ใต้ร่มธรรม
ริมระเบียงรับลมโชย => รับสายลมเย็นหน้าระเบียง => คุยสบาย นานาสาระ => ข้อความที่เริ่มโดย: แปดคิว ที่ สิงหาคม 16, 2010, 07:46:51 pm
-
เลวมาก! เป็นแฟนภาษาอะไรไม่ยอมเอาใจกันบ้าง ไม่รู้จักเห็นหัวอกตูมั่งเลย
เลวมาก! ยื่นหน้ารถออกมาเกือบกลางถนน ตูวิ่งมาเร็วๆต้องเบรกตัวโก่งเกือบชนแน่ะ
เลวมาก! ปล่อยให้รอเป็นนานสองนาน ทำงี้กับตูได้ไงวะ?
ฯลฯ
เคยรู้สึกไหมครับว่าสบายใจที่ได้ด่าคนอื่น? เพราะชั่วขณะที่ขยับปากด่าคนอื่นอยู่ อย่างน้อยก็แปลว่าตัวเองไม่ได้เป็นเช่นนั้นเหมือนอย่างเขา
แต่รอให้ลับหลังคนที่เราด่าก่อนเถอะ จะเผลอเป็นซะเองขึ้นมาเมื่อไหร่ค่อยอนุโลมว่าไม่เป็นไรกันอีกที!
อาศัยเพียงตาเปล่าๆสองข้าง เราอาจมองเห็นความผิดของคนอื่นโดยง่าย ไม่ต้องออกแรงอะไร แต่ต้องอาศัยใจ และเป็นใจที่มีกำลังมากยิ่ง เราจึงสามารถมองเห็นความผิด ตลอดจนความหลงตัวของตนเองได้ไหว
ตอนเราทำดี ตอนเรากำลังเป็นคนดี ก็ไม่ต้องใช้กำลังใจในการมองตัวเองมากนัก เพราะเราพร้อมจะสรรเสริญตัวเองกันอยู่ก่อนแล้ว แต่ตอนร้าย หรือถึงขั้นกำลังอยู่ในช่วงเป็นคนชั่วร้าย จะยากเหลือฝืนกับการขออนุญาตกิเลส เพื่อยอมรับว่าเราผิด เราเผลอพลาด เราทำเรื่องไม่ดีงาม
ถ้าหมั่นมองเข้ามาที่ใจอยู่เรื่อยๆจนเคยชิน จะพบว่าทุกครั้งที่ด่าคนอื่นอย่างมีอารมณ์ คล้ายเกิดหน้ากากครอบหน้า ดันลูกตาของเราให้โปนออกเพื่อมองข้างนอกท่าเดียว และเป็นมุมแคบๆที่พร้อมจะเห็นแต่ความผิดของคนอื่น ยิ่งด่ามากขึ้นเพียงใด ความดีของคนถูกด่าก็ยิ่งลดน้อยถอยลงเพียงนั้น กระทั่งไม่เหลือหรอเลยสักนิด
และถ้าถึงขั้นด่าแบบไม่มีเหตุผล หรือรู้อยู่ว่าเป็นเสียงด่าจากความเกลียดในก้นบึ้งจิตใจของตนเอง รัศมีจิตของเราจะหดลงมาถึงจุดแคบสุด หากทำความรู้สึกไปที่ใบหน้าจะเหมือนมืดสนิท หาความสว่างใดๆไม่ได้แม้น้อยเท่าน้อย ความรู้สึกมืดนั่นแหละเครื่องฟ้องว่ารัศมีมนุษยธรรมดับหายไปชั่วขณะ
ความมืดกับความเกลียดเป็นเกลอกัน เมื่อใดใบหน้าคุณสวมหน้ากากแห่งความเกลียดเต็มใบ เมื่อนั้นคุณจะมองไม่เห็นอะไรนอกจากความดำมืดของคนอื่น
ความเกลียดนำความมืดมาห่อหุ้มคลุมโลกของคุณ ในโลกแบบนั้นความรักและความเมตตาจะหายหนเสมือนไม่เคยมีอยู่ และไม่ง่ายที่จะทำให้มีขึ้น หากตายลงในขณะที่โลกนี้ยังดูมืดด้วยรังสีความเกลียด คุณคงไม่เชื่อเรื่องโลกหน้าที่เต็มไปด้วยแสงสว่างแห่งความเมตตาและความมีเหตุผลเป็นแน่
ทางเป็นไปได้จริงที่จะเปิดช่องให้แสงสว่างสาดเข้ามาขับไล่ความมืด ก็คือต้องปลุกสติและความสำนึกผิดให้ฟื้นคืน และอุบายวิธีง่ายๆประการหนึ่ง ที่จะไขแสงแห่งสติขึ้นมากลางใจ ก็คือไม่พูดและหยุดแค่คำว่า ‘เลวมาก!’ แต่ต้องต่อท้ายตามหลังมาอีกนิดคือ ‘ทำเหมือนตูเลย!’ ซึ่งมีแนวโน้มให้เชื่อครับว่าวลีหลังจะเป็นความจริงได้เกินครึ่ง
รวมแล้วคือท่องไว้ให้คล่อง เน้นกันหนักๆว่า ‘เลวมาก! ทำเหมือนตูเลย!’
แม้จะคิดหรือพูดแบบแกล้งๆ แต่อย่างน้อยจะเหมือนมีแสงหิ่งห้อยน้อยๆสว่างวาบขึ้นมากลางใจ แสงหิ่งห้อยเปรียบเหมือนความริบหรี่แห่งสติ ความริบหรี่แห่งสตินั้นแหละคือการลดความเกลียดลงได้นิดหนึ่ง
เมื่อความเกลียดลดลงได้นิดหนึ่ง จะทำให้คุณเห็นตามจริงได้นิดหนึ่ง เมื่อความเกลียดลดลงมากขึ้น จะทำให้คุณเห็นตามจริงได้มากขึ้น และในที่สุดเมื่อความเกลียดหายไป ความจริงทั้งหมดจะปรากฏอย่างสดใสเท่าความผ่องใสของจิตอันปราศจากความเกลียดของคุณ
ด้วยจิตที่ว่างจากความเกลียด คุณจะเห็นด้านสว่างและด้านมืดของโลกโดยปราศจากอคติ เวลาจะดูว่าคนๆหนึ่งเป็นอย่างไร คุณจะดูครบทั้งตอนที่เขาดวงขึ้นและดวงตก
เวลาดวงขึ้นสุด คนๆหนึ่งอาจมีทุกสิ่ง แล้วคุณก็ได้เห็นว่าขณะพรักพร้อมที่จะให้ เขามีแก่ใจให้อะไรใครบ้าง
ส่วนเวลาดวงตกสุด คนๆหนึ่งอาจจนตรอกหลังพิงฝา แล้วคุณก็ได้เห็นว่าขณะเข้าตาจน เขาเลือกเอาตัวรอดด้วยวิธีสะอาดหรือสกปรก
และอะไรจะเกิดขึ้นหาก ‘เขาคนนั้น’ คือ ‘คุณนั่นแหละ’?
หลังจากมีชีวิตมานานพอ โลกนี้เหมือนจะบอกเราอย่างหนึ่ง คือถ้าสังคมสันนิษฐานว่าใครเลว โอกาสที่ข้อสันนิษฐานของสังคมจะถูกต้องนั้น มีมากกว่าข้อสันนิษฐานว่าคนๆนั้นดี
สิ่งที่คุณอาจไม่ทันตระหนักก็คือยิ่งคุณได้พบว่าโลกนี้มีคนเลวมากขึ้นเท่าไหร่ จิตของคุณจะยิ่งโกรธโลก แค้นโลก ไม่พึงพอใจโลก และถูกโลกดึงให้ตกต่ำมากขึ้นเท่านั้น
คนเรามักรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยมีแก่ใจจะมองโลกในแง่ดี ก็เพราะโลกไม่ค่อยมีแง่ดีให้มอง หรือบทจะมีแง่ดีขึ้นมาบ้างก็คล้ายพยับแดดที่เป็นเพียงเงาลวงตา ส่องชิดๆไม่มีความจริงดังที่เห็นอยู่เลย
คนส่วนใหญ่มุ่งจะหาแรงบันดาลใจดีๆจากภายนอก ฉะนั้นข้ออ้างที่มักได้ยินเสมอคือเมื่อโลกไม่ดี ก็ไม่รู้จะดีอยู่คนเดียวไปทำไม…
ความจริงก็คือ ถ้าดีแล้วมีความสุข คุณก็น่าจะลองเป็นคนดีคนสุดท้ายของโลกนี้ดู
การขาดแรงบันดาลใจดีๆแม้จากความคิดอันเป็นสมบัติภายในตนเองนั้น นอกจากทำให้คุณเกลียดโลกแล้ว เผลอๆจะเกลียดตัวเองในระดับรุนแรงเกินคาดอีกด้วย ค่าที่ส่วนลึกอยากดี แต่โลกนี้เหมือนไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะบันดาลให้คุณอยากดีเอาเลย
และเมื่อลงเอยด้วยการปลูกความเกลียดตัวเองไว้แล้ว เรื่องก็จะมาบรรจบกับจุดเริ่มต้นใหม่ คือเพื่อปกปิดความรังเกียจตัวเอง คุณต้องหาแพะ หาใครสักคนที่ ‘น่ารังเกียจ’ มาด่าสาด เพื่อบอกตัวเองว่าเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราไม่ได้น่ารังเกียจอย่างนั้น
ความสามารถในการเห็นตัวเองตามจริงว่าไม่ได้ดีกว่าคนอื่น จะเป็นจุดเริ่มต้นอย่างแท้จริงที่ทำให้คุณแตกต่างจากคนอื่น คือรู้ตัวว่ามีอะไรที่ยังผิดอยู่ แล้วความรู้ตัวนั้นจะถางทางสู่การเปลี่ยนผิดให้เป็นถูกได้ในภายหลัง
เมื่อสามารถเปลี่ยนผิดในตนเองให้เป็นถูกได้ข้อหนึ่ง เท่ากับคุณต่างจากคนอื่นได้จริงๆหนึ่งข้อ ที่จุดนั้นคุณจะนึกเห็นใจมากกว่านึกอยากด่าคนที่เขายังผิดอยู่ และแม้ถ้าจำเป็นหรือเห็นโอกาส คุณก็จะเริ่มชี้ทางสว่างให้แก่เขาด้วยน้ำใจปรารถนาดี ไม่ใช้ขวานในปากโจมตีด้วยอำนาจความคิดประทุษร้าย
ณ จุดที่น้ำใจเอ่อขึ้นมาแล้ว คุณจะยืนอยู่อีกฟากหนึ่งและมองเห็นผู้คนในโลกยึดมั่นถือมั่นอยู่กับความรักและความเกลียดสุดโต่ง ความรักและความเกลียดคือตัวการสร้างโลกหลอกขึ้นมาซ้อนทับโลกแห่งความจริง บดบังจนโลกแห่งความจริงหายไปไหนก็ไม่รู้
รอยยิ้มและเสียงหัวเราะอาจไม่ใช่สัญลักษณ์ของความเมตตา แต่ความเมตตามักนำมาซึ่งเสียงหัวเราะและรอยยิ้มเป็นสุข หากปล่อยให้ความเกลียดครอบงำจิตใจคุณ คุณจะไม่มีทางยิ้มและหัวเราะอย่างเป็นสุขได้เลย
คนดีจริงจะรู้ตัว
ว่ายังเลวตรงไหน
และจะไม่ด่าคนอื่น
เพียงเพื่อให้รู้สึกว่าตัวเองดีขึ้น
http://dungtrin.com/empty2/09.htm
-
ขอบคุณค่ะ
เรียกสติได้เยอะเชียวค่ะ
:13:
-
เป็นจริงเช่นนั้น .. ขอบคุณครับพี่แทน :38: :13:
-
:06: ผมเคยโกรธคนอื่นไม่กี่ครั้งครับ แต่ไม่เคยกล่าววาจาผรุสวาทเลยสักครั้ง
ปกติจะใจเย็นแบบมากมาย แต่มีหลุดในบ้างครั้งบ้างครับ ส่วนมากจะหลุดในใจเราเองมากกว่า ไม่ค่อยแสดงให้คนอื่นเห็นมาก
ถ้าแสดงนี่ คงมีบ้างที่ดุเด็กที่ดื้อๆ แบบเห็นแล้วรับไม่ได้ ต้องสั่งสอน..เสียงผมนี่เวลาโกรธนี่ดังเหมือนฟ้าผ่า เลยล่ะครับ
แหม๋นะ เราเป็นคนธรรมดา ถ้านิ่งไปเสียทั้งหมด ก็คงเข้าถึงหลักธรรม บรรลุธรรม ซะแล้วล่ะครับ
คงต้องฝึกฝน คงต้องฝนฝน แบบมากมาย
:13:อนุโมทนาครับพี่แทน
-
แฮะ แฮะ ยอมรับว่ามีมั่งอะค่ะ เวลาทำงานที่เผลอที่หลุดแสดงอารมณ์ไป
ก็ต้องเตือนตัวเองไว้เหมือนกัน ขอบคุณนะค่ะคุณแทน ที่มาช่วยเตือน :45:
-
555+ ขำตั้งแต่ชื่อกระทู้ " เลวมาก! ทำเหมือนตูเลย! "
เนื้อในกระทู้ก็โดนใจน่าดู :19: ขอบคุณนะคะลุงแทน :13: