ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
พิมพ์คำว่า (แสงธรรมนำทางธรรมะนำใจ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: Dazzingcolo
« เมื่อ: กันยายน 15, 2015, 05:19:39 pm »

เขียนได้ละเอียดมากเลยครับผม มองได้หลายๆ มุมเลยครับผม
ข้อความโดย: Kurokokiqiza
« เมื่อ: กันยายน 05, 2015, 03:45:04 pm »

อ่านแล้วมองอะไรได้กว้างกว่าเดิมเยอาะเลยครับผม
ข้อความโดย: Fisazkie
« เมื่อ: สิงหาคม 28, 2015, 02:03:02 pm »

มันจะมีจริงเปล่าครับ แล้วมันเคยมีมั้งยังครับ
ข้อความโดย: nidnhoi
« เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2013, 07:50:44 pm »

 :47:
อปายิกภัย

ภัยลึกลับในอนาคตอีกประการหนึ่ง ซึ่งเป็นชื่อเรียกเป็นศัพท์ว่าอปายิกภัยนี้ ได้แก่ ภัยที่เกิดจากการไปอุบัติเป็นสัตว์ในอบายภูมิ * หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าในชาตินี้เราโชคดีได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ในมนุษย์โลกซึ่งจัดว่าเป็นสุคติภูมิ แล้วยังประสบโชคดีเป็นซ้ำสอง เพราะได้เกิดมาพบบวรพระพุทธศาสนา หากว่ามีความประสงค์จะได้บรรลุธรรมวิเศษคือมรรคผลนิพพาน เพื่อนำตนให้พ้นภัยในวัฏสงสารถึงความเป็นผู้สิ้นเวรกรรม เราก็สามารถที่จะกระทำได้ ด้วยการปฏิบัติตามกระแสพระพุทธฏีกา แม้ว่าจะไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพานในชาตินี้ เพราะวาสนาบารมียังไม่แก่กล้าสมบูรณ์ดี แต่ก็อาจจะเป็นอุปนิสัยปัจจัย เพื่อให้ได้บรรลุธรรมวิเศษในอนาคตกาลภายหน้า

หากว่าเราปล่อยให้ความโชคดีซึ่งเราได้รับอยู่นี้ผ่านไป โดยไม่ได้ทำอะไรให้สมกับโอกาสดีได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา เมื่อถึงแก่กาลกิริยาตายจากชาตินี้ไป การที่จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์เหมือนในชาตินี้อีก ในฐานะที่เป็นปุถุชนคนมีกรรมอยู๋เช่นนนี้ ย่อมมีโอกาสที่จะพึงได้ยากนักหนา ปราชญ์ทั้งหลายย่อมกล่าวว่า บรรดามนุษย์ที่ตายไปจากมนุษย์โลกนั้น เขาต่างพากันไปสู่อบายภูมิมากกว่าสุคติภูมิ อุปมาเหมือนกับขนโคกับเขาโค คือ มนุษย์ทั้งหลายที่ทำกิริยาตายลงไปทุกวันนี้น่ะ เขาพากันไปเกิดในจตุราบายภูมิ โดยไปเกิดเป็นสัตว์นรกในนิรภูมิบ้าง ไปเกิดเป็นเปรตในเปตติวิสยภูมิ ไปเกิดเป็นอสุรกายในอสุรกายภูมิบ้าง และไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานในเดรัจฉานภูมิบ้าง

ต่างไปเกิดในอบายภูมิทั้ง ๔ นี้ มีปริมานมากมายเท่าขนโค ส่วนมนุษย์ที่โชคดีได้กลับมาเป็นมนุษย์ในมนุษย์โลก และจะได้ไปเกิดเป็นเทวดาในเทวโลกเป็นสุคติภูมิ มีปริมาณน้อยยิ่งนักเทียบได้กับเขาโคเท่านั้น โคตัวหนึ่งมี 2 เขา แต่มีขนเท่าไรเล่า ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย โอ…มีจำนวนมากมายจนไม่มีใครอยากจะนับทีเดียว ขนโคทั้งตัวที่มีจำนวนมากมายนั่นแล เทียบได้กับเหล่ามนุษย์ที่พากันไปเกิดในจตุราบาย ฝ่ายเหล่ามนุษย์ที่มีโกาสกลับมาเป็นมนุษย์หรือไปเกิดเป็นเทดา ย่อมมีแต่เพียงคู่หนึ่ง ซึ่งเท่ากับจำนวนเขาโค
สมมุติว่าตัวเราซึ่งกำลังได้รับโชคดีได้เกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศานาอยู่ขณะนี้ หากมีอันเป็นแก่ถึงกาลกิริยาไปมิใช่อยู่ในประเภทเขาโค แต่บังเอิญไพล่เข้าไปอยู๋ในประเภทขนโค โซซัดโซเซพลัดไปอุบัติเกิดในจตุราบายอันชั่วร้ายภูมิใดภูมิหนึ่งเข้าแล้ว จะเป็นอย่างไร คงจะวุ่นวายน่าเสียดายนัก เมื่ถึงขั้นนี้แล้ว อย่าว่าแต่จะปรารถนาเอามรรคผลนิพพานอันเป็นยอดสมบัติเลย แม้แต่มนุษย์สมบัติ เทวดาสมบัติ คือ การได้เกิดเป็นมนุษย์หรือไปเกิดเป็นเทวดา ก็ฌป็นอันเหลือวิสัยที่จะสมปรารถนา ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงกล่าวว่า อปายิกภัย คือการที่ต้องไปอุบัติเกิดเป็นสุตว์ในอบายภูมิ เป็นภัยลึกลับที่น่ากลัว ซึ่งกำลังจ้องคอยตัวเราอยู๋ในอนาคตกาล

ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ภัยที่เกิดจากการที่ต้องตั้งคอแหวนหน้าคอยฟังคำสั่งสอนของศาสดาต่างๆอย่างไม่มีวันสิ้นสุด และภัยที่เกิดจากการที่ต้องไปอุบัติเป็นสัตว์ในจตุราบายให้ได้รับความทุกข์ทรมานในอนาคตกาลภายหน้าเช่นกล่าวมานี้ ล้วนเป็นภัยลึกลับที่น่าเกรงกลัวอย่างยิ่ง น่าเกรงกลัวยิ่งกว่าภัยที่ปรากฏเฉพาะหน้า เช่น อัคคีภัย อุทกภัย วาตภัย โจรภัย ราชภัย และวาฬภัย เป็นต้น ซึ่งให้ผลเป็นความทุกข์ความเดือดร้อนในปัจจุบันชาตินี้เสียอีก เพราะเหตุใร ! เพราะเหตุว่า ภัยอันตรายเหล่านี้สามารถจะให้ผลเป็นความทุกข์ความเดือดร้อนเฉพาะในชาติปัจจุบันชาติเดียวเท่านั้น แล้วก็แล้วกันไป

แต่ภัยลึกลับร้ายกาจซึ่งเกิดจากการต้องคอยแหวนหน้าดูศาสดาต่างๆที่เป็นศาสนาที่สั่งสอนแบบผิดๆ และภัยที่เกิดจากการที่ต้องไปอุบัติเป็นสัตว์ในจตุราบายนั้น นอกจากจะให้ผลร้ายในชาติปัจจุบันแล้ว ยังสามารถฉุดกระชากลากไปเกิดในอบายภูมิทั้งหลายได้ หลายชาติหลายภพหนักหนา มิใช่ว่าแต่เพียงชาติเดียวภพเดียว และการไปเกิดในอบายภูมิ เช่น การไปเกิดเป็นสัตว์นรกนั้น แม้แต่ไปเกิดอยู๋เพียงชาติเดียว ก็ป็นเรื่องที่น่าหวาดเสียวสะดุ้งใจยิ่งนัก หากมีญาณวิเศษได้เห็นความเป็นไปในนรกภูมิแล้วไซร้ คงจะเกิดความสะดุ้งใจเกรงขามไปตามๆกัน

ทั้งนี้ก็เพราะในนรกบางขุมนั้น ปรากฏมีหม้อน้ำทองแดงอันเดือดพล่าน ตั้งแต่ปากหม้จนถึงก้นหม้ สัตว์นรกที่เคยเป็นมนุษย์แต่ตายไปตกนรกหม้อทองแดง จะมีโอกาสโผล่ขึ้นมาแต่ละครั้งนานแสนนาน ท่านกล่าวว่า ระยะเวลาที่สัตว์นรกจมลงไปและลอยขึ้นมาแต่ละครั้งอย่างรวดเร็ว ก็ต้องใช้เวลานานถึง ๖๐,๐๐๐ ปี พอโผล่ขึ้นมาที่ปากหม้ได้ไม่ถึงอึดใจก็ให้มีอันจมลงไปในหม้อนรกนั้นอีกเสียแล้ว ลอยขึ้นและจมดิ่งลงอยู๋อย่างนี้ ไม่รู้ว่ากี่เที่ยวต่อกี่เที่ยวจึงจะพ้นจากทุกข์โทษ และนรกบางขุมปรากฏว่ามีไฟนรกอันร้อนแรงเผาไหม้อยู่ตลอดกาล บรรดาสัตว์ที่ไปเกิดในนรกขุมนั้น ย่อมจะถูกไฟนรกเผาไหม้เป็นนิรันดรกาล จนกว่าจะสิ้นชาตินรกซึ่งนับเวลานานเป็นแสนเป็นล้านปี

เช่นนี้แล้วจะเป็นอย่างไร หมายความว่าสัตว์นรกเหล่านั้น จะได้รับความทุกข์ทรมาน ด้วยความร้อนแรงแห่งไฟนรกขนาดไหน เพียงแต่หัวไม้ขีดไฟกระเด็นถูกอวัยวะร่างกายนิดหน่อย เราทั้งหลายก็ให้มีอันสะดุ้งโหยงกันแล้ว เพราะฤทธิ์ที่เกิดจากความร้อนของไฟธรรมดา ถ้าไปถูกไฟนรกเผาไหม้ทั้งร่างกายนานนับเป็นร้อยเป็นพันศตวรรษเล่า จะรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวได้รับความทุกข์ทรมานสักเพียงใด ขอให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายจงพิจารณาไตร่ตรองดูเถิด จะอย่างงไรก็ดีใคร่ขอย้ำความไว้ในที่นี้ เพื่อให้รับทราบโดยตระหนักว่า มหาภัยลึกลับอันมีฤทธิ์ร้าย ซึ่งสามารถจะฉุดกระชากตัวเราผู้มีกรรมไปสู๋อบายภูมิในอนาคตกาลภายหน้านั้น มันกำลังจ้องคอยเราอยู่ด้วยความกระหาย
เมื่อหยั่งทราบความเป็นไปในปัจจุบันว่า ตัวเรานี้เป็นผู้โชคดีเกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ซึ่งปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่าเป็นมหาลาภอันประเสริฐสุด และหยั่งทราบในอนาคตภายหน้าว่า หากตัวเรามีมหาลาภในปัจจุบันนี้ ยังมีกรรมติดตัวก็ย่อมจักต้องมีมหันภัยลึกลับจ้องคอยเราอยู๋ด้วยความกระหาย ในกรณีนี้จะทำอย่างไรดี ก็ต้องหาวิธีป้องกันภัยลึกลับไม่ให้ตกต้องมาถึงตัวเราได้เท่านั้นเอง

วิธีป้องกันที่ถูกต้องและดีที่สุดก็คือ ต้องพยายามปฏิบัติตามพระโอวาทานุสาสนีแห่งสมเด็จพระชินสีห์เจ้า โดยการเข้าบำเพ็ญวิปัสนากรรมฐานจนกระทั่งได้บรรลุพระอริยะมรรคญาณอันประเสริฐ แต่พอพระอริยมรรคญาณบังเกิดขึ้นในขันทสันดาน พระอริยมรรคญาณนั้นจะกลายเป็นไฟเผาผลาญสังหารกรรมทันที ตอนนี้เอง กรรมอันเป็นตัวการสำคัญซึ่งทำหน้าที่ชักนำให้ไปพบกับภัยลึกลับในอนาคต ก็จักถูกเผาผลาญสังหารให้หมดสิ้นออกไปตามลำดับ และเมื่อกรรมอันเป็นตัวการสำคัญถูกสังหารเผาผลาญทำลายลงเช่นนี้แล้ว เราก็จะเป็นผู้ปลอดแคล้วจากภัยลึกลับที่จ้องคอยอยู่นั้นโดยไม่ต้องสงสัย
นอกจากจะเป็นวิธีป้องกันภัยลึกลับในอนาคตได้อย่างเด็ดขาดดังกล่าวมา การบำเพ็ญวิปัสนากรรมฐานตามกระแสพระะทธฏีกา ยังอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้บำเพ็ญเป็นเอนกประการ ตั้งแต่ประโยชน์สุขชั้นต้นจนถึงประโยชน์สุขชั้นสูงสุดคือพระนิพพาน ดังนั้นจึงใคร่จะขอโอกาสกล่าวเป็นครั้งสุดท้ายไว้ในที่นี้ว่า อีกไม่ช้านาน เราก็จะพากันถึงแก่กาลกิริยาตายจากบวรพระพุทธศาสนาไปแล้ว แต่ก่อนที่จะจากไป สมควรที่จะได้แสวงหาสมบัติแก้ว คือพระนิพพานเอามาเป็นสมบัติแห่งตนให้จงได้

อย่ามัวพะวงหลงใหลเที่ยวไขว่ขว้าแสวงหาสมบัติอื่นใดให้วุ่นวายไปนักเลย ไม่สำเร็จประโยชน์ที่แท้จริงหรือเป็นแก่นสารอย่างไรหรอก จงเชื่อเถิด ทั้งนี้ก็เพราะสมบัติทั้งหลายอื่นไม่สามารถชักนำเราผู้มีกรรมให้พ้นไปจากเวรกรรมได้ แต่พระนิพพานสมบัติอันมีอยู่แต่เฉพาะพระพุทธศาสนา ควรจะนับได้ว่าเป็นยอดสมบัติทรงคุณประเสริฐยิ่งกว่าสมบัติทั้งปวง เพราะอาจช่วยเราให้ล่วงพง้นจากกองทุกข์ใหญ่ในวัฏสงสาร อันเป็นการหมดสิ้นเวรกรรมทั้งหลายได้อย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ จึงขอให้ทานผู้มีปัญญาจงอนุสรณ์ถึงพระนิพพานสมบัติ แล้วรีบเร่งวิปัสสนากรรมฐานตามกระแสพระพุทธฏีกา เพื่อคว้าเอาพระนิพพานสมบัติมาไว้ในอุ้งหัตถ์แห่งตนเสียแต่บัดนี้ จะได้ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ขอจงรับทราบไว้โดยตระหนักเถิดว่า เวรกรรมของเรานี้จะไม่มีวันสิ้นสุดลงไปเป็นอันขาด หากว่าไม่มีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามพระโอวาทานุสาสนี แต่เวรกรรมของเรานี้จะถึงความสิ้นสุดลงไปได้ ในเมื่อมีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามครรลองแห่งพระพุทธโอวาส ปราชญ์ทั้งหลายสรรเสริญสดุดีผูปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานว่า เป็นผู้สร้างปราการอันแข็งแกร่งสำหรับปิดกั้นอบายภูมิให้กับตน อันจะเป็นเหตุให้ล่วงพ้นมุขมณฑลแห่งมฤตยู เพื่อเดินทางเข้าไปสู่สถานถิ่นที่สิ้นเวรกรรมคืออมตมหานฤพาน ด้วยประการฉะนี้.
 :17:
 

