ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
ท่านจะปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อตกลงของเว็บใต้ร่มธรรมทุกประการหรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 14, 2014, 10:47:24 am »



 
สาระสำคัญของ"โอวาทปาฏิโมกข์"
การปฏิรูปชีวิตสู่ทางสว่าง

//-หลักที่หนึ่ง
"ความอดทนฝึกฝนตนเอง
....................เป็นยอดตะบะ
พุทธะ มีนิพพาน.......
..........................เป็นเป้าหมาย
บรรพชิต คือผู้หมด เจตนา
....................ทำร้ายทำลายใคร
สมณะ ทั้งหลาย.................
...มุ่งหมายสันติธรรม(เห็นคุณค่าความสงบ)ฯ

//-หลักที่สอง
ตัดทาง..........ไม่ไปสู่อบาย
ทำความฉลาดดีทั้งหลาย....
.....................ให้ปรากฎ
ชำระเหตุ อุปทานทุกข์ ใจวิสุทธิ์... ไม่ละลด
ทั้งหมดคือ คำสั่ง สอน... พระศาสดาฯ

//-หลักที่สาม
การไม่กล่าวร้าย......... ไม่ทำร้าย ใครๆ
ใส่ใจในทางสว่าง สติปัญญา...เสมอนั่น
ไม่เป็นทาสบริโภคนิยม... จนหมดพลังชีวาในชีวิตกัน
ฝึกสงบ สงัดจิต ยกระดับภูมิจิต ภูมิธรรม...
.........ให้ยิ่งนั้น ประเสริฐเอยฯ



//-หลักที่หนึ่งเน้น ภาระหน้าที่ของ"นักบวช"
หลักสอง สำหรับทุกชีวิต ถ้าอยากชนะ ความทุกข์ และไม่เป็นทาสกิเลส
หลักสาม เป็นธรรมบาลคุ้มครองตนและสังคม ให้พบสันติสุข สันติธรรม
>>> Suraphol Kruasuwan
originally shared to ชาวพุทธ (สนทนาธรรมตามกาล):

,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,



.... ส่งความรัก จากใจ ไปถึงเขา
" รัก " ของเรา.. แผ่ไป ให้ไพศาล
สรรพสัตว์ น้อยใหญ่ ในจักรวาล

นิรันดร์กาล ประสพสุข ปลอดทุกข์ภัย

                      : ธรรมะ สวัสดี
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2014, 09:40:30 pm »

วันมาฆบูช

-http://www.dhammathai.org/day/maka.php-

ต ร ง กั บ วั น ขึ้ น ๑ ๕ ค่ำ เ ดื อ น ๓

"มาฆะ" เป็นชื่อของเดือน ๓ มาฆบูชานั้น ย่อมาจากคำว่า"มาฆบุรณมี" แปลว่าการบูชาพระในวันเพ็ญ เดือน ๓ วันมาฆบูชาจึงตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ แต่ถ้าปีใดมีเดือน อธิกมาส คือมีเดือน ๘ สองครั้ง วันมาฆบูชาก็จะเลื่อนไปเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ เป็นวันสำคัญวันหนึ่ง ในวันพุทธศาสนา คือวันที่มีการประชุมสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพุทธศาสนา ที่เรียกว่า "จาตุรงคสันนิบาต" และเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดง โอวาทปฎิโมกข์ แก่พระสงฆ์สาวกเป็นครั้งแรก ณ เวฬุวันวิหาร กรุงราชคฤห์ เพื่อให้พระสงฆ์นำไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อจะยังพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป

 
โอวาทปาฏิโมกข์

โอวาทปาฏิโมกข์ หลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา หรือคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระพุทธพจน์ ๓ คาถากึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ผู้ไปประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ พระเวฬุ วนาราม ในวันเพ็ญเดือน ๓ ที่เราเรียกกันว่าวันมาฆบูชา (ถรรถกถากล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ นี้ แก่ที่ประชุมสงฆ์ตลอดมา เป็นเวลา ๒๐ พรรษา ก่อนที่จะโปรดให้สวดปาฏิโมกข์อย่างปัจจุบันนี้แทนต่อมา), คาถา โอวาทปาฏิโมกข์ มีดังนี้ (โอวาทปาติโมกข์ ก็เขียน)

    สพฺพปาปสฺส อกรณํกุสลสฺสูปสมฺปทา
    สจิตฺตปริโยทปนํเอตํ พุทธาน สาสนํฯ
    ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา
    นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
    น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี
    สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ
    อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร
    มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
    อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ

    แปล : การไม่ทำความชั่วทั้งปวง, การบำเพ็ญแต่ความดี, การทำจิตของตนให้ผ่องใส นี้เป็นคำสอนของ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง, พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่านิพพาน เป็นบรมธรรม, ผู้ทำร้ายคนอื่น  ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต,ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ การไม่กล่าวร้าย, การไม่ทำร้าย, ความสำรวมในปาฏิโมกข์, ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร, ที่นั่งนอนอันสงัด, ความเพียรในอธิจิต นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่เข้าใจกันโดยทั่วไป และจำกันได้มาก ก็คือ ความในคาถาแรกที่ว่า ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส

     คำว่า "จาตุรงคสันนิบาต" แยกศัพท์ได้ดังนี้ คือ "จาตุร" แปลว่า ๔ "องค์" แปลว่า ส่วน "สันนิบาต" แปลว่า ประชุม ฉะนั้นจาตุรงคสันนิบาตจึงหมายความว่า "การประชุมด้วยองค์ ๔" กล่าวคือมีเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นพร้อมกันในวันนี้ คือ

    ๑. เป็นวันที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันที่เวฬุวันวิหารในกรุงราชคฤห์ โดยมิได้นัดหมาย
    ๒. พระภิกษุสงฆ์เหล่านี้ล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" คือเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบทโดยตรงจาก พระพุทธเจ้าทั้งสิ้น
    ๓. พระภิกษุสงฆ์ทุกองค์ที่ได้มาประชุมในครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นผุ้ได้บรรลุพระอรหันต์แล้วทุก ๆองค์
    ๔. เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงกำลังเสวยมาฆฤกษ

     การปฎิบัติตนสำหรับพุทธศาสนาในวันนี้ก็คือ การทำบุญ ตักบาตรในตอนเช้า หรือไม่ก็จัดหาอาหารคาวหวานไปทำบุญฟังเทศน์ที่วัด ตอนบ่ายฟังพระแสดงพระธรรมเทศนา ในตอนกลางคืน จะพากันนำดอกไม้ ธูปเทียน ไปที่วัดเพื่อชุมนุมกันทำพิธีเวียนเทียน รอบพระอุโบสถ พร้อมกับพระภิกษุสงฆ์โดยเจ้าอาวาสจะนำว่า นะโม ๓ จบ จากนั้นกล่าวคำ ถวาย ดอกไม้ธูปเทียน ทุกคนว่าตาม จบแล้วเดิน เวียนขวา ตลอดเวลาให้ระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ จนครบ ๓ รอบ แล้วนำดอกไม้ ธูปเทียนไปปักบูชาตามที่ทางวัด เตรียมไว้ เป็นอันเสร็จพิธี



กิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันมาฆบูชา

๑. ทำบุญใส่บาตร
๒. ไปวัดเพื่อปฏิบัติธรรม และฟังพระธรรมเทศนา
๓. ไปเวียนเทียนที่วัด
๔. ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือนและสถานที่ราชการ


ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2014, 09:33:39 am »


เพลงมาฆบูชา


เพลงมาฆบูชา

เพลงมาฆบูชา

-http://www.youtube.com/watch?v=4UGJ_xmQAcQ-

 Published on 19 Feb 2013

หมายเหตุ พระอรหันต์ ๑๒๕๐ รูป ที่ถูกต้อง
แต่เนื้อเพลง ใช้ ๑๒๕๐ องค์ เพื่อความสวยงามของเสียงร้อง

.-----------------------------------------------------------------------------------

เพลงวันมาฆบูชา [HD]

เพลงวันมาฆบูชา [HD]

เพลงวันมาฆบูชา [HD]

-http://www.youtube.com/watch?v=-3wCMGx6Ou8-






ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2014, 09:21:30 am »

วันมาฆบูชา (Makha Bucha Day)

วันมาฆบูชา ในปี 2557 นี้ ตรงกับ วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งตรงกับวันวาเลนไทน์ ซึ่งก็ถือว่าเป็นปีหนึ่งที่ดี เพื่อที่จะได้ให้ประชาชนทั่วไปสามารถหยุดและพาครอบครัวไปทำบุญ และพิธีทางศาสนาได้อยากเต็มที่ วันนี้สกู๊ปเอ็มไทย จึงนำประวัติ มาฆบูชา ความสำคัญและ บทสวดมนต์ คำสอนที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับ วันมาฆบูชา มาฝากกันครับ


วันมาฆบูชา
 วันมาฆบูชา “วันจาตุรงคสันนิบาต” วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
วันมาฆบูชา หรือ วันจาตุรงคสันนิบาต ตรงกับขึ้น 15 ค่ำ กลางเดือน 3 หรือประมาณราวเดือนกุมภาพันธ์ แต่หากเป็นปีอธิกมาส (ปีที่มีเดือน 8 สองหน) วันมาฆบูชาจะเลื่อนไปเป็น วันขึ้น 15 ค่ำกลางเดือน 4 หรือประมาณเดือนมีนาคม สำหรับปีนี้ วันมาฆบูชา ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ปี พ.ศ. 2556
ความหมายที่แท้จริงของคำ “มาฆบูชา”

“มาฆะ” เป็นชื่อเดือน 3 ที่ย่อมาจากคำว่า “มาฆบุรณมี” ที่หมายถึง การบูชาพระในวันเพ็ญกลางเดือนมาฆะตามปฏิทินของอินเดีย หรือเดือน 3

การกำหนดวันมาฆบูชา

จะถือกำหนดตามปฏิทินจันทรคติของไทย ซึ่งจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 แต่ถ้าปีใดที่มีเดือนอธิกามาส (มีเดือน 8 สองครั้ง) วันมาฆบูชาจะเลือนไปเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 และมักตรงกับเดือนกุมภาพันธ์หรือ มีนาคมนั่นเอง
ประวัติวันมาฆบูชา

วันมาฆบูชา.mp4

วันมาฆบูชา.mp4
-http://www.youtube.com/watch?v=gzGKoMmPamk-

วันมาฆบูชา ในภาษาบาลีอ่านว่า “มาฆปูชา” และ “มาฆบูชา” ย่อมาจาก “มาฆปูรณมีบูชา” ซึ่งหมายถึง การบูชาในวันเพ็ญกลางเดือนมาฆะ ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเ นื่องจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้น เมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง โอวาทปาฏิโมกข์ ท่ามกลางที่ประชุมมหาสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา โดยมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นพร้อมกัน 4 ประการ คือ

    พระสงฆ์สาวก จำนวน 1,250 รูป มาประชุมพร้อมกันยังวัดเวฬุวันโดยมิได้นัดหมาย
    พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดต่างล้วนเป็น “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” คือ ผู้ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง
    พระสงฆ์ทั้งหมดที่มาประชุมล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ทรง อภิญญา 6
    วันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญมาฆปุรณ มีดิถี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ดังนั้น จึงมีคำเรียกวันนี้อีกคำหนึ่งว่า “วันจาตุรงคสันนิบาต” หรือ วันที่มีการประชุมพร้อมด้วยองค์ 4

ปัจจุบัน วันมาฆบูชา ได้รับการประกาศให้เป็นวันหยุดราชการในประเทศไทย โดยพุทธศาสนิกชนทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ พระสงฆ์ และประชาชน จะมีการประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น การตักบาตร การฟังพระธรรมเทศนา การเวียนเทียน เป็นต้น เพื่อเป็นการบูชารำลึกถึงพระรัตนตรัยและเหตุการณ์สำคัญดังกล่าว ที่ถือได้ว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงประทาน โอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งกล่าวถึงหลักคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การบำเพ็ญความดีให้ถึงพร้อม และการทำจิตของตนให้ผ่องใส เพื่อเป็นหลักปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนทั้งมวล

สำหรับในปี พ.ศ. 2553 นี้ วันมาฆบูชาจะตรงกับ วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม ตามปฏิทินสุริยคติ
การเตรียมตัวก่อนประกอบพิธีเวียนเทียน ในวันมาฆบูชา วันขึ้น 15 ค่ำ 3

    อาบน้ำ ชำระร่างกายให้สะอาด ทำจิตใจให้เบิกบาน
    แต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย เหมาะสมกับสถานที่
    เตรียมดอกไม้ ธูป เทียน ตลอดจนเครื่องบูชาให้เรียบร้อย
    เมื่อถึงวัดแล้วควรอยู่ในอาการสำรวม ไม่พูดคุยหยอกล้อ วิ่งเล่น หรือทำกิจกรรมอันไม่เหมาะสม

ความหมายการเวียนเทียน วันมาฆบูชา

    เวียนเทียน รอบที่ 1 : รำลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า โดยภาวนาบท อิติปิโส ภะคะวาฯ ไปจนจบ เพื่อให้จิตใจมีสมาธิ
    เวียนเทียน รอบที่ 2 : รำลึกถึงคุณพระธรรม ภาวนาบทสวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโมฯ ไปจนจบ
    เวียนเทียน รอบที่ 3 : รำลึกคุณพระสงฆ์ ภาวนาบทสุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆฯ ไปจนจบ ระหว่างนั้นต้องทำจิตใจให้สงบ แน่วแน่กับบทบูชา

กิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันมาฆบูชา

หลักการปฏิบัติสำหรับพุทธศาสนิกชนในวันมาฆบูชา คือ ทำบุญตักบาตรในตอนเช้า และเข้าวัดเพื่อฟังพระธรรมเทศนา อีกทั้งบำเพ็ญประโยชน์แก่บุคคลรอบข้าง บำรุงสถานที่ศาสนา เมื่อถึงตอนค่ำ จะนำดอกไม้ธูปเทียน นำมาเวียนรอบพระอุโบสถ โดยเวียนจากขวาไปซ้าย จำนวน 3 รอบ ซึ่งระหว่างเดินให้ระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงค์ และคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อเป็นบุญกุศลให้กับตัวเอง

 
ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
คาถาโอวาทปาติโมกข์และคำแปล

ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา
นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี
สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ

ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง
พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่า นิพพานเป็นบรมธรรม
ผู้ทำร้ายคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต
ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ

สพฺพปาปสฺส อกรณํ
กุสลสฺสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนํ
เอตํ พุทฺธานสาสนํฯ

การไม่ทำความชั่วทั้งปวง 1
การบำเพ็ญแต่ความดี 1
การทำจิตของตนให้ผ่องใส 1
นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

อนูปวาโท อนูปฆาโต
ปาติโมกฺเข จ สํวโร
มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ
ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
อธิจิตฺเต จ อาโยโค
เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ

การไม่กล่าวร้าย 1 การไม่ทำร้าย 1
ความสำรวมในปาติโมกข์ 1
ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร 1
ที่นั่งนอนอันสงัด 1
ความเพียรในอธิจิต 1
นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
อภิญญา 6

อภิญญา แปลว่า “ความรู้ยิ่ง” หมายถึง ปัญญาความรู้ที่สูงเหนือกว่าปกติ เป็นความรู้พิเศษที่เกิดขึ้นจากการอบรมจิตเจริญปัญญาหรือบำเพ็ญกรรมฐาน

    อิทธิวิธิ หมายถึง แสดงฤทธิ์ได้ เช่น ล่องหนได้ เหาะได้ ดำดินได้
    ทิพพโสต หมายถึง มีหูทิพย์
    เจโตปริยญาณ หมายถึง กำหนดรู้ใจผู้อื่นได้
    ปุพเพนิวาสานุสติญาณ หมายถึง ระลึกชาติได้
    ทิพพจักขุ หมายถึง มีตาทิพย์
    อาสวักขยญาณ หมายถึง รู้การทำอาสวะให้สิ้นไป
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 25, 2013, 06:56:55 pm »





บทสวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็น ก็มาจากท่าน...
ท่านแตกฉานสามารถเขียนอ่านภาษาแขกได้ และภาษาอื่นๆด้วย...
ก่อนที่ท่านจะสวรรค์คตน่าประทับใจมากหาอ่านเอาเอง


                     -http://www.facebook.com/AKALIGO.com.thailand

วันมาฆบูชา เกิดในสมัยรัชกาลที่ ๔
เดิมนั้นไม่มีการประกอบพิธีมาฆบูชาในประเทศพุทธเถรวาท จนมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) พระองค์ได้ทรงปรารภถึงเหตุการณ์ครั้งพุทธกาลในวันเพ็ญเดือน 3 ดังกล่าวว่า เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญยิ่ง ควรมีการประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนาเพื่อเป็นที่ตั้งแห่งความศรัทธาเลื่อมใส

จึงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชกุศลมาฆบูชาขึ้น โดยการประกอบพระราชพิธีคงคล้ายกับวันวิสาขบูชา คือมีการบำเพ็ญพระราชกุศลต่าง ๆ มีการพระราชทานจุดเทียนตามประทีปเป็นพุทธบูชาในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และพระอารามหลวงต่าง ๆ เป็นต้น

โดยในช่วงแรกพิธีมาฆบูชาคงเป็นการพระราชพิธีภายใน ยังไม่แพร่หลายทั่วไป จนต่อมาความนิยมจัดพิธีมาฆบูชาจึงได้ขยายออกไปทั่วราชอาณาจักร

ปัจจุบันวันมาฆบูชาได้รับการประกาศให้เป็นวันหยุดราชการในประเทศไทย โดยพุทธศาสนิกชนทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ พระสงฆ์ และประชาชน จะมีการประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น การตักบาตร การฟังพระธรรมเทศนา การเวียนเทียน เป็นต้น เพื่อเป็นการบูชารำลึกถึงพระรัตนตรัยและเหตุการณ์สำคัญดังกล่าว

ถือได้ว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงประทานโอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งกล่าวถึงหลักคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่
- การไม่ทำความชั่วทั้งปวง
- การบำเพ็ญความดีให้ถึงพร้อม
- การทำจิตของตนให้ผ่องใส เพื่อเป็นหลักปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนทั้งมวล


- http://www.facebook.com/thailandhistory

ข้อความโดย: สายลมที่หวังดี
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 25, 2013, 12:32:06 am »



อนุโมทนา สาธุค่ะ ขอบคุณนะคะพี่แป๋ม :yoyo106:
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 24, 2013, 12:29:13 am »





มาฆบูชา ๒๕๕๖ ...สักการะ ๒๕ พระบรมธาตุ ภาคใต้ เพื่อความเป็นสิริมงคล

ชุมพร
๑. วัดพระธาตุสวี (พระธาตุกาวี) ต.สวี อ.สวี
๒. วัดพระธาตุขวัญเมือง ต.นาโพธิ์ อ.สวี
๓. พระธาตุเจดีย์ถ้ำเขาเงิน ต.ขันเงิน อ.หลังสวน (รัชกาลที่ ๕ ทรงบูรณะเมื่อ พ.ศ.๒๔๓๒)

สุราษฎร์ธานี
๑. วัดพระบรมธาตุไชยา ต.ในเวียง อ.ไชยา
๒. พระธาตุเจดีย์ศรีสุราษฏร์ อ.เมือง

พังงา
๑. พระมหาธาตุเจดีย์วัดคีรีเขต (วัดลุ่ม) ต.ตะกั่วป่า อ.ตะกั่วป่า
๒. พระมหาธาตุเจดีย์พุทธธรรมบันลือ(พระทันตธาตุ) วัดราษฎร์อุปถัมภ์ ต.บางเหรียง อ.ทับปุด

นครศรีธรรมราช
๑. วัดพระมหาธาตุ อ.เมือง (พระเขี้ยวแก้ว)
 ๒. วัดธาตุน้อย บ.จันดี ต.หลักช้าง อ.ช้างกลาง

พัทลุง
๑. พระเจดีย์วัดเขาเมืองเก่า ต.ชัยบุรี อ.เมือง
๒. พระธาตุเจดีย์วัดสะทัง ต.หานโพธิ์ อ.เขาชัยสน
๓. พระธาตุเจดีย์วัดเขียนบางแก้ว ต.จองถนน อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง

สงขลา
๑. พระมหาธาตุเจดีย์เขาตังกวน อ.เมือง
๒. พระมหาธาตุเจดีย์วัดเก้าแสน ต.เขารูปช้าง อ.เมือง
๓. พระมหาธาตุเจดีย์วัดชะแล้ ต.ชะแล้ อ.สิงหนคร
๔. พระศรีรัตนมหาธาตุเจดีย์ วัดจะทิ้งพระ ต.จะทิ้งพระ อ.สทิงพระ
๕. พระสุวรรณมาลิกเจดีย์ศรีมหาธาตุ วัดพะโคะ ต.ชุมพล อ.สทิงพระ
๖. วัดพระเจดีย์งาม ต.บ่อพรุ อ.ระโนด
๗. พระธาตุวัดคงคาเลียบ ต.ควนลัง อ.หาดใหญ่

