ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ความดีนำทาง:
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
เคยนวดฝ่าเท้าให้ คุณพ่อคุณแม่บ้างไหม ถ้ามีโอกาส เราควรทำหรือไม่ (ควรกระทำอย่างยิ่ง หรือ ไม่ควรทำ):
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (It is never too late to mend):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: magnetol00
« เมื่อ: เมษายน 27, 2011, 02:16:47 pm »

ขอบคุณมากครับ
ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: มกราคม 06, 2011, 12:53:35 am »

 :45: ขอบคุณครับพี่มด
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: มกราคม 05, 2011, 10:12:48 pm »


 
 


นักวิจัยของคณะเภสัชศาสตร์เชียงใหม่ เชิญผู้เขียนไปพูดเรื่องพลังงานชีวแม่เหล็กไฟฟ้าที่เป็นเรื่องใหม่เพิ่งมีขึ้นเพียงสามสิบปี และก็เช่นเคย
 
 
สำหรับที่เมืองนอกนั้นแม้ว่าจะมีหลักฐานจากการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์ระดับยักษ์มากมาย แต่กระนั้นแม้ในวันนี้ นักวิทยาศาสตร์สายหลักที่คิดว่าตนเท่านั้นคือผู้รอบรู้ - และต้องรู้ในรูปแบบที่ "ข้า" กำหนด - ก็ยังไม่เชื่อว่าชีวิตสามารถผลิตพลังงานเช่นนี้ได้จริง ดังนั้นผู้ที่ฟังผู้เขียนพูดที่แม้จะเป็นคนไทยที่มักขี้เกรงใจทำนองมีมารยาท แต่หลายคนเป็นนักวิทยาศาสตร์หรืออาจารย์มหาวิทยาลัยที่ต้องมีบ้างที่รับเรื่องนี้ไม่ได้ อย่าว่าแต่บทความวันนี้ ยังแถมผนวกเรื่องพลังจิตเข้าไปอีกด้วยต่างหาก ก็ดูจะยิ่งไปกันใหญ่ แต่ในความสัตย์จริง ทุกวันนี้ มีนักวิทยาศาสตร์สายตรงที่ยิ่งใหญ่จริงๆ มีนักวิทยาศาสตร์ด้วยกันยอมรับนับถือจริงๆ จำนวนไม่น้อยที่เชื่อมั่นว่าทั้งสองเกี่ยวพันกันอย่างแนบสนิท (David Pratt : Consciousness, Causality and Physics ; J Scientific Exploration, 1997)
 
มวลชีวภาพหลากหลาย - หลายล้านเผ่าพันธุ์ - ที่อุบัติขึ้นมาบนโลกของระบบสุริยะที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางเมื่อกว่า 3.5 พันล้านปีก่อน สุดท้ายได้วิวัฒนาการมาสู่มนุษย์เผ่าพันธุ์หนึ่งเดียว (Homo sapiens sapiens) ขึ้นเมื่อสองแสนปีก่อน นั่นคือมนุษย์ที่แท้จริงแบบเราที่มีวิวัฒนาการทางกายสูงสุด - สมองและการเดินตัวตรงหัวชี้ฟ้าที่เปิดโอกาสให้มีการพัฒนาหลอดเสียงและความเป็นอิสระของลิ้นที่เอื้อการพูดและพัฒนาการของภาษา - กับมีวิวัฒนาการทางจิตสูงสุด - สมองที่เหมาะสมเพื่อวิวัฒนาการของจิตสำนึก หรือจิตรู้กับการบริหารข้อมูลจากประสบการณ์ภายนอกหรือความจำจากภายในที่ให้ปัญญาความฉลาด (intelligence) ทั้งหมดนั้นก่อคำถามขึ้นมาสามสี่คำถาม ทุกวันนี้ด้วยความรู้ที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ เราสามารถตอบคำถามที่ถามว่า "อะไร" และ "อย่างไร" ได้ แถมผลพลอยได้จากประเด็นหลังคือเราสามารถเอาชนะธรรมชาติได้ "ชั่วคราว" และนำธรรมชาตินั้นมาหาความสุขสนุกสะดวกสบายได้ แต่วิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถตอบคำถามที่สำคัญกว่าอีกสองคำถามได้ นั้นคือคำถามที่ถามว่า หนึ่งเดียวที่พิเศษสุดมนุษย์ที่สุดประเสริฐนั้น "มาจากไหน" และ "มาทำไม" สองคำถามที่คน 99 เปอร์เซ็นต์ไม่สนใจแม้แต่จะเอามาคิดต่อ ไหนๆ เราก็มาแล้ว หาความสุขสนุกสะดวกสบายดีกว่า นั้นคือที่มาของคำว่าชนะ "ชั่วคราว" ที่ยกมาข้างบนนั่น ที่อีกไม่นานเราก็คงรู้ว่าใครที่จะชนะแบบ "ถาวร"

ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ในด้านของที่มาและกระบวนการของความรู้ (ontology and cpustemology) มันเกี่ยวข้องกับสนามชีวแม่เหล็กไฟฟ้าที่จำเป็นต่อชีวิตที่เรากำลังจะพูดกัน
 
โลกที่ให้ชีวิตให้มนุษย์เกิดขึ้นมาได้ ก็เพราะมันอยู่ในสภาพที่เหมาะสม ด้วยความรู้เก่าโดยวัฒนธรรมและศาสนาที่ต่อมาที่ว่ามานั้น คือพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ธรรมชาติของกรีกด้วย ความเหมาะสมนั้นก็คือโลกมีดินน้ำลมไฟเตรียมไว้พร้อมสรรพ ดินที่ให้พืชพันธุ์ธัญญาหารมีน้ำและลมหรืออากาศที่จำเป็น มีไฟหรือแสงแดด - พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า - จากดวงอาทิตย์ที่ให้ความร้อนที่พอเหมาะพอดี ชีวิตทำสามอย่างกับสี่ประการที่โลกให้มานั้น หนึ่ง ก่อประกอบเป็นส่วนขององค์ชีวิต (biogenesis) สอง สามารถนำมาใช้และปรับแปรเพื่อให้ชีวิตสามารถดำรงอยู่รอดได้ (adaptation for survival) สาม สัมพันธ์กันเพื่อให้การดำรงอยู่ร่วมกันของมวลชีวิตเป็นไปได้อย่างเหมาะสม (ecological relationship) ชีวิตทุกชีวิตรวมทั้งมนุษย์จึงก่อประกอบขึ้นวิวัฒนาการมา และดำรงอยู่ท่ามกลางสิ่งสี่ประการนั้น มนุษย์อยู่ในทะเลแห่งสนามแม่เหล็กไฟฟ้า
 
พลังชีวแม่เหล็กไฟฟ้าที่จะพูดถึงเป็นเรื่องใหม่ ในขณะที่พลังชีวิตหรือพลังจิตที่ให้รัศมีแสงเป็นเรื่องเก่ามากๆ ที่มีประวัติศาสตร์มาพร้อมๆ กับวิวัฒนาการของมนุษยชาติ นักโบราณคดีวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาภาพวาดตามผนังถ้ำของมนุษย์ดึกดำบรรพ์ก่อนประวัติศาสตร์ พบรูปของมนุษย์แสดงการแผ่รังสีแสงออกมารอบๆ ตัว ดังที่ลิเบียและเปรู หลายพันปีต่อมาหลังจากที่มีการบันทึกล้วนชี้บ่งว่าสังคมมนุษย์ในแทบทุกๆ วัฒนธรรมที่มีมาก่อนศาสนา ต่างพูดถึงพลังงานชีวิตที่แผ่ออกไปจากตัวเทพเทวดาหรือผู้มีบุญญาธิการ เราท่านทุกคน - ไม่ว่าอยู่ที่ไหนและถือศาสนาใด - ย่อมคุ้นเคยกับศิลปกรรมหรือจิตรกรรมที่แสดงภาพด้วยการแผ่รังสีแสง (aura) ออกมารอบๆ ตัวหรือศีรษะของเทวดาหรือนางฟ้า โดยเฉพาะรอบพระเศียรขององค์ศาสดา ลัทธิกาบาลา (Kabala or Qabala) ของศาสนายูดาห์กว่า 2,500 ปีมาแล้วพูดถึงแสงหรือพลังงานนี้ว่า สามารถนำมาใช้รักษาโรคได้ จอห์น ไวท์ ได้รวบรวมวัฒนธรรมของชนเผ่าต่างๆ พบว่ามีถึง 97 วัฒนธรรมจากทุกภูมิภาคของโลกต่างมีวัฒนธรรมที่แสดงการใช้รังสีแสงในการรักษาโรค นั่นคือที่มาของพลังที่เรียกว่า "ปราณ" ของอินเดีย หรือ "ชี่" หรือ "กี่" ของจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี และพลังชีวิต (vital force) ของฮันเนอมาน ที่มาของอายุรเวชการฝังเข็มพลังฝ่ามือ (touch therapy) และโฮมิโอพาธี (homeopathy) และอื่นๆ ที่ใช้ "การสั่นสะเทือน" รักษาโรคที่ได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ ในทางวิทยาศาสตร์นั้น เราย่อมคุ้นเคยกับสนามแม่เหล็กโลกและสนามแม่เหล็กที่ไมเคิล ฟาราเดย์ นำมาทำเจนเนอเรเตอร์ผลิตกระแสไฟฟ้า และอีกสิบปีต่อมา จอห์น คลาก แม็กซ์เวล ก็ได้ค้นพบและนำมาใช้ซึ่งกระแสไฟฟ้า และพิสูจน์ได้ว่าทั้งสองเป็นคนละด้านของสิ่งเดียวกัน และนำคำว่าแรงและพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้ามาใช้เป็นครั้งแรกเมื่อ 150 ปีก่อน ไม่นานจากนั้นก็พบว่า โดยธรรมชาติ เรามีพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าที่ได้มาจากการเผาไหม้อะตอมของไฮโดรเจน (thermonuclear reaction) ที่ใจกลางของดวงอาทิตย์แผ่รังสีแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาด้วยความถี่คลื่น "การสั่นสะเทือน" ในระดับต่างๆ กัน เช่น คลื่นแสงเสียง คลื่นไมโครเวฟ คลื่นความร้อน และอื่นๆ

ย้ำอีกครั้งว่า นั่นคือไฟที่ก่อประกอบเป็นส่วนของชีวิตเรา และที่เรานำมาใช้เพื่อการดำรงอยู่ของเราภายในคือพลังงานชีวแม่เหล็กไฟฟ้า ที่เซลล์ทุกเซลล์ผลิตขึ้นมา (แทบทั้งหมดอยู่ในรูปพลังงานแฝงใน ATP) ภายนอกคือพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าที่ได้มาจากภายนอก
 
ในทางปฏิบัติมนุษย์ได้ใช้พลังงานทั้งจากภายในและภายนอกมารักษาโรคมาตั้งแต่หลายพันปีก่อนโดยไม่รู้ว่ามันเป็นสิ่งใด นอกจากรู้ว่ามันเป็นพลังงานธรรมชาติที่ใช้รักษาโรคได้ เรื่องของชีวแม่เหล็กไฟฟ้า (bioelectromagnetism or BEM) เริ่มรู้จักกันเพียงสามสิบกว่าปี (ปลายทศวรรษที่ 1960) แต่ทุกวันนี้ มีการศึกษาวิจัยอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ขึ้นมาบ้าง แม้ว่าจะยังไม่มีพื้นฐานการพิสูจน์ "อย่างเป็นวิทยาศาสตร์แบบที่เรายอมรับกัน" (scientific research application) อย่างไรก็ดี ก็มีหลักฐานทางสถิติและทางการรักษาที่น่าเชื่อ จึงมีการนำมารักษาโรค (therapeutic application) กันอย่างกว้างขวาง ทำให้ทุกวันนี้โรงพยาบาลใหญ่ๆ ของประเทศทางตะวันตกแทบทั้งหมด ใช้พลังชีวแม่เหล็กไฟฟ้าหรือ "การสั่นสะเทือน (vibration)" ในการรักษา (เรียก energy medicine หรือชื่ออื่นๆ รวมทั้งที่คาบเกี่ยวกับ mind-body medicine หรือพลังจิต (psychotropic) กับพลังจักรวาล (cosmic energy) ที่เราเคยได้ยินบ่อยๆ เป็นหลักการหนึ่งในกลุ่มการแพทย์ทางเลือก ที่ทุกวันนี้ดูแลผู้ป่วยร่วมสองในสามของผู้ที่ไปพบแพทย์ทั้งหมดของอเมริกา
 
สำหรับการวิจัยอย่างเป็นวิทยาศาสตร์นั้น ได้มีการทำกันในหลายมหาวิทยาลัยและสถาบันใหญ่ๆ ทั่วโลก ผลการวิจัยในทางฟิสิกส์และเคมีฟิสิกส์เท่าที่เรารู้และพิสูจน์ได้บ้างก็คือพลังงานชีวิตหรือปราณ หรือชี่และกี่ (vital force or prana or ch'I or qi) ที่เป็นส่วนนำได้มาจากสนามชีวแม่เหล็กไฟฟ้าของร่างกาย - สนามที่มีการแผ่รังสีจากการเคลื่อนที่ของคลื่นอนุภาคอิเล็กตรอนที่อาจเป็นไปในสองรูปแบบคือ หนึ่ง รูปแบบของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่ต่างๆ (bioelectromagnetism or BEM) สอง ในรูปแบบของอนุภาคเป็นเม็ดที่ทำให้อิเล็กตรอนเปลี่ยนเป็นโฟตอนหรืออนุภาคแสง (biophoton or BP or aura) นอกจากนี้เชื่อกันว่า ยังมีพลังงานรูปแบบที่สาม ที่เรียกรวมๆ ว่า "พลังงานสุดละเอียด" (subtle energies) ที่มีความสามารถทะลุผ่านแผ่นตะกั่วที่บุเหล็กหนา (Faraday cage) ที่หลายคนเชื่อว่าเป็นสนามจิตหรือสัมพันธ์กับสนามจิต (mind field or field consciousness) ที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ทางกายภาพได้ แต่ยอมรับกันโดยนักวิทยาศาสตร์ทางจิตเป็นส่วนมาก อย่างไรก็ดี สนามพลังสองรูปแบบแรกนั้นเป็นสนามที่สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตผลิต - สำหรับมนุษย์นั้นเซลล์ของมนุษย์จะผลิตขึ้นมาตลอดเวลาโดยแฝงอยู่ในเอทีพี (adenosune triphosphate) ที่ร่างกายสร้างขึ้นมาวันละประมาณ 2.3 กิโลกรัม ซึ่งเอทีพีจะปล่อยพลังงานออกมาก็ต่อเมื่อมันทำปฏิกิริยากับเอทีพี-เอส (ATP-ase) ที่เป็นแมคโครโมเลกุลของเซลล์เมมเบรน (cell membrane) ที่สนองตอบ - ด้วยการเปลี่ยนรูปแบบของโมเลกุล (electroconformation) - ต่อสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (EM signal) ที่มีความถี่ต่ำมากๆ (ELF or extremely low frequency เช่น 1 Hirst/second) ที่มาจากนอกเซลล์หรือจากสิ่งแวดล้อมทั่วไป
 
ในทางการแพทย์ทุกวันนี้ ได้มีการนำพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้ามาใช้ในการรักษาโรคหรือรักษาอาการของโรคของระบบต่างๆ มากมาย ที่สำคัญได้แก่ ระบบกระดูกข้อต่อและกล้ามเนื้อ (musculo-skeletal system) ระบบภูมิคุ้มกัน (immune system) ระบบประสาทและต่อมไร้ท่อ (nervous system and the endocrines) ระบบสืบพันธุ์และการเจริญเติบโต (reprodiction and development) มะเร็งและเอดส์ทั้งในด้านของอาการทางกาย เช่น ปวดเจ็บ ชา คัน หรือทางจิตใจเช่นความรู้สึกหดหู่นอนไม่หลับ ที่ได้ผลมากคือการรักษาแผลที่หายช้าหายยากให้หายเร็วอย่างมากๆ (wound healing) นอกจากนี้ยังนำพลังแม่เหล็กไฟฟ้ามารักษาโรคติดยาโรคจิตต่างๆ
 
ดังกล่าวแล้วว่า สิ่งที่เป็นอุปสรรคที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์สายตรงไม่สามารถยอมรับได้อย่างสนิทใจ ก็เพราะการไร้ข้อพิสูจน์พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์กายภาพอย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะทำซ้ำไม่ได้ แต่ปัจจุบันนี้มีนักวิทยาศาสตร์สายตรงด้วยกันเองมากมายที่ตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมต้องเป็นเช่นนั้น ทำไมต้องทำนามธรรมให้เป็นรูปธรรม วิธีการทางวิทยาศาสตร์แบบที่มีนี้ถูกต้องแล้วหรือ ที่ถือว่า "สิ่ง" หรือ "รูป" เท่านั้นคือความจริง ถ้าเรายอมรับว่าจิตและนามธรรมมีอยู่ ยอมรับว่าประสบการณ์ส่วนตัวเป็นเรื่องจริง ทำไมเราถึงไม่ยอมรับว่าจิตก็คือจิต นามธรรมคือนามธรรม - หรือทำไมเราไม่ทำให้รูปธรรมเป็นนามธรรมเช่นเดียวกันด้วย?

อย่างไรก็ตาม แม้ไม่มีหลักฐานข้อพิสูจน์อย่างมีพื้นฐานวิทยาศาสตร์อย่างสมบูรณ์ แต่ก็มีหลักฐานทางสถิติทางการสังเกตที่ก็เป็นวิทยาศาสตร์การแพทย์ในทางอ้อมมากมายที่ทำให้น่าเชื่อว่า พลังชีวแม่เหล็กไฟฟ้าหรือพลังชีวโฟตอนหรือออรา รวมทั้งพลังสุดละเอียดที่หลายคนเชื่อว่าเป็นพลังงานจากสนามจิตดังกล่าวสามารถรักษาโรคได้จริงๆ ที่น่าสนใจคือ ผู้ฝึกฝนใช้ชีวพลังงานรักษาโรคนั้น มีรายงานที่ชี้ว่าพลังในรูปแบบต่างๆ เหล่านั้น ไม่ได้ทับซ้อนกันเสมอไป เป็นต้นว่าผู้ฝึกใช้พลังฝ่ามือ (touch therapy) ที่ส่วนนำคือพลังงานชีวแม่เหล็กไฟฟ้ามารักษาโรคไม่ได้แปลว่าผู้นั้นจะให้ชีวโฟตอนหรือมีออรามาก ในทำนองเดียวกัน ผู้ที่มีไบโอโฟตอนแผ่ออกจากที่ต่างๆ ของร่างกาย หรือมีออราที่ล้ำลึก ไม่ได้แปลว่าสามารถรักษาโรคได้ทุกคน ทุกวันนี้มีผู้ฝึกพลังฝ่ามือรักษาโรคมากเหลือเกิน อย่างที่อเมริกากับแคนาดานั้น มีผู้ฝึกและปฏิบัติพลังฝ่ามือรักษาโรค - แม้เมื่อร่วม 10 ปีก่อน (1996) - มีถึง 85,000 คน ส่วนมากเป็นแพทย์กับพยาบาล ในขณะที่ผู้ฝึกและชำนาญในการฝังเข็มก็ไม่ปรากฏว่ามีพลังฝ่ามือหรือมีรังสีออราที่ล้ำลึก หรือว่าเซลล์ในศูนย์ (จักรา) ต่างๆ จะผลิตชีวโฟตอนมากกว่าคนทั่วไป (Christian de Quincey : Bioeletromaketics ; Old Roots, New Science : Bevery Rubik : Energy Medicine...,IONs 1993)
 
ในระดับหนึ่งก็ไม่เห็นว่าจะมีใคร มีนักฟิสิกส์คนไหนแม้คนเดียว ที่กล้าแย้งความคิดของเดวิด โบห์ม ที่นักฟิสิกส์ระดับนำของโลกจริงๆ ยอมรับในความเป็นอัจฉริยะอย่างไม่มีข้อสงสัย เดวิด โบห์ม ผู้ที่แย้งคำประกาศการตีความทฤษฎีแควนตัมของนีลส์ บอห์ร กับไฮเซนเบิร์ก (Copenhagen Interpretation) ที่มีสองประเด็นหลักคือ หนึ่ง กำหนดอะไรไม่ได้ (Inderterminism) กับสอง ไม่มีจริงในโลกแห่งสสารจนกว่าเราไปวัดไปจับมันโดยกล่าวว่า นั่นคงไม่จริงทั้งหมดในด้านของที่มาของความจริงหลังแควนตัมที่ลึกลงไปอีกที (ontological interpretation) จริงๆ แล้วแควนตัมเมคานิกส์นั้น มีสิ่งกำหนด ซึ่งก็คือสนาม "สุดละเอียด" ที่โบห์มชี้อ้อมๆ ว่าคือสนามจิตหรือพลังจิตที่อยู่ข้างหลัง และเชื่อมต่อกับสนามแควนตัม - ที่บริหารและให้จิตรู้ที่สมอง - (David Bohm : Wholeness and the Implicate Order, 1980) ซึ่งไปตรงกับความคิดของเซอร์จอห์น เอคเคิลส์ แพทย์รางวัลโนเบลที่บอกว่าจิตอยู่ในสนามนอกสมอง และก็ตรงกับที่โรเจอร์ เพนโรส แห่งเคมบริดจ์ ที่บอกว่าการบริหารจิตที่สมองนั้นเป็นไปโดยกลไกทางแควนตัม (Roger Penrose : Quantum Consciousness, Discover 1994).
 

- ความทรงจำนอกมิติ จาก ไทยโพสต์-