ใต้ร่มธรรม

คลังธรรมปัญญา => พรรณาอักษร => ข้อความที่เริ่มโดย: มดเอ๊กซ ที่ สิงหาคม 01, 2016, 12:30:03 pm

หัวข้อ: รูมี ทางสู่กวีนิพนธ์ ความรัก และ การรู้แจ้ง
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊กซ ที่ สิงหาคม 01, 2016, 12:30:03 pm
(http://dl.topnaz.com/2012/09/2_Maulana2.jpg)


https://www.youtube.com/v/40B_lMgZgjk


https://www.youtube.com/v/GK5tBEobvCM


รูมี ทางสู่กวีนิพนธ์  ความรักและการรู้แจ้ง

ภูมิช  อิสรานนท์


เหตุผลไร้ซึ่งพลังในการแสดงความรัก    ความรักเท่านั้นสามารถเปิดเผยสัจธรรมแห่งความรักและการเป็นคนรัก   วิถีของศาสดาทั้งหลายเป็นวิถีแห่งสัจธรรม   ถ้าเธออยากอยู่  ตายด้วยรัก  ตายด้วยรัก  ถ้าเธออยากคงมีชีวิต


ครูของเรา

              เมาลานา  ญะลาลุดดิน  รูมี  (Maulana Jalaluddin Rumi)  เป็นธรรมาจารย์ทางจิตวิญญาณและอัจฉริยภาพทางกวีนิพนธ์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของมนุษยชาติ    เขามิได้เป็นเพียงกวีและผู้ก่อตั้งกลุ่มทางศาสนาเท่านั้น  ยังเป็นผู้มีความคิดด้านในอย่างลึกซึ้งในธรรมชาติของมนุษย์อีกด้วย   เขาก่อตั้งนิกายเมาฬาวี  อันเป็นลัทธิซูฟีสายหนึ่ง  ซึ่งเป็นมุสลิมนอกกระแสหลักของศาสนาอิสลาม  และเน้นทางภาวนา  เพื่อเข้าถึงรหัสยนัยหรือความเร้นลับในสิ่งมหัศจรรย์  คือ  เข้าถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า    เขากล่าวว่าแม้นกบินจากโลกไปไม่ถึงสวรรค์  แต่อย่างไรก็ตาม  มันได้รับประโยชน์ของการอยู่ห่างไกลจากตาข่าย  ฉะนั้น  มนุษย์ผู้เป็น ดัรวีช  (Dervish:  ผู้จาริกแสวงบุญ)  แม้มิอาจเข้าถึงความสมบูรณ์พร้อม  แต่ก็อยู่เหนือฝูงชนทั่วไป  และหลุดพ้นจากความยุ่งยากของโลก

              ขนบของรูมีไม่ใช่ ‘ตะวันออก’  และก็มิใช่ ‘ตะวันตก’  แต่อยู่กึ่งกลาง    ยิ่งกว่านั้น  จารีตของอิสลาม  ซึ่งหล่อหลอมเขามา  ถือว่ามีเพียงศาสนาเดียวมอบแก่มวลมนุษยชาติ  ผ่านศาสดาหรือผู้นำสาสน์มากมาย  ซึ่งนำการรู้แจ้งมาสู่ผู้คนบนโลก    พระเจ้าเป็นบ่อเกิดอันวิเศษสุดของสรรพชีวิต  ซึ่งเนื้อแท้ของพระองค์นั้นมิอาจพรรณนาหรือเปรียบเทียบกับสิ่งใด  แต่เป็นที่รับรู้ผ่านเนื้อหาของศาสนาที่แจ่มแจ้งในโลกและในใจมนุษย์    เป็นรหัสยนัยอันลึกซึ้ง  ซึ่งเน้นหนักอย่างสำคัญและชัดเจนที่เกียรติภูมิของมนุษย์และความยุติธรรมในสังคม    พระศาสดามุฮัมมัดเป็นศาสดาองค์สุดท้าย  ผู้นำมาซึ่งสาสน์แห่งความรักของพระเจ้า

              รูมีเป็นกวีที่สร้างสรรค์ผลงานมากมายแต่มิได้เป็นกวีอาชีพ  เป็นผู้นำศาสนาที่คงแก่เรียน  ครู  นักเทศน์  และเหนืออื่นใด  เป็นมุนี หรือ อาเรฟ  (Aref: ผู้มีความรอบรู้เรื่องจิตวิญญาณอันนำไปสู่ความสุขสงบ)    เป็นเวลาหลายศตวรรษ  รูมีเป็นที่รู้จักในฐานะเมาลานา (ครูของเรา) ของผู้คนที่พูดภาษาเปอร์เซียในอิหร่านอัฟกานิสถาน  ทาจิกีสถาน  และหลายส่วนของอินเดียและปากีสถาน   นาม รูมี หมายถึง ‘เป็นของรุม หรือ โรม’  คือ  อาณาจักร
โรมัน-ไบแซนไทน์  ซึ่งเคยครอบครองอนาโตเลีย  ที่ราบสูงอันกว้างใหญ่ในเอเชียน้อย  บนคาบสมุทรสุดตะวันตกของทวีปเอเชีย  ตั้งอยู่ระหว่างทะเลดำกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน - ดินแดนอันสับสนวุ่นวายที่รูมีอาศัยอยู่เป็นเวลาส่วนใหญ่ของช่วงชีวิต

              วรรณกรรมสำคัญของรูมี  ได้แก่  Masnawi Man’nawi (มัษนาวี)  Diwan Shams Tabrizi (กวีนิพนธ์แห่งชัมส์  ตับริซี)  และ  Fih Ma Fih รวมงานร้อยแก้ว ๗๑ ชิ้น    รูมีสรุปงานแห่งชีวิตของตัวเองไว้ดังนี้
 

                              ผลิตผลแห่งชีวิตของข้ามิได้มากกว่าสามบรรทัดนี้
                              ข้าเป็นวัตถุดิบ
                              ข้าถูกปรุงสุก
                              ข้าลุกไหม้ด้วยความรัก

(http://www.tanznama.com/wp-content/uploads/2014/03/molana2.jpg)


ฉากชีวิต

              รูมีได้รับการตั้งชื่อว่า  ญะลาลุดดิน (ความรุ่งโรจน์ของศาสนา) มุฮัมมัด    นักศ้นคว้าเชื่อกันเป็นส่วนใหญ่ว่า  เขาถือกำเนิดวันที่  ๓๐  กันยายน  ค.ศ.  ๑๒๐๗  ในเมืองบัลค์  (Balkh)  ในอัฟกานิสถานสมัยปัจจุบัน    แต่มีบางคนแย้งว่าเกิดที่วัคช์  (Wakh’sh)  ในทาจิกิสถานสมัยปัจจุบัน    ที่แน่ๆ รูมีเติบโตในเมืองบัลค์  ซึ่งในยุคนั้นเป็นศูนย์กลางทางการเมือง  การค้า และปัญญาของอาณาจักรเปอร์เซีย  ที่บะฮา  วะลัด (Baha Valad)  พ่อของเขา  ได้รับเกียรติเป็น สุลตานีอูเลมา  (Sulan-e Ulema  หมายถึง ‘ราชาแห่งผู้คงแก่เรียน’)    มีบันทึกจดไว้ว่า  แม้แต่พระเจ้าโมฮัมมัด  คารัสม์-ชาห์  ก็เคยเสด็จมาสดับการบรรยายของบะฮา  วะลัด

              พ่อของรูมีแก่กว่าห้าสิบหกปี  และเป็นครูคนแรกของเขา    บะฮา  วะลัดมิได้เป็นเพียงนักเทศน์  แต่ยังเป็นมุนีมุสลิม  หรือซูฟี    ตามจารีตของอิสลาม  พวกซูฟีขัดแย้งกับพวกฟะลาซะเฟะห์ (Falasafeh: นักปรัชญา)    ซูฟีเพรียกหาประสบการณ์ทางจิตวิญญาณโดยตรง  การภาวนา  และความรัก  ส่วนฟะลาซะเฟะห์เน้นการคิดอย่างมีเหตุผล  ความรู้ทางปัญญาและการโต้แย้งเชิงตรรกะ    ความคิดสองสาขานี้ไม่น่าจะขัดแย้งกัน  แต่ซูฟีเชื่อว่าปรัชญาไม่สามารถแทนที่การปฏิบัติและประสบการณ์ได้    บนเส้นทางสู่ความรัก  รูมีเคยกล่าวว่า  “ขาของผู้โต้แย้งเชิงตรรกะนั้นทำด้วยไม้”    อีกนัยหนึ่ง  เขาพูดได้  แต่เดินไม่ได้    ซูฟียังมีความแตกต่างกับฟุกะฮา  (Fuqaha)  หรือผู้ชำนาญกฎหมายอิสลาม  ซึ่งเกี่ยวข้องกับระเบียบและพิธีกรรม

              ในการสนทนาสาธารณะ  บะฮา  วะลัดจะวิพากษ์วิจารณ์นักปรัชญา    เป็นที่ชัดเจนว่าคำพูดและอิทธิพลของเขาต่อประชาชานั้นทำร้ายความรู้สึกของอิหม่ามฟัครุดดิน ราซิ  (Fakhruddin Razi)  นักเทววิทยามุสลิมคนสำคัญและเป็นอาจารย์ของพระราชา   ทั้งหมดนี้ทำให้ชีวิตยากลำบากแก่บะฮา  วะลัด   ยิ่งกว่านั้น  มีความวาดกลัวกันไปก่อนถึงการรุกรานโดยกองทัพอันเหี้ยมโหดของเจงกีส  ข่าน  (ซึ่งในที่สุดการรุกรานและการโจมตีอันนองเลือดนี้ก็เกิดขึ้น)    บะฮา  วะลัดอพยพจากเมืองบัลค์และพาครอบครัวไปทางตะวันตก

              ระหว่างทางสู่แบกแดด  กองคาราวานของบะฮา  วะลัดแวะพักที่เมืองนิชาบุร์ (Nishabur)   ณ ที่นี้เอง อัตตาร์  (Attar)  กวีเปอร์เซียและครูซูฟีผู้ยิ่งใหญ่  ก็ได้พบกับรูมีวัยสิบสองขวบและให้หนังสือว่าด้วยรหัสยลัทธิของตน  Asrar Nameh  (คัมภีร์สิ่งเร้นลับ)  แก่เขาเล่มหนึ่ง  และกล่าวกับพ่อของเด็กชายว่า  “คำพูดอันแหลมคมของเด็กคนนี้จะจุดประกายแก่จิตวิญญาณของคนรักทั่วโลก”

              บะฮา  วะลัดและครอบครัวเดินทางไปแสวงบุญที่เมกกะ  พักอยู่ในดามัสกัสชั่วคราว  และในที่สุดก็เดินทางต่อไปยังอนาโตเลีย  ซึ่งในเวลานั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของราชวงศ์เซลจุก (Seljug) ห่างไกลจากอิทธิพลของมองโกเลีย    แม่ของรูมีเสียชีวิตในเมืองลารันดา  (ปัจจุบันเรียกว่า  คารามาน)    หนึ่งปีต่อมารูมีวัยสิบแปดก็แต่งงานกับกูฮาร์ผู้เป็นเพื่อนมาแต่วัยเด็ก  ซึ่งครอบครัวของนางติดตามครอบครัววะลัดมาจากบัลค์    สุลต่าน  วะลัด  ลูกชายของรูมีเกิดที่ลารันดา    อยู่มาได้ระยะหนึ่ง  ตามคำขอของพระเจ้าอะลาเอดดิน  คัยโกบาด  แห่งราชวงศ์เซลจุก   บะฮา  วะลัดกับครอบครัวย้ายไปอยู่เมืองโคเนีย  ที่วิทยาลัยถูกสร้างขึ้นสำหรับเขา    สองปีต่อมา  บะฮา  วะลัด  วัย ๘๐  ก็ถึงแก่กรรมในปี ๑๒๓๑    และรูมี  ตอนนั้นอายุ ๒๔  ก็รับตำแหน่งแทนผู้เป็นพ่อ

              หลังจากนั้นไม่นาน  บุรฮานุดดิน  ติรมัดฮิ  (Burhanuddin  Tirmadhi)-สาวกของบะฮา  วะลัดและครูของรูมีครั้งอยู่เมืองบัลค์  ก็เดินทางมาโคเนีย  เพื่อชี้แนะทางจิตวิญญาณและประสิทธิ์ประสาท ‘ศาสตร์แห่งศาสดาและการเทศนา’ อยู่เก้าปี    เขาฝึกฝนชายหนุ่มอย่างเป็นระบบและแนะนำให้รูมีอ่าน Ma’aref  (คำสอน)  ของบะฮา  วะลัด    ในระหว่างนั้น  รูมียังศึกษาแนวคิดทางศาสนาสายสำคัญๆ ของสมัยนั้นเป็นเวลากว่าสี่ปี  จากอาจารย์ซูฟีและนักวิชาการมุสลิมผู้ยิ่งใหญ่หลายคนในเมื่องอเลปโปและดามัสกัส  (ทั้งสองเมืองอยู่ในซีเรียสมัยปัจจุบัน)    ในฐานะนักวิชาการมุสลิม  รูมีศึกษาภาษาอาหรับและคัมภีร์อัล กุรอาน  ถ้อยคำและการปฏิบัติของพระศาสดามุฮัมมัด  พิธีกรรมของอิสลาม  กฎหมาย  ปรัชญา  และประวัติศาสตร์    หนังสือของรูมีแสดงให้เห็นว่าเขามีความรอบรู้ด้านวรรณคดีอย่างกว้างขวางและลึกซึ้ง  ทั้งภาษาอาหรับและเปอร์เซีย  ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง    เขาชื่นชอบกวีอาหรับอย่างน้อยหนึ่งคน  คือ  มุตะนับบี (Mutanabbi) และกวีเปอร์เซียสองคน คือ อัตตาร์กับซะนาอี  (Sana’’i)

              รูมีกลับโคเนียในปี ๑๒๓๒  และบุรฮานุดดินบอกว่าแม้เขาจะเป็นผู้รู้ ‘ศาสตร์ของสิ่งปรากฏ’   แต่ก็ยังหารู้ ‘ศาสตร์ที่ซ่อนเร้น’ ไม่    เขาให้รูมีปลีกวิเวกสี่สิบวัน  ถืออดและบำเพ็ญภาวนา    จากนั้นรูมีก็เริ่มมีชื่อเสียงในฐานะผู้รอบรู้ทางศาสนาแห่งโคเนีย    บุรฮานุดดินถึงแก่กรรมในปี ๑๒๔๑

(http://2.bp.blogspot.com/-xKM58h-3XVU/UeZdF47ptyI/AAAAAAAAyVY/zO6CUaraP60/s1600/%D9%85%D9%88%D9%84%D9%88%DB%8C5.jpg)

เมื่อสองมหาสมุทรพบกัน

              การพบกับชัมส์  ตับริซี ดัรวีช พเนจร  นับเป็นการเกิดใหม่ของรูมี    มีเกร็ดหลายเรื่องกล่าวถึงการพบกันนี้    ญามี (Jami)  กวีเปอร์เซียในศตวรรษที่สิบห้า  เขียนว่า  วันหนึ่ง  ตอนปลายฤดูใบไม้ร่วงปี ๑๒๔๔  รูมีกำลังนั่งอยู่ริมสระน้ำกับสาวกและหนังสือ    ชัมส์  ซึ่งรูมีไม่รู้จัก  ก็เข้ามาทักทายแล้วนั่งลง    เขาขัดจังหวะการบรรยายของรูมี  ชี้ไปยังหนังสือพลางถามขึ้นว่า  “พวกนี้เป็นอะไร”    รูมีตอบว่า  “นี่เป็นความรู้บางอย่างที่ท่านไม่เข้าใจ”    จากนั้นชัมส์โยนหนังสือทั้งหมดลงไปในน้ำแล้วพูดขึ้น  “และนี่เป็นความรู้บางอย่างที่เจ้าไม่เข้าใจ”

              เรื่องนี้เป็นตัวอย่างอันดีที่สุด  ซึ่งผู้คนเล่าลือถึงอิทธิพลของชัมส์ในชีวิตของรูมี    ครั้นแล้ว  นักเทววิทยาทางตำราอันแห้งแล้วก็หันมาสู่รหัสยลัทธิหลังจากได้พบกับรหัสยเมธีผู้อาวุโส  ซึ่งไม่ชอบความรู้ทางตำรา    การพบกันของชัมส์กับรูมีเปรียบเสมือนการรวมกันของสองมหาสมุทร    การอบรมเลี้ยงดูและการศึกษาที่รูมีได้รับมานั้นได้บ่มเพาะเขามาเพื่อดำรงชีวิตเป็นรหัสยเมธี    อีกฝ่ายหนึ่งชัมส์เป็นคนไม่รู้หนังสือ   เขาเกิดที่เมืองตับริซทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิหร่านราวหกสิบปีก่อนมาโคเนีย   เขาได้ศึกษากับครูบาอาจารย์มากมาย  และMaqalat Shams Tabrizi   หนังสือคำบรรยายของเขาที่หลงเหลืออยู่  แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้รอบรู้มากคนหนึ่ง    ชัมส์ชุบความรู้สึกทางรหัสยและศิลปะของรูมีให้ฟื้นคืนมา    หลังจากนั้นรูมีหันมาสู่ดนตรี  ระบำและกวีนิพนธ์  และผละจากหนังสือ    ชัมส์ไม่ให้รูมีอ่านหนังสือของผู้เป็นพ่อเสียด้วยซ้ำ

              ใน กวีนิพนธ์ชัมส์  ตับริซี  รูมีได้แสดงออกมากมายซึ่งความรัก  ความนับถือ  ความชื่นชม  และความโหยหาชัมส์  จนมีผู้คิดว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งสองเป็นแบบรักร่วมเพศ    ทัศนะเช่นนี้เป็นความเข้าใจผิดโดยสิ้นเชิงทั้งทางวัฒนธรรมและทางจิตวิญญาณ   การตีความความสัมพันธ์ของรูมีกับชัมส์ผิดยังทำให้สิ่งแวดล้อมทางจิตวิญญาณที่สองคนนี้อาศัยอยู่คลาดเคลื่อนไปหมดอีกด้วย    ตามลัทธิซูฟีมีธรรมเนียมที่เรียกว่า ซอห์บัต (soh’bat)  หรือการสนทนาในระหว่างปลีกวิเวก  ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างผู้แสวงหาสองคนขณะแบ่งปันความรู้  เรื่อง
ราวและประสบการณ์    เชื่อกันว่าซอห์บัตทำให้จิตและวิญญาณของผู้แสวงหาแก่กล้าขึ้น    รูมีเองก็เขียนบทกวีเกี่ยวกับธรรมเนียมนี้
 

                             โอ้  ใจของข้า
                             นั่งกับผู้เข้าถึงใจ
                             นั่งใต้ต้นไม้
                             ซึ่งมีดอกสด
                             ในตลาดของคนขายน้ำหอม
                             อย่าเร่ร่อนเหมือนเจ้าไร้การงาน
                             นั่งกับเจ้าของร้าน
                             ผู้มีน้ำตาลในร้านค้า
                             มิใช่ทุกดวงตามีแววตา
                             มิใช่ทุกทะเลมีเพชรพลอย
 

              ราซูล  ซอร์คาบี ตีความความสัมพันธ์ของรูมี-ชัมส์เป็นเสมือนการเปรียบเทียบ  ซึ่งทั้งชัมส์และรูมีเคยใช้ในการบรรยายของตน-การเปรียบเทียบกับ ‘กระจก’ (Ayeeneh)    กระจกสะท้อนสิ่งที่มากระทบโดยไม่ตัดสิน  และดังนั้นเราจึงเห็นตัวเองอย่างที่เราเป็นอยู่  ตามสภาวะดีเลวของจิตใจ    มิตรทางจิตวิญญาณเปรียบเสมือนกระจก  ซึ่งสะท้อนและยังความแก่กล้าแก่ความดีและความงามด้านใน  ทั้งยังแสดงความอ่อนแอและด้านมืดในลักษณะอันปราศจากการดึงดื้อถือดี  เพื่อว่าเราจะได้เห็นด้วยตัวเองและหาทางแก้ไข

              ในปี ๑๒๔๘  ชัมส์หายไปจากโคเนีย  และด้วยเหตุนี้จึงหายไปจากประวัติศาสตร์ด้วย    นักค้นคว้าบางคนเชื่อว่า  เขาถูกฆาตกรรมโดยสาวกผู้ริษยาของรูมี  ซึ่งได้สูญเสียผู้เป็นอาจารย์แก่ชายชราแปลกหน้าคนนี้    แต่บางคนก็เชื่อว่าชัมส์ไปจากโคเนียเอง  อย่างที่เขาเคยทำมาก่อนครั้งหนึ่งเป็นเวลาช่วงสั้น ๆ  เพราะพวกสาวกของรูมีทำให้ชีวิตยุ่งยากแก่เขามากเกินไป    ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม  การหายไปของชัมส์เป็นเสมือนพายุพัดกระหน่ำรูมีทางจิตใจ    เขาไปดามัสกัสสองครั้งเพื่อตามหาผู้เป็นกัลยาณมิตร    ครั้นเวลาล่วงไป  รูมีได้พบกับมิตรทางจิตวิญญาณอีกสองคน  ซะลาฮุดดิน  ซาร์กุบ  (Salahuddin Zarkub)  ผู้เป็นช่างทอง  และฮุซามุดดิน  เชเลบี  (Husamuddin Chelebi)  ผู้เป็นสาวกคนสนิท    ถ้าชัมส์เป็นพระเอกใน กวีนิพนธ์ ของรูมี  ฮุซามุดดินก็เป็นบุคคลที่รูมีท่อง มัษนาวี ให้จดในช่วงเจ็ดปีสุดท้ายของชีวิต

(http://www.ambafrance-af.org/local/cache-vignettes/L505xH499/81c092b13f81cdf8-8272f.jpg)


มัษนาวี

              งานชั้นเอกของรูมีคือ  มัษนาวี   ซึ่งประกอบด้วยหกบรรพหรือเล่ม  และสาธยายเนื้อหาอันหลากหลายด้วยความวิจิตรพิสดารยิ่ง  ไม่ว่าเรื่องราว  นิทาน  ตำนาน  การเปรียบเทียบและสารัตถะในคัมภีรอัล กุรอาน  ซึ่งสอดแทรกด้วยหลักธรรมของลัทธิซูฟีตลอดเรื่อง    มีเกร็ดเล่าว่า  ขณะท่องเที่ยวกันในไร่องุ่นนอกเมืองโคเนีย  ฮุซามุดดินบอกความคิดว่าถ้ารูมีแต่งหนังสือได้อย่างซะนาอีหรืออัตตาร์ก็จะมีคนขับลำนำมากมายนำไปขับขานและแต่งดนตรีประกอบ   รูมีพรายยิ้มแล้วหยิบกระดาษชิ้นหนึ่งออกมากจากซอกพับของผ้าโพกหัว  ซึ่งเขียนถ้อยคำเปิดเรื่อง มัษนาวี
 

                             จงสดับขลุ่ยอ้อที่โหยหวนครวญครางอย่างถวิลหาอาลัย
                             หายใจระทดระทวย  ตั้งแต่เมื่อมันถูกทึ้งจำพราก
 

                             จงสดับรับฟังเสียงขลุ่ยอ้อ  มันได้อุทธรณ์ทุกข์อย่างไร
                             กำลังคร่ำครวญถึงการถูกเนรเทศจากบ้านเกิดเมืองนอนของมัน
                             นับตั้งแต่ที่พวกเขาได้ฉีกทึ้งตัวฉันออกมาจากพงอ้อ
                             อันเป็นสถานภูมิลำเนาของฉันนั้น
                             และตั้งแต่นั่นมา  เสียงคร่ำครวญโหยหาของฉัน
                             ก็ได้เร่งเร้าน้ำตาของมนุษย์ทั้งหญิงชายให้ไหลพรากออกมา

                                         (รูมี,  มัษนาวี,  ไรน่าน  อรุณรังสี  แปล.)
 

             ฮุซามุดดินร่ำไห้ด้วยความปรีติและขอให้รูมีเขียนอีกเป็นเล่มๆ    เขาตอบว่า  “ฮุซามุดดิน  ถ้าเจ้ายินดี  ข้าก็จะท่องให้จด”    ดังนี้แล  มัษนาวี  ผลงานอันเป็นประดุจอนุสาวรีย์ของรูมีก็ถือกำเนิดขึ้นมาบนบรรณพิภพ

              อาจถือได้ว่า  มัษนาวีเป็นคัมภีร์ทางจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่เขียนโดยมนุษย์  และได้รับการยกย่องอย่างสูงจากชาวอิหร่านว่าเป็นวรรณคดีสำคัญยิ่งในภาษาเปอร์เซีย   สารัตถะของงานชั้นเอกนี้บรรจุไว้ซึ่งมวลชีวิตบนโลก  กิจกรรมของผู้คน – ไม่ว่าทางศาสนา  วัฒนธรรม  การเมือง  เพศ  และครอบครัว  นิสัยของมนุษย์ตั้งแต่ผู้หยาบช้าถึงผู้ละเอียดอ่อน  ตลอดจนรายละเอียดอันมากมายและชัดเจนของโลกธรรมชาติ  ภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์    ทั้งยังเป็นหนังสือที่นำเสนอมิติอันเที่ยงตรงของชีวิต - ตั้งแต่โลกแห่งความปรารถนา  การงานและสรรพสิ่ง  ถึงระดับสูงสุดของอภิปรัชญาและการรู้แจ้งในสิ่งมหัศจรรย์อันอยู่เหนือโลก

(https://i.ytimg.com/vi/igCKbPXdgJE/hqdefault.jpg)


ความรักในกวีนิพนธ์ของรูมี


              ความรัก (Ishq) เป็นเสมือนเส้นด้ายที่สอดแทรกบทกวีของรูมีอยู่ทั่วไป  ทั้งโดยตรงหรือโดยนัย    ความลึกซึ้งของภาษาและจินตภาพอันเร่งเร้าอารมณ์ที่รูมีใช้แสดงออกความรักนั้นมิค่อยได้พบเห็นในกวีอื่นๆ    ความรักในบทกวีของรูมีมิใช่ความรักฉันชู้สาว  แต่เป็นความรักอันงอกงามมาจากการตระหนักในความรักของพระเจ้าที่แผ่ขยายมาสู่โลกและชีวิตของมนุษย์    รูมีกล่าวว่า
 

                             ในอาณาจักรที่มิอาจแลเห็น
                             ณ ที่นั้นมีไม้จันทน์  ลุกไหม้
                             ความรักนี้
                             เป็นควันของธูปหอมนั้น 
           
              รูมีมองความรักที่แท้ของมนุษย์นั้นเป็นการสะท้อนความรักอันเป็นสากล  มิใช่ความรักที่เป็นแรงดึงดูดระหว่างผู้โดดเดี่ยวสองคน  แต่เป็นความรักที่ฝังแฝงอยู่ในทุกสายใยของจักรวาล    ตรงนี้  รูมีกล่าวอีกว่า
 

                             ถ้าท้องฟ้ามิได้มีความรัก
                             แผ่นอกของมันก็ไม่น่าอภิรมย์
                             ถ้าตะวันมิได้มีความรัก
                             ดวงหน้าของมันก็ไม่แจ่มกระจ่าง
                             ถ้าผืนดินและภูเขามิได้มีความรัก
                             พืชพันธุ์ก็มิอาจงอกออกมาจากหัวใจของมัน
                             ถ้าทะเลมิได้ตระหนักถึงความรัก
                             มันคงจะเงียบงันอยู่ที่ใดสักแห่ง
 

              ซอร์คาบีคิดว่ามีกระบวนการอันเป็นฐานของความรักอยู่สองประการในกวีนิพนธ์ของรูมี  คือ  (๑)  การแปรเปลี่ยน  และ  (๒)  การอยู่เหนือกว่า
              รูมีจัดพลังแห่งการแปรเปลี่ยนของความรักต่างจากสิ่งอื่นๆ    ผ่านความรัก  เขากล่าว  ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปในทางบวก  และได้รับผลตอบแทนมากกว่าวิธีการอื่นๆ    ในมัษนาวี  รูมีเล่าเรื่องของลุกมาน  บัณฑิตผู้มีชื่อเสียงในตะวันออกกลางครั้งโบราณ  ซึ่งวันหนึ่งกำลังกินแตงโมอยู่เมื่อผู้เป็นอาจารย์เข้ามาร่วมกินด้วย  แต่พบว่าแตงโมนั้นขมมาก    อาจารย์จึงว่ากล่าวลุกมานว่าทำไมจึงไม่บอกก่อนว่าแตงโมขม   ลุกมานตอบว่ามันไม่ได้ขมสำหรับเขา  เนื่องจากเขากำลังกินแตงโมด้วยความรักในบ้านของผู้เป็นอาจารย์
 

                             ผ่านรัก
                             ที่ขมก็หวาน
                             ผ่านรัก
                             ทองแดงก็กลายเป็นทองคำ
                             ผ่านรัก
                             รสชาติของเสียก็เหมือนเหล้าองุ่นบริสุทธิ์
                             ผ่านรัก
                             เจ็บก็หาย
 

             บางครั้งเราติดอยู่ในปัญหาหรือความขัดแย้ง  และมิอาจหาทางออกอย่างมีเหตุผลได้ด้วยสติปัญญาที่ตรึกตรองถี่ถ้วนแล้ว    ในการแปรเปลี่ยนของความรัก  ปัญหามิได้ถูกแก้ไข  แต่มันสลายไป
 

                             เหตุผลว่า
                             หกทิศทางนี้มีข้อจำกัด
                             หามีทางออกไม่!
                             ความรักว่า
                             มีอยู่ทางหนึ่ง
                             ข้าไปแล้วหลายครั้ง
                             เหตุผลเห็นตลาดและเริ่มค้าขาย
                             ความรักได้เห็นตลาดอื่นๆ นอกเหนือตลาดนี้
 

              คล้ายคลึงกับหลักนิพพานในพุทธศาสนา  ซูฟีกล่าวว่า  ฟะนา  (fana)  เป็นการทำลายอัตตาและสลายไปในความรักของพระเจ้า    ในสภาวะนั้นของความรัก  เราเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่งทุกอย่าง  และทุกสิ่งทุกอย่างเป็นหนึ่งเดียวกัน    อีกนัยหนึ่ง  ผู้แสวงหาไปพ้นจากความเป็นคู่และกลายเป็นหนึ่งเดียวกับพระผู้เป็นที่รัก    จงสดับรูมีเถิดว่าการอยู่เหนือกว่านี้คืออะไร
 

                             โอ้  ชาวมุสลิม  จะทำอย่างไรเล่า
                             เพราะข้ามิอาจแยกแยะตัวเอง
                             ข้ามิได้เป็นทั้งชาวคริสต์หรือชาวยิว
                             ทั้งโซโรแอสเตรียนหรือมุสลิม
                             ข้ามิได้เป็นตะวันออกหรือตะวันตก
                             ทั้งของแผ่นดินหรือของทะเล
                             ข้ามิได้มาจากเหมืองของธรรมชาติหรือจากวงล้อมของท้องฟ้า
                             ข้ามิได้มาจากโลกนี้หรือโลกหน้า  ทั้งจากสวรรค์หรือจากนรก
                             ข้ามิได้มาจากอดัมหรืออีฟ
                             ที่ของข้าไร้หลักแหล่ง  ทางของข้าไร้ร่องรอย
                             นี้มิใช่ทั้งสังขารหรือวิญญาณ
                             เพราะข้าเป็นของจิตวิญญาณแห่งผู้เป็นที่รัก
                             เป็นพลเมืองนอกเหนือโลก


(http://3.bp.blogspot.com/-6ItFfvdNvrI/UJv0CSesTBI/AAAAAAAACtM/qYVumn95ECI/s1600/hay+sokan.jpg)


พลเมืองนอกเหนือโลก   

         
              เหตุใดกวีนิพนธ์ของรูมียังมีผู้อ่านแพร่หลายในดินแดนต่างๆ หลังจากเสียชีวิตไปแล้วกว่าร้อยเจ็ดปี    บางทีบทกวีชิ้นหนึ่งของเขาเองอาจตอบคำถามนี้ได้
 

                             ข้ามิได้แสวงหาโลกนี้หรือโลกหน้า
                             อย่าแสวงหาข้าในโลกนี้หรือโลกนั้น
                             มันหายไปทั้งคู่ในโลกที่ข้าอยู่
 

              รูมีเป็นพลเมืองนอกเหนือโลก  (out of the world)    จริงอยู่  ชีวิตของเขาหยั่งรากในวัฒนธรรมอิสลามและเปอร์เซีย  แต่ผู้เลือกเขาเป็นใจของมนุษย์    ด้วยเหตุนี้  บทกวีของเขาจึงยกเราขึ้นจากโลกียวิสัยและเสนอแก่เราซึ่งความผ่องแผ้ว  ความแจ่มแจ้งและความงามของวิสัยทัศน์แห่งกวีนิพนธ์  และเมื่อเท้าของเราสัมผัสผืนโลกอีกครั้ง  เราไม่ได้รู้สึกผ่อนคลาย  แต่โปร่งเบา

              รูมีมิได้มองความรักของพระเจ้าเป็นเนื้อหาอันเป็นนามธรรมสำหรับกวีหรือนักปรัชญา  แต่เป็นรากฐานสำหรับเราในการดำรงชีวิต   กวีนิพนธ์ของรูมียังเป็นจริยธรรมที่มิได้ถูกทำให้เป็นระบบระเบียบและอยู่บนพื้นฐานของความรัก  ไม่ใช่กฎหมาย    เขามิได้มองพระเจ้าเป็นบิดาบนสวรรค์ลิบโพ้น  แต่เป็นดูสต์ (doost)  หรือมิตรบนโลกนี้    รูมีร่ายบทกวีที่บังเกิดขึ้นมาเองโดยไม่ได้ปรุงแต่ง – บ่อยครั้งขณะร่ายรำหมุนวนหรือขณะฟังดนตรี    และเขาปฏิบัติตามสิ่งที่ตนเทศนาในกวีนิพนธ์    มีเรื่องราวบันทึกไว้มากมายถึงความอ่อนน้อมและความเมตตาของเขาที่มีต่อผู้คน  ไม่ว่าเป็นใครก็ตาม

              เมื่อรูมีถึงแก่กรรมวันอาทิตย์ที่  ๑๗  ธันวาคม  ๑๒๗๓  ยามอาทิตย์อัสดงในเมืองโคเนีย  ชาวเมือง  ไม่ว่ามุสลิม  ยิวและคริสเตียน  คนจน  คนรวย  ผู้คงแก่เรียน  ผู้ไม่รู้หนังสือ  ล้วนมาร่วมงานศพเขาและคร่ำครวญอาลัย    อะห์มัด  อัฟลากี  (Ahmad Aflaki, ? - ๑๓๕๙)  ผู้เป็นสาวก  จดไว้ว่าผู้คลั่งศาสนาบางคนคัดค้านผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม   แต่ชาวยิวและคริสเตียนบอกเขาว่าเพื่อนมุสลิมเข้าถึงพระศาสดามุฮัมมัดผ่านรูมีฉันใด  พวกเขาก็เข้าถึงโมเสสและพระเยซูผ่านรูมีฉันนั้น    ฉะนั้น  บางทีกวีนิพนธ์ของรูมีอาจนับเป็นวิสัยทัศน์แห่งการรู้แจ้งและเป็นเสียงแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกันสำหรับโลกที่แบ่งแยกและศตวรรษแห่งความรุนแรงนี้
 

                             ข้าเป็นดวงเดือนทุกแห่งหนและมิเป็นของที่ใด
                             อย่าแสวงหาข้าจากภายนอก  ข้าสถิตอยู่ในชีวิตของเจ้าเอง
                             ใครใครเรียกเจ้าออกไปหาตัวเขา  ข้าเชิญเจ้าเข้ามาหาตัวเอง
                             กวีนิพนธ์เป็นดุจเรือและความหมายของมันเป็นดั่งทะเล
                             รีบมาลงเรือเถิด  ปล่อยให้ข้าแล่นเรือลำนี้!


(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/252/28252/images/S-10/rm-b-1.jpg)

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/252/28252/images/S-10/rm-b-2.jpg)

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/252/28252/images/S-10/rmb-4.jpg)

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/252/28252/images/S-10/rm-b-6.jpg)

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/252/28252/images/S-10/rm-b-7.jpg)

หมายเหตุ:  บทความนี้ใช้  “Master Rumi: The Path to Poetry, Love and Enlightenment”  โดย Rasoul  Sorkhabi  เป็นหลักในการเรียบเรียง    รอซูล  ซอร์คาบีเกิดที่เมืองตับริซทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิหร่าน  และใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในต่างประเทศ – อินเดีย  ญี่ปุ่น  และสหรัฐฯ   ไม่ว่าอยู่ที่ใดก็ตาม  เขาพกพากวีนิพนธ์ของรูมีไปด้วยเสมอ    เขากำลังแปลThe Rubaiyat of Rumi  จากต้นฉบับดั้งเดิมเป็นภาษาอังกฤษ  และเป็นผู้ประสานงานสโมสรกวีนิพนธ์รูมี
 

อ้างอิง
๑  Rehatsek, Edward. “Biography of Jellal-al-din Rumi”, The Indian Antiquary, vol. IV, 1875.  [www.sacred-texts.com]
๒  Sorkhabi, Rasoul. “Master Rumi: The Path to Poetry, Love and Enlightenment”, Kyoto Journal, 66, 2007.     
     [www.kyotojournal.org]
๓  เมาลานา  ญะลาลุดดีน  มุฮัมมัด  รูมี.  มัษนาวี,  ไรน่าน  อรุณรังษี  แปล,  ศูนย์วัฒนธรรมอิสลาม
      สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน  ร่วมกับ  สมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย, ๒๕๔๕.
 

ที่มา: สานแสงอรุณ  ปีที่ ๑๒ ฉบับที่ ๔  กรกฎาคม-สิงหาคม ๒๕๕๑
*นำไปเผยแพร่ต่อ  กรุณาอ้างอิงที่มา*

จาก http://www.oknation.net/blog/sarnsaeng-arun/2008/09/19/entry-2 (http://www.oknation.net/blog/sarnsaeng-arun/2008/09/19/entry-2)
 
หัวข้อ: Re: รูมี ทางสู่กวีนิพนธ์ ความรัก และ การรู้แจ้ง
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊กซ ที่ สิงหาคม 01, 2016, 12:39:06 pm
(https://pp.vk.me/c625218/v625218592/3b102/6fvJ9IBNzP8.jpg)

ญะลาลุดดีน มุฮัมมัด รูมี นักปราชญ์ผู้สามารถถ่ายทอดความรู้และความศรัทธา...ผ่านบทกวี

ญะลาลุดดีน มุฮัมมัด รูมี เกิดที่เมืองบัลค์ หรืออัฟกานิสถานปัจจุบัน เมื่อปีค.ศ.1207 บิดาของเขาคือ บะฮาอุดดีน บะลัด เป็นนักกฎหมาย ผู้นักรหัสนัย(ซูฟี)ทางศาสนาอิสลาม และยังเป็นนักกวีผู้มีชื่อเสียง งานประพันธ์ของเขาเกี่ยวข้องกับจิตวิญญาน และเนื้อหาต่างๆในเชิงปรัชญาเกี่ยวกับการค้นหาเรื่องราวเร้นลับในการดำรงอยู่ของพระเจ้ามากกว่า เรื่องราวต่าง ๆ ทางโลก ท่านได้รับการยกย่องไปทั่วโลกในเรื่องการพรรณนาโดยใช้โวหารเปรียบเทียบ อุปมาอุปไมย เนื้อหาส่วนใหญ่ ผลงานประพันธ์ที่มีชื่อเสียงของท่านคือ "มัษนาวี"

ชีวิตในวัยเด็กของรูมีอยู่ในช่วงความสับสนวุ่นวายทางการเมืองและสังคม ซึ่งเป็นยุคของการทำสงครามครูเสด(สงครามศาสนา) และบริเวณที่รูมีอาศัยอยู่ก็ตกอยู่ในการคุกคามอย่างต่อเนื่องจากการบุกรุกของชาวมองโกล การกลียุคอย่างยิ่งยวดที่รูมีต้องเผชิญในระหว่างชีวิตของท่านนั้น กล่าวกันว่ามีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการเขียนบทกวีของเขา รูมีและครอบครัวของเขาเดินทางไปทั่วดินแดนมุสลิม บิดาของเขาละทิ้งบัลค์ซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของเขาไปยังแบกแดด มักกะฮฺ ดามัสกัส และมาลาเทีย ทางตะวันตกของตุรกี ต่อมา ในที่สุด บิดาของเขาได้ย้ายไปยังคอนยา ตะวันตกเฉียงเหนือของตุรกี ตามคำเชิญของสุลต่านเซลจุก

ที่คอนยานี้เอง ที่บิดาของรูมีได้กลายเป็นครูใหญ่ของสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง และเมื่อเขาเสียชีวิตลง รูมีจึงได้สืบทอดตำแหน่งต่อมา ในตอนนั้นรูมีเป็นนักธรรมเทศนาในมัสญิดต่างๆ ของคอนยา และสอนผู้ติดตามของเขาที่มัดรอซะฮฺ(โรงเรียนสอนศาสนา) ระหว่างช่วงนี้เอง รูมีได้เดินทางไปยังดามัสกัส และใช้เวลาอยู่ที่นั่นสี่ปี การที่เขาได้พบกับชัมส์ ฏ๊อบรีซีย์ นักรหัสนัยในศาสนาอิสลามที่ดามัสกัสนี้เองที่ได้เปลี่ยนชีวิตของรูมีไปโดยสิ้นเชิง ทั้งการพบกันของทั้งสองคนนี้เป็นเรื่องราวที่ลึกลับ คืนหนึ่งในขณะที่พวกเขากำลังคุยกันนั้น มีเสียงเรียกชัมส์มาจากประตูด้านหลัง เมื่อเขาออกไป ก็ไม่มีใครพบเห็นเขาอีกเลย รูมีได้ออกตามหาเขาไปทั่วดามัสกัส แต่ก็ไม่พบ

หลังจากการได้พบกับชัมส์นั้น รูมีสามารถประพันธ์บทกวีได้อย่างเป็นธรรมชาติเป็นเวลาสิบปี และบทกวีของเขาถูกตั้งชื่อว่าชัมส์ เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่เขา เขาอาศัยอยู่ในคอนยาตลอดชีวิตที่เหลือของเขาโดยยังคงสอนและประพันธ์บทกวี จนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1273 กษัตริย์เซลจุกได้สร้างสถานที่ฝังศพเพื่อเป็นเกียรติให้แก่เขา และมันตั้งอยู่ใกล้กับมัสญิดหลังหนึ่งที่สร้างโดยเจ้าชายออตโตมานผู้มีความชื่นชมยกย่องรูมีอย่างแรงกล้า

(http://www.ahlulbait.org/images/scholars/rumie.jpg)

ญะลาลุดดีน รูมี คือนักกวีในแนวเร้นลับที่น่ายกย่องที่สุดในโลกท่านหนึ่ง เขายังเป็นนักปรัชญา นักกฎหมาย และนักรหัสนัย  ตลอดชีวิตของเขาได้ประพันธ์บทกวีเพื่อการอุทิศตนและกระตุ้นจิตวิญญาณอย่างมากมาย เป็นการกล่าวถึงการหลอมรวมกันของมนุษย์กับพระผู้เป็นเจ้าด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ  จินตกวีนิพนธ์เหล่านี้ได้รับการฟื้นฟูกลับมาอีกครั้งเมื่อเร็วๆ นี้ เมื่อรูมีได้รับการยกย่องว่าเป็นนักกวีที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งของตะวันตก ถึงแม้รูมีจะเป็นซูฟี และเป็นผู้รู้อัล-กุรอานที่ยิ่งใหญ่ แต่คำสอนในบทกวีของเขาข้ามพ้นมิติของศาสนาและสังคม

บทกวีของรูมีสามารถแบ่งออกได้เป็นหมวดหมู่ต่างๆ ดังนี้คือ กะซาล หรือโคลง, รุบบัยยาต หรือบทร้อยกรองสี่บรรทัด และมัษนาวี หรือโคลงบทละสองบรรทัด หนังสือเล่มแรกของเขาคือ ดิวาน ชัมส์ ฏ๊อบรีซี ประกอบไปด้วยบทกวีของรูมีในรูปแบบต่างๆ ของบทกวีอิสลามตะวันออก หนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมบทกะซาลและโคลงกลอนสั้นๆ 40,000 บท เป็นผลงานชิ้นเอกทางปัญญาและวรรณศิลป์ ได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงานชิ้นยอดเยี่ยมที่สุดของวรรณคดีเปอร์เซีย

ผลงานชิ้นใหญ่ของรูมีคือ มัษนาวี หนังสือบทกวีหกภาค ประกอบไปด้วย บทกลอน 50,000 บท เป็นผลงานที่นับได้ว่าเป็นผลงานชิ้นเอกทางจิตวิญญาณที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่มนุษย์เขียนขึ้นมา เนื้อหาของมันครอบคลุมชีวิตบนโลกนี้ในทุกรูปแบบ ทุกกิจกรรมของมนุษย์ ทั้งด้านศาสนา วัฒนธรรม การเมือง ลักษณะของมนุษย์ทุกประเภท ทำให้คนธรรมดาสามัญเป็นผู้สะอาดบริสุทธิ์ มีรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงของโลก ประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์ ความสมบูรณ์แบบของหนังสือเล่มนี้เป็นเสน่ห์ดึงดูดใจผู้อ่านอย่างมาก

ตัวอย่างผลงานการประพันธ์ของญะลาลุดดีน รูมี จากหนังสือมัษ ถอดความโดย  อ.ไรน่าน อรุณรังษี (ขอพระผู้เป็นเจ้าทรงเมตตาดวงวิญญานของท่านทั้งสอง)

"เมื่อกระจกแห่งหัวใจใสสะอาด

และปราศจากสิ่งแปดเปื้อน

ภายในนั้นท่านจะได้เห็นภาพหลากหลาย

ที่โพ้นแผ่นดิน โพ้นแผ่นน้ำ

ท่านเห็นทั้งสอง

ทั้งผู้วาดและภาพวาดต่างๆ

ทั้งพรมสวรรค์และผู้คลี่พรมนั้น"

--------

"ความรักคือผู้พิชิต

และฉันได้ถูกพิชิตแล้ว

ฉันถูกทำให้รู้แจ้งโดยผ่านแสงแห่งความรัก

คนรักทั้งหลาย

ตกอยู่ในทะเลเดือดแห่งความรัก

ฉะนั้น..ณ ที่ความกรุณาปราณีของความรัก

เขาทั้งหลายเหมือนโม่หินบด

หมุนไปทั้งวันและคืน

เคลื่อนไป เคลื่อนไป ไม่หยุดหย่อน"

(http://www.ahlulbait.org/images/scholars/rumiread.jpg)

จาก http://www.ahlulbait.org/main/content.php?category=45&id=328 (http://www.ahlulbait.org/main/content.php?category=45&id=328)

http://www.sookjai.com/index.php?topic=177873 (http://www.sookjai.com/index.php?topic=177873)
หัวข้อ: Re: รูมี ทางสู่กวีนิพนธ์ ความรัก และ การรู้แจ้ง
เริ่มหัวข้อโดย: lek ที่ มีนาคม 13, 2017, 05:25:28 am
รักบริสุทธิ์พาใจใสสว่าง
รักหลงหลอกพาใจไหลหลง
ปัญญาพารักเพื่อปล่อยปลง
ยังโง่คงหลงรักเมามัว...