*หมายเหตุ

อบายภูมิ คือแดนแห่งความเสื่อม แบ่งออกเป็น 4 ภูมิ ได้แก่
1. นิรยภูมิ หรือ นรก จัดอยู่ในอบายภูมิอันดับที่ 1 เป็นดินแดนที่ปราศจากความสุขสบาย สัตว์ที่ตกลงไปสู่นรก เพราะบาปกรรมชั่วที่ตนกระทำไว้เป็นอาจิณกรรม เมื่อตกลงไปแล้วจะต้องได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสไม่มีเวลาว่างเว้นจากการลงทัณฑ์ทรมาน นรกมีที่ตั้งอยู่ใต้เขาตรีกูฏ มีทั้งหมด 8 ขุมใหญ่ ที่เรียกว่า มหานรก และยังมีขุมบริวาร เรียกว่า อุสสทนรกอีก 128 ขุม มีนรกขุมย่อย ที่เรียกว่ายมโลกอีก 320 ขุม สัตว์ที่ใช้กรรมในมหานรกหมดแล้ว จะต้องมารับกรรมในอุสสทนรก และยมโลกต่อไป จนกว่าจะหมดกรรมที่ตนได้กระทำไว้

2. เปตติวิสยภูมิ หรือ ภูมิเปรต จัดอยู่ในอบายภูมิอันดับที่ 2 เป็นดินแดนที่มีแต่ความเดือดร้อน อดอยาก หิวกระหาย เปรตแบ่งออกเป็นหลายประเภท แต่ที่นิยมแบ่งกันมาก คือ เปรต 12 ตระกูล ที่อยู่ของเปรตนั้นมีอยู่ที่ซอกเขาตรีกูฏ และมีปะปนอยู่กับมนุษยโลกด้วย แต่เป็นภพที่ละเอียดกว่า เหตุที่ทำให้มาเป็นเปรตเพราะทำอกุศลกรรมประเภทตระหนี่ หวงแหนทรัพย์เป็นหลัก การเกิดเป็นเปรตนั้นมี 2 ลักษณะ คือ ผ่านมาจากมหานรก อุสสทนรก และยมโลก กับจากมนุษย์ผู้กระทำอกุศลกรรม ละโลกแล้วไปเกิดเป็นเปรต

3. อสุรกายภูมิ จัดอยู่ในอบายภูมิอันดับที่ 3 เป็นดินแดนที่ปราศจากความร่าเริง อสุรกายมีลักษณะคล้ายกับเปรตมาก แยกแยะได้ลำบาก และอยู่ในภพภูมิเดียวกันกับเปรต คือ ซอกเขาตรีกูฏ มีรูปร่างที่ประหลาด เช่น หัวเป็นหมูตัวเป็นคน มีความเป็นอยู่ที่ยากลำบากเช่นเดียวกับเปรต คือ อยู่ด้วยความหิวกระหาย แต่หนักไปทางกระหายน้ำมากกว่าอาหาร ที่ต้องเกิดมาเป็นอสุรกายเพราะความโลภอยากได้ของผู้อื่นในทางมิชอบ

