ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ความดีนำทาง:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
ท่านจะปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อตกลงของเว็บใต้ร่มธรรมทุกประการหรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: NATACHAI
« เมื่อ: สิงหาคม 31, 2010, 11:58:55 pm »

 :29: อนุโมทนาสาธุครับ
ข้อความโดย: ส. เพ็งพล
« เมื่อ: สิงหาคม 11, 2010, 12:56:41 pm »

โมทนาสาธุครับ
เหนื่อยมากกับการอธิบายในเรื่องนี้ให้คนรอบข้างและทั่วไปได้รับรู้และเชื่อตาม แต่ก็ดีใจครับที่ได้ทำและทำให้เขามีความเชื่อที่แม้เพียงคนสองคนก็ตามที
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: สิงหาคม 02, 2010, 11:00:15 pm »

การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่อง
พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

หมายเหตุ ผมได้รับอนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ในการนำบทความนี้มาลงในกระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) เรียบร้อยแล้ว หากท่านใดจะนำไปลงในเว็บต่างๆ ให้ขออนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาครก่อนครับ

การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่องตอนจบ

ปรัศนี ประชากร (เขียนเมื่อ ปี พ.ศ. 2525)
ลิขสิทธิ์ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร


วันตาย
คนเราย่อมมีที่ตายของตน อาจมีคนแย้งว่าที่ตายของคุณแม่อยู่ที่ซอยลอยมา ถ้าอยู่ซอยจงประสานเห็นทีจะไม่ตายกระมังนี่เป็นการตายปกติสามัญ อยู่โรงพยาบาลอยู่ที่ไหนก็ตาย ที่ตายที่ว่านี้เป็นการตายไม่ปกติ เช่นหายโหง ตายแบบอุบัติเหตุมันมีที่ของมัน เพื่อนผมคนหนึ่งทำงานองค์การรถไฟ ไปราชการสงครามประเทศเกาหลีไม่มีพระกับเขามันก็ไม่ตายเพราะไม่ใช่แดนตายของเขา คนที่มีพระเต็มคอก็ตายเขาเลยไม่ยอมเชื่อพระตัวเอง เช่นว่านี้มีอยู่หลายเรื่อง

1. มีนักเลงทางตำบลบางทรายผู้หนึ่งเกเรและเพาะศัตรูไว้มากมาย แกมีพระประจำตัวอยู่ 3 องค์ คือ พระร่วงสนิมแดง 1 ประปิดตาเมฆพัดหลวงปู่ทา วัดพะเนียงแตก 1 พระคงสีดำ จังหวัดลำพูน 1 มีปืนเบรานิงค์ตราปืนขนาด 7.65 หนึ่งกระบอกพกติดตัวอยู่เสมอ ก่อนจะออกตลาดทุกครั้งจะต้องแวะไปที่กุฏิท่านวินัยธรรม (เภา)ให้เห็นพระเสียก่อน และมักจะลองของบนกุฏิทุกครั้งด้วยปืนคู่ชีวิต คือยิงใส่ตัวเอง 3 ครั้งก่อนจะเดินทาง คิดว่าหากเป็นวันเปื่อยก็เพียงแค่เสียแขน ถ้าไปโดนวันเหนียวเข้า ยิง 3 นัดก็ไม่ออก โดนวันธรรมดาก็ออกกระสุนปืนเด้งจากแขนเพียงเป็นจุดไหม้เท่านั้น จึงจะเป็นที่มั่นใจและออกเดินทางได้และเข้าวันหนึ่งหลังจากทดลองตัวเองด้วย 3 นัดไม่เป็นไรก็ต้องถูกยิงตายที่ตำบลท่าถ่านต้องถูกมือดีคัดของและประกอบกับเป็นวันตาย ที่ตายด้วย หากไม่ออกมามันก็ไม่ตาย

2. หลวงพ่อวัดหนองบัวลาดหญ้าเมืองกาญจน์เก่งทางตะกรุดฝาบาตร ท่านทรงฌานสมาบัติ วันหนึ่งมีกระทาชายสองนายมาหาท่านที่กุฏิเพื่อขอตะกรุดฝาบาตรจากท่านคนละดอก ท่านพิจารณาอยู่สักพัก แล้วสั่งว่าวันนี้ขออย่าลองของ กระทาชายทั้งสองนายพอรับของจากหลวงพ่อก็ดีใจลืมคำพูด สัญญาความจำรู้เพียงว่าของหลวงพ่อเคยลองได้ คนหนึ่งมีดาบเล่มยาว อีกคนหนึ่งมีมีดซุยขนาดใหญ่เรียกกันว่ามีดการะเกด ต่างผลัดกันแทงผลัดกันฟันเป็นที่สนุกสนาน พอถึงทางแยกสามแพร่งคนที่ถือดาบถูกคนมีมีดการะเกดแทงเต็มเหนี่ยวทะลุหลังถึงหน้าอกขาดใจตายตรงนั้นเอง ทำให้ต้องเสียเพื่อนรักและตัวเองต้องติดตะรางเพราะความประมาท

3. เสือร้ายมาตายรัง เรื่องนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างรุนแรง เพราะเสือร้ายมาตายที่วัดหลวงพ่อและเป็นศิษย์ก้นกุฏิเสียด้วย เรื่องเกิดขึ้นทางจังหวัดภาคเหนือจะเป็นอุตรดิตถ์หรือชัยนาทจำไม่ได้ ทำให้หลวงพ่อเสียหน้า มันถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจไล่ล่ามาตลอดทางถูกยิงไม่เป็นไร พอถึงโคนต้นมะขามใหญ่วัดที่เคยขุนข้าวสุก ก็ถูกยิงล้มดิ้นสิ้นใจ หลวงพ่อออกมาดูบอกกับคนทั้งหลายว่าที่ตายของมันอยู่ตรงนี้ คนไม่ยอมเชื่อท่านสั่งให้ลากศพพ้นจากต้นมะขามเพียงหนึ่งวาแล้วให้ยิงด้วยปืนพร้อมกัน 7 กระบอกให้ยิงตามความพอใจไม่ต้องนับปรากฏว่าไม่ออก ท่านให้เอาหอกและจอบตราจระเข้ซึ่งมีความคมขนาดสับรากมะขามขาดลองฟันดู ก็ไม่เข้า พอลากคนถึงโคนมะขามปรากฏว่าทั้งยิงทั้งฟันเข้าหมด ทดลองถึง 3 ครั้ง คนจึงเชื่อและหลวงพ่อขอร้องว่าสงสารอย่าทรมานแก่สังขารอันปราศจากวิญญาณอย่างน้อยมันก็ตายไปแล้ว

นี่แหละครับมันเป็นเรื่องลี้ลับนอกเหนือการส่องแว่นค้นหาตำหนิและโค๊ทจริง ๆ เรื่องอะไรทั้งหลายไม่น่างง มันมีสูตรมานานแล้วมิใช่เพิ่งมี หากไม่ศึกษาก็ไม่ทราบ


ท่านอาจารย์ประถม อาจสาครสงวนลิขสิทธิ์
(เป็นความเชื่อ – ความคิดเห็นส่วนบุคคล(ของคณะลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถมอาจสาครท่านผู้อ่านอ่านแล้วก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล)
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: สิงหาคม 02, 2010, 10:59:44 pm »

การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่อง
พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

หมายเหตุ ผมได้รับอนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ในการนำบทความนี้มาลงในกระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) เรียบร้อยแล้ว หากท่านใดจะนำไปลงในเว็บต่างๆ ให้ขออนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาครก่อนครับ

การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่องตอนที่ 7

ปรัศนี ประชากร (เขียนเมื่อ ปี พ.ศ. 2525)
ลิขสิทธิ์ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร



วันเหนียว
เป็นวันเหนียวเฉพาะตนโดยอัตโนมัติแต่ไม่ทราบว่าเป็นวันอะไรแน่ พยายามสอบถามได้ความเพียงว่าให้สังเกตดูหากวันไหนถ่ายอุจจาระจมก็วันนั้นแหละ ไม่ต้องมีอะไรก็เหนียว ญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งไม่นิยมการใช้พระแม้แต่เรื่องลงกระหม่อมสักยันต์ก็ไม่เคย วันหนึ่งถูกสุนัขกัดอย่างแรงไม่เข้าเป็นที่แปลกใจ บางคนเกิดฟลุคไปรดน้ำมนต์แล้วถูกรุมตีไม่เป็นไรอาจารย์องค์นั้นก็ดังไปพักหนึ่งโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ถ้ามีพระติดตัวก็เข้าใจว่าหลวงพ่อช่วย เอวันหลังทำไมไม่แน่

วันเปื่อย
เมื่อมีวันเหนียวก็ย่อมมีวันเปื่อยเป็นของคู่กัน อย่าทะนงตนและอย่าสงสัยเรื่องเกิดขึ้นภายในครอบครัวนี่แหละครับ วันหนึ่งผมไปพบท่านเจ้ากรมแผนที่คนปัจจุบันที่บ้านสะพานจงประสาน อ. เมืองชลบุรี พอเห็นหน้าท่านก็ทักทันที แหมพระของพี่ถมเหนียวชะมัดตาจิ๋วถูกสุนัขกัดเย็บตั้ง 8 เข็มทำเอาผมงงเป็นไก่ตาแตก จึงเรียนถามท่านว่า สุนัขมันกัดวันอาทิตย์ใช่ไหมครับ ท่านตอบว่าใช่ ผมก็ไม่กล่าวกระไร ท่านบอกว่ายังทะลึ่งพาไปคลินิกเห็นถอดพระออกจากคอ ถามว่าถอดทำไม่ ตาจิ๋วตอบว่าเข็มแทงไม่เข้าครับ นี่มันประกอบด้วยกฎแห่งกรรม คือนายจิ๋วเมื่อเล็ก ๆ มีนิสัยซุกซนชอบแหย่สุนัขข้างบ้าน เอาใบกระดาษแหย่ให้มันกัดมันโกรธและมีความอาฆาตพอมีโอกาสเจอกันที่ถนน มันตรงเขากัดอย่างไม่เลี้ยงมันดุจริง ๆ ขนาดกัดสุนัขด้วยกันมันกินเนื้อสุนัขตัวที่ถูกมันกัด แต่นายจิ๋วก็มีนิสัยเป็นนักสู้ไม่ถอยหนีรู้สึกตัวว่าถูกกัดเข้า ก็รีบนึกถึงหลวงพ่อตอนนี้ไม่เข้าและชักมีดจะแทงสุนัขพอดีเจ้าของออกมาห้ามจึงเลิกกันไป พอไปถึงคลินิกเย็บแผลเกิดไม่เข้ายังความฉงนสนเท่ห์ให้กับนายแพทย์ยิ่งนัก รำพึงว่าไม่น่ากัดเข้าเลย และก็พระองค์นี้ถูกกัดมามากครั้งแล้ว สบายมากไม่เป็นไรเลยนี่แหละครับเขาเรียกวันเปื่อย และอาจจะเป็นเฉพาะชั่วยามในคราวเคราะห์


ท่านอาจารย์ประถม อาจสาครสงวนลิขสิทธิ์
(เป็นความเชื่อ – ความคิดเห็นส่วนบุคคล(ของคณะลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถมอาจสาครท่านผู้อ่านอ่านแล้วก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล)
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: สิงหาคม 02, 2010, 10:59:10 pm »

การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่อง
พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

หมายเหตุ ผมได้รับอนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ในการนำบทความนี้มาลงในกระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) เรียบร้อยแล้ว หากท่านใดจะนำไปลงในเว็บต่างๆ ให้ขออนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาครก่อนครับ

การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่องตอนที่ 6

ปรัศนี ประชากร (เขียนเมื่อ ปี พ.ศ. 2525)
ลิขสิทธิ์ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร

การใช้พระเครื่องสมัยเดิม

เรื่องการอมพระ คาดพระ พกพระใส่ไถ้ใส่ถุง นับเป็นเรื่องล้าสมัย คนสมัยเก่ามีเคล็ดวิชาเกี่ยวกับการใช้พระเครื่องมากมาย ได้รับประสิทธิผลเป็นส่วนใหญ่ ทุกวันนี้ผู้เฒ่าผู้แก่มักพูดว่าไม่จำเป็นต้องใช้การพกพระติดตัวนำไว้กับบ้านก็ใช้ได้ เด็กรุ่นใหม่ฟังแล้วก็ไม่ค่อยจะเชื่อถือเห็นว่าเป็นการพูดเล่นมากกว่า เพราะขนาดแขวนคอเป็นพวงยังเห็นไปไม่รอด แต่เป็นเรื่องจริงเขาเรียกว่าการใช้พระ โดยการอธิษฐาน ผู้อธิษฐานจะต้องมีสมาธิจิตอันแน่วแน่เด็ดเดี่ยวจริง ๆ ย่อมได้ผลจริง มีบุคคลหนึ่งไม่ได้ถามชื่อได้รับพระสมเด็จวัดระฆังเป็นมรดกตกทอดอยู่องค์หนึ่ง ปกติบุคคลผู้นี้ไม่นิยมการแขวนพระ แต่มีความเคร่งครัดกว่าผู้ที่แขวนพระมากมายนักคือก่อนที่จะออกจากบ้านไปกิจธุระทุกครั้งจะไม่ลืมจุดธูปบูชาพระสมเด็จฯ เพื่อขอความแคล้วคลาดปลอดภัยคุ้มครองชีวิต วันหนึ่งถูกยิงด้วยปืน 3 นัดที่ตัวเป็นรอยไหม้ 3 รอยและไม่ได้รับอันตราย สมัยเมื่อพระคุณเจ้าธัมมวิตกโก ยังมิได้ทำการอธิษฐานจิตเสกพระเครื่องและเหรียญรูปเหมือนองค์ท่าน มีนายตำรวจบางคนไปขอของดีจากท่าน พระคุณเจ้าชี้แจงว่าไม่ได้มีของดีอะไรแจก หากนับถือพระคุณเจ้าเพียงให้รำลึกถึงฉายาว่า ธัมมวิตกโก โกก็พอคุ้มกันภยันตรายได้ ต่อมานายตำรวจผู้นั้นไปตามจับผู้ร้ายสำคัญจังหวัดเพชรบุรีที่ป่าตาลแห่งหนึ่งเกิดต่อสู้กันตัวต่อตัว คนร้ายมีร่างกายกำยำแข็งแรงกว่านายตำรวจกดคอนายตำรวจไว้จะเชือดด้วยมีปาดตาลอันคมกริบ นายตำรวจเห็นจวนแจได้สติจึงรำลึกถึงพระคุณเจ้า ธัมมวิตกโก เท่านั้นเองผู้ร้ายถึงแก่อาการจังงังเงื้อมีดปาดตาลค้างนายตำรวจผู้นั้นจึงใช้วิชายูโดล๊อคคนร้ายไว้ได้ และถามด้วยความสงสัยว่าตอนนั้นทำไมไม่ลงมือเชือดคอฉัน ผู้ร้ายตอบว่าจะเชือดได้อย่างไรกันครับ พระที่ไหนไม่ทราบมายืนอยู่ข้าง ๆ ทำเอาผมคิดอะไรไม่ออกเรื่องนี้ทราบจากปากคำนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ซึ่งคุ้นเคยกันส่วนตัว บางคนว่าเหรียญที่อัดพลาสติกจนแน่นก็ใช้ได้ เช่น เหรียญหลวงพ่อคงบางกระพร้อมเหรียญหลวงพ่อดิ่งวัดบางวัว เขาว่าอย่างนั้น มันออกจะขัดแย้งกับการแผ่พุ่งของรังสีตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ซักไปคงได้ความเช่นเดียวกับการอธิษฐานโดยไม่ต้องนำพระติดตัว เข้าศาสตร์เดียวกับผู้ที่ใช้พระสมเด็จโดยไม่ต้องนำพระติดตัวไม่ใช่ว่ารังสีการคุ้มครองสามารถพุ่งทะลุพลาสติกออกมาได้ มิฉะนั้นจะเป็นการเข้าใจผิดไปอีกนาน ประเภทนี้เป็นการใช้พระเดี่ยวทั้งสองราย การใช้พระในสมัยก่อนนอกจากการอธิษฐานอาราธนาโดยเคร่งครัดแล้วยังมีการผูกกลึงการคัดถอน โบราณถือว่าเวทย์มนต์คาถานั้นมีการสูบหรือคัดถอนได้เมื่อเกิดดีต่อดีมาเจอกันก็จำเป็นต้องคัดถอนกันเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม ฉะนั้นการต่อสู้ระยะประชิดตัวในการรบสมัยโบราณจึงมีการตายกันไม่น้อยทั้ง ๆ ที่ต่างก็มีของดี ดังคำกลอนเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนกล่าวถึงการคัดของดีจากคู่ต่อสู้ดังนี้
“สำมะยั่วโถมเข้ามานายทัพ สำมะยังเป่าไปให้ปะจุขาด
ดาบร่อนเลือดฝาดดังชาดเช็ด พรหมศรเสกคาถาว่าถอนโบสถ์
ชักกั้นหยั่นฟันควาญช้างลงซานซบ สอยดาวเห็นแม่ทัพอัปรา
ก็ขับไสช้างงาเข้ามาพลัน ธรรมเถียรยืนดูอยู่ท่ามกลาง
อ้ายพลายแก้วมิ่งเมืองไม่เงื่องงุย นายสอยดาวทรงกายพอหายขัด
ไทยเป่าโอ้ฟ้าผ่ามาตามลม นายปราบรับฟันปังดังเหล็กเพชร
เอาดาบฟาดขาดสะบั้นกระเด็นเด็ด อ้ายลาวเข็ดคิดขยาดไม่อาจรบ
โดดแทงกำกองเข้าท้องกบ ทับศพผีนายลงก่ายกัน
นายทั้งปีกขวาก็อาสัญ เอาง้าวฟันพวกไทยไล่ตะลุย
ขัดใจไสช้างมาฉุยฉุย เอางาฉุ่ยสอยดาวเข้าราวนม
เอาของัดงาหันฟันประสม ฟันลาวง้าวจมลงครึ่งคอ”
อันคาถาโอ้ฟ้าผ่านี้ เข้าใจว่าเป็นบทหนึ่งในคัมภีร์รัตนมาลาคือ “โอติโตสัพพะกิเลสัง โอหิโตสัพพะมะลัง โอหิโตสัพพะทิฏฐิญจะ โอหิจิตตังนะมามิหัง” ใช้เคล็ดจากคำว่าสัพ เมื่อตอนหนุ่ม ๆ เคยไปขอเรียนจากท่านผู้เฒ่า ท่านกล่าวว่าคาถาบทนี้ขอเพียงให้นั่งกระดานเดียวกัน ใครอวดศักดาลองเหนียวว่าคาถาแล้วพังทุกราย ขอเรียนก็ไม่ให้บอกว่าแก่แล้ว ต้องบอกกันใต้ต้นไม้ใหญ่และฟ้าจะผ่าทันทีเกรงจะวิ่งหนีไม่ทัน เลยไม่ได้เรียนกับท่าน เมื่อมีการคัดถอนก็จำเป็นต้องมีการผูกอย่างเหนียวแน่นเช่นกัน ใส่กุญแจสามชั้นบ้าง ใช้บทพระนารายณ์กลึงจักรคือ อะ ภะ สัง ภุ วิ สะ สุ ปุ โล กันคัดถอนกันคุณไสยตามอุปเท่ห์กล่าวว่า อย่าว่าแต่มนุษย์เลยเทวดาทำมาก็ไม่ถูก มีวิธีคัดอยู่อย่างเดียวที่จะแก้กันคือบทพระนารายณ์คลายจักร โล ปุ สุ สะ วิ ภุ สัง ภะ อะ คณาจารย์แถบชายทะเลฝั่งตะวันออกนิยมใช้บทนี้ นะกลึงฟ้า โมกลึงดิน พุทธกลึงสมุทร ธากลึงสายสิญจน์ ยะกลึงอากาศ อากาศนี้กลึงด้วย นะ โม พุท ธ า ยะ ส่วนที่ใช้กันง่าย ๆ ก็คือเมื่ออาราธนาเสร็จให้กลั้นใจว่า โส ทา ยะ 3 ครั้ง จึงเอาพระสวมคอกันหลวงพ่อเผลอหนีไปเที่ยว เวลาถอดแขวนก็บอกว่า ไส ยะ คือนิมนต์หลวงพักผ่อนได้ครับเหนื่อยมามากแล้ว นอกนั้นยังมีเรื่องลี้ลับอีกประมวลแล้วล้วนเป็นเรื่อง ทุกข อนิจ อนัตตา คือ…..

ท่านอาจารย์ประถม อาจสาครสงวนลิขสิทธิ์
(เป็นความเชื่อ – ความคิดเห็นส่วนบุคคล(ของคณะลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถมอาจสาครท่านผู้อ่านอ่านแล้วก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล)
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: สิงหาคม 02, 2010, 10:58:35 pm »

การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่อง
พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

หมายเหตุ ผมได้รับอนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ในการนำบทความนี้มาลงในกระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) เรียบร้อยแล้ว หากท่านใดจะนำไปลงในเว็บต่างๆ ให้ขออนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาครก่อนครับ

การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่องตอนที่ 5

ปรัศนี ประชากร (เขียนเมื่อ ปี พ.ศ. 2525)
ลิขสิทธิ์ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร


นิทานเรื่องนี้ ถ้าจะกล่าวต่อไปก็นับเป็นพัน ๆ รายและยังมีอยู่ทุกวันและจะมีต่อไปไม่สิ้นสุด เป็นที่น่าเศร้าใจเพราะคบคนผิดคิดว่าเขาเป็นผู้รอบรู้เชี่ยวชาญ ที่แท้คบเอาเถรส่องบาทเข้าเต็มเปา ผมจึงค้นคิดวีธีการใช้พระเครื่องไว้ดังนี้
1. การเลี่ยมพระควรเปิดหน้า และจำเป็นต้องตรวจพลังภายในก่อนที่จะใช้ในการคุ้มครองป้องกันชีวิต ถ้าเป็นเหรียญรูปพระคณาจารย์ซึ่งมีราคาค่างวดสูงต่ำกว่ากันตามค่านิยม ชนิดราคาเรือนพันเรือนหมื่นควรเป็นตลับทองคำเจาะตรงพระพักตร์ให้เป็นรูกว้างเท่ากับปลายเข็มหมุด เพื่อการแผ่พุ่งของรังสี ถ้าเหรียญราคาไม่แพงให้เลี่ยมด้วยพลาสติกสีเปิดหน้าหลังยกขอบกันสึกเพื่อเป็นการอนุรักษ์ให้ถาวรทนทานถ้าเป็นพระชินตะกั่วสนิมแดงหรือพระเนื้อผงไม่จำเป็นต้องเปิดหลัง คนสมัยก่อนนิยมเลี่ยมเปิดหลังเรียกว่าพระเจ้าเปิดโลก เพื่ออาศัยการสัมผัสจากธาตุสี่ในการตัวขับดันรังสีพระ ความจริงนั้นเพียงรังสีขององค์ท่านก็เป็นการเพียงพอแล้ว การเจาะที่ก้นรังสีไม่ออกชัดเจน ใครจะรักพระหรือรักชีวิตเลือกพิจารณาดูเอง

2. ถ้าเลี่ยมเปิดหมดจะต้องยกขอบให้เกินองค์พระไว้ เพื่อป้องกันการเสียดสีถ้าเลี่ยมแบบไม่ใช้ตลับเจาะหน้าก็ได้แต่มีจุดบกพร่องเพราะฝุ่นจะเข้าเกาะในองค์พระและดูไม่งามยากแก่การทำความสะอาด ถ้าเลี่ยมแบบตลับนาน ๆ ถอดออกทำความสะอาดได้

3. ผู้ที่นิยมแขวนพระมากองค์จะเลี่ยมปิดทั้งหมดก็ได้ แต่ควรเลือกองค์ใดองค์หนึ่งที่มีประสิทธิภาพสูงและสุนทรียภาพค่อนข้างต่ำเปิดกันเลยองค์เดียวก็พอ อย่าเลี่ยมปิดหมดทั้งชุด และควรใช้พระในอัตราคี่ เช่น 1 องค์ 3 องค์ 5 องค์ (บางคนถือเคล็ดไม่ยอมใช้พระอัตราคู่)


ท่านอาจารย์ประถม อาจสาครสงวนลิขสิทธิ์
(เป็นความเชื่อ – ความคิดเห็นส่วนบุคคล(ของคณะลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถมอาจสาครท่านผู้อ่านอ่านแล้วก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล)
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: สิงหาคม 02, 2010, 10:57:42 pm »

การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่อง
พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

หมายเหตุ ผมได้รับอนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ในการนำบทความนี้มาลงในกระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) เรียบร้อยแล้ว หากท่านใดจะนำไปลงในเว็บต่างๆ ให้ขออนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาครก่อนครับ

การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่องตอนที่ 4

ปรัศนี ประชากร (เขียนเมื่อ ปี พ.ศ. 2525)
ลิขสิทธิ์ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร


6. มีผู้แขวนพระร่วงหลังรางปืนสนิมแดง กรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ สวรรคโลกองค์ชนะการประกวดถูกยิงนัดเดียวตายคาที่พระองค์นั้นไม่ต้องบอกก็นั่งทางในตอบได้ว่าเลี่ยมอัดอย่างแข็งแรง
7. วัยรุ่นที่จังหวัดสมุทรปราการ ได้รับพระสมเด็จวัดระฆังขนานแท้ และดั้งเดิมจากบรรพบุรุษ ซึ่งเคยมีประสบการณ์มาแล้วมากครั้ง ครั้งแรกถูกยิงด้วยปืนลูกซองพกไม่ระคายผิวหนัง ต่อมานำไปเลี่ยมอัด
พลาสติกเพียงถูกสุนัขกัดเบาะ ๆ ต้องเย็บถึง 8 เข็ม
8. นักเลงพระชั้นเซียนผู้หนึ่งได้พระท่าเสาเมืองกาญจน์มาหนึ่งองค์ ทดลองความเหนียวคงโดยนำพระยัดใส่ปากปลาช่อนแล้วฟันด้วยมีดอย่างแรงหลายที่ ปรากฏว่าฟันไม่เข้าจึงนำไปเลี่ยมอัดพลาสติกตามคตินิยม วันหนึ่งจะอวดของดีกับเพื่อนฝูง จึงไปซื้อปลาช่อนมาจากตลาดลองฟันดูใหม่ปรากฏว่าฟันเข้าหมดลองดูถึง 10 ตัวไม่ได้ผล จึงลองแกะพลาสติกแล้ว ไปหาปลามาทดลองฟันใหม่ปรากฏว่าฟันไม่เข้า การทดลองเช่นนี้ทำให้เพื่อนฝูงเกิดลาภปาก รับประทานปลาแป๊ะซะกันจนอิ่มหนำสำราญ วันนั้นเองเซียนพระผู้นั้นนำพระเครื่องชนิดต่าง ๆ มาแกะพลาสติกออกได้พลาสติกประมาณครึ่งกระบุง

9. นักเลงพระชื่อวันชัย อยู่จังหวัดอยุธยามีพระสมเด็จวัดระฆังราคาแสนแขวนสร้อยห้อยคอ ถูกยิงเข้าทุกนัด นักปราชญ์ท่านยังเชียร์ว่าพระสมเด็จไม่ตายโหง เช่นนี้ถ้าถูกเอ็ม 16 ที่หน้า หน้าอาจจะไม่เละกระมังเพราะท่านไม่ตายโหง แต่ที่ตายโหงมาแล้วเหลือคณานับ นักปราชญ์ท่านแก้ว่าได้ตรวจทางในแล้ว ถึงสมเด็จฯ ปลุกเสกพระของท่าน ถึงวันละสามเวลาไม่ขาดเกิน ก็ไม่ปรากฏนิมิตว่าเหนียวคง ตรวจหลายองค์แล้ว อนิจจา หลงเล่นพระปลอมอยู่ได้

10. ที่อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม นายตำรวจตระเวนชายแดนชายแดนคนหนึ่งชื่อ สำราญ นามสกุลจำไม่ได้ นำพระสมเด็จฯ มาให้ดู ปรากฏว่าเป็นพระสมเด็จวัดระฆังไม่มีการเลี่ยมใช้พกกระเป๋าเฉย ๆ เล่าให้ฟังว่า ใช้พระองค์เดียวถูกยิงด้วยกระสุนเจาะเกราะอย่างจังที่ขา ระยะเผาขน พอเป็นผื่นเล็กน้อยเท่านั้นเอง ใครว่าพระสมเด็จไม่เหนียว นอกจากของเก๊ ไม่รับรอง

11. ที่อำเภอตาคลี จังหวัดนครวรรค์ มีการจ้างนักเลงทำร้ายบุคคลผู้หนึ่งผู้ดักทำร้ายล้วนเคยเป็นเสือปล้นและมีประวัติโชกโชนมาแล้วทั้งนั้น แบ่งเป็นมือปืน มือมีด มือขวาน แยกย้ายกันเป็นขั้นตอน ชั้นแรกมือปืนใช้ปืนพกขนาด 11 ม.ม. ยิงถูกท้ายทอยเต็มรัก แรงผลักดันของลูกปืนทำให้ผู้ถูกทำร้ายถึงกับกระเด็นตีลังกาจากรถเครื่อง น่าสงสารตัวเล็กนิดเดียวมองไปข้างหน้าเห็นกลุ่มดาบและกลุ่มมือขวานดักรออยู่อีก ได้สติจึงหลบมุดลงท่อน้ำข้างถนนรอดไปได้ การที่กลุ่มประหารวางแผนอย่างเข็มแข็งเช่นนี้ เพราะทราบว่าผู้ถูกทำร้ายมีพระดีเคยถูกยิงไม่ออก ความจริงคือพระสมเด็จองค์เก่า ๆ ของปู่องค์เดียวเท่านั้นใช้เลี่ยมทองเปิดหน้าเปิดหลังมาเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่เป็นพระสมเด็จวัดไชโยวรวิหาร จังหวัดอ่างทอง

12. ที่จังหวัดภาคใต้ มีนายตำรวจชั้นรองผู้กำกับการภูธรกับคณะเดินทางไปราชการท้องที่โดยรถจิ๊บแลนโรเวอร์ เกิดอุบัติเหตุ รถคว่ำมีคนเจ็บและตาย ตัวท่านรองเองขาหัก ขณะที่แล่นรถเข้าตัวเมือง มีการประทับทรงเสด็จปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดอยู่ริมถนน ร่างทรงได้เรียกให้รถหยุดแล้วเข้าไปต่อว่าท่านรองฯ ว่าไปขังท่านไว้ออกมาช่วยไม่ได้ เพียงขาหักก็ดีแล้ว ปรากฏว่าคอของท่านรองฯ แขวนรูปหลวงปู่ทวดอยู่หนึ่งองค์หนึ่งจริง ๆ ต้องรีบนำไปแกะออกด่วน


ท่านอาจารย์ประถม อาจสาครสงวนลิขสิทธิ์
(เป็นความเชื่อ – ความคิดเห็นส่วนบุคคล(ของคณะลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถมอาจสาครท่านผู้อ่านอ่านแล้วก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล)
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: สิงหาคม 02, 2010, 10:57:04 pm »

การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่อง
พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

หมายเหตุ ผมได้รับอนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ในการนำบทความนี้มาลงในกระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) เรียบร้อยแล้ว หากท่านใดจะนำไปลงในเว็บต่างๆ ให้ขออนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาครก่อนครับ

การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่องตอนที่ 3

ปรัศนี ประชากร (เขียนเมื่อ ปี พ.ศ. 2525)
ลิขสิทธิ์ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร


ลักษณะการเดินของรังสีจิต กับรังสีจิตที่อยู่ในสภาพถูกบรรจุในวัตถุมันต่างกัน ไฟฟ้าไม่เปิดสวิตมันก็ไม่เกิดแสงส่วาง การกรอกน้ำลงในขวดเสร็จแล้วรินออกได้ แต่ถ้าปิดจุกมันก็ไหลออกไม่ได้ สายไฟฟ้าดูดคนตายแต่ถ้าใช้สายยางห่อหุ้มมันก็ทำอันตรายเราไม่ได้ ถ้าเกิดรั่วก็เป็นอันตรายกระแสน้ำกระแสไฟฟ้ามีทางเดินคล้ายกระแสจิตไปกั้นมันเข้ามันก็ไม่มีทางออก ถึงจะออกได้ก็ชักช้าไม่ทันการ เป็นเช่นนี้พระสมเด็จราคาแสนจึงไม่สามารถช่วยอะไรได้ เห็นตายสนิททุกราย ใครว่าใช้พระสมเด็จแล้วไม่ตายโหง อาจเป็นได้ถ้ารู้จักการใช้ นายแพทย์ประจำ วัชรปานเคยกล่าวว่าผู้ใดที่มีพระร่วงหลังรางปืนสนิมแดงกรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ สวรรคโลก เรื่องการตายโหงแล้วรับรองไม่มี สำหรับเหตุผลในข้อนี้วินิจฉัยยากเพราะพระร่วงชนิดนี้มี จำนวนน้อยราคาสูงมาก และมักอยู่กับผู้มีชะตาวาสนาสูงส่ง โอกาสที่จะผจญอันตรายมีเปอร์เซ็นต์น้อย แต่ก็ปรากฏแล้วว่าผู้ที่แขวนพระร่วงชนิดนี้ และเป็นองค์ที่ได้รับรางวัลที่หนึ่ง ชนะการประกวดมาแล้วตายโหงไปแล้วว่าไงครับ วงการเงียบกริบ ควรออกหนังสือแสดงการตายของพระเครื่องเสียบ้างจะได้หยุดเล่นกันเสียที เล่นไม่ยุติธรรมเซียนพระผู้ยิ่งยงสองท่านขอสงวนนาม คนหนึ่งดูพระสมเด็จเก่งชะมัดถูกตีที่ศีรษะเย็บ 15 เข็ม อีกคนหนึ่งแขวนพระสมเด็จเต็มคอถูกฟาดด้วยเก้าอี้เหล็กฐานไปหลอกลวงเขาเย็บ 18 เข็มเท่านั้นครับไม่
มากมายอะไรทหารปฏิบัติการรบที่จังหวัดชายแดนแขวนพระชนิดสายนับได้ 108 องค์เก๊ดีผมไม่ทราบ ทราบแต่เลี่ยมอัดหมดโดนสหายตอกด้วยปืนอาก้าเบาะ ๆ หยุดพูดเลย ต้องเชิญอาจารย์ชุมไชยคีรีไปแสดงอรรถาธิบาย คงมีพระของท่านปนอยู่ด้วย อาจารย์ชุมบอกว่ามันถึงคราวตาย สำหรับศาสตร์นี้จะอธิบายในตอนหลัง ผมจะยกตัวอย่างในการใช้พระอัดพลาสติกให้ดูสักหลายเรื่อง
1. รูปไหว้ห้าครั้งของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจริญ ญาณวร เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลือชื่อมาช้านานในด้านกันภูตผีปีศาจ ศิษย์หน้าวัดเขาบางทรายมีอาชีพขับรถยนต์รับจ้างถูกผีเข้าขณะที่มีรูปไหว้ห้าครั้งติดตัว เขาเชื่อพระคุณเจ้าว่าไม่มีอะไรกางกั้นกระแสจิตได้ จึงนำไปเลี่ยมอัดพลาสติกและได้รับผล ผีมันคอยโอกาสมานานแล้ว เกิดสงสัยจึงนำไปพิจารณาทางในดูปรากฏว่ารังสีจิตหมุนวนอยู่ภายในกรอบพลาสติกไม่สามารถออกมาได้ จริงตามที่เล่าลือ อีกรายหนึ่งถูกสุนัขที่บ้านกัดเข้าก็มีรูปไหว้ห้าครั้งอัดพลาสติกเช่นเดียวกัน ความจริงของ ๆ ท่านเก่งทางเขี้ยวงา และเคยปรากฏความศักดิ์สิทธิ์มาแล้วมากครั้ง จริงของ ๆ ท่านเก่งทางเขี้ยวงา และเคยปรากฏความศักดิ์สิทธิ์มาแล้วมากครั้ง
2. เพื่อนฝูงคนหนึ่งเป็นหัวหน้าส่วนรัฐวิสาหกิจ แขวนพระชั้นดีเต็มคอแท้ทั้งนั้นแนะนำอย่างไรก็ไม่เชื่อ เชื่อวงการดีกว่า ถูกยิงด้วยปืนลูกกรด .22 ห้านัดเข้าทุกนัดอาการสาหัส เจอหน้าเข้าตีหน้าชอบกล
3. เมื่อวันมหาวิปโยค 14 ตุลาคม 2516 มีคนถูกยิงตาย และยิงไม่เข้าหลายรายผมขอร้องให้คุณชินพร สุขสถิตย์ บรรณาธิการหนังสืออภินิหารและพระเครื่องนำเรื่องลงพร้อมกับถ่ายภาพคนที่ถูกยิงไม่เข้าปรากฏว่าเป็นชายชาวชนบท แขวนพระเครื่อง 3 องค์ ที่จำได้มีพระถ้ำเสือ พระปิดตาวัดจากแดง จังหวัดสมุทรปราการ และพระอะไรอีกองค์หนึ่งจำไม่ได้ ปรากฏว่า เลี่ยมเปิดหมด ถ้าไม่เปิดรับรองสบายแน่ ส่วนที่เลี่ยมปิดตายเรียบทุกราย ไม่ตายก็สาหัส
4. ที่ตำบลบางวัว อำเภอบางปะกงชายผู้หนึ่งมีเหรียญหลวงพ่อดิ่งรุ่น 2481 ของแท้ติดตัวอยู่เหรียญหนึ่ง เคยถูกแทงด้วยมีดไม่เข้า และถูกตีด้วยไม้พายจนตกเรือก็ไม่เป็นไร ต่อมาขัดสนทางการเงินจึงขายให้นักเลงพระผู้หนึ่งไป เขาผู้นั้นก็นำไปเลี่ยมอัดอย่างดีตามคตินิยมได้ผลทันที ครั้งแรกถูกสุนัขกัดเป็นแผลเหวอะ ครั้งที่สองไปชนเหลี่ยมเสาเพียงเบาะ หน้าผากแตก ทำให้ผู้เป็นเจ้าของเหรียญงงยิ่งกว่าไก่ตาแตกจนมีเพื่อนล้อเลียนว่าแขวนเหรียญเก๊
5. ที่ตำบลบางวัว อำเภอบางปะกงมีผู้แขวนพระไตรภาคี คือพระสมเด็จ พระนางพญาพิษณุโลก พระผงสุพรรณวงการรับรองว่าเป็นของแท้ ขณะนั่งดูงิ้วรบกับเพลิน มีใครไม่ทราบแสดงงิ้วนอกโรงใช้มีดแทงทะลุหน้าอกถึงแก่ความตาย ปรากฏว่าเป็นพระเลี่ยมอัดพลาสติกตามคตินิยมเป็นการใช้พระนอกครู


ท่านอาจารย์ประถม อาจสาครสงวนลิขสิทธิ์
(เป็นความเชื่อ – ความคิดเห็นส่วนบุคคล(ของคณะลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถมอาจสาครท่านผู้อ่านอ่านแล้วก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล)
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: สิงหาคม 02, 2010, 10:54:39 pm »

การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่อง
พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

หมายเหตุ ผมได้รับอนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ในการนำบทความนี้มาลงในกระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) เรียบร้อยแล้ว หากท่านใดจะนำไปลงในเว็บต่างๆ ให้ขออนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาครก่อนครับ

การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่องตอนที่ 2

ปรัศนี ประชากร (เขียนเมื่อ ปี พ.ศ. 2525)
ลิขสิทธิ์ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร


จิตเป็นธาตุกายสิทธิ์ลี้ลับและมหัศจรรย์ ผู้ที่ฝึกจิตสามารถจะใช้ให้ทำประโยชน์อย่างพิสดาร เช่น จิตที่ฝึกฝนจนบรรลุขั้นทิพยจักขุญาณ ย่อมจะมีคุณสมบัติยิ่งกว่ากล้องส่องทางไกล สามารถมองเห็นภาพกายเนื้อแบบดาวเทียมแต่ยังเก่งกว่าดาวเทียมคือดาวเทียมไม่สามารถบันทึกภาพใต้พิภพแต่จิตทำได้ จะเป็นตอไม้ วัตถุธาตุที่ฝังจมอยู่ใต้ดินเห็นหมด เจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี สามารถเห็นสิ่งฝังในดินลึกประมาณ 1 วา โดยอัตโนมัติมิต้องอาศัยการเพ่งด้วยอำนาจฌานท่านมักไปที่วัดกุฎีดาว จังหวัดอยุธยาบ่อย ๆ เพื่อค้นทรัพย์แผ่นดินมาบูรณะถาวรวัตถุในพระพุทธศาสนา ท่านนั่งอยู่วัดระฆังไฟไหม้ที่เมืองเพชรบุรีท่านก็เห็น หลวงพ่อธมมวิตกโกนั่งอยู่ที่วัดเทพศิรินทร์ ไฟไหม้เมืองอังกฤษก็เห็น ท่านฤาษีสัตจิตนั่งจากเขาสวนกวาง จังหวัดขอนแก่นมองข้ามทวีปถึงประเทศอังกฤษและยังมองดูใต้ดินลึก 9 เมตรโดยศิษย์ผู้หนึ่งมีจดหมายมาเรียนว่า บ้านพักที่ประเทศอังกฤษอยู่ไม่เป็นสุขขอให้ช่วยตรวจดู ปรากฏว่าเห็นโครงกระดูกฝังซับซ้อนกันอยู่ถึง 3 ชั้น ท่านให้รื้อพื้นตึกและขุดกระดูกไปฝังที่สุสานจะอยู่สบาย และก็ถูกต้องทุกประการ เช่นนี้เขาเรียกว่านั่งทางในสามารถเห็นกายหยาบ ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถดูกายทิพย์ซึ่งมีความละเอียดแตกต่างกัน เช่นกายมนุษย์ละเอียด กายเทพละเอียด กายพรหมละเอียด กายพระโสดาละเอียด กายพระสกิทาคาละเอียด กายพระอนาคามีละเอียด กายพระอรหันต์ละเอียด ดวงตาของท่านผู้ทรงฌานย่อมจำแนกไปตามชั้นภูมิและวาสนาบารมีคือ ตาใน ตาทิพย์ ตาแก้ว ตาพุทธะ จิตมีคุณลักษณะแบบคลื่นส่งวิทยุทางไกลคือสามารถสนทนากันในระยะทางไกล และรู้เรื่องชัดเจนเหมือนคุยกันธรรมดา สงสัยว่าอาจเห็นหน้ากันเพราะแต่ละท่านล้วนได้ทิพยจักขุญาณ ท่านฤาษีสันตจิตเคยเล่าให้ฟังว่าวิชาของพระพุทธองค์ต้องทดลองตามคัมภีร์ กาละมะสูตร ท่านกำหนดให้คณะศรัทธาไปนั่งรวมกลุ่มกันห่างจากท่าน 8 กิโลเมตรท่านเทศนาให้ฟังแล้วมาสอบดูปรากฏว่าทุกคนได้ยินเสียงท่านชัดเจนดี ตามหลักของตะโมภิกขุกล่าวว่าเป็นการส่งเสียงทางลมปราณ จิตเป็นมโนมยิทธิคือการแสดงฤทธิ์ทางใจสามารถถอดกายทิพย์จากกายเนื้อได้นิยมเรียกระหว่างผู้ปฏิบัติธรรมว่า การเดินกาย ในสมัยพุทธกาลพระพุทธองค์ทรงถอดพระวรกายทิพย์ไปโปรดพระองคุลิมาน ซึ่งจะกระทำมาตุฆาตอันเป็นอนันตริยะกรรม สิ้นโอกาสจะบรรลุมรรคผลนิพพาน เป็นผลสำเร็จ สมัยปัจจุบันหลวงพ่อโอภาสีถอดกายทิพย์ไปเที่ยวประเทศอินเดีย หลวงพ่อธัมมวิตตโก ถอดกายทิพย์ไปเยี่ยมคนไข้ที่ประเทศอเมริกา ฤาษีแถบภูเขาหิมาลัยถอดกายทิพย์ไปสนทนากับโปรเฟรสเซอร์ที่ประเทศอังกฤษ อาจารย์ของผมท่านหนึ่งเคยทดลองถอดกายทิพย์ออกบิณฑบาต ท่านนำบาตมาตั้งตรงหน้าแล้วเข้าสมาบัติว่าเดินไปรับบิณฑบาต เห็นมีอาหารในบาตรและแกล้งถามญาติโยมก็ยืนยันว่าท่านลงจากเขาไปบิณฑบาต จิตสำเร็จเจโตปริยญาณ ผมทดลองมา 3 ครั้ง ครึ่งหนึ่งที่อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม ผมกับหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งนับถือเสมือนพี่ ช่วยกันถ่อเรือจะไปหาหลวงพ่อหวาเพื่อซักถามข้อธรรมบางประการคือ วิชาสามกับพระนิพพาน ระยะทางห่างวัดประมาณ 5 กิโลเมตรพอกราบท่าน ๆ ก็อธิบายเสร็จ ทำเอาเราหันมองหน้ากัน ท่านกล่าวว่าขนาดนี้ยังไม่เก่งระยะ 5-6 กิโลเมตร ทราบว่าใครจะมาหา หญิงกี่คนชายกี่คน ถ้าคิดว่าตัวเก่งต้องสอบตกแน่ ต่อมาผมลองดูระยะ 100 กิโลเมตรกับหลวงพ่อฝั้นอาจาโร คือตั้งใจจะนำภัตตาหารไปถวายหลวงพ่อและพระเณร ระยะทางจากสกลนครถึงวัดที่ท่านพำนักประมาณ 100 กิโลเมตร เกรงรถวิ่งไม่ทันเลยบอกว่าหลวงพ่อนิมนต์ก่อน ขณะนั้นพระเณรเตรียมกระทำภัตกิจแล้ว หลวงพ่อห้ามว่าอย่าเพิ่งฉัน รออยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง พระเณรนั่งงง หลวงพ่อคอยผมคนเดียวจริง ๆ ครั้งที่สามทดลองกับหลวงพ่อ ธัมมวิตตโก ยอดจริง ๆ ครับ ใช้วิธีเรียกชื่อในใจในระยะไกล ท่านหันขวับทันที่ ลองใหม่ก็เป็นเช่นนั้น ต้องเข้าไปกราบท่าน ท่านยิ้มด้วยความปราณี ของจริงต้องพิสูจน์ได้ แต่ที่ร้ายกว่านั้นระยะทางจากวัดป่าอุดมสมพรกับกรุงเทพฯ มันใกล้อยู่เมื่อไร มีศรัทธาที่กรุงเทพฯ จะทำบุญบ้าน พอได้เวลาสามทุ่มก็รำลึกถึงว่าลืมนิมนต์หลวงพ่อฝั้นและก็ไม่ทันเสียแล้ว รุ่งเช้าหลวงพ่อมาถึงแต่ 6 โมงเช้า ไม่ทราบว่าโดยสารยานวิเศษอะไรมาและเรื่องหลวงพ่อออกจากวัดนั้นดังที่สุดใคร ๆ จะต้องรู้กันและกรุงเทพฯ จะต้องมีผู้ไปรับกันอย่างครึกครื้น เรื่องนี้เคยออกอากาศ ความจริงเป็นกายทิพย์ต่างหาก มิฉะนั้นรับรองว่าเป็นการเดินกายเนื้อ เพราะผู้ที่สำเร็จเพียงอภิญญา 5 นั้นสามารถจะกระทำฤทธิ์เหาะเหินเดินฟ้าได้ บันทึกตอนหนึ่งของท่านอาจารย์บุญนาค โฆโส สายพระอาจารย์มั่นเรื่องเที่ยวธรรมฐาน บันทึกไว้ว่า ขณะที่ยังเป็นสามเณรได้ธุดงค์ไปพบกับพระภิกษุหนุ่ม เป็นพระภิกษุทางจังหวัดหลวงพระบาง อยู่ได้ 25 พรรษา พอมาถึงริมฝั่งแม่น้ำโขง ท่านสาธุวันดี ก็เดินข้ามแม่น้ำโขงไปเฉิบ ๆ ท่านต้องนั่งมองอยู่ริมฝั่งน้ำเพราะไม่มีวิชาบุกน้ำข้ามธาร อีกตอนหนึ่งท่านได้เดินทางอย่างเหน็ดเหนื่อยยังหาที่ปักกรดเหมาะสมไม่ได้จึงด้นดั้นขึ้นภูเขา ขณะนั้นประมาณสี่ทุ่มแล้ว พอนั่งลงพักเหนื่อยเห็นพระภิกษุชรารูปหนึ่งเหาะลอยลงมาบนบ่าหาบผลมะเดื่อเต็มหาบ พอเห็นพระอาจารย์บุนนาค ก็ชวนฉันผลมะเดื่อ พระอาจารย์บุญนาคปฏิเสธเพราะเป็นเวลาวิกาล และถามไปว่าคนหรือผี ภิกษุชราตอบว่าไม่ใช่ผีเป็นพระ รอสักพักท่านก็กล่าวลา พระอาจารย์บุนนาคถามว่าจะไปที่ใด พระภิกษุชราตอบว่า จะเที่ยวไปในจักรวาล ว่าแล้วหาบผลมะเดื่อเหินฟ้าลับสายตาไปท่ามกลางความสลัวอ้างว้างของแสงจันทร์ สักพักเป็นงูใหญ่ตรงเข้าวัดพระอาจารย์บุนนาคใช้หางจี้ตามรักแร้ไม่ทำอันตรายแล้วงูก็หายไป (ความจริงผลไม้นั้นเป็นยาอายุวัฒนะชนิดหนึ่ง ท่านทราบว่าพระอาจารย์บุนนาค มีอายุสั้นจึงนำไปให้แต่พระอาจารย์บุนนาคไม่มีวาสนาเอง) หลวงปู่องค์นี้อายุยืนกว่า 200 ปี เรียกกันว่าหลวงปู่ดำ น่าจะเป็นอาจารย์ของท่านอภิชิโตภิกขุ อำนาจจิตนี้หากบรรลุขึ้นแล้วสามารถที่จะอธิษฐานได้ตามความปรารถนา บรรจุพลังลงในวัตถุธาตุธรรมดา จนกลายเป็นอิทธิวัตถุอันวิเศษ คล้ายกับการอัดเทปแต่เทปเก็บไว้นานมีการเสื่อม พลังอธิษฐานจิตของพระสุปฏิปันโนหรือพระอรหันต์เสื่อมตัวช้า ถ้าผู้เสกสร้างรู้จักการใช้ธาตุประกอบจะเกิดผลดังนี้ อาโปธาตุคือธาตุน้ำมีลักษณะอ่อนโยนบังเกิดประสิทธิภาพทางเมตตา ถ้าจะให้กันปืนก็เป็นได้เพราะน้ำเป็นศัตรูกับดินปืนทำให้เปียกชื้น ใช้เตโชธาตุคือธาตุไฟ บังเกิดอำนาจ ขับไล่ภูตผีปีศาจเพราะไฟมันร้อน ใช้ปถวีธาตุคือธาตุดินมีลักษณะแข็งแกร่งเกิดสภาพคงทน ใช้วาโยธาตุคือธาตุลมผลักดันให้บังเกิดการแคล้วคลาดหรือต่อต้านกระสุนปืนให้ถูกหนักเป็นเบาในสภาพสูญญากาศ ฟังดูน่าเลื่อมใส
แต่ทุกวันนี้ไม่ว่าพระวิเศษเลิศล้นสักปานใดราคาแสนราคาล้านทราบว่าถึงจุดดับทุกราย น้อยนักที่จะได้ฟังถึงปาฏิหาริย์ทหารตำรวจตายไปไม่ทราบเท่าใดแล้วความจริงก็ไม่อยากพูดเพราะเป็นมีดสองคม ถ้าเกิดอันธพาลทราบเรื่องนี้แล้วเกิดเชื่อตำรวจแย่แน่ แต่ในทางตรงข้ามเกิดตำรวจเชื่ออันธพาลก็แย่เหมือนกัน ทุกวันนี้ใช้พระกันยังไม่เป็น เป็นแต่ดูพระด้วยแว่น จัดประกวดพระ ขายพระเท่านั้น นอกจากไม่เป็นแล้วยังชวนให้ผู้อื่นรับเคราะห์กรรมไปด้วย จึงนับว่าเป็นกรรมที่จะต้องชดใช้ในการแนะแนวทางที่ผิดสมกับที่ไม่รู้อยากอวดรู้ ไม่เคยศึกษาวิชากายหัตถรังสี ไม่เคยศึกษาเรื่องฉนวนกั้นขณะที่กำลังเขียนเรื่องอยู่นี้ มีเซียนพระชั้นกรรมการของชมรมพระเครื่องจังหวัดระยองหน้าตาเลิกลั่กเข้ามาหาตะโกนว่า อาจารย์ครับเสี่ยนวยถูกยิงด้วยปืนเอ็ม 16 ตายคารถทั้ง ๆ ที่คอมีเหรียญหลวงพ่อคงบางกระพร้อม เหรียญหลวงพ่อแดงวัดเขาบันไดอิฐ และของอื่นซึ่งวงการรับรองแล้วทั้งนั้น จึงถามว่าพระและเหรียญที่กล่าวนั้นเสี่ยอัดพลาสติกหมดใช่ไหม เขาตอบว่าใช่จึงบอกว่าช่วยไม่ได้ ใช้พระไม่เป็น จึงต้องเสียทีเขา อย่าว่าแต่ระยองแม้ชลบุรี เมืองกาญจน์ เมืองเพชร ที่ไหน ๆ ก็เช่นกัน


ท่านอาจารย์ประถม อาจสาครสงวนลิขสิทธิ์
(เป็นความเชื่อ – ความคิดเห็นส่วนบุคคล(ของคณะลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถมอาจสาครท่านผู้อ่านอ่านแล้วก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล)
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: สิงหาคม 02, 2010, 10:54:05 pm »

การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่อง


ปรัศนี ประชากร (เขียนเมื่อ ปี พ.ศ. 2525)
ลิขสิทธิ์ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร


พระเครื่องเป็นอิทธิวัตถุที่นิยมฝังใจกันมาช้านาน บางคนถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต จะขาดเสียมิได้ หากวันใดลืมแขวนพระจิตใจจะไม่สบายคล้ายขาดความสมบูรณ์ในจิตใจ ยิ่งเคยผ่านอุปสรรค และประสบการณ์มาแล้วยิ่งรักหวงแหนปานแก้วตา ปัจจุบันพระเครื่องรุ่นเก่าเป็นของหายากจะหาเช่าซื้อกันแต่ละองค์ก็ต้องจ่ายกันอย่างแรงน่าใจหาย กระนั้นยังมีคนใจถึงกล้าสู้ราคาขอให้ถูกใจเป็นสู้ ใครจะเคยคิดบ้างว่าเหรียญหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการามจังหวัดอยุธยาราคาเดิมทำบุญเพียงเหรียญละ 1 บาทหากงามไม่มีที่ติมีคนกล้าสู้ราคาถึงเหรียญละ 50,000 บาท พระสมเด็จวัดระฆังราคาเช่าซื้อกันใต้โคนมะขาม สมัยก่อนราคาเพียงองค์ละ 40 บาท ต่อมาราคาเหยียบเรือนแสน ถ้าประกวดชนะรางวัลที่หนึ่ง 300,000 – 400,000 เจ้าของพระยังไม่อยากพูดด้วย มันก็ราคารถยนต์นั่งอย่างชนิดดีแหละครับ คนจนไหนจะกล้าใฝ่ฝัน นี่ผมไม่ได้อธิบายถึงฮั่งเซ้งพระนะครับ เพราะไม่มีอาชีพในทางนี้ รู้สึกว่าราคาพระเครื่องมีแต่รุดหน้าไม่มีทีท่าว่าจะตกลงเลย เพราะของฝืดลง ค่าน้ำเงินเสื่อมตัว จึงเกิดการอนุรักษ์พระเครื่องในลักษณะต่าง ๆ กัน ที่หวงมากและมีเงินก็หาเช่าตู้นิรภัยจากธนาคารพาณิชย์เป็นที่ฝากเก็บเพื่อความปลอดภัยบางคนไม่ยอมฝากลงทุนสร้างกุฏิทองคำให้หลวงพ่อปะเหมาะแถมฝังเพชรให้ด้วยซ้ำ การดีซายน์แบบเต็มไปด้วยความวิจิตร พิสดารทันสมัย ตลับพระนางพญา พิษณุโลก จะประดิษฐ์ลักษณะให้โค้งเพื่อความชัดเจนขององค์พระและมีรองในบังคับให้อยู่ที่ รูปเหรียญพระคณาจารย์ก็มีการเลี่ยมเพื่อรักษาสุนทรียภาพให้คงทนถาวรสืบไป ราคาพระเครื่องและเหรียญพระคณาจารย์ จะสูงต่ำย่อมเกี่ยวกับความคมชัดเจน
การใช้พระเครื่องในสมัยก่อนถือว่าไม่มีราคาค่างวดสูง ไม่มีการประกวดนิยมใช้พก อม คาดแขนหรือถักลวด เลี่ยมเปิดเรียกว่าพระเจ้าเปิดโลก ที่เป็นรูปเหรียญก็ใช้แขวนกันโทน ๆ แขวนกันจนห่วงหยุดหายไปก็มีมาก ยิ่งเป็นพระเนื้ออ่อน เช่น พระตะกั่วสนิมแดงถ้าถูกถักด้วยลวดและใช้แขวนไปนาน ๆ ลวดจะกัดเนื้อพระจมกร่อนไม่มีวันจะลบหายได้ รู้สึกเป็นที่น่าเสียดายการทะนุถนอมองค์พระนี้มีการระมัดระวังไม่ค่อยยอมให้ชมกันง่าย ๆ เกรงเกิดการพลาดพลั้งตกหล่น เกรงนักเลงเก่าเล่ายี่ห้อนำพระไปเช็ดเหงื่อทดลองเงาสว่างทำให้พระเสียผิวเดิม มีเรื่องเกิดที่สนามพระคือแทนที่จะส่องด้วยแว่นขยายกลับใช้นิ้วขัดองค์พระเล่น นิสัยเช่นนี้มักเป็นสิ่งเคยชินและติดตัวเป็นที่น่ารังเกียจของสังคม บางทีเคยถามว่าขัดแล้วมีอะไรเกิดขึ้น ก็ตอบไม่ได้ บอกว่าขัดไปอย่างนั้นเอง ให้ชมพระสนิมแดงก็ขัดดูเพราะเคยนิสัย ต่อไปใครจะคบหาด้วย อย่างรายที่สนามพระ เจ้าของพระโดดเข้าชกหน้าทันที และเจอหน้าทีไรตรงเข้าไปชกที่นั่น เพราะความแค้นเคืองที่มืออยู่ไม่สุขไปขัดพระสมเด็จฯ องค์โปรดเข้า ท่านเจ้าคุณชลประทานธนารักษ์ นักพระเครื่องอาวุโสเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนสนามพระอยู่ที่วัดเชิงเลนคือวัดบพิตรพิมุขปัจจุบัน วันหนึ่งท่านนำพระร่วงสนิมแดงออกโชว์ พระร่วงองค์นี้ท่านกล้าเสี่ยงโดยนำเพชรน้ำหนัก 3 กะรัตแลกมา ท่านขุนนักเลงพระผู้หนึ่งรับไปดูพร้อมกับควักตะไบ ซึ่งพกติดกระเป๋าทำท่าจะตะไบเนื้อพระดู ท่านเจ้าขุนร้องห้ามเสียงหลงโมโหจนหน้าเขียวคล้ำถลกผ้าม่วงจะเตะตาขุนบัดซบเสียให้ได้ นี่แหละครับเล่นพระก็ทุกข์เพราะพระ โกรธกันไปไปมากรายแล้ว
ทีนี้ผมจะพูดถึงการใช้พระเครื่อง รู้สึกว่าส่วนมากยังไม่รู้จักวิธีการใช้พระเครื่องใช้วิธีตามกันไป สมัยแห่งพลาสติกเฟื่องราคาค่างวดในการอัดพระก็ย่อมเยาว์กว่าการจะไปเลี่ยมเงินเลี่ยมทอง รอเดี๋ยวเดียวก็ได้ใช้ บางคนสงสัยถามผู้ตอบปัญหาพระเครื่องก็ยืนยันทุกครั้งว่าไม่เป็นไรใช้ได้ ผู้ตอบปัญหาจะกล่าวยืนยันหนักแน่นว่าหลวงปู่โต๊ะวัดประดู่ฉิมพลี เคยกล่าวว่าไม่มีสิ่งใดจะมากั้นรังสีจิตได้ แม้มีภูเขามาขวางกั้นถึง 300 ลูก รังสีจิตยังสามารถผ่านได้สบายมาก นั่นเป็นการปล่อยรังสีจากผู้ทรงฌาน ผิดกับการแผ่รังสีจากพระเครื่อง เครื่องอัดเทปกับม้วนเทปมันคนละเรื่อง สภาพมันไม่เหมือนกัน อย่าว่าแต่หลวงปู่โต๊ะเลย แม้เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจริญ ญานวร ท่านก็กล่าวเช่นนั้น แต่มันอาจเป็นคนละแง่มุม
ประเทศในยุโรปได้ชื่อว่าเป็นสถาบันศึกษาค้นคว้าในด้านวิทยาศาสตร์ แต่ก็มีการก่อตั้งสมาคมค้นคว้าเกี่ยวกับวิญญาณอย่างกว้างขวาง มีการทดลองจับตัววิญญาณโดยสร้างตู้กระจกพิเศษขึ้นแล้วนำคนเจ็บใกล้จะสิ้นใจไปขังไว้ในตู้กระจกนั้น เพื่อรอดูผลของการพรากวิญญาณจากกายเนื้อโดยผู้ทดลองไม่เคยทราบวิญญาณเป็นกายทิพย์ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เมื่ออยากจะเห็นก็เห็นเหมือนกันคือ ปรากฏเป็นแสงสีเขียวเรืองออกมาจากรูจมูกของคนไข้ลอยวนเวียนอยู่ภายในตู้กระจก พยายามจะหาทางออก แต่ก็ออกไม่ได้เพราะติดกระจก ที่สุดก็กลับคืนเข้าไปในรูจมูกของคนไข้อีก และอยู่ในลักษณะออก ๆ เข้า ๆ บัดเดี๋ยวคนไข้ก็ฟื้นบัดเดี๋ยวก็เงียบสลับกันไปจนที่สุดรออยู่ไม่ได้แสงเขียวเรืองก็ดันกระจกจนเกิดการระเบิดออกไป คนไข้จึงตายสนิท



ท่านอาจารย์ประถม อาจสาครสงวนลิขสิทธิ์
(เป็นความเชื่อ – ความคิดเห็นส่วนบุคคล(ของคณะลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถมอาจสาครท่านผู้อ่านอ่านแล้วก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล)

หมายเหตุ ผมได้รับอนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ในการนำบทความนี้มาลงในกระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) เรียบร้อยแล้ว หากท่านใดจะนำไปลงในเว็บต่างๆ ให้ขออนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาครก่อนครับ