ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
ท่านจะปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อตกลงของเว็บใต้ร่มธรรมทุกประการหรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
พิมพ์คำว่า (แสงธรรมนำทางธรรมะนำใจ) ครับ:
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: magicmo
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2012, 04:52:57 pm »

ขอบคุณนะคับ
ข้อความโดย: โทนาล
« เมื่อ: เมษายน 29, 2011, 04:19:20 pm »

น่าจะมีเว็บต่างประเทศที่ให้โหลดน่ะ  เว็บหนังสือออนไลน์น่ะ   
เอามาแปลคนละหน้าดีไหมครับ มดX 
แปลเอง อ่านเองไปเลย  :25:   ตนละ 300 หน้าเอง 
(ปล. งานนี้มีฮาแน่   ภาษาไทยแปลไทยยังไม่รอด  ให้แปลภาษาอังกฤษอีก  ) 

 :12:

ลองเปิดดู  มีให้เลือกหลายตัว  บางเรื่อง(ไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้) ก็มีแต่พิมพ์ขาด ๆ เกิน ๆ 
http://ebookbrowse.com/carlos-castaneda-05-the-second-ring-of-power-doc-d5759366
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: เมษายน 28, 2011, 08:17:12 pm »

ครับ  แล้วถามอีกว่า   ที่เอามาลงเนี่ย  ครบเหมือนตัวตันหนังสือแปลหรือเปล่า  ครบถ้วนไหม
(ผมช่างสงสัยเหมือนคาร์ลิตอสไหมครับ"
ช่วยเอามาลงให้อีก 3 ตอนเถอะ  ผมอยากอ่านมาก   ไม่อ่านแล้วโทนาลในตัวมันกระเจิงครับ

หยุดโลก บทเรียนจากดอนฮวน : ๑๘. วงแหวนของหมอผี
http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5648.0.html

หยุดโลก บทเรียนจากดอนฮวน : ๑๙. หยุดโลก
http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5649.0.html

หยุดโลก บทเรียนจากดอนฮวน : ๒๐. จาริกสู่อิกซท์แลน
http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5650.0.html

 :06: ลงให้แล้ว นะ

หนังสือ หยุดโลก เท่าที่ทราบ ที่เจอ แปลเป็นไทย แค่ 2 เล่มเอง ผมหาอยู่เหมือนกัน
ที่เหลือ เป็น อังกฤษ ยังไม่ได้แปลเลย อยาก อ่าน ภาคที่เหลือ เหมือนกัน ในอนาคต จะมีใครแปลให้อ่านไหมนี่  :27:




ข้อความโดย: โทนาล
« เมื่อ: เมษายน 28, 2011, 04:59:38 pm »

รายชื่อหนังสือของ  คาร์ลอส  คาสตาเนด้า

- The Teaching of Donjuan : A Yaqui way of knownledge. [1968]
-A Separate Reality : Further conversation with Don Juan.
- Journey  to Lxtlan :  the les sond of Don Juan.[1972]
(แปลไทยในเรื่อง "หยุดโลก" )
- Tales of power.[1974]
(แปลเป็นไทย " วิถีแห่งพลัง" หนทางฯลฯ)
-The Second Ring of power[1977]
- The Eagle's Gift.[1981]
- The Fire from withim.[1984]
- The power of Silence : Fur ther Lessons of Don Juan.[1987]
- The Art of Dreaming. [1993]

ผมพิมพ์มาจากด้านหลังปกเล่ม "วิถีแห่งพลัง" นะครับ  สงสัยว่า  ถัดจากรายชื่อน่าจะเป็นเล่ม 4  แล้ว... เล่มถัด ๆ มาละครับ?   เป็นภาคต่อใช่ไหม  จะหาอ่านได้ยังไง  มีสำนักพิมพ์ไทยแปลไว้หรือเปล่า
หรือว่าหยุดอยู่แค่เล่มนี้เพียง 2 ภาค 

ข้อความโดย: โทนาล
« เมื่อ: เมษายน 28, 2011, 04:42:09 pm »

ครับ  แล้วถามอีกว่า   ที่เอามาลงเนี่ย  ครบเหมือนตัวตันหนังสือแปลหรือเปล่า  ครบถ้วนไหม
(ผมช่างสงสัยเหมือนคาร์ลิตอสไหมครับ"
ช่วยเอามาลงให้อีก 3 ตอนเถอะ  ผมอยากอ่านมาก   ไม่อ่านแล้วโทนาลในตัวมันกระเจิงครับ
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: เมษายน 27, 2011, 09:15:05 pm »

ฮ่า ๆๆๆๆ มีอีก  3 บทสุดท้ายยยยย ลืมลง มัวแต่ไป ปั่นกระทู้ ที่อื่นอยู่ ลงละกัน  :45:
ข้อความโดย: โทนาล
« เมื่อ: เมษายน 27, 2011, 05:08:34 pm »

 :39:
ขอบคุณครับ   มีทั้งหมด 17 ตอนใช่ไหมครับ
ผมไม่ได้อ่าน หยุดโลก เพราหาซื้อไม่ได้  และขอบคุณที่นำมาให้อ่าน  จึงอยากรู้ว่ามันจบแค่ตอนที่ 17 ใช่ไหม
ผมอ่าน วิถีแห่งพลัง เล่ม 2 ครับ
ชอบดอนฮวนและดอนเกเนโรมาก   อ่านแล้วซาบซึ้งใจจนบอกไม่ถูก  ได้หาซท้อมาอ่านแล้วเก็บไปข้างๆ หิ้งพระเลยละครับ 
ตอบอีเมลล์มาก็ได้นะครับ  ผมมาใหม่
ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: ธันวาคม 21, 2010, 10:03:06 pm »

:13:  ขอบคุณครับพี่มด อนุโมทนาครับผม
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: ธันวาคม 21, 2010, 04:16:28 pm »





พุธที่ ๑๒ ธันวาคม ๑๙๖๒

                ตอนที่ผมมาถึงชุมนุมชนของชาวอินเดียนแดงเผ่ายาคีนั้น เจ้าของร้านชำชาวเม็กซิกันบอกกับผมว่า เขาเช่าเครื่องเล่นแผ่นเสียงอีก ๒๐ แผ่นจากร้านขายของเบ็ดเตล็ดใน ซินดัด โอเบรกอน มาเพื่อเล่นใน "งานรื่นเริง"(งานฉลอง, fiesta-ผู้แปล) ที่เขาตั้งใจจัดขึ้น ในคืนนั้นเพื่อเป็นเกียรติแก่แม่พระแห่งควาดาลูเป เจ้าของร้านบอกกับทุกคนว่า เขาจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นต่างๆ เหล่านี้ผ่านทางจูลิโอพ่อค้าเร่ผู้มายังหมู่บ้านของชาวอินเดียนแดงเผ่ายาคีเดือนละสองครั้งเพื่อรับเงินส่งงวด จากการขายสินค้าผ่อนส่งจำพวกเสื้อผ้าราคาถูก จูลิโอประสบผลสำเร็จในการค้าขายกับชาวอินเดียนแดงเผ่ายาคีพอสมควร

                จูลิโอเอาเครื่องเล่นแผ่นเสียงมาให้ตั้งแต่ตอนบ่าย แล้วต่อเข้ากับเครื่องปั่นไฟที่มีในร้าน เขาทดลองดูก่อนว่ามันใช้งานได้ต่อมาเขาหมุนปุ่มเร่งเครื่องมาที่จุดดังเต็มที่ และเตือนไม่ให้เจ้าของร้านแตะที่ปุ่มใดๆ อีก แล้วหันมาเลือกแผ่นเสียงให้เป็นหมวดหมู่
                "ผมรู้ว่าแผ่นเสียงแต่ละแผ่น มีรอยขีดข่วนมากน้อยขนาดไหน" จูลิโอบอกกับเจ้าของร้าน
                "บอกกับลูกสาวของผมสิ" เจ้าของร้านตอบ
                 "คุณนั่นแหละต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ลูกสาวของคุณ"
                 "ก็เหมือนกันนั่นแหละ เพราะเธอคนเดียวเท่านั้นที่จะเป็นผู้เปลี่ยนแผ่นเสียง"

                จูลิโอคงยืนกรานต่อไปอีกว่า ไม่สำคัญเลยว่า ลูกสาวเจ้าของร้าน หรือใครอื่นอีก จะเป็นผู้มาคุมเครื่องเล่นแผ่นเสียง ตราบใดที่เจ้าของร้านจะจ่ายเงินทดแทนสำหรับแผ่นเสียงที่ชำรุด เจ้าของร้านเริ่มออกปากเถียง
จูลิโอหน้าแดงขึ้นมา เขาหันมาทางชาวอินเดียนแดงเผ่ายาคีกลุ่มใหญ่ที่มาออกันอยู่หน้าร้านเป็นครั้งคราว แล้วทำท่าทางหมดหวังหรือไม่ก็หัวเสียด้วยการโบกไม้มือแล้วย่นหน้าบอกบุญไม่รับ
                จูลิโอเรียกเอาเงินมัดจำราวกับว่านี่จะเป็นความหวังครั้งสุดท้าย การพูดเช่นนี้ยิ่งยั่วยุให้เกิดการโต้คารมอยู่นานเกี่ยวกับลักษณะเช่นไรบ้าง จึงจะชี้ออกมาได้ว่าแผ่นเสียงนั้นชำรุด จูลิโอประกาศออกมาอย่างวางอำนาจว่า แผ่นเสียงแผ่นใดที่แตกจะต้องจ่ายคืนเต็มราคา เท่ากับแผ่นเสียงใหม่ เจ้าของร้านโมโหยิ่งขึ้น แล้วเริ่มดึงสายต่อไฟจากเครื่องไฟของแกออก แกทำท่าจะก้มลงไปถอดที่เสียบไฟของเครื่องเล่นแผ่นเสียงออกแล้วบอกเลิกงานครั้งนี้เสีย แกแสดงกับพวกลูกค้าที่มาชุมนุมอยู่แถวหน้าร้านของแกว่า แกพยายามอย่างที่สุดแล้วที่จะประนีประนอมกับจูลิโอ ตอนนี้งานทำท่าจะล้มก่อนที่จะเริ่ม

                บลาส ชายชราชาวอินเดียนแดงที่ผมพักอยู่ด้วยให้ความเห็นด้วยเสียงอันดังอย่างสาดเสียเทเสีย กล่าวอ้างถึงสภาพอันน่าสลดใจของชาวยาคี ที่ไม่อาจแม้แต่จะฉลองในงานนักขัตฤกษ์ทางศาสนาของพวกเขา คือวันของแม่พระแห่งควาดาลูเป
                ผมอยากจะเข้าไปสอดแทรกและยื่นมือเข้าช่วย แต่บลาสยั้งผมเอาไว้ บลาสบอกว่าถ้าผมวางเงินมัดจำไว้แล้วละก้อ เจ้าของร้านชำนั่นแหละจะทุบแผ่นเสียงให้แตกหมดทุกแผ่น
                "มันเลวกว่าใครหมด" บลาสบอก "ให้มันวางเงินมัดจำเอง มันขูดเลือดขูดเนื้อเราซิบๆ แล้วทำไมมันจะจ่ายบ้างไม่ได้"

                หลังจากที่ได้ถกเถียงกันอยู่นาน ซึ่งก็แปลกดีเหมือนกันที่ทุกคนที่อยู่ที่นั่นเข้าข้างจูลิโอ แล้วเจ้าของร้านก็มาถึงบทประนีประนอมที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ เจ้าของร้านไม่ต้องวางเงินมัดจำ แต่ยอมรับผิดชอบในเครื่องเล่นแผ่นเสียงและแผ่นเสียงทั้งหมด

                รถมอเตอร์ไซค์ของจูลิโอวิ่งฝุ่งคลุ้งออกไป ขณะที่เขามุ่งหน้าไปสู่บ้านเรือนที่อยู่รอบนอกในแถบนั้น
                บลาสบอกว่าจูลิโอต้องไปพบกับลูกค้า ก่อนที่คนเหล่านั้นจะพากันมาที่ร้านขายของชำแล้วจ่ายเงินที่มีอยู่ทั้งหมดให้กับน้ำเมา ขณะที่บลาสพูดเช่นนั้นชาวอินเดียนแดงกลุ่มหนึ่งก็พากันโผล่ออกมาจากหลังร้าน บลาสมองดูแล้วหัวเราะ คนอื่นๆ ที่อยู่ที่นั่นก็หัวเราะด้วย
                บลาสบอกว่าชาวอินเดียนแดงเหล่านี้เป็นลูกค้าของจูลิโอ และพากันซ่อนอยู่หลังร้านเพื่อคอยดูว่าเมื่อไรจูลิโอจึงจะออกไป

                งานปาร์ตี้เริ่มแต่หัวค่ำ ลูกสาวของเจ้าของร้านหยิบแผ่นเสียงมาวางบนจานแล้วเอาหัวเข็มวางลงไปมีเสียงดังวื้ดๆ แสบแก้วหูแล้วตามมาด้วยเสียงหึ่งๆ ต่อมาเป็นเสียงเป่าทรัมเป็ดและเสียงกีตาร์
                งานนี้มีเพียงการเปิดแผ่นเสียงให้ดังเต็มที่ มีชายหนุ่มชาวเม็กซิกันสี่คนเต้นรำกับลูกสาวสองคนของเจ้าของร้านชำ และผู้หญิงชาวเม็กซิกันอีกสามคน ชาวอินเดียนแดงเผ่ายาคีไม่เต้นรำ พวกเขาพอใจอยู่กับการมองดูการเต้นรำของคนอื่น และดูเหมือนจะสนุกในการดูและดื่มเหล้าตะกีล่าราคาถูกๆ เท่านั้น

                ผมซื้อเหล้าให้กับคนทุกคนที่ผมรู้จัก เพราะอยากจะเลี่ยงจากความรู้สึกไม่พอใจต่างๆ ที่อาจจะมีขึ้น ผมเดินเวียนไปเวียนมาในหมู่ชาวอินเดียนแดง พูดคุยกับพวกเขา แล้วซื้อเหล้าให้กิน ผมทำอย่างนี้จนในที่สุดก็ถูกจับได้ว่าผมไม่ดื่มเอาเลย นั่นทำให้ทุกคนหงุดหงิดขึ้นมาในทันที มันเหมือนกับทุกคนพบว่า ผมไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของที่นั่น พวกชาวอินเดียนแดงเริ่มเมาแล้วมองมาทางผมอย่างเหยียดหยาม
                พวกที่เป็นชาวเม็กซิกันซึ่งเมาพอๆ กับชาวอินเดียนแดงก็รู้ขึ้นมาพร้อมๆ กันอีกแหละว่าผมไม่ออกเต้นรำเอาเลย นั่นก็ดูจะเป็นการดูถูกคนเหล่านี้มากยิ่งขึ้น
                ชายคนหนึ่งจับที่แขนของผมอย่างแรงแล้วลากผมไปใกล้เครื่องเล่นแผ่นเสียง อีกคนหนึ่งรินเหล้าตะกีล่าจนเต็มแก้ว แล้วให้ผมดื่มรวดเดียวเพื่อพิสูจน์ว่าผมเป็น "ลูกผู้ชาย"

                ผมพยายามที่จะล่อหลอกพวกเขา และหัวเราะเซ่อๆ ออกมาราวกับว่าผมพอใจสภาพที่เป็นอยู่นั้นของตัวเองจริงๆ ผมบอกว่าผมจะเต้นรำก่อนแล้วถึงจะดื่ม ชายหนุ่มคนหนึ่งตะโกนบอกชื่อเพลงออกไป หญิงสาวคนที่ทำหน้าที่เปิดแผ่นเสียงลงมือค้นหาแผ่นที่ต้องการ เจ้าหล่อนเมาเล็กน้อย แม้ว่าจะไม่มีหญิงสาวคนใดดื่มอย่างเปิดเผยและหญิงสาวคนนั้นก็วางแผ่นเสียงลงไปในจานหมุนไม่ค่อยจะถูก ชายหนุ่มคนหนึ่งบอกว่าแผ่นเสียงที่หล่อนเลือกมานั้นไม่ใช่จังหวะทวิส หญิงสาวจึงเลือกหาแผ่นเสียงในกองอย่างเงอะงะเพื่อให้ได้แผ่นที่ต้องการ ทุกคนรุมเข้ามารอบๆ ตัวหญิงคนนั้นและละผมไว้คนเดียว นั่นทำให้ผมมีเวลาพอที่จะวิ่งออกไปจากบริเวณที่สว่างโร่มาทางหลังร้านหลบหนีไปได้

                ผมยืนอยู่ในความมืดจากเงาของพุ่มไม้ห่างจากสถานที่นั้นประมาณ ๓๐ หลาเพื่อตกลงใจว่าจะทำอะไรต่อไป ผมคิดว่าสมควรแก่เวลาแล้วที่จะไปยังรถที่จอดไว้แล้วกลับบ้านเสีย ผมเริ่มออกเดินไปยังบ้านของบลาส ผมจอดรถไว้ที่นั่น และคิดว่าถ้าหากผมขับช้าๆ ก็คงจะไม่มีใครสังเกตว่าผมหลบหนีไป
                 เห็นได้ชัดว่าคนที่ทำหน้าที่เปิดแผ่นเสียงยังหาแผ่นที่ต้องการไม่พบ แต่ในขณะต่อมาก็มีเสียงเพลงจังหวะทวิสดังก้องขึ้นมาแทน ผมหัวเราะออกมาดังๆ คิดเดาเอาว่าคนเหล่านั้นคงจะหันมาดูตรงที่ผมยืนอยู่เพียงเพื่อจะพบว่าผมหายตัวไปเสียแล้ว

                ผมมองเห็นเงาดำของคนที่กำลังเดินสวนทางมาเพื่อไปยังร้านขายของ เราเดินสวนกัน และพวกเขาพึมพำออกมาว่า "บายนัส นอเชส"(Buenes noches:ราตรีสวัสดิ์-ผู้แปล) ผมจำคนเหล่านั้นจึงพูดทักทาย ผมบอกพวกเขาว่างานปาร์ตี้ครั้งนี้ยิ่งใหญ่มาก
                ก่อนที่ผมจะเดินมาถึงเลี้ยวมุมถนนผมพบกับชายอีกสองคน ผมจำสองคนนี้ไม่ได้แต่ผมก็กล่าวคำทักทาย เสียงอันแสบแก้วหูของเครื่องขยายเสียงที่ท้องถนนดังพอๆ กับที่หน้าร้านขายของชำ คืนนั้นทั้องฟ้ามืดไร้ดาว แต่แสงไฟจากร้านขายของทำให้ผมมองเห็นสิ่งที่อยู่รอบตัวได้พอสมควร บ้านของบลาสอยู่ใกล้นิดเดียว และผมเร่งฝีเท้า
                ขณะนั้นเองผมเห็นเงาดำของคนอีกคนหนึ่งกำลังนั่งหรือคู้ตัวอยู่ทางซ้ายมือตรงมุมถนนพอดี ผมคิดว่านั่นคงจะเป็นใครสักคนหนึ่งที่ออกมาจากงานก่อนผม ดูเหมือนเขากำลังนั่งถ่ายทุกข์อยู่ข้างถนน ซึ่งออกจะเป็นเรื่องประหลาดมาก เพราะคนที่อยู่ในแถบนั้นจะไปทำธุระกันหลังพุ่มไม้ ผมคิดว่าคนที่อยู่ข้างหน้าของผมนั้นต้องเมาเหล้าอย่างแน่นอน

                ผมเดินมาถึงมุมถนนแล้วกล่าวว่า "บายนัส นอเชส" ออกมา คนคนนั้นตอบเป็นเสียงหอนที่โหยหวน แหบห้าวไม่ใช่เสียงของมนุษย์ ผมขนลุกชันไปทั้งตัวและถึงกับเปลี้ยไปครู่หนึ่ง
                ต่อมาผมเร่งฝีเท้าขึ้นแล้วเหลือบดูแวบหนึ่ง ผมมองเห็นเงาดำนั้นโหย่งตัวขึ้นครึ่งร่าง มันเป็นผู้หญิง เธอโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วเดินในท่านั้นประมาณสองสามหลาแล้วเริ่มกระโดด ผมออกวิ่งขณะที่ผู้หญิงคนนั้นกระโดดเหมือนกับนกเคียงคู่ไปกับผมในความเร็วเท่ากัน เมื่อผมมาถึงบ้านของบลาสนั้นเธอกระโดดตัดหน้าผมไป ตัวของเราเกือบจะสัมผัสกัน

                ผมกระโจนข้ามคูที่แห้งน้ำหน้าบ้านของบลาสแล้วหล่นโครมทับประตูบ้านที่บอบบาง
                บลาสอยู่ในบ้านแล้วในตอนนั้น ดูเหมือนบลาสจะไม่สนใจเรื่องที่ผมเล่าเอาเลย
                "คนพวกนั้นหาคนเก่งทีเดียวมาหลอกคุณ" แกพูดอย่างมั่นใจ "ชาวอินเดียนแดงมักหาความสนุกโดยการเย้าหยอกชาวต่างประเทศ"

                สิ่งที่ผมประสบมานั้นทำให้ผมประสาทเสียจนผมต้องขับรถไปหาดอนฮวนในวันต่อมาแทนที่จะกลับบ้านดังที่คิดเอาไว้เดิม
                ดอนฮวนกลับมาเมื่อเวลาบ่ายมากแล้ว ผมไม่ยอมให้แกพูดอะไรออกมาแต่โพล่งเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นรวมทั้งข้อสังเกตของบลาส สีหน้าของดอนฮวนสลดลง บางทีนั่นอาจจะเป็นเพราะตาของผมเชือนแชไปก็ได้ แต่ผมคิดว่าแกมีความวิตกอยู่ไม่น้อย
                "อย่าเชื่อในสิ่งที่บลาสพูดมากนัก" ดอนฮวนบอกด้วยเสียงเครียด "บลาสไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างหมอผี
                "คุณน่าจะทราบว่ามีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นในขณะที่คุณมองเห็นเงาดำที่อยู่ทางซ้ายมือของคุณและคุณไม่ควรจะวิ่งหนีด้วย"
                "แล้วผมควรจะทำอย่างไรล่ะ ยืนอยู่ตรงนั้นน่ะรึ"
                "ใช่ เมื่อนักรบเผชิญหน้ากับคู่ปรปักษ์ และคู่ปรปักษ์คนนั้นไม่ใช่คนธรรมดา เขาจะต้องยืนตั้งหลัก นั่นเป็นการกระทำอันเดียวที่ทำให้นักรบเป็นผู้ที่ไม่อาจทำลายลงได้"

                "คุณพูดอะไรอยู่ดอนฮวน"
                "ผมกำลังพูดว่า คุณเผชิญหน้ากับปรปักษ์ที่คู่ควรกับคุณเป็นครั้งที่สามแล้ว ในขณะที่คุณอ่อนแอลงนั้นเธอติดตามคุณไป คราวนี้เธอเกือบจะรวบตัวของคุณเอาไว้ได้ทีเดียวแหละ"

                ผมเกิดวิตกขึ้นมา และกล่าวหาดอนฮวนว่าเป็นผู้ที่ทำให้ผมอยู่ในสภาวะที่มีอันตรายโดยไม่จำเป็น ผมโอดครวญว่า วิธีการของแกโหดร้ายทารุณมาก
                "มันน่าจะโหดร้ายจริงถ้าสิ่งนี้เกิดกับคนธรรมดา" แกพูด "แต่เมื่อใดที่คุณเริ่มจะใช้ชีวิตอย่างนักรบคุณก็ไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น แต่ก่อนผมไม่หาปรปักษ์ที่คู่ควรกับคุณให้เพราะว่าผมอยากจะเล่นกับคุณ อยากจะเย้าแหย่หรือทำความรำคาญให้กับคุณบ้าง แต่ปรปักษ์ที่คู่ควรนั้นจะลงปฏักให้คุณพุ่งไปข้างหน้า จากอิทธิพลของปรปักษ์อย่าง 'ลา คาธาริน่า' นี้อาจจะทำให้คุณใช้กลวิธีทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมสอนคุณไว้ คุณไม่มีทางเลือกอย่างอื่นเลย"

                เราเงียบกันไปครู่หนึ่ง คำพูดของดอนฮวนปลุกให้ผมหวั่นวิตกขึ้นมาอย่างมาก
                ต่อมาแกต้องการให้ผมเลียนเสียงร้องที่ผมได้ยินหลังจากที่ผมทักว่า "บายนัส นอเชส" ให้ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่จะทำได้
                ผมพยายามทำเสียงหอนที่น่าขนหัวลุกนั้นออกมา ดอนฮวนคงเห็นว่าเสียงที่ผมทำออกมานั้นน่าขำมาก แกจึงหัวเราะออกมาอย่างยั้งเอาไว้ไม่ได้

                หลังจากนั้น แกบอกให้ผมลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเช่นระยะทางที่ผมวิ่ง ระยะห่างระหว่างผู้หญิงคนนั้นกับผมขณะที่เราพบกันในตอนแรก และระยะห่างระหว่างเธอกับผมเมื่อเรามาถึงตัวบ้าน รวมทั้งจุดที่เธอเริ่มกระโดด
                "ไม่มีผู้หญิงชาวอินเดียนแดงร่างอ้วนกระโดดได้อย่างนั้นหรอก" ดอนฮวนพูดออกมาเมื่อได้ประเมินดูรายละเอียดต่างๆ แล้ว "พวกเธอไม่สามารถแม้แต่จะวิ่งให้ได้ไกลถึงขนาดนั้น"

                แกให้ผมลองกระโดดดู แต่ละครั้งผมกระโดดได้ไม่เกิน ๔ ฟุต และถ้าหากประสาทรับรู้ของผมไม่ผิดพลาดแล้วละก้อ ผู้หญิงคนนั้นกระโดดได้ครั้งละ ๑๐ ฟุตทีเดียว
                "แน่ละ นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปคุณรู้ตัวดีแล้ว ว่าคุณต้องระมัดระวังตัว" ดอนฮวนพูดด้วยน้ำเสียงที่บ่งว่าเป็นการรีบด่วน "ผู้หญิงคนนั้นจะใช้ความพยายามที่จะแตะที่ไหล่ซ้ายของคุณในคราวที่คุณขาดสติและอ่อนแอลง"
                "ผมควรจะทำอย่างไรล่ะ ดอนฮวน"
                "ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะบ่น" แกตอบ "สิ่งสำคัญนับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป เป็นแห่งการประลองยุทธเพื่อชีวิตของคุณ"

                ผมไม่มีสมาธิที่จะฟังสิ่งที่ดอนฮวนพูดเอาเลย ผมจดบันทึกโดยอัตโนมัติ
                 หลังจากที่นิ่งเงียบไปนานแกถามผมว่า ผมรู้สึกเจ็บที่หลังใบหูหรือที่ต้นคอบ้างหรือไม่ ผมตอบว่าไม่ แกบอกว่าถ้าผมรู้สึกเจ็บตรงจุดสองจุดนั้นก็หมายความว่า ผมเซ่อซ่าเอามากๆ จน 'ลา คาธาริน่า' ทำร้ายผมได้
                "ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำลงไปในคืนนั้นโง่เขลามาก" แกพูด "ในข้อแรก คุณไปร่วมงานปาร์ตี้เพื่อฆ่าเวลา ราวกับว่าคุณมีเวลามากพอที่จะทำให้เสียไปเปล่าๆ นั่นทำให้คุณอ่อนแอลง"
                 "หมายความว่าผมไม่ควรจะไปร่วมงานรื่นเริงใดๆ อย่างนั้นสิ"
                "ไม่หรอก ผมไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น คุณจะไปที่ไหนก็ได้ตามที่คุณต้องการ แต่ถ้าหากคุณไปที่นั่น คุณต้องรับผิดชอบอย่างเต็มที่ในกระทำนั้น นักรบใช้ชีวิตอย่างมียุทธวิธี นักรบจะไปร่วมในงานรื่นเริงหรืองานพบปะสังสรรค์อย่างใดอย่างหนึ่งก็ต่อเมื่อยุทธศิลปะที่เขามีอยู่นั้นบอกว่าเข้าไปร่วมได้ แน่นอน นั่นก็หมายถึงว่า เขาควรอยู่สภาพที่ควบคุมตัวเองได้และจะกระทำสิ่งต่างๆ ลงไปเท่าที่เขาเห็นว่าจำเป็นเท่านั้น"
                แกเพ่งเขม็งมาที่ผมแล้วยิ้ม ต่อมาแกยกมือขึ้นปิดหน้าพร้อมกับหัวเราะหึๆ ออกมาเบาๆ

                "คุณอยู่ในสภาวะผูกพันที่น่ากลัวมาก" แกพูด "คู่ปรปักษ์ของคุณกำลังแกะรอยคุณอยู่ และนับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่คุณจะกระทำอะไรลงไปอย่างอีรุงตุงนังต่อไปไม่ได้อีกแล้ว คราวนี้ คุณต้องเรียนรู้ การกระทำ ในลักษณะที่แตกต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง นั่นก็คือ การกระทำ อย่างมียุทธวิธี ให้คิดในลักษณะนี้ก็แล้วกันว่าถ้าหากคุณเอาตัวรอดปลอดภัยจากการตามล่าชีวิตของ 'ลา คาธาริน่า' แล้ว สักวันหนึ่งคุณจะต้องขอบคุณเธอที่มาบีบบังคับให้คุณเปลี่ยนแปลง การกระทำ ของคุณ"
                "แหมพูดเสียน่ากลัว!" ผมอุทานออกมา "แล้วถ้าผมไม่รอดกลับมาล่ะ"

                "นักรบไม่เคยเอาใจใส่กับความคิดชนิดนั้น" แกพูด "เมื่อเขาต้องกระทำกับเพื่อนมนุษย์ นักรบจะทำตาม การกระทำ อย่างมียุทธวิธี และในการกระทำดังกล่าวจะไม่มีคำว่า แพ้หรือชนะ ใน การกระทำ ชนิดนี้จะมีเพียงการกระทำเท่านั้น"
                 ผมถามแกว่า การกระทำ อย่างมียุทธวิธีที่แกกล่าวถึงนั้นมีลักษณะอย่างไรบ้าง
                "การกระทำ อย่างมียุทธวิธีมีคุณลักษณะอยู่ว่า คุณจะไม่วิงวอนขอความเมตตาสงสารจากผู้ใด" แกตอบ "ยกตัวอย่างของงานรื่นเริงที่ผ่านมานั้นคุณเป็นตัวตลก นั่นไม่ใช่เพราะงานนั้นทำให้คุณเป็นตัวตลกขึ้นมา แต่เพราะว่าคุณยอมให้ตัวเองอยู่ภายใต้ความเมตตาของคนเหล่านั้น คุณไม่เคยมีอำนาจแห่งความยับยั้งชั่งใจเอาเลยและดังนั้นเองที่คุณวิ่งหนีพวกเขา "
                "ผมควรจะทำอย่างไรล่ะงั้น"
              "อย่าไปที่นั่นเสียเลย หรือไม่เช่นนั้นก็ไปที่นั่นเพื่อกระทำอะไรเป็นพิเศษออกไป... "พลังของคุณอ่อนแอลงเมื่อยอมให้หนุ่มสาวเม็กซิกันเหล่านั้นข่มขู่เอาได้ และ 'ลา คาธาริน่า' ได้ฉวยเอาโอกาสอันนี้ ดังนั้นเธอจึงมาดักคุณอยู่ตรงหัวถนน...

                 "อย่างไรก็ตามร่างกายของคุณรู้ว่ามีสิ่งหนึ่งที่ผิดปกติ แต่ทั้งๆ ที่รู้คุณยังพูดกับเธอ นั่นร้ายกาจมาก คุณต้องไม่เปล่งคำพูดออกมาแม้แต่คำเดียวกับคู่ปรปักษ์ในการเผชิญหน้ากันเช่นนี้ ต่อมาอีก คุณหันหลังให้เธอ นั่นยิ่งเลวร้ายลงไปอีก และคุณวิ่งหนีเธอ นี่เป็นสิ่งที่ร้ายกาจที่สุดที่คุณได้ทำลงไป! เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนั้นงุ่มง่ามอยู่ไม่น้อย หมอผีที่มีค่าควรกับการเป็นหมอผีนั้นน่าจะขยี้คุณลงไปในที่ตรงนั้นเสียทีเดียว ขยี้ให้แหลกลงไปในขณะที่คุณหันหลังให้แล้ววิ่งหนีนั่นแหละ... มาถึงตรงนี้ การป้องกันตัวสำหรับคุณมีอยู่วิธีเดียวเท่านั้นคือ ยืนปักหลักอยู่ตรงนั้นแล้วเต้นรำ"
                "การเต้นรำชนิดไหนล่ะที่คุณพูดถึง" ผมถาม ดอนฮวนบอกว่า
                 "ท่ากระทืบเท้าของกระต่าย" ที่แกเคยสอนผมไว้นั่นแหละที่เป็นการเต้นรำท่าแรกที่นักรบฝึกฝนและพัฒนามันขึ้นตลอดชีวิตของเขา และจากนั้นก็จะได้เต้นเป็นการแสดงในการยืนหยัดขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายบนโลกนี้

                ผมตกอยู่ในสภาวะเศร้าซึมที่ประหลาดอยู่ครู่หนึ่งและความคิดประการต่างๆ ผุดขึ้นมา ในระดับหนึ่งนั้นเห็นได้ชัดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในการเผชิญหน้าเป็นครั้งแรกระหว่างผมกับ "ลา คาธาริน่า" ก็เป็นคนจริงๆ และผมไม่อาจปัดออกไปได้ว่าเธอตามล่าตัวผมอยู่จริง แต่ในอีกระดับหนึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าเธอตามตัวผมมาได้อย่างไร ตรงนี้เองที่ทำให้ผมสงสัยขึ้นมาตะหงิดๆ ว่าดอนฮวนอาจจะหลอกผม และดอนฮวนนั่นเอง เป็นผู้ทำให้เกิดสิ่งที่น่าหวาดเสียวขนลุกขนพองที่ผมได้ประสบมา


                ดอนฮวนมองดูท้องฟ้าแล้วบอกว่าเรายังพอมีเวลาที่จะไปข้างนอกและดูหมอผีผู้หญิงคนนี้ แกให้คำมั่นใจกับผมว่า ไม่มีอันตรายอะไรหรอกเพราะเราจะขับรถผ่านบ้านของเธอไปเท่านั้น
                 "คุณต้องดูว่าเป็นผู้หญิงคนนั้นจริงหรือเปล่า" ดอนฮวนบอก "แล้วคุณจะไม่มีข้อสงสัยใดๆ คั่งค้างอยู่ในใจไม่ว่าเรื่องอะไร"
                มือของผมเริ่มมีเหงื่อซึมออกมาจนผมต้องเช็ดกับผ้าขนหนูครั้งแล้วครั้งเล่า เราขึ้นรถแล้วดอนฮวนชี้ทางให้ผมขับไปยังถนนใหญ่ ต่อมาให้เลี้ยวเข้าสู่ถนนกลางสายหนึ่งที่ยังไม่ลาดยาง ผมต้องขับอยู่กลางถนน รถบรรทุกขนาดหนักและรถแทร็กเตอร์ทำให้เกิดร่องลึก และรถของผมมีเครื่องล่างต่ำไม่อาจจะวิ่งไปทางด้านซ้ายหรือด้านขวาของถนนได้ ผมขับช้าๆ ท่ามกลางฝุ่นดินที่คลุ้งขึ้นมา ก้อนกรวดชนิดหยาบที่ใช้ปูถนนเกาะเอาดินไว้ในระหว่างฝนตกและกรวดหุ้มดินที่แห้งแล้วนี้กระเด็นขึ้นมากระทบเครื่องล่างของรถทำให้เกิดเสียงดังเกรียวกราว
                ดอนฮวนสั่งให้ผมขับช้าลงไปอีกขณะที่เราเข้ามาใกล้สะพานเล็ก มีชาวอินเดียนแดงสี่คนนั่งอยู่ที่สะพานพวกเขาโบกมือให้กับเรา ผมไม่แน่ใจว่ารู้จักกับคนเหล่านั้นหรือเปล่า เราขับผ่านสะพานไปและถนนข้างหน้าโค้งเล็กน้อย
                "นั่นเป็นบ้านของหญิงคนนั้น" ดอนฮวนกระซิบบอกพร้อมกับปรายตาไปยังบ้านที่ทาสีข้างปลูกต้นไผ่สูงๆ เป็นรั้ว
                แกบอกให้ผมเลี้ยวกลับมาบนถนนแล้วหยุดรถกลางถนน และคอยอยู่จนกว่าหญิงคนนั้นสงสัยจนต้องเยี่ยมหน้าออกมาดู

                เรานั่งคอยประมาณสิบนาที ผมรู้สึกว่ามันเป็นเวลานานมากไม่มีที่สิ้นสุด ดอนฮวนไม่พูดอะไรออกมาเลย แกนั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิก มองไปยังบ้านหลังนั้น
                "นั่นไงล่ะ" แกพูด ร่างของแกกระตุกขึ้นมา ผมมองเห็นเงาอันน่ากลัวของผู้หญิงยืนอยู่ในบ้าน กำลังมองผ่านหน้าต่างออกมา ภายในห้องมืดและนั่นยิ่งเน้นให้เห็นเงาดำของหญิงคนนั้นให้ชัดยิ่งขึ้น
                ไม่กี่นาทีต่อมา หญิงคนนั้นก้าวออกมาจากความมืดของห้องออกมายืนที่ประตูแล้วมองดูเรา เรามองดูเธออยู่ครู่หนึ่ง แล้วดอนฮวนบอกให้ผมขับต่อไป ผมพูดไม่ออก ผมน่าจะสาบานออกมาได้เลยว่า เธอคือผู้หญิงคนที่ผมเห็นกระโดดไปข้างถนนในความมืดนั่นเอง

                "คุณจะว่าอย่างไรล่ะ" ดอนฮวนถามออกมา "คุณจำรูปร่างของเธอได้ไหม"
                ผมอึกอักอยู่นานก่อนที่จะตอบออกไป ผมกลัวข้อผูกมัดที่จะติดตามมาหากจะตอบว่าใช่ ผมกล่าวตอบอย่างระมัดระวังว่า ผมคิดว่ามันมืดเกินกว่าที่ผมจะบอกว่าเป็นคนคนเดียวกัน ดอนฮวนหัวเราะแล้วเอามือมาเคาะที่ศีรษะของผม
                "เธอเป็นผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่หรือ" แกถาม
                 แกไม่ให้เวลาผมตอบ แกเอานิ้วมาแตะที่ริมฝีปากเป็นสัญญาณให้ผมเงียบแล้วกระซิบที่หูของผมว่าไม่มีประโยชน์เลยที่จะพูดอะไรออกไป และการที่จะรอดชีวิตจากการตามล่าของ "ลา คาธาริน่า" ผมจะต้องใช้วิธีการทุกสิ่งทุกอย่างที่แกสอนไว้


http://olddreamz.com/bookshelf/ixtlan/lesson15-17.html
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: ธันวาคม 21, 2010, 04:11:40 pm »

 



 ๑๗. การเผชิญกับปรปักษ์ที่คู่ควร


พฤหัสที่ ๑๑ ธันวาคม ๑๙๖๒

                 กับดักของผมทำอย่างดี การวางกับก็ถูกต้อง ผมพบกระต่าย กระรอก หนูน้ำ นกกระทาและนกอื่นๆ แต่ตลอดทั้งวันผมจับอะไรไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว
                ขณะที่เดินออกจากบ้านตอนเช้ามืด ดอนฮวนบอกว่า วันนี้ผมต้องคอยเพื่อรับ "ของขวัญจากพลัง"ซึ่งก็คือสัตว์พิเศษตัวหนึ่งที่จะหลงมาเข้ากับดักของผม และเนื้อของมันนั้นเมื่อผมนำมาตากให้แห้งแล้วจะเป็น "เนื้อประจุพลัง"             
                ดอนฮวนดูจะตกอยู่ในอารมณ์ซึมเซาอย่างไรชอบกล แกไม่ให้คำแนะนำหรือออกความเห็นแต่อย่างใด แต่ในที่สุดแกพูดออกมาเมื่อใกล้ค่ำ
                 "มีคนบางคนมาแทรกแซงการดักสัตว์ของคุณ" 
                "ใครล่ะ" ผมถามด้วยความประหลาดใจ

                แกมองมาทางผมแล้วยิ้มพร้อมกับสั่นหัวแสดงท่าว่าไม่อยากจะเชื่อ
                "คุณทำราวกับว่าไม่รู้ว่าเป็นใคร" แกพูด "ทั้งๆ ที่ตลอดวันนี้คุณก็รู้อยู่ว่าเป็นใคร"
                ผมกำลังจะกล่าวค้านแต่แกยั้งไว้ด้วยว่าไม่เห็นประโยชน์ที่จะทำเช่นนั้น ผมทราบดีว่าดอนฮวนจะบอกชื่อ "ลา คาธาริน่า" และถ้าหากว่านั่นเป็นชื่อที่แกจะพูดออกมาแล้ว ที่แกกล่าวนั้นก็ถูกต้องคือ ผมทราบจริงๆ ว่าคนคนนั้นเป็นใคร

                 "เราจะกลับตอนนี้ก็ได้" ดอนฮวนพูดต่อไป "หรือไม่ก็คอยต่อไปจนกระทั่งมืดและใช้เวลาย่ำค่ำนั้นจับเธอเอาไว้"
                แกคงจะคอยคำตัดสินใจของผมอยู่ ผมอยากจะกลับ ผมเริ่มลงมือเก็บเชือกเส้นเล็กๆ ที่นำมาใช้ และก่อนที่ผมจะพูดถึงข้อตัดสินใจของตัวเอง ดอนฮวนยั้งผมด้วยคำสั่งว่า
                "นั่งลงก่อน" แกพูด "น่าจะเป็นการตัดสินใจที่ง่ายและธรรมดาจนเกินไปหากเราจะกลับเฉย ๆ ในตอนนี้ แต่นี่เป็นกรณีที่แปลกเป็นพิเศษ ผมคิดว่าเราต้องอยู่ การแสดงครั้งนี้เจาะจงลงไปที่ตัวของคุณ"
                 "คุณหมายความถึงอะไร ดอนฮวน"
                "มีบางคนเจาะจงมาก่อกวนคุณโดยเฉพาะ ดังนั้นนั่นจะทำให้คุณต้องแสดง ผมทราบว่าคนนั้นเป็นใคร และคุณก็รู้แล้วเช่นเดียวกัน"
                "คุณทำให้ผมกลัวขึ้นมาแล้วละ"

                "ไม่ใช่ผมหรอกที่ทำให้คุณกลัว" แกตอบพร้อมกับหัวเราะ "ผู้หญิงคนนั้น คนที่ด้อมๆ มองๆ อยู่ข้างนอกแถวนั้นทำให้คุณกลัวขึ้นมา"
                แกหยุดพูดเหมือนกับจะคอยดูผลที่เกิดจากคำพูดที่แกกล่าวออกมา ผมต้องยอมรับว่ากลัวขึ้นมาจริง ๆ

                เมื่อเดือนกว่า ๆ ที่ผ่านมานั้นผมเผชิญหน้ากับหมอผีนางหนึ่งชื่อ "ลา คาธาริน่า" อย่างน่าหวาดเสียวมาก ผมประจันหน้ากับผู้หญิงคนนี้ในลักษณะที่เสี่ยงตายทีเดียว เพราะดอนฮวนหลอกให้ผมเชื่อว่าเธอกำลังตามล่าเอาชีวิตของแกอยู่ และแกไม่สามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้ด้วยตนเอง แต่เมื่อผมเข้ามาเกี่ยวพันกับแม่มดนางนี้แล้ว ดอนฮวนกลับเผยความลับออกมาว่า เธอไม่มีอันตรายต่อตัวแกแต่อย่างใด เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นเป็นเพียงอุบาย ไม่ใช่เป็นการแกล้งเพื่อประสงค์ร้าย แต่เป็นอุบายที่เป็นเหมือนกับดักเพื่อใช้จัดการกับตัวผม

                วิธีการของดอนฮวนไม่มีศีลธรรมเอาเลย
                 ผมโกรธแกมาก เมื่อเห็นผมโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ดอนฮวนจะเอื้อนทำนองเพลงเม็กซิกันขึ้นมาทันที แกเลียนเสียงของพวกนักร้องที่มีชื่อ แต่การเลียนเสียงร้องที่แกทำน่าขันมากจนในที่สุดผมก็หัวเราะออกมาเหมือนกับเด็กๆ แกร้องกล่อมผมเป็นชั่วโมง ผมไม่เคยทราบมาก่อนว่าแกมีความรู้เกี่ยวกับเพลงบ้าๆ เหล่านี้
                "ผมจะบอกอะไรบางอย่างให้กับคุณ" แกพูดออกมาในตอนท้าย "ถ้าหากเราไม่ถูกหลอกเสียบ้างเราก็จะไม่มีวันได้เรียนรู้ สิ่งนี้เกิดขึ้นกับทุกๆ คน ศิลปะของผู้อุปถัมภ์คือ นำเรามาสู่ปากเหว ผู้อุปถัมภ์ชี้ทางและอุบายให้กับคุณเท่านั้น ผมหลอกคุณมาแล้ว จำตอนที่ผมรื้อฟื้นวิญญาณความเป็นนักล่าของคุณขึ้นมาได้ไหมล่ะ คุณบอกกับผมเองว่า การล่าทำให้ลืมเรื่องสมุนไพร คุณตั้งใจทำอะไรหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อที่จะเป็นพรานให้ได้ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นไม่น่าทำเลยหากคุณจะเรียนเกี่ยวกับเรื่องสมุนไพรและในตอนนี้คุณต้องทำอะไรมากมายกว่านั้นอีก เพื่อจะมีลมหายใจต่อไป"

                แกจ้องเขม็งดูผมแล้วหัวเราะออกมาอย่างพออกพอใจ
                "นี่มันบ้าทั้งนั้นแหละ" ผมพูด "พวกเราเป็นคนธรรมดาเท่านั้นนี่นา"
                "คุณน่ะสิเป็นคนธรรมดา" แกแย้ง "แต่ผมไม่"
                "แน่นอน คุณเป็นคนธรรมดานี่เอง" ผมย้ำ "คุณเป็นคนธรรมดาอย่างที่สุดเท่าที่ผมเคยพบ"
                "ธรรมดาก็ธรรมดา!" แกร้องออกมา "อย่างเถียงกันดีกว่า ผมเป็นคนธรรมดา แล้วยังไงต่อไปล่ะ"

                ผมดึงให้ดอนฮวนมาให้เหตุผล มีความจำเป็นอย่างไรหรือที่คนธรรมดาสองคนต้องทำอะไรลงไปในลักษณะบ้าคลั่งอย่างที่เราจะทำกับหมอผีผู้หญิงคนนี้
                "คุณเป็นคนธรรมดา นั่นถูกแล้ว" แกพูดออกมาอย่างดุเดือด "และนั่นหมายถึงว่า คุณเชื่อว่าคุณรู้เกี่ยวกับโลกนี้อย่างมากมาย แต่คุณรู้จักโลกหรือเปล่า คุณรู้จักโลกจริงๆ หรือ คุณเห็นการกระทำของผู้คนเท่านั้นเอง ประสบการณ์ของคุณมีขอบเขตจำกัดอยู่ในแวดวงของสิ่งที่ผู้อื่นกระทำกับคุณและสิ่งที่คุณกระทำต่อผู้อื่นเท่านั้น คุณไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับโลกอันลึกลับที่ไม่อาจหยั่งถึงได้นี้"

                แกทำสัญญาณให้ผมตามแกไปที่รถแล้วขับไปยังเมืองเล็กๆ ที่อยู่ทางฝั่งเม็กซิโกไม่ไกลออกไปนัก ผมไม่ถามว่าเราจะทำอะไรกันต่อไป
                ดอนฮวนสั่งให้ผมจอดรถไว้ข้างภัตตาคารแห่งหนึ่งแล้วออกเดินไปตามสถานีรถขนส่งและร้านค้าในบริเวณนั้น ดอนฮวนเดินนำไปข้างหน้าเยื้องไปทางขวามือของผม ทันใดนั้นผมรู้สึกขึ้นมาว่ามีคนหนึ่งเดินเคียงผมไปทางด้านซ้ายมือ แต่ก่อนที่ผมจะมีโอกาสหันไปมองดู ดอนฮวนไหวตัวอย่างรวดเร็วและกะทันหัน แกโน้มตัวไปข้างหน้าเหมือนกับจะหยิบของขึ้นมาจากพื้นแล้วคว้าตรงซอกรักแร้ของผมขณะที่ผมเดินจู่เข้ามาเกือบชนตัวแก แกลากผมไปที่รถยนต์ และไม่ยอมปล่อยตัวผมแม้ตอนที่เปิดประตูรถ ผมคลำหาลูกกุญแจอยู่ครู่หนึ่ง แกเสือกตัวของผมเข้าไปในรถแล้วก้าวตามเข้ามา
                 "ขับไปช้าๆ และหยุดหน้าร้านขายของชำร้านนั้น" แกสั่ง
                 เมื่อผมหยุดรถ ดอนฮวนผงกหัวบอกให้ผมมองดู "ลา คาธาริน่า" ยืนอยู่ตรงจุดที่ดอนฮวนคว้าเอาตัวของผม ผมขนลุกซู่ขึ้นมา ผู้หญิงคนนั้นก้าวใกล้เข้ามาอีกสองก้าวแล้วยืนอยู่ตรงนั้นอย่างท้าทาย ผมพิจารณาดูเธออย่างละเอียดและสรุปว่าเธอเป็นหญิงสวย ผิวของเธอคล้ำ รูปร่างค่อนข้างท้วมแต่แข็งแรงบึกบึน เธอมีใบหน้ากลมเต็ม โหนกแก้มสูง และผมที่ดำสนิทนั้นถักเป็นเปียสองสาย แต่สิ่งที่ผมแปลกใจเป็นอย่างมากคืออายุของเธอ อย่างมากที่สุดผู้หญิงคนนี้คงอยู่ในวัยต้นสามสิบเท่านั้นเอง

                 "ให้เธอเข้ามาให้ใกล้กว่านี้ถ้าเธอต้องการ" เธอก้าวเข้ามาอีก ๓-๔ ก้าวแล้วหยุดอยู่ห่างออกไปประมาณสิบฟุต เรามองดูซึ่งกันและกัน และในขณะนั้นผมรู้สึกว่าไม่มีอะไรน่ากลัวในตัวของเธอแม้แต่น้อย ผมยิ้มแล้วโบกมือให้ เธอหัวเราะคิกๆ ราวกับว่าเป็นหญิงขี้อายแล้วยกมือขึ้นมาบังริมฝีปากไว้ ผมรู้สึกพอใจอยู่ไม่น้อย ผมหันมาทางดอนฮวนเพื่อขอให้แกตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับรูปร่างและบุคลิกของเธอ แต่ดอนฮวนกลับทำให้ผมสะดุ้งแทบหัวใจวายตายด้วยการตะโกนออกมาว่า

                "อย่าหันหลังให้ผู้หญิงคนนั้น ไอ้ห่..!" แกร้องออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ผมหันกลับไปในทันที
                เธอก้าวเข้ามาอีกสองก้าวและยืนอยู่ห่างจากประตูรถไม่เกินห้าฟุต เธอยิ้ม ฟันของเธอโตและขาวสะอาด มีบางสิ่งที่น่าขนลุกซ่อนอยู่ในรอยยิ้มของเธอ มันไม่ใช่การยิ้มของมิตร แต่เป็นการแสยะยิ้มเสียมากกว่า ริมฝีปากของเธอเท่านั้นที่ยิ้มออกมา แต่นัยต์ตาอันดำสนิทและเย็นชาของเธอนั้นจ้องเขม็งมายังผม
                ความเย็นเยียบแล่นผ่านตลอดร่างของผม ดอนฮวนหัวเราะติดต่อกันเป็นคลื่น ส่วนผู้หญิงคนนั้น เมื่อได้คอยอยู่ครู่หนึ่ง ต่อมาก็ถอยหลังกลับช้าๆ และลับตัวไปท่ามกลางหมู่คน


                เราขับรถออกจากที่นั่น ดอนฮวนกล่าวคำทำนายออกมาว่า ถ้าผมไม่ทำให้ชีวิตกระชับแน่นและเรียนรู้เสียบ้างแล้ว ผู้หญิงคนนี้แหละที่จะเหยียบผมเหมือนกับเหยียบขยี้แมลงตัวหนึ่งทีเดียว
                "เธอเป็นปรปักษ์ที่คู่ควรกับคุณที่ผมเคยบอกคุณแล้วไงล่ะ" แกพูด
                ดอนฮวนบอกว่าเราต้องคอยดูลางก่อนที่จะทราบว่าจะจัดการกับผู้หญิงคนที่มาขัดขวางการดักสัตว์ของผมอย่างไร
                "ถ้าเราพบอีกาหรือได้ยินเสียงของมัน เราก็จะรู้ชัดขึ้นมาว่าต้องคอยต่อไป หรือไปคอยที่ไหน" แกพูดเสริม

                ดอนฮวนหมุนตัวอย่างช้าๆ กวาดตาดูสิ่งที่อยู่โดยรอบเป็นวงกลม
                "ตรงนี้ไม่ใช่ที่ที่เราจะต้องคอย" แกกระซิบออกมา เราเดินไปทางทิศตะวันออก ขณะนั้นค่ำมากแล้ว และทันใดนั้นอีกาสองตัวบินออกมาจากหลังพุ่มไม้สูงๆ แล้วลับตัวไปทางเนินเขา ดอนฮวนบอกว่าเนินเขาลูกนั้นแหละเป็นที่หมายของเรา

                 เมื่อเรามาถึงจุดหมาย แกเดินไปรอบเนินแล้วเลือกเอาตรงเชิงเขาทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ แกกวาดเอากิ่งไม้แห้งใบไม้และเศษขยะออกจากพื้นที่รูปวงกลม ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๕-๖ ฟุต ผมจะเข้าไปช่วยแต่แกโบกมือปฏิเสธแล้วเอานิ้วมาแตะที่ริมฝีปากบอกให้เงียบเสียง เมื่อดอนฮวนเก็บกวาดเสร็จแล้วแกดึงตัวผมเข้าไปที่ใจกลางของพื้นที่รูปวงกลมนั้น ให้ผมหันหน้าไปทางทิศใต้แล้วกระซิบบอกให้ผมเลียนการกระทำของแก ดอนฮวนเริ่มเต้นรำชนิดหนึ่งและทำจังหวะด้วยการกระทืบเท้าขวา การเต้นชนิดนี้ประกอบด้วยการเต้นในจังหวะที่เท่ากัน ๗ ครั้งแล้วขัดไว้ด้วยการกระทืบเท้าเร็วๆ สามครั้ง
                ผมพยายามปรับจังหวะให้เข้ากับการเต้นของดอนฮวน หลังจากที่ได้พยายามเต้นอย่างงุ่มง่ามครู่หนึ่ง ผมก็สามารถเต้นได้เป็นอย่างดี
                "ทำอย่างนี้เพื่ออะไร" ผมกระซิบที่หูของแก
                ดอนฮวนกระซิบตอบเหมือนกันว่า ผมกำลังกระทืบเท้าอย่างกระต่าย และไม่ช้าก็เร็ว คนที่มาด้อมๆ มองๆ อยู่แถวนั้นจะสนใจเสียงเต้นนี้แล้วปรากฏตัวออกมาดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น

                เมื่อผมเลียนจังหวะเต้นได้ดีแล้ว ดอนฮวนหยุดกระทืบเท้าแต่ยังกำกับจังหวะการเต้นของผมด้วยมือ
                แกจะตั้งใจฟังเสียงเป็นคราวๆ ไป โดยจะเอียงศีรษะไปทางขวาเหมือนกับจะฟังเสียงที่ดังมาจากป่าละเมาะ มาถึงขณะหนึ่งแกจะทำสัญญาณให้ผมหยุดเต้น แกอยู่ในสภาพที่ตื่นตัวเต็มที่ราวกับว่าแกพร้อมที่จะลุกขึ้นโดยฉับพลันแล้วกระโจนเข้าใส่ผู้ที่มาจู่โจมที่มองไม่เห็นและไม่ทราบว่าเป็นใคร
                ต่อมาแกจะโบกมือให้ผมเต้นต่อไป และอีกครู่หนึ่งต่อมาแกจะบอกให้ผมหยุดเต้นอีก ทุกคราวที่ผมหยุดกระทืบเท้า ดอนฮวนจะเงี่ยหูลงฟังอย่างใจจดใจจ่อ ทุกเนื้อเยื่อในร่างกายของแกเขม็งเกร็งตัวราวกับจะระเบิดออกมา

                ทันใดนั้นแกกระโดดพรวดเข้ามาข้างตัวของผมและกระซิบที่หูของผมว่า เวลาย่ำค่ำกำลังเปี่ยมไปด้วยพลัง
                ผมมองไปโดยรอบ ผมมองเห็นป่าละเมาะเป็นเงาตะคุ่มๆ และภูเขา ก้อนหินก็เป็นเช่นเดียวกัน ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินแก่ และผมมองไม่เห็นก้อนเมฆแม้แต่ก้อนเดียว โลกทั้งโลกดูจะเป็นก้อนของเงาดำติดต่อกันหาขอบเขตที่ชัดแจ้งไม่ได้
                ผมได้ยินเสียงร้องน่าขนลุกของสัตว์ชนิดหนึ่ง ดังมาแต่ไกล คงจะเป็นเสียงของหมาป่าไคโยติหรือนกกลางคืนชนิดหนึ่ง มันร้องออกมาอย่างกะทันหันจนผมไม่ได้ใส่ใจจะฟัง แต่ร่างของดอนฮวนกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย ผมรู้สึกได้เช่นนั้นเพราะแกมายืนอยู่ข้างๆ "นั่นละ" แกกระซิบ
                "กระทืบเท้าต่อไปแล้วเตรียมตัวไว้ ผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่นั่น" ผมเริ่มเต้นอย่างคนบ้า จนดอนฮวนต้องเหยียบลงไปที่เท้าของผมแล้วทำท่าทางเร่งเร้าให้ผมคลายความรู้สึกลงแล้วเต้นให้เป็นจังหวะ
                 "อย่าไล่เธอไป" แกกระซิบ "สงบจิตใจลงหน่อย อย่าทำให้สูญเสียโอกาสอันนี้"

                ผมกะจังหวะการกระทืบเท้าลงไปใหม่ และเมื่อดอนฮวนบอกให้ผมหยุดเต้นเป็นครั้งที่สอง ผมได้ยินเสียงร้องอย่างเดิมอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ดูเหมือนจะเป็นเสียงร้องของนกตัวหนึ่งที่บินข้ามเขาไป ดอนฮวนบอกให้ผมเต้นต่อไป และเมื่อผมหยุดก็ได้ยินเสียงขยับตัวที่ประหลาดมากดังมาจากทางซ้ายมือ มันเหมือนกับจะเป็นเสียงที่สัตว์ตัวโตมากทำขึ้น ขณะที่แหวกไปตามพุ่มไม้แห้งกรอบ ความคิดว่าเป็นหมีผ่านเข้ามาในสมอง แต่ขณะต่อมาผมก็รู้ว่าไม่มีหมีหรอกในทะเลทราย ผมฉวยแขนของดอนฮวนเข้าไว้ แกยิ้มออกมาแล้วเอานิ้วมือแตะริมฝีปากเป็นสัญญาณให้สงบเสียง
                 ผมจ้องเข้าไปในความมืดทางซ้ายมือ แต่ดอนฮวนทำสัญญาณไม่ให้มองไปทางนั้น แกชี้แล้วชี้อีกไปเหนือศีรษะของผมแล้วทำให้ผมหันตัวช้าๆ และเงียบเชียบ จนผมหันไปเผชิญหน้ากับเงาดำของภูเขา ดอนฮวนรักษาระดับนิ้วที่ชี้ไปยังจุดหนึ่งที่อยู่บนไหล่เขา ผมจับตามองไปยังจุดนั้นโดยไม่เหสายตาออกไปและในทันใดนั้น ราวกับว่าฝันร้ายเกิดขึ้นจริงๆ เงาดำกระโจนเข้าใส่ผม ผมร้องเสียงแหลมออกมา แล้วหงายหลังผลึ่งลงไป ขณะนั้นเองเงาดำนั้นทาบอยู่กับท้องฟ้าสีน้ำเงินแก่ แล้วมันเลื่อนไปในอากาศและโผหล่นลงบนพุ่มไม้ห่างจากเราไปเล็กน้อย ผมได้ยินเสียงของร่างกายที่หนักหล่นโครมลงไปบนพุ่มไม้เล็กๆ แล้วมีเสียงร้องน่าขนหัวลุกตามมา

                ดอนฮวนฉุดผมขึ้นมา แล้วเดินนำผมไปในความมืดสู่ที่ที่ผมวางกับดักเอาไว้ แกบอกให้ผมเก็บกับดักเหล่านั้นแล้วรื้อมันออก ดอนฮวนเหวี่ยงชิ้นส่วนที่รื้อออกมานั้นให้กระจายออกไปทุกทิศทาง แกกระทำโดยไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว และเราไม่พูดกันเลยตลอดทางที่พากันเดินกลับบ้าน
                "คุณอยากให้ผมพูดอะไรอีกล่ะ" ดอนฮวนถามเมื่อผมเร่งแล้วเร่งอีกให้แกอธิบายสิ่งที่ผมประสบเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา
                "มันเป็นอะไร" ผมถาม
                "คุณก็รู้ชัดแจ๋วอยู่แล้วนี่นาว่ามันเป็นใคร" แกพูด "อย่าให้มันลดลงเป็นคำถามที่ว่า 'มันเป็นอะไร' แต่มันเป็นใคร นั่นแหละสำคัญ"

                ผมเสาะหาคำอธิบายที่น่าพอใจ รูปร่างของสิ่งที่ผมเห็นเหมือนกับว่าวมาก และมีคนคนหนึ่งปล่อยมันข้ามภูเขาออกมา ส่วนอีกคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังของเราดึงให้มันตกลง ดังนั้นจึงเกิดเงาดำลอยอยู่บนท้องฟ้าสูงประมาณ ๑๕-๒๐ หลา
                ดอนฮวนรับฟังคำอธิบายของผมอย่างตั้งใจ แล้วแกหัวเราะออกมาจนน้ำตาไหลอาบแก้ม
                "เลิกเดาดีกว่า" แกบอก "แล้วพูดให้มันตรงจุด มันเป็นผู้หญิงใช่หรือเปล่า"

                ผมต้องยอมรับว่า ขณะที่ผมล้มหงายหลังลงไปแล้วมองขึ้นไปนั้น ผมมองเห็นเงาดำเป็นภาพของผู้หญิงสวมกระโปรงยาวกระโดดลอยข้ามตัวของผมไปช้าๆ และขณะต่อมาดูเหมือนจะมีสิ่งหนึ่งดึงให้เงานั้นกระโจนไปข้างหน้าอย่างเร็ว แล้วหล่นโครมลงไปที่พุ่มไม้ ภาพที่เห็นว่าเคลื่อนไปนั่นเองที่ทำให้ผมคิดไปว่าเป็นว่าว
                ดอนฮวนปฏิเสธที่จะออกความเห็นในสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นอีก
                ในวันต่อมาแกออกจากบ้านไปคนเดียว เพื่อทำงานลึกลับอะไรบางอย่าง ส่วนผมก็ไปเยี่ยมเพื่อนฝูงที่เป็นชาวอินเดียนแดงเผ่ายาคีในชุมชนของพวกเขาอีกแห่งหนึ่ง