(http://khunnamob.globat.com/backup/khunnamob/www.khunnamob.info/board/photo/mXT0HkNN/j2eokq6s.jpg)
ธรรมะ HOW TO
ศาสตราจารย์ เสฐียรพงษ์ วรรณปก
เมื่อไม่กี่วันมานี้ ผมออกไปใส่บาตรพระสงฆ์ในต่างจังหวัด หลวงพี่รูปที่เคยรับบาตรประจำ ท่านทักทายแล้วถามไถ่ทุกข์สุข บอกว่าคุณโยมหายไปหลายวัน จึงกราบเรียนท่านว่ามีภารกิจที่กรุงเทพมา และได้ถวายหนังสือชื่อ ‘ธรรมะ HOW TO’ ของศาสตราจารย์ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิตไป ๑ เล่ม
พระสงฆ์บ้านนอกนั้น ญาติโยมไม่ค่อยได้ถวายหนังสือ ทั้งๆที่เป็นสิ่งน่าถวายมากที่สุด เพราะท่านบวชแล้วจะได้เรียนไปด้วย อย่างที่เขาเรียกว่า “บวช-เรียน” แต่ญาติโยมชอบชอบถวายแต่หนังสือสวดมนต์กัน ทั้งๆแต่ละวัดก็มีแล้ว ควรหาหนังสือดีๆอย่างอื่นไปถวายท่าน ซึ่งน่าจะได้กุศลดีด้วย บางทีอาจเป็นอานิสงส์ส่งให้ลูกหลานของเรา กลายเป็นคนรักในหนังสือหนังหา และเอาใจใส่ในการเรียนก็เป็นได้
หนังสือ‘ธรรมะ HOW TO’ นั้นอ่านได้สบายๆ แต่ให้ความรู้ที่เป็นแก่นทางศาสนาได้เป็นอย่างดี ท่านที่มีลูกหลานน่าจะหาติดบ้านเอาไว้ อาจารย์เสฐียรพงษ์ฯนั้น ท่านเป็นอัจฉริยะในด้านการศึกษาพระพุทธศาสนา เป็นสามเณรรูปแรกที่ได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค มีความสามารถในการบรรยาย และเขียนเรื่องธรรมะที่เข้าใจยาก ให้ชาวบ้านฟังหรืออ่านแล้ว ไม่รู้สึกเคร่งเครียดอย่างที่คนกลัวกัน กลายเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย ทั้งยังสนุกและชวนให้ติดตามด้วย เพราะท่านมีอารมณ์ขันเหลือเฟือ ผมเองติดทั้งหนังสือ และการบรรยายของท่านเป็นอย่างมาก บางครั้งก็หยิบเอาบางเสี้ยวส่วนในหนังสือ หรือข้อเขียนของท่านมาเขียนต่อ
ฉะนั้น หนังสือของปราชญ์ใหญ่ท่านนี้ ออกมากี่เล่มๆ ผมต้องซื้อหามาอ่านหมด บางเล่มก็อ่านอยู่หลายเที่ยว เพราะคนกิเลสจับเขลอะอย่างคนเขียนนั้น ต้องอ่านให้มากหน เผื่อจะซึมซับเข้าไปกับเขาบ้าง
เมื่อเร็วๆนี้ ท่านอาจารย์เสฐียรพงษ์ฯพูดทางโทรทัศน์ ในรายการเกี่ยวกับธรรมะของช่อง ๓ ตอนเช้าตรู่ ซึ่งมีคุณพัชรี พรหมช่วย พิธีกรที่ความสาวคงกระพัน เป็นผู้ดำเนินรายการ ท่านอาจารย์เสถียรพงษ์ฯบอกว่า
...น่าดีใจที่หนังสือธรรมะขายได้ดีในตอนนี้ เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า คนไทยสนใจธรรมะกันมากขึ้น...
ผมฟังแล้ว เห็นด้วยทุกประการ ขอยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง เพราะสอบถามเจ้าหน้าที่ตามศูนย์หนังสือต่างๆ ก็พูดเช่นเดียวกัน อีกทั้งไม่นานนี้ ได้อ่านปรากฏการณ์แปลกในเรื่องการศึกษา เพราะข่าวต่างประเทศเขาบอกว่า ทั้งมหาวิทยาลัยใหญ่ๆในสหรัฐเช่น ฮาร์วาร์ด ปรินซ์ตัน เยล วิชาศาสนามีคนลงเรียนมากขึ้น จนน่าแปลกใจ!
โลกเรานั้น แม้จะก้าวหน้าไปทางด้านวิทยาการมากขึ้น แต่ความเชื่อในเรื่องพระเจ้ากลับไม่ลดลง ดูตรงข้ามกับที่พระสันตะปาปาจอห์น ที่ทรงล่วงลับไปแล้ว เคยรับสั่งเอาไว้ด้วยความห่วงพระทัย และผมจำได้แม่นยำนัก ว่า
“...ก่อนที่โลกของเราจะก้าวเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ วงการศาสนา (คริสต์) จะพบกับคำถามเรื่องพระเจ้ามากขึ้น!...”
นั่นหมายความว่า เมื่อโลกาภิวัตน์มันพัดผ่าน คำถามเรื่อง ความมีอยู่จริงของพระผู้เป็นเจ้า อาจได้รับการท้าทาย น่าจะมีคำถามจากนักวิทยาศาสตร์มากขึ้น แต่การณ์กลับหาเป็นอย่างที่โป๊ปท่านทรงคาดคิดไม่ เพราะความศรัทธาในเรื่อง ‘พระเจ้า’ ของศาสนาที่เป็น ‘เทวนิยม’ นั้นหาได้ลดลงเลย แต่มีคนให้ความสนใจศึกษามากขึ้น
ใช่แต่ศาสนา ‘เทวนิยม’ เท่านั้น ที่ได้รับการศึกษามากขึ้น แม้ศาสนาที่เป็น
‘อเทวนิยม’ อย่างพระพุทธศาสนา ที่ไม่มีเรื่องพระเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่มีการสวดอ้อนวอนต่อพระผู้สถิตบนสรวงสวรรค์ เพื่อทรงโปรดประทานพรให้ แต่คำสอนของพระพุทธองค์นั้น ซึ่งเป็นไปเพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ ก็ได้รับความสนใจใฝ่ศึกษามากขึ้น และอายุของผู้ศึกษาก็น้อยลง
ตรงนี้น่าชื่นใจมาก!
(http://khunnamob.globat.com/backup/khunnamob/www.khunnamob.info/board/photo/mXT0HkNN/pnBpEOtN.jpg)
ประมาณ ๒๐-๓๐ ปีที่แล้ว ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ในฐานะประธานธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ ได้เดินทางไปเปิดอาคารสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคจิต โรคประสาท ที่โรงพยาบาลศรีธัญญา ซึ่งธนาคารกรุงเทพพาณิชยการบริจาคเงินสร้าง
พอท่านอาจารย์ตัดริบบิ้นเปิดตึกเสร็จ แพทย์และพยาบาลก็เดินนำพาท่านเข้าไปในอาคาร ซึ่งคณะแพทย์และพยาบาล ได้จัดให้ผู้ป่วยนั่งประจำบนเตียงคอยต้อนรับ
ท่านเดินดูและประนมมือรับไหว้ ทักทายผู้ป่วยไปตามช่องทางเดินตรงกลาง แล้วท่านก็หยุดหน้าเตียงผู้ป่วย ที่ต้องหยุดเพราะผู้ป่วยคนนั้น กำลังยกมือรำป้ออยู่คนเดียว และมีผู้ป่วยเตียงข้างๆชำเลืองดู ด้วยท่าทางไม่ค่อยพออกพอใจเท่าใดนัก
ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ทักว่า “คุณเป็นอะไรครับ” (เข้าใจว่า ท่านคงหมายถึง เป็นโรคอะไร)
ผู้ป่วยตอบว่า
“ผมเป็นเทวดา !”
“อ้อ! เป็นเทวดา” ท่านอาจารย์ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ทวนคำ
“อย่าไปเชื่อมัน ผมยังไม่ทันแต่งตั้งมันเลย จะเป็นได้ยังไง!” เสียงแหวจากคนไข้เตียงข้างๆ ซึ่งมองชำเลืองอยู่ พร้อมกับค้อนให้วงใหญ่
“อ้าว! แล้วคุณเป็นอะไรถึงไปแต่งตั้งเขา” ท่านอาจารย์ถาม
“ผมเป็นพระอินทร์!!”
คนป่วยคนนั้นประกาศ พร้อมกับเชิดหน้า วางท่าปั้นปึ่ง
ท่านอาจารย์ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ยกมือไหว้คนไข้ทั้งสอง แล้วพูดว่า
“ผมขอกราบลาท่านไปก่อนนะคร้าบ...เพราะตอนนี้ยังไม่อยากอยู่บนสวรรค์”
พูดจบแล้วท่านก็หัวเราะหึ ๆ เดินออกจากห้องผู้ป่วยไป....
คุยกันมาถึงตรงนี้แล้ว อยากให้ท่านผู้อ่านลองสำรวจ มองดูรอบตัวๆ ซิครับว่า
ทุกวันนี้ใครกัน ที่เป็นสามัญชนคนธรรมดา แต่ถูกพวกสอพลอสูบลมจนดูตัวพองโต ราวเหมือนจะละล่องลอยได้เหมือน...เทวดา!
จะไปไหนมาไหนแต่ละที ไอ้พวกลิ่วล้อนายหน้าม้าใช้ (สำนวนอีตา ’รัญ) ต้องให้บังคับผู้คนลูกเด็กเล็กแดง ออกมาตั้งแถวต้อนรับเอิกเกริก
ทำราวกับ รับเสด็จเจ้านายท่าน เลยทีเดียวเชียว!
ร้ายยิ่งไปกว่านั้น ไอ้พวกจะเอาใจนาย ยังดันทะลึ่งบังคับให้เด็กๆและผู้คนที่เกณฑ์มา ต้อง ก้มกราน หมอบกราบไหว้วันทา ถวายบังคม เทวดาของพวกมัน แล้วยังเสือกแพร่ภาพออกมา ให้ผู้คนในบ้านในเมืองได้ดูกัน จนรู้สึกคันหัวอก เหมือนถูกหมามุ่ยโรยใส่หัวใจ เพราะพวกมันทำราวจะประกาศศักดาว่า
เทวดาของพวกตัวนั้น สถิตอยู่เหนือบรรดาเหล่า ผู้มีบุญหนักบักใหญ่ทั้งมวล!
ผู้ใหญ่ที่เคารพของผม เห็นรูปที่นำไปให้ท่านดูเข้าเท่านั้น เกิดอาการ ‘ของขึ้น’ ถึงกับกระหน่ำวิพากษ์วิจารณ์ ว่า
“โอ้โฮ เฮะ!... ยังกะให้พวก ‘ยี่เก’ วิกตาหอมหวล ทำท่าถวายบังคมโต้โผเลย
โว้ยยยย...” ลากเสียง “โว้ย” ซะยาวยืด แล้วขยับต่อ...
“...ถ้า ‘อาจารย์หม่อม’ ซือแป๋ของกูยังอยู่ ท่านคงร้องด่าพวกมันไปแล้ว ว่า...”
หยุดจิบกาแฟขมนิด ก่อนจะตะโกนปิดท้ายเสียงลั่น
“ไม่กลัว ขี้กลาก-แดกหัวกบาล กันบ้าง หรือไงวะ...ไอ้พวกบ้า ****!!?”
:43: http://khunnamob.globat.com/backup/khunnamob/www.khunnamob.info/board/show.php-Category=khunnamob&No=626&forum=6&page=10&PHPSESSID=5df051bc51e3404a3b6bdcb9f62a03ba.htm