ภาพ แผนที่ตั้ง Machu Picchu
จากการศึกษาของ Bingham ทำให้เชื่อว่าเมืองนี้น่าจะมีผู้อยู่ไม่กี่ร้อยคน และนี่คือพระราชฐาน ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ประทับพักผ่อนในหน้าร้อนของ Pachacute กษัตริย์พระองค์แรกของอาณาจักรอินคา ความคิดที่ว่า Machu Picchu เป็นพระราชฐานสำหรับพักผ่อนพระอิริยาบถของกษัตริย์อินคาของ Bingham สอดคล้องกับ Richard Burger จากการศึกษาหลักฐานที่ John Howland Rowe ได้พบเอกสารสำคัญเมื่อ 15 ปีก่อน เอกสารนั้นระบุว่ามีการฟ้องร้องของพระบรมวงศานุวงศ์ของกษัตริย์ Pachacute เพื่อขอกรรมสิทธิ์เหนือ Machu Picchu คืนจากรัฐบาลเปรู นอกจากนี้ นักโบราณคดียังมีความเห็นว่า Machu Picchu น่าจะแบ่งเป็น 3 เขต โดยเขตหนึ่งเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ มีวิหารที่สร้างเพื่ออุทิศแด่อินติ สุริยเทพที่ชาวอินคาบูชา เขตนักบวชและผู้สูงศักดิ์ และสุดท้ายเป็นเขตของสามัญชน
นอก จากนี้ในบรรดาโครงกระดูก 175 ชุดที่ขุดได้ ในบริเวณ Machu Picchu นั้น มีถึง 150 ชุดที่เป็นของผู้หญิง ทำให้ Bingham เชื่อว่า เมื่อเกิดการสู้รับกับสเปน ชาวอินคาได้นำตัวเหล่าสตรีมาหลบซ่อน ณ ที่แห่งนี้ เพื่อความปลอดภัย และให้พวกนางได้สวดมนต์ภาวนาต่อเทพเจ้าเพื่อช่วยปกป้องอินคาจากผู้รุกราน แต่เมื่อคำสวดอ้อนวอนมิเป็นผล เหล่าสตรีทั้งหลายจึงได้หลบซ่อนโดยใช้ชีวิตอยู่ ณ เมืองลี้ลับแห่งนี้ต่อไปนานราว 40 ปี จากโลกนี้ไป นอกจากนี้ จากการศึกษาข้อมูลต่างๆ รวมทั้งโครงกระดูก ทำให้ Burger กล่าวว่า ที่นี่เคยมีเหล่าจิตกรและศิลปินหลายคนเข้ามาพักอาศัย และจากโครงสร้างของกะโหลกศีรษะทำให้รู้ว่าบรรดาช่างประจำราชสำนักของอินคามี หลายเผ่าพันธุ์ อีกทั้งพบว่าสัดส่วนของสตรีต่อบุรุษมีในอัตราส่วน 3:2 และในบรรดาสตรีเหล่านั้นหลายคนมีร่องรอยการตั้งครรภ์ และเหตุว่าทำไม เมืองแห่งนี้จึงกลายเป็นเมืองร้างนั้นก็เพราะว่า ด้วยความที่เมืองนี้ตั้งอยู่บนชะงอนเขาสูง จากในรูปจะเห็นได้เลยว่าสูงเสียดฟ้าเพียงใด การเดินทางที่แสนทุรกันดาร งบประมาณการก่อสร้างที่สูง มันจึงไม่ใช่เมืองที่เหมาะแก่การลงหลักปักฐานในระยะยาว
การล่มสลายของอินคา ในยุคล่าอาณานิยม ชาวสเปน (Spanish) ได้เดินทางจากปานามาเพื่อสำรวจดินแดนทางใต้ และค้นพบจักรวรรดิอินคาโดยการนำของนายพล ฟรานโก ปิซาโร (Francisco Pizarro) การปิดฉากของอาณาจักรอินคาเกิดขึ้น ในปี ค.ศ. 1532 หลังจากที่ Pizarro ได้มาสำรวจดินแดนแห่งนี้มาแล้ว 2 ครั้ง และด้วยกำลังทหารไม่ถึง 200 คน ดูเหมือนไม่มากมายนักเมื่อเทียบกับเหล่านักรบอินคาราว 6,000 คน แต่ทว่าชาวอินคาในเวลานั้นกำลังอ่อนแอทั้งจากการระบาดของโรคฝีดาษ และจากสงครามแย่งชิงบัลลังก์ระหว่างอวสการ์กับอาตาอวลปาที่เพิ่งจบลง และที่ย่ำแย่ที่สุดคือ อาวุธและยุทธวิธีในการรบที่ล้าหลังเหล่าผู้บุกรุกอย่างมาก นี่เองที่ทำให้กองกำลังจากสเปนเพียงน้อยนิด จึงสามารถมีชัยเหนือชาวอินคาได้โดยง่าย สเปนได้สังหารจักพรรดิอะตาฮวลปา ผู้ที่กำลังจะเข้าพิธีสถาปนาเป็นจักรพรรดิองค์ที่ 6 หลังจากนั้น ชาวสเปนได้เข้ามามีอิทธิพลและบงการการเมืองการปกครองของชาวอินคาเรื่อยมา แม้จะมีความพยายามกอบกู้เอกราชจากบรรดาเชื้อพระวงศ์ของกษัตริย์อินคารุ่น ต่อๆมา แต่ไม่ว่าจะลุกขึ้นสู้สักกี่ครั้งก็ไม่สามารถทวงคืนอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ของ ตนคืนได้ จนกระทั่งถึงจักรพรรดิองค์สุดท้ายคือโอรสองค์ที่ 3 ของจักรพรรดิแมนโคอินคา ทรงพระนามว่า ทูปาอะมารู ได้ถูกทหารสเปนปลงพระชนม์ หลังจากนั้นสเปนก็ได้ยึดครองอินคาอย่างเบ็ดเสร็จ ท้ายสุดจักรวรรดิอินคา (Inca Empire ) ที่เคยรุ่งเรืองมานานนับพันๆปีก็ล่มสลายไปในปี ค.ศ. 1572
งที่โดดเด่นของมาชู ปิคชูก็คือ ผลงานทางด้านสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะสิ่งก้อสร้างที่เป็น อนุเสาวรีย์ขนาดมหึมาที่ก่อสร้างด้วยแท่งหินขนาดใหญ่ วางเชื่อมต่อกันอย่างสมดุล นับว่าเป็นเรื่องแปลกมากว่าพวกเขาเรียนรู้เทคโนโลยีการขนย้ายแท่งหินขนาด ยักษ์มาเรียงรายต่อกันสูงเป็นชั้นๆ ได้เรียบสนิท โดยไม่ใช้ล้อเลื่อนหรือลูกรอกแต่อย่างใด นับเป็นปริศนา ที่ไม่มีใครทราบจนกระทั่งบัดนี้..
ผู้นำชนเผ่าอินคาแต่ละยุคเน้นการสร้าง ถนนที่ดีเชื่อมกับเมืองทุกเมือง ภายในอาณาจักรโดยมีสายหลักสองสายจากเหนือลงไปใต้ และมีถนนสายรองลงมาตัดผ่านไปมา จากตะวันออกไปตะวันตกนับร้อยสาย เชื่อมติดต่อกันระหว่างเมืองและหมู่บ้านต่างๆ การเดินทางในสมัยนั้นชาวอินคาเดินทางโดยทางเท้า ผู้เดินทางมักจะเตรียมเสบียงอาหารตั้งค่ายพักแรม ระหว่างทาง โดยอาศัยตัวลามะลำเลียงไป สำหรับถนนสายหลักมักจะสร้างเรือนพักผ่อนเป็นระยะๆ นักค้นคว้าบางกลุ่มสรุปว่า ถนนหนทางในอาณาจักรอินคาที่เป็นสายหลักมี 2 สาย สายแรกเรียกว่า ถนนกษัตริย์หรือจักรพรรดิ ซึ่งมีชื่อว่า คาปัคนาน สร้างผ่านเทือกเขาแอนดีส จากพรมแดนอาณาจักรที่แม่น้ำอังคัสมาโยผ่าน เอกวาดอร์ เปรู โบลิเวีย อาร์เจนตินา ลงไปถึงชิลี และไปสิ้นสุดที่เมืองริโอมวล ถนนนี้ยาว 3,250 ไมล์ และผู้นำชนเผ่าอินคาได้สร้างปราสาทหินไว้เป็นสัญลักษณ์
ส่วนถนนเลียบชายฝั่งทะเลเริ่มจากทัมเบส เมืองพรมแดนเหนือสุดของอาณาจักรอินคา ตัดลงมาทางใต้ผ่านทะเลทรายบราเซ็น ผ่านเปรู ตัดเข้าไปในชิลีเชื่อมกับถนนอีกเส้นหนึ่งที่เมืองโคเปียโป ซึ่งตัดลง มาจากอาร์เจนตินา และต่อลงมาสิ้นสุดที่เมืองริโอมวลในชิลี ถนนเส้นนี้ยาวประมาณ 2,520 ไมล์
เป็นที่สังเกตได้ว่า ถนนจักรพรรดิ หรือที่เรียกว่าคาปัคนานที่ยาว 3,250 ไมล์นั้น ปรากฏว่ายาวกว่าถนนที่ยาว ที่สุดในโลกในสมัยอาณาจักรโรมันเสียอีก