ใต้ร่มธรรม
แสงธรรมนำใจ => ธรรมมาตา มารดาแห่งโลก (ธรรมะ for WOMEN) => ข้อความที่เริ่มโดย: มดเอ๊กซ ที่ สิงหาคม 23, 2016, 06:23:58 pm
-
(http://www.secret-thai.com/wp-content/uploads/2016/07/001-790x500.jpg)
ชีวิต ณ จุดศูนย์สุข… สุรางคณา สุนทรพนาเวศ (1)
ในทางโลก การได้ไปยืนอยู่ในจุดสูงสุด…รวยที่สุด เก่งที่สุด สวยที่สุด หล่อที่สุด อาจเป็นสิ่งที่หลายคนปรารถนา
แต่สำหรับบางคน การเกิดมาในโลกนี้ก็เพื่อเรียนรู้ที่จะละทิ้งจากการยึดมั่นถือมั่น ข้าวของเงินทองก็เป็นของชั่วคราว ความสวยงามก็ไม่ใช่สิ่งจีรังยั่งยืน พ่อแม่พี่น้องเพื่อนสนิทมิตรสหายก็ล้วนเป็นสิ่งสมมุติ ยิ่งทำให้ตัวตนเข้าใกล้คำว่า “ศูนย์” มากเท่าไหร่ ดูเหมือน “ความสุข” ในชีวิตจะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น นี่คือแนวคิดในการใช้ชีวิตของ คุณตา - สุรางคณา สุนทรพนาเวศ ผู้หญิงที่เคยได้ชื่อว่าสวยในลำดับต้น ๆ ของประเทศ โดยมีตำแหน่งอดีตรองนางสาวไทยและอดีตรองสาวแพรวการันตี เธอผ่านมาแล้วหลายบทบาท ทั้งนางแบบ นักแสดง พิธีกรไปร่ำเรียนมาแล้วหลายประเทศ มีดีกรีปริญญาโทจากประเทศญี่ปุ่น และปริญญาเอกจากประเทศอินเดีย
ภาพลักษณ์ภายนอกที่พูดจาฉะฉานหัวเราะเสียงดัง ร่าเริงสดใส อาจทำให้หลายคนคิดไม่ถึงว่า แท้ที่จริงแล้วเธอเป็นคนสนใจใฝ่ในธรรมมากว่า 20 ปีแล้ว ชีวิตที่เป็นศูนย์ในวันนี้ ทำให้เธอเป็นสุขได้อย่างไร เราไปฟังเรื่องราวของเธอด้วยกัน
เติบโตมากับยายที่จังหวัดสุรินทร์
ตอนเด็ก ๆ ตามีชีวิตที่สนุกสนานแก่น ซน ฉลาดแกมโกงมาก แล้วก็เคยพบกับเหตุการณ์ที่ทำให้เฉียดใกล้ความตายหลายครั้ง
พ่อของตาเป็นวิศวกรจากชลบุรีที่มาพบรักกับแม่ซึ่งเป็นคนสุรินทร์ แต่หลังจากแม่คลอดตาได้ไม่นานพ่อก็จากไปด้วยอุบัติเหตุ แม่จึงหอบลูกเข้ามาเรียนและหางานทำที่กรุงเทพฯ แม่เรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหงไปด้วยและทำงานเป็นพนักงานบัญชีในร้านคาเฟ่แถวประตูน้ำไปด้วย ชีวิตของแม่ตอนนั้นลำบากมาก วันหนึ่งเมื่อยายมาเยี่ยมที่กรุงเทพฯ จึงตัดสินใจขโมยตาที่อายุได้เพียง 3 ขวบไปเลี้ยงที่จังหวัดสุรินทร์
ยายเป็นคนจีนกวางตุ้งที่มีญาติพี่น้องมากมาย แต่ละคนก็ทำธุรกิจใหญ่โต แต่ครอบครัวของยายมีฐานะแค่พออยู่พอกิน จังหวัดสุรินทร์ได้ชื่อว่าเป็นเมืองช้าง ตาอาศัยอยู่ในตัวเมืองก็จริง แต่ก็ได้เห็นช้างเดินเล่นมาตั้งแต่เด็ก
ตาเป็นเด็กช่างพูดช่างคุยและกล้าแสดงออกเกินกว่าเด็กวัยเดียวกัน ถ้าอยากได้ตังค์ไปซื้อทอฟฟี่ก็จะเต้นให้ญาติ ๆ ดู
นอกจากนั้นยังชอบเล่นเหมือนเด็กผู้ชายชอบชวนเพื่อนจับกลุ่มกันปั่นจักรยานไปขโมยมะม่วงบ้านคนอื่น และเป็นเด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์ เวลาเล่นขายของก็จะตัดกระดาษทำเป็นเงินไว้เล่นกับเพื่อน ส่วนเงินเหรียญก็ทำจากฝาเบียร์ที่นำไปวางให้รถไฟทับจนเรียบแบน แถมยังเป็นเด็กฉลาดแกมโกง วันหนึ่งยายใช้ให้เดินไปซื้อโอเลี้ยง ตาก็เดินไปซื้อ แต่ขากลับแอบดูดจนเกือบหมด ยายถามว่าโอเลี้ยงไปไหนหมด ตาก็ตอบว่า “มันหนัก เลยเดินดูดมาระหว่างทางจ้ะ”
บางวันตาไปชวนเพื่อนเล่น แต่เพื่อนออกมาเล่นไม่ได้เพราะต้องช่วยที่บ้านทำขนมขาย ตาก็จะช่วยเพื่อนทำทั้งเม็ดขนุน ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ถือเป็นความโชคดีที่ทำให้เราเรียนรู้การทำงานมาตั้งแต่เด็ก แม้ว่าจะทำเพราะอยากเล่นซนก็ตาม
เกือบตายเพราะ…
ทุกครั้งที่มีเหตุเภทภัยหรือความเจ็บไข้ได้ป่วยเกิดขึ้นกับตา แม้แม่จะทำงานอยู่กรุงเทพฯ แต่ก็มักจะมีสัมผัสพิเศษบางอย่างที่ทำให้แม่รู้สึกร้อนรุ่มใจจนต้องมาเยี่ยมลูกที่สุรินทร์เสมอ
แม่เล่าให้ฟังว่า ตอนอายุได้สามขวบ ตาเกือบถูกรถชนตาย เรื่องของเรื่องก็เพราะความซนของตานั่นเอง คือที่ริมถนนหน้าบ้านของยายจะปูลาดด้วยหินกรวด พอฝนตกก็จะมีน้ำขังเฉอะแฉะ ตาก็จะเอาเชือกผูกกับกระป๋องนมทำเป็นเบ็ดตกปลา เหวี่ยงลงไปในน้ำแล้วพยายามครูดหินให้ติดเข้ามาในกระป๋อง จินตนาการว่ามีปลาติดเบ็ด
วันนั้นเล่น ๆ อยู่ดี ๆ กระป๋องนมเกิดไปติดแหง็กอยู่กับหินก้อนใหญ่ ตาก็เลยจะเดินไปแกะกระป๋องให้หลุด จังหวะนั้นเองรถสิบล้อที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูงก็ผ่านมาพอดี ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ร้องกรี๊ดด้วยความตกใจ แม่ที่กลับมาจากซื้อส้มตำได้ยินคนแถวบ้านร้องบอกว่า
“ไอ้ไก่! ลูกเอ็งโดนรถสิบล้อเหยียบ”เท่านั้นเองแม่ก็ทิ้งส้มตำที่อยู่ในมือ วิ่งไปดูลูกทันที
ภาพที่ทุกคนเห็นคือ ตานั่งนิ่ง ๆ ตัวสั่นเทาด้วยความตกใจ ส่วนคนขับก็หยุดรถแล้วเดินลงมาดู ในใจก็คิดว่าคงเหยียบเด็กตายคาที่แน่แล้ว แต่โชคดีที่ครั้งนั้นตาตัวเล็กเมื่อนั่งยอง ๆ ทำให้สามารถลอดท้องรถไปได้จึงรอดตายอย่างเหลือเชื่อ!
อีกครั้งหนึ่งเพื่อน ๆ ชวนกันไปเล่นน้ำที่สระน้ำข้างวัด แม้จะว่ายน้ำไม่เป็น แต่ตาก็ไปกับเขาด้วย และด้วยความซนเลยไปเล่นอยู่ริมตลิ่ง เล่นไปเล่นมาเท้าเกิดพลาดตกลงไปในน้ำแล้วจมลงไปทั้งตัว เพื่อนที่ไปด้วยนึกว่าตกน้ำตายไปแล้ว โชคดีมีขอนไม้ลอยมา ตาเลยคว้าไว้ทัน ตอนนั้นรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่จริง ๆ
นอกจากนั้นตาเคยเป็นไข้เลือดออกด้วย แต่ที่หนักหนามากคือครั้งที่ป่วยเป็นโรคไวรัสขึ้นสมอง ถ้ารักษาไม่ทันก็อาจตายได้ โชคดีที่ตอนนั้นมีคุณหมอจบใหม่จากจุฬาฯไปประจำที่จังหวัด คุณหมอก็เลยคอยดูแลอย่างใกล้ชิด นั่งเฝ้าทั้งคืน เพราะเท่าที่ทราบ โรคนี้ถ้าให้น้ำเกลือมากเกินไปก็อาจทำให้ปัญญาอ่อน แต่ถ้าให้น้อยเกินไปก็อาจตายได้ ตารอดมาครั้งนั้นถือว่าเป็นบุญมาก และยังรู้สึกขอบคุณคุณหมอมาถึงทุกวันนี้
ชีวิตของตามีหลายเรื่องมากที่เหลือเชื่อด้วยความที่บ้านอยู่ใกล้วัดบูรพาราม ทำให้มีโอกาสได้วิ่งเล่นในวัดช่วงที่ หลวงปู่ดูลย์อตุโล ศิษย์ของหลวงปู่มั่นยังมีชีวิตอยู่
ครั้งนั้นท่านยังเคยพูดกับตาที่เป็นแค่เพียงเด็กหญิงตัวน้อย ๆ แสนซนด้วยน้ำเสียงที่มีเมตตาว่า…
จาก http://www.secret-thai.com/article/inspiration-story/12396/surangkana1/ (http://www.secret-thai.com/article/inspiration-story/12396/surangkana1/)
(http://www.secret-thai.com/wp-content/uploads/2016/07/NEW-790x500.jpg)
ชีวิต ณ จุดศูนย์สุข… สุรางคณา สุนทรพนาเวศ (2)
ชีวิตของตาอยู่ใกล้วัดใกล้วามาตั้งแต่เด็กเพราะวิ่งเล่นอยู่ในวัดบูรพารามซึ่งอยู่ใกล้บ้าน ทำให้มีโอกาสได้เจอหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ศิษย์ของหลวงปู่มั่นที่ยังมีชีวิตอยู่ในสมัยนั้น
กว่าที่พวกเราจะเข้ามาเรียนที่ธรรมศาสตร์ได้นั้นเราต้องเหยียบย่ำคนมาตั้งเท่าไหร่…เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่าเราเรียนเพื่อตัวเอง แต่จงเรียนเพื่อคนอื่นๆ ที่ไม่มีโอกาส และนำความรู้ที่ได้ไปช่วยพวกเขา
ตาเป็นเด็กที่ซนมาก ชอบเที่ยวเล่นไม่เคยรับรู้ว่าตัวเองเป็นผู้หญิง ต้องสำรวมระวัง ไปวัดก็ไปวิ่งเล่นโป้งแปะกับเพื่อน จำได้ว่าที่วัดบูรพารามมีต้นหูกวางเยอะและมีกุฏิพระอยู่โดยรอบ
วันนั้นตาก็ไปวิ่งเล่นกับเพื่อนเหมือนทุกวัน ขณะที่วิ่งไล่กันอยู่นั้น ตาก็วิ่งหนีไปจับชายผ้าเหลืองของพระรูปหนึ่งที่กำลังกวาดลานวัดอยู่ โดยที่ไม่ทราบเลยว่าท่านคือหลวงปู่ดูลย์ พระภิกษุผู้มีปฏิปทาสูงเป็นที่เคารพนับถือของพระบรมวงศานุวงศ์และบุคคลทั่วไป แต่หลวงปู่ดูลย์มีเมตตาสูงมาก ท่านพูดกับเด็กหญิงตาในวันนั้นว่า“เป็นผู้หญิงจับจีวรพระไม่ได้นะ”
เมื่อโตขึ้น เล่าให้ใครฟังมีแต่คนบอกว่าเป็นบุญของตา และนั่นก็คงเป็นความจริง ตาคงเคยทำบุญมาบ้าง เพราะหลังจากนั้นต่อให้ชีวิตพลิกผันไปอย่างไร ตาก็ได้ประสบแต่สิ่งที่ดี มีคนคอยอุปถัมภ์ค้ำชูเสมอมา
บ้านนอกเข้ากรุง
ตอนเด็ก ๆ ตาอยู่กับยายที่จังหวัดสุรินทร์ พอเริ่มเข้าเรียน ป.3 แม่ก็รับมาอยู่ที่กรุงเทพฯด้วยกัน แต่อยู่กับแม่ได้ไม่นาน ผู้จัดการร้านคอฟฟี่ช็อปที่แม่ทำงานอยู่ก็ขอตาไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม เพราะสามีภรรยาคู่นี้ไม่มีลูก ด้วยความที่เป็นเด็กต่างจังหวัด เมื่อเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ตาก็กลายเป็นเด็กไม่มีความมั่นใจ ที่เคยกล้าพูด กล้าเล่นก็กลายเป็นเด็กขี้อาย ร้องไห้เก่ง และไม่กล้าพูด
จำได้ว่า สมัยเด็ก ๆ ตาเกลียดวิชาภาษาอังกฤษมาก เพราะเรียนไม่ทันเพื่อน ด้วยความที่เป็นเด็กบ้านนอก เขียนได้แค่เอบีซี แต่วันแรกที่เข้ามาเรียนกรุงเทพฯครูสั่งให้เขียนชื่อวันทั้งเจ็ดเป็นภาษาอังกฤษ ตาเขียนไม่ได้เลยถูกทำโทษ พอกลับบ้านไปเล่าให้แม่ฟัง แม่ก็เลยช่วยสอนภาษาอังกฤษให้ พอถึงชั้น ป.6 จากเด็กเรียบร้อยที่โดนเพื่อนผู้ชายแกล้งเป็นประจำ ตาก็ลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองด้วยการเลือกเรียนวิชาเนตรนารี และสมัครเป็นสารวัตรนักเรียน เป็นจราจรโรงเรียน คอยดูแลให้คนข้ามถนน ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองมากขึ้ นอกจากนั้นว่าง ๆ ยังไปเตะบอลกับเพื่อนผู้ชายด้วยเพราะไม่อยากให้เขามาแกล้งเราอีก
หลังจากจบ ป.6 ตาก็เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนสายน้ำผึ้ง เป็นโรงเรียนหญิงล้วนที่มีชื่อเสียง อยู่แถวสุขุมวิท 22 สมัยก่อนสุขุมวิทไม่เจริญเหมือนทุกวันนี้ สองข้างทางยังเป็นทุ่งนาเล้าหมู เวลาจะไปเรียนก็ต้องนั่งรถสองแถวจากปากซอยเข้าไป
ชีวิตวัยเรียนของตาค่อนข้างสนุกสนานตาเป็นคนเรียนระดับปานกลาง แต่ชอบทำกิจกรรม เป็นทั้งนักวิ่ง นักยิมนาสติกแต่พอขึ้น ม.4 ชีวิตก็ต้องพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง
ตามสูตรสู่ดวงดาว
วันหนึ่งตาไปเดินเล่นแถวสยามฯแล้วไปเจอโมเดลลิ่ง ตามสูตรของการเป็นดารายุคนั้นเป๊ะ หลังจากนั้นก็มีงานถ่ายแบบถ่ายโฆษณาตามมามากมาย งานแรกได้ถ่ายโฆษณาน้ำอัดลม ตามด้วยโฆษณาฟิล์มถ่ายรูป และด้วยความที่มือสวย ฟันสวย ตาก็ได้งานโฆษณาแบบที่ใช้มือของเราไปจับหน้าคนอื่น ได้ถ่ายโฆษณายาสีฟันที่เป็นภาพยิ้มเห็นฟันอยู่ข้างกล่อง
เมื่อเข้าวงการก็เริ่มมีเงินจ่ายค่าเทอมของตัวเอง งานแรกได้เงินถึง 20,000 บาท หลังจากนั้นเมื่ออายุ 18 ปีก็ได้รับเลือกให้เป็นอิมเมจเกิร์ลของผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่องจากประเทศฝรั่งเศสยี่ห้อหนึ่ง ทำหน้าที่เป็นพรีเซ็นเตอร์ เวลามีการแข่งรถต้องไปยืนถือร่มที่สนามแข่ง เซ็นสัญญาทำงานหนึ่งปี ได้รับเงินเดือนเดือนละ 20,000 บาท
นอกจากนั้นตอนอยู่ ม.6 บังเอิญมีพี่เลี้ยงนางงามชวนไปประกวดนางนพมาศที่สมุทรปราการ พอได้ตำแหน่งก็ไปประกวดนางสงกรานต์วิสุทธิกษัตริย์ ซึ่งเป็นงานประกวดนางสงกรานต์ที่ดังมาก แล้วไปจบด้วยการประกวดนางสาวไทย
ความจริงตามีแววด้านนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆเพราะตาชอบถือไม้กวาดอยู่หน้ากระจกแล้วพูดว่า “สุรางคณา คัมฟรอมไทยแลนด์”
ตอนอายุ 14 กลับไปเยี่ยมยายที่จังหวัดสุรินทร์ท่านก็ให้เป็นนางเทียน ใส่ชุดไทยนั่งบนรถแห่เทียนพรรษาของวัด เรียกว่าก่อนประกวดนางสาวไทยตาผ่านมาหลายเวทีมาก แม้กระทั่งสาวแพรวก็เคยประกวดมาแล้ว เป็นรุ่นเดียวกับ คุณหน่อย - บุษกร วงศ์พัวพันธ์ปีนั้นพี่หน่อยได้ตำแหน่ง ส่วนตาได้เป็นรองสาวแพรว
แม้ว่าจะทำกิจกรรมมากมาย แต่ตาก็ยังเป็นคนที่รักเรียน จบ ม.6 แล้วก็สอบเข้าเรียนต่อที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้สมความตั้งใจและชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยก็ให้อะไรตามากมายจนถึงทุกวันนี้
คำสอนของธรรมศาสตร์
สมัยก่อนการประกวดนางสาวไทยได้รับความสนใจมาก แต่แทบจะไม่มีนักศึกษามหาวิทยาลัยปิดเข้าประกวดเพราะต้องใส่ชุดว่ายน้ำ จึงเสี่ยงกับการถูกไล่ออก ตาน่าจะเป็นผู้เข้าประกวดที่มาจากมหาวิทยาลัยปิดยุคแรก ๆ ก็ว่าได้
ตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอม ตาไม่มีอะไรทำเลยลองเข้าประกวดดูเล่น ๆ แอบไปโดยไม่บอกเพื่อน ไม่บอกแฟน กะว่าถ้าตกรอบจะได้ไม่ต้องอายใคร แล้วสมัยก่อนคนเข้าประกวดนางงามต้องทำผมทรงฟาร์ราห์แต่ตากลับตัดผมสั้น โอกาสเข้ารอบน้อยมาก เรียกว่าเป็นม้ามืดเลยทีเดียว ยิ่งรอบที่ให้แสดงความสามารถพิเศษ ตาก็ไม่มีอะไรไปโชว์เลยสักอย่าง คนอื่นรำไทย เล่นเปียโน เต้นบัลเลต์ ตาทำได้อยู่อย่างเดียวคือ พูดเก่ง เลยขอเป็นพิธีกรคู่กับเพื่อนอีกคนในเวทีประกวดนางสาวไทย
ผลปรากฏว่า ปีนั้น คุณยลดา รองหานาม ได้เป็นนางสาวไทย และตาได้เป็นรองนางสาวไทยอันดับ 4 แบบที่ไม่มีใครคาดหมาย เพราะเป็นรองนางสาวไทยที่ตัดผมสั้น คุยเก่ง ไม่ได้มีบุคลิกเรียบร้อยอย่างรุ่นก่อน ๆ เลยแม้แต่น้อย
พอได้รับตำแหน่งก็กลายเป็นที่รู้จักของเพื่อนในมหาวิทยาลัย แต่ตาก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน ไม่ได้แบ่งรวยจน ทุกคนเป็นเพื่อนกันได้หมด ตาได้รับคำสอนดี ๆ จากธรรมศาสตร์ที่นำมาใช้ในทุกวันนี้หลาย ๆ เรื่องโดยเฉพาะการทำอะไรเพื่อคนอื่น
เทอมแรกของการเรียน รุ่นพี่พาตาและเพื่อน ๆ ไปทำกิจกรรม “รับเพื่อนใหม่”ที่หาดแม่รำพึง การรับน้องที่นี่ไม่โหด เราเน้นทำกิจกรรมที่สนุกสนานและผูกสัมพันธ์มากกว่า จำได้ว่า เย็นวันนั้นหลังจากที่พี่ ๆ แกล้งให้น้องทำนั่นทำนี่จนเหนื่อยแล้ว พวกเขาก็มานอนเรียงคว่ำหน้าอยู่บนชายหาดแล้วให้น้องเดินเหยียบหลังข้ามไป พี่ ๆถามพวกเราว่า รู้ไหม ทำไมถึงให้ทำอย่างนี้ส่วนใหญ่เราจะตอบว่า เพราะพี่ ๆ อยากบอกว่าธรรมศาสตร์สอนให้เราทุกคนมีความเท่าเทียมกัน แต่ความจริงแล้วไม่ใช่
พี่ที่เป็นหัวหน้าบอกกับพวกเราว่ากว่าที่พวกเราจะเข้ามาเรียนที่ธรรมศาสตร์ได้นั้น เราต้องเหยียบย่ำคนมาตั้งเท่าไหร่ หนึ่งต่อหนึ่งพันคน หนึ่งต่อหนึ่งหมื่นคน มีลูกตาสีตาสาลูกชาวไร่ชาวนาอีกมากมายที่เขาอยากมาเรียนที่นี่ แต่ไม่มีโอกาส แล้วเงินที่เราใช้เรียนก็มาจากภาษีของประชาชนเพราะฉะนั้นอย่าคิดว่าเราเรียนเพื่อตัวเองแต่จงเรียนเพื่อคนอื่น ๆ ที่ไม่มีโอกาส และนำความรู้ที่ได้ไปช่วยพวกเขา ตาประทับใจคำสอนของธรรมศาสตร์มาก และใช้เป็นหลักในการดำเนินชีวิตมาจนถึงปัจจุบัน
หลังจากประกวดนางสาวไทยแล้วตาก็เข้าสู่วงการบันเทิง เป็นพิธีกร เล่นละคร และที่ดังเป็นพลุแตกก็ตอนรับบทเป็นผู้หญิงขายตัวในละครเรื่อง คุณหญิงนอกทำเนียบ ที่มี นุสบา ปุณณกันต์เป็นนางเอก คุณแดง - สุรางค์ เปรมปรีดิ์จับพลิกบทบาทแบบสุดขั้ว จากนางงามมาเป็นนางร้ายปากจัดจนคนอินกันทั่วบ้านทั่วเมือง
แต่ดังเป็นพลุแตกได้ไม่นาน ตาก็ทิ้งชื่อเสียงเงินทองในฐานะดาราไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น ทำไมจึงเป็นประเทศนี้ เดี๋ยวตาจะเล่าให้ฟัง…
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
จาก http://www.secret-thai.com/article/inspiration-story/12399/surangkana2/ (http://www.secret-thai.com/article/inspiration-story/12399/surangkana2/)
-
(http://www.secret-thai.com/wp-content/uploads/2016/07/U39C0191_OK-790x500-1-790x500.jpg)
ชีวิต ณ จุดศูนย์สุข… สุรางคณา สุนทรพนาเวศ (3)
หลังเรียนจบปริญญาตรีจากธรรมศาสตร์ ตา (สุรางคณา สุนทรพนาเวศ) มีชื่อเสียงโด่งดังแบบสุดๆ มีงานเยอะไม่เว้นแต่ละวัน แต่ก็ตัดสินใจทิ้งทุกอย่างเพื่อไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศญี่ปุ่น
ตาเป็นคนที่คิดอะไร ทำอะไรไม่เหมือนคนอื่น ตอนนั้นภาษาอังกฤษยังไม่ค่อยดีมาก เลยคิดว่าน่าจะไปเรียนภาษาญี่ปุ่น เพราะคิดว่าชาวต่างชาติคนอื่นที่มาเรียนที่นี่ก็ต้องเริ่มจากศูนย์เหมือนกัน เราจะได้สู้คนอื่นได้ ก่อนไปหลายคนอาจไม่ทราบว่าตาเกือบจะได้เป็นนักร้อง เพราะไปซุ่มร้องเพลงอยู่ในค่ายมูเซอของ พี่จิก -ประภาส ชลศรานนท์ แต่สอบติดที่ญี่ปุ่นก่อนเดินสายทัวร์คอนเสิร์ต เลยตัดสินใจทิ้งงานแสดงและนักร้องไปเป็นนักศึกษาอีกครั้ง
ตอนนั้นพี่จิกเพิ่งเปิดบริษัทเวิร์คพอยท์กับ พี่ตา - ปัญญา นิรันดร์กุล ตามีโอกาสได้ไปช่วยร้องเพลงช่วงคำถามในรายการว่า“ยังจำได้ไหม จำได้หรือเปล่า…ยังจำได้ไหมจำได้หรือเปล่า” ช่วงแรก ๆ เป็นเสียงร้องของตา ก่อนที่จะมีผู้หญิงสองคนออกมาร้องและเต้นอย่างปัจจุบัน
เมื่อสอบเข้าเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่นได้ตาก็ตัดสินใจว่า ในเมื่อสอบได้แล้ว เราก็ต้องคว้าเอาไว้
ชีวิตนักศึกษาในญี่ปุ่น
ปีแรกของการไปเรียนด้านเศรษฐศาสตร์ที่ มหาวิทยาลัยโตเกียวอินเตอร์เนชั่นแนล(Tokyo International University) ตาต้องจ่ายค่าเทอมเอง แต่พอเข้าปีที่สองตาก็สอบชิงทุนของรัฐบาลญี่ปุ่นได้ แถมยังสอบได้ถึงสองทุน คือ ทุนโรตารีและทุนมอนบูโช(Monbusho) แต่ตาเลือกทุนมอนบูโชเพราะให้ทุนการศึกษามากกว่า ด้วยความที่เป็นคนคุยเก่งและตั้งใจเรียน ทำให้ตาเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นได้เร็ว สามารถข้ามชั้นของการเรียนภาษาไปในระดับที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ
ครึ่งปีแรกของการเรียน ตาสามารถพูดภาษาญี่ปุ่นที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้ ครึ่งปีหลังตาต้องนั่งท่องคำศัพท์ทางด้านเศรษฐศาสตร์ที่ต้องใช้ในการเรียนเป็นภาษาญี่ปุ่นและเขียนวิทยานิพนธ์
3 ปีในญี่ปุ่นให้ประสบการณ์ชีวิตที่ดีมาก สอนให้ตารู้จักมีระเบียบวินัยและรู้คุณค่าของเวลา ที่ญี่ปุ่นมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากับที่อื่น ๆ ในโลกก็จริงแต่คนที่นี่ใช้เวลาอย่างคุ้มค่ามาก เมื่อก่อนตาเป็นคนเรื่อย ๆ กินข้าวช้า เดินช้า พอไปใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นก็ต้องปรับให้เร็วขึ้น นอกจากนั้นสังเกตว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน จะเห็นคนญี่ปุ่นมีหนังสือติดมือตลอดเวลาแม้แต่ตอนที่รถไฟแน่น ๆ มือหนึ่งโหนรถอีกมือก็อ่านหนังสือได้หน้าตาเฉย
ที่สำคัญ คนที่นี่ยังรักษาประเพณีที่ดีงามไปพร้อม ๆ กับการเจริญเติบโตของเทคโนโลยี สาว ๆ สามารถใส่ชุดกิโมโนปั่นจักรยานไปไหนมาไหนได้เป็นเรื่องปกติ ตาเห็นแล้วก็ชื่นชม และที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ ความละเอียดอ่อนและใส่ใจกับสิ่งต่าง ๆทั้งอาหารการกิน ข้าวของเครื่องใช้
ช่วงแรกของการเรียนที่นี่ผ่านไปด้วยดีจนกระทั่งถึงช่วงทำวิทยานิพนธ์ นอกจากจะยากเพราะต้องใช้ภาษาญี่ปุ่น ตายังทะเลาะกับโปรเฟสเซอร์ ทำให้รู้สึกท้อแท้ใจจนไม่อยากเรียนต่อให้จบ แต่โชคดีที่โทร.คุยระบายกับเพื่อนที่เคยเรียนธรรมศาสตร์มาด้วยกัน เขาพูดกับตาว่า
“จำได้ไหมว่าเราเรียนเพื่ออะไร เราเรียนเพื่อคนอื่นอีกมากมายที่ไม่มีโอกาส คนไทยสักกี่คนที่จะได้มาเรียนที่ประเทศญี่ปุ่น อย่าคิดถึงแต่ตัวเอง ให้คิดถึงคนอื่นด้วย”
ตาได้ฟังเพื่อนพูดแล้วก็ฮึดสู้จนเรียนจบในที่สุด เป็นการเรียนที่ต้องใช้ใจต่อสู้เป็นอย่างมาก แต่เมื่อกลับมาประเทศไทยกลับมีคนนินทาว่าตาไปขายตัวที่ประเทศญี่ปุ่นและไม่ได้ไปเรียนอย่างที่บอกใคร ๆ เพราะสมัยนั้นผู้หญิงไทยที่ไปญี่ปุ่นเป็นแบบนั้นเยอะมาก แต่เมื่อหลายคนได้เห็นใบปริญญาบัตรของตา ก็ไม่มีอะไรให้ต้องสงสัยอีกต่อไป
หลังจากเรียนจบใหม่ ๆ ตาก็ลองสอบเข้าทำงานที่บริษัทในประเทศญี่ปุ่น เพราะอยากวัดความรู้ความสามารถของตัวเองปรากฏว่า สอบได้บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ผลิตจอแอลซีดี แต่ทำได้แค่เดือนเดียวก็ลาออกเพราะอยากไปเรียนต่อปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์ที่ประเทศอังกฤษ ตอนแรกก็ไปเรียนภาษาที่ UCL College ก่อนหลังจากนั้นก็สมัครเรียนต่อที่ London School of Economics (LSE) แต่ยังไม่ได้เข้าเรียน ปรากฏว่า ประเทศไทยประสบกับภาวะต้มยำกุ้งเสียก่อน ตาเลยตัดสินใจกลับมาทำงานในวงการบันเทิงอีกครั้ง
เมื่อกลับมาจากญี่ปุ่นใหม่ ๆ รายการต่างๆเชิญไปเป็นแขกรับเชิญเยอะมากเพราะแทบจะไม่มีดาราคนไหนที่เป็นรองนางสาวไทยแล้วไปเรียนต่อจนจบปริญญาโทจากประเทศญี่ปุ่น นอกจากนั้นยังได้รับงานพิธีกรของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย ทั้งพิธีกรเปิดโรงงาน พิธีกรฉลองครบรอบ10 ปี ฯลฯ เรียกว่างานเข้าเยอะมาก
ความเจ็บป่วยทำให้รู้จักธรรมะ
ตาอยู่วงการบันเทิงก็ใช้ชีวิตเหมือนคนในวงการทั่วไป เหล้าก็ดื่ม บุหรี่ก็สูบแต่ตาชอบเล่นกีฬามาก ทั้งตีกอล์ฟ ดำน้ำจนถึงขั้นเปิดร้านสอนดำน้ำด้วยตัวเอง ฟิตขนาดนี้ตาเลยไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเจ็บป่วยเป็นโรคร้ายแม้แต่น้อย
จนวันหนึ่งไปตรวจสุขภาพประจำปีคุณหมอพบว่า ท่อน้ำดีโตกว่าปกติ ท่อน้ำดีของคนอื่นอาจจะกว้างแค่ 3 มิลลิเมตร แต่ของตากว้างถึง 6 เซนติเมตร…ใหญ่มากจนคุณหมอตกใจ ต้องขอตัดมาตรวจว่าเป็นเนื้อร้ายหรือไม่
โรคท่อน้ำดีโตผิดปกติเป็นโรคที่พบน้อยมาก มันจะโตตามวัยของเราไปเรื่อย ๆ ตอนเด็ก ๆ ตาคิดว่าตัวเองอาจเป็นโรคบิดเพราะมักจะปวดท้อง อาเจียนมีน้ำเหลือง ๆขม ๆ ออกมา แต่ความจริงมันคืออาการของโรคนี้นั่นเอง
โชคดีว่าชิ้นเนื้อที่นำไปตรวจ คุณหมอไม่พบว่าเป็นเนื้อร้าย แต่ท่านแนะนำว่าถ้าทิ้งไว้อาจจะมีโอกาสเป็นมะเร็ง ตาเลยตัดสินใจตัดออก ความเจ็บป่วยในครั้งนี้ทำให้ตารู้ซึ้งกับคำว่า “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” มาก จากที่เมื่อก่อนรู้สึกต่อต้านกับคำสอนภาษาบาลี ไม่เข้าใจว่าต้องพูดคำยาก ๆ ทำไม เพื่อนเคยให้หนังสือ “คู่มือมนุษย์” ของท่านพุทธทาสมาอ่านตอนอกหักก็หันไปด่าเพื่อนว่า “มึงเห็นกูไม่เป็นมนุษย์เหรอ” แต่ในวันที่เจ็บป่วย ตาก็เริ่มเข้าใจแล้วว่า ทำไมเราจึงต้องเรียนรู้เรื่องความไม่เที่ยง
จากคนที่เคยร่างกายแข็งแรง บ้าพลังทำงานวันหนึ่งประมาณ 16 ชั่วโมง แต่หลังผ่าตัด คุณหมอให้นอนพักผ่อนสิบกว่าวัน นอกจากจะรู้สึกเบื่อมากแล้ว เวลาหายใจเข้าก็จะรู้สึกปวดแผลมาก เพราะแผลผ่าตัดค่อนข้างใหญ่ พอยาชาหมดฤทธิ์ ตาปวดเหมือนจะตายให้ได้ รู้สึกเลยว่าหายใจออกเหมือนสวรรค์หายใจเข้าเหมือนนรกสลับกันไปมาอยู่อย่างนี้
นั่นเป็นครั้งแรกที่เกิดปัญญาเห็นธรรม“เออหนอ…ร่างกายนี้เป็นทุกข์” เวลาร่างนี้เป็นทุกข์ พ่อแม่พี่น้องก็ไม่สามารถมาทุกข์แทนเราได้ “ฉันเจ็บก็เจ็บคนเดียว ฉันทุกข์ก็ทุกข์คนเดียว ฉันตายก็ตายคนเดียว”เมื่อเห็นอย่างนี้ตาเลยเกิดความคิดว่า เราไม่อยากเกิดอีกแล้ว คิดว่าทำไมการเกิดเป็นมนุษย์มีแต่ทุกข์ มีหนทางไหนที่เราจะพ้นทุกข์บ้างไหม
ในวันนั้นตาหยิบหนังสือของท่านพุทธทาสมาอ่าน เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้างแต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง ตาเริ่มด้วยการเลิกสูบบุหรี่อย่างเด็ดขาด เพราะไม่อยากทำร้ายร่างกายตัวเอง และใช้ชีวิตด้วยการทำงานครึ่งเดือน ไปศึกษาธรรมะที่วัดอีกครึ่งเดือน แรก ๆ ก็ไปสวดมนต์ที่วัดสุทัศน์ตอนหนึ่งทุ่มทุกเย็นตั้งจิตอธิษฐานว่า “ไม่ว่าฝนจะตก แดดจะออก หรือเกิดอะไรขึ้น ฉันก็จะมาสวดมนต์ให้ได้ทุกวันให้ครบ 3 เดือน” และแค่การไปสวดมนต์อย่างเดียวก็ทำให้ตารู้ว่า ตัวเองได้ปฏิบัติบารมีหลายข้อมาก ทั้งวิริยะบารมีขันติบารมี สัจจะบารมี และนี่ก็น่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ตาเลิกบุหรี่ได้สำเร็จเพราะเรามีจิตใจที่เข้มแข็งมากขึ้นเรื่อย ๆในการต่อสู้กับกิเลส
หลังจากนั้นตาก็เริ่มฟังธรรมมากขึ้นและครั้งหนึ่งก็เคยไปบวชชีที่วัดเขาสมโภชน์ จังหวัดลพบุรี ได้กลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง ได้เรียนพระอภิธรรมอย่างลึกซึ้ง ตอนนั้นเพื่อน ๆ ในวงการไม่ค่อยมีใครรู้เพราะสมัยก่อนการปฏิบัติธรรมยังอยู่ในวงจำกัด แต่บวชได้ 15 วันตาก็กลับมาใส่วิกเล่นละครต่อ ในช่วงเวลานี้เองที่ตาเริ่มได้เป็นพิธีกรงานที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาได้ช่วยเหลืองานของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยและมหามกุฏราชวิทยาลัย ได้มีโอกาสพบเจอกับพระอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมากมาย รวมถึงได้รับโอกาสให้ไปบรรยายธรรมในทัณฑสถานหญิง ซึ่งทำให้ตาได้พบกับเพื่อนคนหนึ่งที่เคยประกวดนางงามมาด้วยกัน
เพื่อนคนนี้เป็นคนสวย แถมยังนิสัยดี แต่เมื่อมองที่ข้อเท้า ตาก็ถึงกับตะลึง!…
จาก http://www.secret-thai.com/article/inspiration-story/12405/surangkana3/ (http://www.secret-thai.com/article/inspiration-story/12405/surangkana3/)
(http://www.secret-thai.com/wp-content/uploads/2016/07/U39C0266_OK-790x500-1.jpg)
ชีวิต ณ จุดศูนย์สุข… สุรางคณา สุนทรพนาเวศ (จบ)
“คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล”
เป็นคำกล่าวที่เราได้ยินมาช้านาน แต่เป็นจริงทุกยุคสมัย ในภาษาธรรมเราเรียกเพื่อนที่ชักนำไปในทางที่ดีงามและทางที่เจริญว่า “กัลยาณมิตร” แต่น่าเสียดายที่กว่าเพื่อนคนหนึ่งของตา (สุรางคณา ทรพนาเวศ)จะซึ้งใจในคำกล่าวนี้ก็ต้องเข้าไปอยู่ในคุก
ด้วยความที่ตาสนใจธรรมะ พากเพียรเรียนจนจบนักธรรมเอก ก็เลยได้รับคำเชิญให้ไปบรรยายธรรมในเรือนจำกลางคลองเปรมให้นักโทษหญิงฟัง ครั้งแรกที่ไปเห็นว่านักโทษที่นี่ต้องอยู่กันอย่างแออัดต้องใช้ชีวิตอยู่ในกรงแคบ ๆ แม้กระทั่งห้องสมุดก็ยังเป็นกรง กว่าตาจะเข้าไปถึงชั้นในได้ต้องผ่านประตูถึง 3 ชั้น
…ตาเข้าไปแล้วยังเดินออกมาได้ แต่ผู้หญิงอีกหลายคนที่เข้าไปอยู่ในนั้น บางคนต้องโทษประหารชีวิต บางคนต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต ไม่มีโอกาสที่จะได้สัมผัสอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกอีกเลย…
บรรยายธรรมในเรือนจำ
วันที่ตาไปบรรยาย มีนักโทษหญิงราว 100 คนที่ผ่านการคัดเลือกแล้วมานั่งฟัง บางคนเป็นยายแก่ ๆ หน้าตาไม่น่าจะเป็นนักโทษเลยสักนิด วันนั้นหลังบรรยายธรรมเสร็จแล้ว ตาก็แจกขนมให้นักโทษหญิงเหล่านั้น แจกไปเรื่อย ๆ จนมาถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับตา เห็นหน้าแล้วก็รู้สึกเอะใจว่า
“ทำไมหน้าตาคล้ายเพื่อนเราจัง แต่คงไม่ใช่หรอก เพราะเพื่อนเราทั้งสวย ทั้งรวย ทั้งเก่ง เรียนจบปริญญาโทจากเมืองนอก ไม่น่าจะมาอยู่ในนี้”
เมื่อคิดอย่างนั้น ตาก็เลยเดินผ่านเธอไป แต่ไม่รู้ว่าอะไรมาดลใจ ตาย้อนกลับมายืนดูเขาอีกครั้งจากทางด้านหลัง คิดในใจว่า “ถ้าคนนี้ใช่เพื่อนเรา เธอจะต้องมีรอยสักที่ข้อเท้าซ้าย” และแล้วตาก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง หัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นมีรอยสักที่ข้อเท้าลายเดียวกับเพื่อนของตาจริง ๆ ยิ่งเมื่อเรียกชื่อแล้วเธอหันมา ตาก็ยิ่งสลดหดหู่กับความจริงที่ได้เจอ
เพื่อนวิ่งเข้ามากอดตาแล้วร้องไห้คาดว่าเธอคงรู้ว่าวันนี้ตาจะมาบรรยาย แต่ด้วยความอายจึงไม่อยากให้ตาเห็น ความจริงเพื่อนคนนี้เป็นคนดี ตอนที่ประเทศไทยเกิดสึนามิ เราเคยขึ้นเครื่องบินของกองทัพอากาศไปเก็บศพ ไปสร้างบ้านให้ผู้ประสบภัยด้วยกันแต่หลายปีหลังจากนั้นตาก็ไม่เคยเจอเธออีกเลย
เพื่อนพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า ๆ ว่า ถ้าก่อนหน้านี้ได้มาเดินบนเส้นทางธรรมเหมือนตา ชีวิตก็คงไม่ต้องมาพบเจอกับเรื่องราวเลวร้ายแบบนี้ แต่นี่เธอกลับไปคบเพื่อนที่เสพยา ค้ายา สุดท้ายตัวเธอเองก็ถูกจับที่คอนโดพร้อมยาเสพติดจำนวนมาก ทำให้ถูกตัดสินจำคุกถึง 50 ปี
ชีวิตของเพื่อนเป็นอุทาหรณ์อย่างดีที่ตามักจะเล่าให้ลูกศิษย์ฟังตอนเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยว่า กัลยาณมิตรเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต การคบเพื่อนไม่ดีแม้เพียงแค่คนเดียว ก็อาจทำให้ชีวิตพบกับหายนะโดยที่เราคาดไม่ถึง แต่การคบเพื่อนดีแม้มีน้อย แต่คอยชักนำเราไปในทางที่ดี ช่วยกันยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ชีวิตของเราก็จะพบเจอแต่คนดี ๆ เรื่องราวดี ๆ และแม้มีเหตุเภทภัยอะไร เพื่อนที่เป็นกัลยาณมิตรก็พร้อมที่จะช่วยเหลือเราเสมอ
“สั่งคัต” ตัวเองจากความยึดมั่น
หลังจากเรียนจบจากประเทศญี่ปุ่น ตาก็มีโอกาสได้เป็นอาจารย์สอนภาษาญี่ปุ่นที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตศูนย์หัวหิน ตามด้วยการเป็นอาจารย์สอนวิชาเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่อีก1 ปี ช่วงนี้ตามีโอกาสปฏิบัติธรรมและเรียนรู้ธรรมะจากครูบาอาจารย์มากมาย ทั้งจาก หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป, หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร, หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม, หลวงปู่สังข์ สังกิจโจ ทุกวันอาทิตย์ตาก็จะนำของไปถวายพระ ไปฟังธรรมะจากท่าน ซึ่งก่อนหน้านั้นตาก็ไปปฏิบัติธรรมตามแนวทางต่าง ๆ เช่น แนว ท่านโกเอ็นก้า ตามศูนย์ต่าง ๆ รวมถึง คุณแม่สิริ กรินชัย ที่วัดผาณิตาราม พระอภิเชษฐ์ ที่จังหวัดลำปาง พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชโช, อดีตพระมิตซูโอะ คเวสโก รวมถึง พระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ ฯลฯ
ตาเป็นคนที่ทำอะไรทำจริง ทำแล้วก็จะทำให้ถึงที่สุด และไม่หวั่นเกรงกับอะไรหลายคนอาจบอกว่า นักแสดงปฏิบัติธรรมไม่ได้ เพราะอาชีพนี้มีแต่สร้างกิเลส ปรุงแต่ง
การเป็นนักแสดงทำให้เราสามารถพิจารณาธรรมได้มากกว่าคนอื่นได้เห็นภพชาติจากการรับบทบาทต่างๆเป็นพี่ เป็นแม่ เป็นภรรยาได้เห็นการเกิด-ดับ การพบเจอการจากลา การพลัดพราก จิตให้หัวเราะ ร้องไห้ไปตามอารมณ์ แต่สำหรับตากลับค้นพบว่า การเป็นนักแสดงทำให้เราสามารถพิจารณาธรรมได้มากกว่าคนอื่น ได้เห็นภพชาติจากการรับบทบาทต่าง ๆ เป็นพี่ เป็นแม่ เป็นภรรยา ได้เห็นการเกิด - ดับ การพบเจอ การจากลา การพลัดพราก เห็นชัดมากจนทำให้รู้สึกเบื่อกับการเวียนว่ายตายเกิด นอกจากนั้นการเป็นนักแสดงยังทำให้ตา “สั่งคัต” ตัวเองจากอารมณ์ต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น
ในละคร ผู้ชายคนนี้อาจเป็นสามีของเรา แต่พอผู้กำกับสั่งคัตปุ๊บ เขาก็กลายเป็นคนอื่น ในชีวิตจริงตาคิดว่า ถ้าเรารู้จัก “สั่งคัต” ตัวเองจากความยึดมั่นถือมั่นต่าง ๆ เราจะมีความสุขได้ง่ายขึ้น ทุกวันนี้ตายังไม่มีครอบครัว แต่ก็ไม่คิดว่าปฏิบัติธรรมแล้วจะต้องไม่มีครอบครัว คิดว่าแล้วแต่ธรรมะจัดสรร ถ้าวันหนึ่งจะมีก็มี ถ้าไม่มีก็มีความสุขกับการเป็นโสด เพราะเห็นว่าตัวเองยังทำประโยชน์ให้สังคมได้โดยไม่มีภาระ
ตาเชื่อว่าคนเราไม่ได้ทุกข์เพราะใครแต่ทุกข์เพราะตัวเองนั่นแหละ กายนี้ ใจนี้คือทุกข์ มีกายนี้ก็ต้องหิว ต้องป่วย พลัดพรากจากสิ่งที่รักก็ทุกข์ ไม่ต้องไปโทษใครอื่น เราทั้งนั้นที่ทำตัวเอง น้ำตาไหลเมื่อได้ไปสักการะสังเวชนียสถาน
ก่อนจะไปเรียนปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยจาวาฮาร์ลาล เนห์รู (Jawaharlal Nehru University) ประเทศอินเดีย ตาเคยไปสักการะสังเวชนียสถานมาแล้ว 8 ครั้ง และไม่มีครั้งไหนที่น้ำตาไม่ไหล
ก่อนไปได้ยินมาว่าเพื่อนบางคนร้องไห้ด้วยความปีติ ตาคิดว่าตัวเองคงไม่เป็นอย่างนั้นแน่นอน เพราะ “ฉันเป็นดารา ฉันสั่งตัวเองให้ร้องไห้หรือหยุดร้องไห้ได้” แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม และมีเรื่องราวอัศจรรย์เกิดขึ้นกับตาตั้งแต่วันแรก ๆ ที่ไปถึง
ตอนนั้นตาเชื่อว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ดี แต่ไม่แน่ใจว่าพระพุทธเจ้ามีจริงหรือเปล่า ตามประสาคนเชื่อยากชอบพิสูจน์ เมื่อไปถึงอินเดียครั้งแรกและได้นั่งใต้ต้นโพธิ์ที่วัดพุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ตาก็อธิษฐานจิตว่า ถ้าชาตินี้จะมีโอกาสได้เผยแผ่ธรรมะ ก็ขอให้ใบโพธิ์ซึ่งตอนนั้นยังมีใบเขียวเต็มต้นร่วงลงมา
อธิษฐานยังไม่ทันขาดคำ ใบโพธิ์ก็ร่วงลงมากลางมือ ตาน้ำตาร่วง ขนลุกซู่ไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่เราสงสัยนั้น “สิ้นสงสัยแล้ว” ยิ่งเมื่อเดินทางไปยังกุสินาราวิหารปรินิพพานซึ่งภายในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางปรินิพพาน ตาก็น้ำตาร่วงเผาะ ๆ เป็นสายหยุดไม่ได้ เกิดความรู้สึกปีติระคนกับความสลดโศกาว่า “พระพุทธเจ้าได้หลุดพ้นจากสังสารวัฏนี้ไปนานแล้ว แต่เรายังว่ายวนอยู่ที่นี่ เราจะอยู่ไปจนถึงเมื่อไหร่…” ตาร้องไห้แบบไม่หยุดทุกครั้งที่ไปยังสถานที่แห่งนี้ ยิ่งเมื่อสวดมนต์บทสวดสรภัญญะ “องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน…” ไปด้วย น้ำตาก็จะไหลเหมือนท่อน้ำตาแตก สั่งให้หยุดก็ไม่ได้ต้องปล่อยไปอย่างนั้น ตาเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้สัมผัสได้เฉพาะตน อาจไม่เกิดกับคนอื่นแต่เกิดขึ้นกับตาแล้วจริง ๆ และทำให้ความเชื่อมั่นศรัทธาในพระพุทธศาสนาของตามีความมั่นคงแข็งแรงยิ่งขึ้น
ปัจจุบันตากำลังศึกษาปริญญาเอกที่ประเทศอินเดีย สองปีที่อยู่ที่นี่ได้ฝึกตัวเองในหลายเรื่อง ก่อนไปเรียนตาขายรถขายบ้าน ทิ้งทุกอย่างแล้วกลับไปเป็นนักศึกษาธรรมดา ๆ อีกครั้ง ไปอยู่ที่โน่นได้ใช้ชีวิตในหอพัก เป็นหอรวม ห้องน้ำรวม ต้องซักผ้าด้วยตัวเอง กินข้าวหอกินโรตีจาปาตีแทนข้าว ถ้าเบื่อก็กินมาม่าชีวิตในแต่ละวันเหมือนได้ปฏิบัติธรรม ได้เห็นตัวเองชัด ๆ อีกครั้งว่า “ตา - สุรางคณา”ที่ไม่ได้เป็นคนมีชื่อเสียง มีคนรู้จัก สามารถใช้ชีวิตให้มีความสุขได้อย่างไร
ตาเชื่อว่ายิ่งเราไม่สะสม ตัวเราก็จะยิ่งเบา ทุกวันนี้ตามีแค่กระเป๋าใบเดียวแต่ไปได้ทั่วโลกโดยไม่มีอะไรต้องกังวล ตาคิดว่าคนเราทุกคนมีหน้าที่ “เรียนรู้ตัวเอง”สร้างประโยชน์ให้ตนเอง สร้างประโยชน์ให้ผู้อื่น ไม่เบียดเบียนตัวเอง และไม่เบียดเบียนผู้อื่น…
ถ้าทำได้ ถึงจะอยู่ที่ไหน เราก็สุขใจแน่นอนค่ะ
———————————————————
(เรื่อง สุรางคณา สุนทรพนาเวศ เรียบเรียง เสาวลักษณ์ ศรีสุวรรณ ภาพ สรยุทธ พุ่มภักดี)
จาก http://www.secret-thai.com/article/inspiration-story/12408/surangkana4/ (http://www.secret-thai.com/article/inspiration-story/12408/surangkana4/)