4. ติรัจฉานภูมิ จัดอยู่ในอบายภูมิอันดับที่ 4 เป็นอบายภูมิอันดับสุดท้าย ที่มีความทุกข์ทรมานน้อยกว่าสัตว์ที่เกิดในนรก เปรต และอสุรกาย ที่ชื่อเดียรัจฉาน เพราะมีลำตัวไปทางขวาง อกขนานกับพื้น และจิตใจก็ขวางจากหนทางพระนิพพานด้วย ที่อยู่ของสัตว์เดียรัจฉานนี้ อยู่ปะปนกับมนุษย์ทั่วไปที่เราเห็น สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ตามจำนวนเท้าของสัตว์ ตั้งแต่ สัตว์ไม่มีเท้า สัตว์มี 2 เท้า สัตว์มี 4 เท้า และสัตว์มีเท้ามากกว่า 4 ขึ้นไป
จาก
 :13:http://kuakiddeedee.wordpress.com/ :13:

ข้อความโดย: nidnhoi
« เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2013, 07:43:04 pm »

โดย พระเทพมุนี(วิลาศ ญาณวโร)

 :23:ในปัจจุบันกาลนี้ ถึงแม้ว่าเราจะโชคดี โดยได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาที่บรรจุคำสอนเรื่องกรรมไว้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริงแล้วก็ตามที แต่ก็อย่าพึ่งดีอกดีใจในความเป็นผู้มีโชคดีของเราให้มากมายไปนัก ทั้งนี้ก็เพราะว่าเรายังไม่หมดกรรม  ยังมีกรรมอยู่มากมาย ตราบใดที่ยังผลาญสังหารกรรมไม่ได้ คือ ยังมีกรรมมีเวรเป็นปุถุชนอยู่ ตราบนั้นปราชญ์ผู้มีปัญญาทั้งหลาย ท่านเตือนให้คอยระวัง !

ระวังอะไร? ระวังภัยลึกลับในอนาคตที่คอยจ้องตะครุบสัตว์โลกเอาไปบริโภคเป็นอาหารอยู่ตลอดเวลา เพราะมีฤทธิ์เดชร้ายกาจนักหนา ภัยลึกลับในอนาคตที่ควรนำมากล่าวไว้มีอยู่ ดังต่อไปนี้

นานาสัตถุอุลโลกนภัย
ภัยลึกลับในอนาคต ชื่อ นานาสัตถุอุลโลกนภัยนี้ ได้แก่ ภัยอันเกิดจากการคอยแหวนหน้ามองดูศาสดาต่างๆอย่างไม่มีวันสิ้นสุด หมายความว่าอย่างไร

หมายความว่า ในชาตินี้เราโชคดีได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และ ได้มีโอกาสพบเคารพเลื่อมใสพระบวรพุทธศาสนาวิเศษโดยมีสมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นองค์พระศาสดา เป็นศาสนาประเสริฐ มีคำสอนสมบูรณ์ ถูกต้องตามสภาพธรรมความเป็นจริง เมื่อมีใจศรัทธาอุตสาหะปฏิบัติตนสมหลักการพระพุทธศาสนา ก็อาจจะคว้าเอาสมบัติตามจิตปรารถนาบรรดามี คือ มนุษย์สมบัติ เทวสมบัติ พรหมสมบัติตลอดถึงนิพพานสมบัติ มาไว้ในอุ้งหัตถ์แห่งตนได้โดยง่ายหากว่าเราตายจากโลกนี้ไปแล้ว  มีคติผ่องแผ้วกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกในอนาคต

การที่จะมีโอกาสสดใสได้พบพระพุทธศาสนาอีกนั้น เป็นอันยากยิ่งยากหนักหนา  ทั้งนี้ก็เพราะว่า พระบวรพุทธศาสนาอันวิเศษแห่งเรานี้ใช่ว่าจะเป็นศาสนาที่มีอยู่ประจำโลกเมื่อไรเล่า แต่ปรากฏอยู่ในโลกเป็นครั้งคราวชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แล้วก็ถึงกาลล่วงลับดับสูญสิ้นไป

