ใต้ร่มธรรม
ริมระเบียงรับลมโชย => รับสายลมเย็นหน้าระเบียง => ข้อความที่เริ่มโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 11, 2010, 06:28:00 pm
-
นิ่งเหวยอี้ว์ซุ่ย,ปู้เหวยหว่าฉวน: ยอมเป็นหยกแหลกลาญไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 สิงหาคม 2553 13:46 น.
《宁为玉碎,不为瓦全》
宁(nìng) อ่านว่า นิ่ง แปลว่า ยอม
为(wéi) อ่านว่า เหวย แปลว่า เป็น
玉(yù) อ่านว่า อี้ว์ แปลว่า หยก
碎(suì) อ่านว่า ซุ่ย แปลว่า แตกสลาย
不(bù) อ่านว่า ปู้ แปลว่า ไม่
瓦(wǎ) อ่านว่า หว่า แปลว่า กระเบื้อง
全(quán) อ่านว่า ฉวน แปลว่า เต็ม สมบูรณ์
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1086318&d=1281526688)
ภาพจาก sucaitianxia.com
ในสมัยคริสตศักราชที่ 550 ยุคราชวงศ์เหนือ อัครเสนาบดี “เกาหยาง” กุมอำนาจเด็ดขาดในราชสำนักแผ่นดินเว่ยตะวันออก (ตงเว่ย) จึงบีบให้กษัตริย์ “เสี้ยวจิ้งตี้ (หยวนซ่าน)” สละราชบังลังก์ แล้วตั้งตนขึ้นเป็นกษัตริย์แทน สถาปนาราชวงศ์ฉีเหนือ (เป่ยฉี) ขึ้นมา
เกาหยางเป็นคนโหดเหี้ยมทารุณ เพื่อกำจัดเสี้ยนหนามที่อาจจะกลับมาทิ่มแทงในอนาคต จึงตัดสินใจสังหารเสี้ยวจิ้งตี้พร้อมทั้งราชโอรสทั้งสามไปในปีคริสตศักราชที่ 551 ทว่าการก่อกรรมทำชั่วอย่างมากมายเช่นนั้น ทำให้ในใจของเกาหยางอัดแน่นไปด้วยความหวาดกลัว
ครั้งหนึ่งเกาหยาง เอ่ยถามคนสนิทว่า "ยุคปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (ซีฮั่น) ครั้งที่พระญาตินาม “หวังหมั่ง” แย่งชิงอำนาจมาจากตระกูลหลิวสำเร็จ เหตุใดภายหลังจึงปล่อยให้ “หลิวซิ่ว (ฮั่นกวงอู่)” ช่วงชิงอำนาจกลับไปได้สำเร็จ?" คนสนิทของเกาหยางไม่ทราบเหตุผลอันใด เพียงแต่ตอบเพื่อเอาใจนายเหนือหัวว่า "เป็นเพราะหวังหมั่งไม่ขุดรากถอนโคน กวาดล้างราชนิกูลตระกูลหลิวไปให้หมดสิ้นในคราวเดียว" เมื่อเกาหยางได้ฟังก็เห็นว่าคำกล่าวนี้มีเหตุผล จึงได้นำมาใช้ โดยออกคำสั่งให้กวาดล้างสังหารพระญาติราชนิกูลตระกูลหยวน ของเสี้ยวจิ้งตี้ ให้สิ้นซากจากแผ่นดิน ไม้เว้นแม่แต่เฒ่าชราหรือทารก ส่งผลให้คนตระกูลหยวนระส่ำระสาย รู้สึกหวาดกลัว เพราะไม่รู้ว่าวันใดตนจะถูกฆ่าตาย จึงได้จัดการพบปะในหมู่เครือญาติเพื่อหารือ
ในการหารือของตระกูลหยวน มีคนผู้หนึ่งเสนอว่า ทางที่ดีควรจะเปลี่ยนชื่อสกุลใหม่ จาก หยวน (元) เป็น เกา (高) แต่พระญาตินาม “หยวนจิ่งห้าว” คัดค้านความคิดนี้อย่างหัวชนฝา โดยกล่าวว่า "ลูกผู้ชายยอมเป็นหยกแหลกลาญ ไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์ ยอมตายอย่างกล้าหาญ ดีกว่ามีชีวิตอยู่อย่างอัปยศอดสู"
ภายหลัง หยวนจิ่งห้าว ถูกทางการสังหารไปในที่สุด ส่วนเกาหยางเองนั้นป่วยหนักเสียชีวิตไปภายหลังจากนั้นไม่นาน ราชวงศ์ฉีเหนือจึงสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็วในคริสตศักราชที่ 577
สำนวน "ยอมเป็นหยกแหลกลาญ ไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์" เดิมใช้ในความหมายว่า ยอมตายไม่ยอมเสียศักดิ์ศรี ภายหลังมักใช้หมายถึงการยึดมั่นในหลักความเชื่อ-อุดมการณ์ของตนอย่างแน่วแน่ แม้จนตัวตายก็ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง
ที่มา baike.baidu.com
-
เฉียนปู้จื๋อ : ไม่มีค่าแม้สตางค์แดงเดียว
China - Manager Online
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
2 มิถุนายน 2553 09:20 น.
《一钱不值 》
一 (yī) อ่านว่า อี แปลว่า หนึ่ง
钱 (qián) อ่านว่า เฉียน แปลว่า เงิน ในที่นี้หมายถึงสตางค์
不 (bù) อ่านว่า ปู้ แปลว่า ไม่
值 (zhí) อ่านว่า จื๋อ แปลว่า มีค่า
ภาพจาก http://img08.taobaocdn.com/
ชายผู้หนึ่ง นามว่าก้วนฝู ฉายาจ้งหยู เป็นคนสมัยฮั่นตะวันตก มีอุปนิสัยตรงไปตรงมา ยึดถือคุณธรรม พูดจริงทำจริง
ก้วนฝู มักจะไม่นบนอบต่อบุคคลที่ตำแหน่งใหญ่โตหรือร่ำรวยกว่าเขา แต่กับผู้ที่ด้อยกว่าโดยเฉพาะผู้ที่ฐานะยากจน เขาจะเพิ่มความเกรงอกเกรงใจเป็นพิเศษ ทำให้ในเวลานั้นบรรดาผู้คนที่มีความสามารถแต่ไร้ยศถาบรรดาศักดิ์ ล้วนชื่นชมเขา อยากคบหากับเขา
ก้วนฝูชมชอบดื่มสุรา ทั้งยังมักดื่มจนเมามาย ครั้งหนึ่งในงานมงคลสมรสของเถียนเฝิน ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ก้วนฝูดื่มสุราอย่างหนัก สักครู่จึงลุกขึ้นเดินไปหยุดตรงหน้าเถียนเฝินเพื่อคารวะสุราหนึ่งจอก ทว่าเถียนเฝินออกตัวว่า "ข้าไม่มีความสามารถดื่มสุราปริ่มถ้วย" ก้วนฝูเห็นว่าคนผู้นี้ไม่ยอมดื่มสุราอย่างโปรดโปร่ง จึงเอ่ยปากแฝงการประชดประชันว่า "ท่านแม้เป็นชนชั้นสูงศักดิ์ แต่ก็ควรดื่มสุราที่ข้าน้อยคารวะให้หมดจอก" ทว่าเถียนเฝินคงยืนยันคำเดิม ก้วนฝูรู้สึกไร้รสชาติจึงเปลี่ยนเป้าหมายเดินไปที่หน้าญาติผู้หนึ่งนามว่า ก้วนเสียนซึ่งเป็นเจ้าเมืองหลินหยูเพื่อคารวะสุรา ทว่าก้วนเสียนนั้นกำลังสนทนาอย่างออกรสอยู่กับเฉิงปู้สื่อ(ขุนนางตำแหน่งเจ้าเมืองปกครองเขตชายแดน) ผู้หนึ่ง โดยกำลังยื่นหน้าไปกระซิบกระซาบกับใบหูของเฉิงปู้สื่อ ดังนั้นจึงไม่ได้แสดงท่าทีสนใจก้วนฝูเท่าใดนัก
ก้วนฝูเดิมทีรู้สึกมีโทสะอยู่ก่อนแล้ว เมื่อประสบเหตุเช่นนี้ จึงอดรนทนไม่ได้ เอ่ยปากด่าทอก้วนเสียนว่า "ข้าบอกแต่ไหนแต่ไรว่าตำแหน่งเฉิงปู้ซื่อไม่มีค่าแม้สตางค์แดงเดียว แต่วันนี้ท่านกับเขากลับทำท่าทางราวกับภรรยาขบกัดใบหูหยอกเย้าสามี!"
"อีเฉียนปู้จื๋อ" หรือ "ไม่มีค่าแม้สตางค์แดงเดียว" แปลว่า ไม่มีคุณค่า ภายหลังสำนวนนี้จึงถูกนำมาใช้เพื่อเปรียบเปรยกับการไม่ให้คุณค่ากับผู้อื่น หรือเปรียบเทียบกับตนเองที่ถูกผู้อื่นมองไม่เห็นค่า รวมทั้งสามารถใช้เปรียบกับบุคคลที่ภายนอกท่าทางดีแต่ความจริงแล้วใช้การอันใดมิได้
สำนวนนี้ใช้ในตำแหน่งภาคแสดง(谓语) กรรม(宾语) หรือส่วนขยายนาม(定语)
ตัวอย่างประโยค
“老赵料不到他的'杰作'竟被批评得一钱不值 。”
ผู้แซ่เจ้าคิดไม่ถึงว่า ผลงาน "ชิ้นเอก" ของเขากลับถูกตำหนิเสียจน ~
ที่มา 毛强国。 《成语故事》 。北京。北京理工大学出版社
-
เยี่ยว์จู่ไต้ผาว : ข้ามเครื่องเซ่นไหว้ไปเป็นพ่อครัว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
9 มิถุนายน 2553 07:58 น.
《越俎代庖》
越(yuè) อ่านว่า เยวี่ย แปลว่า ข้าม
俎( zǔ) อ่านว่า จู่ แปลว่า ภาชนะใส่เครื่องบวงสรวงบรรพบุรุษ
代(dài) อ่านว่า ไต้ แปลว่า แทน
庖(páo) อ่านว่า ผาว แปลว่า พ่อครัว
ภาพประกอบโดย เฉียนเสวี่ยน ศิลปินสมัยราชวงศ์หยวน
ในยุคโบราณ ก่อนการถือกำเนิดของราชวงศ์ต่างๆ ในประเทศจีน มีตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่า ชายผู้ทรงคุณธรรมจริยธรรมผู้หนึ่ง เร้นกายทำไร่ไถนาอยู่ ณ ริมแม่น้ำอี๋สุ่ย เชิงเขาจีซาน เขามีนามว่า "สี่ว์โหยว" ยามใดที่หิวก็ปีนเขาขึ้นไปปลิดผลไม้รับประทาน ยามใดที่กระหายน้ำก็อาศัยสองมือวักน้ำในแม่น้ำอี๋สุ่ยมาดับกระหาย แม้ว่ามีผู้ตักเตือนเขาว่า "ชีวิตคนเราสั้นนัก ใยต้องเร้นกายอยู่อย่างไร้นาม ผ่านชีวิตลำบากยากแค้นถึงเพียงนี้เล่า?" สี่ว์โหยวกลับยิ้มพลางตอบว่า "เช่นนี้จึงสามารถมีชีวิตที่แสนอิสรเสรี ไม่ถือเป็นความยากลำบากอันใด"
ครั้งหนึ่ง มีคนนึกห่วงใยสี่ว์โหยว ส่งกระบวยตักน้ำมาเพื่อให้เขาดื่มน้ำสะดวกขึ้น สี่ว์โหยวเอากระบวยนั้นแขวนไว้บนต้นไม้ แต่ยิ่งนานวัน ยามที่ลมโชย กระบวยโดนลมพัดเกิดเสียงดังน่ารำคาญยิ่ง สุดท้ายสี่ว์โหยวจึงโยนกระบวยทิ้งไป
ในยุคเดียวกันนั้น ยังมีมหากษัตริย์นามว่า "ถังเหยา" หรือตี้เหยา กษัตริย์ในตำนานของจีนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นปราชญ์ผู้ธำรงคุณธรรม พระองค์ได้ทราบเรื่องราวของสี่ว์โหยว ทรงดำริให้เขาสืบทอดราชบังลังค์ จึงได้เรียกเขามาพบและตรัสว่า "ยามที่สุริยันและจันทราลอยเด่นบนท้องนภา มีคนพยายามจุดฟืนไฟประชันแสง นั่นใช่ยากเย็นหรือไม่? ยามที่หยาดพิรุณโปรยจากฟากฟ้า มีผู้ต้องการให้น้ำรดลงเฉพาะผืนแผ่นดินของตน ครอบครองความชุ่มชื้นที่ประทานมาเพื่อนสรรพสัตว์ มิใช่สิ้นเปลืองแรงงานยิ่งหรือ? บัดนี้ปรากฏท่านผู้กอรปด้วยคุณธรรมจริยธรรมขึ้นมาในแผ่นดินผู้หนึ่ง หากเรารั้งตำแหน่งกษัตริย์ไว้กับตัวเอง ย่อมน่าเสียดายยิ่งนัก"
ยามนั้นสี่ว์โหยวกลับปฏิเสธอำนาจเหนือแผ่นดิน กล่าวว่า "นกบนยอดไม้ใหญ่ยึดเกาะได้เพียงกิ่งไม้ใต้ผ่าเท้า มุสิกดื่มน้ำในลำธารเพียงดื่มได้แค่เต็มกระเพาะ เช่นเดียวกับข้าน้อย จะต้องการอำนาจเหนือแผ่นดินไปเพื่ออะไร...แม้แต่พ่อครัว หากไม่ปรุงอาหารตามหน้าที่ ผู้ควบคุมงานพิธีบูชาบรรพบุรุษยังมิอาจละทิ้งของเซ่นไหว้ ก้าวข้ามภาชนะใส่เครื่องบวงสรวงบรรพบุรุษเพื่อไปทำหน้าที่พ่อครัวแทน" เมื่อกล่าวจบ สี่ว์โหยวจึงได้อำลาถังเหยา เดินทางจากไป
สำนวน "เยี่ยว์จู่ไต้ผาว" หรือ "ข้ามเครื่องเซ่นไหว้ไปเป็นพ่อครัว" เปรียบเปรยถึงการข้ามหน้าข้ามตา หรือล้ำเส้นไปทำงานของผู้อื่นที่อยู่นอกเหนือขอบเขตความรับผิดชอบของตน
สำนวนนี้ใช้ในตำแหน่งภาคแสดง(谓语) หรือส่วนขยายนาม(定语) มีความหมายทางลบ
.
China - Manager Online
China - Manager Online
-
หยิ่นหลางรู่ซื่อ : ชักนำจิ้งจอกเข้าห้องหับ
http://www.manager.co.th/China/ViewN...=9530000080650
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 มิถุนายน 2553 16:08 น.
《引狼入室》
引(yǐn) อ่านหว่า หยิ่น แปลว่า ชักนำ
狼(láng) อ่านว่า หลาง แปลว่า สุนัขจิ้งจอก
入(rù) อ่านว่า รู่(ยู่) แปลว่า เข้า
室(shì) อ่านว่า ซื่อ แปลว่า ห้อง
ภาพจาก http://img.blog.163.com
มีคนเลี้ยงแกะผู้หนึ่ง ปล่อยแกะกินหญ้าอยู่ในหุบเขาลึก วันหนึ่งเขาพบว่าในที่ห่างไกลออกไปนั้น มีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งค่อยๆ เลาะเลียบติดตามฝูงแกะอยู่ ช่วงเวลาดังกล่าวคนเลี้ยงแกะจึงได้เพิ่มความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น
เวลาผ่านไปหลายเดือน สุนัขจิ้งจอกยังคงตามฝูงแกะอยู่ห่างๆ เช่นเดิม ทว่าไม่ได้เข้าใกล้ฝูงแกะมากขึ้นแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่ได้ทำร้ายแกะแม้สักตัวเดียว ทำให้คนเลี้ยงแกะค่อยๆ เปลี่ยนความคิดระแวดระวังในตัวสุนัขจิ้งจอกลงเรื่อยๆ ต่อมาคนเลี้ยงแกะถึงกับคิดว่าการที่มีสุนัขจิ้งจอกตามหลังฝูงแกะนั้นก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะทำให้ไม่ต้องคอยระวังภัยจากสัตว์ป่าอื่นๆ จะมาทำร้ายฝูงแกะ จากนั้นอีกไม่นานนัก คนเลี้ยงแกะจึงยึดถือว่าสุนัขจิ้งจอกตัวนั้นเป็นเพียงสุนัขเลี้ยงแกะไม่มีพิษสง ถึงกับเรียกให้มันมาทำหน้าที่ดูแลฝูงแกะและคอยต้อนแกะ
สุนัขจิ้งจอกทำหน้าที่ดูแลแกะโดยอยู่ในสายตาของคนเลี้ยงแกะตลอดเวลา คนเลี้ยงแกะเห็นว่าสุนัขจิ้งจอกทำหน้าที่ได้อย่างดี ในใจคิดว่า "ผู้คนต่างเห็นว่าสุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์ร้ายไว้ใจไม่ได้ แต่ข้ากลับเห็นว่าความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น..."
วันหนึ่ง คนเลี้ยงแกะมีธุระต้องเดินทางเข้าไปในเมือง จึงได้ฝากให้สุนัขจิ้งจอกดูแลฝูงแกะตามลำพังด้วยความไว้ใจ มิคาด...เมื่อคนเลี้ยงแกะลับตาไป สุนัขจิ้งจอกกลับเปล่งเสียงกู่ร้องเรียกฝูงสุนัขจิ้งจอกออกมาจากป่า จากนั้นจึงจับฝูงแกะกินเป็นอาหารจนราบคาบ
สำนวน "หยิ่นหลางรู่ซื่อ" หรือ "ชักนำจิ้งจอกเข้าห้องหับ" ใช้เปรียบเทียบกับการนำคนชั่วหรือศัตรูมาไว้ใกล้ตัวก็ไม่ต่างกับการนำเภทภัยมาไว้ข้างกาย สุดท้ายกลับส่งผลร้ายต่อตนเองเกินกว่าที่จะคาดคิด มีความหมายคล้ายคลึงกับคำว่า "ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน" ในภาษาไทย
สำนวนนี้ใช้ในตำแหน่งภาคแสดง(谓语) หรือส่วนขยายนาม(定语)
ตัวอย่างประโยค
雇请保姆照顾老人要更加小心,要不会变成引狼入室。
การจ้างแม่บ้านมาดูแลคนแก่ต้องระวังให้มาก มิฉะนั้นจะกลายเป็น ~
-
โว่ซินฉางต่าน : นอนฟืนชิมน้ำดีขม
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
30 มิถุนายน 2553 07:43 น.
《卧薪尝胆》
卧(wò) อ่านว่า โว่ แปลว่า นอน
薪(xīn) อ่านว่า ซิน แปลว่า ฟืน
尝(cháng) อ่านว่า ฉาง แปลว่า ชิม
胆(dǎn) อ่านว่า ต่าน แปลว่า น้ำดี (ของเหลวหลั่งออกมาจากเซลล์ตับ มีรสขม)
ภาพจากhttp://www.1155815.com
496 ปีก่อนคริสตกาล เจ้าครองแคว้นอู๋นาม เหอหลี่ว์ ได้ส่งกองทัพมาโจมตีรัฐเยี่ยว์ ทว่ากลับถูกกองทหารรัฐเยี่ยว์ตอบโต้จนแตกพ่ายไป เหอหลี่ว์เองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส กระทั่งเสียชีวิต โอรสนามฟู่ไช จึงได้รับเลือกให้ขึ้นครองแคว้นอู๋แทน
ต่อมา เกิดการศึกระหว่างแคว้นอู๋และแคว้นเยี่ยว์อีกครั้ง แคว้นเยี่ยว์เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ อู๋ จื่อซีว์ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาผู้รักชาติแห่งแคว้นอู๋ แนะนำว่าฟูไชควรกำจัดเจ้าแคว้นเยี่ยว์ นามโกวเจี้ยนให้สิ้นซาก ไม่ควรปล่อยเอาไว้ให้เป็นเสี้ยนหนามแผ่นดิน แต่เจ้าแคว้นอู๋ไม่ฟัง กลับนำโกวเจี้ยนกลับไปเป็นทาสยังแคว้นอู๋
3 ปีผ่านไป โกวเจี้ยนอยู่แคว้นอู๋อย่างสงบเสงี่ยมยิ่งนัก จนทำให้ฟูไชไว้วางใจในตัวโกวเจี้ยนมากขึ้น ถึงขั้นปล่อยตัวให้กลับสู่แคว้นเยี่ยว์ดังเดิม
แต่ในความจริงแล้ว ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โกวเจี้ยนไม่เคยลืมความคับแค้นที่เกิดขึ้นกับบ้านเมืองของตน เขาได้แอบสั่งสมกองกำลังและฝึกฝนกองทัพของตนเองอย่างลับๆ เพื่อรอวันแก้แค้น โดยในช่วงเวลาดังกล่าวทุกๆ ค่ำคืน ยามหลับไหลโกวเจี้ยนไม่เคยนอนสบายบนฟูก แต่กลับนอนบนฟืนแข็งปูหยาบๆ หนำซ้ำภายในห้องพักของเขายังแขวนถุงน้ำดีเอาไว้ เขาหมั่นลิ้มรสความขมของน้ำดีนั้นอยู่เสมอๆ เพื่อไม่ปล่อยให้ความสะดวกสะสบายทางร่างกายทำให้หลงลืมความคับแค้นที่ผ่านมา
นอกจากนั้น เมื่อกลับสู่แคว้นเยี่ยว์ เพื่อครองใจไพร่ฟ้าโกวเจี้ยนและมเหสีจึงมักลงไปใช้แรงงานร่วมกับชาวบ้านราษฎร สร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ร่วมแรงร่วมใจก่อร่างสร้างรัฐเยี่ยว์ขึ้นมาใหม่ สุดท้ายเมื่อโกาสมาถึง โกวเจี้ยนก็สามารถล้างแค้น ยกกองทัพไปโจมตีรัฐอู๋ได้สำเร็จในที่สุด
"โว่ซินฉางต่าน" หรือ "นอนฟืนชิมน้ำดีขม" เป็นสำนวนที่มักใช้เพื่อสอนว่า คนเราต้องผ่านการเคี่ยวกรำตนเอง อดทน เพียรพยายามอย่างยิ่ง เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จดังที่มุ่งหวังเอาไว้
ที่มา
(http://baike.baidu.com)
-
ไม่เจี้ยนใหม่หนิว : ขายกระบี่ซื้อโค
China - Manager Online
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
7 กรกฎาคม 2553 08:39 น.
《卖剑买牛》
卖(mài) อ่านว่า ไม่ แปลว่า ขาย
剑(jiàn) อ่านว่า เจี้ยน แปลว่า กระบี่
买(mǎi) อ่านว่า ใหม่ แปลว่า ซื้อ
牛(niú) อ่านว่า หนิว แปลว่า โค
ภาพจาก ��ͼ��_��������ͼ��__ʸ��,psd,ͼƬ,ԭ���ز�__���ưټ� ��ͼ����_http://pic.5tu.cn
ย้อนกลับไปในยุคสมัยของฮั่นเซวียนตี้ แห่งราชวงศ์ฮั่น พื้นที่บริเวณเขตทะเลสาบป๋อไห่เกิดวิกฤตการณ์ภัยธรรมชาติอย่างรุนแรงไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ชาวบ้านอดอยากยากแค้นเนื่องจากขาดแคลนอาหารประทังชีวิต ที่ล้มตายไปก็มีไม่น้อย ราษฎรทุกข์ยาก จนพากันจับอาวุธขึ้นมาแข็งข้อต่อทางการ ดังนั้นเพื่อปราบจลาจลเหล่านี้ วังหลวงจึงได้ส่งขุนนางนามว่า กงสุ้ย เดินทางไปรับตำแหน่งพ่อเมืองในพื้นที่ทะเลสาบป๋อไห่ดังกล่าว
เมื่อกงสุ้ยเดินทางไปรับตำแหน่งเรียบร้อย ก็เริ่มดำเนินการแก้ปัญหาทันที โดยทางหนึ่งเขาได้ ออกคำสั่งให้ทุกๆ อำเภอภายใต้เขตปกครองของตน หยุดการเข่นฆ่าประชาชนที่เป็นปรปักษ์ หากประชาชนคนใดยอมจำนนต่อทางการ ก็ห้ามมิให้ลงโทษหรือเอาผิดต่อไป แต่หากเป็นผู้ที่ไม่ยอมจำนนก็ต้องมีบทลงโทษที่เฉียบขาด ส่วนวิธีแก้ปัญหาในอีกทางหนึ่ง คือออกคำสั่งให้ทุกอำเภอให้ความรู้กับชาวบ้านเพื่อสนับสนุนให้ชาวบ้าน "ขายกระบี่ซื้อเครื่องมือการเกษตร ขายมีดซื้อโค" ลงมือทำเกษตรกรรมสร้างผลผลิตเพื่อช่วยเหลือตัวเอง
ภายใต้การสนับสนุนของทางการ ชาวบ้านส่วนใหญ่พากันขายดาบวางกระบี่ ซื้อโค และเครื่องไม้เครื่องมือทำไร่ไถนา และลงมือทำงาน จากนั้นเมื่อมีผลผลิตมาเลี้ยงปากท้อง สถานการณ์ค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาการจลาจลก็หมดลง
สำนวน "ไม่เจี้ยนใหม่หนิว" หรือ "ขายกระบี่ซื้อโค" ใช้ในความหมายตรงตัวว่าเปลี่ยนอาชีพมาทำการเกษตร นอกจากนั้นยังใช้เปรียบเปรยกับคนชั่วที่กลับตัวกลับใจมาทำความดี
ที่มา �ٶȰٿơ���ȫ���������İٿ�ȫ��
-
จี้ชางเสียว์เซ่อ : จี้ชางเรียนยิงธนู
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
14 กรกฎาคม 2553 07:09 น.
《纪昌学射》
纪昌(jìchāng) อ่านว่า จี้ชาง ในที่นี้เป็นชื่อคน
学(xué) อ่านว่า เสียว์ แปลว่า เรียน
射(shè) อ่านว่า เซ่อ แปลว่า ยิงธนู
www.zxxjs.net
ในสมัยโบราณ "กานอิ๋ง" เป็นบุคคลผู้ที่ได้ชื่อว่ามีความสามารถในการยิงธนูเป็นอย่างยิ่ง ธนูของเขาเพียงดอกเดียว สามารถทำให้สัตว์ป่าล้มลงดิน ปักษาร่วงหล่นจากฟ้า เขามีศิษย์ผู้หนึ่ง นามว่า "เฟยเว่ย" ซึ่งต่อมาทักษะการยิงธนูของเฟยเว่ยนั้นยังเด่นล้ำกว่าผู้เป็นอาจารย์คือกานอิ๋งไปอีกขั้นหนึ่ง
ต่อมามีคนผู้หนึ่ง นามว่า "จี้ชาง" เดินทางมาคารวะเฟยเว่ยเพื่อขอศึกษาทักษะการยิงธนู ซึ่งเฟยเว่ยกล่าวกับเขาว่า "เริ่มแรกเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะมองดูสิ่งต่างๆ โดยไม่กระพริบตาก่อน จากนั้นค่อยมาคุยเรื่องยิงธนูทีหลัง"
จี้ชางเดินทางกลับถึงบ้าน ล้มตัวลงไปนอนอยู่ใต้กี่ทอผ้าของภรรยา ทั้งยังแหงนหน้ามองกระสวยทอผ้าวิ่งกลับไปกลับมา ทำเช่นนั้นอยู่ 2 ปีเต็ม ขนาดที่ว่าหากมีของมีคมทิ่มมาถึงเปลือกตาของเขา เขายังไม่กระพริบตา จี้ชางจึงเดินทางไปพบเฟยเว่ยอีกครั้ง
ครั้นได้พบหน้า เฟยเว่ยกลับกล่าวกับจี้ชางว่า "นี่ยังไม่เพียงพอ เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะมองวัตถุที่เล็กมากๆ ให้เห็นอย่างแจ่มชัดคล้ายดั่งกำลังมองวัตถุมหึมา มองวัตถุเล็กละเอียดให้ง่ายดายเหมือนมองวัตถุกว้างหนา เช่นนั้นแล้วค่อยกลับมาหาข้าใหม่"
เมื่อกลับถึงบ้าน จี้ชางนำเห็บเหาที่เกาะอยู่บนขนโคกระบือ มาแขวนไว้บริเวณบานหน้าต่าง แล้วเพ่งมอง สิบวันผ่านไป เห็บเหามองเห็นได้ชัดเจนประดุจตัวโตใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สามปีถัดจากนั้น เห็บเหาในสายตาจี้ชางกลับใหญ่โตราวกับล้อเกวียน เมื่อหันมองไปยังวัตถุอื่นล้วนใหญ่โตราวกับขุนเขามิปาน เมื่อถึงตอนนั้นจี้ชางจึงนำกระบอกที่ทำจากเขาโค บรรจุลูกธนู ทั้งยังประดิษฐ์คันธนูจากไม้ไผ่ขึ้นชื่อทางภาคเหนือ ลองเล็งยิงไปที่เห็บโคตัวหนึ่งซึ่งเกาะอยู่บนขนโคที่เขาแขวนไว้บนหน้าต่าง มิคาดความแม่นยำถึงกับแทงทะลุหัวใจเห็บตัวนั้น แต่ไม่ทำให้ขนโคขาดร่วง จี้ชางจึงเดินทางไปพบเฟยเว่ย ทั้งยังเล่าเรื่องที่ตนศึกษาการยิงธนูให้เฟยเว่ยทราบ
เฟยเว่ยได้ฟัง ก็ยินดียิ่งนัก เพียงกล่าวกับจี้ชางสั้นๆ ว่า "นับว่าเจ้าได้เรียนรู้เคล็ดลับการยิงธนูอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว"
สำนวน "จี้ชางเรียนยิงธนู" มีความหมายว่า คนเราต้องมีความเพียรพยายาม อดทนต่อความยากลำบาก จึงจะประสบความสำเร็จ หรือมีความหมายอีกอย่างว่า ความสามารถที่ยิ่งใหญ่ มักจะเริ่มจากการฝึกฝนในสิ่งเล็กๆ
ที่มา
(http://baike.baidu.com)
-
ซู่เต่าหูซุนซ่าน : "ไม้ล้มลิงกังกระเจิง"
China - Manager Online
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
21 กรกฎาคม 2553 08:15 น.
《树倒猢狲散》
树(shù) อ่านว่า ซู่ แปลว่า ต้นไม้
倒(dǎo) อ่านว่า เต่า แปลว่า ล้ม
猢狲(hú sūn) อ่านว่า หูซุน แปลว่า ลิงกัง
散(sàn) อ่านว่า ซ่าน แปลว่า กระจัดกระจาย
ภาพจาก ����Ԫ������
ในรัชสมัยของพระเจ้าซ่ง เกาจง ยังมีรองเสนาบดีผู้หนึ่ง นามว่า "เฉาหย่ง" ซึ่งเป็นผู้ถนัดจัดเจนในการประจบเอาใจนายเหนือหัวยิ่งนัก ทั้งยังเป็นคนโปรดของอัครมหาเสนาบดีโฉดที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก อย่าง ฉินฮุ่ย(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ “จากกวนอู ถึงงักฮุย และคนขายชาติ (1)”) จนกระทั่งได้เลื่อนตำแหน่งคราวเดียว 3 ขั้น ขึ้นไปรับยศขุนนางชั้นสูง
เมื่อเฉาหย่งมียศตำแหน่งใหญ่โต ก็มีผู้คนมากมายเข้ามาห้อมล้อม สอพลอ ทำให้เขาได้ใจยิ่งนัก เห็นจะมีเพียงเรื่องเดียวที่ทำให้เฉาหย่งขุ้นข้องหมองใจ นั่นคือ "ลี่เต๋อซิน" ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่เมียของเขากลับไม่ยอมอ่อนข้อให้เขา เนื่องจาก ลี่เต๋อซิน ทราบว่าตำแหน่งใหญ่โตของเเฉาหย่งได้มาเพราะบารมีของอัครเสนาบดีฉินฮุ่ย มีใช่ความสามารถของเฉาหย่งเอง นอกจากนั้นยังทำนายได้ว่า เฉาหย่งเองก็คงมิใช่ตัวดีอันใด จึงได้ไปคลุกคลีกับขุนนางอย่างฉินฮุ่ยได้
เมื่อพี่เมียแข็งข้อ เฉาหย่งจึงคับแค้นยิ่งนัก พยายามหาหนทางที่จะจัดการกับลี่เต๋อซินให้จงได้ แต่ทว่าลี่เต๋อซินก็ดำรงตนไม่ด่างพร้อย จึงยากที่จะมีช่องโหว่ให้เฉาหย่งโจมตี
ภายหลัง เมื่อฉินฮุ่ย สิ้นชีพ บรรดาขุนนางน้อยใหญ่ที่อาศัยอำนาจบารมีฉินฮุ่ยขึ้นมาเป็นใหญ่ก็ต่างระส่ำระสาย ยศฐาบรรดาศักดิ์ถูกวังหลวงริบกลับคืน เฉาหย่งก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ถูกลดชั้นไปประจำยังเมืองซินโจว เมื่อลี่เต๋อซิน ทราบข่าว ก็ได้เขียนบทร้อยแก้วชึ้นหนึ่งส่งไปให้เฉาหย่ง เนื้อหาเปรียบเทียบว่า ฉินฮุ่ย เสมือนไม้ใหญ่ ส่วนเฉาหย่ง และบริวารอื่นๆ ของฉินฮุ่ยดั่งลิงกังใต้ต้นที่เป็นอันธพาลคอยข่มเหงผู้คน แต่เมื่อใดไม้ล้ม ฝูงลิงย่อมแตกระสานซ่านเซ็น ไร้ที่พึ่งพิง ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีของประเทศชาติ...ส่วน เฉาหยง เมื่อได้อ่านข้อความที่ลี่ เต๋อซิน ส่งมาให้ย่อมโกรธแค้นจนแทบกระอัก
ภายหลัง สำนวน "ซู่เต่าหูซุนซ่าน" หรือ "ไม้ล้มลิงกังกระเจิง" มักใช้เพื่อเปรียบเทียบกับการกำจัดผู้ชั่วช้าที่มีอำนาจบารมี เมื่อกำจัดตัวหัวหน้าใหญ่ได้เมื่อใด บรรดาลูกสมุนที่เคยรวมหัวกันทำชั่วก็ย่อมแตกระสานซ่านเซ็นกันไปเองในที่สุด
ที่มา �ٶȰٿơ���ȫ���������İٿ�ȫ��
-
ซาจื้อเจี้ยวจื่อ : ฆ่าสุกรสอนบุตร
China - Manager Online -
ซาจื้อเจี้ยวจื่อ : ฆ่าสุกรสอนบุตร
http://www.manager.co.th/China/ViewN...=9530000103399
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
28 กรกฎาคม 2553 09:30 น.
《杀彘教子》
杀(shā) อ่านว่า ซา แปลว่า ฆ่า
彘(zhì) อ่านว่า จื้อ แปลว่า สุกร
教(jiào) อ่านว่า เจี้ยว แปลว่า สั่งสอน
子(zǐ) อ่านว่า จื่อ แปลว่า บุตร
ภาพจาก http://ulsgjgvah.blog.hexun.com
เจิงจื๊อเป็นนามของปรัชญาเมธีลัทธิขงจื้อผู้หนึ่ง ซึ่งมีชีวิตอยู่ช่วงปลายยุคชุนชิว เขาถูกจัดเป็น 1 ใน 5 มหาปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อ ร่วมกับ ขงจื๊อ เมิ่งจื๊อ เอี๋ยนจื๊อ (เอี๋ยนหุย) และ จื่อซือจื่อ
เช้าวันหนึ่ง ภรรยาของเจิงจื๊อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวออกไปซื้อของในตลาด ทว่าบุตรชายร้องไห้ขอตามไปด้วย ทำอย่างไรก็ไม่ยอมฟัง เด็กน้อยยังเล็กนัก อีกทั้งตลาดก็อยู่ห่างไกลจากบ้านพอสมควร ดังนั้นการพาบุตรชายไปด้วยเป็นเรื่องที่ยุ่งยากลำบากเกินไป ภรรยาของเจิงจื๊อจึงได้กล่าวกับบุตรชายว่า "เจ้าจงกลับเข้าไปรอในบ้าน หากแม่ไปตลาดซื้อของกลับมาถึงบ้านแล้ว แม่จะฆ่าหมูสักตัวทำขาหมูตุ๋นที่เจ้าชอบให้กิน" คำกล่าวนี้กลับได้ผลชะงัด เมื่อบุตรชายได้ยินว่ามารดาจะทำอาหารโปรดให้กินก็เชื่อฟัง และกลับเข้าไปรอในบ้านอย่างใจจดใจจ่อ
เมื่อภรรยาของเจิงจื๊อเสร็จธุระเดินทางกลับมาถึงบ้าน ยังไม่ทันเข้าบ้านก็ได้ยินเสียงสุกรที่เลี้ยงไว้ร้องเสียงดัง เมื่อเดินเข้าไปดูจึงพบว่าเป็นเจิงจื๊อที่กำลังเตรียมเชือดสุกรเพื่อทำอาหารให้กับบุตรชาย นางจึงรีบขัดขวางผู้เป็นสามีพลางกล่าวว่า "บ้านเราเลี้ยงสุกรไม่มาก ล้วนเอาไว้เชือดเป็นอาหารในเทศกาลสำคัญต่างๆ ใยท่านต้องเอาคำกล่าวที่ข้าเพียงล่อหลอกบุตรชายให้เชื่อฟัง มาเป็นจริงจังด้วย"
เจิงจื๊อกล่าวว่า "ต่อหน้าเด็กนั้น เจ้าไม่อาจกล่าวคำเท็จ เพราะเด็กยังไร้เดียงสาและมักจะเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากบิดา-มารดา หากตอนนี้เรากล่าวสิ่งใดหลอกลวงเขา ก็ไม่ต่างจากการสอนเขาว่าต่อไปให้ไปหลอกลวงผู้อื่น แม้ว่าการที่เจ้าหลอกเขานั้นจะได้ผลในตอนนี้ แต่ต่อไปเมื่อเขาทราบว่าถูกหลอก ก็จะไม่ยอมเชื่อฟังคำพูดของมารดาอีก ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นต่อไป เจ้าก็จะไม่สามารถอบรมบุตรชายของตนได้อีกแล้ว"
เมื่อภรรยาของเจิงจื๊อได้ฟังก็เห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ จึงช่วยสามีเชือดสุกรมาทำเป็นอาหารดังที่ได้สัญญากับบุตรชายไว้
สำนวน "ซาจื้อเจี้ยวจื่อ" หรือ "ฆ่าสุกรสอนบุตร" ใช้เพื่อเปรียบเปรยสอนคนเป็นพ่อ-แม่ว่าการเลี้ยงดูบุตรนั้นต้องพูดจริงทำจริง สัญญาต้องเป็นสัญญา อย่าคิดว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นเพียงเด็กเล็กแล้วจะพูดอะไรก็ได้ เพราะจะส่งผลถึงอุปนิสัยของเด็กต่อไป
ที่มา [url=http://baike.baidu.com]
(http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9530000103399)
-
ขอบคุณค่ะพี่หนุ่ม เรื่องสั้นจีน ชอบอ่านเหมือนกัน แฝงธรรมะ ให้ข้อคิดมากมาย
-
:45: ขอบคุณครับพี่หนุ่ม
-
จี๊น...จีน..
อ่านเพลินดีค่ะ
ขอบคุณนะคะ ที่นำมาปันให้อ่านค่ะ :13:
-
ไม่ค่อยได้อ่านแนวนี้ แปลกดีครับ(สำหรับผม)
ขอบคุณครับพี่หนุ่ม ... :13:
-
ผีจือปู้ฉุน เหมาเจียงเอียนฟู่ : ปราศจากหนัง ขนไร้ที่ยึดเกาะ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 สิงหาคม 2553 07:22 น.
ที่มา baike.baidu.com
《皮之不存,毛将焉附》
皮(pí) อ่านว่า ผี แปลว่า หนัง
之(zhī) อ่านว่า จือ ในที่นี้ทำหน้าที่เป็นคำช่วย วางระหว่างคำนามและส่วนขยายคำนาม
不(bù) อ่านว่า ปู้ แปลว่า ไม่
存(cún) อ่านว่า ฉุน แปลว่า คงอยู่
毛(máo) อ่านว่า เหมา แปลว่า ขน
将(jiāng) อ่านว่า เจียง ในที่นี้แปลว่า ย่อมจะ
焉(yān) อ่านว่า เอียน แปลว่า ที่ไหน
附(fù) อ่านว่า ฟู่ แปลว่า แนบไป/ขึ้นอยู่
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1098105&d=1282215782)
ภาพจาก www.sxyczs.gov.cn
ปีหนึ่งในรัชสมัยของเจ้าครองแคว้นนามเว่ยเหวินโหว แห่งแคว้นเว่ย พื้นที่แถบตงหยางสามารถส่งมอบส่วยที่ประกอบด้วย เงินทอง พืชพันธุ์ธัญญาหารและแพรพรรณให้กับเว่ยได้มากกว่าปีก่อนหน้าถึง 10 เท่า ทำให้บรรดาขุนนางต่างก็พากันแสดงความยินดี ทว่าเว่ยเหวินโหวกลับไม่สบายใจนัก เนื่องจากสังเกตว่าพื้นที่ตงหยางยังคงมีขนาดเท่าเดิม อีกทั้งจำนวนประชากรก็ยังคงมีพอๆ กับปีที่ผ่านมา เหตุใดจึงสามารถส่งมอบผลผลิตได้มากกว่าเดิมถึง 10 เท่า คาดว่าจะต้องเกิดจากขุนนางระดับสูงบีบให้ราษฎรส่งมอบผลผลิตออกมามากกว่าเดิมเป็นแน่ เหตุการณ์นี้ทำให้เจ้าแคว้นเว่ยคิดย้อนไปถึงอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในปีก่อน
หนึ่งปีก่อนหน้านี้ เว่ยเหวินโหวไปท่องเที่ยวยังนอกเมือง วันหนึ่งบนเส้นทางที่เผ่าน บังเอิญพบกับคนผู้หนึ่งซึ่งนุ่งห่มไว้ด้วยหนังแกะกลับด้าน โดยให้ขนแกะอยู่ด้านใน ส่วนหนังแกะอยู่ด้านนอก บนบ่าของคนผู้นั้นยังแบกเข่งใส่ต้นพืชสำหรับเป็นอาหารเลี้ยงสัตว์อยู่ด้วย เห็นเช่นนั้นรู้สึกแปลกประหลาดพิกล เว่ยเหวินโหวจึงเอ่ยถามว่า "เหตุใดท่านจึงนุ่งห่มหนังแกะกลับด้านมาแบกของเช่นนี้" คนผู้นั้นตอบว่า "ข้าน้อยรู้สึกเสียดายหนังแกะผืนนี้ กลัวว่าถ้านุ่งห่มตามปกติให้ขนของมันอยู่ด้านนอก เวลาแบกของอาจจะทำให้ขนแกะหลุดร่วงเสียหายได้" เมื่อเว่ยเหวินโหวทราบจึงเอ่ยกับคนผู้นั้นอย่างจริงจังว่า "เจ้ารู้ไหมว่าแท้จริงแล้วส่วนที่เป็นหนังนั้นสำคัญกว่า หากส่วนที่เป็นหนังชำรุดเสียหาย ขนแกะย่อมไร้ที่ยึดเกาะหลุดร่วงตามไป การที่เจ้าสละหนังแกะเพื่อรักษาขนแกะนั้น ใยมิใช่ผิดพลาดแล้ว"
เช่นเดียวกับเหตุการณ์ในปีล่าสุด บรรดาข้าราชการผู้มีอำนาจบีบบังคับเอาผลผลิตจากราษฎรโดยไม่สนใจชีวิตของผู้คนเหล่านั้น ก็ไม่ต่างจากการให้ความสำคัญต่อขนมากกว่าหนัง เพราะหากไม่มีประชาราษฎร์ย่อมไม่มีผลผลิต กระทั่งยังไม่อาจมีประเทศชาติ ดังนั้นเว่ยเหวินโหวจึงเรียกบรรดาข้าราชการมาเข้าพบ จากนั้นเล่าเรื่องสละหนังแกะเพื่อรักษาขนแกะให้ฟัง ทั้งยังกล่าวว่า "ปราศจากหนัง ขนไร้ที่ยึดเกาะ หากประชาราษฏร์ปราศจากความร่มเย็นเป็นสุข ตำแหน่งผู้ปกครองย่อมสั่นคลอน หวังว่าท่านทั้งหลายจะจดจำหลักเหตุผลนี้เอาไว้ อย่าให้ผลประโยชน์เพียงเล็กน้อยมาบดบังข้อเท็จจริง"
สำนวน "ผีจือปู้ฉุน เหมาเจียงเอียนฟู่" ใช้เปรียบเปรยว่า สิ่งใดก็ตาม เมื่อปราศจากแก่นหรือรากฐานสำคัญ สิ่งที่อาศัยอยู่บนรากฐานนั้นย่อมมิอาจดำรงอยู่ได้
.
.
-
เชียนจินใหม่กู่ : "ซื้อกระดูกด้วยเงินพันตำลึงทอง"
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
25 สิงหาคม 2553 09:15 น.
《千金买骨》
千(qiān) อ่านว่า เชียน แปลว่า พัน
金(jīn) อ่านว่า จิน แปลว่า ทอง
买(mǎi) อ่านว่า ใหม่ แปลว่า ซื้อ
骨(gǔ) อ่านว่า กู่ แปลว่า กระดูก
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1107159&stc=1&d=1282736545)
ภาพจาก wftxy2006.blog.sohu.com
ในสมัย 314 ปีก่อนคริสตกาล ขณะที่รัฐเอียนเกิดจลาจลภายใน รัฐฉีจึงถือโอกาสนำกำลังทหารมาบุกโจมตีและยึดดินแดนบางส่วนของรัฐเอียนไป
กระทั่งเมื่อ อ๋องเอียนเจา ขึ้นครองรัฐเอียน ได้ทำการปราบปรามจลาจลภายในจนราบคาบ และให้มีการป่าวประกาศเพื่อรับคนที่มีความรู้ความสามารถทั่วแผ่นดินมาช่วยงานราชการแผ่นดินและเอาดินแดนที่ถูกยึดไปกลับคืนมา ทว่าคนที่มาเข้าร่วมสวามิภักดิ์ต่ออ๋องเอียนเจากลับมีไม่มาก ดังนั้นอ๋องเอียนเจาจึงนำปัญหานี้ไปปรึกษากับขุนนางคนสนิท นามว่า กัวเหว่ย เพื่อหาแนวทางที่จะทำให้คนดีมีคุณธรรม-ความสามารถ เข้ามารับใช้แผ่นดิน
เมื่อได้ทราบปัญหา กัวเหว่ยจึงได้เล่าเรื่องราวหนึ่งถวายอ๋องเอียนเจา ดังนี้
"กาลครั้งหนึ่ง มีกษัตริย์ผู้หนึ่งทุ่มเงินหนึ่งพันตำลึงทองเพื่อต้องการซื้อยอดอาชาพันลี้ ทว่าเวลาผ่านไป 3 ปียังมิอาจหาซื้อได้ กษัตริย์ผู้นี้มีข้ารับใช้อยู่ผู้หนึ่งไม่ปรากฏนาม เป็นผู้ขอรับอาสาทำหน้าที่หาซื้อยอดอาชา โดยเขาใช้เวลาจากนั้นตลอด 3 เดือน จึงค่อยสืบเสาะพบว่ามีชาวบ้านบ้านหนึ่งได้เลี้ยงม้าพันธุ์ดีเอาไว้ ทว่าเมื่อไปถึงหน้าประตูบ้านหลังนั้น ม้าตัวดังกล่าวกลับชิงตายไปเสียก่อน ข้ารับใช้ของกษัตริย์จึงนำเงิน 500 ตำลึงทองขอซื้อกระดูกของม้ากลับมา เมื่อกษัตริย์ทราบว่าต้องเสียเงินมากมายเพียงเพื่อได้มาซึ่งกระดูกม้าเปล่าๆ จึงโมโหเป็นอันมาก ข้ารับใช้คนดังกล่าวจึงรีบชี้แจงว่า "ที่ข้าน้อยทำเช่นนี้ก็เพื่อบอกให้ผู้คนทราบว่า ท่านเป็นกษัตริย์ที่ต้องการซื้อยอดอาชาในราคาสูงด้วยใจจริง มิใช่ต้องการหลอกลวงผู้อื่น" ซึ่งวิธีการนี้ได้ผลดียิ่งนัก เมื่อเวลาผ่านไปอีกไม่ถึงปีก็มีผู้มาเสนอขายยอดอาชาของตนเองให้กับกษัตริย์ผู้นั้นถึง 3 รายด้วยกัน"
เมื่อเล่าจบ กัวเหว่ยจึงกล่าวกับอ๋องเอียนเจาต่อไปว่า "หากท่านอ๋องต้องการที่จะได้ผู้มีความรู้ความสามารถมาช่วยงานแผ่นดินจริงๆ ก็ย่อมต้องทำอย่างกษัตริย์ในเรื่องเล่า โดยทำให้ทุกผู้คนทราบว่าท่านอ๋องมีความตั้งใจจริง อาจเริ่มจากตัวข้าน้อย ซึ่งหากคนทั่วไปทราบว่าแม้แต่คนธรรมดาอย่างข้าน้อย ก็ยังได้รับบทบาทหน้าที่สำคัญในราชสำนัก คนที่มีความรู้ความสามารถมากกว่าข้าน้อยย่อมมีโอกาสยิ่งกว่า ย่อมต้องการมาเข้าร่วมกับท่านอ๋องเอง"
อ๋องเอียนเจาเห็นพ้องกับข้อเสนอของกัวเหว่ย จึงตั้งกัวเหว่ยเป็นที่ปรึกษา ทั้งยังมอบค่าตอบแทนเป็นเงินมหาศาล และรับสั่งให้กัวเหว่ยสร้าง "หอทอง" เพื่อใช้เป็นที่สำหรับรับสมัครผู้มีความรู้ความสามารถ เมื่อข่าวแพร่กระจายออกไปไม่นาน ก็มีผู้คนทยอยมาสมัครเข้ารับราชการอย่างไม่ขาดสาย และแสดงเจตจำนงที่จะช่วยเหลืออ๋องเอียนเจาปกครองบ้านเมือง
เมื่อผ่านความพยายามมากว่า 20 ปี รัฐเอียนจึงได้กล้าแข็งขึ้นจนกระทั่งสามารถรบชนะรัฐฉี นำเอาดินแดนที่ถูกแย่งไปกลับคืนมาได้ในที่สุด
สำนวน "เชียนจินใหม่กู่" หรือ "ซื้อกระดูกด้วยเงินพันตำลึงทอง" ใช้เปรียบเทียบกับการให้ความสำคัญกับผู้ที่มีความรู้ความสามารถ หรือการทุ่มเทเพื่อให้ได้มาซึ่งผู้มีความรู้ความสามารถ
ที่มา http://baike.baidu.com
http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9530000117883
-
“โพวฟู่ฉางจู” : "ผ่าท้องซ่อนมุก"
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
18 สิงหาคม 2553 09:52 น.
《剖腹藏珠》
剖 (pōu) อ่านว่า โพว แปลว่า ผ่า
腹 (fù) อ่านว่า ฟู่ แปลว่า ท้อง
藏 (cáng) อ่านว่า ฉาง แปลว่า เก็บงำ/ ซ่อน
珠 (zhū) อ่านว่า จู แปลว่า ไข่มุก
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1113490&stc=1&d=1283135962)
ภาพจาก http://www.bookuu.com
ครั้งหนึ่งในรัชสมัยของฮ่องเต้ถังไท่จง แห่งราชวงศ์ถัง ขณะที่องค์ฮ่องเต้กำลังสนทนาปราศรัยอยู่กับเหล่าข้าราชสำนัก ถังไท่จงฮ่องเต้ ได้กล่าวถึงเรื่องราวหนึ่งว่า
"ณ ดินแดนตะวันตกอันไกลโพ้น มีพ่อค้าวานิชย์ผู้หนึ่ง ด้วยความบังเอิญได้มีโอกาสครอบครองไข่มุกล้ำค่ามากชนิดที่ไม่เคยได้พบเจอมาก่อน ทำให้เขาตื่นเต้นยินดีเป็นอันมาก แต่ขณะเดียวกันก็มีความกังวลว่ามุกเลอค่านั้นจะโดนขโมยไป ไม่ว่าจะเก็บรักษาไว้ที่ใดก็ไม่ทำให้เขารู้สึกวางใจได้ สุดท้ายจึงได้คิดวิธีการหนึ่งขึ้นมา คือคิดที่จะผ่าท้องของตัวเองแล้วนำไข่มุกไปซ่อนเอาไว้ในนั้น เพราะมีแต่ทำเช่นนี้จึงจะแน่ใจว่ามุกจะไม่ถูกมือดีโจรกรรมไปเป็นแน่ ทว่าเมื่อลงมือผ่าท้องตัวเอง ชายผู้นั้นก็สิ้นใจทันที"
เมื่อเล่าจบ ถังไท่จงจึงกล่าวต่อไปว่า "เรื่องเล่านี้เป็นเรื่องที่เราเคยได้ยินมา พวกท่านเล่า คิดว่าโลกนี้ยังมีคนเช่นนี้อยู่จริงหรือ?"
เหล่าข้าราชบริพารต่างพากันตอบว่า "น่ากลัวมี"
ถังไท่จงจึงกล่าวอีกว่า "ทุกคนต่างทราบดีว่า เหตุการณ์ที่พ่อค้าวานิชย์รักถนอมไข่มุกมากกว่ารักถนอมชีวิตตนเองนั้น เป็นเรื่องชวนหัว น่าสมเพช แต่กลับมีขุนนางบางรายเนื่องเพราะกินสินบาท คาดสินบนจนทำร้ายทำลายถึงชีวิตของตัวเอง มีจักรพรรดิ์ที่เสพสุขอย่างไร้ขีดจำกัดจนกระทั่งต้องสูญเสียประเทศชาติ เช่นนี้มิใช่เรื่องน่าขันเช่นเดียวกับเรื่องของพ่อค้าผู้นี้หรอกหรือ?"
ในตอนนั้น เว่ยเจิง ขุนนางและที่ปรึกษาคู่ใจขององค์ฮ่องเต้ถังไท่จง ได้กล่าวว่า "เนื่องเพราะผู้ที่ถูกอำนาจเงินตราบังตา ละโมบโลภมาก จนกระทั่งลืมแม้แต่ชีวิตของตนเองนั้นมีอยู่จริง ในสมัยที่ขงจื๊อเป็นขุนนางอาวุโสแห่งแคว้นหลู่นั้น หลู่อายกง เจ้าครองแคว้นได้กล่าวกับขงจื๊อว่า "มีคนป่วยเป็นโรคขี้ลืมบางจำพวก ย้ายบ้านไปแต่กลับลืมเลือนภรรยา" ขงจื๊อตอบว่า "นั่นไม่นับว่าแปลก ยังมีคนที่เป็นโรคขี้ลืมหนักว่านั้น "เจี๋ย, โจ้ว กระทั่งลืมเลือนแม้แต่ตัวตนของตนเอง" (เจี๋ย หมายถึง กษัตริย์ทรราชย์สมัยราชวงศ์เซี่ย ส่วน โจ้ว หมายถึง กษัตริย์ทรราชย์สมัยราชวงศ์ซาง ซึ่งทั้งสองต่างก็เป็นกษัตริย์องค์สุดท้าย ก่อนที่ราชวงศ์ของตนเองจะโดนล้มล้าง)
“โพวฟู่ฉางจู” หรือ "ผ่าท้องซ่อนมุก" ใช้เพื่อเปรียบเปรยกับการเห็นแก่ทรัพย์สมบัติจนทำลายตนเอง หรือการเรียงลำดับความสำคัญของเรื่องต่างๆ กลับตาลปัตร
ที่มา http://baike.baidu.com
http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9530000113968
-
"อีจี้จือฉาง" :"รู้ทักษะกระจ่างเพียงอย่างเดียว"
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 กันยายน 2553 09:02 น
《一技之长》
一(yī) อ่านว่า อี แปลว่า หนึ่ง
技(jì) อ่านว่า จี้ แปลว่า ทักษะ
之(zhī) อ่านว่า จือ ในที่นี้ทำหน้าที่เป็นคำช่วย วางระหว่างคำนามและส่วนขยายคำนาม
长(cháng) อ่านว่า ฉาง แปลว่า เชี่ยวชาญ
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1117203&stc=1&d=1283338175)
ภาพประกอบโดย ไต้จิ้น(戴进) ศิลปินสมัยราชวงศ์หมิง
ในสมัยสงครามระหว่างรัฐ (จั้นกั๋ว) รัฐเจ้ามีพหูสูตผู้มีชื่อเสียงนามว่า กงซุนหลง ซึ่งคนผู้นี้ได้ชุบเลี้ยงบริวารเอาไว้มากหลาย โดยแต่ละคนล้วนมีความถนัดความสามารถในเรื่องที่แตกต่างกัน เขากล่าวเสมอว่า "ผู้ฉลาดต้องรู้จักเปิดรับทุกผู้คนที่มีความสามารถในแบบฉบับของตนเอง"
วันหนึ่ง มีคนผู้หนึ่ง สวมใส่เสื้อผ้าเก่าขาดโกโรโกโส เดินทางมาขอพบกงซุนหลง ทั้งยังกล่าวคำนำเสนอตนเองว่า "ข้าน้อยมีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง" กงซุนหลงจึงถามว่าคืออะไร คนผู้นั้นจึงตอบว่า "เสียงของข้าน้อยดังกังวานเป็นพิเศษ มีความสามารถในการกู่ร้องตะโกน" เมื่อฟังจบ กงซุนหลงจึงหันกายไปถามคนในสังกัดของตนเองว่า "พวกเจ้า ใครมีความสามารถกู่ร้องตะโกน" ปรากฏว่าไม่มีแม้แต่ผู้เดียว ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจรับชายผู้ถนัดการตะโกนเอาไว้ในตำแหน่งผู้ติดตาม
เวลาผ่านไปไม่นาน กงซุนหลง พร้อมทั้งบริวารได้ออกเดินทางไปท่องเที่ยวนอกเมือง เมื่อพวกเขามาถึงริมฝั่งแม่น้ำที่กว้างใหญ่ พบว่าเรือข้ามฝากนั้นยังคงอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ ซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลพอสมควร คนเรือจึงไม่ทันสังเกตเห็นว่าพวกเขากำลังรอข้ามฟาก ขณะที่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี พลันกงซุนหลงก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีผู้ติดตามผู้หนึ่งซึ่งถนัดการตะโกน จึงได้กล่าวกับคนผู้นั้นว่า "เจ้าบอกว่าเจ้าตะโกนเก่ง ครานี้จงตะโกนเรียกเรือข้ามฝากให้ข้าชมดู" คนผู้นั้นเมื่อพบโอกาสที่จะแสดงความสามารถของตนก็ยินดียิ่งนัก จึงได้ป้องปากตะโกนอย่างสุดกำลังว่า "คนเรือ รีบพายเรือข้ามฝั่งมาทางนี้ พวกเราต้องการข้ามฟาก" เมื่อกล่าวจบ คนเรือที่อยู่บนเรือ ณ อีกฝั่งของแม่น้ำ ก็พยักหน้ารับ พร้อมทั้งพายเรือมุ่งหน้ามา ส่วนกงซุนหลงก็พอใจในความสามารถของบริวารคนนี้ยิ่งนัก
ภายหลัง สำนวน "อีจี้จือฉาง" หรือ "รู้ทักษะกระจ่างเพียงอย่างเดียว" ใช้เพื่อเปรียบเปรยถึงการมีความรู้ความสามารถ หรือเชี่ยวชาญในสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างกระจ่างแจ้ง ทั้งยังแฝงความหมายว่า คนเรานั้นควรมีความรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แม้เพียงเรื่องเดียว แต่หากเข้าใจอย่างถ่องแท้ย่อมเกิดประโยชน์อย่างมหาศาล
ที่มา : http://baike.baidu.com/
http://www.china.org.cn/
http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9530000120981
-
"เปาฉางฮั่วซิน" : "แอบซ่อนจิตมาร"
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 กันยายน 2553 06:13 น.
http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9530000129098
(http://pics.manager.co.th/Images/553000013686501.JPEG)
ภาพโดย หลี่ถัง ศิลปินสมัยราชวงศ์ซ่ง
《包藏祸心》
包藏(bāo cáng) อ่านว่า เปาฉาง แปลว่า แอบซ่อน
祸心(huò xīn) อ่านว่า ฮั่วซิน แปลว่า จิตใจชั่วร้าย
ในสมัยชุนชิว แคว้นเจิ้งมีที่ตั้งอยู่ทางภาคเหนือติดกับแคว้นฉู่ เจ้าครองแคว้นมีดำริที่จะให้ธิดาของอำมาตย์ต้วนแห่งแคว้นเจิ้ง ไปสมรสกับแม่ทัพเหวยแห่ง แคว้นฉู่ เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างสองแคว้นให้แนบแน่น แต่ไม่คาดคิดว่า แคว้นฉู่กลับวางแผนถือโอกาสที่แม่ทัพเหวยต้องเดินทางมารับเจ้าสาว นำกำลังทหารมามากมายเพื่อเตรียมบุกยึดแคว้นเจิ้ง
เมื่อถึงวันรับเจ้าสาว แม่ทัพเหวยแห่งแคว้นฉู่ขึ้นนั่งบนรถม้าศึก นำกองทัพมุ่งหน้าสู่แคว้นเจิ้ง
เจ้าครองแคว้นเจิ้งรู้เท่าทันแผนการของแคว้นฉู่ จึงได้ส่งจื่ออี่ว์ นักปกครองและนักการทูตคนสำคัญของแคว้นเจิ้งออกไปรับหน้า จื่ออี่ว์จึงกล่าวกับตัวแทนของแม่ทัพเหวยว่า "แคว้นเจิ้งของข้าพเจ้า เป็นแคว้นเล็ก พวกท่านนำคนมารับเจ้าสาวมากเกินไป แคว้นเราไม่อาจรับรองได้หมด ดังนั้นจึงขอจัดพิธีสมรสที่นอกเมือง"
ตัวแทนแม่ทัพเหวยแห่งแคว้นฉู่ กล่าวตอบว่า "พิธีสมรสเป็นงานใหญ่ จะจัดขึ้นกลางป่าเขาได้อย่างไร หากพวกท่านไม่ให้พวกเราเข้าเมือง ประชาราษฎร์ก็จะดูแคลนแคว้นฉู่เราว่าต่ำต้อยกว่าแคว้นเจิ้ง ทั้งยังจะเป็นการทำให้แม่ทัพเหวยผิดต่อบรรพบุรุษ เพราะก่อนที่จะออกเดินทางมา ท่านแม่ทัพได้ไปจุดธูปคารวะต่อบรรพบุรุษเอาไว้"
จื่ออีว์ เห็นว่าเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วก็ควรจะกล่าวให้หมดเปลือก จึงกล่าวสืบต่อไปว่า "การ ที่แคว้นเจิ้งของเราเล็กนั้นไม่นับว่าเป็นเรื่องผิด แต่หากเป็นแคว้นเล็กแล้วหวังพึ่งพาแคว้นใหญ่ จึงไม่ระวังป้องกันแคว้นของตน จึงเป็นเรื่องผิดมหันต์ แคว้นเจิ้งเชื่อมสัมพันธ์กับแคว้นฉู่ผ่านการสมรส เดิมทีคิดพึ่งพาให้แคว้นใหญ่ของท่านคุ้มครองแคว้นเล็กของเรา แต่ในเมื่อในใจของพวกท่านมีแผนการร้ายต้องการฮุบเอาแคว้นเจิ้งไปเสียเอง พวกเราก็ไม่อาจยอมได้"
เมื่อแผนการณ์ถูกรู้ทัน แม่ทัพเหวยจึงเกรงว่าแคว้นเจิ้งต้องจัดเตรียมกองกำลังป้องกันอยู่ภายในแล้ว จึงได้แต่ล้มเลิกแผนการ แต่อย่างไรก็ไม่ยอมรับออกมาโดยตรง เพียงแต่ยืนยันขอเข้าเมืองโดยให้ทหารทุกนายปลดอาวุธ เข้าไปมือเปล่า จื่ออี่ว์ค่อยยินยอมให้ทัพฉู่เข้าเมือง
เมื่อแม่ทัพเหวยเข้าเมือง พิธีสมรสก็เกิดขึ้น จากนั้นไม่นานแม่ทัพเหวยจึงนำตัวเจ้าสาวเดินทางพร้อมกองทัพกลับไปยังแคว้น ฉู่โดยดี
สำนวน "เปาฉางฮั่วซิน" หรือ "แอบซ่อนจิตมาร" หมายถึงจิตใจชั่วร้ายที่คิดทำร้ายทำลายผู้อื่น
ที่มา http://baike.baidu.com/
-
เหนี่ยวจิ้นกงฉาง : สิ้นนกเก็บคันธนู
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 กันยายน 2553 09:24 น.
《鸟尽弓藏》
鸟(niǎo) อ่านว่า เหนี่ยว แปลว่า นก
尽(jìn) อ่านว่า จิ้น แปลว่า สิ้นสุด หมดสิ้น
弓(gōng) อ่านว่า กง แปลว่าคันธนู
藏(cáng) อ่านว่า ฉาง แปลว่า เก็บ ซ่อน
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1161336&d=1286070226)
ภาพจาก http://www.sucaitianxia.com/
ในช่วงปลายยุคชุนชิว ขณะที่ รัฐอู๋ และรัฐเย่ว์ ต่อสู่เพื่อช่วงชิงความเป็นใหญ่ ผลปรากฏว่ารัฐเย่ว์เป็นฝ่ายพ่ายแพ้จึงขอสงบศึก
อ๋องรัฐเย่ว์นาม โกวเจี้ยน ถูกรัฐอู๋จับไปเป็นตัว ประกัน แต่เขาได้แอบสั่งสมกองกำลังและฝึกฝนกองทัพของตนเองอย่างลับๆ เพื่อรอวันแก้แค้น โดยในระหว่างนั้นได้มอบหมายให้เสนาบดี เหวินจ่ง และ ฟั่นหลี่ บริหารราชการแผ่นดินรัฐเย่ว์ เวลาผ่านไปหลายปี รัฐเย่ว์จากอ่อนแอเริ่มกลับเข้มแข็งขึ้น จนในที่สุดสามารถยกกองกำลังมาตีรัฐอู๋ได้สำเร็จ
อ๋องรัฐอู๋ในขณะนั้นนาม ฟู่ไช พยายามส่งทูตมา เชื่อมสัมพันธ์กับรัฐเย่ว์ถึง 7 ครั้งด้วยกัน แต่รัฐเย่ว์ไม่ยินยอม ฟู่ไชจึงคิดแผนการโดยส่งจดหมายไปให้ฟั่นหลี่ โดยมีใจความว่า "เมื่อ กระต่ายถูกจับหมดสิ้น สุนัข สุกร ที่ทำหน้าที่จับกระต่ายย่อมหมดประโยชน์ สุดท้ายได้แต่ถูกฆ่ามาเป็นอาหาร เช่นเดียวกับรัฐศัตรูเมื่อถูกปราบปรามแล้ว ขุนนางที่ทำหน้าที่ล้วนโดนกำจัด เหตุใดท่านเสนาบดีทั้งสองไม่ให้รัฐอู๋ดูแลพวกท่าน หาแผ่นดินสำหรับตนเองสักผืน" ทว่าเหวินจ่ง และฟั่นหลี่ ยังคงปฏิเสธ สุดท้ายอ๋องฟู่ไชแห่งรัฐอู๋ถูกรัฐเย่ว์รุกไล่จนตัดสินใจฆ่าตัวตาย
ในคืนแห่งการฉลองชัย โกวเจี้ยนพบว่าเสนาบดีฟั่นหลี่หายตัวไป วันต่อมาที่บริเวณริมทะเลสาปไท่หู พบเสื้อผ้าของฟั่นหลี่กองทิ้งไว้ ผู้คนจึงพากันคิดว่าเขาคงโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทว่าผ่านมาไม่กี่วัน มีคนนำจดหมายมาให้เสนาบดีเหวินจ่ง ความว่า "เมื่อ นกหมดสิ้นจากท้องฟ้า คันธนูย่อมถูกเก็บไว้ เมื่อกระต่ายถูกจับไม่มีเหลือ สุนัข สุกร ที่ทำหน้าที่จับกระต่ายย่อมหมดประโยชน์ เมื่อศัตรูถูกทำลายราบคาบ ขุนนางไม่ถูกเนรเทศก็ถูกทำร้ายทำลาย อ๋องเย่ว์เป็นบุคคลที่เพียงร่วมทุกข์กับเขาได้ แต่ไม่ยอมให้ใครมาร่วมเสพย์สุข หากท่านไม่จากอ๋องเย่ว์ไปในวันนี้ ไม่พ้นต้องมีภัยถึงชีวิต" เหวินจ่งจึงได้ทราบว่าที่แท้ฟั่นหลี่ไม่ได้ฆ่าตัวตาย เพียงแต่หลบหนีไป ส่วนเขาแม้ว่าจะไม่ปักใจเชื่อตามฟั่นหลี่ไปเสียทั้งหมด แต่ก็พยายามระวังตัวเอง เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านพักโดยอ้างว่าไม่สบายจึงไม่ไปเข้าเฝ้า ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวทำให้โกวเจี้ยนระแวงสงสัย
วันหนึ่งโกวเจี้ยน เดินทางมาเยี่ยมเสนาบดี เหวินจ่ง ยังบ้านพัก โดยเมื่อกลับไปได้ทิ้งกระบี่เอาไว้เล่มหนึ่ง เหวินจ่งพบว่าบนกระบี่มีตัวอักษร 2 ตัว คือ “属楼” จึงจำได้ว่ากระบี่เล่มนี้เป็นเล่มเดียวกับที่อ๋องอู๋ผู้ล่วงลับ ฟู่ไช ได้ใช้บังคับให้ที่ปรึกษาผู้รักชาติแห่งแคว้นอู๋ นาม อู่ จื่อซีว์ ใช้ ปลิดชีวิตตนเอง เหวินจ่งจึงได้รู้จิตเจตนาของโกวเจี้ยน และนึกเสียดายที่ไม่เชื่อคำเตือนของฟั่นหลี่ สุดท้ายได้แต่ใช่กระบี่นั้นบั่นคอตนเองตายตามบัญชาของโกวเจี้ยน
สำนวน "鸟尽弓藏" หรือ "สิ้นนกเก็บคันธนู" มีความหมายว่า เมื่อภารกิจเสร็จสิ้น กลับกำจัดผู้ที่มีส่วนช่วยเหลือหรือลงทุนลงแรงในภารกิจนั้นออกไปให้พ้นทาง ซึ่งมีความหมายเช่นเดียวกับสำนวนที่ว่า "เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล" นั่นเอง
ที่มา http://baike.baidu.com
-----------------------------
ขณะนี้สุภาษิตในคอลัมน์ "นิทานคติ" ได้ถูกนำมารวมเล่มเป็นหนังสือรวมเรื่องเล่าจากสุภาษิตจีนแล้ว
รายละเอียดหนังสือ
ชื่อหนังสือ คำจีนเขียนชีวิต (成语故事)
สำนักพิมพ์ บ้านพระอาทิตย์ (ติดต่อ โทร 0-2587-0234 # 136)
ผู้แปล/เรียบเรียง ดวงพร วงศ์ชูเครือ
ISBN 978-616-536-033-3
พิมพ์ครั้งแรก กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ราคา 150 บาท
-
เจี้ยนรู่เจียจิ้ง : ยิ่งเข้าไปยิ่งดีเลิศ
China - Manager Online - ���¹�����¨�� : ���������觴�����
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 กันยายน 2553 07:41 น.
《渐入佳境》
渐(jiàn) อ่านว่า เจี้ยน แปลว่า ค่อยๆ
入(rù) อ่านว่า รู่ แปลว่า เข้าไป
佳(jiā) อ่านว่า เจีย แปลว่า ดีเลิศ
境(jìng) อ่านว่า จิ้ง แปลว่า สถานที่
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1161335&stc=1&d=1286070226)
หนึ่งในภาพวาดอันโด่งดังของกู้ ข่ายจือ
“กู้ ข่ายจือ” เป็นนามของศิลปินผู้โด่งดังในสมัยราชวงศ์ตงจิ้น(จื้นตะวันออก) เขาไม่เพียงมีความสามารถด้านจิตรกรรมเท่านั้น แต่ยังสามารถประพันธ์บทกวี โคลงกลอน และเขียนตัวอักษรด้วยพู่กันจีนได้อย่างวิจิตรงดงาม
เมื่อครั้งที่กู้ ข่ายจือ ยังหนุ่ม ได้เคยสมัครเป็นทหารของซือหม่าหวนเวิน หลายปีนั้น กู้ ข่ายจือ ติดตามหวนเวินไปรบทัพจับศึกตั้งแต่เหนือจรดใต้ ทำให้ทั้งสองมีความผูกพันกันอย่างแนบแน่น
ครั้งหนึ่ง กู้ ข่ายจือ ติดตามหวนเวินไปยังพื้นที่เจียงหลิงเพื่อตรวจสอบกองทัพ เมื่อล่วงเข้าวันที่สองที่อยู่เจียงหลิง มีขุนนางประจำเมืองเจียงหลิงผู้หนึ่งมาคารวะหวนเวิน ทั้งยังมอบของกำนัลซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของเมืองนี้ให้กับหวนเวิน นั่นคืออ้อย หวนเวินยินดียิ่ง กล่าวว่า "อ้อยในท้องที่นี้มีชื่อเสียงมาก ทุกท่านลองชิมดู"
เมื่อผู้ติดตามทั้งหลายได้ยิน ก็หยิบอ้อยขึ้นมารับประทานกันพลางกล่าวชื่นชมว่า "ไม่แปลกใจที่มีชื่อเสียง เพราะอ้อยนี้ช่างหวานจับใจจริงๆ"
ในตอนนั้น มีเพียง กู้ ข่ายจือ ผู้เดียวที่ยังคงดื่มด่ำกับการชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง จนเพลิดเพลินเคลิบเคลิ้ม ไม่สนใจชิมอ้อย หวนเวินจึงได้เลือกอ้อยต้นหนึ่งยื่นให้เขาลิ้มลอง กู้ ข่ายจือ ไม่ทันมอง กลับส่งด้านปลายอ้อยเข้าปากเคี้ยวกัดคำหนึ่ง แทนที่จะเป็นด้านโคนที่หวานกว่า
หวนเวินเห็นดังนั้น จึงกลั้นยิ้มพลางเอ่ยถามว่า "อร่อยหรือไม่?"
ผู้คนรอบข้างต่างก็พากันหัวเราะพลางเอ่ยถามว่า "อ้อยที่พวกเรารับประทานช่างหวานล้ำนัก ไม่ทราบอ้อยที่ท่านกู้ รับประทานหวานหรือไม่?"
ตอนนี้กู้ ข่ายจือจึงค่อยรู้สึกตัว มองอ้อยที่อยู่ในมือ จึงได้ทราบว่าเหตุใดคนรอบข้างจึงพากันหัวเราะเยาะเขา จากนั้นจึงกล่าวแก้หน้าว่า "พวกท่านหัวเราะอันใด เป็นพวกท่านที่ไม่รู้จักวิธีการรับประทานอ้อยที่ถูกต้อง แม้กระทั่งการรับประทานอ้อยก็ต้องพิถีพิถัน"
เมื่อคนอื่นๆ เห็นว่ากู้ ข่ายจือกล่าวด้วยความขึงขัง จึงเอ่ยถามพลางหัวเราะพลางว่า "รับประทานอ้อย ยังมีลวดลายอันใด ท่านลองพูดว่าดูว่าเหตุใดจึงกัดกินปลายอ้อยแทนที่จะเป็นโคนอ้อย?"
ยามนั้น กู้ข่ายจือ จึงกล่าวตอบว่า "หาก ตอนเริ่มต้น พวกท่านเลือกกัดด้านที่หวานที่สุดไปแล้ว ยิ่งกัดไปก็ยิ่งหวานน้อยลงๆ จนไร้รสชาติ ส่วนข้าเริ่มต้นกัดจากส่วนปลายที่ไม่หวาน เมื่อยิ่งกัดกินไปเรื่อยๆ ย่อมพบความหวานมากขึ้นๆ วิธีการเช่นนี้เรียกว่า "ยิ่งเข้าไปยิ่งดีเลิศ"
ปัจจุบัน สำนวน "เจี้ยนรู่เจียจิ้ง" หรือ "ยิ่งเข้าไปยิ่งดีเลิศ" มักใช้เปรียบเทียบถึงสถานการณ์ที่ค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ หรือเปรียบเทียบถึงความสนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่นานไป ยิ่งลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ
-----------------------------
ขณะนี้สุภาษิตในคอลัมน์ "นิทานคติ" ได้ถูกนำมารวมเล่มเป็นหนังสือรวมเรื่องเล่าจากสุภาษิตจีนแล้ว
รายละเอียดหนังสือ
ชื่อหนังสือ คำจีนเขียนชีวิต (成语故事)
สำนักพิมพ์ บ้านพระอาทิตย์ (ติดต่อ โทร 0-2587-0234 # 136)
ผู้แปล/เรียบเรียง ดวงพร วงศ์ชูเครือ
ISBN 978-616-536-033-3
พิมพ์ครั้งแรก กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ราคา 150 บาท
.
.
.
-
เซิงจี้สื่อกุย : เกิดชั่วคราว ดับกลับคืน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 ตุลาคม 2553 14:10 น.
《生寄死归》
生(shēng) อ่านว่า เซิง แปลว่า เกิด
寄(jì) อ่านว่า จี้ แปลว่า อาศัยชั่วคราว
死(sǐ) อ่านว่า สื่อ แปลว่า ตาย
归(guī) อ่านว่า กุย แปลว่า กลับคืน
ในสมัยอดีตกาล เมื่อ "ต้าอี่ว์" สืบทอดราชบังลังก์จากกษัตริย์ "ซุ่น" กลายเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน แต่กลับใช้ชีวิตอย่างสมถะ ปราศจากความละโมบโลภมาก ข้าวของเครื่องใช้ล้วนทำจากไม้ที่ไม่ผ่านการแกะสลัก พระราชวังก็เป็นเพียงห้องหับพื้นๆ อาหารการกินมีเพียงข้าวแข็งหยาบกับแกงจืดที่ต้มจากผักพื้นบ้าน เครื่องนุ่งห่มเป็นผ้ากระสอบแข็งระคายและใช้หนังกวางมาเป็นเครื่องป้องกันความหนาวเมื่อถึงฤดูหนาว
ครั้งหนึ่ง ต้าอี่ว์เดินทางล่องเรือไปยังแดนใต้ โดยสารเรือลำหนึ่งข้ามแม่น้ำแยงซีเกียง ขณะที่เรือแล่นไปถึงใจกลางลำน้ำ พลันมีมังกรสีเหลืองตัวใหญ่มหึมาโผล่ขึ้นมาจากสายน้ำ มังกรตัวนั้นไม่ทราบมีความยาวเท่าใด แต่เฉพาะส่วนหางก็มีขนาดใหญ่โตเทียบได้กับเรือลำหนึ่งเลยทีเดียว เมื่อมังกรเหลืองตัวนั้นโบกสะบัดหาง สายน้ำก็ถูกม้วนกลายเป็นคลื่นยักษ์ลูกแล้วลูกเล่าสาดซัดเข้าใส่ลำเรือ จนเรือโคลงเคลงไปมา เท่านั้นไม่พอ มังกรเหลืองยังดำลงไปใต้ท้องเรือ ใช้ส่วนหลังยกลำเรือขึ้นแล้วว่ายพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จนทำให้ผู้โดยสารที่อยู่บนเรือต่างพากันหวาดกลัวจนใบหน้าซีดเผือด คงมีเพียงต้าอี่ว์ ผู้เดียวที่รักษาความเยือกเย็นเอาไว้ได้ราวกับไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น
เหล่าผู้ติดตามเห็นต้าอี่ว์ไม่มีทีท่าหวาดกลัว จึงเอ่ยถามด้วยความข้องใจว่า "เวลานี้ เรืออาจจะพลิกคว่ำได้ทุกเมื่อ พวกเราก็อาจจะกลายเป็นอาหารในปากมังกรเหลือง แต่เหตุใดใต้เท้ายังคงลักษณะสำราญใจเช่นนี้?"
ต้าอี่ว์จึงกล่าวตอบด้วยเสียงอันดังว่า "ชีวิตข้าเป็นไปตามลิขิตฟ้า ข้าทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจก็เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ ชีวิตของข้าที่มีอยู่ ก็เป็นสวรรค์ที่มอบให้ หากข้าตายไป ก็เพียงส่งมอบชีวิตหวนคืนให้สวรรค์ ความเป็นความตายไม่อาจสั่นคลอนจิตใจข้าได้ โดยเฉพาะจากเจ้ามังกรเล็กๆ เพียงหนึ่งตัว ในสายตาของข้า มันก็เป็นเพียงแค่สัตว์เลื้อยคลาน ไม่มีอะไรให้ข้าต้องกังวล"
ผู้ติดตามได้ฟังดังนั้น ได้แต่รำพึงว่า "ใต้เท้านับเป็นผู้ยิ่งใหญ่โดยแท้"
ส่วนมังกรเหลืองเมื่อได้ยินคำกล่าวอันยิ่งใหญ่ของต้าอี่ว์ จึงถอนศีรษะกลับตัว สะบัดหางจากไป
สำนวน "เซิงจี้สื่อกุย" มีความหมายว่า ไม่ยึดถือความเป็นความตายเป็นสรณะ การเกิด-ดับเป็นธรรมดาโลก ไม่ควรตื่นเต้นดีใจหรือโศกเศร้าให้มากเกินไป ซึ่งสำนวนนี้เป็นสำนวนที่มาจากคำสอนในลัทธิเต๋า ที่มุ่งเน้นความกลมกลืนไปกับวิถีธรรมชาติ มองการเกิด-ดับเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ จึงไม่จำเป็นต้องครุ่นคำนึงให้มากความ เพียงทำตัวให้เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติก็เพียงพอแล้ว
ที่มา : 《道的100个哲理故事》, 光明日报出版社, I S B N: 7801459288, 出版日期: 2005-3-1
หมายเหตุ : ต้าอี่ว์ เป็นบุคคลในอดีตกาล เมื่อ 4000 ปีก่อน เป็นผู้ซึ่งคิดค้นวิธีการขุดคลองระบายน้ำ แก้ปัญหาอุทกภัยครั้งร้ายแรงบริเวณลุ่มน้ำฮวงโห(แม่น้ำเหลือง)ได้สำเร็จจนได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์จีน
.
http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9530000140017
.
.
-
:13: :45: :45: :45:
-
นิทานเซน :รสชาติของเกลือ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 ตุลาคม 2553 08:16 น.
《盐的味道》
ภาพจาก www.nipic.com (http://www.nipic.com)
อาจารย์เซนผู้หนึ่งมีศิษย์ที่ชอบร้องทุกข์คร่ำครวญอยู่คนหนึ่ง และเนื่องจากทัศนะคติที่คับแคบนี้เอง ทำให้ศิษย์ผู้นี้มักจะมีแต่ความทุกข์กังวล จิตใจไม่เป็นสุข
วันหนึ่ง อาจารย์เซนสั่งให้ศิษย์คนดังกล่าวไปตลาดซื้อเกลือมาถุงหนึ่ง เมื่อศิษย์กลับมาจึงสั่งให้นำเกลือมาหยิบมือหนึ่ง โปรยลงไปในแก้วบรรจุน้ำ แล้วให้ศิษย์ดื่มลงไป พลางกล่าวถามว่า “รสชาติของน้ำเป็นอย่างไร?”
“เค็มจนขม” ศิษย์ตอบด้วยใบหน้าเหยเก
จากนั้น อาจารย์เซนได้พาศิษย์ไปยังริมทะเลสาบ สั่งให้นำเกลือที่เหลือโปรยลงไปในทะเลสาบจนหมดสิ้น แล้วกล่าวว่า “ลองดื่มน้ำจากทะเลสาบดูสิ” ศิษย์จึงก้มตัวลงไปวักน้ำจากทะเลสาบขึ้นมาดื่ม
อาจารย์เซนถามอีกว่า “คราวนี้รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง?”
ศิษย์ตอบว่า “รสชาติหวานสะอาด บริสุทธิ์ยิ่ง”
“ยังมีรสเค็มหรือไม่?” อาจารย์ถามต่อ
“ไม่มี” ศิษย์ตอบ
อาจารย์เซนได้ฟัจึงผงกศีรษะเล็กน้อย ยิ้มพลางเอ่ยสืบไปว่า “ความทุกข์ในชีวิตคนเราก็เป็นดั่งเกลือ มันจะมีรสเค็มหรือรสจืด ล้วนขึ้นอยู่กับภาชนะที่รองรับ ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะเป็นน้ำหนึ่งแก้ว หรือเป็นลำน้ำสายหนึ่ง”
ภาพจาก yanangel.spaces.live.com/
ปัญญาเซน : คนเรา หากต้องการใช้ชีวิตบนโลกอย่างมีความสุข ทุกข์น้อย วิธีการคือต้องลดความทุกข์ เปิดใจให้กว้าง เมตตาต่อตนเอง อดกลั้นต่อผู้อื่น จึงจะมีชีวิตที่สุขสบาย ดำเนินชีวิตด้วยความเยือกเย็น นิ่งสงบ ไม่เร่งร้อน
ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4
China - Manager Online -
(http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9530000143525)
-
:13: อนุโมทนาครับพี่หนุ่ม^^
-
นิทานเซน : ชายผู้มีภรรยาสี่คน
China - Manager Online]
《男人四妻》
ภาพจาก [url=http://www.epochtimes.com/gb/3/11/7/n407538.htm]www.epochtimes.com/gb/3/11/7/n407538.htm (http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9530000146736)
ในการแสดงธรรมครั้งหนึ่ง พระศากยมุนีพุทธเจ้าได้เล่าถึงเรื่องราวหนึ่งไว้ว่า...
พ่อค้าวาณิชย์ฐานะร่ำรวยผู้หนึ่งมีภรรยาทั้งสิ้น 4 นาง
ภรรยาคนแรกฉลาดปราดเปรียวน่ารัก คอยติดตามใกล้ชิดเสามีตลอดเวลา ไม่เคยห่างแม้เพียงก้าวเดียว
ภรรยาคนต่อมา พ่อค้าได้มาจากการช่วงชิง บังคับ เนื่องเพราะนางมีรูปโฉมงดงามยิ่ง
ภรรยาคนที่สาม เป็นผู้คอยดูแลจัดการเรื่องราวความเป็นไปจุกจิกในชีวิตประจำวัน ทำให้สามีมีชีวิตที่สงบเรียบร้อย
ส่วนภรรยาคนสุดท้าย ขยันขันแข็ง มุมานะทำงานอย่างหนัก จนทำให้พ่อค้าผู้เป็นสามีหลงลืมการดำรงอยู่ของนางไป
ครั้งหนึ่ง พ่อค้าวาณิชย์จำเป็นต้องออกเดินทางไปไกลแสนไกล เขาจึงคิดที่จะให้ภรรยาคนใดคนหนึ่งติดตามไปดูแล เมื่อเขาเอ่ยปากต่อภรรยาทั้งสี่นาง
ภรรยาคนแรกก็ชิงกล่าวว่า “ท่านเดินทางไปเองเถิด เพราะข้าไม่ต้องการไปด้วย”
ภรรยาคนที่สองกล่าวว่า “เดิมทีข้าก็เป็นภรรยาท่านเพราะถูกช่วงชิง บังคับ มิได้เต็มใจแต่แรก ดังนั้นแน่นอนว่าข้าไม่ต้องการตามท่านไป”
ภรรยาคนที่สามกล่าวว่า “แม้ว่าข้าจะเป็นภรรยาของท่าน แต่ข้าก็ไม่อยากทุกข์ทรมาน เดินทางออกไปนอนกลางดินกินกลางทราย ดังนั้นอย่างมากที่สุด ข้าสามารถเดินทางไปส่งท่านยังชานเมือง"
ภรรยาคนสุดท้ายกล่าวว่า “ในเมื่อข้าเป็นภรรยาของท่าน ไม่ว่าท่านจะไปที่ใด ข้าล้วนต้องติดตามท่านไป”
ดังนั้นพ่อค้าผู้ร่ำรวยจึงได้พาภรรยาคนที่สี่ออกเดินทางไปด้วยกัน
ในตอนท้าย พระศากยมุนีพุทธเจ้าได้เอ่ยกับเหล่าพระสาวกว่า “ทุกท่านทราบหรือไม่ว่า พ่อค้าวาณิชย์ผู้นี้คือใคร?”
จากนั้นจึงกล่าวว่า “ย่อมคือตัวของท่านเอง”
ภรรยาคนแรก หมายถึงร่างกายเลือดเนื้อ เมื่อคนเราตายไปร่างกายย่อมเน่าเปื่อยไม่อาจติดตามไปด้วยภรรยาคนที่สอง หมายถึงทรัพย์สมบัติเงินทอง ซึ่งแต่เดิมเกิดมาล้วนไม่ได้มาด้วย แม้จะอยากได้จนต้องแย่งชิงมาเป็นของตน แต่เมื่อตายไปก็ไม่อาจนำไปด้วย
ภรรยาคนที่สาม หมายถึงนางผู้เป็นภรรยาจริงๆ ยามมีชีวิต สามี-ภรรยาแม้ต่างพึ่งพาอาศัยกัน แต่เมื่อตายไปล้วนต้องพลัดพรากแยกย้ายไปตามเส้นทางของตน
ส่วนภรรยาคนสุดท้ายหมายถึงกรรมดี-กรรมชั่วที่ตนได้กระทำไว้ คนทั่วไปมักจะลืมเลือนถึงการมีอยู่ของบาปบุญ ทั้งๆ ที่สิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวที่จะติดตามคนเราไปในทุกที่
ปัญญาเซน : คนเราทุกคนเกิดมาล้วนตัวเปล่า ตายไปก็ล้วนไปตัวเปล่า มีเพียงกรรมเท่านั้นที่จะติดตามคนเราไปในทุกหนทุกแห่ง
ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4
-
นิทานเซน : ขอทานซื้อขนมเปี๊ยะ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 พฤศจิกายน 2553 05:15 น.
《乞丐买饼》
มีวัดเซนแห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อในการทำขนมเปี๊ยะอย่างมาก ขนมเปี๊ยะที่ทำออกมานอกจากขนาดใหญ่แล้วยังหอมหวานชวนรับประทาน ดึงดูดให้ผู้คนทั่วทุกสารทิศขึ้นเขามายังวัดแห่งนี้เพื่อขอซื้อขนมเปี๊ยะมาลิ้มลอง
วันหนึ่ง มีขอทานผู้หนึ่งเดินทางมาจากแดนไกลเพราะได้ยินกิตติศัพท์ร่ำลือถึงความอร่อยของขนมที่วัดแห่งนี้ เมื่อมาถึงวัดจึงได้เอ่ยปากต่อพระลูกวัดเพื่อขอลิ้มลองรสชาติขนมเปี๊ยะอันเลื่องชื่อ ทว่าบรรดาพระลูกวัดเมื่อเห็นท่าทางสกปรกโกโรโกโสของขอทานผู้นี้ก็นึกรังเกียจ จึงไม่ยอมให้ขอทานเข้าไปยังครัวของวัดเพื่อรับขนมเปี๊ยะ จนเกิดการฉุด ลาก ผลัก ดึง กันอยู่ในบริเวณวัด
ในตอนนั้น เจ้าอาวาสได้มาพบเห็นเหตุการณ์ จึงได้กล่าวปรามพระลูกวัดว่า "บรรพชิตต้องมีเมตตาธรรม เหตุใดพวกเจ้าจึงปฏิบัติตนเช่นนี้" จากนั้นเจ้าอาวาสจึงคัดเลือกขนมเปี๊ยะชิ้นใหญ่ด้วยตัวเอง และนำมามอบให้กับขอทานด้วยความนบนอบ โดยไม่คิดเงิน
เมื่อขอทานเห็นดังนั้นก็รู้สึกตื้นตันใจเป็นอันมาก และรับประทานขนมเปี๊ยะรสเลิศจนหมด ก่อนจากไป ขอทานได้ควักเงินทั้งหมดที่มีอยู่น้อยนิดออกมามอบให้กับเจ้าอาวาสเป็นค่าขนมเปี๊ยะ พลางกล่าวว่า "นี่เป็นเงินทั้งหมดที่ข้าขอทานมาได้ หวังว่าท่านเจ้าอาวาสจะรับไว้" เจ้าอาวาสรับเงินค่าขนมเปี๊ยะมาจริงๆ จากนั้นจึงประนมมือพลางกล่าวอวยพรขอทานว่า "ขอให้ท่านเดินทางโดยสวัสดี"
เหล่าพระลูกวัดเห็นดังนั้นก็เกิดความกังขายิ่งนัก และเอ่ยถามเจ้าอาวาสว่า "ในเมื่อท่านบริจาคขนมเปี๊ยะให้เป็นทานแล้ว ไยจึงรับเงินมา?" เจ้าอาวาสจึงกล่าวตอบว่า "ขอทานเดินทางมาไกลแสนไกลเพียงเพื่อลิ้มลองรสชาติขนมเปี๊ยะของวัดเรา ดังนั้นเราจึงมอบขนมเปี๊ยะให้เขาโดยไม่คิดเงิน ส่วนการที่เขาจ่ายค่าตอบแทนก็แสดงว่าขอทานผู้นี้มีความดีงามในจิตใจ รู้จักวิถีการปฏิบัติตัวในสังคม ด้วยเหตุนี้เราจึงรับเงินนั้นไว้เพื่อเติมเต็มความเคารพในตนเองของเขา ซึ่งจะเป็นแรงขับให้เขามีความสำเร็จยิ่งขึ้นไปในอนาคต"
ปัญญาเซน เจ้าอาวาสบริจาคขนมเปี๊ยะให้เป็นทาน สามารถดับความทุกข์จากความหิวโหยของขอทาน ส่วนการรับเงินค่าตอบแทนกลับมาถือเป็นการเติมเต็มความเคารพในตนเองให้กับขอทาน เนื่องเพราะท้องอิ่มเป็นเพียงการตอบสนองความต้องการทางร่างกายเพียงชั่วครั้งคราว แต่การเติมเต็มความเคารพในตนเองให้กับจิตวิญญาณของคนคนหนึ่ง จะเป็นแรงผลักดันเกื้อหนุนให้คนผู้นั้นไปตลอดทั้งชีวิต
ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4
http://www.manager.co.th/China/ViewN...=9530000157650
-
:13: :07: :45: :07:
-
:13: อนุโมทนาครับพี่หนุ่ม ขอบคุณนะครับ
-
เซี่ยงจวงอู่เจี้ยน อี้ไจ้เพ่ยกง : เซี่ยงจวงรำดาบ เจตจำนงอยู่ที่เพ่ยกง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 ธันวาคม 2553 15:15 น.
《项庄舞剑,意在沛公》
项庄 (xiàngzhuāng) อ่านว่า เซี่ยงจวง เป็นชื่อบุคคลในประวัติศาสตร์จีนมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องและขุนพลของเซี่ยงอี่ว์
舞(wǔ) อ่านว่า อู่ แปลว่า รำ, ร่ายรำ
剑 (jiàn) อ่านว่า เจี้ยน แปลว่า ดาบ
意 (yì) อ่านว่า อี้ แปลว่า จุดประสงค์, เจตจำนง
在 (zài) อ่านว่า ไจ้ แปลว่า อยู่, อยู่ที่
沛公 (pèi gōng) อ่านว่า เพ่ยกง หมายความถึงหลิวปัง
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1259612&stc=1&d=1291594049)
ภาพจาก gb.cri.cn/1321/2009/03/02/542s2443429.htm
ในยุคปลายของราชวงศ์ฉิน (221-202 ปี ก่อนคริสต์ศักราช) หลิวปังและเซี่ยงอี่ว์ (ฌ้อ ปาอ๋อง) ซึ่งเป็นแกนนำในการต่อต้านราชวงศ์ฉิน ต่างยกกองทัพเข้าโจมตีนครเสียนหยาง (เมืองหลวงของราชวงศ์ฉิน ปัจจุบันอยู่ในมณฑลส่านซี ใกล้กับเมืองซีอาน) ฉู่หวยหวังผู้นำในการก่อกบฎให้คำมั่นสัญญากับ หลิวปังและเซี่ยงอี่ว์ว่า หากผู้ใดสามารถรุกเข้าเมืองหลวงฉินได้ก่อนก็จะได้ครองตำแหน่งฮ่องเต้องค์ถัด ไป
ปี 207 ก่อนคริสต์ศักราช เซี่ยงอี่ว์ได้ชัยเหนือกองทัพใหญ่ของราชวงศ์ฉินที่เมืองจี้ว์ลู่ ขณะที่หลิวปังสามารถนำกองทัพบุกเข้ากุมสถานการณ์ในเมืองเสียนหยางได้ก่อน อย่างไรก็ตาม หลิวปังกลับไม่ได้รีบสถาปนาตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้ โดยจัดวางกองกำลังคุมเชิง และปิดล้อมสถานที่สำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพระราชวังและท้องพระคลังของราชวงศ์ฉินเอาไว้
เซี่ยงอี่ว์เมื่อได้ยินข่าวว่าหลิวปังสามารถบุกเข้าเมืองเสียนหยาง ได้ก่อน ด้วยความที่เป็นขุนศึกที่มีนิสัยใจคอเย่อหยิ่ง จองหองก็รู้สึกโมโหโกรธาเป็นอย่างยิ่ง โดยให้สัตย์สาบานไว้ว่าเมื่อยกทัพถึงเมืองเสียนหยางจะต้องจัดการกับหลิวปัง ให้จงได้ ขณะที่ฟ่านเจิง เสนาบดีของเซี่ยงอี่ว์ก็ให้คำแนะนำเช่นเดียวกันว่า “กาลก่อนหลิวปังเป็นคนโลภมาก เจ้าชู้ ทว่า ภายหลังจากบุกตีเข้าเมืองเสียนหยางสำเร็จแล้ว เขากลับไม่สนใจทรัพย์สินเงินทอง หญิงงามก็ไม่เหลียวแลเช่นกาลก่อน แสดงว่าหลิวปังมองการณ์ไกลหวังจะก้าวขึ้นเป็นใหญ่ เราควรต้องอาศัยโอกาสนี้กำจัดหลิวปังเสียก่อน”
ในเชิงการรบทัพจับศึกเป็นที่ทราบกันดีว่าฝีมือของหลิวปังนั้นมิอาจ เทียบได้กับเซี่ยงอี่ว์ อีกทั้งกำลังทหารก็ห่างกันหลายขุม ดังนั้นหลิวปังได้ทราบข่าวว่าเซี่ยงอี่ว์ต้องการจะยกกำลังทหารกว่า 4 แสนเข้ามาจัดการกับตนก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก จึงปรึกษากับเสนาธิการและได้ข้อสรุปว่า เมื่อเซี่ยงอี่ว์นำทัพมาถึงตำบลหงเหมิน ตนก็จะเข้าพบเพื่อหารือกับเซี่ยงอี่ว์เพื่อคลี่คลายสถานการณ์และปรับความ เข้าใจ
ต่อมา หลิวปังจึงได้นำจางเหลียงและนายพลฝานไคว่เดินทางไปถึงตำบลหงเหมินเพื่อพบปะ กับเซี่ยงอี่ว์ในงานเลี้ยงที่เซี่ยงอี่ว์เลี้ยงต้อนรับและขุดหลุมพรางเอาไว้ (งานเลี้ยงดังกล่าวถูกจดจารึกไว้ในประวัติศาสตร์จีนในชื่อ “งานเลี้ยงที่หงเหมิน”) เมื่อได้พบหน้ากันหลิวปังก็พยายามแก้ตัวว่า กองทัพของตนไม่ได้บุกเข้าไปในตัวเมืองเสียนหยาง เพียงแต่สั่งให้กำลังเข้าดูแลบริเวณชานเมืองเท่านั้นเพื่อรอคอยเซี่ยงอี่ว์ ให้เดินทางมาครองตำแหน่งฮ่องเต้ เมื่อได้ยินดังนั้นเซี่ยงอี่ว์ก็เกิดความลังเลและไม่ได้ส่งสัญญาณให้มือ สังหารที่ซุ่มอยู่ลงมือจัดการจับหลิวปังดังที่ได้เตรียมการณ์เอาไว้
ด้านฟ่านเจิง เสนาบดีของเซี่ยงอี่ว์เมื่อเห็นเจ้านายของตนเองเกิดอาการลังเล โดยแม้จะมีการสะกิดเตือนให้เซี่ยงอี่ว์ลงมือฆ่าหลิวปังเสียก็ไม่เป็นผล จึงสั่งการให้นายพลที่ชื่อเซี่ยงจวงแสร้งเป็นออกแสดงการรำดาบในวงงานเลี้ยง รับรอง โดยเมื่อสบโอกาสให้ลงมือสังหารหลิวปังเสีย
ทว่า เซี่ยงจวงไม่ทันได้ลงมือ จางเหลียงซึ่งเป็นเสนาธิการของหลิวปังเห็นสถานการณ์คับขันยิ่งจึงรีบเรียก ให้นายพลฝานไคว่ออกมารับมือเพื่อปกป้องหลิวปังก่อน โดยฝานไคว่ถือดาบและโล่พุ่งเข้ามาในวงงานเลี้ยง พร้อมกับกล่าวชื่นชมหลิวปังต่างๆ นาๆ ว่า “หลิวปังบุกเข้าเมืองเสียนหยางก่อน แต่กลับไม่ได้ยึดเมืองและตั้งตนเป็นฮ่องเต้แต่อย่างใด เฝ้ารักษาเมืองเอาไว้เพื่อรอคอยให้ท่านเดินทางมาเป็นฮ่องเต้ ลูกน้องที่สร้างคุณงามความดี มีความสามารถเช่นนี้ เซี่ยงอี่ว์ท่านจะหาได้จากที่ใดอีก”
เซี่ยงอี่ว์เมื่อได้ฟังก็มิอาจทำเช่นไรได้ เพียงยกจอกสุราขึ้นกล่าวชมเชย จางเหลียงกับหลิวปังจึงรีบยกจอกสุราขึ้นดื่มโดยพลัน พร้อมหาข้ออ้างปลีกตัวออกจากวงงานเลี้ยงเพื่อไปเข้าห้องน้ำ ก่อนเดินทางกลับฐานที่มั่นของตนเองในทันที
ด้านฟ่านเจิงเมื่อทราบข่าวว่า หลิวปังกับลูกน้องหนีหน้าเดินทางกลับไปแล้วก็รู้สึกโกรธเป็นอย่างมากที่ เซี่ยงอี่ว์ไม่กล้าตัดสินใจ ทั้งๆ ที่หลิวปังเปรียบเสมือนลูกไก่ในกำมือแท้ๆ กลับปล่อยให้หนีรอดไป จึงกล่าวว่า “เซี่ยงอี่ว์มิอาจเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จได้ จงคอยดูต่อไปว่าผู้ที่ก้าวขึ้นเป็นฮ่องเต้จะต้องเป็นหลิวปัง”
สำนวน “เซี่ยงจวงรำดาบ เจตจำนงอยู่ที่เพ่ยกง” หมายความถึง บุคคลที่คำพูดกับการกระทำไม่ตรงกัน หรือ กระทำการใดโดยมีวาระซ่อนเร้น ซึ่งตรงกับสำนวนไทยที่ว่า “ปากไม่ตรงกับใจ”
หมายเหตุ : ใน เวลาต่อมาเซี่ยงอี่ว์ได้ตั้งตนเป็นฌ้อปาอ๋องตะวันตก และแต่งตั้งหลิวปังไปเป็นเจ้าเมืองฮั่นในเขตทุรกันดาร เมื่อสบโอกาสที่เซี่ยงอี่ว์ยกทัพออกไปรบกับรัฐอื่น หลิวปังก็สั่งกำลังทหารเข้ายึดเมืองเสียนหยาง และประกาศตัวเป็นศัตรูกับเซี่ยงอี่ว์อย่างเต็มตัว อย่างไรก็ตามด้วยกุศโลบายในการบริหารบ้านเมืองของหลิวปังที่เหนือกว่า เซี่ยงอี่ว์จึงทำให้ทัพของหลิวปังเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ อิทธิพลในหมู่ประชาชนก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่กองกำลังของเซี่ยงอี่ว์กลับอ่อนแอลงเรื่อยๆ จนในที่สุด ในปี 202 ก่อนคริสต์ศักราช หลิวปังได้กองทัพไปปิดล้อมกองกำลังของเซี่ยงอี่ว์จนแตกพ่ายไม่เป็นท่า แม้ว่า เซี่ยงอี่ว์ได้ตีฝ่าวงล้อมออกไปได้แต่ก็ถูกทหารของหลิวปังไล่ล่า จนต้องฆ่าตัวตายที่ริมแม่น้ำอูเจียง (ปัจจุบันอยู่ในเขตมณฑลอันฮุย) ขณะที่หลิวปังก็ตั้งตนเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงฮั่นนามว่า ฮ่องเต้ฮั่นเกาจู่
-----------------------------
ขณะนี้สุภาษิตในคอลัมน์ "นิทานคติ" ได้ถูกนำมารวมเล่มเป็นหนังสือรวมเรื่องเล่าจากสุภาษิตจีนแล้ว
รายละเอียดหนังสือ
ชื่อหนังสือ คำจีนเขียนชีวิต (成语故事)
สำนักพิมพ์ บ้านพระอาทิตย์ (ติดต่อ โทร 0-2587-0234 # 136)
ผู้แปล/เรียบเรียง ดวงพร วงศ์ชูเครือ
ISBN 978-616-536-033-3
พิมพ์ครั้งแรก กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ราคา 150 บาท
.
http://www.manager.co.th/China/ViewN...=9530000161345
.
-
นิทานเซน : อิทธิพลของลิ้น
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 มกราคม 2554 05:33 น.
《舌之因果》
ลิ้นเป็นอวัยวะเล็กๆ ในร่างกายของคนเราที่สำคัญยิ่ง ลิ้น(การพูด)สามารถนำความสุขมาให้ผู้พูด ในทางกลับกัน ลิ้น(การพูด)ก็สามารถทำเรื่องเดือดร้อนให้ผู้พูดได้เช่นกัน
ในอดีตมีพระเซนรูปหนึ่ง เขามีศิษย์เกียจคร้านเอาแต่นอนหลับทั้งวัน วันหนึ่งศิษย์ผู้นี้นอนจนสายก็ยังไม่ตื่น ทำให้พระเซนไม่พอใจ จึงต่อว่าลูกศิษย์ว่า "เวลาสายขนาดนี้ ตะวันส่องจนแม้แต่ฝูงเต่ายังพากันคลานออกนอกบึงบัวมารับแสงแดดกันหมดแล้ว เหตุใดตัวเจ้ากลับมัวแต่นอนอยู่ได้"
เวลาเดียวกันนั้นเอง บริเวณใกล้เคียงมีคนผู้หนึ่งที่กำลังต้องการจับเต่าไปแกงเป็นยาให้มารดาซึ่งกำลังป่วยรับประทาน เมื่อได้ฟังพระเซนบอกว่ามีเต่าออกมาจากบึง จึงได้รีบไปจับเต่ามาเชือดจากนั้นนำเนื้อมาปรุงเป็นแกงเต่า ทั้งยังแบ่งแกงเต่ามาให้พระเซนเพื่อแสดงความขอบคุณที่ชี้ทางให้อีกด้วย
ฝ่ายพระเซน เมื่อทราบว่าการพูดจาโดยไม่ได้ตั้งใจของตนเอง เป็นต้นเหตุแห่งการตายของบรรดาเต่าก็เกิดความรู้สึกผิดอย่างยิ่ง เพราะหากตนไม่เอ่ยปากพูดไปเช่นนั้นเต่าก็คงไม่โดนพบเห็น พระเซนจึงได้ให้คำมั่นกับตัวเองว่าต่อไปจะไม่เอ่ยปากพูดจาอีกเลยตลอดชีวิตเพื่อเป็นการชดใช้บาปที่ทำไว้ ทั้งยังเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดเช่นนี้ขึ้นอีกในภายภาคหน้า
เวลาผ่านไปไม่นาน ขณะที่พระเซนนั่งอยู่บริเวณหน้าวัด เขาพลันพบว่ามีชายตาบอดผู้หนึ่งกำลังเดินหลงทิศ มุ่งหน้าลงไปยังบึงบัวนั้น แต่จนใจที่พระเซนให้สัญญากับตัวเองเอาไว้ว่าจะไม่เปิดปากพูด จึงไม่สามารถร้องเตือนชายตาบอดได้ แต่หากไม่เอ่ยปากตักเตือน ชายตาบอดคงต้องตกลงไปในบึงบัวเป็นแน่
พระเซนเอาแต่ลังเลว่าจะทำเช่นไรดี ปล่อยเวลาผ่านไป ในที่สุดชายตาบอดก็เดินตกลงไปในบึงบัว จมน้ำหายไปต่อหน้าต่อตา
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พระเซนโศกเศร้าเสียใจหาที่เปรียบมิได้ และตระหนักได้ว่าการไม่ยอมพูดจาของตนในครั้งนี้ กลับกลายเป็นการทำร้ายทำลายชีวิตผู้คนเพิ่มขึ้นอย่างน่าเสียดาย ความผิดสองครั้งที่ผ่านมาของตนคือการพูดในเวลาที่ไม่ควรพูด แต่กลับไม่พูดในเวลาที่ควรพูด
ปัญญาเซน : มนุษย์จำเป็นที่จะต้องใช้สติปัญญาในการดำรงชีวิตอยู่บนโลก แม้แต่การพูดจาก็ต้องใช้ปัญญา นั่นคือพูดสิ่งที่ควรในเวลาที่เหมาะ นอกจากนี้ต้องพึงระลึกว่า ในการดำรงชีวิตของคนเรา ความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ แต่การให้อภัยต่างหากที่เป็นสิ่งเหนือธรรมดา คนเราไม่เพียงต้องรู้จักให้อภัยผู้อื่น ทั้งยังต้องเรียนรู้ที่จะให้อภัยตนเอง
ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4
http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9540000000113
-
นิทานเซน : ได้อย่างเสียอย่าง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 มกราคม 2554 08:57 น.
《禅言过失》
ยังมีชายหนุ่มผู้หนึ่งที่นับได้ว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ เขาพยายามศึกษาหาความรู้ในศาสตร์หลายๆ แขนง แต่ทว่าในอาชีพการงานกลับมีความสำเร็จเพียงระดับหนึ่ง ไม่สามารถที่จะเจริญก้าวหน้าไปถึงยังจุดที่ตนเองหวังไว้ได้ เขาขบคิดไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด จึงได้ไปขอคำชี้แนะจากอาจารย์เซน
เมื่ออาจารย์เซนได้รับฟังปัญหาของชายหนุ่ม กลับไม่เอื้อนเอ่ยอันใดออกมา เพียงแต่เชื้อเชิญให้ชายหนุ่มรับประทานอาหารเจด้วยกันที่วัด บนโต๊ะเรียงรายไว้ด้วยอาหารเจละลานตานับร้อยชนิด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาหารที่ชายหนุ่มไม่เคยพบเห็นมาก่อน เขาจึงได้พยายามลิ้มลองอาหารเหล่านั้นให้ครบทุกอย่าง ต่อเมื่อรับประทานครบ จึงค่อยวางตะเกียบและรู้สึกว่าตนเองอิ่มเกินไป
อาจารย์เซนถามว่า "อาหารที่ท่านรับประทานลงไปนั้นมีรสชาติเช่นไรบ้าง?"
ชายหนุ่มตอบด้วยความลำบากใจว่า "มีรสชาติร้อยพัน ยากที่จะจำแนกแยกแยะ สุดท้ายรู้สึกแค่เพียงว่ากระเพาะขยายอย่างยิ่ง"
อาจารย์เซนถามต่อไปว่า "เช่นนั้นแปลว่าท่านรู้สึกสบายดีและพอใจใช่หรือไม่?"
ชายหนุ่มตอบว่า "มิใช่ กลับทรมานอย่างยิ่ง"
เมื่ออาจารย์เซนได้ฟัง ก็เพียงแต่ยิ้มเล็กน้อย ไม่พูดจา
วันต่อมาอาจารย์เซนชวนชายหนุ่มปีนขึ้นไปบนยอดเขา แต่เมื่อทั้งสองปีนขึ้นไปถึงกลางทาง ชายหนุ่มได้พบกับหินคริสตัลสีสดสวยแวววาวมากมาย จึงเกิดความอยากได้ และเก็บหินเหล่านั้นใส่ย่ามของตนจนเต็มแน่น แต่น้ำหนักของหินที่มากเกินไปทำให้เขาไม่สามารถปีนขึ้นไปต่อได้ ขณะเดียวกันก็ไม่อาจตัดใจทิ้งคริสตัลเหล่านั้น
ขณะที่ยืนลังเลอยู่กลางทางนั้นเอง อาจารย์เซนจึงได้กล่าวขึ้นว่า "ท่านควร "วางลง" ได้หรือยัง? มิเช่นนั้นจะขึ้นไปถึงจุดสูงสุดได้อย่างไร?"
เมื่อชายหนุ่มได้ฟัง ก็พลันกระจ่างแจ้งในใจ สองมือวางก้อนหินเหล่านั้นลง พลางป่ายปีนขึ้นไปถึงยอดภูสูงได้สำเร็จ จากนั้นจึงกราบลาอาจารย์เซนเดินทางกลับ เมื่อเวลาผ่านไปอีกหลายปี ชายหนุ่มก็ประสบความสำเร็จดังที่มุ่งหวังไว้
ปัญญาเซน : รับประทานอาหารก็ดี ปีนเขาก็ดี การศึกษาหาความรู้ก็ดี ขณะที่ได้มาซึ่งสิ่งใด ย่อมต้อง สูญเสียสิ่งหนึ่งไปเสมอ บนเส้นทางชีวิตมนุษย์ไม่สามารถครอบครองทุกอย่าง ยังคงมีหลายอย่างที่จำต้องยอมสละละทิ้งเพื่อให้ได้มาซึ่งบางสิ่ง เมื่อเรียนรู้ที่จะ "วางลง" จึงค่อยเข้าใจถึงความสุข จึงค่อยรู้ซึ้งเมื่อ "ได้รับ"
ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4
http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9540000003558
-
:45: อนุโมทนาครับ ขอบคุณครับพี่หนุ่ม
-
นิทานเซน : มิใช่คณโฑ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 มกราคม 2554 06:57 น.
《灵佑踢瓶》
อาจารย์เซนนามซือหม่า ต้องการคัดเลือกพระลูกวัดไปดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสยังวัดแห่งหนึ่งบนภูเขาต้าเหวย และเพื่อคัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดจึงได้ลั่นระฆังเรียกพระมารวมตัวกันยังลานวัด จากนั้นถามคำถามข้อหนึ่งให้ทุกคนตอบ
อาจารย์เซนชูคณโฑน้ำขึ้นมาใบหนึ่ง จากนั้นกล่าวว่า “สิ่งนี้ไม่ใช่คณโฑน้ำ แต่เป็นอะไร?”
บรรดาพระลูกวัดต่างจ้องมองด้วยความงงงวย ไร้ซึ่งคำตอบ เนื่องเพราะสิ่งที่อาจารย์เซนถืออยู่นั้นชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นคณโฑน้ำ หากไม่ให้ตอบว่าคณโฑน้ำ ก็มิทราบจะตอบอย่างไรดี
ขณะนั้นเอง มีพระรูปหนึ่งนามว่า หลิงโย่ว ซึ่งทำหน้าที่ผ่าฟืน จุดไฟ หุงอาหารภายในวัดกล่าวโพล่งขึ้นมาว่า “ขอให้ศิษย์ลองตอบดูสักครั้ง” บรรดาพระรูปอื่นๆ เห็นพระรูปนี้ท่าทางทึ่มทื่อ จึงพากันหัวเราะขบขัน
พระหลิงโย่วก้าวออกมาข้างหน้า รับเอาคณโฑน้ำมาจากอาจารย์เซน แล้ววางลงบนพื้น จากนั้นพลันเตะคณโฑน้ำจนกระเด็นกระดอนหายลับจากกำแพงวัดไป อาจารย์เซนเห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า “เจ้าสมควรรับตำแหน่งเจ้าอาวาสแห่งวัดต้าเหวย”
บรรดาพระลูกวัดยังคงขบคิดไม่เข้าใจ อาจารย์เซนจึงกล่าวว่า “ในเมื่อมิใช่คณโฑน้ำ ก็จงเตะทิ้งไปเสีย ที่แท้เป็นสิ่งใดล้วนไม่จำเป็นต้องไถ่ถามให้มากความ”
ปัญญาเซน : ในชีวิตคนเราล้วนเผชิญกับปัญหา หรือทางเลือกที่ยากจะตัดสินใจมากมาย ทั้งที่แท้จริงแล้ว “การเลือก” นั้นง่ายดาย เพียงเตะสิ่งที่ไม่จำเป็นสำหรับชีวิตของตนเองออกไปให้พ้นทาง ย่อมพบคำตอบที่ถูกต้องในที่สุด
ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4
http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9540000007098
.
.
-
นิทานเซน : ค่าของคน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 มกราคม 2554 07:13 น.
《圆满报身》
ยังมีศิษย์เซนผู้หนึ่ง เฝ้าพร่ำถามอาจารย์เซนทุกวันว่า “สิ่งใดคือคุณค่าที่แท้จริงของคนเรา?”
วันหนึ่ง อาจารย์เซนเดินออกมาจากห้องพร้อมกับก้อนหินหนึ่งก้อน จากนั้นเอ่ยกับศิษย์เจ้าปัญหาว่า “เจ้าจงเอาก้อนหินก้อนนี้ไปเร่ขายยังท้องตลาด แต่ไม่จำเป็นต้องขายออกไปจริงๆ เพียงแค่ทำให้มีผู้มาเสนอราคาขอซื้อก็เพียงพอแล้ว ลองดูสิว่าตลาดจะให้ราคาของก้อนหินก้อนนี้เท่าไหร่”
ศิษย์เซนนำก้อนหินไปเร่ขายยังท้องตลาด มีคนเห็นว่าหินก้อนนี้ทั้งใหญ่และเรียบสวย จึงให้ราคา 2 ตำลึง อีกผู้หนึ่งเห็นว่าหินก้อนนี้น่าจะนำไปทำเป็นลูกกลิ้งหรือลูกตุ้มถ่วงน้ำหนักได้อย่างดี จึงให้ราคาถึง 10 ตำลึง หลังจากนั้น แม้ว่าจะมีผู้แวะเวียนเข้ามาชมดูก้อนหินมากมาย แต่ราคาที่สูงสุดที่ได้จากท้องตลาดคือ 10 ตำลึง
เมื่อศิษย์เซนนำก้อนหินกลับมายังวัด ก็ถ่ายทอดเรื่องราวที่ตนเร่ขายก้อนหินธรรมดาๆ จนได้ราคาถึง 10 ตำลึงให้อาจารย์ฟังด้วยความยินดียิ่ง
เมื่อฟังจบ อาจารย์เซนเพียงแต่กล่าวว่า “เจ้าจงนำหินก้อนนี้ไปเร่ขายอีกครั้ง ยังตลาดค้าทอง”
ศิษย์เซนจึงเดินทางไปยังตลาดค้าทอง จากนั้นนำก้อนหินออกมาเร่ขาย คราวนี้เพียงแค่เริ่มต้นก็มีผู้เสนอราคาก้อนหินถึง 1 พันตำลึง จากนั้นราคาก็ขึ้นมาเป็น 1 หมื่นตำลึง และสุดท้ายจบลงที่ราคา สิบหมื่นตำลึง
เมื่อศิษย์เซนเห็นผลลัพท์เกินความคาดหมายถึงเพียงนั้น จึงรีบกลับมารายงานอาจารย์เซน ทว่าอาจารย์เซนเพียงกล่าวว่า “พรุ่งนี้เจ้าจงนำก้อนหินก้อนนี้ไปเร่ขายยังตลาดค้าเพชรพลอย ซึ่งเป็นตลาดระดับสูงที่สุดดู”
เมื่อศิษย์เซนนำก้อนหินไปเร่ขายตามคำสั่งของอาจารย์ พบว่าราคาของก้อนหินขึ้นพรวดพราดไปเรื่อยๆ จากสิบ หมื่นตำลึง ยี่สิบหมื่นตำลึง สามสิบหมื่นตำลึง จนกระทั่งมีผู้เข้าใจว่าที่ศิษย์เซนยังไม่ยอมตกลงใจขายก้อนหินเป็นเพราะยังไม่ได้ราคาเหมาะสม จึงเสนอให้ตั้งราคาขึ้นมาเองตามใจชอบอย่างไม่อั้นได้เลยว่าจะขายที่ราคาเท่าไหร่ ศิษย์เซนได้แต่อธิบายต่อผู้คนที่สนใจซื้อก้อนหินว่าตนทำตามคำสั่งอาจารย์ มิอาจขายก้อนหินออกไปจริงๆ ได้ จากนั้นจึงเดินทางกลับวัด พร้อมทั้งบอกอาจารย์เซนว่าตอนนี้ราคาของก้อนหินพุ่งขึ้นไปถึงหลักสิบหมื่นตำลึงแล้ว”
เมื่ออาจารย์เซนฟังจบ จึงกล่าวว่า “นั่นก็ใช่แล้ว ที่ข้าไม่อาจสั่งสอนเจ้าได้ว่าชีวิตมีคุณค่าเพียงใด ก็เพราะนั่นจะเป็นการตีราคาชีวิตของเจ้าโดยผ่านมุมมองภายนอกไม่ต่างจากการตีราคาก้อนหิน ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วคุณค่าของมนุษย์ทุกคนล้วนต้องกระจ่างอยู่ภายในจิตใจของคนผู้นั้นเอง จงมีสายตาแหลมคมดั่งนักค่าเพชรพลอยเสียก่อน จึงจะสามารถเห็นซึ้งถึงคุณค่าที่แท้จริงของคนเรา”
ปัญญาเซน : มนุษย์ทุกคนล้วนมีคุณค่าอยู่ในตัวเอง จงตระหนักในคุณค่าแห่งตน ยอมรับตนเอง ฝึกฝนตนเอง ให้ช่องว่างกับตัวเองได้เติบโต ทุกคนล้วนสามารถกลายเป็นสิ่งมีค่าอันประเมินมิได้ ทุกขวากหนาม ทุกความเจ็บปวด ทุกความพ่ายแพ้ล้วนแล้วแต่มีความหมายอย่างยิ่งต่อชีวิตของคนเรา
ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4
.
China - Manager Online -
[url]http://www.manager.co.th/China/ViewN...=9540000010560 (http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9540000010560)
-
นิทานเซน : ชาวนาซื้อที่ดิน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 กุมภาพันธ์ 2554 12:40 น.
《农夫买地》
คนผู้หนึ่ง เอ่ยถามอาจารย์เซนว่า "สิ่งใดน่ากลัวที่สุดในโลก?"
อาจารย์เซนตอบว่า "ความอยาก"
คนผู้นั้นยังคงไม่เข้าใจ อาจารย์เซนจึงเล่าเรื่องๆ หนึ่งให้เขาฟัง ใจความดังนี้
"ยังมีชาวนาผู้หนึ่ง ต้องการหาซื้อที่ดินสักหนึ่งผืน เขาได้ยินมาว่ามีคนต้องการขาย จึงได้เดินทางไปพบเพื่อติดต่อขอซื้อ เมื่อไปถึง ชาวนาจึงได้เอ่ยถามคนผู้นั้นว่า "ที่ดินของท่านขายอย่างไร?"
ผู้ที่ต้องการขายที่ดินตอบว่า "ขอเพียงท่านมอบเงินให้ข้า 1000 ตำลึงเท่านั้น จากนั้นให้เวลาท่านหนึ่งวันเต็มๆ นับจากพระอาทิตย์ขึ้นจนกระทั่งพระอาทิตย์ตก ให้ท่านออกเดินเท้าไปรอบๆ ที่ดิน หากท่านสามารถเดินวนไปได้ไกลเท่าไหร่ ที่ดินเหล่านั้นล้วนนับเป็นของท่าน แต่หากว่าท่านเดินทางกลับมายังจุดเริ่มต้นไม่ทันพระอาทิตย์ตกดิน ท่านจะไม่ได้ที่ดินแม้แต่ตารางนิ้วเดียว"
ชาวนาได้ฟังดังนั้นในใจก็คิดว่า "เช่นนี้ก็ไม่เลว ข้ายอมลำบากหนึ่งวัน เดินให้เร็วที่สุด ไกลที่สุด เพื่อที่จะได้ที่ดินกว้างใหญ่ การซื้อขายนี้ช่างคุ้มค่ายิ่งนัก" ดังนั้นเขาจึงตกลงทำสัญญากับผู้ขายที่ดินรายนั้น
วันรุ่งขึ้น เมื่อพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า ชายชาวนาก็เร่งฝีเท้าจ้ำเดินออกไปทันที เมื่อถึงยามเที่ยงวัน เขาหันหลังกลับมามองก็พบว่าเขามาไกลจนมองไม่เห็นจุดเริ่มต้นแล้ว จึงค่อยเลี้ยงโค้งเพื่อเดินวนไปอีกด้านหนึ่ง พร้อมทั้งก้าวเดินต่อไปโดยไม่ยอมหยุดพัก แม่ว่าจะหิวโหยและเหนื่อยอย่างยิ่งก็ตาม เขาก้าวเดินต่อไป ต่อไป จนกระทั่งพบว่าพระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าแล้ว ในใจเขาจึงร้อนรนขึ้นมาเพราะเกรงว่าหากกลับไปไม่ทันพระอาทิตย์ตกจะหมดสิทธิ์ครอบครองที่ดินทั้งหมด เขาจึงรีบหันหลังกลับเพื่อเดินไปยังจุดเริ่มต้น แต่พระอาทิตย์ก็ใกล้จะลาลับฟ้าเต็มที เขาที่ทั้งเหน็ดเหนื่อย ตื่นเต้น และหิวโหยพยายามเร่งฝีเท้าก้าวเดินไปข้างหน้า จนกระทั่งเหลือเพียงสองก้าวจะถึงจุดเริ่มต้น ทว่าเรี่ยวแรงทั้งหมดที่เขามีได้ถูกใช้หมดสิ้นไปแล้ว สุดท้ายได้แต่ล้มลง ณ ที่นั้น ขณะล้มลงมือทั้งสองพลันทาบทับไปที่จุดเริ่มต้นพอดีกับที่พระอาทิตย์ลาลับฟ้า พร้อมกับชายชาวนาที่ล้มหายใจขาดห้วง สิ้นใจไปในลักษณะนั้น
ที่ดินผืนกว้างใหญ่มหาศาลตกเป็นของชาวนาตามที่ได้ตกลงกันไว้ แต่จะมีความหมายอันใด ในเมื่อเขาไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้ว"
เมื่อจบเรื่องราวที่อาจารย์เซนเล่า เหล่าศิษย์ก็กระจ่างในใจ เข้าใจว่าเหตุใด "ความอยาก" จึงเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลก
ปัญญาเซน : กิเลส ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น คือจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของมวลมนุษย์
ที่มา : หนังสือ 《菩提树下听禅的故事》, 惟真 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 中国华侨出版社, 2004.08, ISBN 7-80120-851-X
http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9540000013225
-
3 x 8 = ?????
เอี๋ยนหุยใฝ่ศึกษา มีคุณธรรมงดงาม เป็นศิษย์รักของขงจื้อ
มีอยู่วันหนึ่ง เอี๋ยนหุยออกไปทำธุระที่ตลาด เห็นผู้คนจำนวนมากห้อมล้อมอยู่ที่หน้าร้านขายผ้า จึงเข้าไปสอบถามดู จึงรู้ว่าเกิดการพิพาทระหว่างคนขายผ้ากับลูกค้า ได้ยินลุกค้าตะโกนเสียงดังโหวกเหวกว่า “3x8ได้ 23 ทำไมท่านถึงให้ข้าจ่าย24 เหรียญล่ะ!”
เอี๋ยนหุยจึงเดินเข้าไปที่ร้าน หลังจากทำความเคารพแล้ว ก็กล่าวว่า “พี่ชาย 3x8 ได้ 24 จะเป็น 23 ได้ยังไง? พี่ชายคิดผิดแล้ว ไม่ต้องทะเลาะกันหรอก”
คนซื้อผ้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ชี้หน้าเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า“ใครให้เจ้าเข้ามายุ่ง! เจ้าอายุเท่าไหร่กัน! จะตัดสินก็มีเพียงท่านขงจื้อเท่านั้น ผิดหรือถูกมีท่านผู้เดียวที่ข้าจะยอมรับไป ไปหาท่านขงจื้อกัน ”
เอี่ยนหุยกล่าวว่า “ก็ดี หากท่านขงจื้อบอกว่าท่านผิด ท่านจะทำอย่างไร?”
คนซื้อผ้ากล่าวว่า“หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมให้หัวหลุดจากบ่า!
แล้วหากเจ้าผิดล่ะ?”
เอี๋ยนหุยกล่าวว่า “หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมถูกปลดหมวก(ตำแหน่ง)”
ทั้งสองจึงเกิดการเดิมพันขึ้น
เมื่อขงจื้อสอบถามจนเกิดความกระจ่าง ก็ยิ้มให้กับเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า
“3x8ได้ 23 ถูกต้องแล้วเอี๋ยนหุย เธอแพ้แล้ว
ถอดหมวกของเธอให้พี่ชายท่านนี้เสีย”
เอี๋ยนหุย ไม่โต้แย้ง ยอมรับในการวินิจฉัยของท่านอาจารย์ จึงถอดหมวกที่สวมให้แก่ชายคนนั้น
ชายผู้นั้นเมื่อได้รับหมวกก็ยิ้มสมหวังกลับไปต่อคำวินิจฉัยของขงจื้อ ต่อหน้าแม้เอี๋ยนหุยจะยอมรับแต่ในใจกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
เอี๋ยนหุยคิดว่าท่านอาจารย์ชรามากแล้ว ความคิดคงเลอะเลือน จึงไม่อยากอยู่ศึกษากับขงจื้ออีกต่อไป
พอรุ่งขึ้น เอี๋ยนหุยจึงเข้าไปขอลาอาจารย์กลับบ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าที่บ้านเกิดเรื่องราว ต้องรีบกลับไปจัดการ
ขงจื้อรู้ว่าเอี๋ยนหุยคิดอะไรอยู่ ก็ไม่ได้สอบถามมากความ อนุญาตให้เอี๋ยนหุยกลับบ้านได้
ก่อนที่เอี๋ยนหุยจะออกเดินทาง ได้เข้าไปกราบลาขงจื้อ
ขงจื้อกล่าวอวยพรและให้รีบกลับมาหากเสร็จกิจธุระแล้ว
พร้อมกันนั้นก็ได้กำชับว่า “อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”
เอี๋ยนหุยคำนับพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์จะจำใส่ใจ” แล้วลาอาจารย์ออกเดินทาง
เมื่อออกเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง เกิดพายุลมแรงสายฟ้าแลบแปลบ
เอี๋ยนหุยคิดว่าต้องเกิดพายุลมฝนเป็นแน่ จึงเร่งฝีเท้าเพื่อจะเข้าไปอาศัยอยู่ไต้ต้นไม้ใหญ่ แต่ก็ฉุกคิดถึงคำกำชับของท่านอาจารย์ที่ว่า “อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง” เราเองก็ติดตามท่านอาจารย์มาเป็นเวลานาน ลองเชื่ออาจารย์ดูอีกสักครั้ง คิดได้ดังนั้น จึงเดินออกจากต้นไม้ใหญ่
ในขณะที่เอี๋ยนหุยเดินไปได้ไม่ไกลนัก บัดดล สายฟ้าก็ผ่าต้นไม้ใหญ่นั้นล้มลงมาให้เห็นต่อหน้าต่อตา เอี๋ยนหุยตะลึงพรึงเพริด คำกล่าวของพระอาจารย์ประโยคแรกเป็นจริงแล้ว หรือตัวเราจะฆ่าใครโดยไม่รู้สาเหตุ?
เอี๋ยนหุยจึงรีบเดินทางกลับ กว่าจะถึงบ้านก็ดึกแล้ว แต่ไม่กล้าปลุกคนในบ้าน
เลยใช้ดาบที่นำติดตัวมาค่อยๆเดาะดาลประตูห้องของภรรยา เมื่อเอี๋ยนหุยคลำไปที่เตียงนอน ก็ต้องตกใจ ทำไมมีคนนอนอยู่บนเตียงสองคน!
เอี๋ยนหุยโมโหเป็นอย่างยิ่ง จึงหยิบดาบขึ้นมาหมายปลิดชีพผู้ที่นอนอยู่บนเตียง
เสียงกำชับของอาจารย์ก็ดังขึ้นมา “อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง” เมื่อเขาจุดตะเกียง จึงได้เห็นว่า คนหนึ่งคือภรรยา อีกคนหนึ่งคือน้องสาวของเขาเอง
พอฟ้าส่าง เอี๋ยนหุยก็รีบกลับสำนัก
เมื่อพบหน้าขงจื้อจึงรีบคุกเข่ากราบอาจารย์และกล่าวว่า
“ท่านอาจารย์ คำกำชับของท่านได้ช่วยชีวิตของศิษย์ ภรรยาและน้องสาวไว้
ทำไมท่านจึงรู้เหมือนตาเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์บ้าง?”
ขงจื้อพยุงเอี๋ยนหุยให้ลุกขึ้น และกล่าวว่า “เมื่อวานอากาศไม่ค่อยสู้ดีนัก
น่าจะมีฟ้าร้องฟ้าแลบเป็นแน่ จึงเตือนเธอว่า อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่
และเมื่อวาน เธอจากไปด้วยโทสะ แถมยังพกดาบติดตัวไปด้วย อาจารย์จึ้งเตือนเธอว่า อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”
เอี๋ยนหุยโค้งคำนับ “ท่านอาจารย์คาดการดังเทวดา
ศิษย์รู้สึกเคารพเลื่อมใสท่านเหลือเกิน”
ขงจื้อจึงตักเดือนเอี๋ยนหุยว่า “อาจารย์ว่าที่เธอขอลากลับบ้านนั้นเป็นการโกหก
ที่จริงแล้วเธอคิดว่าอาจารย์แก่แล้ว ความคิดเลอะเลือน ไม่อยากศึกษากับอาจารย์อีกแล้ว เธอลองคิดดูสิ อาจารย์บอกว่า 3x8ได้ 23 เธอแพ้
ก็เพียงแค่ถอดหมวก
หากอาจารย์บอกว่า 3x8ได้ 24 เขาแพ้ นั่นหมายถึงชีวิตของคนๆหนึ่ง
เธอคิดว่าหมวกหรือชีวิตสำคัญล่ะ? ”
เอี๋ยนหุยกระจ่างในฉับพลัน คุกเข่าต่อหน้าขงจื้อ แล้วกล่าวว่า
“ท่านอาจารย์เห็นคุณธรรมเป็นสำคัญ โดยไม่เห็นแก่เรื่องถูกผิดเล็กๆน้อยๆ
ศิษย์คิดว่าอาจารย์แก่ชราจึงเลอะเลือน ศิษย์เสียใจเป็นที่สุด”
จากนั้นเป็นต้นไป ไม่ว่าขงจื้อจะเดินทางไปยังแห่งหนตำบลใด เอี๋ยนหุยติดตามไม่เคยห่างกายจากตำนานเรื่องเล่านี้
ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเพลงๆหนึ่งของอิวเค่อหลี่หลิน(นักร้องดูโอของไต้หวัน)
ที่ร้องว่า “หากสูญเสียเธอไป ต่อให้เอาชนะทั้งโลกได้แล้วจะยังไง?
เช่นกัน
บางครั้งคุณอาจเอาชนะคนอื่นด้วยเหตุผลของคุณ แต่อาจจะสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไป ”
เรื่องราวต่างๆ แบ่งเป็นหนักเบารีบช้า อย่าเป็นเพราะต้องการเอาชนะให้ได้
แล้วทำให้เสียใจไปตลอดชีวิต
เรื่องราวมากมายที่ไม่ควรทะเลาะกัน ถอยหนึ่งก้าวทะเลกว้างฟ้างาม
ทะเลาะกับลูกค้า ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (วันที่ส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ใหม่
คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับเถ้าแก่ ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (วันที่ตรวจผลงานปลายปีมาถึง
คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับภรรยา ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (เธอไม่สนใจคุณ
คุณก็หากับข้าวกินเองละกัน)
ทะเลาะกับเพื่อน ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (เคลียร์ไม่ได้
คุณอาจจะเสียเพื่อนไปเลย)
ใบชา เกิดสีสวยและกลิ่นหอมน่าลิ้มลองได้ ก็เพราะโดนน้ำร้อนลวก
ชีวิตของคนเราก็เช่นเดียวกัน เพราะเผชิญกับอุปสรรคครั้งแล้วครั้งเล่า
จึงเหลือไว้ซึ่งเรื่องราวเป็นตำนานให้ได้เล่าขานน่าตามติด
ผู้ที่รู้สำนึกคุณอยู่เสมอ จึงเป็นผู้มีวาสนามากที่สุด
ที่มา FWD Mail ครับ
.
-
นิทานเซน : มากมารยาท
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 กุมภาพันธ์ 2554 14:57 น.
《惭愧的高僧》
ยังมีอุบาสกวัยฉกรรจ์ผู้หนึ่ง ไปกราบนมัสการพระผู้มีสมณศักดิ์สูงยังวัดแห่งหนึ่ง ทั้งสองสนทนาธรรมกันอย่างออกรส ตั้งแต่เช้าจนกระทั่งถึงเวลาอาหารกลางวัน เณรจึงได้จัดอาหารมาให้ทั้งสอง เป็นบะหมี่ชามใหญ่ 1 ชามและชามเล็ก 1 ชาม
เมื่อพระผู้มีสมณศักดิ์สูงเห็นสำรับกับข้าวที่เณรยกมา จึงได้ยกบะหมี่ชามใหญ่ยื่นให้อุบาสกผู้นั้น ทั้งยังกล่าวว่า "ท่านรับประทานชามใหญ่เถอะ"
หากยึดตามธรรมเนียมปฏิบัติ อุบาสกผู้นั้นควรที่จะปฏิเสธและผลักไสบะหมี่ชามใหญ่กลับคืนไปยังพระสงฆ์ เพื่อแสดงความเคารพเกรงใจ ทว่าอุบาสกผู้นี้กลับรับชามบะหมี่มาโดยไม่อิดเอื้อน จากนั้นลงมือรับประทานทันที เมื่อพระผู้มีสมณศักดิ์สูงเห็นดังนั้นก็รู้สึกไม่พอใจจนหน้านิ่วคิ้วขมวด พลางคิดว่า "แรกทีเดียวคิดว่าคนผู้นี้มีสติปัญญาไม่น้อย ไฉนกลับกลายเป็นโง่เขลาไร้มารยาทเช่นนี้"
เมื่ออุบาสกรับประทานบะหมี่หมดชาม เงยหน้าขึ้นมาพบว่าพระรูปนั้นยังไม่ได้แตะต้องบะหมี่ชามเล็กแม้แต่น้อย ทั้งยังมีสีหน้าเย็นชา จึงยิ้มพลางเอ่ยถามว่า "พระคุณเจ้าไฉนไม่รับประทานบะหมี่?"
พระผู้มีสมณศักดิ์สูงเงียบงันไม่ตอบ อุบาสกจึงยิ้มและกล่าวต่อไปว่า "กระผมรู้สึกหิวยิ่งนัก จึงสนใจแต่ปากท้องของตนเองโดยลืมเลือนพระคุณเจ้าไป แต่หากจะให้กระผมผลักไสบะหมี่ชามใหญ่ที่พระคุณเจ้าหยิบยื่นมาให้กระผมกลับ คืนไปยังพระคุณเจ้าอีก นั่นไม่ใช่ความตั้งใจของกระผม และในเมื่อไม่ได้ตั้งใจ จะต้องเสแสร้งแกล้งทำไปเพื่ออันใดเล่า ขอถามพระคุณเจ้าว่าการเกี่ยงกันด้วยความเกรงใจไปมานั้นที่แท้แล้วจุดมุ่ง หมายคืออะไร?"
พระผู้มีสมณศักดิ์สูงตอบว่า "เพื่อรับประทาน"
อุบาสกจึงกล่าวอย่างจริงจังว่า "ในเมื่อจุดประสงค์คือเพื่อรับประทาน ท่านรับประทานหรือกระผมรับประทานก็ล้วนไม่ต่างกัน หรือว่าที่พระคุณเจ้าชิงมอบบะหมี่ชามใหญ่ให้กระผมนั้นเป็นเพียงการเสแสร้ง มิใช่น้ำใสใจจริง?"
เมื่ออุบาสกกล่าวจบ พระผู้มีสมณศักดิ์สูงจึงได้รู้แจ้งกระจ่างใจ กระทั่งหลั่งน้ำตาออกมา
ปัญญาเซน : การแสดงความเกรงใจที่มากเกินไปกลับกลายเป็นความเสแสร้ง การเคร่งครัดมารยาท มากพิธีจนเกินงามกลับกลายเป็นสิ่งไร้สาระ ทั้งนี้เพราะความซื่อสัตย์เปิดเผยจริงใจต่างหากจึงเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของ การเป็นมนุษย์
ที่มา : หนังสือ 《菩提树下听禅的故事》, 惟真 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 中国华侨出版社, 2004.08, ISBN 7-80120-851-X
.
http://www.manager.co.th/China/ViewN...=9540000017021
.
-
นิทานเซน : พระเซนกับขอทาน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
23 กุมภาพันธ์ 2554 08:32 น.
《方丈与乞丐》
มีขอทานพิการเหลือแขนเพียงข้างเดียวผู้หนึ่ง เดินทางเข้าไปยังวัดเซนที่พระเซนนามฟังจั้งพำนักอยู่ เพื่อขอรับทาน ทว่าเมื่อเอ่ยปาก พระฟังจั้งกลับชี้มือไปยังกองอิฐและบอกกับขอทานแขนเดียวว่า "ท่านช่วยย้ายอิฐกองนั้นไปยังหลังวัดก่อนเถอะ"
ขอทานแขนเดียวได้ยินครั้งแรกก็ไม่พอใจ กล่าวว่า "ข้าเหลือแขนเพียงข้างเดียวจะย้ายอิฐได้อย่างไร ข้ามาขอทาน หากท่านไม่อยากให้ทานก็ไม่เป็นไร ไฉนต้องล้อเลียนผู้อื่นถึงเพียงนี้"
พระเซนไม่เอ่ยโต้ตอบ เพียงแต่เดินไปยกก้อนอิฐโดยใช้แขนเพียงข้างเดียว จากนั้นค่อยกล่าวเรียบๆ ว่า"งานประเภทนี้ แม้มีแขนข้างเดียวก็สามารถทำได้"
เมื่อเห็นดังนั้น ขอทานจึงได้แต่ทำตาม โดยค่อยๆ ย้ายก้อนอิฐไปยังหลังวัด ทีละก้อน ทีละก้อน ใช้เวลาพักใหญ่จึงย้ายก้อนหินได้หมดกอง จากนั้นพระเซนจึงมอบเงินค่าตอบแทนให้กับขอทานจำนวนหนึ่ง ขอทานเห็นดังนั้นก็ดีใจมากพลางกล่าวคำ "ขอบคุณท่าน ขอบคุณท่าน" ไม่หยุด
พระฟังจั้งจึงตอบว่า "ไม่ต้องขอบคุณเรา เพราะเงินนี้มาจากน้ำพักน้ำแรงของท่านเอง"
ขอทานจึงเอ่ยด้วยความสำนึกว่า "ข้าจะจดจำวันนี้เอาไว้" จากนั้นจึงก้มตัวค้อมคำนับด้วยความตื้นตันก่อนเดินทางจากไป
ผ่านไปหลายวัน มีขอทานอีกผู้หนึ่งเดินทางมาขอทานที่วัดนี้ พระฟังจั้งพาขอทานผู้นี้เดินมาที่หลังวัดจากนั้นชี้ไปยังกองอิฐและกล่าวว่า "ท่านช่วยย้ายอิฐกองนั้นไปยังหน้าวัดก่อนเถอะ" ทว่าขอทานผู้มีแขนขาครบผู้นี้กลับไม่สนใจคำกล่าวของพระเซน ได้แต่หันกายจากไปโดยพลัน
บรรดาสานุศิษย์ในวัดเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามพระฟังจั้งว่า "คราวก่อนท่านอาจารย์ให้ขอทานย้ายอิฐมายังหลังวัด ไฉนวันนี้กลับประสงค์ให้ขอทานอีกผู้หนึ่งย้ายอิฐกลับไปหน้าวัด ที่แท้แล้วท่านอาจารย์อยากให้นำก้อนอิฐไปไว้ที่ใดกันแน่?"
พระเซนฟังจั้งตอบศิษย์เพียงสั้นๆ ว่า "อิฐวางไว้หน้าวัดหรือหลังวัดล้วนไม่ต่างกัน ทว่าจะย้ายหรือไม่ย้ายต่างหากที่สำคัญสำหรับขอทานเหล่านั้น"
วันเวลาผ่านไปหลายปี วันหนึ่งปรากฏคนผู้หนึ่งท่าทางภูมิฐานเดินทางมาที่วัด คนผู้นี้มีแขนเพียงข้างเดียว ที่แท้แล้วคือขอทานแขนเดียวเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งนับตั้งแต่วันที่เขาพบพระฟังจั้งในครั้งนั้น เขาจึงค่อยได้รู้ถึงคุณค่าในตัวเอง จากนั้นจึงหาทางประกอบสัมมาอาชีพที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย จนในที่สุดได้พบกับความสุข สำเร็จในชีวิต...ส่วนขอทานอีกผู้หนึ่งนั้น ยังคงเป็นขอทานอยู่เรื่อยมา
ปัญญาเซน : เชื่อมั่นในตนเอง รู้คุณค่าในตนเอง และพึ่งพาตนเอง คือคุณสมบัติพื้นฐานที่สำคัญยิ่งในการเป็นมนุษย์
ที่มา : หนังสือ 《菩提树下听禅的故事》, 惟真 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 中国华侨出版社, 2004.08, ISBN 7-80120-851-X
.
http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9540000022849
.
-
:07:เอี๋ยนหุย ใฝ่ศึกษา มีคุณธรรมงดงาม เป็นศิษย์รักของขงจื้อ
มีอยู่วันหนึ่ง เอี๋ยนหุยออกไปทำธุระที่ตลาด เห็นผู้คนจำนวนมากห้อมล้อมอยู่ที่หน้าร้านขายผ้า
จึงเข้าไปสอบถามดู จึงรู้ว่าเกิดการพิพาทระหว่างคนขายผ้ากับลูกค้า
ได้ยินลุกค้าตะโกนเสียงดังโหวกเหวกว่า “3x8ได้ 23 ทำไมท่านถึงให้ข้าจ่าย24เหรียญล่ะ!”
เอี๋ยนหุยจึงเดินเข้าไปที่ร้าน หลังจากทำความเคารพแล้ว ก็กล่าวว่า
“พี่ชาย 3x8 ได้ 24 จะเป็น 23 ได้ยังไง? พี่ชายคิดผิดแล้ว ไม่ต้องทะเลาะกันหรอก”
คนซื้อผ้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ชี้หน้าเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า
“ใครให้เจ้าเข้ามายุ่ง! เจ้าอายุเท่าไหร่กัน! จะตัดสินก็มีเพียงท่านขงจื้อเท่านั้น
ผิดหรือถูกมีท่านผู้เดียวที่ข้าจะยอมรับ ไป ไปหาท่านขงจื้อกัน ”
เอี่ยนหุยกล่าวว่า “ก็ดี หากท่านขงจื้อบอกว่าท่านผิด ท่านจะทำอย่างไร?”
คนซื้อผ้ากล่าวว่า“หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมให้หัวหลุดจากบ่า! แล้วหากเจ้าผิดล่ะ?”
เอี๋ยนหุยกล่าวว่า “หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมถูกปลดหมวก(ตำแหน่ง)”
ทั้งสองจึงเกิดการเดิมพันขึ้น
เมื่อขงจื้อสอบถามจนเกิดความกระจ่าง ก็ยิ้มให้กับเอี๋ยนหุย
และกล่าวว่า “3x8ได้ 23 ถูกต้องแล้วเอี๋ยนหุย เธอแพ้แล้ว ถอดหมวกของเธอให้พี่ชายท่านนี้เสีย”
เอี๋ยนหุย ไม่โต้แย้ง ยอมรับในการวินิจฉัยของท่านอาจารย์ จึงถอดหมวกที่สวมให้แก่ชายคนนั้น
ชายผู้นั้นเมื่อได้รับหมวกก็ยิ้มสมหวังกลับไป
ต่อคำวินิจฉัยของขงจื้อ ต่อหน้าแม้เอี๋ยนหุยจะยอมรับ แต่ในใจกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
เอี๋ยนหุยคิดว่าท่านอาจารย์ชรามากแล้ว ความคิดคงเลอะเลือน จึงไม่อยากอยู่ศึกษากับขงจื้ออีกต่อไป
พอรุ่งขึ้น เอี๋ยนหุยจึงเข้าไปขอลาอาจารย์กลับบ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าที่บ้านเกิดเรื่องราว ต้องรีบกลับไปจัดการ
ขงจื้อรู้ว่าเอี๋ยนหุยคิดอะไรอยู่ ก็ไม่ได้สอบถามมากความ อนุญาตให้เอี๋ยนหุยกลับบ้านได้
ก่อนที่เอี๋ยนหุยจะออกเดินทาง ได้เข้าไปกราบลาขงจื้อ ขงจื้อกล่าวอวยพรและให้รีบกลับมาหากเสร็จกิจธุระแล้ว
พร้อมกันนั้นก็ได้กำชับว่า “อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”
เอี๋ยนหุยคำนับพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์จะจำใส่ใจ” แล้วลาอาจารย์ออกเดินทาง
เมื่อออกเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง เกิดพายุลมแรงสายฟ้าแลบแปลบ เอี๋ยนหุยคิดว่าต้องเกิดพายุลมฝนเป็นแน่
จึงเร่งฝีเท้าเพื่อจะเข้าไปอาศัยอยู่ไต้ต้นไม้ใหญ่ แต่ก็ฉุกคิดถึงคำกำชับของท่านอาจารย์ที่ว่า
“อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”
เราเองก็ติดตามท่านอาจารย์มาเป็นเวลานาน ลองเชื่ออาจารย์ดูอีกสักครั้ง
คิดได้ดังนั้น จึงเดินออกจากต้นไม้ใหญ่ ในขณะที่เอี๋ยนหุยเดินไปได้ไม่ไกลนัก
บัดดล สายฟ้าก็ผ่าต้นไม้ใหญ่นั้นล้มลงมาให้เห็นต่อหน้าต่อตา เอี๋ยนหุยตะลึงพรึงเพริด
คำกล่าวของพระอาจารย์ประโยคแรกเป็นจริงแล้ว หรือตัวเราจะฆ่าใครโดยไม่รู้สาเหตุ?
เอี๋ยนหุยจึงรีบเดินทางกลับ กว่าจะถึงบ้านก็ดึกแล้ว แต่ไม่กล้าปลุกคนในบ้าน
เลยใช้ดาบที่นำติดตัวมาค่อยๆเดาะดาลประตูห้องของภรรยา
เมื่อเอี๋ยนหุยคลำไปที่เตียงนอน ก็ต้องตกใจ ทำไมมีคนนอนอยู่บนเตียงสองคน!
เอี๋ยนหุยโมโหเป็นอย่างยิ่ง จึงหยิบดาบขึ้นมาหมายปลิดชีพผู้ที่นอนอยู่บนเตียง
เสียงกำชับของอาจารย์ก็ดังขึ้นมา “อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”
เมื่อเขาจุดตะเกียง จึงได้เห็นว่า คนหนึ่งคือภรรยา อีกคนหนึ่งคือน้องสาวของเขาเอง
พอฟ้าส่าง เอี๋ยนหุยก็รีบกลับสำนัก
เมื่อพบหน้าขงจื้อจึงรีบคุกเข่ากราบอาจารย์และกล่าวว่า “ท่านอาจารย์
คำกำชับของท่านได้ช่วยชีวิตของศิษย์ ภรรยาและน้องสาวไว้
ทำไมท่านจึงรู้เหมือนตาเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์บ้าง?”
ขงจื้อพยุงเอี๋ยนหุยให้ลุกขึ้น และกล่าวว่า “เมื่อวานอากาศไม่ค่อยสู้ดีนัก น่าจะมีฟ้าร้องฟ้าแลบเป็นแน่
จึงเตือนเธอว่า อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่
และเมื่อวาน เธอจากไปด้วยโทสะ แถมยังพกดาบติดตัวไปด้วย
อาจารย์จึ้งเตือนเธอว่า อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”
เอี๋ยนหุยโค้งคำนับ “ท่านอาจารย์คาดการดังเทวดา ศิษย์รู้สึกเคารพเลื่อมใสท่านเหลือเกิน”
ขงจื้อจึงตักเดือนเอี๋ยนหุยว่า “อาจารย์ว่าที่เธอขอลากลับบ้านนั้นเป็นการโกหก
ที่จริงแล้วเธอคิดว่าอาจารย์แก่แล้ว ความคิดเลอะเลือน
ไม่อยากศึกษากับอาจารย์อีกแล้ว เธอลองคิดดูสิ อาจารย์บอกว่า 3x8ได้ 23 เธอแพ้ ก็เพียงแค่ถอดหมวก
หากอาจารย์บอกว่า 3x8ได้ 24 เขาแพ้ นั่นหมายถึงชีวิตของคนๆหนึ่ง เธอคิดว่าหมวกหรือชีวิตสำคัญล่ะ? ”
เอี๋ยนหุยกระจ่างในฉับพลัน คุกเข่าต่อหน้าขงจื้อ แล้วกล่าวว่า
“ท่านอาจารย์เห็นคุณธรรมเป็นสำคัญ โดยไม่เห็นแก่เรื่องถูกผิดเล็กๆน้อยๆ
ศิษย์คิดว่าอาจารย์แก่ชราจึงเลอะเลือน ศิษย์เสียใจเป็นที่สุด”
จากนั้นเป็นต้นไป ไม่ว่าขงจื้อจะเดินทางไปยังแห่งหนตำบลใด เอี๋ยนหุยติดตามไม่เคยห่างกาย
จากตำนานเรื่องเล่านี้ ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเพลงๆหนึ่งของอิวเค่อหลี่หลิน(นักร้องดูโอของไต้หวัน)
ที่ร้องว่า “หากสูญเสียเธอไป ต่อให้เอาชนะทั้งโลกได้แล้วจะยังไง? เช่นกัน
บางครั้งคุณอาจเอาชนะคนอื่นด้วยเหตุผลของคุณ แต่อาจจะสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไป ”
เรื่องราวต่างๆ แบ่งเป็นหนักเบารีบช้า อย่าเป็นเพราะต้องการเอาชนะให้ได้ แล้วทำให้เสียใจไปตลอดชีวิต
เรื่องราวมากมายที่ไม่ควรทะเลาะกัน ถอยหนึ่งก้าวทะเลกว้างฟ้างาม
ทะเลาะกับลูกค้า ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (วันที่ส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ใหม่ คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับเถ้าแก่ ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (วันที่ตรวจผลงานปลายปีมาถึง คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับภรรยา ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (เธอไม่สนใจคุณ คุณก็หากับข้าวกินเองละกัน)
ทะเลาะกับเพื่อน ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (เคลียร์ไม่ได้ คุณอาจจะเสียเพื่อนไปเลย)
ใบชา เกิดสีสวยและกลิ่นหอมน่าลิ้มลองได้ ก็เพราะโดนน้ำร้อนลวก
ชีวิตของคนเราก็เช่นเดียวกัน เพราะเผชิญกับอุปสรรคครั้งแล้วครั้งเล่า
จึงเหลือไว้ซึ่งเรื่องราวเป็นตำนานให้ได้เล่าขานน่าตามติด
ผู้ที่รู้สำนึกคุณอยู่เสมอ จึงเป็นผู้มีวาสนามากที่สุด
ขอบพระคุณท่านกัลยาณมิตรที่แบ่งปันเรื่องราวดีๆให้มา
-
นิทานเซน : ทองคำอันน่ากลัว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
2 มีนาคม 2554 05:42 น.
《可怕的黄金》
ยังมีนักพรตผู้หนึ่งวิ่งตาลีตาเหลือกออกมาจากป่า พอดีถูกคนสองคนซื่งเป็นสหายสนิทกันอย่างยิ่งพบเห็นเข้า คนทั้งสองจึงเอ่ยถามนักพรตรูปนั้นว่าเกิดอะไรขึ้น และเขาหลบหนีสิ่งใดมา
นักพรตตอบว่า "ข้าพเจ้าบังเอิญขุดเจอทองคำฝังอยู่ที่โคนต้นไม้ในป่า เป็นที่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก!"
เมื่อคนทั้งสองได้ยินก็ตื่นเต้นสุดระงับ แอบกระซิบกระซาบต่อกันว่า "คนผู้นี้ช่างโง่เขลาปัญญาอ่อนเสียจริง ขุดเจอทองนับเป็นโชคแท้ๆ แต่กลับกลัวจนตัวสั่น" จากนั้นจึงตะล่อมถามนักพรตต่อไปว่า "ท่านขุดเจอทอง ณ ที่ใด สามารถบอกพวกเราได้หรือไม่?"
นักพรตจึงตอบว่า "ของที่อันตรายเช่นนี้พวกท่านไม่กลัวหรืออย่างไร ไม่ทราบหรือว่าทองคำพวกนั้นมันสามารถกินคนได้!"
คนทั้งสองจึงรีบเอ่ยว่า "พวกเราไม่กลัวหรอก ท่านรีบบอกมาเถิดว่าทองคำอยู่ที่ใด?" สุดท้ายนักพรตจึงบอกว่า "ทองคำอยู่ที่โคนต้นไม้ต้นริมสุดทางทิศตะวันตกของป่า" เมื่อได้ยินดังนั้นคนทั้งสองก็รีบผละจากนักพรตมุ่งหน้าไปยังจุดที่พบทองคำ ทันที
ระหว่างนั้น สหายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นว่า "นักพรตรูปนั้นทึ่มจริงๆ ทองคำที่ทุกผู้ทุกคนต่างเฝ้าใฝ่ฝันถึงมากองอยู่ตรงหน้า กลับวิ่งหนีไปเสียได้" ซึ่งสหายอีกผู้หนึ่งก็พยักเพยิดเห็นด้วย
จากนั้นทั้งสองจึงปรึกษากันว่าจะนำทองคำกลับไปได้อย่างไร สหายผู้หนึ่งจึงเสนอว่า "หากขนทองคำกลับไปในตอนฟ้าสว่างเห็นจะไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ เราควรขนไปตอนฟ้ามืดจะดีกว่า เดี๋ยวข้าจะเฝ้าทองคำอยู่ที่นี้ ส่วนท่านเดินทางเข้าเมืองไปเสาะหาอาหารและน้ำดื่มมารับประทานร่วมกัน เมื่อรับประทานเรียบร้อยรอให้ค่ำมืด ค่อยลงมือขนทองคำ"
ดังนั้นสหายผู้หนึ่งจึงเดินทางกลับเข้าเมืองเพื่อไปหาข้าวปลาอาหาร ส่วนสหายอีกผู้หนึ่งที่อยู่เฝ้าทองคำก็ขบคิดวางแผนว่า "หากทองคำทั้งหมดตกเป็นของข้าเพียงผู้เดียวก็คงจะดีไม่น้อย เช่นนี้ดีกว่า หากเพื่อนของข้ากลับมาก็ใช้ท่อนไม้ทุบตีมันให้ตาย เท่านี้ก็ไม่ต้องแบ่งส่วนแบ่งทองคำให้กับผู้ใด"
ส่วนสหายที่เดินทางเข้าเมืองก็ครุ่นคิดว่า "ข้าจะเข้าเมืองไปรับประทานอาหารให้อิ่มเสียก่อน จากนั้นนำยาพิษใส่ในอาหารกลับไปให้สหายข้า เท่านี้ทองคำก็จะเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว"
ชายที่เดินทางเข้าเมืองดำเนินการตามแผนเรียบร้อย จากนั้นนำอาหารกลับมายังชายป่าที่ซ่อนทองคำ แต่ยังไม่ทันระวังตัว เขากลับถูกสหายรักใช้ท่อนไม้ฟาดจากทางด้านหลัง จนเสียชีวิตทันที จากนั้นมือสังหารจึงแก้ห่อข้าวที่เพื่อนผู้ล่วงลับนำมาให้ รับประทานด้วยความหิวโหย แต่ไม่ทันไรก็ต้องล้มลงดิ้นทุรนทุรายเนื่องเพราะได้รับพิษที่อยู่ในอาหาร
ในชั่ววินาทีก่อนที่ชายผู้ถูกพิษจะสิ้นใจ เขาพลันนึกถึงคำที่นักพรตได้เตือนเอาไว้ จึงได้แต่รำพึงว่า"จริงดั่งคำที่นักพรตว่าไว้ ทองคำนั้นน่ากลัวยิ่ง เพราะมันสามารถกลืนกินมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความโลภอย่างเรา" จากนั้นจึงลาโลกไปในลักษณะนั้น
ปัญญาเซน : ความโลภเป็นบ่อเกิดแห่งหายนะ
ที่มา : หนังสือ 《菩提树下听禅的故事》, 惟真 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 中国华侨出版社, 2004.08, ISBN 7-80120-851-X
http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9540000026149
.
.
-
:46: ขอบคุณนะค่ะคุณหนุ่ม ได้ข้อคิดดีๆเยอะเลย :43:
-
นิทานเซน : เคล็ดลับความสำเร็จ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 มีนาคม 2554 08:15 น.
เหล่าศิษย์ถามอาจารย์เซนว่า "ท่านอาจารย์ ทำอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จ?"
อาจารย์เซนตอบว่า "วันนี้พวกเจ้าจะได้เรียนรู้ในสิ่งที่ธรรมดาที่สุด และง่ายดายที่สุด นั่นคือให้ทุกๆ คน แกว่งมือไปข้างหน้าให้ไกลที่สุด จากนั้นแกว่งกลับไปด้านหลังให้ไกลที่สุด" กล่าวจบจึงปฏิบัติให้เหล่าศิษย์ดูเป็นตัวอย่าง 1 รอบ จากนั้นกล่าวต่อไปว่า "นับตั้งแต่วันนี้ พวกเจ้าจงทำเช่นนี้ติดต่อกันวันละ 300 ครั้ง ทุกๆ วัน ทุกคนสามารถทำได้หรือไม่?"
บรรดาศิษย์เซน พากันสงสัย เอ่ยถามว่า "พวกเราต้องทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไร?"
อาจารย์เซนชี้แจงว่า "หากพวกเจ้าสามารถปฏิบัติได้สำเร็จ อีก 1 ปีให้หลังพวกเจ้าจะทราบถึงหนทางที่นำไปสู่ความสำเร็จ"
เหล่าศิษย์ล้วนคิดตรงกันว่า "เรื่องง่ายๆ เช่นนี้ ใครๆ ก็ย่อมทำได้" จากนั้นจึงเริ่มปฏิบัติ
เวลาผ่านไป 1 เดือน อาจารย์เซนถามเหล่าศิษย์ว่า "การแกว่งแขนที่ข้าให้พวกเจ้าปฏิบัติ มีใครยังทำต่อเนื่องอยู่บ้าง?" ศิษย์เซนส่วนใหญ่ต่างตอบด้วยความภาคภูมิใจว่า ยังปฏิอยู่ อาจารย์เซนจึงผงกศีรษะด้วยความพอใจ พลางกล่าวว่า "ดีมาก"
เวลาผ่านไปอีกเดือนหนึ่ง อาจารย์เซนเอ่ยถามอีกครั้งว่า "ยังมีกี่คนที่แกว่งแขนอยู่?" ปรากฏว่ามีศิษย์เซนประมาณครึ่งหนึ่งที่ยังคงปฏิบัติอยู่ ส่วนที่เหลือกว่าครึ่ง ล้วนถอดใจล้มเลิกไปแล้ว
เมื่อครบเวลา 1 ปีที่กำหนด อาจารย์เซนจึงได้สอบถามเหล่าศิษย์อีกครั้งว่า "กิจกรรมแกว่งแขนอันแสนง่ายดายนี้ ใครยังคงทำอยู่บ้าง?" ในครั้งนี้ มีศิษย์เพียงผู้เดียวที่ชูมือขึ้นและกล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า "อาจารย์ ข้ายังทำอยู่"
อาจารย์เซนจึงกล่าวกับศิษย์ทั้งหมดว่า "ข้าเคยบอกพวกเจ้าว่าเมื่อภารกิจนี้สิ้นสุด พวกเจ้าจะทราบถึงหนทางที่นำไปสู่ความสำเร็จ ที่ข้าอยากจะบอกพวกเจ้าก็คือ ในโลกนี้สิ่งที่ทำได้ง่ายดายที่สุดก็มักจะเป็นสิ่งที่ทำได้ยากเย็นที่สุด และสิ่งที่ยากเย็นที่สุดก็สามารถจะกระทำได้อย่างง่ายดายเช่นกัน ที่บอกว่ามันง่ายดาย เนื่องเพราะขอเพียงยอมลงมือทำ ใครๆ ก็สามารถทำได้ แต่ที่บอกว่ามันยากเย็นก็เพราะผู้ที่สามารถยืนหยัดกระทำอย่างต่อเนื่องยาวนานนั้นกลับมีไม่มาก
ปัญญาเซน : ความสำเร็จที่จริงแท้ มาจากการฝึกฝน ยืนหยัดปฏิบัติ อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
ที่มา : หนังสือ 《菩提树下听禅的故事》, 惟真 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 中国华侨出版社, 2004.08, ISBN 7-80120-851-X
China - Manager Online -
[url]http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9540000033342 (http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9540000033342)
.