ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
ท่านจะปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อตกลงของเว็บใต้ร่มธรรมทุกประการหรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: suteawmala1356
« เมื่อ: พฤษภาคม 13, 2011, 07:12:03 pm »

ชอบฟังนิทาน
ข้อความโดย: lek
« เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2010, 02:01:21 pm »

ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี
ทรงปรารภลูกสาวเศรษฐีชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่งที่หอบผ้า
หนีตามชายค่อมไป ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า…
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นเศรษฐี
มีลูกสาวกำลังเป็นวัยรุ่นอยู่คนหนึ่ง นางเห็นเครื่องสักการะ
ที่เขาจัดทำให้โคอุสภราช(หัวหน้าโค)ในบ้านของตน
แล้วถามพี่เลี้ยงว่า
     “พี่..โคตัวนี้เป็นอะไร เขาถึงประดับถึงเพียงนี้ ”
     พี่เลี้ยงตอบว่า ” นายหญิง..เขาเรียกโคอุสภราชจ้า”
     นางคิดว่า “โคที่ได้รับยกย่องว่าเป็นใหญ่ จะมีโหนกที่หลัง
ถ้าเช่นนั้นชายผู้เป็นใหญ่ ก็คงจะมีโหนกขึ้นกลางหลังเช่นกัน”
     วันหนึ่งเมื่อเห็นชายหลังค่อมคนหนึ่งระหว่างทางจึงเข้าใจว่า
“ชายคนนี้เป็นบุรุษอุสภราช เราควรจะเป็นภรรยาของเขา”
จึงใช้พี่เลี้ยงไปบอกเขาให้ไปรออยู่ปากทางลูกสาวเศรษฐีจะไปด้วย
นางได้ห่อสิ่งของมีค่าหนีตามชายค่อมนั้นไป

     เศรษฐีพอทราบว่าลูกสาวหนีตามชายค่อมไป
ก็ออกติดตามเพื่อนำกลับมาบ้าน ฝ่ายลูกสาวเศรษฐีกับชายค่อม
เดินทางกันทั้งคืนไม่ได้พักผ่อน ชายค่อมถูกความหนาวเหน็บตลอดคืน
รุ่งแจ้งโรคเก่าได้กำเริบขึ้น เดินต่อไปไม่ได้ จึงแวะลงข้างทางนอนขดตัวอยู่
เศรษฐีและคณะตามมาทันเห็นลูกสาวนั่งอยู่ข้างๆชายค่อมนั้น
จึงเข้าไปสนทนาด้วยและพูดว่า
          ” ลูกรัก เรื่องนี้เจ้าคิดคนเดียวไม่ได้นะ ชายค่อมผู้โง่เขลานี้
จะนำทางเป็นที่พึ่งของเจ้าไม่ได้แน่ ลูกรัก เจ้าไม่สมควรจะไปกับชายค่อมผู้นี้ดอกนะ”
          ลูกสาวตอบเป็นคาถาว่า
          ” ลูกเข้าใจว่าชายค่อมเป็นคนองอาจ จึงได้รักใคร่เขา
            เขานอนตัวคดอยู่อย่างนี้ ดุจคันพิณที่สายขาด ”
เศรษฐีได้นำลูกสาวกลับคืนบ้านของตน และให้แต่งงานกับลูกชายเศรษฐีชาวเมืองในเวลาต่อมา

 
 
 
  นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
  วัยรุ่นปัจจุบันมักจะทำตามใจตนเอง ควรถือนิทานเรื่องนี้เป็นตัวอย่าง
ลูกที่ดีควรยึดถือคำพูดของพ่อแม่เป็นเกณฑ์

ขอบพระคุณที่มา
http://xn--12cr4akjb8ocn.whitemedia.org/%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b8%97%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%8a%e0%b8%b2%e0%b8%94%e0%b8%81-%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%a2%e0%b8%a3%e0%b8%b8%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b8%a7%e0%b8%b8%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b8%a3/
ข้อความโดย: lek
« เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2010, 01:53:45 pm »

ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน
เมืองสาวัตถี ปรารภอุบายเครื่องข่มกิเลสที่เกิดขึ้น
ภายในพวกภิกษุในยามรุ่งแจ้งได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า…

          กาลครั้นหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลพราหมณ์
ในเมืองพาราณสี เมื่อเติบโตขึ้นเป็นหนุ่มได้ไปเรียนศิลปวิทยา
ในสำนักอาจารย์คนหนึ่งในเมืองนั้นเอง

ที่สำนักเรียน อาจารย์มีลูกสาวสวยคนหนึ่ง ต้องการอยากจะได้ลูกเขย
เป็นผู้มีศีลธรรม คิดแผนการได้อย่างหนึ่งแล้ว ก็เรียกประชุมลูกศิษย์ทั้งหมด
ประกาศให้ทราบว่า “นี่เธอทั้งหลาย ลูกสาวเราเติบโตเป็นสาวแล้ว
เราจักให้เธอแต่งงานแต่ยังขาดผ้าประดับอยู่อีกมาก
ขอให้พวกเธอจงลักเอาผ้าประดับพวกญาติๆ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องไม่มีใครเห็นนะ
ผ้าที่มีคนเห็นเราจะไม่รับ” พวกลูกศิษย์รับคำ ตั้งแต่วันนั้นมา ลูกศิษย์คนอื่น ๆ
ก็พากันนำผ้าประดับที่แอบลักได้มอบให้อาจารย์ ท่านก็เก็บรวบรวมไว้ที่หนึ่ง
มีเพียงพระโพธิสัตว์เท่านั้นที่ไม่มีผ้าอะไรมามอบให้ อาจารย์จึงถามว่า
“ทำไมเธอถึงไม่ลักผ้าประดับมาให้อาจารย์ละ” พระโพธิสัตว์ตอบว่า
“อาจารย์ แม้แต่ท่านก็ไม่รับเอาสิ่งของที่เขาเอามาให้ เมื่อมีคนเห็น
ผมก็ไม่เห็นที่ลับในการทำบาปเลย” แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า

“ชื่อว่าที่ลับในโลก ย่อมไม่มีแก่ผู้กระทำบาปกรรม
ต้นไม้ที่เกิดในป่าก็ยังมีคนเห็น คนพาลย่อมสำคัญบาปกรรมนั้นว่าเป็นความลับ”

อาจารย์เลื่อมใสเขามาก จึงยกลูกสาวให้แก่เขา
พร้อมกับประกาศให้ศิษย์ทุกคนทราบและให้นำผ้าที่ทุกคนนำมาให้กลับคืนบ้านไป
 
 

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :  ความลับไม่มีในโลก แม้นไม่มีผู้อื่นทราบ ตัวเราเองย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ
ขอบพระคุณที่มา http://xn--12cr4akjb8ocn.whitemedia.org/%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b8%97%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%8a%e0%b8%b2%e0%b8%94%e0%b8%81-%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%a5%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b9%84%e0%b8%a1%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b8%b5/
ข้อความโดย: lek
« เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2010, 01:46:12 pm »

ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถีทรงปรารภแม่ยายหูหนวกคนหนึ่ง …

     เรื่องมีอยู่ว่า ในเมืองสาวัตถีมีพ่อค้าคนหนึ่ง มีศรัทธาเลื่อมใส่ในพระพุทธศาสนา
ถือศีลห้าเป็นประจำ วันหนึ่งเขาไปฟังธรรมที่วัดเชตวัน ขณะนั้นแม่ยาย
ได้ไปเยี่ยมครอบครัวของเขา แต่แม่ยายคนนี้หูแกค่อนข้างตึง
เมื่อไปถึงบ้านพบแต่ลูกสาวอยู่บ้านไม่พบลูกเขยจึงเอ่ยปากถามลูกสาวว่า
          “นี่ลูกผัวเอ็งนะยังรักเอ็งอยู่รึเปล่า มีเรื่องทะเลาะกันบ้างไหม?”
          ลูกสาวตอบว่า “แม่..คนดีๆ อย่างลูกเขยแม่คนนี้นะ แม้บวชแล้วก็ยังหายาก”
          ยายแกฟังคำพูดของลูกสาวไม่ชัดได้ยินแต่คำว่าบวชเท่านั้น
จึงร้องตะโกนขึ้นด้วยความตกใจว่า
          “อ้าว..ผัวเอ็งไปบวชแล้วหรือ”
     ชาวบ้านเรือนข้างเคียงกันได้ยินเช่นนั้นก็พากันพูดว่า “พ่อค้าไปบวชเสียแล้ว”
คนที่เดินผ่านไปมาจึงพูดคุยกันแต่เรื่องพ่อค้าออกบวชแล้วฝ่ายพ่อค้าเจ้าของเรื่อง
หลังจากฟังธรรมเสร็จก็เดินกลับบ้าน ขณะนั้นมีชายคนหนึ่งได้เดินตรงมาจับแขนเขาถามว่า
“ข่าวว่าท่านบวชแล้ว ลูกและเมียของท่านพากันร้องไห้อยู่ที่บ้านมิใช่หรือ”
พ่อค้าไม่พูดอะไรได้แต่คิดว่า เรายังไม่ได้บวชก็มีคนว่าเราบวชแล้ว
ข่าวดีเช่นนี้ไม่ควรให้หายไปไหน ตกลงเราควรจะบวชในวันนี้ละ “
จึงเดินกลับวัดเชตวันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูลเรื่องนั้นแก่พระองค์
หลังจากอุปสมบทได้ไม่นานก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
เพื่อคลายความสงสัยของพวกภิกษุ พระพุทธองค์จึงนำอดีตนิทานมาสาธก ว่า…
     กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วพระโพธิสัตว์เกิดเป็นพ่อค้าในเมืองพาราณสี
มีแม่ยายหูตึงเช่นกัน วันหนึ่งเขาเดินทางไปนอกเมืองด้วยราชกรณียกิจอย่างหนึ่ง
ได้เกิดเรื่องทำนองเดียวกันนี้ขึ้น เมื่อเขากลับเข้าเมืองมาทราบข่าวนั้น
จึงไปทูลลาพระราชาออกบวชด้วยการกล่าวเป็นคาถาว่า
          “ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งชน ในกาลใด บุคคลได้รับสมัญญาว่า
ผู้มีกัลยาธรรมในโลก ในการนั้นนรชนผู้มีปัญญาว่าผู้มีกัลยาณธรรมในโลก
ในกาลนั้นนรชนผู้มีปัญญาไม่ควรให้ตนเสื่อมจากสมัญญานั้นเป็นธุระสำคัญแม้ด้วยหิริ
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งชน สมัญญาว่าผู้มีกัลยาณธรรมในโลกข้าพระองค์ได้รับแล้ว
ในวันนี้ ข้าพระองค์พิจารณาเห็นสมัญญานั้นอยู่ จักขอบวชในวันนี้
เพราะข้าพเจ้าองค์ไม่มีความพอใจในการบริโภคกามคุณในโลกนี้”
          เขาได้บวชเป็นฤาษีอยู่ป่าหิมพานต์จนตลอดชีพ ตายแล้วไปเกิดในพรหมโลก

 
 

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :  คำพูดของผู้คน สามารถชักจูงความคิดของคนให้กระทำความดีความชั่วได้
 

ขอบพระคุณที่มา http://xn--12cr4akjb8ocn.whitemedia.org/%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b8%97%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%8a%e0%b8%b2%e0%b8%94%e0%b8%81-%e0%b8%9a%e0%b8%a7%e0%b8%8a%e0%b9%80%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%b0%e0%b9%81%e0%b8%a1%e0%b9%88%e0%b8%a2/
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: ตุลาคม 08, 2010, 11:10:42 pm »

 :25:

มองแบบนก ไง มองแบบ เบริด อาย วิว  แล้วจะบินแบบนก เบาสบาย เหอ ๆๆๆๆๆ
ข้อความโดย: theerada
« เมื่อ: ตุลาคม 08, 2010, 10:20:31 am »

สิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เป็น  สิ่งที่ได้ยินก็อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นเช่นกัน
 
ดังนั้นไม่ควรตัดสินคนอื่น หันมาปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเองดีกว่า ^^
 
โมทนานะคะ สาธุ ^^
ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: ตุลาคม 08, 2010, 01:00:25 am »

 :13: อนุโมทนาสาธุครับ พี่น้ำฝน พี่เล็ก^^
ข้อความโดย: ดอกไม้ในที่ลับตา ~ ღ
« เมื่อ: ตุลาคม 07, 2010, 08:47:47 pm »

 
 
  :13: .. อนุโมทนาสาธุนะคะ.. สำหรับเราแล้ว ไม่ใช่นิทานค่ะ แต่เป็นสิ่งที่เจอมากับตัว (ประสบการณ์ชีวิตช่วงหนึ่งที่ไม่นานมานี้) เพียงแต่เราไม่โชคดี เหมือนลูกศิษย์ของอาจารย์ท่านนั้นเท่านั้นเองค่ะ...  :27:   ..แต่ ก็ยังโชคดีที่เราผ่านทุกอย่างมาได้ ด้วย ความเข็มแข็ง อดทน และ กำลังใจ จากคนรอบข้างที่รู้จริง และ จากสิ่งที่เรียกว่า จุดยืนมั่นคง ในความดี และ ชัดเจนความเป็นตัวของตัวเอง .. โดยไม่เกรงในสิ่งที่ถูกครหา ไม่เกรงคำพิพากษาจากศาลเตี้ยในโลกไซเบอร์..ที่พวกเขาและเธอ มักตัดสินใครๆแค่ ภายนอก ..
 
 
คนส่วนมาก มักชอบตัดสินอะไรที่ยังไม่ทันได้รู้จัก/รู้ข้อเท็จจริง แค่จากสิ่งที่ตาเห็น คนอื่นเล่า เขาลือ หรือประโยคบางประโยคที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมดที่ได้ยินมากับหู ... ตลอดจนถึงหลักฐานอะไรก็แล้วแต่ ตนได้เจอ หรือ มีคนนำมาอ้าง ...แต่ใครจะรู้บ้าง ว่า .. บางอย่างที่เห็น ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด  ... สิ่งที่อยู่เบื้องลึกเบื้องหลังทั้งหมด ถูกกำหนดตัดสินด้วยความจริงเท็จที่อยู่เบื้องหน้าของผู้พิพากษาที่ตั้งตนเป็นศาลเตี้ย  :35: .. ทำให้ทุกวันนี้ มีหลากหลายคดี และเรื่องราวในโลก ที่ถูกปูนแห่งมายาลวงตาโบก ทับ ความจริงแท้ไว้ .... กว่า ที่บางครั้ง หลายคนจะเข้าใจ ว่าอะไร คือ อะไร ... ใครคนหนึ่งซึ่งต้องตกเป็นจำเลย เพราะความเคยชินของการมองคนแค่ภายนอก อาจไม่มีโอกาสได้ บอก../หายใจ อยู่ บนโลกใบเดียวกันกับคนที่พิพากษาเค้าแบบไร้ฟังคำอุทรณ์...นิรันดร ก็เป็นได้ค่ะ ..  :26:  .... :22:
 
 
 
 
 
    ขออภัยฯ .. อะไรบางอย่าง สำหรับคอมเม้นท์นี้ไว้ ณ.ที่นี้ด้วยค่ะ .. :07:
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ข้อความโดย: lek
« เมื่อ: ตุลาคม 07, 2010, 07:58:16 pm »

สิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เป็น

--------------------------------------------------------------------------------
คนที่ยิ้ม...แทนที่จะโกรธ
คือคนที่...เข้มแข็งกว่า...เสมอ


ในอดีตนานมาแล้ว นักปราชญ์ท่านหนึ่งเดินทางท่องเที่ยวแสวงหาความรู้
กับลูกศิษย์กลุ่มหนึ่ง ขณะที่เดินทางผ่านแคว้นๆหนึ่ง ซึ่งกำลังเกิดสงคราม
จึงทำให้เกิดข้าวยากหมากแพง หาเสบียงอาหารไม่ค่อยจะได้

หลังจากที่ขาดอาหารผ่านไปถึงเจ็ดวัน ลูกศิษย์คนหนึ่งซื้อข้าวสารมาได้บ้าง
จึงรีบนำข้าวสารไปหุง ขณะที่ข้าวกำลังจะสุก นักปราชญ์ท่านนั้นเห็นลูกศิษย์
เปิดฝาแล้วหยิบข้าวใส่ปาก ท่านแกล้งทำเป็นไม่เห็น และไม่ถามอะไร

เมื่อข้าวสุกแล้ว ลูกศิษย์จึงเรียกนักปราชญ์นั้นไปทานข้าว ท่านพูดขึ้นว่า

"เมื่อกี้ ข้าฝันเห็นปรมาจารย์มาหา ข้าอยากจะนำข้าวที่ยังไม่มีใครได้กินก่อน
มาเซ่นไหว้ท่านสักถ้วย"

"ไม่ได้ ข้าวหม้อนี้เมื่อกี้ข้าพเจ้ากินไปหนึ่งคำ นำมาเซ่นไหว้ไม่ได้แล้ว"

"ทำไมล่ะ?" นักปราชญ์ถาม

"เมื่อกี้ขณะที่ข้าวกำลังจะสุก เผลอทำขี้เถ้าหล่นลงไปหน่อย จะตักทิ้งก็
เสียดาย ก็เลยตักกิน ไม่ได้มีเจตนาที่จะกินเองก่อน" ลูกศิษย์ตอบ

นักปราชญ์ท่านนั้นรู้สึกเสียใจที่เข้าใจลูกศิษย์ผิด และรู้สึกละอายใจ พร้อมกับ
เอ่ยขอโทษว่า "ปกติข้าเคยไว้ใจเจ้ามากที่สุด แต่ก็ยังคงคลางแคลงใจเจ้า
แสดงว่าในใจข้าไม่มั่นคง ตัดสินใจแค่จากความคิดของตนเอง แล้วบางทียังผิดพลาด

พวกเจ้าต้องจำไว้
การจะเข้าใจคนๆหนึ่ง ไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายๆ เมื่อพบกับเรื่องใดๆ
ควรจะพิจารณาไตร่ตรองหลายๆด้านให้รอบคอบ มุมมองของตนเองเป็นเพียง
ด้านใดด้านหนึ่ง เป็นความจริงเพียงด้านหนึ่งเท่านั้น การจะตัดสินเรื่องใดเพียง
ด้านเดียว ไม่สามารถตัดสินเรื่องทั้งหมดได้"