ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2010, 11:17:59 pm »เข้าเฝ้าพระพุทธองค์
ดังนั้นกาฬุทายีอำมาตย์จึงไปยังกรุงราชคฤห์ ครั้นเมื่อไปถึงพอดีเป็นเวลาพระศาสดาทรงแสดงธรรม จึงยืนฟัง ธรรมอยู่ข้างท้ายบริษัท พร้อมด้วยบริวาร เมื่อจบเทศนาหมู่อำมาตย์นั้นก็ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมทั้งปฏิสัมภิทา พระบรมศาสดาทรงประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทา
จำเดิมแต่วันที่พระอุทายีเถระมาแล้ว เวลาได้ล่วงไป ๗-๘ วัน ในวันเพ็ญเดือน ๔ พระอุทายีเถระนั้นคิดว่า ฤดูเหมันต์ก็ล่วงไปแล้ว ฤดูวสันต์กำลังย่างเข้ามา พวกมนุษย์ถอนข้าวกล้าไปแล้ว ทำให้หนทางในที่ที่ตรงหน้าชุ่ม แผ่นดินดาดาษไปด้วยหญ้าเขียวสด ราวป่ามีดอกไม้บานสพรั่ง หนทางเหมาะแก่การที่จะเดิน กาลนี้เป็นกาลที่พระทศพลจะทรงกระทำการสงเคราะห์พระญาติ
ลำดับนั้น พระอุทายีเถระเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พรรณนาหนทางเสด็จเพื่อต้องการให้พระทศพลเสด็จไปยังพระนครของราชสกุล ด้วยคาถาประมาณ ๖๐ คาถา ความว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ หมู่ไม้ทั้งหลายมีดอก และใบสีแดงดุจถ่านเพลิง ผลิผล สลัดใบเก่าร่วงหล่นไป หมู่ไม้เหล่านั้นงดงามรุ่งเรืองดุจเปลวเพลิง
ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรใหญ่ เวลานี้เป็นเวลาสมควรอนุเคราะห์หมู่พระญาติ
ข้าแต่พระองค์ผู้แกล้วกล้า หมู่ไม้ทั้งหลายมีดอกบานงดงามดี น่ารื่นรมย์ใจ ส่งกลิ่นหอมฟุ้งตลบไป ทั่วทิศโดยรอบ ผลัดใบเก่า ผลิดอกออกผล เวลานี้เป็นเวลาสมควรจะหลีกออกไปจากที่นี้ ขอเชิญพระพิชิตมาร เสด็จไปสู่กรุงกบิลพัสดุ์เถิด
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ฤดูนี้ก็เป็นฤดูที่ไม่หนาวนัก ไม่ร้อนนัก เป็นฤดูพอสบาย ทั้งมรรคาก็สะดวก ขอพวกศากยะและโกลิยะทั้งหลาย จงได้เข้าเฝ้าพระองค์ที่แม่น้ำโรหิณี อันมีปากน้ำอยู่ทางทิศใต้เถิด
ชาวนาไถนาด้วยความหวังผล หว่านพืชด้วยความหวังผล พ่อค้าผู้เที่ยวหาทรัพย์ ย่อมไปสู่สมุทรด้วยความหวังทรัพย์ ข้าพระองค์อยู่ในที่นี้ ด้วยความหวังผลอันใด ขอความหวังผลอันนั้น จงสำเร็จแก่ข้าพระองค์เถิด
ชาวนา หว่านพืชบ่อย ๆ ฝนตกบ่อย ๆ ชาวนาไถนาบ่อย ๆ แว่น แคว้นสมบูรณ์ด้วยธัญญาหารบ่อย ๆ พวกยาจกเที่ยวขอทานบ่อย ๆ ผู้เป็นทานบดีให้บ่อย ๆ ครั้นให้บ่อย ๆ แล้ว ย่อมเข้าถึงสวรรค์บ่อย ๆ บุรุษผู้มีความเพียร มีปัญญากว้างขวาง เกิดในสกุลใด ย่อมยังสกุลนั้นให้ บริสุทธิ์สะอาดตลอด ๗ ชั่วคน
ข้าพระองค์ย่อมเข้าใจว่า พระองค์เป็นเทพเจ้าประเสริฐกว่าเทพเจ้าทั้งหลาย ย่อมทรงสามารถทำให้สกุลบริสุทธิ์ เพราะพระองค์เกิดแล้ว โดยอริยชาติ ได้สัจนามว่า เป็นนักปราชญ์
สมเด็จพระบิดาของพระองค์ ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ทรงพระนามว่าสุทโธทนะ สมเด็จพระนางเจ้ามายาพระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ เป็นพระพุทธมารดา ทรงบริหาร พระองค์ผู้เป็นพระโพธิสัตว์มาด้วยพระครรภ์ เสด็จ สวรรคตไปบันเทิงอยู่ในไตรทิพย์ สมเด็จพระนางเจ้ามายาเทวีนั้น ครั้นสวรรคตจุติจากโลกนี้แล้ว ทรงพรั่งพร้อมด้วยกามคุณอันเป็นทิพย์ มีหมู่นางฟ้าห้อมล้อม บันเทิงอยู่ด้วยเบญจกามคุณ
พระบรมศาสดาครั้นเมื่อได้ฟังพระอุทายีเถระพรรณนาดังนั้น จึงตรัสถามถึงเหตุที่พระอุทายีเถระได้พรรณนาถึงการดังกล่าว พระอุทายีเถระกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเจ้าสุทโธทนมหาราช พระชนกของพระองค์ มีพระประสงค์จะพบเห็นพระองค์ ขอพระองค์จงกระทำการสงเคราะห์พระญาติ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ถูกพระเถระอ้อนวอนแล้วอย่างนั้น ทรงเห็นว่า ประชาชนเป็นอันมากจะได้บรรลุคุณวิเศษ เพราะการเสด็จไปกรุง กบิลพัสดุ์ในครั้งนั้น จึงมีพระดำรัสให้พระเถระแจ้งแก่ภิกษุสงฆ์ เพื่อภิกษุทั้งหลายจักได้บำเพ็ญคมิกวัตรสำหรับผู้จะไป พระเถระรับพระพุทธดำรัสแล้วบอกแก่ภิกษุสงฆ์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้อมล้อมด้วยภิกษุขีณาสพทั้งสิ้นสองหมื่นองค์คือ ภิกษุผู้เป็นกุลบุตรชาวอังคะและมคธะหมื่นองค์ ภิกษุผู้เป็นกุลบุตรชาวเมืองกบิลพัสดุ์หมื่นองค์ เสด็จออกจากกรุงราชคฤห์ เสด็จเดินทางวันละหนึ่งโยชน์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริว่า จักเสด็จจากกรุงราชคฤห์ถึงกรุงกบิลพัสดุ์ทาง ๖๐ โยชน์ โดยเวลา ๒ เดือน จึงเสด็จหลีกจาริกไปโดยไม่รีบด่วน ฝ่ายพระเถระคิดว่า จักกราบทูลความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกมาแล้วแก่พระเจ้าสุทโธทนะ จึงเหาะขึ้นสู่อากาศไปปรากฏในพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าสุทโธทนะ. พระราชาทรงเห็นอุทายีอำมาตย์ในเพศสมณะที่ไม่เคยทรงเห็นมาก่อน จึงทรงจำไม่ได้แล้วจึง ตรัสถามว่า ท่านเป็นใคร? พระเถระตอบว่า ถ้าพระองค์จำอาตมภาพผู้เป็น บุตรอำมาตย์ที่พระองค์ส่งไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้ไซร้ ขอพระองค์ จงทรงรู้อย่างนี้เถิด ดังนี้ จึงกล่าวคาถาสุดท้ายว่า
อาตมภาพ เป็นบุตรของพระพุทธเจ้า ผู้ไม่มีสิ่งใดย่ำยีได้ มีพระรัศมีแผ่ซ่านจากพระกาย ไม่มีผู้เปรียบปาน ผู้คงที่ ดูก่อนมหาบพิตร พระองค์เป็นพระบิดาของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นพระบิดาแห่งอาตมภาพ ดูก่อนมหาบพิตร พระองค์เป็นพระอัยการของอาตมภาพโดยธรรม
พระราชาเมื่อทรงจำพระเถระได้แล้วทรงดีพระทัย นิมนต์ให้นั่งบนบัลลังก์อันมีค่ายิ่ง ทรงถวายบาตรบรรจุให้เต็มด้วยโภชนะมีรสเลิศต่าง ๆ ที่เขาจัดเตรียมไว้แก่พระเถระ พระเถระลุกขึ้นแสดงอาการจะไป พระราชาตรัสนิมนต์ให้นั่งฉันยังที่ที่จัดไว้ พระเถระทูลว่าจะไปฉันยังสำนักของพระศาสดา. พระราชาตรัสถามถึงที่อยู่ของพระศาสดา พระอุทายีเถระทูลว่าขณะนี้พระศาสดามีภิกษุ ๒ หมื่นเป็นบริวาร เสด็จออกจาริกเพื่อจะเห็นพระองค์
พระเจ้าสุทโธทนะทรงดีพระทัยตรัสว่า ท่านฉันภัตตาหารนี้แล้วจงนำบิณฑบาตจากพระราชนิเวศน์นี้ไปถวายพระโอรสนั้น จนกว่าพระโอรสของเราจะถึงพระนครนี้. พระเถระรับแล้ว พระราชาอังคาสพระเถระ พระเถระกระทำภัตกิจเสร็จแล้ว บอกธรรมถวายแด่พระราชา และบริษัท ก็ทำคนในพระราชนิเวศน์ทั้งหมดให้เลื่อมใสในพระรัตนตรัย
ครั้นแล้วพระเจ้าสุทโธทนะก็ตรัสให้อบบาตรด้วยจุณหอม บรรจุเต็มด้วยโภชนะอันอุดม แล้ววางไว้ที่มือของพระเถระ โดยตรัสว่า ท่านจงถวายพระตถาคต พระเถระก็ได้แสดงฤทธิ์ท่ามกลางชนชาววังทั้งปวง โดยได้โยนบาตรขึ้นไปบนอากาศ ส่วนตนเองก็เหาะขึ้นสู่เวหาสนำบิณฑบาตไปวางเฉพระที่พระหัตถ์ของพระศาสดาโดย ตรง พระศาสดาเสวยบิณฑบาตนั้น พระเถระได้นำบิณฑบาตมาถวายพระบรมศาสดาทุกวัน ๆ โดยลักษณะเช่นนี้. แม้พระศาสดาก็เสวยบิณฑบาตเฉพาะของพระเจ้าสุทโธทนะเท่านั้น
ฝ่ายพระเถระในเวลาเสร็จภัตกิจทุกวัน ได้ทูลพระราชาว่าวันนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาสิ้นระยะทางมีประมาณเท่า นี้ วันนี้เสด็จมาสิ้นระยะทางมีประมาณเท่านี้ และได้ปลูกความเชื่อในพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เกิดขึ้น แก่เจ้าศากยะทั้งหลาย ด้วยกถาปฏิสังยุตด้วยพุทธคุณ
การที่พระเถระได้กระทำราชสกุลทั้งสิ้นให้มีความเลื่อมใสเกิดขึ้นในพระศาสดา ด้วยธรรมีกถาอันสัมปยุตด้วยพุทธคุณ ด้วยเหตุนั้นแหละ พระศาสดาจึงสถาปนาพระอุทายีเถระนั้นไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายพระกาฬุทายีนั้นเป็นเลิศกว่าพระสาวกทั้งหลายของเราผู้ ยังตระกูลให้เลื่อมใส.
เกิดร่วมสมัยกับพระโพธิสัตว์
ท่านได้เกิดร่วมชาติกับพระโพธิสัตว์อยู่หลายชาติ ดังที่ปรากฏในชาดกต่าง ๆ เช่น
เกิดเป็น เป็นท้าวสักกะ พระพุทธองค์เสวยพระชาติ ร่วมกับพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระกัสสปะ พระอนุรุทธะ พระปุณณะ และ พระอานนท์ เป็น ๗ พี่น้อง ใน ภิสชาดก
เกิดเป็นพระเจ้าวิเทหราช พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็นมโหสถบัณฑิต ใน มโหสถบัณฑิตชาดก
ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk-great-index-page.htm
อนุโมทนาครับ