เมื่อเราเกิดใหม่มาไม่พบพระพุทธศาสนาแล้ว จะพบอะไร ก็ต้องพบกับศาสนาที่ศาสดาอื่นประกาศขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นศาสนาอะไรก็ได้ที่มิใช่บวรพระพุทธศาสนา ด้วยว่า ธรรมดาสันดานของมนุษย์ทั้งหลายมักชอบอวดรู้ อวดฉลาดอยู่เป็นวิสัย เห็นใครโง่กว่าตนก็มักอวดตนเป็นผู้วิเศษ โดยแสดงตนเป็นศาสดา ประกาศลัทธิศาสนาไปตามสติปัญญาอันโง่เขลาแห่งตน เช่น ศาสดาปูรณกัสสปผู้ประกาศลัทธิศาสนามิจฉาทิฐิ เป็นต้น

มนุษย์ที่ชอบแสดงตนเป็นศาสดาเจ้าลัทธิประกาศศาสนาตามใจชอบนี้ ย่อมมีประจำมนุษย์โลกอยู่เนืองนิตย์ เมื่อเราเกิดเป็นมนุษย์ในอนาคตแล้วได้ฟังคำสอนผิดๆ จากปากของผู้ที่แสดงตนเป็นศาสดา ซึ่งประกาศออกมาว่า

 :03:” เจ้าทั้งหลายเอ๋ย ! บาปบุญไม่มี นรกสวรรค์ ไม่มี บุญคุณแห่งบิดามารดาไม่มี คนเราตายไปแล้ว ก็แล้วกัน  ฉะนั้นเจ้าทั้งหลายไม่ต้องประหวั่นพรั่นพรึงอะไร อยากทำการสิ่งใดก็จงทำไปเถิดตามใจชอบ อย่ากลัวเรื่องบาปบุญคุณโทษ หรือ นรก สวรรค์ ที่คนโบราณว่า ให้เสียเวลาเลย เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นไปไม่ได้ คือ ไม่มีสิ่งที่คนโบราณเพ้อฝันไปเองต่างหากเล่า”

 :01:

“เออ …เห็นจะจริงอย่างที่ท่านว่า”  ตัวเราเองในอนาคต ผู้ไม่ค่อยจะรู้ประสีประสา ซึ่งมีกิริยาแหวนหน้าฟังศาสดาประกาศศาสนาในภายหน้า อาจจะอุทานออกมาด้วยความเลื่อมใสเป็นใจความฉะนี้  แล้วก็ยินดีประพฤติปฏิบัติไปตามคำสอนของศาสดาป่าเถื่อนและโง่เขลานั้นๆ   ประพฤติการอันเป็นบาปชั่วช้า ล่วงอกุศลกรรมบถนานาประการ เมื่อวายปราณตายไปจะเป็นอย่างไร ก็ต้องไปสู่อบาย เพราะอกุศลกรรมชักนำไป เช่นเดียวกับเหล่าสาวกของปูรณกัสสปเดียรถีย์ ซึ่งต้องไปเกิดเป็นผีนรกเพราะประพฤติตามคำสอนอันเป็นมิจฉาทิฐินั้น ครั้นพ้นจากทุกข์โทษในอบายได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ก็ย่อมต้องพบหน้ามนุษย์ซึ่งอ้างว่าตนเป็นศาสดาผู้วิเศษอื่นๆ ซึ่งเราจำต้องฟังคำสอนของเขาอีก  และเขาก็สามารถพาเราผู้แหวนหน้าฟังและประพฤติตามคำสอนของเขาให้ไปลงนรกได้อีกเช่นกัน  สภาพการณ์จะปรากฏอยู่อย่างนี้ไปไม่มีวันสิ้นสุด เพราะศาสดาเหล่านั้นไม่ใช่พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า

ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงกล่าวว่า “นานาสัตถุอุลโลกนภัย” คือ การที่ต้องตั้งคอแหวนหน้าคอยฟังคำสอนของศาสดาในภายหน้านี้ เป็นภัยลึกลับที่น่ากลัว ซึ่งกำลังจ้องมองเราอยู่ในอนาคต
จาก
http://kuakiddeedee.wordpress.com/
 :17: