ่านไปหลายทิศทาง


ครูคิดว่าการท่องชื่อของพระพุทธเจ้าเช่นนั้น
แย่ยิ่งกว่าการไม่ท่องบ่นเลยเสียอีก

การเราฝึกการเจริญสติจริงๆ
ในขณะที่เดินไปตามทางเข้าหมู่บ้าน
เราจะรู้สึกว่าการก้าวเท้าออกไปแต่ละก้าวนั้น
เป็นความมหัศจรรย์อย่างยิ่ง


และจิตของเราจะเบิกบานเหมือนดอกไม้
นำเราก้าวเข้าสู่โลกของความเป็นจริง
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กันยายน 02, 2010, 10:33:17 am »

สตีฟทำอย่างไรขณะที่ช่วยโทนีทำการบ้าน
เอาผ้าอ้อมของซูไปร้านซักรีด
ทำไมเขาจึงสามารถฝึกสติไปด้วยได้


สตีฟกล่าวว่าตั้งแต่เริ่มพิจารณาว่า
เวลาที่ให้กับโทนีและแอนนั้นเป็นเวลาของเขาเองแล้ว
เขาก็มี “ เวลาของตัวเองอย่างไม่มีขีดจำกัด”

แต่บางทีอาจจะเป็นเพียงหลักการเท่านั้นก็ได้
เพราะคงมีเวลานับครั้งไม่ถ้วนที่เขาอาจลืมไป


โดยลืมคิดว่าเวลาที่เขาอยู่ทำการบ้านกับโทนีนั้นเป็นเวลาของเขาเอง

คงมีบางครั้งที่เขารู้สึกอยากให้เวลามันผ่านไปเร็วๆ
เพราะดูมันเป็นการเสียเวลาสำหรับเขา
ถ้าเวลานั้นไม่ใช่เวลาของเขาเอง

ดังนั้น ถ้าเขาต้องการเวลาของตนเองอย่างไม่มีขีดจำกัดจริงๆ
เขาต้องคิดตลอดเวลาว่า “นี่เป็นเวลาของฉัน”
ในขณะที่อยู่กับโทนี

แต่ในช่วงเวลานั้นๆ เป็นการหลีกเลี่ยงไม่ได้
หากจิตใจของเราจะวอกแวกด้วยความคิดอันอื่น


ดังนั้นหากใครต้องการจะให้
มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมตลอดเวลาละก็
ผู้นั้นก็ต้องเริ่มฝึกในช่วงเวลาที่จัดไว้สำหรับฝึกสมาธิ
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กันยายน 02, 2010, 10:30:53 am »

ในมหาสติปัฏฐานสูตรกล่าวไว้ว่า

"เมื่อเดินอยู่ ย่อมรู้ชัดว่าเราเดินอยู่
เมื่อยืนอยู่ ย่อมรู้ชัดว่าเรายืนอยู่
เมื่อนั่งอยู่ ย่อมรู้ชัดว่าเรานั่งอยู่
เมื่อนอนอยู่ ย่อมรู้ชัดว่าเรานอนอยู่

เธอตั้งกายไว้ด้วยอาการใดๆ ย่อมรู้ถึงกายนั้น
ด้วยอาการอย่างนั้นๆ ด้วยอาการนี้
ที่เธอเป็นผู้อยู่ด้วยสติมั่นคงเห็นกายในกาย "


แต่การมีสติรู้เท่าทันอาการต่างๆของกายนั้นยังไม่พอ

ในมหาสติปัฏฐานสูตรยังกล่าวว่า
เราต้องมีสติรู้พร้อมถึงลมหายใจแต่ละครั้ง
การเคลื่อนไหวแต่ละหน
ความคิดทุกความคิด
และความรู้สึกทุกความรู้สึก


พูดง่ายๆ ว่า มีสติรู้ทั่วพร้อมถึงทุกสิ่งที่เนื่องกับตัวเรา

เป้าหมายแห่งคำสอนในพระสูตรคืออะไร?

เราจะหาเวลาที่ไหนมานั่งฝึกสติที่ว่านี้

ถ้าผู้ปฏิบัติงานของเราใช้เวลาทั้งวันฝึกสติ
เราจะมีเวลาพอให้กับการทำงาน
เพื่อการเปลี่ยนแปลงและสร้างสรรค์สังคมใหม่ได้อย่างไร?


การเดินบนพื้นโลกเป็นเรื่องปาฏิหารย์
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กันยายน 02, 2010, 10:30:09 am »

ส้มผลหนึ่งมีหลายกลีบ
ถ้าเธอกินเป็นเพียงกลีบเดียว
เธอก็จะสามารถกินส้มทั้งผล
แต่ถ้ากินไม่เป็นแม้แต่เพียงกลีบหนึ่ง
เธอก็จะกินส้มทั้งผลไม่เป็นด้วย


จิมเป็นคนหัวไว พอครูพูดทัก เขาก็ค่อยๆวางมือลง
แล้วก็ใส่ใจกับส้มชิ้นที่อยู่ในปากอย่างจริงๆ เคี้ยวอย่างสุขุม
ก่อนที่จะก้มตัวลงหยิบชิ้นต่อไป อย่างที่ครูบอกแล้ว

ต่อมาภายหลัง เขาก็สามารถที่จะเข้าใจสภาพของห้องขัง
ในฐานะส้มกลีบหนึ่งและก็สร้างความสงบจากส้มกลีบนั้นได้

เมื่อ ๓๐ กว่าปีมาแล้ว ตอนที่ครูเพิ่งบวชใหม่ๆ
ครูได้รับหนังสือเล่มหนึ่งที่เขียนโดย
ภิกษุ ดอก เถ แห่งวัด เบ๋า เชิน
ชื่อ "หลักการที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน"


พระท่านสั่งให้ครูท่องจำให้ได้
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือบางๆ หนาไม่เกิน ๔๐ หน้า
แต่ได้บรรจุความคิดทั้งหมดที่ท่านภิกษุดอก เถ
ใช้ในการเจริญสติสัมปชัญญะในเวลาทำการงานต่างๆ

อย่างเช่นเมื่อตื่นนอนตอนเช้า
ท่านสอนให้นึกในใจก่อนอื่นใดหมดว่า

"อ้อ ฉันตื่นแล้ว ขอให้มนุษย์ทุกคนได้บรรลุความตื่นอันยิ่ง
และตาสว่าง ปราศจากอวิชชา มองเห็นแจ้งตลอด ๑๐ ทิศ "


หรือเมื่อตอนล้างมือ ท่านฝึกสติโดยนึกในใจว่า

"ฉันล้างมือขอให้เพื่อนมนุษย์ทุกคนจงมีมือที่บริสุทธิ์ไว้รองรับสัจธรรม"

ในหนังสือนั้นเต็มไปด้วยประโยคที่ว่านี้
เพื่อช่วยให้ผู้เริ่มปฏิบัติได้ฝึกสติตลอดเวลา


ท่านอาจารย์เซน ดอกเถ ได้ฝึกพวกเรา สามเณร
ให้รู้จักเจริญสติตามพระสูตรแต่เป็นแบบง่ายๆ
ไม่ว่าเธอจะทำอะไร จะห่มจีวร ล้างจาน เข้าห้องน้ำ
ม้วนเสื้อเก็บ หิ้วน้ำ แปรงฟัน อื่นๆ
เธอก็สามารถจะใช้ความคิดอันใดอันหนึ่งจากหนังสือเล่มนั้นได้

เพื่อช่วยให้เธอมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมว่าเธอกำลังทำอะไร
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กันยายน 02, 2010, 10:29:26 am »

ครั้งหนึ่งนานมาแล้วจิมกับครูนั่งกินส้มด้วยกัน
และคุยกันถึงสิ่งที่เราจะทำในอนาคต

ในตอนนั้นถ้าเมื่อไรเราคิดถึงโครงการที่น่าทำ
หรืองดงามได้สักโครงการหนึ่ง
จิมจะจมดิ่งเข้าไปในโครงการนั้นอย่างเต็มที่

จนพูดได้ว่าเขาลืมนึกว่า
เขากำลังทำอะไรอยู่ในขณะปัจจุบัน


จิมหยิบส้มใส่ปากชิ้นหนึ่ง
และยังไม่ทันจะเริ่มเคี้ยวส้ม
อีกชิ้นหนึ่งก็เตรียมจะตามเข้าไป
เขาหยิบส้มใส่ปากชิ้นแล้วชิ้นเล่า
แทบจะไม่มีจังหวะหยุดเลย
ดูแทบจะไม่รู้ตัวเอาเลยว่าเขากำลังกินส้ม

ครูต้องปลุกจิมให้ตื่นขึ้นมารับรู้ว่า
ตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
โดยบอกเขาว่า


" เธอควรจะกินส้มชิ้นที่เธอใส่เข้าไปในปากเสียก่อน "

ครูพยายามชี้ให้เขาเห็นว่า
เขาไม่ได้กินส้มอยู่เลย
เพียงแต่ใส่กลีบส้มเข้าปากกลีบต่อกลีบอย่างรวดเร็วเท่านั้น
ครูจึงดุเขา

และความจริงเขาก็ไม่ได้กินส้มอยู่จริงๆ
ถ้าจะพูดให้ถูกเขากำลังกิน "โครงการในอนาคต" มากกว่า


มีใครบางคนกล่าวไว้ว่า

"ถ้าคุณไม่ได้อยู่ในปัจจุบัน
เวลามอง คุณก็จะไม่เห็น
ฟังแต่จะไม่ได้ยิน กินแต่จะไม่ได้ลิ้มรส"
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กันยายน 02, 2010, 10:28:40 am »


 
 
ความสงบจากชิ้นส้ม
ท่านติช นัท ฮันห์

ถ้าหากว่าขณะล้างจาน
เราไปคิดถึงแต่ว่าเดี๋ยวจะดื่มน้ำชาหรือคิดถึง
เรื่องอื่นที่จะมาในอนาคต
เราก็จะรีบล้างจานให้เสร็จๆไป
เหมือนกับว่าเป็นงานที่น่ารำคาญเหลือเกิน

นั่นแหละ "เราไม่ได้ ล้างจานเพื่อที่จะล้างจาน" แล้ว

และยิ่งกว่านั้น ตอนล้างจานเราก็ไม่ได้มีชีวิตอยู่ด้วย
เราไม่อาจจะเข้าถึงความอัศจรรย์ของชีวิต
ขณะที่เรายืนอยู่ที่อ่างล้างจานได้ และถ้าเราล้างจานไม่เป็น

ตอนที่เราดื่มน้ำชาเราก็ไม่ได้ดื่มน้ำชาด้วย
เพราะเราจะมัวไปนึกถึงเรื่องอื่นเสีย
เกือบจะไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าเรามีถ้วยชาอยู่ในมือ
ด้วยเหตุนี้เราก็เลยหลงเข้าไปอยู่ในโลกของอนาคต


และจริงแล้วมันหมายความว่า
เรามีชีวิตอย่างแท้จริงไม่เป็นเลยสักนิดเดียว


เรื่องเกี่ยวกับส้มและจิมก็เป็นเหมือนอย่างนี้