อปายิกภัย
ภัยลึกลับในอนาคตอีกประการหนึ่ง ซึ่งเป็นชื่อเรียกเป็นศัพท์ว่าอปายิกภัยนี้ ได้แก่ ภัยที่เกิดจากการไปอุบัติเป็นสัตว์ในอบายภูมิ * หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าในชาตินี้เราโชคดีได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ในมนุษย์โลกซึ่งจัดว่าเป็นสุคติภูมิ แล้วยังประสบโชคดีเป็นซ้ำสอง เพราะได้เกิดมาพบบวรพระพุทธศาสนา หากว่ามีความประสงค์จะได้บรรลุธรรมวิเศษคือมรรคผลนิพพาน เพื่อนำตนให้พ้นภัยในวัฏสงสารถึงความเป็นผู้สิ้นเวรกรรม เราก็สามารถที่จะกระทำได้ ด้วยการปฏิบัติตามกระแสพระพุทธฏีกา แม้ว่าจะไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพานในชาตินี้ เพราะวาสนาบารมียังไม่แก่กล้าสมบูรณ์ดี แต่ก็อาจจะเป็นอุปนิสัยปัจจัย เพื่อให้ได้บรรลุธรรมวิเศษในอนาคตกาลภายหน้า
หากว่าเราปล่อยให้ความโชคดีซึ่งเราได้รับอยู่นี้ผ่านไป โดยไม่ได้ทำอะไรให้สมกับโอกาสดีได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา เมื่อถึงแก่กาลกิริยาตายจากชาตินี้ไป การที่จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์เหมือนในชาตินี้อีก ในฐานะที่เป็นปุถุชนคนมีกรรมอยู๋เช่นนนี้ ย่อมมีโอกาสที่จะพึงได้ยากนักหนา ปราชญ์ทั้งหลายย่อมกล่าวว่า บรรดามนุษย์ที่ตายไปจากมนุษย์โลกนั้น เขาต่างพากันไปสู่อบายภูมิมากกว่าสุคติภูมิ อุปมาเหมือนกับขนโคกับเขาโค คือ มนุษย์ทั้งหลายที่ทำกิริยาตายลงไปทุกวันนี้น่ะ เขาพากันไปเกิดในจตุราบายภูมิ โดยไปเกิดเป็นสัตว์นรกในนิรภูมิบ้าง ไปเกิดเป็นเปรตในเปตติวิสยภูมิ ไปเกิดเป็นอสุรกายในอสุรกายภูมิบ้าง และไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานในเดรัจฉานภูมิบ้าง
ต่างไปเกิดในอบายภูมิทั้ง ๔ นี้ มีปริมานมากมายเท่าขนโค ส่วนมนุษย์ที่โชคดีได้กลับมาเป็นมนุษย์ในมนุษย์โลก และจะได้ไปเกิดเป็นเทวดาในเทวโลกเป็นสุคติภูมิ มีปริมาณน้อยยิ่งนักเทียบได้กับเขาโคเท่านั้น โคตัวหนึ่งมี 2 เขา แต่มีขนเท่าไรเล่า ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย โอ…มีจำนวนมากมายจนไม่มีใครอยากจะนับทีเดียว ขนโคทั้งตัวที่มีจำนวนมากมายนั่นแล เทียบได้กับเหล่ามนุษย์ที่พากันไปเกิดในจตุราบาย ฝ่ายเหล่ามนุษย์ที่มีโกาสกลับมาเป็นมนุษย์หรือไปเกิดเป็นเทดา ย่อมมีแต่เพียงคู่หนึ่ง ซึ่งเท่ากับจำนวนเขาโค
สมมุติว่าตัวเราซึ่งกำลังได้รับโชคดีได้เกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศานาอยู่ขณะนี้ หากมีอันเป็นแก่ถึงกาลกิริยาไปมิใช่อยู่ในประเภทเขาโค แต่บังเอิญไพล่เข้าไปอยู๋ในประเภทขนโค โซซัดโซเซพลัดไปอุบัติเกิดในจตุราบายอันชั่วร้ายภูมิใดภูมิหนึ่งเข้าแล้ว จะเป็นอย่างไร คงจะวุ่นวายน่าเสียดายนัก เมื่ถึงขั้นนี้แล้ว อย่าว่าแต่จะปรารถนาเอามรรคผลนิพพานอันเป็นยอดสมบัติเลย แม้แต่มนุษย์สมบัติ เทวดาสมบัติ คือ การได้เกิดเป็นมนุษย์หรือไปเกิดเป็นเทวดา ก็ฌป็นอันเหลือวิสัยที่จะสมปรารถนา ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงกล่าวว่า อปายิกภัย คือการที่ต้องไปอุบัติเกิดเป็นสุตว์ในอบายภูมิ เป็นภัยลึกลับที่น่ากลัว ซึ่งกำลังจ้องคอยตัวเราอยู๋ในอนาคตกาล
ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ภัยที่เกิดจากการที่ต้องตั้งคอแหวนหน้าคอยฟังคำสั่งสอนของศาสดาต่างๆอย่างไม่มีวันสิ้นสุด และภัยที่เกิดจากการที่ต้องไปอุบัติเป็นสัตว์ในจตุราบายให้ได้รับความทุกข์ทรมานในอนาคตกาลภายหน้าเช่นกล่าวมานี้ ล้วนเป็นภัยลึกลับที่น่าเกรงกลัวอย่างยิ่ง น่าเกรงกลัวยิ่งกว่าภัยที่ปรากฏเฉพาะหน้า เช่น อัคคีภัย อุทกภัย วาตภัย โจรภัย ราชภัย และวาฬภัย เป็นต้น ซึ่งให้ผลเป็นความทุกข์ความเดือดร้อนในปัจจุบันชาตินี้เสียอีก เพราะเหตุใร ! เพราะเหตุว่า ภัยอันตรายเหล่านี้สามารถจะให้ผลเป็นความทุกข์ความเดือดร้อนเฉพาะในชาติปัจจุบันชาติเดียวเท่านั้น แล้วก็แล้วกันไป
แต่ภัยลึกลับร้ายกาจซึ่งเกิดจากการต้องคอยแหวนหน้าดูศาสดาต่างๆที่เป็นศาสนาที่สั่งสอนแบบผิดๆ และภัยที่เกิดจากการที่ต้องไปอุบัติเป็นสัตว์ในจตุราบายนั้น นอกจากจะให้ผลร้ายในชาติปัจจุบันแล้ว ยังสามารถฉุดกระชากลากไปเกิดในอบายภูมิทั้งหลายได้ หลายชาติหลายภพหนักหนา มิใช่ว่าแต่เพียงชาติเดียวภพเดียว และการไปเกิดในอบายภูมิ เช่น การไปเกิดเป็นสัตว์นรกนั้น แม้แต่ไปเกิดอยู๋เพียงชาติเดียว ก็ป็นเรื่องที่น่าหวาดเสียวสะดุ้งใจยิ่งนัก หากมีญาณวิเศษได้เห็นความเป็นไปในนรกภูมิแล้วไซร้ คงจะเกิดความสะดุ้งใจเกรงขามไปตามๆกัน
ทั้งนี้ก็เพราะในนรกบางขุมนั้น ปรากฏมีหม้อน้ำทองแดงอันเดือดพล่าน ตั้งแต่ปากหม้จนถึงก้นหม้ สัตว์นรกที่เคยเป็นมนุษย์แต่ตายไปตกนรกหม้อทองแดง จะมีโอกาสโผล่ขึ้นมาแต่ละครั้งนานแสนนาน ท่านกล่าวว่า ระยะเวลาที่สัตว์นรกจมลงไปและลอยขึ้นมาแต่ละครั้งอย่างรวดเร็ว ก็ต้องใช้เวลานานถึง ๖๐,๐๐๐ ปี พอโผล่ขึ้นมาที่ปากหม้ได้ไม่ถึงอึดใจก็ให้มีอันจมลงไปในหม้อนรกนั้นอีกเสียแล้ว ลอยขึ้นและจมดิ่งลงอยู๋อย่างนี้ ไม่รู้ว่ากี่เที่ยวต่อกี่เที่ยวจึงจะพ้นจากทุกข์โทษ และนรกบางขุมปรากฏว่ามีไฟนรกอันร้อนแรงเผาไหม้อยู่ตลอดกาล บรรดาสัตว์ที่ไปเกิดในนรกขุมนั้น ย่อมจะถูกไฟนรกเผาไหม้เป็นนิรันดรกาล จนกว่าจะสิ้นชาตินรกซึ่งนับเวลานานเป็นแสนเป็นล้านปี
เช่นนี้แล้วจะเป็นอย่างไร หมายความว่าสัตว์นรกเหล่านั้น จะได้รับความทุกข์ทรมาน ด้วยความร้อนแรงแห่งไฟนรกขนาดไหน เพียงแต่หัวไม้ขีดไฟกระเด็นถูกอวัยวะร่างกายนิดหน่อย เราทั้งหลายก็ให้มีอันสะดุ้งโหยงกันแล้ว เพราะฤทธิ์ที่เกิดจากความร้อนของไฟธรรมดา ถ้าไปถูกไฟนรกเผาไหม้ทั้งร่างกายนานนับเป็นร้อยเป็นพันศตวรรษเล่า จะรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวได้รับความทุกข์ทรมานสักเพียงใด ขอให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายจงพิจารณาไตร่ตรองดูเถิด จะอย่างงไรก็ดีใคร่ขอย้ำความไว้ในที่นี้ เพื่อให้รับทราบโดยตระหนักว่า มหาภัยลึกลับอันมีฤทธิ์ร้าย ซึ่งสามารถจะฉุดกระชากตัวเราผู้มีกรรมไปสู๋อบายภูมิในอนาคตกาลภายหน้านั้น มันกำลังจ้องคอยเราอยู่ด้วยความกระหาย
เมื่อหยั่งทราบความเป็นไปในปัจจุบันว่า ตัวเรานี้เป็นผู้โชคดีเกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ซึ่งปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่าเป็นมหาลาภอันประเสริฐสุด และหยั่งทราบในอนาคตภายหน้าว่า หากตัวเรามีมหาลาภในปัจจุบันนี้ ยังมีกรรมติดตัวก็ย่อมจักต้องมีมหันภัยลึกลับจ้องคอยเราอยู๋ด้วยความกระหาย ในกรณีนี้จะทำอย่างไรดี ก็ต้องหาวิธีป้องกันภัยลึกลับไม่ให้ตกต้องมาถึงตัวเราได้เท่านั้นเอง
วิธีป้องกันที่ถูกต้องและดีที่สุดก็คือ ต้องพยายามปฏิบัติตามพระโอวาทานุสาสนีแห่งสมเด็จพระชินสีห์เจ้า โดยการเข้าบำเพ็ญวิปัสนากรรมฐานจนกระทั่งได้บรรลุพระอริยะมรรคญาณอันประเสริฐ แต่พอพระอริยมรรคญาณบังเกิดขึ้นในขันทสันดาน พระอริยมรรคญาณนั้นจะกลายเป็นไฟเผาผลาญสังหารกรรมทันที ตอนนี้เอง กรรมอันเป็นตัวการสำคัญซึ่งทำหน้าที่ชักนำให้ไปพบกับภัยลึกลับในอนาคต ก็จักถูกเผาผลาญสังหารให้หมดสิ้นออกไปตามลำดับ และเมื่อกรรมอันเป็นตัวการสำคัญถูกสังหารเผาผลาญทำลายลงเช่นนี้แล้ว เราก็จะเป็นผู้ปลอดแคล้วจากภัยลึกลับที่จ้องคอยอยู่นั้นโดยไม่ต้องสงสัย
นอกจากจะเป็นวิธีป้องกันภัยลึกลับในอนาคตได้อย่างเด็ดขาดดังกล่าวมา การบำเพ็ญวิปัสนากรรมฐานตามกระแสพระะทธฏีกา ยังอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้บำเพ็ญเป็นเอนกประการ ตั้งแต่ประโยชน์สุขชั้นต้นจนถึงประโยชน์สุขชั้นสูงสุดคือพระนิพพาน ดังนั้นจึงใคร่จะขอโอกาสกล่าวเป็นครั้งสุดท้ายไว้ในที่นี้ว่า อีกไม่ช้านาน เราก็จะพากันถึงแก่กาลกิริยาตายจากบวรพระพุทธศาสนาไปแล้ว แต่ก่อนที่จะจากไป สมควรที่จะได้แสวงหาสมบัติแก้ว คือพระนิพพานเอามาเป็นสมบัติแห่งตนให้จงได้
อย่ามัวพะวงหลงใหลเที่ยวไขว่ขว้าแสวงหาสมบัติอื่นใดให้วุ่นวายไปนักเลย ไม่สำเร็จประโยชน์ที่แท้จริงหรือเป็นแก่นสารอย่างไรหรอก จงเชื่อเถิด ทั้งนี้ก็เพราะสมบัติทั้งหลายอื่นไม่สามารถชักนำเราผู้มีกรรมให้พ้นไปจากเวรกรรมได้ แต่พระนิพพานสมบัติอันมีอยู่แต่เฉพาะพระพุทธศาสนา ควรจะนับได้ว่าเป็นยอดสมบัติทรงคุณประเสริฐยิ่งกว่าสมบัติทั้งปวง เพราะอาจช่วยเราให้ล่วงพง้นจากกองทุกข์ใหญ่ในวัฏสงสาร อันเป็นการหมดสิ้นเวรกรรมทั้งหลายได้อย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ จึงขอให้ทานผู้มีปัญญาจงอนุสรณ์ถึงพระนิพพานสมบัติ แล้วรีบเร่งวิปัสสนากรรมฐานตามกระแสพระพุทธฏีกา เพื่อคว้าเอาพระนิพพานสมบัติมาไว้ในอุ้งหัตถ์แห่งตนเสียแต่บัดนี้ จะได้ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ขอจงรับทราบไว้โดยตระหนักเถิดว่า เวรกรรมของเรานี้จะไม่มีวันสิ้นสุดลงไปเป็นอันขาด หากว่าไม่มีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามพระโอวาทานุสาสนี แต่เวรกรรมของเรานี้จะถึงความสิ้นสุดลงไปได้ ในเมื่อมีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามครรลองแห่งพระพุทธโอวาส ปราชญ์ทั้งหลายสรรเสริญสดุดีผูปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานว่า เป็นผู้สร้างปราการอันแข็งแกร่งสำหรับปิดกั้นอบายภูมิให้กับตน อันจะเป็นเหตุให้ล่วงพ้นมุขมณฑลแห่งมฤตยู เพื่อเดินทางเข้าไปสู่สถานถิ่นที่สิ้นเวรกรรมคืออมตมหานฤพาน ด้วยประการฉะนี้.
*หมายเหตุ
อบายภูมิ คือแดนแห่งความเสื่อม แบ่งออกเป็น 4 ภูมิ ได้แก่
1. นิรยภูมิ หรือ นรก จัดอยู่ในอบายภูมิอันดับที่ 1 เป็นดินแดนที่ปราศจากความสุขสบาย สัตว์ที่ตกลงไปสู่นรก เพราะบาปกรรมชั่วที่ตนกระทำไว้เป็นอาจิณกรรม เมื่อตกลงไปแล้วจะต้องได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสไม่มีเวลาว่างเว้นจากการลงทัณฑ์ทรมาน นรกมีที่ตั้งอยู่ใต้เขาตรีกูฏ มีทั้งหมด 8 ขุมใหญ่ ที่เรียกว่า มหานรก และยังมีขุมบริวาร เรียกว่า อุสสทนรกอีก 128 ขุม มีนรกขุมย่อย ที่เรียกว่ายมโลกอีก 320 ขุม สัตว์ที่ใช้กรรมในมหานรกหมดแล้ว จะต้องมารับกรรมในอุสสทนรก และยมโลกต่อไป จนกว่าจะหมดกรรมที่ตนได้กระทำไว้
2. เปตติวิสยภูมิ หรือ ภูมิเปรต จัดอยู่ในอบายภูมิอันดับที่ 2 เป็นดินแดนที่มีแต่ความเดือดร้อน อดอยาก หิวกระหาย เปรตแบ่งออกเป็นหลายประเภท แต่ที่นิยมแบ่งกันมาก คือ เปรต 12 ตระกูล ที่อยู่ของเปรตนั้นมีอยู่ที่ซอกเขาตรีกูฏ และมีปะปนอยู่กับมนุษยโลกด้วย แต่เป็นภพที่ละเอียดกว่า เหตุที่ทำให้มาเป็นเปรตเพราะทำอกุศลกรรมประเภทตระหนี่ หวงแหนทรัพย์เป็นหลัก การเกิดเป็นเปรตนั้นมี 2 ลักษณะ คือ ผ่านมาจากมหานรก อุสสทนรก และยมโลก กับจากมนุษย์ผู้กระทำอกุศลกรรม ละโลกแล้วไปเกิดเป็นเปรต
3. อสุรกายภูมิ จัดอยู่ในอบายภูมิอันดับที่ 3 เป็นดินแดนที่ปราศจากความร่าเริง อสุรกายมีลักษณะคล้ายกับเปรตมาก แยกแยะได้ลำบาก และอยู่ในภพภูมิเดียวกันกับเปรต คือ ซอกเขาตรีกูฏ มีรูปร่างที่ประหลาด เช่น หัวเป็นหมูตัวเป็นคน มีความเป็นอยู่ที่ยากลำบากเช่นเดียวกับเปรต คือ อยู่ด้วยความหิวกระหาย แต่หนักไปทางกระหายน้ำมากกว่าอาหาร ที่ต้องเกิดมาเป็นอสุรกายเพราะความโลภอยากได้ของผู้อื่นในทางมิชอบ
4. ติรัจฉานภูมิ จัดอยู่ในอบายภูมิอันดับที่ 4 เป็นอบายภูมิอันดับสุดท้าย ที่มีความทุกข์ทรมานน้อยกว่าสัตว์ที่เกิดในนรก เปรต และอสุรกาย ที่ชื่อเดียรัจฉาน เพราะมีลำตัวไปทางขวาง อกขนานกับพื้น และจิตใจก็ขวางจากหนทางพระนิพพานด้วย ที่อยู่ของสัตว์เดียรัจฉานนี้ อยู่ปะปนกับมนุษย์ทั่วไปที่เราเห็น สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ตามจำนวนเท้าของสัตว์ ตั้งแต่ สัตว์ไม่มีเท้า สัตว์มี 2 เท้า สัตว์มี 4 เท้า และสัตว์มีเท้ามากกว่า 4 ขึ้นไป
จาก
http://kuakiddeedee.wordpress.com/