ตอบ

ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
ท่านจะปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อตกลงของเว็บใต้ร่มธรรมทุกประการหรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
พิมพ์คำว่า (แสงธรรมนำทางธรรมะนำใจ) ครับ:
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):
ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (It is never too late to mend):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: คนหนึ่งคน
« เมื่อ: กันยายน 14, 2010, 07:23:48 pm »

ยาวมากๆ เลย
ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: สิงหาคม 25, 2010, 07:38:11 pm »

 :13: อนุโมทนาครับ ขอบคุณครับพี่มด
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: สิงหาคม 25, 2010, 04:41:49 pm »



 
 
 
4.4 จาก จักรวาลโบราณคดี สู่ จิตวิญญาณโบราณคดี



จากข้อมูลประวัติศาสตร์ที่ซ่อนเร้นของมนุษยชาติทั้ง 3 แบบ ที่เราพูดมานี้หลายคนอาจจะบอกว่า ไม่เห็นตรงกันเลย เหมือนต่างคน ต่างพูด ดูไปแล้วทั้งหมดอาจจะมั่วก็ได้ ผมเองก็ยอมรับว่า นี่คือสิ่งที่มีปัญหาที่สุดของการค้นคว้าในเรื่องนี้เพราะทุกคนพูดไม่ตรงกัน และนำมาปะติดปะต่อกันไม่ได้ และก็ไม่เข้ากับข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่แบบ เผยแจ้ง อีก อย่างไรก็ตาม หากเรายอมรับว่าเป็นไป ได้ที่อาจจะมีการระบุเวลาคลาดเคลื่อนโดยเฉพาะข้อมูลที่มาจากการสื่อสัญญาณและหากเราพิจารณาเฉพาะประเด็นหลัก ๆ ของประวัติศาสตร์ในแต่ละชุด เราสามารถค้นพบความคล้ายคลึงกันได้บ้างไม่มากก็น้อย

เพราะทุกฝ่ายพูดตรงกันหมดคือ ตำนานน้ำท่วมโลก กับมีอารยธรรมที่รุ่งเรืองก่อนน้ำท่วมโลก ไม่ว่าเราจะเรียกชื่อว่าอะไรก็ตาม ทำให้มีความเป็นไปได้สูงมากทีเดียวที่จะมีอารยธรรมที่ว่านี้จริง ส่วนความสอดคล้องเรื่องอื่น ๆ ที่เราไม่น่ามองข้ามคือ

( 1 ) ทั้ง Bailey และ Kryon พูดถึงการลงมา สวม ร่างกายของจิตวิญญาณชั้นสูงเหมือนกัน เพราะนั่นเป็นที่มาของการรับรู้ตัวตนของ มนุษย์หรือจิตมนุษย์ ข้อต่างคือ Bailey กล่าวว่า ลงมาสวมร่างของมนุษย์วานรที่ถูกปรับแล้ว ขณะที่จิตจักรวาลและครายออนกล่าว่า มนุษย์มาจากการโคลนนิ่งของรูปธรรมจากดวงดาวเจ็ดพี่น้อง

( 2 ) ทั้ง Bailey และ Kryon พูดถึงการตัดสินใจและความเปลี่ยนแปลง 2 ครั้งใหญ่ ๆ เหมือนกัน โดยเฉพาะ การเปิดประตูอภิเษก และการทำให้มี ทวิภาวะ ของ Bailey และการเพิ่มความเข้มของม่านบดบังความมี 2 ภาค ทั้ง 2 ครั้งมีผลกระทบสู่การล่มสลายของ อารยธรรมก่อนยุคน้ำท่วมโลกทั้งสิ้น ข้อต่างคือ Handcock คิดว่า การเกิดน้ำท่วมโลกเป็นเรื่องของภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นตามวัฏฏะของ จักราศี โดยที่มหาปิรามิดถูกสร้างขึ้นเพื่อเตือนภัยคนรุ่นหลังเกี่ยวกับอันตรายนี้ แต่จะบังเอิญหรืออย่างไรไม่ทราบ ภัยธรรมชาติที่ว่านี้ Handcock ก็เห็นว่า เกิดขึ้นมาจากการปรับขั้วแม่เหล็กโลก ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของครายออนและจิตจักรวาล


ที่เราไม่มีทางพิสูจน์ได้ก็คือ เรื่อการ ปรับ ครั้งแรกของครายออนและการล่มสลายชนิดสูญพันธุ์ของอารยธรรมที่รุ่งเรืองใยยุคนั้น ซึ่งเป็นอารยธรรมแบบนาย-ทาส อย่างไรก็ตาม ร่องรอยตำนานของอารยธรรมที่รุ่งเรืองขนาดมีจานบินขี่และเป็นอารยธรรมนาย-ทาส นั้นกลับไปปรากฏในงานถอดรหัสจารึกโบราณของ เซกาเรีย สิทจิน ( Zecharia Sitchin ) นักโบราณคดีเจ้าของทฤษฎีดาวเคราะห์ดวง ที่ 12 ( รายละเอียดโปรดดู มังกรจักรวาล ภาค 2 เทพอวตาร บทที่ 7 หัวข้อ 7.8 ) กล่าวคือ สิทจินคิดว่า เทพเจ้า ที่ปรากฏอยู่ในตำนาน โบราณ คือรูปธรรมที่มาจากดาว นิบิล ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 12 ในระบบสุริยะ ซึ่งมีวงโคจร 3 , 600 ปี ถึงจะมาใกล้โลกครั้งหนึ่ง รูปธรรมเหล่านี้ต้องการแร่ธาตุบนโลก จึงลงมาดัดแปลงพันธุกรรมของมนุษย์วานรเอาไว้ใช้เป็นทาส ซึ่งมนุษย์วานรดัดแปลงเหล่านี้คือ ต้นกำเนิดของพวกเรานั่นเอง ฟังดูแล้วก็เป็นตุเป็นตะดีเหมือนกัน แต่จะว่าสิทจินนั่งเทียนเขียนก็ไม่ได้ เพราะเขามีข้อมูลทางโบราณคดี ที่แน่นหนามาก
ข้อเท็จจริงอีกอย่างหนึ่งคือ ไม่มีใครรู้ระยะเวลาที่แท้จริงของเรื่องราวในตำนาน หากมันเกิดขึ้นจริงและไม่มีใครรู้ว่าระยะห่างระหว่าง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสมัยที่มันถูกบันทึกห่างกันเท่าไร หากข้อเสนอของผมเกี่ยวกับความคลาดเคลื่อนของความเข้าใจ เรื่องแอตแลนติส 2 ยุคเกิดขึ้นจริง ก็เป็นไปได้ที่สิทจินอาจจะถอดรหัสบางตัวพลาด เป็นที่น่าสังเกตว่า อารยธรรมนาย-ทาส ของทั้งสิทจินและของครายออน นั้นมีความไกล้เคียงกันมากทั้งประเด็นหลักและรายละเอียด แต่สิทจิน อาจจะชอบใจกับแนวคิดของ Von Daniken เรื่อง " พระเจ้าจากต่างดาว " ที่โด่งดังมาก่อนงานของเขา เขาจึงเข้าใจว่า เทพเจ้า เหล่านั้นมาจากดาว นิบิล ซึ่งเป็นข้อเสนอที่อ่อนที่สุดของเขา เพราะถ้ามันอยู่ในระบบสุริยะของเราจริง ๆ เราน่าจะค้นพบนานแล้วหรือน่าจะมีหลักฐานที่พูดถึงมากกว่านี้
ทำไมผมจึงมีข้อสันนิษฐานเรื่องความคลาดเคลื่อนของแอตแลนติส 2 ยุค ? เหตุผลของผมก็คือ ( 1 ) จิตวิทยาลึก ๆ ของคนในเรื่อง ตำนานการสิ้นโลกกับ ( 2 ) ตำนานผู้รอดชีวิต กล่าวอย่างสั้น ๆ คือ มันเป็นความกลัวระดับฝังรากลึกของผู้คน ( ครายออน เรียกว่า seed fear ความกลัวที่เป็นหน่อพันธุ์ ) ในเรื่องตำนานวันสิ้นโลกแบบวิบัติ คือไม่มีใครเหลือรอดชีวิตเลย แทบทุกศาสนาและความเชื่อ ในหลาย ๆ วัฒนธรรมก็ปรากฏคำทำนายทำนองนี้ทั้งสิ้น ทีนี้ถ้าหากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นมีผู้รอดชีวิต ความกลัวเรื่องสิ้นโลก มันก็ไม่น่าจะฝังอยู่ลึกมากในจิตใจขนาดนั้นไม่ว่าเราจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม มันเหมือนมีนัยว่า จิตไร้สำนึกรวมหมู่ของเรามีข้อมูลเหล่านี้ ผนึกประทับเอาไว้ว่า เราเคยสูญพันธุ์กันมาครั้งหนึ่งแล้วและกลับมาเกิดใหม่ บังเอิญทั้งหมดที่ผมค้นคว้ามา ครายออน เป็นเพียงข้อมูลเดียวที่พูดถึงการล่มสลายระดับไม่มีใครเหลือรอดชีวิตเลย มันจึงน่าถือไว้เป็นตัวตั้ง หรือข้อสมมติฐานก่อนจนกว่า จะมีข้อมูลอื่นมาขัดแย้ง


เหตุผลอย่างที่สอง เรื่องตำนานผู้รอดชีวิตจากน้ำท่วมโลก เหตุที่รอดก็เพราะมีการเตรียมตัวล่วงหน้า ซึ่งมีนัยว่า หายนะภัยที่เกิดขึ้น สมัยน้ำท่วมโลกนั้นมันไม่ได้เกิดแบบฉับพลัน มีการรู้ล่วงหน้าด้วยวิธีบางอย่างและวางแผนรับมือ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงมากที่ การล่มสลายของอารยธรรมโบราณอาจจะมี 2 ครั้ง ใหญ่ ๆ จริงตามที่ครายออนกล่าว ปัญหาที่เหลือก็คือ เมื่อเทียบกับข้อมูลของ Wilson มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่ในยุคสมัยนั้น คือ 250 , 000 ปี - 300 , 000 ปี ก่อนคริสตกาลจะเกิดอารยธรรมสมองขวา หรืออารยธรรมแห่ง พลังอำนาจทางวิญญาณที่ก้าวหน้าถึงขนาดสร้าง ยานบิน ได้ ? หากอ่านระหว่างบรรทัดของ Wilson เขาคงคิดว่ามันเป็นไปได้ แต่อย่างไรทั้งหมดมันก็เป็นเพียงสมมติฐานใหม่ในเรื่องจักรวาลโบราณคดีเท่านั้น และคงไม่มีทางพิสูจน์ได้ด้วย ถ้าเป็นเช่นนี้ เราควรสนใจเรื่องนี้ทำไม ? คำตอบของผมก็เป็นเช่นเดียวกับของครูสุวินัยและของ Wilson คือ เราเรียนรู้ อดีต เพื่อก้าวไปอีกก้าวหนึ่งใน อนาคต สำหรับตัวผมแล้วข้อมูลของ ครายออน จะเป็นจริงหรือไม่ มันไม่สำคัญเท่ากับจุดประสงค์ในการเรียนรู้ของพวกเราที่ควรจะ เป็นอีกก้าวหนึ่งของการวิวัฒนาการทางจิตของมนุษยชาติ เพราะนี่คือ ก้าวสำคัญที่เราต้องก้าวให้ข้ามจาก จักรวาลโบราณคดี ไปสู่ จิตวิญญาณโบราณคดี



สิ่งที่ผมประจักษ์แจ้งจากการศึกษาข้อมูลของ Wilson ก็คือ ผมเห็นความแตกต่างระหว่างการเข้าถึง อาตมัน ของฮินดูในยุคนั้นกับ การตรัสรู้ ของพระพุทธองค์อย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้ผมเข้าใจว่า การเข้าถึงอาตมัน คือการขยายอัตตาออกไปจนใหญ่อย่างไม่มีประมาณ คือรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล ขณะที่การตรัสรู้คือ การลดความสำคัญของ อัตตา ลงจนเป็น สูญ คือไร้ความเป็นตัวตน แต่จากข้อมูล ของ Wilson ทำให้ผมต้องกลับมาคิดใหม่ เพราะ Wilson บอกว่า การเข้าถึง อาตมัน เป็นจุดสุดยอดของพัฒนาการทางวิญญาณของ พลังหนึ่ง คือพลังแห่งอำนาจทางวิญญาณ เนื่องเพราะคนในยุคนั้นมีทักษะสมองซีกขวาที่ไม่ถือว่าตัวเองแยกออกมาจากจักรวาลอยู่แล้ว การหลอมรวมกลับเข้าไปมันจึงง่ายและเป็นจุดสุดยอดของการพัฒนาทางวิญญาณในยุคนั้น ซึ่งความคิดนี้ปรากฏอยู่ในคัมภีร์อุปนิษัท และเป็นที่มาของแนวคิดแบบเอกเทวะนิยมทั้งปวง
ขณะที่เราต้องถามว่าทำไม มนุษย์ผู้สมบูรณ์ อย่าง พระพุทธเจ้า ท่านถึงไม่คิดว่านั่นเป็นที่สุดของการค้นหาของพระองค์ เหตุผลแบบ Wilson ก็คือ เนื่องจากสมัยนั้น ( 500 ปีก่อนคริสตกาล ) อัตตา แบบแยกตัวตนออกจากธรรมชาติได้เติบโตขึ้นพอสมควรแล้วในจิตใจมนุษย์ พลังที่สองได้ถูกพัฒนาขึ้นมาจะเข้าถึงแนวคิดแบบเดิมก็ยากขึ้น มีคนทำได้น้อยลงและคนที่ทำได้อาจยังไม่มีประสบการณ์แบบสุดยอดชั่วขณะ จึงรู้สึกว่ามันเหมือนมีอะไรขาดหายไปอยู่

พระพุทธองค์อาจเป็นคนแรก ๆ ในยุคนั้น และของมนุษยชาติที่มีประสบการณ์ของพลังที่สาม คือทรงก้าวข้ามทางสุดโต่งหรือทวิภาวะ ที่เกิดจากสมองทั้ง 2 ซีก หรือพลังที่หนึ่ง กับ พลังที่สอง ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร แล้วนำมาถ่ายทอดให้แก่ผุ้อื่น ซึ่งสังเกตได้ว่า มันไม่ได้ ทำให้พระองค์ได้คำตอบอย่างใดอย่างหนึ่งแบบตายตัว แต่เป็นประสบการณ์ของการหมดคำถาม ปัญหาก็คือ
ประสบการณ์แบบนี้อธิบาย ให้ฟังเป็นคำพูดไม่ได้ และเข้าใจด้วยความคิดแบบตรรกะเหตุผลก็ไม่ได้อีก ครั้นจะเข้าถึงด้วยการฝึกจิตจนมีอำนาจพิเศษต่าง ๆ ก็อาจจะ ไม่เจอ จึงมีน้อยคนเท่านั้นที่รู้ว่ามันคืออะไร และโชคดีที่พระมหากัสสปะท่านได้รับการถ่ายทอดประสบการณ์แบบนี้มากจากพระพุทธองค์ และสืบสายมาให้หลงเหลืออยู่เป็น เซน เป็นอย่างน้อยที่สุด

และที่น่าโชคดียิ่งกว่านั้นสำหรับพวกเราที่เป็นคนไทยก็คือ วิชาลม 7 ฐานที่หลวงปู่พุทธะอิสระท่านได้ท่านได้สั่งสอนให้แก่ลูกหลานก็คือ มรรควิธีที่ครอบคลุมประสบการณ์ที่ว่านี้ด้วย ประตูสู่ ลม 7 ฐาน เป็นประตูที่ต้อง ก้าวข้าม ไม่ใช่ เข้าถึง ซึ่งเป็นประสบการณ์ทางวิญญาณ ที่ครูสุวินัยมี เป็นเครื่องยืนยันเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งเราจะได้พูดถึงในบทต่อไป ...


บทสรุป ...

วิวัฒนาการของมนุษย์ไม่น่าจะใช่วิวัฒนาการทางกายภาพหากเราพิจารณารจากมุมมอง จิตวิญญาณโบราณคดี แต่มันเป็นวิวัฒนาการที่นำเรา ไปสู่การยกระดับทางจิตวิญญาณ จะเห็นได้ว่ามีสงครามระหว่าง พลังที่หนึ่ง กับ พลังที่สอง ที่ชัดเจนมากขึ้นจนมาถึงยุคปัจจุบัน และขณะนี้เรากำลังก้าวไปสู่วิวัฒนาการครั้งสำคัญอีกครั้งนั่นคือ การก้าวข้าม เพราะเมื่อขบวนการวิวัฒนาการมันซับซ้อนถึงจุดหนึ่ง การวิวัฒนาการของทั้งระบบจะเป็นแบบ ก้าวกระโดดและหลอมรวม ( Jump and Include ) ซึ่งสิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน

ทั้งหมดคือสิ่งที่ ประวัติศาสตร์ที่ซ่อนเร้น ได้นำพาเรามาจาก แอตแลนติส สู่ ลม 7 ฐาน ที่เหลือสำหรับพวกเราคือ การทำให้มันเกิดขึ้น จริง ๆ อันจะเป็นการร่วมบันทึกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ในยุคต่อไปของพวกเรา ซึ่งอาจจะเป็นหน้าของประวัติศาสตร์ที่ หัตถ์ของพระเจ้า ได้ฉีกเอาไปจาก บันทึกจักรวาล เพื่อเก็บไว้ใน หัวใจ และ วิญญาณ ของพระองค์ ...


- คัดบางส่วนจาก มังกรจักรวาล เล่ม นักรบแห่งแสงสว่าง -


http://board.agalico.com/showthread.php?t=33068
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: สิงหาคม 25, 2010, 04:40:36 pm »



 
 
รายละเอียดของการปะติดปะต่อข้อมูลของ Wilson มีความซับซ้อนกว่านี้อีกมาก หากใครที่เคยตามข้อมูลเรื่องนี้มาบ้างก็คงพอจะมองออก แล้วว่า Wilson กำลังจะทำอะไร ... ประวัติศาสตร์ที่ซ่อนเร้น ของ Wilson อาจเขียนออกมาเป็นลำดับได้ดังต่อไปนี้



ตารางประวัติศาสตร์ที่ซ่อนเร้นของมนุษยชาติ

( ก่อนคริสตกาล )

* 500 , 000 ปี การเติบโตของสมองอย่างฉับพลัน จุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์ที่ซ่อนเร้นของ Wilson และเป็นการเริ่มยุคโฮโม-เซเปียนส์
* 100 , 000 ปี ร่องรอยของพิธีกรรมทางศาสนาของมนุษย์โบราณ
* 40 , 000 ปี การรับรู้โลกอีกแบบหนึ่ง ไม่มีมโนทัศน์ของอัตตา มีความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติและจักรวาล


( เริ่มยุคน้ำเแข็ง )

* 20 , 000 ปี ความสามารถในศาสตร์เร้นลับและเวทมนตร์ อารยธรรมที่มีความรุ่งเรืองทางทะเล ( แอตแลนติส ? )
* 12 , 000 ปี น้ำท่วมโลก ( ยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย ) กำเนิดตำนานผู้รอดชีวิต เทพเจ้า ผู้วิเศษทั้งหลาย
* 10, 500 ปี เริ่มสร้างสฟิงค์
* 8, 000 ปี เริ่มสร้างมหาปิรามิด
* 7, 000 ปี เริ่มยุค พระเวท อารยธรรมหุบเขาอินดัส
* 3, 500 ปี บันทึกอักษรคุนิฟอร์มที่เก่าแก่ที่สุด ( สงครามครั้งแรกของมนุษย์ อัตตา เริ่มพัฒนาขึ้นมา )
* 2, 800 ปี ยุคราชวงศ์อียิปโบราณ
* 2, 000 ปี สงครามในเมโสโปเตเมีย
* 1, 500 ปี สโตนเฮนจ์
* 1, 250 ปี จุดสิ้นสุดประวัติศาสตร์ที่ซ่อนเร้นของ Wilson จุดสิ้นสุดยุคตำนานเทพเจ้า มโนทัศน์ของ อัตตา
ที่เก่าแก่ที่สุดในเมโสโปเตเมีย อัตตา ปรากฏอย่างชัดเจน เริ่มพัฒนาการใช้สมองซีกซ้าย


( ยุคแห่งศาสนา ยุคแห่งการรู้แจ้งทางวิญญาณ )

* 600 ปี เล่าจื้อ โซโรแอสเตอร์
* 570 ปี พระพุทธเจ้า
* 551 ปี ขงจื้อ


* 470 ปี โสเครตีส

( ปรัชญายุคเริ่มแรก เริ่มต้น อารยธรรมตะวันตก เริ่มใช้เหตุผลในการหาความรู้อย่างจริงจัง )

* 429 ปี พลาโต
* 384 ปี อริสโตเติล


* 2 ปี พระเยซูคริสต์
* ค.ศ. 1641 - 1687 โลกทัศน์แบบนิวตัน เริ่มต้นวิทยาศาสตร์แบบคลาสสิก เริ่มยุคอารยธรรมทักษะสมองซ้าย
* ค.ศ. 1930 โลกทัศน์ของแควนตัมแมคานิคส์

 
จะเห็นได้ว่า Wilson เขาไม่ได้สนใจประเด็นว่า แอตแลนติส จะมีอยู่จริงหรือไม่ แต่ที่เขาสนใจก็คือ ก่อนที่จะมี อัตตา แบบตัวกู-ของกู เกิดขึ้นครั้งแรกในโลก ความรู้ ของมนุษย์นั้นแตกต่างไปจาก ความรู้ อย่างที่เราเข้าใจกันอย่างสิ้นเชิง มันเป็นความรู้ของมนุษย์ที่มีทักษะ สมองซีกขวามากกว่าสมองซีกซ้าย ( ความรู้เช่นนี้ดูได้จาก มังกรจักรวาล ภาค 6 บูรพาไม่แพ้ ) ความรู้ที่เกี่ยวพันอย่งแยกไม่ออกระหว่าง มนุษย์ในยุคนั้นกับโลกและจักรวาล มันเป็นความรู้ที่ปัจจุบันเราเรียกว่า ศาสตร์เร้นลับ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องจิตวิญญาณอย่าวลึกซึ้ง และยัง คงหลงเหลือมาถึงยุคเริ่มแรกของอารยธรรมมนุษย์แบบเผยแจ้งในลักษณะของเวทมนตร์ การติดต่อกับจิตวิญญาณชั้นสูง ฯลฯ ของพระ หรือผู้วิเศษทั้งหลายในยุคนั้น

ลองคิดดูสิว่ามันเป็นไปได้หรือไม่ ที่วิวัฒนาการของการใช้ทักษะสมองซีกขวาที่มีมาเป็นแสน ๆ ปีนี้ จะก่อให้เกิดอารยธรรมที่รุ่งเรืองขึ้น ก่อนที่น้ำจะท่วมโลก ? คำตอบก็คือ หากเราคิดว่าอารยธรรมทักษะสมองซ้ายในยุคเทคโนโลยีสมัยใหม่ของเราใช้เวลาแค่ไม่เกิน 2 , 000 ปี ในการก่อตัว ( จริง ๆ แล้วประมาณ 400 ปีเท่านั้น ! ) แล้วทำไมจะเป็นไปไม่ได้เล่าที่เวลานับเป็นหมื่น ๆ ปีในช่วงนั้น จะทำให้เกิดอารยธรรม ทักษะสมองขวารุ่งเรืองขึ้น ... มันน่าจะเป็นไปได้และอาจมีได้มากกว่าหนึ่งอารยธรรมด้วยซ้ำไป

ประเด็นต่อมาคือ Wilson สนใจเรื่องนี้ไปทำไม เพื่อประโยชน์อะไร ? เขากล่าวในหน้าท้าย ๆ ของหนังสือของเขาที่ชื่อ From Atlantis to the Sphinx ( 1996 ) ว่า

ทำไมการประจักษ์ในอารยธรรมโบราณที่กล่าวถึงในหนังสือเล่มนี้จึงสำคัญ ? เรามักจะมองว่าคนโบราณเหล่านั้นเป็นพวกงมงาย ไม่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และไม่มีความสามารถเพียงพอในเรื่องเหตุผลและตรรกะ ซึ่งเราชัดเจนแล้วว่าคิดผิด ! ในความเป็นจริง แล้ว พวกเขารู้บางอย่างที่เราไม่รู้ ลองเทียบกับการมีจิตวิญญาณแบบรวมหมู่ของพวกเรา เราจะพบว่า จิตมนุษย์สมัยใหม่นั้น แห้งแล้ง และมีข้อจำกัดมากมาย พวกเขายังรู้มากกว่าเราเรื่องอำนาจที่ซ่อนเร้นของจิต และใช้มันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าพวกเราเสียอีก ในบางวิธี ...

การเข้าใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง นำมาสู่การเปิดเผยความจริงบางอย่างที่สอนเราอย่างมากให้รู้ถึง ความหมาย ของการเป็นมนุษย์ ... ความเข้าใจเกี่ยวกับมนุษย์ในอดีตเป็นความเข้าใจที่สำคัญสำหรับเราเป็นอย่างมาก รวมถึงเหตุผลสำคัญในอดีตเมื่อ 3 , 500 ปีที่แล้วนำเรา มาอยู่ ณ ที่เราอยู่ตรงนี้ เราไม่ได้สูญเสียสิ่งที่พวกเขามี เรายังคงมีมันอยู่และมีเรื่องยิ่งใหญ่ที่ต้องจัดการต่อ ความงี่เง่าเปล่าประโยชน์ ของเราก็คือ เราไม่รู้ว่าเรามี มัน และไม่รู้ไม่เข้าใจว่าจะทำอย่างไรกับ มัน ...

จากความตั้งใจของ Wilson เราได้เห็นจุดเปลี่ยนจาก จักรวาลโบราณคดีมาสู่จิตวิญญาณโบราณคดี Wilson เชื่อว่าทั้งหมดเกี่ยวข้องกับ วิวัฒนาการของมนุษย์ โดยวิวัฒนาการครั้งสำคัญครั้งแรก เกิดขึ้นตอนที่มีการเติบโตทางสมองแบบฉับพลัน เมื่อ 500 , 000 ปีมาแล้ว ( ที่จริงต้องหาคำตอบให้ได้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไรแต่ Wilson ไม่ได้ทำ - สุวินัย ) มนุษย์ได้พัฒนาทักษะสมองซีกขวาจนเกิดศาสตร์แห่ง เวทมนตร์ หรือพลังอำนาจแห่งจิตวิญญาณขึ้นมา ซึ่งเป็นพลังที่หนึ่ง ขณะที่เมื่อ 3 , 500 ปีที่แล้ว ( 1 , 250 ปีก่อนคริสตกาล ) มีการวิวัฒนาการขึ้นมาอีกครั้ง มนุษย์จึงเริ่มพัฒนาทักษะสมองซีกซ้ายควบคู่กันไปจนใช้มันได้ดี ( และหลงลืมทักษะสมองซีกขวาไป ) เมื่อไม่ถึง 100 ปีที่ผ่านมานี้เอง นั่นคือยุคแห่งพลังของเหตุผลและสติปัญญา ซึ่งเป็นพลังที่สอง

Wilson คิดว่า สมองซ้ายไม่ใช่การพัฒนาที่ผิดพลาดทางวิวัฒนาการ เพราะจริง ๆ แล้วมันสามารถย้อนกลับไปครุ่นคิด เป็นดังกระจกส่อง อัตตา ของคนเราได้ ความผิดพลาดคือเราพัฒนามันแค่ด้านเดียวจนลืมทักษะสมองขวาไป ( ผมพูดเรื่องนี้ก่อนหน้า Wilson อีก โปรดดู วิถีมังกร - สุวินัย ) อีกครั้งซึ่งเกี่ยวข้องกับ พลังที่สาม ในแง่จิตวิทยา Wilson กล่าวว่า พลังที่สาม ก็คือ พลังจินตนาการ ที่จะทำตัวเอง ให้เป็น อิสระ จากความตึงเครียดของจิตอันเกิดจากความเดียวดายของอัตตา หลังจากยุคสิ้นสุดสายสัมพันธ์กับเทพเจ้าในตำนาน เพื่อให้เกิดความสุข ความเสรี ความเบิกบาน และความผ่อนคลายของจิต ซึ่งในทางจิตวิทยาเรียกว่า ประสบการณ์สุดยอดแบบชั่วขณะ ( Peak Experience ) แต่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ Wilson กล่าวว่า มันคืออย่างเดียวกันกับประสบการณ์บรรลุธรรมแบบฉับพลัน หรือ ซาโตริ ของ เซน ซึ่ง Ken Wilber เรียกมันว่า Transcendelia หรือเราจะขอเรียกรวม ๆ ได้ด้วยศัพธ์ง่าย ๆ ว่า การก้าวข้าม

คงไม่บังเอิญอีกเช่นกันที่ Wilson และ Wilber จะได้ข้อสรุปที่ใกล้เคียงกันจากการศึกษาที่แตกต่างกันอย่างลิบลับ ถ้าหากข้อสรุปของทั้งคู่ ถูกต้อง คงไม่เกินไปนัก หากเราจะกล่าวว่า จริง ๆ แล้วจุดเริ่มต้นของพลังที่สาม หรือพลังแห่งการก้าวข้าม หรือพลังแห่งการรู้แจ้งทางวิญญาณนี้ ได้มีสัญญาณขึ้นเป็นครั้งแรกอย่างชัดเจนในยุคอารยธรรมของเราประมาณ 2 ,500 ปีมาแล้ว โดยบุคคลที่เราชาวพุทธให้ความ เคารพสูงสุดคือ " มหาโยคีสิทธัตถะ " หรือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง ซึ่งการสืบสานพลังแห่งการรู้แจ้งนี้ได้ปรากฏอย่างเป็น รูปธรรมอย่างชัดเจนที่สุดในสมัยปัจจุบัน ในพุทธสาย เซน และวัชรยาน
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: สิงหาคม 25, 2010, 04:39:09 pm »



 
 
 
 
4.3 กำเนิดมนุษยชาติ - หายนะกับอารยธรรมที่สาบสูญ



โดยทั่วไปแล้ว เรามักเรียกประวัติศาสตร์ที่ซ่อนเร้นของมนุษยชาติว่า โบราณคดีแบบแฟนตาซี เพราะข้อมูลกำเนิดมนุษยชาติมักจะสัมพันธ์ กับข้อมูล อารยธรรมที่สาบสูญ ไม่มากก็น้อยเสมอ ที่มาของข้อมูลเหล่านี้มีตั้งแต่ การสื่อสัญญาณ ญาณทัศนะ หรือการศึกษาโบราณคดี ตำนาน จารึกโบราณ วิชาดาราศาสตร์แบบโบราณ วิชาตัวเลขศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงพิธีกรรมของคนโบราณที่รวม ๆ แล้วเราเรียกว่า จักรวาลโบราณคดี นั่นเอง

ที่น่าสนใจก็คือ ข้อมูลที่ได้มาเหล่านี้แทบจะไม่มีความตรงกันในรายละเอียดเลย เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ! แถมยังหารอยต่อกับข้อมูลของ วิทยาศาสตร์ หรือนักโบราณมานุษยวิทยาได้ยากเต็มทน อย่างไรก็ตามในที่นี้เราจะเลือกพูดถึงประวัติที่ซ่อนเร้นเกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณ และวิวัฒนาการของจิตวิญญาณเท่านั้น


หนึ่ง ข้อมูลกำเนิดมนุษย์และเผ่าพันธุ์สายเทวญาณวิทยาของ Alice Bailey ความสำคัญของข้อมูลชุดนี้ก็คือ เป็น หัวขบวน ของแนวคิด เรื่อง อารยธรรมที่สาบสูญ แก่พวกนิวเอจรุ่นต่อ ๆ มา เนื้อหาหลัก ๆ ของข้อมูลชุดนี้มีดังนี้ คือ
 
... ประมาณ 18 ล้านปีมาแล้ว กลางยุคสมัยของ เลอมูเรีย หนึ่งในจิตวิญญาณชั้นสูง 7 ดวงที่อยู่หน้าบัลลังก์ของพระเจ้า ได้ลงมาถือกำเนิด ทางกายภาพและยังอยู่กับเราจนถึงปัจจุบัน ความบริสุทธิ์แห่งธรรมชาติของ เขา การไร้ซึ่งบาปของ เขา ทำให้ เขา ไม่สามารถคงอยู่ใน ร่างกายภาพได้นาน และต้องสร้างร่างทิพย์ขึ้นมา เขา คือ องค์อวตารที่ยิ่งใหญ่ที่สุด รูปธรรมที่ยิ่งใหญ่ใด ๆ ที่เป็นผลสะท้อนมาจาก เขา โดยตรงจะอยู่ภายใต้ขอบเขตสนามแม่เหล็ก หรือ ออร่า ของเขาผู้นี้ทั้สิ้น และไม่มีมนุษย์คนใดสามารถพ้นไปจาก ออร่า ของเขาได้ และเขาคือผู้อภิเษกคนแรก ซึ่งตามมาด้วยกลุ่มของรูปธรรมที่มี วิวัฒนาการชั้นสูงอื่น ๆ ที่ลงมา ช่วยในแผนการที่จะทำให้มีการปรากฏออกมาของการรับรู้ ตัวตน ของทุก ๆ ชีวิต

จนถึงประมาณ 1 ล้านปีที่แล้ว ผลพวงแห่งแผนการนี้ก็เริ่มปรากฏ โดย ทำให้ภายในศีรษะของมนุษย์มีศูนย์พลัง ( จักร 7 ) ศูนย์ที่สัมพันธ์ กับศูนย์พลังอื่น ๆ ในร่างกาย และทำให้พลังของ ตัวตน ที่สัมพัทธ์กับระดับชั้นทางวิญญาณที่สูงขึ้นไป ทำงานผ่านศูนย์ต่าง ๆ ที่ว่านี้ จิตวิญญาณชั้นสูงอีก 6 ดวงที่เหลือก็จะผ่านพลัง และเจตจำนงของตนมาในศูนย์บนศีรษะทั้ง 7 ศูนย์นี้ด้วย ศูนย์ที่ว่านี้จะเรียกว่า ดารา-จักร ( ผมคิดว่าน่าจะเป็น เจ็ดดาวเหนือ - สุวินัย ) ที่จะทำงานเชื่อมต่อกับจักรหัวใจ จักรคอและจักรอื่น ๆ ในร่างกาย นี่คือ ความสัมพันธ์แนวตั้ง ระหว่าง จิตกำเนิดแห่งดวงดาว กับ มนุษย์

ในพัฒนาการนี้ทำให้มนุษย์ต่างออกมาจาก มนุษย์วานร แรกเริ่มนั้นมนุษย์วานรมีร่างกายทางกายภาพที่แข็งแร็ง ครั้นเมื่อวิวัฒนาการผ่านไป เป็นเวลานานมนุษย์วานรก็เริ่มก้าวเข้าสู่ความเป็นมนุษย์มีสำนึกของการมีตัวตน เริ่มเป็นรูปธรรมที่ใช้เหตุผล แต่วิวัฒนาการนี้ดำเนินไปอย่าง เชื่องช้ามาก จนในที่สุด จิตกำเนิดแห่งดวงดาว จึงได้ตัดสินใจกระตุ้น เชื้อแห่งจิต ของมนุษย์วานรเหล่านี้ขึ้นให้เหมาะสมกับการลงมาจุติ ของรูปธรรมที่มีจิตสำนึกแห่งการมีตัวตนอื่น ๆ ซึ่งมีเจตจำนงทางจิตวิญญาณ มีปัญญาญาณ มีญาณทัศนะและมีจิตใจที่สูงส่งกว่า ที่รออยู่นานแล้วสำหรับร่างที่เหมาะสมอันนี้ มนุษย์ หรือพวกเราก้มีจุดกำเนิดมาจากตรงนั้น

เหตุการณ์นี้เกิดในสมัย เลอมูเรีย หลังจากที่มีจิตวิญญาณเหล่านั้นลงมาสวม รูปธรรมที่เหมาะสมนี้แล้ว แผนงานทั้งหมดก็เป็นไปอย่าง มีระบบ ซึ่งจะอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของกลุ่มที่ได้รับการอภิเษกกลุ่มหนึ่งที่มีชื่อว่า องค์กรเหล่าพี่น้องแห่งแสงสว่าง ซึ่งปัจจุบันก็ยัง คงมีอยู่ รูปธรรมกลุ่มนี้จะอยู่ในร่างกายภาพแบบมนุษย์ หรือไม่ก็อยู่ในกายทิพย์เช่น พวก มาสเตอร์ ทั้งหลายซึ่งคอยควบคุมทิศทางของ การวิวัฒนาการของโลก เพื่อนำมันไปสู่ความสมบูรณ์ที่สุด ศูนย์กลางขององค์กรกลุ่มนี้อยู่ที่ ชัมบาลา ( Shamballa ) ในทะเลทรายโกบี หรือที่เรียกกันในตำนานว่า เกาะสีขาว ชัมบาลานี้จะอยู่ในอีกมิติคลื่นความถี่อื่น ซึ่งเฉพาะคนที่มีการพัฒนาตาที่สามแล้วเท่านั้นจึงจะ มองเห็นได้ มาสเตอร์ หลายคนอาศัยอยู่ในแถบเทือกเขาหิมาลัย แต่ก็มีไม่น้อยที่อาศัยอยู่ที่อื่น ๆ อย่างซ่อนเร้น ทุกท่านล้วนเป็นผู้ที่แผ่ กระจายความรัก และภูมิปัญญาทางวิญญาณในที่ที่ตนอาศัยอยู่

อย่างไรก็ตาม พัฒนาการยังเป็นไปอย่างเชื่องช้าสำหรับมนุษย์ หลายเผ่าพันธ์ของมนุษย์เกิดขึ้นและสาบสูญไปก่อนที่จะสามารถเป็น ตัวแทน ในการคงแผนการวิวัฒนาการนี้ได้ ดังนั้นในสมัยกลางยุค แอตแลนติส ซึ่งเป็นเผ่าพันธ์ที่ 4 จึงมีการตัดสินใจครั้งสำคัญอีกครั้ง คือ ( 1 ) ปิดประตูการพัฒนาทางจิตจากมนุษย์วานรไปสู่มนุษย์ ไม่มีการลงมา สวม ร่างที่เหมาะสมของจิตวิญญาณระดับสูง จำนวนเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ในยุคที่ 4 จึงตายตัว ( 2 ) เปิดประตูอีกบานที่เชื่อมระหว่างระดับจิตของมนุษย์กับอาณาจักรของโลกวิญญาณ สำหรับคนที่ประสงค์จะเข้าสู่โลกวิญญาณ ( 3 ) ทำให้ขอบเขตระหว่างกายภาพกับจิตวิญญาณมีความชัดเจน และทำให้เกิด ทวิภาวะ ขึ้น เพื่อให้เป็นบทเรียนแก่มนุษย์ในการปลดปล่อยตนเองออกจากข้อจำกัดของโลกกายภาพ และผ่านเข้าสู่โลกวิญญาณ มนุษย์จะเรียนรู้ ผ่านประสบการณ์และความเจ็บปวดจากข้อเท็จจริงของการมีทวิภาวะ การเรียนรู้นี้จะทำให้เขาเลือกที่จะให้ความใส่ใจกับด้านจิตวิญญาณ ในตัวเอง การเป็นอิสระคือการพบว่าทุกสิ่งคือหนึ่งเดียวกัน

การตัดสินใจนี้ ทำให้อารยธรรมแอตแลนติสสูญสิ้น และเกิดน้ำท่วมโลก ดังปรากฏตามตำนาน พลังแห่งความสว่างกับพลังแห่งความมืด จะฉายส่องปะทะกันและกันเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติ ดังปรากฏเป็นสงครามของโลกที่จะมี 2 กลุ่ม โดยที่ กลุ่มหนึ่งจะมีอุดมการณ์หรือ มีจินตภาพของตนอันสูงส่ง ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งจะเป็นพวกไม่มีอุดมการณ์และเห็นแก่ตัวเสมอ แต่หลายต่อหลายครั้งที่บทเรียนของ ความเป็นทวิภาวะไม่ถูกเรียนรู้ การต่อสู้จึงเป็นไปอย่างมืดบอดและโง่เขลา ที่ตามมาก็คือกรรมและหายนะ ...

ทั้งหมดข้างต้นคือกำเนิดมนุษยชาติตามที่ Bailey ได้รับการสื่อสัญญาณ เป็นที่น่าสังเกตได้ว่า ข้อมูลนี้ก็มีการพูดถึงสนามแม่เหล็ก เหมือนกัน แต่พูดในความหมายของ ออร่า แห่งผู้สร้าง มีการพูดถึง ชัมบาลา มีความพยายามเชื่อมโยงจิตวิญญาณศาสตร์กับโบราณคดี มานุษยวิทยาอย่างชัดเจน แต่ไม่ได้พูดถึงความเจริญของอารยธรรมแอตแลนติสเลย
 

สอง ข้อมูลของครายออน

ครายออน มายังโลกครั้งแรก เมื่อโลกมีอายุพอสมควร และเหมาะสมสำหรับการวางระบบ เขามาเพื่อสร้างเส้นแรงแม่เหล็กขึ้นเพื่อรองรับ ระบบชีวภาพของโลก ภายใต้อำนาจของกลุ่มที่ดูแลเรื่องนี้ คูหาแห่งการสร้าง ก็ถูกสร้างขึ้นในตอนนี้ด้วย โลกถูกสร้างให้เป็น ดาวเคราะห์แห่งทางเลือกเสรี เพียงดวงเดียว โดยการช่วยเหลือด้วยความรักจากรูปธรรมมากมาย นี่คือความพิเศษของโลกที่เป็นทั้งโรงเรียน และโรงละครทางวิญญาณ

เมื่อการวางแนวเส้นแรงแม่เหล็กเสร็จสิ้น มนุษย์คนแรกก็ได้รับการ ผนึกวิญญาณ ( Soul Imprint ) ครายออนกล่าวว่ามันเป็นเวลานานมาก และเราเอง ( มนุษย์ ) ก็ไม่รู้ว่าอารยธรรมแรกของเราเริ่มต้นขึ้นเมื่อใด แต่ภายหลังครายออนก็บอกว่าไม่เกิน 250 , 000 ปี ก่อนคริสตกาล มนุษย์ได้รับระบบชีวภาพหรือร่างกายนี้มาจากรูปธรรมชั้นสูงจากดวงดาวเจ็ดพี่น้อง ( จิตจักรวาลกล่าวว่าใช้วิธีการโคลนนิ่ง ) นั่นทำให้เกิด รอยต่อที่ขาดหายไป ขึ้นในสายพันธุ์วิวัฒนาการของมนุษย์ และจิตวิญญาณของมนุษย์ก็แยกออกมาจากสัตว์

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ก็มีการต้องปรับแนวเส้นแรงเพื่อให้เกิดความสมดุลในบทเรียนทางวิญญาณมากที่สุด มีการปรับใหญ่ 2 ตรั้ง ครั้งแรกเกี่ยวข้องกับการ ล่มสลายของอารยธรรม เลอมูเรีย และ แอตแลนติส เหตุที่ต้องปรับเพราะ ม่าน ที่บดบังความมี 2 ภาคมันอ่อนไป ชาวแอตแลนติสบางคนมีไวเบรชั้นสูงติดต่อกับจิตวิญญาณอื่น ๆ ได้ แต่ไม่รู้ความหมายของมัน บทเรียนที่ได้มาก็ไม่ผ่านการเรียนรู้ คำตอบทางวิญญาณก็ได้มาโดยง่าย ครายออนรออยู่นานเพื่อให้ปรับปรุงแก้ไขกันเองแต่ก็ไร้ผล การวางแนวเส้นแรงครั้งแรกเกิดความไม่ สมดุลระหว่างบางพื้นที่ บางที่อ่อน บางที่เข้ม พวกที่อยู่ในที่เข้มกลายเป็น นาย มีอารยธรรมสูงกว่า มีอายุยืนกว่า ขณะที่พวกที่อยู่ในที่อ่อน กว่าตกเป็น ทาส ที่มีสภาพใกล้เคียงกับสัตว์ การปรับครั้งนี้ได้สร้างความหายนะจนถึงขั้นสิ้นเผ่าพันธุ์ และเกิดยุคน้ำแข็งในช่วงสั้น ๆ รูปธรรมจาก ดวงดาวเจ็ดพี่น้อง ต้องลงมาโคลนนิ่งระบบชีวภาพให้มนุษย์ใหม่ และก่อนสิ้นยุคน้ำแข็ง ครายออน ก็ปรับแนวเส้นแรงอีกครั้ง เพื่อให้ม่านที่บดบังความมี 2 ภาค เข้มขึ้น คือให้อยู่ในความโน้มเอียงที่จะรู้แจ้งได้ยากยิ่งขึ้น จากนั้น ครายออน ก็ต้องกลับมาอีกเป็นครั้งที่ 3 เพราะความมี 2 ภาคนั้นมีการเสียสมดุลคือ มีบางคนที่ไม่สนใจหรือใส่ใจมันเลย คนที่ไม่รู้แจ้งมีมากมายและโลกก็ไม่มีโอกาสที่จะยกระดับ พลังด้านบวก มีคนเพียงน้อยนิดที่สนใจเรื่องจิตวิญญาณ เมื่อเป้าหมายไม่เป็นไปตามที่ได้วางไว้ การปรับครั้งสุดท้าย ( ก่อนจะมีครั้งนี้ ) ได้เกิดขึ้น นั่นก็คือ การเกิดน้ำท่วมโลกดังปรากฏในตำนาน แต่ครั้งนี้มีคนรอดชีวิต รูปแบบทางชีวภาพของมนุษย์จึงยังคงเหลืออยู่ และก็สืบเผ่าพันธุ์มนุษย์มาถึงปัจจุบัน ( ครั้งนี้ครายออนเองไม่ได้พูดถึงอารยธรรมแอตแลนติสเลย )

ถึงตรงนี้มีความสับสนเกิดขึ้นระหว้างข้อมูลของ ครายออน กับข้อมูลของ จิตจักรวาล คือ ครายออนกล่าวว่ามีการปรับสนามแม่เหล็กโลก ครั้งใหญ่ ๆ 2 ครั้ง ในอดีต ขณะที่จิตจักรวาลกล่าวว่ามีการปรับสนามแม่เหล็ก 3 ครั้ง คือ ประมาณ 52 , 000 ปี ก่อนคริสตกาล เป็นครั้งแรก ประมาณ 30 , 000 ปี เป็นครั้งที่สอง และครั้งสุดท้ายในอดีตคือ 12 , 000 ปี โดยที่แต่ละครั้งมีอารยธรรมล่มสลายไปทุกครั้ง คือ แอตแลนติส เราคงหาข้อสรุปในเรื่องนี้ไม่ได้ แต่ถ้าหากยึดถือตามข้อมูลของ ครายออน ก็จะเป็นว่าอารยธรรมที่เรียกว่า แอตแลนติส นั้นอยู่ในช่วงก่อน 30 , 000 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งเป็นคนละอารยธรรมกับอารยธรรมที่ล่มสลายไปกับน้ำท่วมโลกก่อน 12 , 000 ปีก่อน คริสตกาลที่มีผู้รอดชีวิต
 

สาม ข้อมูลการค้นคว้าสายจักรวาลโบราณคดี ของ Graham Handcock ขอเสนอของ Colin Wilson

จริง ๆ แล้ว การค้นคว้าของ Handcock ไม่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณเลย แต่พรรคพวกของเขา คือ Colin Wilson ได้นำมาสังเคราะห์ รวมกับข้อมูลการค้นคว้าอื่น ๆ จนได้ข้อเสนอของประวัติศาสตร์ที่ซ่อนเร้น ซึ่งมีความเป็นวิชาการและมีฐานอยู่บน วิทยาศาสตร์และ การอ้างเหตุผลมากที่สุดเลยทีเดียว ตามข้อเสนอของ Wilson ไม่มีการอ้างรูปธรรมหรืออรูปธรรมจากนอกโลก ไม่มีการสวมหรือ ผนึกวิญญาณ ไม่มีการพูดถึงความล้ำยุคของอารยธรรมโบราณระดับมีจานบินขี่ และไม่มีใครที่จะมาตัดสินใจขบวนการวิวัฒนาการ ของมนุษย์ แต่เขามีข้อมูลดังต่อไปนี้

( 1 ) เมื่อ 500, 000 ปี ก่อนคริสตกาลโดยประมาณมีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า การเติบโตของสมองอย่างฉับพลัน ( Brain Explosion ) ในวิวัฒนาการของมนุษย์คือสมองส่วนที่เรีบกว่า Cerebrum ซึ่งเป็นส่วนบนของสมองทั้งหมด และเป็นส่วนที่เราใช้คิดได้เติบโตขึ้นมา อย่างมาก ซึ่งคำอธิบายของนักวิทยาศาสตร์ที่ว่าบังเอิญประมาณ 700 , 000 ปีก่อนคริสตกาล มีอุกาบาตตกลงมาใส่โลกแล้วทำให้โลกไม่มี สนามแม่เหล็กป้องกันอยู่นาน ทำให้มีรังสีต่าง ๆ จากอวกาศผ่านเข้ามาจนเกิดการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรมขึ้นดูจะไม่เพียงพอ สำหรับเรื่องนี้

( 2 ) การเติบโตของสมองอย่างฉับพลัน เป็นจุดเริ่มต้นของมนุษย์ยุคใหม่อย่างแท้จริง

( 3 ) จากการค้บพบทางโบราณมานุษยวิทยา ได้พบร่องรอยของ ลัทธิการกินมนุษย์ด้วยกันเอง ภายหลังการโตขึ้นของสมองอย่างฉับพลัน จึงสันนิษฐานได้ว่าคนโบราณในยุคนั้นมีความเชื่อเรื่องพิธีกรรม หรือศาสนาในระดับหนึ่ง

( 4 ) จากการค้นคว้ามากมายเกี่ยวกับชนเผ่าพื้นเมือง พบว่าคนเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับธรรมชาติรอบตัวเขาอย่างลึกซึ้ง และมีการรับรู้โลก ที่ต่างออกไปจากคนเมืองในยุคปัจจุบัน รวมถึงมีความรู้และความสามารถในการใช้ศาสตร์เร้นลับบางอย่าง ( เวทมนตร์ ) เพื่อจัดการบางอย่าง กับธรรมชาติโดยผ่านพิธีกรรม

( 5 ) Graham Handcock และ Robert Bauval เชื่อว่ามีอารยธรรมโบราณที่รุ่งเรืองทางทะเลก่อนยุคน้ำท่วมใหญ่ตามตำนาน คือ ประมาณ 12 , 000 ปีก่อน และผู้รอดชีวิตจากน้ำท่วมครั้งนั้น นำ ความรู้เร้นลับ ที่ตนมีมาด้วย ซึ่งกลายเป็นที่มาของตำนาน เทพเจ้า หรือ ผู้วิเศษ ต่าง ๆ ที่ปรากฏในยุคเริ่มต้นอารยธรรมของโลกตามที่รู้กันดีโดยเฉพาะที่อียิปต์ และอารยธรรมโบราณแนวชายฝั่งแอตแลนติคของทวีป อเมริกาใต้

( 6 ) มีการเสนอข้อสันนิษฐานใหม่เกี่ยวกับอายุของคัมภีร์พระเวท และอารยธรรมของหุปเขาอินดัส โดยเทียบระหว่างสัญลักษณ์ของเทพเจ้า ในพระเวทกับความรู้ด้านดาราศาสตร์โบราณ จะได้ช่วงเวลาที่พระเวทถูกถ่ายทอดน่าจะเป็นช่วง 7, 000 ปีก่อนคริสตกาลขึ้นไป ไม่ใช่ 2 , 000 ปีก่อนคริสตกาลตามที่เข้าใจกัน

( 7 ) จากการค้นคว้า Julian Jaynes พบว่า มโนทัศน์เรื่องอัตตาแบบอัตวิสัยหรือแบบตัวกู-ของกู ไม่มีอยู่ในช่วงเวลาก่อน 1 , 250 ปีก่อน คริสตกาล โดยการศึกษาจากตำนานโบราณต่าง ๆ และทฤษฎีสมองซีกซ้าย-ซีกขวา ทำให้เธอเชื่อว่า อารยธรรมทักษะสมองซ้าย เริ่มมีครั้งแรกในโลกประมาณ 1 , 250 ปีคริสตกาลที่เมโสโปเตเมีย ส่วนในยุคก่อนหน้านั้นขึ้นไปเป็นอารยธรรมทักษะสมองซีกขวา พูดง่าย ๆ ก็คือ การพัฒนาของ อัตตา เริ่มมีขึ้นประมาณ 3 , 000 ปีก่อน พร้อม ๆ กับ การประดิษฐ์ การเขียน และช่วงสงครามครั้งแรก ของโลกในแถบตะวันออกกลางและเมดิเตอร์เรเนียน

( 8 ) มีร่องรอยของความเจริญทางอารยธรรมบางอย่างที่โบราณคดีสายตรงอธิบายไม่ได้ว่า คนในยุคนั้นประดิษฐ์หรือทำหรือสร้างเครื่องมือ ขึ้นมาได้อย่างไร เช่น เทคนิคในการสลักและขนย้ายหินที่ใช้ในการสร้างมหาปิรามิดที่อียิปต์


ฯลฯ
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: สิงหาคม 25, 2010, 04:37:49 pm »



 
 
 
จากจักรวาลโบราณคดี สู่ จิตวิญญาณโบราณคดี
 
- ว่าด้วยการสืบค้นประวัติศาสตร์ที่ซ่อนเร้นของมนุษยชาติ -

 
ความรู้ใหม่จาก จิตจักรวาล ได้บอกกับเราว่า มนุษยชาติเป็นผลพวงทางพันธุกรรมจากรูปธรรมชั้นสูงของดวงดาว 7 พี่น้อง หรือดาวลูกไก่ หาได้วิวัฒนาการมาจากลิงอย่างที่ทฤษฎีดาร์วินเชื่อกันแต่อย่างใดไม่ การจะตรวจสอบในเรื่องนี้จะต้องใช้ความรู้ทาง จักรวาลโบราณคดีค่อนข้างมาก แน่นอนว่า ผมพอมีความรู้ในด้านนี้อยู่บ้าง แต่ความจำกัดของเวลาประกอบกับการงานที่รัดตัว ทั้งสำนักยุทธธรรม ชมรมมังกรธรรม และสำนักอิสระธรรม ทำให้ผมผัดผ่อนที่จะเขียนถึงเรื่องนี้เสมอมา นับเป็นโชคดีของผมที่ เวทิน ชาติกุล ศิษย์คนที่หนึ่งของผม ผู้มีความรู้ทางด้านจักรวาลโบราณคดีไม่น้อยไปกว่าผมได้อาสาสืบทอดรับหน้าที่นี้จากผมมาทำแทน ข้อเขียนของเขาเรื่อง จากจักรวาลโบราณคดีสู่จิตวิญญาณโบราณคดี - ว่าด้วยการสืบค้นประวัติศาสตร์ที่ซ่อนเร้นของมนุษชาติ ดังต่อไปนี้อาจจะเป็นวิชาการและติดตามเข้าใจยากสักหน่อย สำหรับท่านผู้อ่านที่ไม่ค่อยมีพื้นฐานความรู้ด้านนี้มาก่อน แต่ถ้าพยายาม ติดตามอ่านจนจบอย่างตั้งใจ ขอรับรองว่าท่านจะได้รับความรู้และเปิดหูเปิดตาให้กว้างขึ้นได้อย่างแน่นอน





4.1 รำพึงรำพัน



เมื่อดวงตาของมนุษย์จ้องมองไปยังอนาคต ที่เขาเห็นคือความหลายหลากของโลกที่เป็นไปได้ โดยที่เขาไม่มีทางรู้ว่าโลกไหนมันจะเป็น จริงจนกว่า เขา หรือ เขาทั้งหมด จะได้เลือก
เมื่อมองย้อนกลับไปยังอดีต อุ้งหัตถ์ของพระเจ้าก็ปิดบังเขาไว้จากกำเนิดของเขา คำถามว่า เรามาจากไหน ? และ เราจะไปไหน ? จึงเป็นคำถามที่ใม่มีวันล้าสมัยมาเป็นพัน ๆ ปีแล้ว และคงเป็นเช่นนี้ไปอีกนาน

ผมไม่คิดว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่ด้อยภูมิปัญญา เรามีความคิดสร้างสิ่งประดิษฐ์ล้ำยุคมากมาย ว่ากันว่าอีกไม่นานก็จะมีนิคมบนดวงจันทร์ นอกจากนี้ เรายังมีวิธีฝึกจิตให้มีอำนาจมากมายซึ่งเชื่อกันว่า หากทำได้จะไปที่ไหนทางจิตก็ได้ทั่วจักรวาล แต่ต่อคำถามที่ไม่ยากไม่ซับซ้อน ข้างต้นนี้ จะไปถามในยุคสมัยไหน มนุษย์เราก็ยังไม่เคยได้คำตอบ หรือไม่มีทางได้คำตอบ

ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่า มันไม่มีคำตอบ แต่คำตอบมันมีเยอะมากไปจนไม่รู้จะเลือกเชื่อคำตอบอันไหนต่างหาก ผมเขียนชื้นนี้ โดยเริ่มจากจักรวาลโบราณคดี แต่ไปจบลงที่ จิตวิญญาณโบราณคดี ... เริ่มจาก แอตแลนติส แต่ไปจบลงที่ ลม 7 ฐาน

มันเป็นความประสงค์ของใครหรือสิ่งใด ท ผมไม่รู้ ที่รู้คือ นั่นไม่ใช่ความตั้งใจที่ผมคิดไว้แต่เดิม เท่าที่รู้ ผมเองก็ยังไม่รู้เลยว่าจะจบเรื่องนี้ ลงได้อย่างไรเมื่อผมเริ่มเขียนมัน

ผมคงยืนยันไม่ได้หรอกว่า แอตแลนติสมีอยู่จริง ๆ หรือไม่ หลังจากเขียนจบแล้ว ผมคงตอบไม่ได้หรอกว่า กำเนิดของมนุษย์ที่แท้จริง มันเป็นอย่างไรกันแน่ ผมไม่รู้หรอกว่าระหว่าง Bailey , Kryon , จิตจักรวาล หรือ Handcock ใครจะถูกต้องกว่ากัน

แต่ที่ผมรู้ก็คือ ความกระหายในคำตอบเหล่านั้นของผมมันหายไปเยอะเลย ไม่ใช่เพราะหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ... เท่าที่ค้นคว้ามาก็พอ จะตอบได้ แต่ไม่รู้จะตอบอย่างไรต่างหาก

ความจริง มันเป็นเรื่องของการ ก้าวข้าม และ หมดคำถาม มันไม่ใช่เรื่องของการ เข้าถึง หรือ ได้คำตอบ และถ้าท่านเข้าใจก็คงพอ เห็นภาพในใจได้ว่าทำไมข้อเขียนชิ้นนี้ถึงเริ่มที่ แอตแลนติส แล้วไปจบที่ลงที่ ลม 7 ฐาน ประวัติศาสตร์ของมวลมนุษย์ไม่ใช่เรื่อง มั่ว หรือ บังเอิญ อย่างเด็ดขาด ผมกล้ายืนยันได้







4.2 ปริศนา 3 ข้อในจักรวาลโบราณคดี


ในประวัติศาสตร์ที่ซ่อนเร้นหรือถูกซ่อนไว้ของมนุษยชาติ มีปริศนา 3 ข้อ ที่ยังขบกันไม่แตก ... เรื่องมีอยู่ว่า ประวัติศาสตร์ของการ วิวัฒนาการของมนุษย์จากมนุษย์วานร สู่บรรพบุรุษของมนุษย์สมัยใหม่จนถึงพวกเรานั้น มันมีช่องว่างหรือรอยต่อที่ขาดหายไปมาก เหลือเกิน พวกนักวิทยาศาสตร์พยายามทำให้เราเชื่อว่า เรามีบรรพบุรุษร่วมสายพันธุ์กับลิง แล้วแยกตัวออกมาเมื่อ 2.5 ล้านปีก่อน ทำไมแยกตัว ? ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน คล้าย ๆ จู่ ๆ วันดีคืนดีก็มี มนุษย์ ที่เป็นบรรพบุรุษของเราเกิดขึ้นในโลกโดยบังเอิญ หรือตามทฤษฎี การเอาตัวรอดอย่างที่เชื่อหรือพยายามทำให้เชื่อ นี่คือปริศนาข้อที่หนึ่ง ที่ว่า พวกเรามาจากไหน ? ที่มันเป็นปริศนาเพราะไม่ทุกคนที่ ' เชื่อ ' ตามนักวิทยาศาสตร์และเรามีสิทธิ์ที่จะคิดเช่นนั้นด้วย


แค่นั้นไม่พอ ร่องรอยทางโบราณคดี ตำนานต่าง ๆ ได้ระบุเป็นเสียงเดียวกันแต่หลายโทนว่า เคยมีการดำรงอยู่ของอารยธรรมที่สาบสูญ ไปพร้อมกับน้ำท่วมโลก พวกนักโบราณคดีไม่สามารถตอบได้เต็มปากว่า คนโบราณสร้างสิ่งก่อสร้างที่โอฬารมหัศจรรย์พันลึกขึ้นมาทำไม ? และสร้างได้อย่างไร ? และเป็นที่แน่นอนว่าคนโบราณเหล่านี้มีความรู้ในศาสตร์บางอย่างเช่น ดาราศาสตร์ และโหราศาสตร์เป็นอย่างดี มันน่าคิดว่า คน ที่เพิ่งแยกสายพันธุ์กับลิงไม่นาน อาศัยตามป่าตามถ้ำ หาอาหารย้ายถิ่นฐานไปเรื่อย ๆ จู่ ๆ ก็สร้างบ้านแปลงเมืองขึ้นมา แถมไม่นาน ยังเรียนรู้เชี่ยวชาญศาสตร์บางอย่างได้อย่างล้ำลึก เขาเอาเวลาที่ไหนไปเรียน ? หรือว่ามีติวเตอร์ ( จากนอกโลก ) นี่คือปริศนาข้อที่สอง


ยังมีอีก ... เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า คนโบราณมีความคิดความอ่านเชิงศาสนาที่ล้ำลึกว่าเรา แถมยังอยู่อย่างเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติอย่าง กลมกลืน ความล้ำลึกในทางจิตวิญญาณของคนเหล่านี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ? คำตอบง่าย ๆ แบบขอไปที ก็คือ เพราะเขากลัวต่อธรรมชาติ ซึ่งคำตอบแบบนี้ไม่เพียงพอต่อไปแล้วในยุคนี้ ความลึกซึ้งทางจิตวิญญาณเหล่านี้มาจากไหน ? นี่คือปริศนาข้อที่สาม


เมื่อความรู้แบบเผยแจ้งตอบปริศนาเหล่านี้แบบขอไปที จึงมีผู้เสนอความคิดขึ้นมามากมาย ตั้งแต่ทฤษฎี พระเจ้าจากต่างดาว อันลือลั่น ทฤษฎีมนุษย์ 7 พันธุ์ของสมาคมเทวญาณวิทยา ทฤษฎีว่าด้วยการมีอยู่ของเกาะแอตแลนติส เลอมูเรียหรือทวีปมูอีกนับไม่ถ้วน จนถึง ทฤษฎีทางจักรวาลโบราณคดีของนักค้นคว้ารุ่นหลัง ๆ


เนื่องจากข้อเขียนชิ้นนี้เขียนขึ้นในบริบทของ มังกรจักรวาล ดังนั้นทฤษฎีหรือข้อเสนอที่จะนำเสนอต่อไปนี้จึงต้องเกี่ยวข้องกับเรื่อง ทางจิตวิญญาณด้วย และจำเป็นที่จะต้องเลือกบางทฤษฎีที่มีที่มาจากการ สื่อสัญญาณ เพราะโดยมากข้อมูลแบบนี้จะพูดถึงเรื่องวิวัฒนาการ ทางจิตโดยตรง ข้อมูลที่เลือกมานี้จะเลือกจากการสื่อสัญญาณที่ได้รับความเชื่อถืออยู่ในวงการระดับหนึ่ง และตัวมันเองก็สอดคล้อง กับความรู้ทางจิตวิญญาณที่ มังกรจักรวาล ได้นำเสนอไปแล้วอยู่พอสมควร
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: สิงหาคม 25, 2010, 04:36:40 pm »



 
 
3.9 ตรวจสอบเรื่องความมี 2 ภาค


เรื่องความมี 2 ภาค เป็นหัวใจของระบบความคิดแบบนิวเอจทั้งปวง ซึ่งรวมทั้งของจิตจักรวาลด้วย เคน คาเรย์ ได้รับการสื่อสัญญาณ มาจาก " จิตวิญญาณแห่งแสง " ดวงหนึ่งนั้นได้กล่าวว่า แรกเริ่มเดิมทีก่อนที่จะมีจักรวาลทางกายภาพเกิดขึ้น จิตมนุษย์จะรวมอยู่กับ จิตวิญญาณอื่น ๆ ในจุดกำเนิดแห่งความเป็นนิรันดร์ ( Eternal Source ) อยู่ในอาณาเขตที่เลื่อนไหลไปด้วยทุกแถบแสงแห่งสี และความรัก ทั้งหมดจะใช้คำว่า ฉัน ร่วมกัน เราจะล่องลอยอยู่ในที่ที่ดุจดังท้องทุ่งแห่งความฝัน ที่ทีเป็นนิรันดร์ของเรา มีบางครั้งที่เราจะเล่น เกมส์ โดยการแยกตัวเองเป็นอิสระออกมาจาก ทั้งหมด ( whole ) มีความเป็นปัจเจกและมีบุคลิคภาพเฉพาะตัวอยู่ชั่วขณะ เกมส์ที่ว่านี้คือ การแลกเปลี่ยนพลัง

ในขั้นพื้นฐาน เกมส์นี้เราทำไปเพื่อให้มีประสบการณ์ด้านความสัมพันธ์ ( experience of relationships ) กับจิตอื่น ๆ ที่ทำเช่นนั้นเหมือนกัน ณ จุดนี้เราจะเลือกความถี่ แถบสี และคลื่นความคิดของเราเอง จากความเป็นหนึ่งที่เป็นนิรันดร์ จะนำมาสู่สองและสาม และอื่น ๆ แต่ในขั้นตอนนี้แม้จะมีประสบการณ์ของความเป็นสิ่งอื่น แต่สิ่งอื่นในที่นี้ก็ยังรวมอยู่ในนิยามของความเป็นหนึ่งด้วย คือไม่มีอะไรที่เป็น สิ่งเดียวโดยลำพัง ( one alone ) แต่จะเป็น สิ่งเดียวที่รวมกับสิ่งอื่น อยู่ด้วยกันถึงตรงนี้ตำแหน่งที่เราอยู่จะสร้าง อวกาศ ( space ) ขึ้นมา ขณะที่การเคลื่อนไหวของเราจะสร้าง เวลา ขึ้นมา

การคลี่ตัวจาก หนึ่ง ไปสู่ สาม หลายเป็น Trinity และไปสู่ความหลากหลายเป็นการเกิดขึ้นในชั่วขณะ ดั่งความคิดที่เกิดขึ้นโดยไม่ใช้เวลา และเมื่อกระบวนการนี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ขณะที่มันคงอยู่ มันก็จะมีเวลาและอวกาศ แต่ขณะที่มันไม่มีกระบวนการนี้ เวลาและอวกาศ ก็หายไป เมื่อภาวะเช่นนี้คงอยู่และแผ่ขยายกว้างออกไปก็ทำให้เกิดจักรวาลทางกายภาพที่เป็นแสง เสียง และวัตถุขึ้นในภายหลัง ในทะเลแห่งการสร้างที่มาแห่งคุณสมบัติเฉพาะที่เปล่งพลังงานหรือรังสีออกมาจะมี 2 กลุ่มดาว คือ กลุ่มดาวแห่งความรัก กับ กลุ่มดาวแห่งความจริง ซึ่งเป็นขั้วตรงข้ามแห่งสิ่งที่เป็นนิรันดร์ กลุ่มดาวแห่งความรักจะมีคุณสมบัติเกี่ยวกับการแสดงออกซึ่งพลัง กลุ่มดาวแห่ง ความจริงมีคุณสมบัติทางรูปทรงและโครงสร้าง ทั้ง 2 ขั้วนี้จะซ้อนทับและทำงานร่วมกัน ทั้ง 2 คุณสมบัตินี้จะเป็นกฏพื้นฐานแห่งจักรวาล

จิตวิญญาณหนึ่ง ๆ ก็มีขึ้นภายใต้ 2 คุณสมบัตินี้ และมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างความรักกับความจริงของจิตวิญญาณที่มีลักษณะเฉพาะ และมีการรับรู้การมีอยู่ของลักษณะแห่งตนแต่ละดวง จะยังซึ่งการปรากฏแห่งทุกสรรพสิ่ง จากแกแลคซี่ไปจนถึงสิ่งที่เป็นจุลภาค ไม่มีดาวดวงใดจะเกิดขึ้นได้ หากไม่มีจิตวิญญาณที่เลือกที่จะปรากฏเป็นเช่นดวงดาวนั้น ภาวะแห่งจิตวิญญาณเป็นพื้นฐานของสรรพสิ่ง แม้ว่าสิ่งนั้นจะไม่มีชีวิต เช่น ก้อนหิน หรือเมล็ดทรายก็ตาม จิตวิญญาณที่มีความเป็นปัจเจกและแยกตัวเองจากความเป็นหนึ่ง เพื่อมีประสบการณ์แห่งความสัมพันธ์นี้ เมื่อเรียนรู้แล้วก็จะกลับไปรวมกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างเดิม เหมือนปลาโลมาที่กระโดดขึ้นสู่ อากาศ แห่ง ความเป็นปัจเจก แล้วกลับลงไปใน ทะเล แห่ง ความเป็นหนึ่งเดียว อีกครั้ง มันเป็นกระบวนการที่เต็มไปด้วย ความสุขและสนุก

แต่ในกระบวนการนี้มีจิตวิญญาณอื่น ๆ มาบอกให้ คุณ ซึ่งก็คือจิตวิญญาณดวงหนึ่ง รักษาความเป็นปัจเจกของคุณในขณะนั้นไป เพื่อนำไปสู่ความสัมพันธ์อย่างใหม่ แรก ๆ คุณก็คิดว่านี่คือ เรื่องตลกหรืออารมณ์ขัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป คุณจะได้รับการชักจูงจาก จิตวิญญาณอื่น ๆ ถึงความเป็นไปได้ที่จะจบสิ้นการดำรงอยู่ เช่นนั้นหากคุณไม่รักษาความเป็นปัจเจกไว้เพื่อสานความสัมพันธ์อย่างใหม่ การครุ่นคิดกับเรื่องนี้ทำให้คุณเริ่มไม่รู้ว่าการกลับไปสู่บ้านที่แท้จริงหรือกลับไปสู่ทะเลแห่งความเป็นหนึ่งนั้นเป็นอย่างไร นี่คือการโกหก ครั้งแรกที่คุณเชื่อ และทำให้คุณร่วงหล่นมาจากจิตวิญญาณที่แท้จริงของคุณ ที่คงเหลืออยู่ก็คือศักยภาพภายในแห่งจิตเดิมขณะนี้อยู่ใน จิตใต้สำนึกของคุณเท่านั้น ... คุณเริ่มดึงความเป็นกายภาพเข้ามาสู่สนามความคิดที่เป็นแรงดึงดูดทางชีวภาพ และนั่นทำให้คุณเริ่มคิดว่า ตัวเองคือรูปร่างทางกายภาพที่จับต้องได้ กระบวนการของการสวมเสื้อผ้าทางกายภาพให้จิตนี้คุณคิดว่ามันสวยงามมากและเลือกที่จะ ยึดมันไว้เช่นนี้ ...


ข้างต้นนี้คือสิ่งที่คาเรย์ได่รับการสื่อสัญญาณที่เกี่ยวกับความี 2 ภาค ของมนุษย์ ซึ่งดูแล้วไม่ค่อยเหมือนกับที่จิตจักรวาลพูดไว้ แต่ใกล้เคียง กับความเชื่อของพุทธศาสนาเรื่องพรหม ที่ลงมากินง้วนดิน แล้วยึดติดในรสชาติจนทำให้รูปร่างขยายขึ้น แต่ในอีกแง่หนึ่งเราก็อาจมองได้ว่า ข้อมูลของคาเรย์นี้พูดจากมุมมองของความเป็น มนุษย์ ซึ่งเป็นมุมมองที่สัมพัทธ์กับความสูงส่งของสิ่งสูงสุด ขณะที่จิตจักรวาลพูดในมุมมอง ของแก่นสารทางจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นการแตกตัวออกมาเป็นความหลากหลาย เป็นที่น่าสังเกตว่า มีหลายส่วนของข้อมูลของคาเรย์ที่พูด คล้ายคลึงกับของจิตจักรวาล เช่น การเล่นเกมส์ การเลือก การโกหกที่เป็นเหมือนอารมณ์ขันของจักรวาล หรือ การเรียนรู้ความสัมพันธ์ เป็นต้น ทำให้เรามองได้ว่า ข้อมูลของคาเรย์น่าจะมาขยายหรืออธิบายข้อมูลของจิตจักรวาลได้ในระดับหนึ่ง เพราะจิตจักรวาลพูดไว้ว่า " มนุษย์ต้องแสวงหาความเป็นพระเจ้าในตนเองให้พบ ซึ่งความเป็นพระเจ้านั้นก็คือ ความดีงามทั้งหลายทั้งปวงในการคิดของจิตและการ กระทำของมนุษย์ต่อตนเอง ผู้อื่นหรือทุกสรรพสิ่ง "

ดวงตาในการเข้าใจโลกของเรามีอยู่ 3 ดวง คือ ดวงตาแห่งประสบการณ์ทางผัสสะ ดวงตาแห่งความคิดสติปัญญาและเหตุผล และดวงตาแห่งวิญญาณหรือปัญญาญาณ ความมี 2 ภาคทำให้คนส่วนใหญ่มักใช้แค่ดวงตาสองดวงแรกในการเข้าใจโลก วิทยาศาสตร์ เป็นตัวอย่างของความรู้ที่มองจากดวงตาดวงแรก ขณะที่ปรัชญาและเหตุผลเป็นการหาความรู้ที่มองจากดวงตาดวงที่สอง โดยมากแล้ว ดวงตาทั้งสองนี้มักจะทำงานควบคู่กันไป แต่ในที่สุดของการใช้ประสบการณ์และเหตุผลสติปัญญาจะนำเรามาถึงซึ่งความคิดที่สะท้อน ความเป็น ทวิภาวะ ( Duality ) ออกมา เช่น อัตวิสัย / ภาวะวิสัย มีอยู่ / ไม่มีอยู่ อัตตา / อนัตตา นิพพาน / วัฏสงสาร เชื่อ / ไม่เชื่อ ถูก / ผิด จริง / เท็จ ดีชั่ว บุญ / บาป กาย / จิต เจตจำนงเสรี / ถูกกำหนด เป็นต้น ซึ่งความคิดที่เป็นคู่แบบนี้ มันจะเป็นขั้วตรงข้ามเสมอ และตราบใดที่เรายังมีวิธีหาความรู้แบบเดิม เราจะไม่มีวัน ก้าวข้าม ปัญหาเชิงทวิภาวะพวกนี้ได้ แม้แต่นักปราชญาหรือนักวิทยศาสตร์ ที่เก่ง ๆ ก้จะมีปัญหาพวกนี้ในที่สุด เพราะนี่เป็นข้อจำกัดของการใช้สติปัญญา ( Intellectual ) ซึ่งไม่ใช่ไม่ดีแต่มันมาได้แค่นี้เท่านั้น

ถึงตรงนี้ถ้าหากเรายังไม่ก้าวข้ามเราก็ต้องเปิดใจให้กว้างยอมรับฟังความคิดของคนอื่น เพราะมันจะมีคนที่คิดตรงข้ามกับเราอยู่เสมอ มิฉะนั้นแล้วเราก็จะกลายเป็นพวกเชื่อ - ไม่เชื่ออยู่นั่นแหละ การที่เราจะก้าวข้ามข้อจำกัดนี้ได้ เราต้องใช้ เซน หรือใช้ดวงตาที่สามคือ ปัญญาญาณ ( wisdom ) ทำให้คำถามไม่กลายเป็นคำถามอีกต่อไป ซึ่งไม่ใช่กระบวนการของการหาคำตอบ แต่เป็นกระบวนการของ การทำให้หมดคำถาม การก้าวข้ามจากความมี 2 ภาค จึงเป็น ปริศนาธรรม อย่างหนึ่งที่จำเป็นต้องผ่านการปฏิบัติฝึกจิตในรูปแบบใด แบบหนึ่ง เพื่อให้เกิด ซาโตริ หรือความตื่นทางปัญญา
ถ้ามองจากอีกแง่มุมหนึ่ง ซาโตริ หรือการตื่นทางปัญญาน่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนข้อมูลเดิมที่มีอยู่ให้มีความหมายลึกซึ้งขึ้น เข้าใกล้ ความจริงมากยิ่งขึ้น ที่ชัดเจนก็คือคำถามควรจะน้อยลง อาการขี้สงสัยใคร่รู้จะน้อยลง การแบ่งแยกจะน้อยลง และอาการเชื่อ - ไม่เชื่อ น่าจะหมดไป ซึ่งจะยังผลให้การใช้ดวงตาสองดวงแรกมีประสิทธิภาพมากขึ้นทั้งในแง่ความคิด คำพูดและการกระทำ เพราะฉะนั้น จงอย่าเร่งรีบด่วนสรุปว่า ศาสนาจะเป็นความรู้จากดวงตาที่สาม เพราะความรู้จากดวงตาที่สามนี้คือ การก้าวข้าม ต่างหาก ปัจจุบันเราเห็น ความรู้ที่เป็นสติปัญญา ( Intellectual ) ทางศาสนามากมาย แทบจะมากกว่าศาสตร์อื่น ๆ เสียด้วยซ้ำ แต่มันกลับไม่ได้ช่วยให้เราก้าวข้าม ได้เลย แม้แต่การไปฝึกปฏิบัติธรรมจนมีประสบการณ์ทางวิญญาณ ซึ่งมีคนไม่น้อยที่ไม่มีการปฏิวัติทางความคิดภายในเกิดขึ้นพยายามก้าว แต่ไม่ข้าม สุดท้ายก็ตกม้าตายด้วยคำถามแบบทวิภาวะอยู่เช่นเดิม
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: สิงหาคม 25, 2010, 04:35:22 pm »



 
 
3.8 ขบวนการนิจเอจ


ไม่มีใครแม้แต่พวกนิวเอจเองที่จะให้นิยามที่ลงตัวของ " นิวเอจ " ได้ในสายตาของนักวิชาการกระแสหลักโดยทั่วไป พวกนิวเอจคือ พวกเชื่อในสิ่งที่เหลวไหล เช่น เชื่อเรื่องการสื่อสัญญาณ เชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิด เชื่อเรื่องจานบินและมนุษย์ต่างดาว ฯลฯ ในสายตาของคนทั่วไปหรือสื่อมวลชน พวกนิวเอจจึงกลายเป็นพวกแปลกแยก กลายเป็นพวกนิกายใหม่ ความเชื่อใหม่ ในบางประเทศ หนังสือนิวเอจไม่สามารถอ่านได้อย่างเปิดเผย การแสดงตัวว่าเป็นนิวเอจที่ชัดเจนอาจจะมีผลต่อความสัมพันธ์รอบข้างหรือหน้าที่การงาน แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นแค่ด้านเดียวของนิวเอจเท่านั้น

อีกด้านหนึ่งของความคิดแบบนิวเอจประกอบด้วยบุคคลดังต่อไปนี้

( ก ) นักวิทยาศาสตร์ David Bohm , Roger Penrose , Ilya Prigogine , Karl Pribram , Rupert Shelgrdke , Ervin Laszlo , James Lovelock

( ข ) ผู้เชี่ยวชาญด้านวิญญาณศาสตร์ Aldous Huxley , Ken Wilbur , Alan Watts , Lama Govinda , Sri Auropindo , Teihard de Chardin

( ค ) นักจิตวิทยา Carl Jung , Scott Peck , James Redfield

( ง ) นักสังคมศาสตร์และนักอนาคตศาสตร์ Fritjof Capra , Marilyn Fergreeson , Willis Harman

ข้างต้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของคนที่มีชื่อเสียงในสังคม ซึ่งบางคนมีผลงานทั้งในแง่งานค้นคว้าหรืองานเขียนเป็นที่ยอมรับหรือติดอันดับ หนังสือขายดี บุคคลทั้งหมดที่กล่าวมาอาจจะไม่เรียกตัวเองว่า นิวเอจ แต่ความคิดที่คนเหล่านี้เสนอ เราเรียกกันว่า กรอบความคิดใหม่ ( New Paradigm ) และถ้ากรอบความคิดใหม่นี้ เหลวไหล คนเหล่านี้คงไม่มีชื่อค้างวงการอยู่เป็นแน่

แล้วอะไรล่ะที่เรียกกันว่า แนวคิดแบบนิวเอจที่แท้จริง เราพอจะพูดถึงแนวคิดแบบนิวเอจได้กว้าง ๆ ดังต่อไปนี้ว่า แนวคิดแบบนิวเอจ

( 1 ) ยอมรับ ประสบการณ์ ทางวิญญาณศาสตร์ สัจธรรมที่ปรากฏในศาสนา รวมถึงคุณค่าและการปฏิบัติในการดำเนินชีวิตที่มีการพัฒนา ทางจิตวิญญาณเป็นเป้าหมาย

( 2 ) ยอมรับ ความเป็นจริง ( Reality ) ที่เกิดขึ้นในวิทยาศาสตร์ยุคใหม่โดยเฉพาะแควนตัมฟิสิคส์ มองความเป็นไปของกระบวนการทาง ธรรมชาติอย่างเป็นองค์รวม ( holism ) ยอมรับในระบบของความซับซ้อน ( comlexity systems ) และการจัดตั้งตนเองของระบบนั้น ๆ ( soft - organizing )

( 3 ) เชื่อว่า ปัจจุบันสมัยกำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลงกรอบความคิดครั้งใหญ่ ( Paradigm sift ) ที่ไม่อาจแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยวิธีคิดแบบเก่าได้อีกต่อไป

นี่คือขอบเขตที่กว้างที่สุดของแนวคิดแบบนิวเอจ เป็นที่น่าสังเกตว่าความคิดแบบนิวเอจไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่ง ดังที่เคยเป็นมาในอดีต แต่มันเกิดขึ้นมาในแทบทุก ๆ บริบททางความคิดของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นศาสนา วิทยาศาสตร์ หรือไสยศาสตร์ และเป็นการเกิดขึ้นที่มีความสอดคล้องกันโดยบังเอิญ ความคิดแบบนิวเอจไม่ใช่ความคิดที่มีความน่าเชื่อถือทางตรรกะ ( logical reliability ) แบบเคร่งครัด แต่เป็นความคิดในเชิงสร้างสรรค์ ( creativity ) และเน้นความน่าเชื่อถือทางความรู้สึก ( emotionnal reliability ) มากกว่า เพราะแนวคิดแบบนิวเอจมีแนวโน้มที่พยายามจะเอาแนวคิดที่อยู่ตรงข้ามกันมาก่อน เช่น ศาสนากับ วิทยาศาสตร์มาหลอมรวมเข้าด้วยกัน

ถ้าเราคิดว่านิวเอจ คือ เกาเหลา ทางความคิดที่พยายามรวมศาสตร์ต่าง ๆ ที่อยู่คนละบริบทเข้ามาไว้ด้วยกัน นิวเอจยุคแรกของโลกเท่าที่ มีความชัดเจนทางประวัติศาสตร์ ก็คือ ปิธากอรัส ผู้ที่จิตจักรวาลเคยบอกว่า ครูสุวินัย เคยเป็นหลานศิษย์ของคนผู้นี้ในอดีตชาติ เพราะในสำนักของเขานั้นมีทั้งการศึกษาศาสตร์เร้นลับสายอียิปต์ จิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ดนตรีรวมเข้าไว้ด้วยกัน ปิธากอรัส ( Pythagoras ) คือบุคคลแรกที่พยายามผสมผสานแนวคิดแบบจิตวิญญาณของตะวันออก กับปรัชญาและวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็น พื้นความคิดของตะวันตกเข้าไว้ด้วยกัน แต่ยุคสมัยในประวัติศาสตร์ที่มีความหลากหลายและผสมผสานทางความคิดระหว่างวิทยาศาสตร์ ไสยศาสตร์ ปรัชญา และศาสนา ก็คือยุคเฮเลนนิสม์ ประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล ในยุคนั้นศูนย์ลกลางที่เป็นจุดนัดพบระหว่าง ตะวันออกกับตะวันตกคือ เมืองอเล็กซานเดรียในอียิปต์ ซึ่งว่ากันว่าในห้องสมุดของอเล็กซานเดรียมีหนังสือศาสตร์ต่าง ๆ แทบทุกแขนง และที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นก็คือ แม้นักคิดในยุคนั้นจะมีพื้นฐานทางวัฒนธรรมที่ต่างกัน แต่หลายคนมีประสบการณ์เร้นลับทางศาสนา หรือที่เรียกว่า รหัสยลัทธิ ที่ตรงกันอย่างน่าประหลาดนั่นคือ การเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า หรือการสัมผัสกับจิตวิญญาณของจักรวาล การค้นพบตัวตนที่แท้จริงด้วยวิธี และวิถีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์เร้นลับในศาสนายิว คริสต์ อิสลาม หรือ ฮินดู พุทธ เต๋า

นิวเอจในยุคแรกเริ่ม หรือยุคสมาคมเทวญาณวิทยา ในยุคนี้นิวเอจคือ การย้อนกลับไปศึกษาไสยศาสตร์ ศึกษาศาสตร์เร้นลับตะวันออก และยอมรับประสบการณ์ทางวิญญาณมีจริง หลังจากที่ได้ถูกหลงลืมหรือซ่อนเร้นอยู่ในจิตใต้สำนึกของชาวตะวันตกมาเป็นเวลานาน สิ่งที่ตามมาจากเรื่องนี้ก็คือ ยุคสมัยแห่งการผจญภัย ที่เป็นต้นกำเนิดของ อินเดียน่า โจนส์ เพราะมีชาวตะวันตกเป็นจำนวนมากพยายาม เดินทางเข้าไปในดินแดนเร้นลับของเอเชีย โดยเฉพาะธิเบตเพื่อศึกษาศาสตร์เร้นลับต่าง ๆ หรือการค้นหาดินแดนเร้นลับที่ชื่อว่า ชัมบาลา

นิวเอจในยุคบุปผาชน ในช่วงต่อยุค ค.ศ. 1960-1970 เป็นช่วงที่มีความผันผวนทางวัฒนธรรมเกิดขึ้นมากที่สุด โดยเฉพาะที่อเมริกา นับเป็นยุคแห่งการแสวงหา ยุคแห่งการต่อต้านและการเป็นขบถต่อกรอบวัฒนธรรมแบบเดิม มันเป็นจุดเริ่มของการแสวงหาทางจิตวิญญาณ อย่างใหม่อย่างไม่สังกัดองค์กรใด ๆ ในยุคนี้ร่องรอยของความเชื่อแบบสมาคมเทวญาณวิทยาถูกสานต่อในแบบใหม่คือ การเปิดประตูสู่โลก แห่งความเร้นลับทางวิญญาณด้วยพืชสมุนไพรหรือยากล่อมประสาทต่าง ๆ ยอมรับเรื่องเวทย์มนต์ เชื่อในเรื่องปาฏิหาริย์ ซึ่งเป็น การย้อนกลับไปหาแนวคิดดั้งเดิมของศาสนา สิ่งดีที่เกิดขึ้นในยุคนี้คือ จิตวิญญาณอันบริสุทธิ์แห่งการแสวงหา แต่อาจจะด้วยความไม่เข้าใจ เรื่องจิตวิญญาณดีพอ หรือไม่ก็อาจต้านทานความอยากของอัตตาของตนได้ การแสวงหาอันบริสุทธิ์จึงผิดแนวทางและเป็นเพียงรูปแบบ หรือกระแส ร่วมสมัยอย่างหนึ่งไปเท่านั้น ไม่อาจจะเข้าถึงจิตวิญญาณที่แท้จริงของตนได้ดังที่ได้ตั้งใจไว้แต่ต้น ดังนั้น หลังจากที่สงครามเวียดนามสิ้นสุดลง กระแสของเหล่าปุบผาชนก็ค่อย ๆ แผ่วเบาและเจือจางจนกลายเป็นประวัติศาสตร์ แต่แนวคิดแบบนิวเอจไม่ได้เจือจางไปด้วย

นิวเอจในทศวรรษสุดท้ายก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 เราแทบจะเรียกได้ว่า ก่อนจะสิ้นศตวรรษที่ 20 นี้ เป็นยุคแห่งการสังเคราะห์ข้อมูลนิวเอจ อย่างแท้จริง งานเขียนอย่าง The Celestine Prophecy ของ James Refield ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง เรียกได้ว่าเป็นการเปิดแนวร่วม ของการสังเคราะห์ข้อมูล เพราะข้อมูลต่าง ๆ ถูกนำมาสานต่อและสังเคราะห์ใหม่เพื่อให้ได้ภาพรวมที่ชัดเจนยิ่งขึ้น และผลพวงตามมาก็คือ การตีความแนวคิดบางอย่างใหม่ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่าง พ่อ - แม่ - ลูก ด้วยมุมมองเชิงบวกและผ่านมิติของการเรียนรู้ทางจิตวิญญาณ หน้าที่อย่างใหม่ของมนุษย์ถูกยกมาพูดถึงโดยผ่านการค้นหา จุติทัศน์ ( birth vision ) จนไปถึง อนาคตโลก ( world vision ) ซึ่งเป็นชะตากรรม รวมหมู่ของคนและโลกหรือแม้แต่ข้อมูลของครายออน หรือของจิตจักรวาลเองก็ยังพูดถึงแนวคิดทำนองเดียวกันนี้ในถ้อยคำที่ต่างออกไป

งานเขียนอย่าง Fingerprint of the Gods ของ Graham Handcock และ From Atlantis to the Spinx ของ Colin Wilson คือการสานต่อ เข้าด้วยกันของข้อมูลจักรวาลโบราณคดี กับมิติทางจิตวิญญาณ โดยเฉพาะในเรื่องของความสามารถในการใช้สมองซีกขวา และอำนาจจิต ของคนสมัยโบราณที่สัมพันธ์กับความเร้นลับทางโบราณคดี และวิทยาศาสตร์ทางจิต หรือในงานเขียนของนักคิดไทยอย่าง นายแพทประสาน ต่างใจ ก็คือการสังเคราะห์ข้อมูลชุดใหญ่จากหลาย ๆ แหล่งเข้ามาไว้ด้วยกัน ประดุจการต่อภาพจิ๊กซอว์ทีละชิ้นแล้วได้ภาพใหม่ที่ชัดเจน ขึ้นมาโดยเฉพาะการค้นหาจิตวิญญาณอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ หลายคนเชื่อว่าเราไม่อาจเข้าใจโลกด้วยกรอบใดกรอบหนึ่งเพียงกรอบเดียว การสังเคราะห์นี้มิใช่จะมีในงานวิชาการเท่านั้น ภาพยนต์ชุดทางทีวีชื่อดังอย่าง The X-files ก็จะสะท้อนแนวคิดเช่นนี้ออกมา ทั้งหมด เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับความผันแปรอย่างรุนแรงทางเศรษฐกิจ การเมือง และธรรมชาติ

ที่มาพร้อม ๆ กันคือ ความเชื่อเกี่ยวกับ วันสิ้นโลก ข้อมูลนอสตราดามุส ถูกนำมาตีความอย่างแพร่หลาย ทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ข้อมูลจากญาณทัศนะของผู้ทรงฤทธิ์ ตลอดจนข้อมูลที่ได้มาจากการสื่อสัญญาณ ต่างหลั่งไหลออกมามากมาย อย่างไรก็ตาม เราไม่อาจ เรียกยุคนี้ว่า นิวเอจ อย่างที่พวกนิวเอจเชื่อกัน เพราะยังไม่ปรากฏว่าความคิดแบบใหม่อย่างพวกนิวเอจได้เข้าครอบครองโลกทัศน์ของ คนทั่วไปในสังคม ความขัดแย้งระหว่างเก่า กับ ใหม่ ยังคงมีอยู่สูง และยังไม่อาจจะบอกได้ว่า ในสงครามความคิดนี้ฝ่ายไหนจะชนะเด็ดขาด แม้เราจะมองว่าความคิดแบบเก่าถึงจุดล่มสลาย แต่มันก็ไม่จำเป็นที่ ยุคใหม่ จะเป็นอย่างที่พวกนิวเอจคิดเสมอไป อย่างน้อยดูเหมือนว่า เรามีทางเลือกใหญ่ ๆ อยู่ 2 แบบ ถ้าหากความคิดเก่าล่มสลายถึงที่สุด คือ หากไม่เข้าสู่ยุคทอง ยุคพระศรีอารย์ ก็จะเป็นยุคทองของ MadMax อย่างใดอย่างหนึ่ง ขึ้นอยู่กับว่า มนุษยชาติเลือกตัวเลือกไหนในปัจจุบันเท่านั้น

ทั้งหมดนี้เป็นพัฒนาการอย่างกว้าง ๆ ที่สุดของแนวคิดแบบนิวเอจในศตวรรษนี้ ข้อมูลของจิตจักรวาล ซึ่งเราจัดว่าอยู่ในแนวความคิด แบบนิวเอจเช่นกัน ถือเป็นพัฒนาการในยุคสุดท้ายก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งถ้าย้อนหลังไปได้ตั้งแต่ต้น เราจะได้ข้อสรุปในเบื้องต้น ดังต่อไปนี้คือ

( 1 ) ในการพิจารณาที่มาของข้อมูล หากไม่มีการบิดเบือน เราก็ต้องยอมรับว่าข้อมูลนี้น่าจะมาจาก จิตจักรวาล จริง และยอมรับการมีอยู่ ของจิตจักรวาลได้ ซึ่งเป็นการยอมรับในกรอบความคิดของนิวเอจ ( หลักข้อ 1 )

( 2 ) จิตจักรวาล ไม่ใช่ครายออน เพราะจินตลักษณะ ( mentality ) และการตีความข้อมูลบางอย่างต่างกันออกไป

( 3 ) ข้อมูลของจิตจักรวาล คือ ระบบความคิดชุดหนึ่งที่มีความลงตัวค่อนข้างมาก และมีความสัมพันธ์ระหว่างข้อเสนอแนะในการปฏิบัติ กับอภิปรัชญาที่รองรับหลักปฏิบัติอย่างกลมกลืน เราจึงยอมรับข้อมูลของ จิต จักรวาล ในฐานะชุดของความรู้ใหม่ตามแบบนิวเอจชุดหนึ่งได้
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: สิงหาคม 25, 2010, 04:34:22 pm »



 
 
 
3.7 ประวัติการสื่อสัญญาณโดยสังเขป



ถ้าถามผมว่า การสื่อสัญญาณ น่าสนใจศึกษาในประเด็นไหน ? ผมคงตอบได้ว่า การศึกษาการสื่อสัญญาณ ( 5 % เป็นของแท้ ) คือการสืบค้นร่องรอยของความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่าง มนุษย์ กับ จิตวิญญาณชั้นสูง ทำไมผมถึงเชื่อว่านี่ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล ? นั่นก็เพราะ เราได้ค้นพบร่องรอยนี้มาตั้งแต่สมัยเริ่มอารยธรรมของมนุษย์เลยทีเดียว

คัมภีร์พระเวทที่ได้รับการกล่าวขานว่ามีความเก่าแก่ที่สุด คือ ถ้อยคำที่ฤาษีหรือนักบวชสมัยนั้นได้ยินมาจากพระผู้เป็นเจ้า จึงได้นำมาบอก กล่าวหรือบันทึกกันต่อ ๆ มา หากเรามองว่า ฤาษีคือผู้ที่ฝึกตนเองจนมีความสามารถที่จะเชื่อมการรับรู้ทางจิตเข้ากับอีกคลื่นความถี่ได้ และพระผู้เป็นเจ้าคือ รูปธรรม หรือ อรูปธรรมที่อยู่สูงกว่า เพราะฉะนั้น สิ่งที่เรียกว่า Sruti ( ศรุติ ) หรือสิ่งที่ได้ยินก็ไม่เห็นจะต่างกับการ สื่อสัญญาณตรงไหนในทางหลักการ แถมเนื้อหาที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ก็คือ การแสดงความสัมพันธ์ในรูปแบบใดแบบหนึ่งกับเทพเจ้าหรือ จิตวิญญาณชั้นสูงซึ่งถูกนักวิชาการ สมองซ้าย ทางศาสนามาตีความภายหลังว่าเป็นความกลัวต่อปรากฏการณ์ธรรมชาติ ทั้ง ๆ ที่มีนักวิชาการน้อยคนมากที่เข้าใจและเข้าถึงพระเวทจริง ๆ

ความสัมพันธ์ในเชิงจิตวิญญาณในระบบความเชื่อของผู้คนในยุคพระเวทจึงถูกอธิบายให้เป็นแค่อวิชชา หรือความไม่เข้าใจในธรรมชาติ ซึ่งมีความสอดคล้องกับอิทธิพลของยักษ์ใหญ่อย่างวิทยาศาสตร์ที่อยู่ร่วมสมัยกับนักวิชาการเหล่านั้นมากกว่า มิติทางจิตวิญญาณจึงถูก มองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย พระเวทเป็นความกลัวที่เกิดขึ้นต่อปรากฏการณ์ธรรมชาติจริงหรือไม่ หากท่านลองพิจารณาบทที่ยกมานี้ อย่างตั้งใจ ท่านคงเห็นหรือเข้าใจได้ด้วยตนเอง

 
บทเพลงแห่งการสร้าง ( Rig-Veda X , CXXX )

( 1 ) ในครั้งกระนั้น ไม่มีทั้งความไม่เป็น ไม่อยู่และความเป็นอยู่ ไม่มีอาณาจักรแห่งอากาศ ไม่มีท้องฟ้า ถัดออกไปไกลโพ้น - อะไรแผ่คลุมเข้ามา ? และ ณ ที่ใด ? อะไรที่ให้ที่พำนักพักพิง ? ที่นั่นมีน้ำหรือน้ำที่ลึกสุดจะหยั่งได้ ?

( 2 ) ไม่มีมฤตยูในครั้งกระนั้น อีกทั้งไม่มีอะไรเป็นอมตะ ไม่มีเครื่องหมายอันแบ่งแยกเวลาออกเป็นทิวาและราตรี - สิ่งเดียวที่มีอยู่นั้น ไมีมีการหายใจ แต่ก็สามารถสูดอากาศได้ด้วยธรรมชาติของมันเอง นอกนั้นไม่มีสิ่งใดเลย

( 3 ) ความมืดนั้นมี ทั้งหลายทั้งแหล่เหล่านี้ คือความสับสนอลหม่านที่ยังมิได้มีการแบ่งแยก และยังปิดบังอยู่ในความมืดก่อน - ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่และเป็นอยู่ในครั้งกระนั้นว่างเปล่า ไม่มีรูป - ไม่มีร่าง แต่หน่วยนั้นเกิดขึ้นได้ด้วยอำนาจความยิ่งใหญ่ของความอบอุ่น

( 4 ) ต่อจากนั้น ได้มีตัณหาเกิดขึ้นเป็นอาทิ ตัณหาคือความอยากอันเป็นปฐมพืชและตัวกำเนิดของจิตใจ - ปราชญ์ผู้ค้นหาด้วยความคิดแห่ง ห้วงหัวใจของเขาได้พบว่า ความเป็นอยู่ นั้น มีความสัมพันธ์กับความไม่เป็นอยู่

( 5 ) เส้นแบ่งภาวะทั้งสองนี้ยาวยืดทแยงออกไป อะไรเล่าอยู่เบื้องบนเส้นนี้ ? และอะไรเล่าอยู่เบื้องล่าง มีผู้ให้กำเนิด มีพลังอย่างมหาศาล มีการกระทำอย่างเสรี ณ ที่นี่ และ มีพลัง ณ ที่โน้น

( 6 ) ใครทราบอย่างแท้จริง และใครสามารถประกาศ ณ ที่นี้ได้บ้างว่าสิ่งนั้นเกิดมาจากที่ไหน ? และการสร้างสรรค์นี้มีต้นเค้ามาจากที่ใด ? เพทเจ้าต่าง ๆ อุบัติขึ้นภายหลังจากการสร้างโลกนี้ ถ้าเช่นนั้น ใครบ้างเล่าที่ทราบว่าโลกเริ่มแรกเกิดขึ้นจากที่ใด ?

( 7 ) เขา ผู้เป็นต้นกำเนิดของการสร้างสรรค์ได้สร้างสิ่งต่าง ๆ ทั้งหมด หรืออาจจะไม่ได้สร้างก็ตาม เขาผู้ซึ่งมีนัยน์ตาดูแลควบคุม โลกนี้อยู่ ณ สวรรค์ชั้นฟ้าอันสูงสุดนั่นแหละเป็นผู้ทราบเรื่องนี้อย่างแท้จริง หรือบางทีเขาอาจจะไม่ทราบก็เป็นได้ ( สำนวนการแปล กรุณา กุศลาศัย )
 
นี่คือบทหนึ่งในพระเวทที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นแม่บทของปรัชญาอินเดีย หรือจะพูดให้กว้างกว่าได้ว่าเป็น ต้นเค้าแห่งบูรพาวิถี ที่อาจจะแสดงหรือสะท้อนได้ว่า ผู้คนที่ ได้ยิน สวด หรือบันทึก สิ่งนี้ไม่น่าจะเป็นคนป่า คนดง ที่กลัวปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างที่ อธิบายหรือพยายามที่ให้เชื่อกันต่อ ๆ มา

จากการค้นคว้าของนักคิด และนักค้นคว้าหลายคน ( Ken Wiibur , Julian Jaynes , Colin Wilson ) ด้วยวิธีการที่หลากหลายกันไปตั้งแต่ จิตวิทยา การศึกษา ตำนานต่าง ๆ จนไปถึงจักรวาลโบราณคดี ได้ให้ข้อสังเกตที่น่าสนใจเกี่ยวกับคนในยุคก่อนอารยธรรมว่า หนึ่ง คนส่วนใหญ่ในยุคนั้นมีความสามารถในการใช้สมองซีกขวามากกว่าคนในปัจจุบัน ความสามารถนี้เป็นความสามารถที่มากไปกว่า จินตนาการทางศิลปะดนตรี ฯลฯ คือเป็นความสามารถของการหยั่งลงสู่สมาธิแล้วสามารถนำเอาอำนาจจิต หรือพลังจิตมาใช้ประโยชน์ ในเรื่องต่าง ๆ ได้ เช่น การใช้เวทมนต์ที่มีปรากฏอยู่ในยุคโบราณแบบทุกอารยธรรม หรือการติดต่อสื่อหรือเป็นสื่อให้กับจิตวิญญาณชั้นสูง หรือการนำพลังจิตมาควบคุมการทำงานต่าง ๆ ซึ่งว่ากันว่า ปิรามิดและโบราณสถานอื่นที่มองไม่เห็นว่าจะสร้างได้อย่างไรในยุคปัจจุบัน ได้ถูกสร้างโดยใช้พลังจิตผสมผสานกับวิทยาการในสัมยนั้น สอง คนในยุคนั้นเข้าใจ อัตตา ( Self ) โดยไม่ใช้อัตตาที่แยกออกมาจากสิ่งอื่น อย่างที่เราเข้าใจ จากการค้นพบหลักฐานทางตำนาน ความเชื่อ หรือพิธีกรรมต่าง ๆ ที่แสดงให้เห็นว่า คนโบราณกับธรรมชาติ สรรพสิ่งหรือสรรพชีวิตมีความสัมพันธ์อย่างแยกออกจากกันไม่ได้ โดยเฉพาะในยุคที่ยังให้ความสำคัญกับเพศแม่เป็นใหญ่

การเข้าใจอัตตาว่าเป็นส่วนหนึ่งในองค์รวมของสรรพสิ่ง จะสัมพันธ์ไปกับความสามารถในการใช้สมองซีกขวาด้วยสาเหตุที่ยังไม่ทราบ แน่ชัด แต่หลังจากที่มีสงครามครั้งแรกเกิดขึ้นในโลก และความคิดว่าเพศชายเป็นใหญ่เริ่มมีอิทธิพลกับคนในยุคนั้น คนก็เริ่มเข้าใจ หรือมองอัตตาว่าแยกต่างหากออกมาจากสรรพสิ่งพร้อมกับความสามารถในการใช้สมองซีกขวาลดลง ขณะที่เริ่มมีการใช้หรือพัฒนาการ สมองซีกซ้ายมากขึ้น ที่ต้องเข้าใจก็คือ เมื่อพูดถึงการใช้สมองข้างใดข้างหนึ่ง มันไม่ใช่ใช้สมองข้างนั้นข้างเดียว แต่เป็นการใช้สมอง ซีกขวาหรือซ้าย นำ หรือมีบทบาทมากกว่าอย่างเป็นองค์รวมในการทำงานของสมองสองข้าง และผู้ที่เป็นอภิมนุษย์ในยุคนั้น ๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้สมองซีกขวาอย่างเดียว อย่างที่มักเข้าใจกัน แต่จะเป็นผู้ที่มี สมดุล ในความสามารถที่มีในสมองทั้ง 2 ด้านของมนุษย์

การเข้าใจอัตตาอย่างแยกออกมาจากสิ่งอื่น ๆ เป็นการพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไปโดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัว ในช่วงสมัยพุทธกาล เราจะเห็นว่า ยังมีอภิมนุษย์ที่มีสมดุลที่ว่านี้ปรากฏอยู่บ้างในบริบททางศาสนาต่าง ๆ ทั่วโลก ขณะที่ในยุคเริ่มแรกของปรัชญาตะวันตกในกรีก เราจะเห็นชัดว่าสมองซีกซ้าย ( ตรรกะ เหตุผล ) มีบทบาทในวิธีคิดของมนุษย์มากกว่าซีกขวา ( อารมณ์ ความรู้สึก ) แต่ก็ไม่ถึงกับจะ เหนือกว่าในทุกกรณี จนมาถึงยุคปรัชญาสมัยใหม่ที่เริ่มด้วยวิธีคิดแบบเดสคารท์ส กับการเกิดขึ้นของวิทยาศาสตร์คลาสสิกของนิวตัน มันแทบจะเป็นความชัดเจนที่กระบวนการคิดของมนุษย์ใช้ตัวเองหรือความเป็นมนุษย์ปุถุชนเป็นศูนย์กลางในการมองจักรวาล สมองซีกซ้ายได้แสดงบทบาทชัดเจน ขณะที่สมองซีกขวาถูกลดบทบาทลงอย่างน่าใจหาย และที่สุดของการเข้าครอบงำกระบวนการ คิดของมนุษย์ด้วยสมองซีกซ้ายก็คือ การกำเนิดขึ้นมาของปรัชญาร่วมสมัย ประจักษ์นิยม ( Postivist ) เมื่อประมาณไม่ถึง 100 ปีมานี้เอง ซึ่งยอมรับเพียงสิ่งที่พิสูจน์ได้ในเชิงประจักษ์ด้วยอายตนะของมนุษย์ และปฏิเสธการมีอยู่หรือการมีความหมายทางภาษาของ พระเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ ขณะเดียวกันก็สนับสนุนวิทยาศาสตร์อย่างเดิมด้วยทัศนะแบบวัตถุนิยม และเชื่อว่าทุกสิ่งสามารถลดทอนได้ ซึ่งในปัจจุบันความคิดแบบนี้ แม้จะถูกท้าทายด้วย ความเป็นจริงแบบควอนตัม แต่ตัวมันเองก็ยังมีอิทธิพลเหนือวิธีการคิดขงอคนทั่วไป ในสังคมอยู่ดี


จึงไม่น่าแปลกที่ในสมัยของเรา การสื่อสัญญาณ สำหรับคนส่วนใหญ่ในสมัยนี้ จึงถูกมองว่าเป็นเรื่องน่าสงสัย เหลวไหล หรือเป็นไปไม่ได้ ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะตัวมันเองเหลวไหล แต่เราถูกทำให้เชื่อหรือเข้าใจแบบเบ็ดเสร็จว่ามันเหลวไหลโดยวิธีคิดแบยสมองซีกซ้าย ประจักษ์นิยม เหตุผลนิยม และอัตตานิยมที่เราได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่แบเบาะต่างหาก มันจึงเป็นไปได้ หากเราเปลี่ยนความคิดเปลี่ยนวิธีคิดไปเป็นโลก ทัศน์แบบยุคพระเวท เรื่องสื่อสัญญาณก็อาจไม่ใช่เรื่องที่เหลวไหลอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม แม้ความคิดแบบสมองซีกซ้ายจะเป็นใหญ่เพียงใด ก็ตาม มันก็ไม่ใช่สำหรับทุก ๆ คน ในยุคสมัยที่ผ่านมา มีบางคนที่ยังความสามารถของสมองซีกขวาเอาไว้ อาจโดยบังเอิญฝึกฝนหรือถูกทำ ให้เป็นเช่นนั้น ซึ่งในเรื่องการสื่อสัญญาณได้สื่อข้อมูลอย่างเป็น ระบบความคิด ชุดหนึ่งมีดังต่อไปนี้

( ก ) ค.ศ. 1873 H.P. Blavatsky มาดามบลาวสกี้เธอได้สื่อสัญญาณกับสิ่งที่เธอเรียกว่า The Masters ( เหล่าคุรุ ) ซึ่งได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ จิตวิญญาณและประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติในแนวเร้นลับของธิเบต นอกจากนี้เธอยังเป็นผู้ก่อตั้งสมาคมเทวญาณวิทยาอันโด่งดังคุณูปการ ของเธอ คือ เธอทำให้ศาสตร์เร้นลับทางจิตวิญญาณได้รับการศึกษาและค้นคว้าอย่างจริงจังในยุคสมัยของเรา จนได้รับการขนานนามว่า เป็น มารดาของพวกนิวเอจ

( ข ) ค.ศ. 1979 Alice bailey เธอสื่อสัญญาณกับ " The Tibetian " บางส่วนเป็นการอธิบายหรือขยายความต่อมาจากมาดามบลาวาสกี้ โดพยกล่าวถึงระดับชั้นของจิตวิญญาณ การอภิเษก การฝึกฝน รวมถึงศาสตร์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การบำบัด โหรศาสตร์ตามแนวเร้นลับ และวิวัฒนาการของจักรวาลในเชิงจิตวิญญาณ

( ค ) Edgar Cayce เคซีเกิดหลังจากที่มาดามบลาวาสกี้เริ่มสื่อสัญญาณครั้งแรกประมาณ 4 ปี เขาผ่านประสบการณ์ การอ่าน โดยการเข้าภวังค์เพื่อการรักษาโรคมาอย่างโชกโชนก่อนเริ่มเจาะ ข้อมูลจากจักรวาล จาก บันทึกในอวกาศ ข้อมูลที่เคซีได้มาไม่ว่าจะเป็น คำทำนาย ประสบการณ์ทางจิตต่าง ๆ รวมถึงการเวียนว่ายตายเกิดนับว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับหอคัมภีร์ ( Hall of Records ) ที่เขาระบุว่าอยู่ใต้ดินบริเวณหนึ่งของมหาปิรามิดที่อียิปต์ หอคัมภีร์นี้เขาบอกว่าเป็นที่เก็บรวบรวมวิทยาการของ ชาวแอตแลนติสไว้เกือบหมด ดังนั้นถ้าหากมีการค้นพบหอคัมภีร์นี้ มันจะเป็นการยืนยันการมีอยู่ของแอตแลนติสโดยตัวมันเอง และต้องเปลี่ยนแปลงความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติอย่างมโหฬาร ข้อมูลของเคซีที่น่าสนใจมีอยู่ในมังกรจักรวาล ภาค 2 เทพอวตาร โดยเฉพาะการตีความคัมภีร์พระธรรมวิวรณ์

( ง ) ค.ศ. 1979 Ken Carey ช่างไม้คนหนึ่งชื่อ เคน คาเรย์ ได้ยินเสียงหนึ่งพูดกับเขาในความคิดประมาณต้นปี ค.ศ. 1979 ซึ่งเสียงนั้น บอกว่า เป็นจิตวิญญาณดวงหนึ่งในเขตแดนแห่งแสงสว่างอันไม่รู้จบ การสื่อสัญญาณได้ถูกตีพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือและทำให้ชีวิตของ ช่างไม้ธรรมดา ๆ คนหนึ่งเปลี่ยนไป ในการสื่อสัญญาณครั้งนั้น จิตวิญญาณนั้นกล่าวว่า ในช่วงปี ค.ศ. 1987-1989 จะมีจิตวิญญาณที่มี โทรจิตผ่านสัญญาณเข้ามาในคลื่นความคิดรวมหมู่อีกครั้ง 10 ปีให้หลังคาเรย์เวลาเตรียมตัวและเตรียมพร้อมมากขึ้น เขาได้รับ การสื่อสัญญาณอีกครั้ง ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือขายดี และถือว่าเป็นคัมภีร์ของความคิดแบบนิวเอจที่สำคัญเล่มหนึ่ง ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 ความเปลี่ยนแปลงที่แลเห็นได้ชัดเจนคือ ความยุ่งยากซับซ้อนแบบระบบอภิปรัชญา หรือข้อมูลดิบต่าง ๆ จะหายไปเหลือเป็นเพียงถ้อยคำสำนวน และบทกวีเกี่ยวกับจิตและจักรวาลและการดำเนินชีวิตแบบนิวเอจที่สละสลวยงดงาม นับได้ว่า เป็นงานสมองซีกขวาจริง ๆ จุดมุ่งหมายคือ เน้นการสร้างแรงบันดาลใจเพื่อความเข้าใจชีวิตแบบใหม่มากกว่าข้อเท็จจริงที่นำไปสู่ข้อ ถกเถียงในเชิงอภิปรัชญา

เป็นที่น่าสังเกตว่า ในปี 1987-1989 ที่คาเรย์สื่อสัญญาณครั้งที่สองนั้น เป็นช่วงเดียวกับที่ ครายออน เข้ามาสำรวจสนามแม่เหล็กโลก แล้วพบว่ามีพลังบวกคือ ความรักและความรู้แจ้งเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ จากนั้นอีก 3 ปี นักธุรกิจชาวอเมริกันคนหนึ่งชื่อ ลี คาร์รอล ก็ได้รับสื่อสัญญาณจากครายออนเกี่ยวกับการปรับสนามแม่เหล็กโลกในช่วงปี 1992-2002 และหลังจากการสื่อสัญญาณครั้งนั้นประมาณ หกเจ็ดปี คนไทยคนหนึ่งชื่อ ปริญญา ตันสกุล ก็ได้รับการสื่อสัญญาณจาก จิตจักรวาล เช่นกัน

แม้ว่าการสื่อสัญญาณที่กล่าวมาจะมีความแตกต่างในรายละเอียดกันมากมาย แต่ทั้งหมดก็แทบจะมีแก่นหรือแกนอันเดียวกันซึ่งก็คือ แนวความคิดแบบนิวเอจนั่นเอง
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: สิงหาคม 25, 2010, 04:32:59 pm »



 
 
 
 
3.6 การสื่อสัญญาณ



ในการศึกษาเรื่อง การสื่อสัญญาณ ( Channeling ) เราสามารถแยกรูปแบบของการสื่อสัญญาณได้หลายแบบ เช่น ร่างทรง ( Mediums ) ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงบุคลิคภาพของผู้ที่เป็นสื่อกลาง เช่น มีอาการหรือกิริยาแปลก ๆ หรือมีเสียงเปลี่ยนไปบางครั้ง การสื่อสัญญาณอาจ เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ เช่น ผีเข้าหรือผีสิง หรืออยู่ในภาวะถูกสะกดจิตย้อนหลัง หรือมีประสบการณ์ภาวะไกล้ตาย แต่บางครั้งก็เป็นไป โดยตั้งใจ เช่น การทำตัวให้อยู่ในภาวะเข้าภวังค์ ( Trance ) หรือการนิ่งลึกอยู่ในสมาธิระดับใดระดับหนึ่ง

ปัญหาใหญ่ในเรื่องนี้คือ ผู้ที่เป็นร่างทรงส่วนมากมักเป็นของเก๊ หรือแกล้งแสดง หรือไม่ก็เป็นเพียงจิตใต้สำนึกของตนที่เก็บกดอยู่แล้ว แสดงตัวออกมาขณะที่คนที่ได้รับสื่อสัญญาณจริง ๆ ก็มี ซึ่งเมื่อดูภายนอกแล้วในบางกรณีแทบจะแยกกันไม่ออก วิธีที่จะแยกหรือดูว่า อันไหนเป็นของจริงก็พอมี เช่น ดูภูมิหลังของผู้สื่อทั่งในแง่กายภาพและจิตใจ ความเชื่อ ฯลฯ หรือดูแรงจูงใจของการสื่อหรือทรงว่า เป็นไปเพื่ออะไร โดยดูจากผลประโยชน์ที่ตามมาจากการสื่อหรือทรงนั้น

ขณะที่ในการศึกษาหลายครั้ง เราจะพบว่า การสื่อที่เป็นของจริงจะปรากฏข้อมูล หรือความรู้ความสามารถบางอย่างที่ผู้สื่อเองไม่เคยมี ความรู้หรือความสามารถชนิดนั้นมาก่อน และความรู้ในบางเรื่องจะลึกซึ้งเป็นระบบระเบียบ ไม่ใช่พูดตีคลุมกว้าง ๆ หรือทำแค่โปรยยาหอม หรือชักแม่น้ำทั้งห้าไปเรื่อย ๆ แต่ประเด็นที่เราพูดในที่นี้ไม่ใช่เรื่องชัวส์ หรือ มั่วนิ่ม แต่ประเด็นที่ว่า หากมี 95 % ที่มั่วนิ่ม และ 5 % ที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เราจะพูดหรืออธิบาย 5 % ที่เหลือนั้นว่าอย่างไร

การสื่อสัญญาณที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางบุคลิคภาพของผู้สื่อ เช่น กรณีของอาจารย์ปริญญา กับ จิตจักรวาล มักจะได้รับการมองในเชิง บวกมากกว่าการเป็นร่างทรงต่าง ๆ เพราะผู้สื่อมีสติสัมปชัญญะในระดับหนึ่งที่ยังรับรู้ความมีตัวตนอยู่ และการสื่อที่ดีจะทำได้เมื่อผู้สื่ออยู่ ในภาวะที่ปลอดโปร่งไม่มีความกังวลใดใจ ๆ แต่ สิ่ง หรือ ผู้ ที่สื่อลงมานั้น เป็นสิ่งหรือเป็นใคร ? มีผู้ศึกษาเรื่องนี้ ( Mark B . Woodhouse ) ได้กล่าวไว้ว่า

มีความเป็นไปได้ 2 ทางระหว่าง สิ่งนั้น หรือ ผู้นั้น จะเป็น รูปธรรม หรือ อรูปธรรม ชั้นสูงที่อยู่ในมิติที่ละเอียดกว่าหรืออยู่ในอีก คลื่นความถี่หนึ่ง หรือไม่ก็เป็น จิตไร้สำนึกรวมหมู่ หรือ จิตจักรวาล ที่อยู่ในจิตผู้นั้นเอง ระหว่างอย่างแรกกับอย่างหลังอาจจะมีความต่าง กันที่อย่างแรกดูเหมือนเป็นอีกสิ่งหนึ่งหรืออีกผู้หนึ่งที่มิใช่ตัวเรา ขณะที่อย่างหลังอยู่ภายในจิตใจของเราเองแต่อยู่ในระดับลึก ทีนี้ระดับ เบื้องต้นมันก็เป็นไปได้ที่เราอาจจะทำสมาธิให้จิตของเราละเอียดจนคลื่นความถี่ไปจูนหรือตรงกับคลื่นความถี่ของสิ่งนั้นได้อย่างที่ปรากฏ ในการทำสมาธิกับท่านอาจารย์แอ๊ด หรือสิ่งนั้นหรือผู้นั้นปรับคลื่นความถี่หรือปรับสนามแม่เหล็กใหม่ให้ผู้สื่อติดต่อหรือสัมผัสกับสิ่งนั้น ง่ายขึ้นสะดวกขึ้น ซึ่งในระดับนี้มันง่ายกว่าที่จะมองหรือเข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นอีกสิ่งหนึ่ง

แต่ในวิธีคิดแบบ วิทยาศาสตร์ใหม่ ที่กล่าวว่าในท้ายที่สุดแล้ว ในระดับที่ละเอียดที่สุดของจักรวาลจะโยงใยเป็นหน่วยรวมที่แยกกันไม่ออก หรือในความคิดแบบฮินดูโบราณที่กล่าวถึง อาตมันวึ่งดำรงอยู่ในทุกสรรพสิ่ง เราอาจจะพบว่า เมื่อความเป็น เรา-เขา หมดไป เราอาจจะแยก ไม่ออกระหว่างความเป็น อรูปธรรมชั้นสูง กับ จิตไร้สำนึกรวมหมู่ ณ จุดนี้ จีงไม่มีประโยชน์ที่จะหาคำตอบว่าสิ่งนั้นคืออะไร เพราะเรา ที่แท้จริงกับสิ่งนั้นก็คือ แก่นแท้อันเดียวกันที่ต่างคุณสมบัติกันเท่านั้น

การที่จิตจักรวาลพูดถึงความี 2 ภาค ( Duality ) พูดถึงการค้นหาพระเจ้าในตนเองให้พบ โดยตัวมันเองก็ยืนยันเรื่องนี้ เพียงแต่หากเราไม่ พัฒนาจิตของเราไปจนถึงที่สุด เราจะพบว่า สิ่งนั้นยังคงเป็น อีกสิ่งหนึ่ง ที่ไม่ใช่ตัวเราอยู่นั่นเอง สำหรับตัวผมในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ก็ตองยอมรับว่า ในขณะนี้ฐานะของจิตจักรวาลสูงกว่าเรา แต่หากพิจารณาในฐานะที่เราก็เป็นหนึ่งใน พระจิต ที่แบ่งภาคลงมาตามคำอธิบาย ของจิตจักรวาล ฐานะของเราไม่ได้ต่างกัน สิ่งที่น่าระวังและน่ากลัวคือความเป็นมนุษย์ที่ยึดติดอยู่กับกรรมวิธีคิดแบบมนุษย์ซึ่งจะทำให้ไป ยกย่องเชิดชูบูชาให้ จิตจักรวาล กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จนลืมความเป็นพระจิตของตน ลืมพันธสัญญาของตนไป และสูญเสียชื่อ หรือแก่นแท้ของตนเองไปตลอดกาล หากเราเชื่อในข้อมูลของจิตจักรวาลว่าเป็นจริง เราต้องระวังและไม่ลืมข้อนี้