ใต้ร่มธรรม
ริมระเบียงรับลมโชย => ธรรมะอินเทรนด์ - ธรรมะติดปีก => ข้อความที่เริ่มโดย: มดเอ๊กซ ที่ สิงหาคม 28, 2016, 01:11:16 am
-
(http://www.secret-thai.com/wp-content/uploads/2016/02/IMG_5348-e1454991931167.jpg)
ชีวิตใต้ร่มใบบุญพุทธศาสนาของอ๊อด - รณชัย ถมยาปริวัฒน์ (1)
เรามักจะได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม”อยู่เสมอ ซึ่งตามธรรมดา ชาวโลกแบบเรา ๆ ก็มักจะเชื่อว่าคนที่ทำความดี อย่างไรเสียก็ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้
เกือบ 40 ปีมาแล้วที่ “อ๊อด คีรีบูน” หรือที่มีชื่อจริงว่า รณชัย ถมยาปริวัฒน์ นักร้อง นักดนตรีที่มีผลงานเพลงที่มีชื่อเสียงอย่าง “รอวันฉันรักเธอ” ได้ปวารณาตัวรับใช้พระพุทธศาสนาด้วยการเป็นโยมอุปัฏฐากรับใช้ใกล้ชิดพระสงฆ์สาย พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
ชีวิตใต้ร่มใบบุญพระพุทธศาสนาและการหมั่นเพียรทำความดีของเขา ทำให้แม้ในช่วงที่มีชื่อเสียงโด่งดังถึงขีดสุด เขาก็ไม่ได้หลงระเริงไปกับคำสรรเสริญเยินยอส่วนในช่วงที่ต้องประสบปัญหา หรือแม้แต่บางครั้งที่ชีวิตเฉียดใกล้ความตาย เขาก็รอดปลอดภัยได้ราวปาฏิหาริย์
เพราะเหตุใดนักร้องผู้มีชื่อเสียงโด่งดังผู้นี้จึงอุทิศตัวเพื่อพระพุทธศาสนา เราไปย้อนวันวานของเขากันเลยดีกว่า
เริ่มต้นด้วยการ “คิดถูกทาง”
ผมเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะความเป็นอยู่ธรรมดา ๆ คุณพ่อเป็นชาวบางปะกงจังหวัดฉะเชิงเทรา ส่วนคุณแม่เป็นชาวชัยภูมิ ผมเป็นลูกคนสุดท้องในบรรดาพี่น้อง4 คน สมัยเด็ก ๆ ผมเรียนที่โรงเรียนวัดเซิงหวาย ย่านบางซ่อน ด้วยสภาพแวดล้อมที่เป็นโรงเรียนวัด ทำให้ผมมีเรื่องตีต่อยไม่เว้นแต่ละวัน ตกเย็นก็จะมีเพื่อนมาบอกว่า วันนี้เป็น “เวร” เราต้องไปต่อยกับใครที่หลังวัด ต่อยเสร็จก็เจ็บตัวทุกครั้ง แต่ก็เห็นเป็นเรื่องธรรมดาของลูกผู้ชาย
จนเมื่อเริ่มโตขึ้น ญาติรุ่นพี่ที่ชอบสะสมเครื่องรางของขลัง ตะกรุด เขาก็มาเล่าเรื่องอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ หนังเหนียวฟันแทงไม่เข้าให้เราฟัง ผมฟังด้วยความสนุกและเริ่มชอบอ่านหนังสือโลกทิพย์ที่เขานำติดมือมาด้วย ตอนนั้นคิดตามประสาเด็กว่าถ้าเรามีเครื่องรางของขลัง เวลาชกต่อยกับใคร เราก็คงไม่เจ็บตัว
ความจริงแล้วผมเป็นเด็กที่มีเหตุผลมีสองบุคลิกในตัวเอง คือบู๊ก็ได้และบุ๋นก็ได้แต่ช่วงเด็ก ๆ จะหนักไปทางบู๊ แก่นกะโหลก ครั้งหนึ่งเพื่อนชวนไปสักยันต์ในบ้านหลังหนึ่งที่ทรงเจ้าเข้าทรง วันแรกเขาให้สักน้ำมันคือเป็นพิธีกรรมลงคาถาอาคมก่อน วันหลังถึงค่อยมาลงสี ใครจะสักเป็นรูปเสือหรือรูปสิงห์ก็แล้วแต่ความพอใจ
ตกดึก หลังจากไปสักน้ำมันมาวันนั้นผมก็ถามแม่ที่นอนอยู่ข้าง ๆ ว่า “แม่ ๆ อ๊อดเหนียวแล้วนะ ยิงไม่เข้า ฟันไม่เข้า แต่ถ้าอ๊อดถูกรถชน อ๊อดจะตายไหม” ถึงจะง่วงแสนง่วง แต่แม่ก็ยังตอบผมว่า “มันจะเหลือเหรอลูก กระดูกกระเดี้ยวมันต้องหักหมดแน่ ๆ ” ได้ยินอย่างนั้น ผมก็ยังถามต่อว่า“แม่ แล้วถ้าอ๊อดตกลงมาจากตึกสูง ๆ แม่ว่าอ๊อดจะตายไหม” คราวนี้แม่ตอบกลับมาทันทีเลยว่า “โอ้โห มันจะเหลือเหรอลูกตกลงมาจากที่สูงอย่างนั้น กะโหลก กระดูกก็แตกแหลกเหลวหมดน่ะสิ”
เมื่อได้ยินแม่พูดอย่างนั้น ปัญญามันก็เกิดขึ้นมาทันที วันรุ่งขึ้นผมตัดสินใจไม่ไปสักยันต์กับเพื่อนต่อ ทั้งที่ทุกคนไปกันหมด
เอนเอียงไปทางธรรมด้วย “งานบุญ”
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ชีวิตในวัย 12 ปีของผมก็เริ่มเชื่อในสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผล และคิดหาเหตุผลมากขึ้นก่อนที่จะเชื่อเรื่องไหนประจวบกับมีอาจารย์สอนศิลปะท่านหนึ่งซึ่งเป็นลูกศิษย์ของพระสายวัดป่า ชักชวนให้ไปช่วยงานบุญ ชีวิตของผมจึงได้มาบรรจบกับพระสงฆ์สายวัดป่าโดยปริยาย
“พรุ่งนี้ใครอยากไปเที่ยวจังหวัดระยองให้ไปขึ้นรถของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ งานนี้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรฟรีทุกอย่างเลยนะ” อาจารย์สอนศิลปะเอ่ยชวน โดยไม่ได้บอกรายละเอียดว่าการไปเที่ยวครั้งนี้เป็นแบบไหน อย่างไร
แต่เมื่อได้ยินคำว่า “ฟรี” ใจผมก็ตอบรับเรียบร้อยแล้ว โดยไม่ได้ชวนเพื่อนไปเลยสักคน ปรกติผมเป็นคนสันโดษ ชอบลุยเดี่ยวอยู่แล้ว จึงตัดสินใจไป “เที่ยวระยอง”ครั้งนี้คนเดียว เมื่อขึ้นไปบนรถ ปรากฏว่ามีเพื่อนวัยเดียวกับผมประมาณ 7 - 8 คนนั่งอยู่เรียบร้อยแล้ว เป็นเด็กเรียนทั้งหมด ในสายตาของผม เด็กพวกนี้เป็นพวกหน่อมแน้มหนอนหนังสือ คุยภาษาอะไรกันก็ไม่รู้ พูดอะไรนิดอะไรหน่อยก็หัวเราะคิกคักกันแล้วตอนนั้นผมจึงรู้สึกแปลกแยกจากพวกเขาเหมือนเป็นตัวประหลาดอยู่คนเดียว
จาก http://www.secret-thai.com/article/5647/ronnachai1/ (http://www.secret-thai.com/article/5647/ronnachai1/)
(http://www.secret-thai.com/wp-content/uploads/2016/02/IMG_4603-e1454992897887.jpg)
ชีวิตใต้ร่มใบบุญพุทธศาสนาของอ๊อด - รณชัย ถมยาปริวัฒน์ (2)
หลังจากเรียนจบ ม.ศ. 3 ในสมัยนั้นแล้วผม (อ๊อด - รณชัย ถมยาปริวัฒน์) กับหมูซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่เรียนเก่งที่สุดในโรงเรียนก็สอบเข้าเรียนต่อได้ที่วิทยาลัยเกษตรกรรมเจ้าคุณทหาร(ปัจจุบันคือคณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง)ส่วนเพื่อนคนอื่นในโรงเรียนสอบไม่ติด
ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าตัวเองอยากเรียนอะไร รู้แต่ว่าเมื่อสอบติดแล้วก็ไปเรียนวิชาที่เรียนต้องถือจอบขุดดิน ทำแปลงเกษตรขนาด 1 × 6 เมตร 4 แปลง แล้วต้องเลี้ยงหมูจับหมูฉีดยา เวลาจะฉีดแต่ละทีผมก็ต้องใช้ขาล็อกคอหมู แล้วให้เพื่อนอีกคนฉีดยา เชื่อไหมว่า เวลาขึ้นรถเมล์ ผมต้องยืนตรงบันไดเพราะตัวเหม็นมาก ขนาดเด็กนักเรียนผู้หญิงเดินผ่าน ต้องเอามืออุดจมูกโดยอัตโนมัติ ไม่กลัวว่าเราจะเสียหน้าเลย เมื่อขึ้นปี 2 ผมกับเพื่อนก็เริ่มมานั่งคิดกันว่าสิ่งที่เราเรียนใช่สิ่งที่เราชอบหรือเปล่า เมื่อไม่ใช่แน่แล้ว เราสองคนก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์ใหม่ในปีนั้นหมูติดเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ส่วนผมติดเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งที่เลือกนิเทศศาสตร์เป็นอันดับหนึ่ง แต่สอบไม่ติด
ชีวิตปี 1 ในมหาวิทยาลัยของผมตอนนั้นมาพร้อมกับชื่อเสียงในฐานะนักร้อง เพราะเริ่มเข้าห้องอัดทำอัลบั้มเรียบร้อยแล้ว จากผู้ชายธรรมดา ๆ คนหนึ่งผมก็เพิ่งได้เห็นว่าความดังเป็นอย่างไร และเป็นความดังที่เกือบทำให้ผมขาดใจตายเลยทีเดียว!
ก้าวแรกในวงการดนตรี
ผมเริ่มดีดกีตาร์และฝึกแต่งเพลงมาตั้งแต่เรียน ป. 7 โดยเริ่มจากการเล่นเพลงของนักร้องวงดัง ๆ ในยุคนั้นที่เราชอบ เช่นวงอิสซึ่น (Isn’t), อัสนี - วสันต์, ชัยรัตน์เทียบเทียม, วงชาตรี, วงดิ อิมพอสซิเบิ้ลเวลามีประกวดร้องเพลงที่ไหน วงของผมที่มีพี่ชายกับญาติข้างบ้านก็จะเข้าแข่งขันเหมือนวัยรุ่นยุคนี้ที่เข้าประกวดร้องเพลงเอเอฟ (อะคาเดมีแฟนเทเชีย) หรือเดอะวอยซ์นั่นแหละ
แล้ววันหนึ่ง รายการเพลงทางวิทยุรายการหนึ่งก็ประกาศเฟ้นหานักร้องหน้าใหม่ด้วยการให้ส่งเดโมเทปเข้าไปในรายการ ผมกับเพื่อนร่วมวงก็ทำไปส่ง บังเอิญ คุณหนึ่งซึ่งตอนหลังคือคนที่ชักนำผมเข้าสู่ทางสายดนตรีได้ฟังเพลงของพวกเรา เขาถูกใจเสียงร้องของผมและชอบเพลงที่แต่ง เลยชวนให้ไปเข้าห้องอัด ทั้งที่ไม่รู้แน่ชัดว่าจะได้อยู่ค่ายเพลงไหน แต่ที่สุดเขาก็ดูแลจัดการจนเราได้ไปอยู่ค่ายอาร์เอส ในยุคเดียวกับชมพู ฟรุตตี้, อ๊อด บรั่นดี ในขณะที่แกรมมี่ตอนนั้นมีสาว สาว สาว, แมคอินทอช และดิ อินโนเซ้นต์
ผมไม่คิดว่าตัวเองจะมีชื่อเสียงโด่งดังเพราะหน้าตาอย่างนี้ดังมาได้ก็บุญโขแล้วมิหนำซ้ำตอนที่รู้ว่าตัวเองดัง ผมก็แทบขาดอากาศหายใจเลยทีเดียว
เหตุเกิดขึ้นในวันที่ผมไปเล่นฟรีคอนเสิร์ต รายการ โลกดนตรี ที่สถานีกองทัพบกช่อง 5 เมื่อขึ้นเวที เล่น ๆ ร้อง ๆไปเราก็ไม่รู้หรอกว่าผู้ฟังด้านล่างเวทีที่เป็นเด็กวัยรุ่นเขาชื่นชอบเรา เราคิดแค่ว่าทำสิ่งที่รักที่ชอบเท่านั้น เล่นเสร็จฝ่ายรักษาความปลอดภัยก็ไม่ได้ดูแลอะไรเรามากเพราะไม่รู้ว่าไอ้เด็กนี่วงอะไร เขาก็เลยปล่อยสักพักก็มีแฟนเพลงผู้หญิงจับกลุ่มกันแล้วค่อย ๆ ขยับตัวเข้ามาหาผม สมัยก่อนสื่อไม่ได้มีมากเท่าปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่แฟนเพลงจะรู้จักเราผ่านวิทยุ แล้วค่อยมาเห็นตัวจริง พอเห็นตัวจริง เขาก็เลยอยากพูดคุย ขอลายเซ็น
เวลาผ่านไป แฟนเพลงหลายกลุ่มเริ่มขยับเข้ามาหาผม เมื่อกลุ่มนี้เข้ามาใกล้กลุ่มนั้นก็เข้ามาด้วย ตามมาด้วยอีกหลาย ๆกลุ่ม เมื่อส่งยิ้มให้แล้ว สักพักหนึ่งพวกเขาก็เข้ามาขอลายเซ็น แต่ด้วยความที่แสดงออกไม่เป็น พวกเขาก็ดึงทึ้งผมไปมาเป็นที่สนุกสนาน จังหวะนั้นเอง ตัวผมเสียจังหวะล้มลง ส่วนแฟนเพลงอีกนับสิบก็ล้มทับตามลงมาโดยไม่มีใครลุกเลย ในวินาทีนั้นผมหายใจไม่ออก สติเกือบจะดับวูบ ได้แต่นึกถึงแม่ว่า “แม่ ช่วยอ๊อดด้วย อ๊อดไม่ไหวแล้ว อ๊อดจะตายแล้ว”
วันนั้นโชคยังดีที่เด็กยกไฟเห็นเหตุการณ์ เลยแหวกเข้ามาช่วยได้ทัน เพราะถ้าช้ากว่านั้นผมก็คงขาดอากาศหายใจไปแล้วนับตั้งแต่วันนั้น ผมร้อง “อ๋อ” เลยว่าความดังมันเป็นอย่างนี้ เพิ่งได้รู้ว่าตัวเองดังก็ตอนที่ชีวิตเฉียดความตายไปแล้วนี่เอง
ดังก็ไม่ยึด ยังรับใช้ครูบาอาจารย์
ตอนนั้นผมเรียนไปด้วย ทำงานเพลงไปด้วย ถือว่าใช้ชีวิตหนักมาก ทุกสัปดาห์ต้องไปทัวร์คอนเสิร์ตตามต่างจังหวัด ไปออกรายการตามสถานีวิทยุ ให้สัมภาษณ์ตอนห้าทุ่ม เที่ยงคืน กว่าจะกลับบ้านก็เช้าพอเช้าก็ยังต้องไปเรียนต่อ วนเวียนอยู่อย่างนี้
แต่ผมรู้ดีว่าเป้าหมายในชีวิตของตัวเองคืออะไร จากประสบการณ์ที่ได้เห็นชีวิตญาติ ๆ น้า ๆ ที่เป็นนักร้อง นักดนตรี ทำให้ผมรู้ว่าชีวิตแบบนี้ไม่แน่นอน ด้วยเหตุนี้ต่อให้ทำงานหนักแค่ไหนผมก็ไม่ทิ้งเรื่องการเรียน พยายามสอบให้ผ่านจนได้ และจบมาด้วยเกรดเฉลี่ยสองกว่า ๆ
ชีวิตช่วงนั้นของผมเรียกว่าดังถึงขีดสุดก็ว่าได้ เป็นตัวทำเงินให้บริษัท แต่ผมกลับไม่รู้สึกยินดีกับความดังนี้เลย อาจเป็นเพราะผมได้ใกล้ชิดพระวัดป่าสายกรรมฐาน ได้ซึมซับคำสั่งสอนของท่านมา จึงรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ควรยึด อย่างที่ท่านบอกว่า “ดีก็บ่ยึดไม่ดีก็บ่ยึด แต่เอาจิตตามรู้มันเท่านั้น”หมายความว่าสิ่งไหนไม่ดี เราก็รู้ว่ามันไม่ดีอย่าเข้าไปเกี่ยวข้อง เขาชมว่าเป็นนักร้องที่ดังเหลือเกิน เสียงเพราะ เราก็ฟังไว้รู้แค่ว่านั่นคือคำชม แต่ไม่เอาจิตไปรู้สึกขนลุกขนพองด้วยความดีใจกับสิ่งเหล่านั้น
อย่างไรก็ตาม ขณะนั้นแม้ว่าจะมีชื่อเสียงแล้ว ผมก็ยังไปดูแลรับใช้ครูบาอาจารย์สายวัดป่าเหมือนเดิม ไปขนอิฐ ขนปูนสร้างวัดในที่ไกล ๆ แห้งแล้ง บางสัปดาห์ที่ไม่มีทัวร์คอนเสิร์ต ผมกับครูบาอาจารย์ก็จะขับรถไปส่งเสบียงให้กับพระที่ปฏิบัติอยู่ตามถ้ำ อย่างเช่นป่าละอู แถวหัวหิน ท่านให้ช่วยงานอะไรผมก็ช่วยหมดทุกอย่างและส่วนใหญ่ก็เป็นงานหนักที่ต้องใช้แรงใช้การเสียสละ ต้องฝืนตัวเองเพราะไม่ใช่งานที่สนุก แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำ ผมคิดว่าตัวเองเป็นหนี้บุญคุณพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาทำให้ผมเปลี่ยนจากคนในอดีตมาเป็นอีกคนหนึ่ง จากคนที่คิดไม่เป็นให้คิดเป็น
เมื่อก่อนผมกลัวผีมาก ในค่ำคืนหนึ่งครูบาอาจารย์เลยทดสอบด้วยการให้ผมเดินผ่านป่าที่มืดสนิท ผมกลัวจับจิต กลัวว่าจะมีคนตามหลัง กลัวว่าจะหันไปเจอผี…
ถ้าอยากรู้ว่าสุดท้ายแล้วผมเจออะไรต้องติดตามต่อไปนะครับ
Secret Box
ไม่คบคนพาล คบแต่บัณฑิต และบูชาบุคคลที่ควรบูชานี้คือมงคลอันสูงสุด
(สุตตนิบาต พระไตรปิฎก)
จาก http://www.secret-thai.com/article/5652/ronnachai2/ (http://www.secret-thai.com/article/5652/ronnachai2/)
-
(http://www.secret-thai.com/wp-content/uploads/2016/02/22-e1454993851639.jpg)
ชีวิตใต้ร่มใบบุญพุทธศาสนา ของอ๊อด - รณชัย ถมยาปริวัฒน์ (3)
ผม (อ๊อด - รณชัย ถมยาปริวัฒน์) ระลึกอยู่เสมอว่าตัวเองเป็นหนี้บุญคุณพระพุทธศาสนาเพราะความรู้ความเข้าใจที่ได้รับจากครูบาอาจารย์ทำให้ผมเปลี่ยนเป็นคนที่รู้จักคิด รู้จักเชื่ออย่างมีเหตุมีผล
สมัยยังเป็นเด็ก ผมไปช่วยงานสร้างเจดีย์ที่วัดธรรมสถิต จังหวัดระยอง ต้องนอนค้างอ้างแรมในป่า กลางคืนก็มืดแสนมืดและด้วยความเป็นเด็ก จินตนาการเกี่ยวกับผีสางนางไม้ก็ยิ่งหลอกหลอน แต่แล้ววันหนึ่ง คำสอนของครูบาอาจารย์ก็ทำให้ผมเลิกกลัวผี
ตัวเราคือป่าช้า
ค่ำวันหนึ่ง ผมไปช่วยงานที่วัด ครูบาอาจารย์ไหว้วานให้ผมเดินจากตีนเขาขึ้นไปหยิบของบนยอดเขา ระหว่างทางต้องเดินผ่านป่า แม้ว่าทางเดินจะโล่งเตียน แต่ด้วยความมืด มันก็ยังทำให้ผมกลัวอยู่ดี เมื่อความกลัวค่อย ๆ ก่อตัว จิตของผมก็ยิ่งสร้างภาพขึ้นมาเองว่ามีคนเดินตามอยู่ข้างหลังถ้าเราหันไปเจอแล้ววิ่งหนี เขาก็จะต้องวิ่งตามเราด้วย แล้วถ้าเขาเหาะมาเกาะบนหลังเรา เราจะทำอย่างไรดี…
แม้จะกลัวผีจนขนหัวลุก แต่ผมก็กลั้นใจเดินไปจนถึงจุดหมาย เมื่อกลับลงมาก็มาเล่าให้ครูบาอาจารย์ฟัง ท่านก็ถามว่า“ผีอยู่ที่ไหน” ผมก็ตอบว่า “ผีอยู่ในป่าช้าครับ” ท่านถามต่อว่า “แล้วตัวเรามีป่าช้าไหม” เมื่อเจอคำถามนี้เข้าไป เด็กอย่างผมก็นั่งงงเป็นไก่ตาแตก ไม่เข้าใจว่าตัวเราจะมีป่าช้าได้อย่างไร
ครูบาอาจารย์จึงสอนว่า “ตัวเรานี่แหละเป็นป่าช้า มีทั้งผีเป็ด ผีไก่ ผีวัวผีปลา แล้วจะไปกลัวผีอะไรอีกล่ะ” ผมคิดตามก็เห็นจริงอย่างที่ท่านว่า ท่านก็ชี้แนะต่อว่า “คนกับผีอะไรน่ากลัวกว่ากันคนถ้าไม่ถูกใจก็นำปืนมายิง นำมีดมาฟันแทงเราได้ ผีมันทำอะไรเราได้ เคยมีข่าวลงตามหน้าหนังสือพิมพ์ไหมว่าผีฆ่าคนจะมีก็แต่ในหนัง”
ผมเห็นจริงด้วยทุกประการ และเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่าพระพุทธศาสนาสอนให้เราคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล ไม่เคยสอนให้เราเชื่ออะไรอย่างงมงาย และด้วยคำสอนของครูบาอาจารย์ ก็ทำให้หลังจากนั้นผมสามารถเผชิญกับปัญหาใหญ่ที่เข้ามาในชีวิตและผ่านพ้นไปได้ แม้ว่าจะต้องเผชิญกับบททดสอบอยู่นานหลายปี
ครูบาอาจารย์สะกิดเตือน
ปีที่สองของการเข้าสู่วงการเพลง ผมก็มีชื่อเสียงโด่งดังด้วยเพลง รอวันฉันรักเธอ ใคร ๆ ต่างคิดว่าวง “คีรีบูน” ของเราคงจะมีเงินทองไหลมาเทมา แต่ความจริงในยุคนั้นก็คือ ผลประโยชน์ที่เราได้รับจากบริษัทต้นสังกัดน้อยมาก เขามองเราว่าเป็นเด็กมหาวิทยาลัย ไม่ได้ใช้เงินมากมายเบิกทีก็ได้สี่พันห้าพัน เป็นเบี้ยหัวแตกอยู่อย่างนี้ ซึ่งไม่เพียงพอกับความเป็นศิลปินที่มีค่าโสหุ้ยมากมาย ทั้งผ้าป่า งานบวชงานแต่ง ถ้าใส่ซองน้อยคนก็จะคิดว่า “โหอ๊อด คีรีบูนใส่ซองแค่นี้เองหรือ” แต่เราก็ไม่เคยไปเรียกร้องจากบริษัทเพิ่ม เพราะผมถือว่ารับปากอะไรแล้วก็ให้เป็นไปตามนั้นนอกจากนั้นความดังก็ยังทำให้ชีวิตการเป็นศิลปินไม่ได้โสภามากนัก เพื่อนร่วมวงที่แต่ก่อนไม่เคยมีปัญหาก็เริ่มมีปัญหาแต่จุดที่ทำให้ผมตัดสินใจเดินเข้าไปบอกเจ้าของบริษัทว่าขอเลิกจากการเป็นนักร้องทั้งที่กำลังดังถึงขีดสุด คือคำพูดของพระอาจารย์กุหลาบ
ในช่วงที่กำลังมีชื่อเสียงอยู่นั้น ผมกับหมู เพื่อนสนิท ก็ตัดสินใจบวชกับพระสายกรรมฐาน โดยไปจำพรรษาอยู่กับชาวเขาเผ่ามูเซอที่สำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง ที่บ้านห้วยปลาหลด จังหวัดตาก เราไปเดินธุดงค์ในป่ากับพระกรรมฐานสาย หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่แหวน สุจิณโณ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี และ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ธุดงค์อยู่เดือนกว่า ๆ หลังจากสึกแล้วก็ยังรับใช้ส่งเสบียงดูแลพระป่าอยู่ที่สำนักสงฆ์ทางไปน้ำตกป่าละอู จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ส่วนใหญ่ผมจะเดินทางไปกับ พระอาจารย์สุชิน ปริปุณโณ
เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันของวัดธรรมสถิต (เจ้าอาวาสองค์ก่อนคือ พระครูญาณวิศิษฏ์หรือที่ลูกศิษย์ลูกหาเรียกว่า ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก) กับเพื่อน ๆ รวมถึงภรรยาคู่ชีวิตที่ตอนนั้นยังคบหาดูใจกันอยู่
ครั้งนั้นผมได้มีโอกาสสนทนากับพระอาจารย์กุหลาบซึ่งเป็นพระสายวัดป่าท่านให้แง่คิดที่สำคัญมาก ซึ่งมีผลต่อชีวิตของผมในเวลาต่อมาว่า “การเป็นนักร้องของอ๊อดด้านหนึ่งก็ดีนะ ทำให้คนมีความสุขแต่อีกด้านหนึ่งก็ทำให้คนหลงนะ” ได้ยินแล้วผมร้อง “โอ้โห!” เหมือนมีดแทงหัวใจเลย เพราะตั้งแต่เด็กเราฟังคำสอนของครูบาอาจารย์มาตลอด จิตของเราจึงเป็นจิตที่ใฝ่ดี อะไรที่เป็นเรื่องดีผมทำหมด เหล้ายา การพนัน ผมไม่เคยข้องเกี่ยว แต่เมื่อครูบาอาจารย์สะกิดเตือนว่าการร้องเพลงของเราทำให้คนหลง ผมก็เห็นจริง เพราะบางครั้งมีวัยรุ่นผู้หญิงที่อยู่ต่างจังหวัดชื่นชอบเราแล้วนั่งรถมาหาที่บ้าน บางครั้งเขาก็ไม่ได้ประมาณตัว มาถึงที่บ้านก็ดึกดื่นแล้ว เมื่อกลับไม่ได้ก็ต้องนอนค้าง ผมก็ต้องสละที่นอนของตัวเองให้ ส่วนตัวผมก็ต้องไปนอนกับแม่หรือพี่ ๆ แทน
จากดังคับฟ้าก็ร่วงจมดิน
เมื่อเหตุการณ์หลายอย่างเริ่มแสดงให้เห็นว่าการเป็นศิลปินอาจไม่ใช่หนทางของชีวิต ผมก็ตัดสินใจเดินไปบอกกับเฮียเจ้าของค่ายเพลงว่าขอเลิกจากการเป็นนักร้อง ทั้งที่กำลังมีชื่อเสียงโด่งดัง คราวนี้เฮียเต้นผาง ทุกคนในบริษัทมะรุมมะตุ้มหาสาเหตุว่าเกิดอะไรขึ้น ด้วยความเป็นเด็กผมไม่คิดว่าการปั้นนักร้องสักคนหนึ่งต้องลงทุนมากมายมหาศาล ก็เลยงงว่า “แค่บอกเลิก ทำไมมันถึงเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตขนาดนี้” เพราะด้วยนิสัยของผม เงินไม่ใช่พระเจ้า ตอนเด็ก ๆ เคยทำมาหมดแล้ว ทั้งวิ่งขายเรียงเบอร์ ขายเสื้อสกรีนหน้าโรงหนัง ผมรู้ว่ากว่าจะหาเงินได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ผมก็ปฏิเสธเงินได้ไม่ยากเช่นกัน
แต่เมื่อฟังเหตุผลของเจ้าของบริษัทในตอนนั้น ผมก็รู้สึกผิดถ้าจะลาออกทั้ง ๆ ที่เขาลงทุนกับเราไปมากมาย จึงตัดสินใจทำงานต่อไป แต่ในใจลึก ๆ ของผมเริ่มไม่สนุกกับการทำเพลงแนวเดิม จึงเริ่มแต่งเพลงที่มีเนื้อหาลึกซึ้งมากขึ้น หลังจากนั้นผมก็ได้ทำอัลบั้มเพลงคู่รวมดาวกับนักร้องสาวอีกท่านหนึ่ง ซึ่งขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ทำเงินให้บริษัทมหาศาล แต่ถึงที่สุด วันหนึ่งเมื่อผมตัดสินใจลาออก ก็กลับกลายเป็นว่าต้องมีคดีความกับบริษัท จะไปร้องเพลงที่ค่ายอื่น หรือแม้แต่จะไปเรียนต่อเมืองนอกอย่างที่ตั้งใจไว้แต่ต้นก็ทำไม่ได้ ชีวิตผมตอนนั้นเหมือนเจอทางตัน ลำบากที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ ต้องไปร้องเพลงในผับในบาร์ที่พัทยา ซึ่งเต็มไปด้วยควันบุหรี่และนักเที่ยว
ที่พยายามจะยัดเยียดให้ผมดื่มเหล้ากับเขาให้ได้
เมื่อคนรอบตัว ทั้งเพื่อนฝูง พ่อแม่พี่น้องเห็นชีวิตผมตกต่ำลำบาก ก็พยายามยื่นมือมาช่วยเหลือให้กำลังใจ หมูเพื่อนสนิทพาไปดูดวง เพื่อนอีกกลุ่มพาไปหาซินแสปรับฮวงจุ้ย พี่น้องพาไปไหว้ศาลเจ้าพ่อเจ้าแม่ไปไหว้พระธาตุตามต่างจังหวัด ผมก็ไปกับพวกเขา แต่ในที่สุดปัญญามันก็เกิด เมื่อมานั่งคิดว่าสิ่งที่เราทำมันเห็นแก่ตัว เราไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอนั่นขอนี่ก็เฉพาะตอนที่มีความทุกข์ อยากเอาตัวรอด แต่ตอนที่มีความสุข เรากลับไม่สนใจ ยิ่งตอนที่พี่พาไปไหว้ศาลเจ้าพ่อเจ้าแม่แล้วบอกว่า “น้องอ๊อดพูดตามนะ ขอให้ข้าพเจ้าพ้นทุกข์พ้นโศกขอให้ข้าพเจ้าร่ำรวยเป็นร้อยล้านพันล้าน…”ผมก็ยิ่งได้คำตอบที่ชัดเจนว่า นี่ไม่ใช่หนทางแก้ปัญหา เพราะความสุขในชีวิตไม่ได้อยู่ที่รวยร้อยล้านพันล้านแน่ ๆ และที่สำคัญ ครูบาอาจารย์สายวัดป่าก็ไม่เคยสอนให้เรามานั่งสะเดาะเคราะห์ มีแต่จะสอนว่า“ทำเหตุให้ดีก่อน แล้วผลก็จะดีตามมา”
ด้วยเหตุนี้ ช่วงที่ตกงานผมจึงพยายามทำแต่สิ่งที่ดี ๆ ไปทำหนังสือกับกระทรวงศึกษาธิการ ไปแต่งเพลงประกอบการเรียนการสอน แบกตลับเทป 30,000 กว่าม้วนไปที่สำนักงานขนส่งด้วยตัวเอง การเป็นเด็กช่วยงานวัดมาตลอดทำให้ผมเป็นคนหนักเอาเบาสู้ ถึงลำบากก็ไม่ตีโพยตีพาย ผมเชื่อมั่นในความดีเสมอมา เชื่อว่าการทำความดีเปรียบเหมือนการปลูกมะม่วง เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็จะให้ดอกให้ผล แม้จะทำความดีมาโดยตลอด แต่ถ้ายังไม่ถึงเวลาที่ผลดีจะตอบสนอง เราก็มีหน้าที่ทำความดีต่อไป
หลังจากล้มลุกคลุกคลานอยู่ 4 - 5 ปีชีวิตของผมก็เหมือนมีปาฏิหาริย์ เมื่อได้ไปทอดผ้าป่าช่วยชาติกับหลวงตามหาบัว จู่ ๆชีวิตที่เคยเป็นศูนย์ก็มีสิ่งดี ๆ เข้ามาชนิดที่ผมเองก็ยังไม่อยากเชื่อ!
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
Secret Box
ใครผิดถูกดีชั่วก็ตัวเขา ใจของเราเพียรระวังตั้งถนอม อย่าให้อกุศลวนมาตอม ควรถึงพร้อมบุญกุศลผลสบาย
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
จาก http://www.secret-thai.com/article/5657/ronnachai3/ (http://www.secret-thai.com/article/5657/ronnachai3/)
(http://www.secret-thai.com/wp-content/uploads/2016/02/IMG_5358-e1454994914875.jpg)
ชีวิตใต้ร่มใบบุญพุทธศาสนา ของ อ๊อด - รณชัย ถมยาปริวัฒน์ (จบ)
ในชีวิตของผม (อ๊อด - รณชัย ถมยาปริวัฒน์) เคยผ่านการบวชมาแล้วสองครั้ง ครั้งแรกตอนอายุ 22 ปี ครั้งที่สองตอนอายุ 28 ปีเหตุที่บวชอีกครั้งเพราะได้บนบานไว้ ขอให้พี่ชายรอดชีวิตจากการผ่าตัดสมอง
ตอนนั้นผมลำบากมาก ต้องออกจากวงการไปเป็นนักร้องตามผับตามบาร์ เงินเก็บก็ไม่มี เมื่อพี่ชายประสบอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์ล้มหัวฟาด ต้องผ่าตัดสมอง มีค่าใช้จ่ายถึงสามแสนบาท โดยที่โอกาสรอดมีเพียงแค่ 40เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่ผมก็ยินดีทำทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตพี่ชายไว้
ครูบาอาจารย์แนะนำให้ผมนั่งสมาธิแล้วอธิษฐานจิตถึง ท่านพ่อเฟื่อง โชติโกเจ้าอาวาสคนแรกของวัดธรรมสถิต จังหวัดระยอง ที่ผมนับถือ ปรากฏว่า หลังผ่าตัดพี่ชายผมรอดราวปาฏิหาริย์ แต่ด้วยความที่สมองบางส่วนของเขาได้รับความกระทบกระเทือน ทำให้พูดไม่เป็นภาษา ตอนนั้นผมรู้สึกทุกข์มาก เพราะปัญหาหลายอย่างเข้ามารุมเร้า แต่โชคยังดีที่การรับใช้ครูบาอาจารย์สายวัดป่าทำให้ผมได้รู้จักกับ หลวงปู่วัย ซึ่งเคยเป็นอาจารย์หมอสอนอยู่เมืองนอกแต่กลับมาบวชตลอดชีวิตที่เมืองไทย และสนใจศึกษายาแผนไทยอย่างจริงจัง ท่านบอกผมว่า ยาฝรั่งตามหลังยาไทยอยู่ไม่ต่ำกว่า 80 ปี
หลวงปู่วัยเขียนชื่อยาไทยให้ผมไปซื้อที่ร้านเจ้ากรมเป๋อ เมื่อให้พี่ชายกิน สมองของเขาก็ค่อย ๆ ฟื้นตัว จนทุกวันนี้ แม้ว่าเขาจะพูดจาสื่อสารกับเราได้ยาก แต่ก็สามารถดูแลตัวเองได้ทุกอย่าง เพียงแค่นี้ผมก็มีความสุขมากแล้ว หลังจากที่พี่หาย ผมก็ตัดสินใจบวช และการบวชครั้งนี้ทำให้ใจของผมได้สัมผัสกับธรรมะของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
ชีวิตดีขึ้น หลังทำผ้าป่าช่วยชาติ
ผมมีโอกาสได้ฟังเทศน์จากหลวงตามหาบัว ท่านพูดว่า พระอรหันต์มีจริงนิพพานมีจริง และสิ่งนี้ได้เกิดกับท่านตั้งแต่อายุ 30 กว่า ๆ แม้ว่าใจหนึ่งจะคิดว่าท่านพูดแบบนี้ได้อย่างไร เพราะมันเหมือนอวดอุตตริมนุสสธรรม แต่อีกใจหนึ่งก็เกิดความปีติยินดีจนน้ำตาไหล เพราะเราก็ศรัทธาในพระพุทธศาสนามานานแล้ว แต่มีพระรูปนี้ที่เอ่ยเรื่องนี้ให้เราได้ฟัง ท่านพูดเพื่อให้ทุกคนมาช่วยชาติ ไม่ได้พูดเพื่อประโยชน์ส่วนตนใด ๆ
เมื่อสึกแล้ว ผมก็เข้าไปช่วยงานหลวงตามหาบัว เช่น ช่วยทำสปอตโฆษณาเป็นโฆษกพูดตามงานต่าง ๆ ช่วยทำโรงทานจัดดอกไม้ในงานต่าง ๆ ยกเครื่องเสียงตั้งโต๊ะ เต็นท์ ฯลฯ ผมทำทุกอย่างด้วยใจแทบไม่น่าเชื่อ หลังจากนั้นชีวิตของผมก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี จากที่ไม่มีอะไรเลย ก็เริ่มเห็นแสงสว่างเป็นครั้งแรก
แม้ว่าผมจะเรียนจบเศรษฐศาสตร์มาก็จริง แต่เคยไปลงเรียนวิชาทางด้านครุศาสตร์ และสนใจพระพุทธศาสนาและจิตวิทยา ทำให้ผมอยากพัฒนาเรื่องการศึกษาของเด็กไทย และคิดว่าถ้าให้ดีที่สุดก็ต้องเริ่มตั้งแต่วัยอนุบาลและวัยประถม ผมและแม่ของภรรยาซึ่งเป็นครูมาตลอดชีวิตจึงได้ร่วมมือกับนักวิชาการทางการศึกษาคิดค้นหลักสูตรที่เรียกว่า “ดนตรีคีรีบูน พัฒนาอัจฉริยภาพ” ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมในวัยอนุบาลด้วยการใช้กระบวนการทางดนตรี
ช่วงแรก ๆ ที่ทำ ผมต้องไปทดลองสอนเด็กอนุบาลที่โรงเรียนต่าง ๆ ฟรี ทั้งที่ตอนนั้นตัวเองก็ลำบาก ต้องทิ้งอย่างอื่นเพื่อมาทำงานการศึกษาอย่างจริงจัง เงินทองก็ไม่มี ถึงขนาดที่ครั้งหนึ่งเคยมองทุ่งหญ้าข้างทางแถวรามอินทรา แล้วคิดว่า “นี่ถ้าเรากินหญ้าได้ ชีวิตคงจะไม่ยุ่งยาก” แต่ผมก็กัดฟันสู้ไม่ถอยมาเป็นสิบ ๆ ปี จนวันนี้เริ่มเห็นดอกผลของสิ่งที่บากบั่นมาด้วยสมองและสองมือของตัวเอง เมื่อโรงเรียนต่าง ๆเกิดความศรัทธาในวิธีการสอนของผม หลักสูตรที่คิดค้นก็เลยได้นำไปใช้ในโรงเรียนกว่า 40 แห่ง และปัจจุบันผมเปิดเป็นโรงเรียนคีรีบูน จีเนียสมิวสิค อีกด้วย
ดนตรีพัฒนาอัจฉริยภาพที่ผมคิดค้นเป็นการปลูกฝังนิสัยที่ดีให้กับเด็ก โดยจัดการเรียนการสอนที่เป็นกระบวนการกระบวนการที่ว่านี้ใช้ทั้งเพลง นิทาน เกมและสื่อการสอนต่าง ๆ อย่างเช่น ผมจะสอนการฝึกคิดวิเคราะห์ให้กับเด็ก ก็สอนผ่านเพลง พายเรือ ที่ผมจะให้ไม้พายกับเด็กทุกคน แล้วให้พายเรือไปตามจังหวะของเพลงเช่น ร้องเพลงว่า “ลงเรือ พายไป ตามคลอง” เด็กก็จะยกไม้พายขึ้นลงตามเพลงตามมาด้วยเนื้อร้องท่อนต่อไปว่า “ตาจ้องมองสองฝั่งข้างทาง หูฟังเสียงอะไรกันบ้าง”แล้วดนตรีก็หยุด มีเสียงดังออกมาเป็นเสียงนกหวีดและเสียงเด็ก ๆ เต็มไปหมด ผมก็จะถามเด็ก ๆ ว่า “ช่วยครูอ๊อดคิดหน่อยสิลูก เราพายเรือมาถึงที่ไหนนะ ที่มีเสียงนกหวีดกับเด็กเจี๊ยวจ๊าว คิดว่าเป็นที่ไหน…”
นี่คือตัวอย่างการสอนของผม ซึ่งทำให้เด็กมีความสุขในการเรียน ผมอยากปลูกฝังสิ่งนี้ให้กับเด็กทุกคน และที่สำคัญทำให้เด็ก ๆ เห็นว่าการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด เราเรียนรู้ได้ไปตลอดชีวิตของเรา และหลังจากนี้ผมก็จะทำเรื่องคณิตศาสตร์ด้วย เพราะทั้งดนตรีและคณิตศาสตร์ก็มีธรรมชาติคล้ายกัน
ทุกวันนี้ เด็กที่ผ่านกระบวนการสอนของผม นอกจากจะเรียนเก่งแล้ว ก็ยังมีพัฒนาการด้านดนตรีดีมาก สามารถทำวงดนตรีไปแข่งขันกับพี่ ๆ ในระดับมหาวิทยาลัยจนได้รับรางวัลกลับมา
ผมยังจำคำที่หลวงตามหาบัวพูดได้ดีว่า “ใครที่มาช่วยกันในงานผ้าป่าช่วยชาติไม่ใช่บุญธรรมดาเลยนะ แต่เป็นมหาบุญมหากุศลจริง ๆ เพราะถ้าเราช่วยประเทศชาติรอด พระพุทธศาสนาซึ่งเจริญที่สุดในโลกที่ประเทศไทยก็จะอยู่รอดไปด้วยเพราะถ้าตอนนั้นต่างชาติเข้ามา พุทธศาสนาก็อาจจะอ่อนแอ อาจไม่มีกฎหมายให้เราลาบวชได้ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าชาติอยู่รอดพระพุทธศาสนาอยู่รอด สถาบันพระมหากษัตริย์ของเราก็จะอยู่รอดด้วย เท่ากับเป็นการช่วยยกทั้ง 3 สถาบัน”
และด้วยผลบุญกุศลในครั้งนั้นก็ทำให้ทุกวันนี้ชีวิตของผมดีขึ้นเรื่อย ๆ แม้ไม่ร่ำรวย แต่ก็อยู่ในจุดที่สามารถดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องหันไปมองหญ้าข้างทางเหมือนสมัยก่อนอีกแล้ว
ชาติหน้าฉันใด ขอให้ได้เกิดเป็นชาวพุทธ
นอกจากบุญกุศลที่ทำจะช่วยให้ชีวิตของผมดีขึ้นแล้ว ครั้งหนึ่งผมเคยรอดชีวิตจากอุบัติเหตุราวปาฏิหาริย์ ครั้งนั้นผมหลับในขณะขับรถขึ้นทางด่วนตอนตีสาม รถวิ่งมาด้วยความเร็ว 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเพียงแค่คืบเท่านั้น รถของผมก็จะชนกำแพงข้างทางแล้ว แต่ด้วยเดชะบุญทำให้ผมตื่นทันและแฉลบรถออกมาได้ จึงไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ ครั้งนั้นผมนึกถึงครูบาอาจารย์ นึกถึงพระพุทธรูปที่ท่านพ่อเฟื่องมอบให้ พร้อมคำพูดที่ว่า “เก็บไว้ดี ๆ นะสิ่งนี้จะรักษากายได้ แต่ไม่สามารถรักษาใจ”เมื่อมั่นใจว่าความดีเท่านั้นที่จะรักษาเราได้ผมก็เดินหน้าทำความดีต่อไป โดยตอนนี้ผมได้รับมอบหมายให้ดูแลการสร้างเจดีย์ที่ดอยธรรมสถิต จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นโครงการใหญ่ที่ผมต้องทำให้สำเร็จให้ได้
อย่างไรก็ตาม สำหรับผม ศาสนาไม่ได้อยู่ที่วัตถุสิ่งของต่าง ๆ แต่ศาสนาอยู่ในหัวใจของเราทุกคน ทุกวันนี้หลายคนเสื่อมศรัทธาในพุทธศาสนา เพราะสื่อนำเสนอแต่แง่ไม่ดี ข่าวไม่ดีของพุทธศาสนาได้ลงหน้าหนึ่ง แต่ข่าวดี ๆ มีพื้นที่หลบอยู่ด้านในนิดเดียว ผมอยากให้หลาย ๆ คนรู้จักบริโภคสื่อให้เป็นให้เท่าทันด้วย ไม่อย่างนั้นวันหนึ่งพุทธศาสนาของเราก็จะไม่สามารถอยู่รอดได้
ที่สำคัญ การที่เราจะดูแลพุทธศาสนาก็ไม่ควรหลงไปตามกระแสบุญนิยมหรือไปยึดติดตัวบุคคลแล้วลืมคำสอนที่แท้จริงพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เราจัดพิธีที่สวยงามนั่งเรียงเป็นแถว แต่สอนให้เรามีดวงจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ และไม่ไปยึดติดแบบแผนอะไรที่เป็นแค่เพียงกระพี้ เพราะฉะนั้นเราอย่าหลง แต่ควรศึกษาพุทธศาสนาให้ถึงแก่นศาสนาพุทธมีความเป็นวิทยาศาสตร์ สอนเราให้เข้าถึงเหตุและผล เช่น ถ้าชีวิตคุณอยากได้อะไร คุณต้องทำในสิ่งนั้น เมื่อทำเหตุดีแล้ว ผลย่อมดีตามมา
สำหรับผม วิชาความรู้ทางโลกต่าง ๆที่เราเรียนนั้นยังเป็นอวิชชา เพราะเราเรียนรู้ได้ไม่จบไม่สิ้น เป็นการเรียนเพื่อตอบสนองกิเลสตัณหาของมนุษย์ แต่พระพุทธศาสนาเป็นวิชาที่เรียนรู้แล้วจบแล้วสิ้น จบเพื่อดับกิเลสของเรา ไม่ให้ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก
ดังนั้น ชาติหน้าฉันใด ผมไม่ได้อยากเกิดเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงโด่งดังกว่าที่เคยเป็นแต่ผมขอตั้งจิตว่า
“ถ้าข้าพเจ้ายังต้องเวียนว่ายตายเกิดก็ขอให้เป็นคนที่มีสัมมาทิฏฐิประจำดวงจิตเป็นคนมีเหตุมีผล แล้วก็ขอให้เกิดอยู่ในบวรพุทธศาสนา และถ้าเป็นไปได้ ก็ขอให้ข้าพเจ้าได้บวช”
ผมขอเพียงแค่นี้ครับ
Secret Box
มีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องรู้สึกว่าเราอยากดี-เด่น-ดังอะไรเลย เพียงแต่ขอให้รู้สึกว่าเป็นผู้มีประโยชน์ที่สุดคนหนึ่ง นั่นแหละถูกต้องและเป็นสุขแท้
พุทธทาสภิกขุ
จาก http://www.secret-thai.com/article/5661/ronnachai4/ (http://www.secret-thai.com/article/5661/ronnachai4/)