ปัตตานี
๑. พระธาตุเจดีย์วัดช้างให้ ต.ป่าไร่ อ.โคกโพธิ์
๒. พระธาตุเจดีย์เขามะรวด ต.บ้านกลาง อ.ปะนาเระ

นราธิวาส
๑. พระพุทธทักษิณมิ่งมงคล อ.เมือง (สร้างทับพระเจดีย์เก่าบนเขากง)
๒. วัดขวัญประชา ต.สุไหงโกลก อ.สุไหงโกลก
๓. วัดชลธาราสิงเห ต.เจ๊าะเห อ.ตากใบ

ยะลา
๑. พระมหาธาตุเจดีย์พระพุทธธรรมประกาศ วัดพุทธาธิวาส ต.เบตง อ.เบตง



สะตอฟอร์ยูดอทคอม (Sator4U.com FC)
-http://www.prachathon.org/forum/index.php?topic=7885.0
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 24, 2013, 12:14:12 am »



วันมาฆบูชาหรือวันจาตุรงคสันนิบาติ ในปีนี้ตรงกับวันจันทร์ ที่ 25 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2556....วันมาฆบูชา เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ด้วยเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 กว่าปี วันมาฆบูชาจึงเป็นวันที่สำคัญมากวันหนึ่งของพระพุทธศาสนา

ความเป็นมาของวันมาฆบูชา
เหตุที่พุทธศาสนิกชนถือว่า "วันมาฆบูชา" เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา เพราะมีเหตุการณ์พิเศษที่มาบรรจบกัน 4 ประการ หรือที่เรารู้จักกันดีว่า "จาตุรงคสันนิบาต" อันเป็นประดุจการปฐมนิเทศในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างเป็นทางการนั่นเอง ซึ่งถือว่าเป็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์ที่โลกต้องจารึก เพราะเป็นการประชุมของผู้บริสุทธิ์ล้วนๆ และเป็นครั้งแรกที่มีการประขุมเพื่อรับฟังทิศทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้เป็นไปในทิศทางเดียกัน



เหตุอัศจรรย์ในวันมาฆบูชา 4 ประการ
1. เป็นวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ ดวงจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ (วันเพ็ญเดือน 3 )
2. พระภิกษุ 1,250 รูป มาประชุมโดยมิได้นัดหมาย
3. ภิกษุเหล่านั้นเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา 6 ทั้งหมด ไม่มีภิกษุผู้เป็นปุถุชนหรือพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีแม้สักรูปเดียวมาประชุมในครั้งนี้
4. พระภิกษุทั้งหมดเป็นผู้ที่ได้รับการบวชแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทา ซึ่งพระบรมศาสดาทรงประทานการบวชให้

พระอรหันต์จำนวน 1,250 รูป ที่เข้าร่วมสันนิบาตในครั้งนี้ แบ่งเป็น 2 กลุ่มด้วยกัน คือ
กลุ่มที่ 1 คณะพระภิกษุอดีตชฏิล 3 พี่น้อง มีท่านอุรุเวลกัสสปะเป็นหัวหน้า และบริวารทั้งหมด 1,000 รูป
กลุ่มที่ 2 คณะที่เป็นบริวารของพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ มีจำนวน 250 รูป


อ้างถึง
การประชุมมหาสาวกสันนิบาตนั้น ในยุคของพระพุทธเจ้าบางพระองค์ มีการประชุมมากกว่า 1 ครั้ง
ดังเช่น ในสมัยของพระปทุมุตตรพุทธเจ้าได้ทรงประชุมสาวกสันนิบาตถึง 3 ครั้ง

ครั้งที่ 1 มีพระอรหันตสาวก 100,000 โกฏิ
ครั้งที่ 2 มีจำนวน 90,000 โกฏิ
ครั้งที่ 3 มีจำนวน 80,000 โกฏิ

แต่ละครั้งก็จะทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งมีเนื้อหาสาระ
เหมือนที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงประทานเอาไว้ทุกอย่าง



สาระสำคัญของโอวาทปาฏิโมกข์
โอวาทปาฏิโมกข์ชื่อว่าเป็นแม่บทในการเผยแผ่คำสอนพุทธศาสนา
เป็นการประกาศจุดยืนที่ชัดเจนของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นคำสอนที่ส่งเสริมให้มนุษย์
มีความรักที่แท้จริงต่อกัน โอวาทปาฏิโมกข์แบ่งโครงสร้างออกเป็น 3 ส่วนใหญ่
คือ อุดมการณ์ หลักการ และวิธีการ ดังนี้

อุดมการณ์ คือ เป้าหมายสูงสุดในการดำเนินชีวิต มี 3 ประการ ได้แก่
1. ความอดทน คือ ทนต่อความยากลำบากทุกอย่างเพื่อจะได้เป็นตบะคอยเผาผลาญกิเลสให้หลุดร่อนจากใจ ทนได้ก็ไปนิพพานได้ (ขนฺติ ปรมํ ตโป ตีติกฺขา)
2. นิพพาน คือ เป้าหมายสูงสุดของมนุษยชาติทั้งหมด (นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา)
3. ไม่เบียดเบียนกัน คือ การเลิกก่อเวรเบียดเบียนทำร้ายทางกายและจิตใจ อยู่อย่างสงบเหมือนสมณะ จึงจะสามารถทำใจให้หยุดนิ่งได้ง่าย (น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี สมโณ โหติ ปรํ วิเห ฐยนฺโต)

หลักการ คือ หลักการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องมี 3 ประการ ได้แก่
1. ไม่ทำบาปทุกชนิด จะบาปมากหรือบาปน้อยก็ไม่ทำ เพราะมีกฏแห่งกรรมคอยบังคับอยู่ ต้องศึกษาจากท่านผู้รู้ว่าสิ่งใดควรทำ หรือไม่ควรทำ บาปแม้เพียงน้อยนิดไม่คิดทำ (สพฺพปาปสฺส อกรณํ)
2. ทำความดีให้ถึงพร้อม ความดีอะไรที่มีอยู่ในโลกนี้ ถ้ามีโอกาสต้องทำให้เต็มที่ บุญแม้น้อยนิดก็ต้องคิดทำ ไม่ว่าคนอื่นจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม (กุสลสฺสูปสมฺปทา)
3. กลั่นจิตของตนให้ใส โดยหมั่นนั่งสมาธิ(Meditation)ทุกวันไม่ให้ขาด เมื่อใจใสมากแล้ว พระนิพพานก็ไม่ไกลเกินจะไปถึง เพราะสมาธิก็คือใจที่ตั้งมั่นที่เป็นกุศล (สจิตฺตปริโยทปนํ)



-NWO- -http://www.sookjai.com/index.php?topic=57495.msg86122#msg86122
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2013, 11:40:10 pm »




“วันมาฆบูชา” ปีนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ วันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ซึ่งเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เพราะมีเหตุการณ์พิเศษที่มาบรรจบกัน ๔ ประการ หรือที่เรารู้จักกันดีว่า “จาตุรงคสันนิบาต” เหตุการณ์อัศจรรย์ในวันมาฆบูชา ๔ ประการ ได้แก่

(๑) คืนนั้นเป็นวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ หรือเดือน ๔ ในปีที่มีอธิกมาส
(๒) พระสงฆ์จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
(๓) พระสงฆ์ทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ ผู้ทรงอภิญญา ๖
(๔) พระสงฆ์ทั้งหมดเป็นเอหิภิกขุ ผู้ได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้า

พระพุทธองค์ทรงเห็นปรากฏการณ์พิเศษนี้ จึงทรงแสดง “โอวาทปาติโมกข์” แก่ที่ประชุมสงฆ์ เนื้อหาของโอวาทปาติโมกข์ คนส่วนมากมักจดจำกันเพียง ๓ ข้อ คือ การไม่ทำบาปทั้งปวง, การทำความดีให้ถึงพร้อม, การทำจิตของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส เพราะโบราณไทยท่านบัญญัติให้เป็น “หัวใจ” หรือแก่นของพระพุทธศาสนา แต่ความจริงแล้ว โอวาทปาติโมกข์มีถึง ๑๓ หัวข้อ คือ

๑. ขันติ คือ ความอดกลั้น เป็นเครื่องเผากิเลสที่ยอดเยี่ยมที่สุด
๒. พระนิพพาน ผู้รู้ทั้งหลายกล่าวว่าเป็นยอด (เป็นเป้าหมายสูงสุดแห่งชีวิต)
๓. ผู้ที่ฆ่าหรือทำร้ายคนอื่นอยู่ มิใช่บรรพชิต
๔. ผู้เบียดเบียนคนอื่นอยู่ มิใช่สมณะ
๕. ไม่ทำบาปทั้งปวง
๖. ทำความดีให้ถึงพร้อม
๗. ทำจิตของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส
๘. ไม่ว่าร้ายคนอื่น
๙. ไม่เบียดเบียนคนอื่น
๑๐. เคร่งครัดในระเบียบข้อบังคับ
๑๑. อยู่ในที่นั่งที่นอนอันสงัด
๑๒. รู้จักประมาณในอาหารการกิน
๑๓. ฝึกจิตให้มีสมาธิขั้นสูง


-http://www.facebook.com/thavorn.petchteep

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 16, 2011, 06:01:48 pm »



TonightShow-14-Feb-2011 3/5 อัปโหลดโดย nongmaiFanClub เมื่อ 14 ก.พ. 2011
TonightShow-14-Feb-2011 3/5
ทูไนท์โชว์ - ท่านว.เทศนาวันมาฆะ 14Feb11 3/5


TonightShow-14-Feb-2011 4/5 TonightShow-14-Feb-2011 4/5


TonightShow-14-Feb-2011 5/5 TonightShow-14-Feb-2011 5/5

คำว่า มาฆบูชา แปลว่า การบูชาพระรัตนตรัยในวันเพ็ญเดือน 3 เป็นวันรำลึกถึงวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงกระทำการประชุมอรหันตสาวก เพือแสดงหลักการ วิธีการ และอุดมการ ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ... ซึ่งในวันนั้น มีเหตุการสำคัญเกิดขึ้น 4 ประการ ซึ่งเราเรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต คือ การประชุมอันพร้อมด้วยองค์ 4 ประการ คือ
1. วันนั้นเป็นวันเพ็ญเดือนมาฆะ หรือ มฆะ (เพ็ญเดือน 3)
2. พระอรหันต์ 1250 รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
3. พระอรหันต์เหล่านั้น เป็นผู้ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานการบวชให้ทั้งหมด
4. พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์

       องค์ 4 ประการนี้ บางแห่งอาจมี 4 ประการที่ไม่เหมือนกัน แต่เป็นที่สรุปได้ว่า มีเหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้นในวันนั้น ก็ถือว่าเป็นสันนิบาตได้ เหตุการณ์ที่น่าสำคัญควรจะมาอยู่ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ .....

สิ่งที่น่าศึกษาในโอวาทปาฏิโมกข์
ในโอวาทปาฏิโมกข์ ท่านแบ่งออกเป็น 3 ตอน คือ
1. สัพพะปาปัสสะ อะกะรณัง  การไม่ทำบาปทั้งปวง
    กุสะลัสสูปะสัมปะทา    การทำกุศลให้ถึงพร้อม
    สะจิตตะปะริโยทะปะนัง  การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว
    เอตัง พุทธานะสาสะนัง    นี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย


 2. ขันตี ปะระมัง ตะโป ตีติกขา   ขันติ คือ ความอดกลั้น เป็นธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง
     นิพพานัง ปะระมัง วะทันติ พุทธา  พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสว่า นิพพาน เป็นธรรมอันประเสริฐสุด
     น หิ ปัพพะชิโต ปะรูปะปฆาตี       ผู้ที่ยังฆ่าผู้อื่นอยู่ ไม่จัดว่าเป็นบรรพชิต
     สะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐะยันโต    ผู้ที่ยังเบียดเบียนผู้อื่นอยู่ ไม่จัดว่าเป็นสมณะ

3. อะนูปวาโท            การไม่เข้าไปว่าร้ายใคร
     อะนูปฆาโต           การไม่เข้าไปทำร้ายใคร
     ปาฏิโมกเข จะ สังวะโร  การสำรวมในพระปาฏิโมกข์ คือ ศีลของภิกษุ
     มัตตัญญุตา จะ ภัตตัสะมิง  รู้จักประมาณในการบริโภค
     ปันตัญจะ สะยะนาสะนัง    ให้อยู่ในทีที่สงัด
     อะธิจิตเต จะ อาโยโค      หมั่นประกอบความเพียรทางจิตให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
     เอตํ พุทธานะสาสะนัง       นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ฯ


ทั้ง 3 ตอนนี้ จะบอกถึง หลักการ วิธีการ และอุดมการณ์ ในทางพระพุทธศาสนา คืออย่างไร ?
หลักการ ในทางพระพุทธศาสนา ก็คือ
          สัพพะปาปัสสะ อะกะรณัง  ต้องไม่ทำบาปทั้งปวง
          กุสะลัสสูปะสัมปะทา       ควรทำกุศลให้ถึงพร้อม
          สะจิตตะปะริโยทะปะนัง   ควรทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว


วิธีการ ในทางพระพุทธศาสนา ก็คือ
     อะนูปวาโท                      การไม่เข้าไปว่าร้ายใคร
     อะนูปฆาโต                      การไม่เข้าไปทำร้ายใคร
     ปาฏิโมกเข จะ สังวะโร          การสำรวมในพระปาฏิโมกข์ คือ ศีลของภิกษุ
     มัตตัญญุตา จะ ภัตตัสะมิง       รู้จักประมาณในการบริโภค
     ปันตัญจะ สะยะนาสะนัง         ให้อยู่ในที่ที่สงัด
     อะธิจิตเต จะ อาโยโค           หมั่นประกอบความเพียรทางจิตให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป


และอุดมการณ์ ในทางพระพุทธศาสนา ก็คือ
     ขันตี ปะระมัง ตะโป ตีติกขา          ขันติ คือ ความอดกลั้น เป็นธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง
     นิพพานัง ปะระมัง วะทันติ พุทธา    พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสว่า นิพพาน เป็นธรรมอันประเสริฐสุด
     น หิ ปัพพะชิโต ปะรูปะปฆาตี       ผู้ที่ยังฆ่าผู้อื่นอยู่ ไม่จัดว่าเป็นบรรพชิต
     สะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐะยันโต   ผู้ที่ยังเบียดเบียนผู้อื่นอยู่ ไม่จัดว่าเป็นสมณะ


       หลักการ วิธีการ และอุดมการณ์ทั้ง 3 อย่างนี้ เป็นสิ่งที่ภิกษุผู้ร่วมประชุมในขณะนั้น ผู้จะออกไปเผยแผ่พระศาสนา จะต้องยึดเป็นหลัก การจะเข้าไปสั่งสอนผู้อื่น จะต้องไม่ไปว่าร้ายใคร ไม่ทำร้ายใคร ให้สำรวมในศีล รูจักประมาณในการบริโภค ให้อยู่ในที่สงัด และต้องหมั่นประกอบความเพียรทางจิต
ในการสอนหรือการเผยแผ่นั้น ต้องยึดหลักการว่า ต้องไม่ทำบาป ให้ทำบุญกุศล ให้ทำจิตให้ผ่องแผ้ว เป็นหลัก ฯ
ในฝ่ายของอุดมการณ์นั้น พระนิพพาน เป็นอุดมการณ์อันสูงสุด แต่บุคคลผู้ยึดถือเพศแหงบรรชิต จะได้ชื่อว่าเป็นบรรพชิตนั้น ต้องไม่เข้าไปฆ่าผู้อื่น จะเป็นสมณะได้ต้องไม่เบียดเบียนผู้อื่น และข้อสำคัญ ความอดทน มีตบะ มีความเพียร จะทำให้ดำรงเพศบรรชิต ไว้ได้ นี้จัดเป็นอุดมการณ์หลักในทางพระพุทธศาสนา ฯ

       อนึ่ง โอวาทปาฏิโมกข์นี้ พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงแก่พระอรหันต์สาวก เพื่อยึดถือเป็นแนวทางในการเผยแผ่พระศาสนา แต่สำหรับประชาชนทั่วไปนั้น ก็สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ คือ
     หลักการทั้ง 3 ข้อนั้นต้องยึดเป็นหลักให้มั่น จะทำอะไรก็แล้วแต่ จะเป็นอาชีพหรือไม่เป็นอาชีพ จะทำทางกาย วาจา หรือทางใจ ทางโลก หรือทางธรรม จิตจะต้องไม่เป็นบาป ในขณะเดียวกัน จิตจะต้องประกอบด้วยบุญกุศล และจิตใจต้องผ่องแผ้ว กิจกรรมทุกอย่างถ้ายึดหลักการได้อย่างนี้ เป็นอันไม่ผิด จัดว่าได้ปฏิบัติตามคำสอนในทางพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง ....ฯ
        อนึ่ง กิจกรรมทุกอย่าง ท่านบอกวิธีการว่า จะต้องไม่กล่าวว่าร้ายใคร (อนูปะวาโท)  เช่นตัวเองทำบุญ แต่ไปเห็นคนอื่นไม่ทำ ก็อย่าไปกล่าวว่าร้ายเขา ว่าเขาไม่รู้จักทำบุญกุศล เป็นต้น ฯ ไม่ไปทำร้ายใคร จะทำบุญก็ไม่ควรไปทำร้ายสัตว์ หรือฆ่าสัตว์ คือ ฆ่าสัตว์เอาไปทำบุญ หรือฆ่าสัตว์เพื่อบูชาสิ่งต่าง ๆ  (อนุปะฆาโต) ฯ มีความสำรวมในศีล คือ รักษาศีลตามสถานะของตนนั่นเอง คือ เป็น ฆราวาส (ูผู้ครองเรือน มิใช่นักบวช) ก็รักษาศีล 5 ศีล 8 เป็นต้น ฯ

        อีกอย่างหนึง คำว่า "มัตตัญญุตา จะ ภัตตัสมิง" รู้จักประมาณในการบริโภค รวมไปถึงต้องรู้ว่าจะบริโภคอะไร  อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ ข้อนี้ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นเดียวกัน จะเห็นได้ว่า ในปัจจุบันนี้ การไม่รู้จักประมาณในการบริโภค เป็นเหตุให้มนุษย์เราเป็นโรคอ้วน ไขมันมากเกินไป นำมาซึ่งโรคภัยต่าง ๆ มากมาย ฯ และอีกอย่างหนึ่ง ผู้ที่บริโภคสิ่งที่เป็นพิษต่อร่างกาย เช่น สุรา เบียร์ ยาเสพติดต่าง ๆ ก็จัดว่าเป็นผู้ไม่รู้จักประมาณในการบริโภคได้เช่นกัน  ฯ อีกประการหนึ่ง การไม่รู้จักประมาณในการบริโภคที่เป็นไปสำหรับคฤหัสถ์ หรือฆราวาสนั้น ท่านจัดเอาการไม่รู้จักบริโภคกามเข้าไปด้วย มุ่งหมายถึงการมีเพศสัมพันธ์ พูดง่าย ๆ การผิดศีลห้าข้อ กาเมสุมิจฉาจาร นั่นเอง ข้อนี้อาจมีโทษหนัก เพราะเป็นเหตุนำมาซึ่งโรคเอดส์ ซึ่งคร่าชีวิตคนมามากต่อมากแล้ว ฯ  นี่เป็นโทษของการไม่รู้จักประมาณ ไม่รู้จักวิธีบริโภคอย่างถูกต้อง ฯ

       อนึ่ง ผู้ที่จะบำเพ็ญเพียรทางจิต ควรอยู่ในที่อันสงัด ในที่ที่สมควร เพื่อประโยชน์ในการทำจิตให้ยิ่ง หรือคิดทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ เพื่อทำจิตให้เป็นสมาธิได้ง่าย เป็นประโยชน์ในการศึกษาเล่าเรียน และอะไร ๆ อีกหลายอย่าง เช่น สมาธิ สามารถช่วยระงับโรคบางอย่างได้ เป็นต้น ..........ฯ
       นิพพานเป็นอุดมการณ์อันสูงสุดในทางพระพุทธศาสนา เพื่อความสิ้นทุกข์ทั้งปวง หมดสิ้นขันธ์ห้า ไม่ต้องมีการเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ..........ฯ

-http://www.bds53.com/?name=article&file=readknowledge&id=169