ใต้ร่มธรรม
อริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมอันดี => มาลาบูชาครู => สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก => ข้อความที่เริ่มโดย: มดเอ๊กซ ที่ ตุลาคม 25, 2016, 03:34:50 am
-
(http://img.tnews.co.th/large/tnews_1477289491_5535.jpg)
24 ตุลาคม วันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ สมเด็จพระญาณสังวรฯ น้อมถวายอาลัย เดือนแห่งการสูญเสีย “สองธรรมราชา”
(http://www2.tnews.co.th/userfiles/image/02003601.jpg)
ในหนังสือ "สองธรรมราชา" สมเด็จพระญาณสังวรฯ ทรงให้สัมภาษณ์กับคุณอัครวัฒน์ โอสถานุเคราะห์ เกี่ยวกับความรู้สึกที่เคยเป็นพระอภิบาลของในหลวงรัชกาลที่ ๙ เมื่อครั้งทรงพระผนวชและประทับอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร ว่า ...
"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระผนวชที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๔๙๙ โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงเป็นพระราชอุปัชฌาย์ แล้วเสด็จฯ มาทรงปฏิบัติสมณวัตรในสำนักสมเด็จพระราชอุปัชฌาย์ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร จนถึงวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๙ จึงทรงลาผนวช อยู่ ๑๕ วัน
สมเด็จพระสังฆราชเจ้าได้ทรงมอบหมายให้เป็นพระพี่เลี้ยงก็ได้ปฏิบัติหน้าที่ซึ่งได้มอบหมายให้สนองพระเดชพระคุณ จากการที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวได้มีความรู้สึกว่า
พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะได้ทรงผนวชตามราชประเพณีอย่างเดียวเท่านั้นก็หามิได้ แต่ทรงพระผนวชด้วยพระราชศรัทธาที่ตั้งมั่นในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง มิได้ทรงเป็นบุคคลจำพวกที่เรียกว่า 'หัวใหม่' ไม่เห็นศาสนาเป็นสำคัญ แต่ได้ทรงเห็นคุณค่าของพระศาสนา
(http://www2.tnews.co.th/userfiles/image/730214-img-1387364151-1.jpg)
ฉะนั้น ถ้าเป็นบุคคลธรรมดาสามัญก็กล่าวได้ว่า 'บวชด้วยศรัทธา' เพราะทรงพระผนวชด้วยพระราชศรัทธา ประกอบด้วยพระปัญญา และได้ทรงปฏิบัติพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด
ในหนังสือในหนังสือ 99 คำถามเกี่ยวกับสมเด็จพระสังฆราช ได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับทั้งสองธรรมราชาไว้ว่า
ช่วงก่อนที่จะได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ประมาณ พ.ศ. ๒๕๒๐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มักเสด็จฯ ไปที่วัดเพื่อสนทนาธรรม โดยรับเสด็จที่โบสถ์บ้าง ที่ตำหนักบ้าง แต่ช่วงหลังไม่สะดวก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงนิมนต์เจ้าพระคุณสมเด็จฯ กับพระสงฆ์อีก ๑๕ รูป เข้าไปในพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เพื่อถวายสังฆทานทุกวันจันทร์ หลังจากถวายสังฆทานแล้ว จะทรงสนทนาธรรมเป็นเวลานับชั่วโมง
(http://www2.tnews.co.th/userfiles/image/730214-img-1387364151-11.jpg)
นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ส่งเจ้าหน้าที่ไปบันทึกโอวาทและเทศนาต่างๆ ในพระอุโบสถ และคำสอนพระใหม่ คำอบรมกรรมฐานตอนกลางคืน ของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ที่วัดบวรนิเวศวิหาร และของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (วิน ธมมสาโร) วัดราชผาติการาม แล้วนำไปฟัง ซึ่งน่าจะเริ่มตั้งแต่ปี ๒๕๑๐
พลตำรวจเอกวสิษฐ เดชกุญชร อดีตนายตำรวจราชสำนัก กล่าวถึงเรื่องเดียวกันนี้ว่า
“ผมเชื่อว่าท่านทรงขึ้นต้นถูก และได้ครูที่มีความสามารถ ครูองค์นี้หรือรูปนี้ คือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน ท่านเป็นพระพี่เลี้ยงพระเจ้าอยู่หัวในขณะที่ประทับอยู่ที่วัดบวรฯ เพราะฉะนั้นก็ได้ครูธรรมที่เรียกว่าชั้นยอดที่สุดของเมืองไทย
ผมเห็นท่านทรงศึกษาจากตำราของครูบาอาจารย์เอง เสด็จฯ ไปที่ไหนก็ตาม ที่มีพระที่มีความรู้ทางกรรมฐาน ทางวิปัสสนาจะเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมและรับสั่งกับพระเหล่านี้ทุกรูป
(http://www2.tnews.co.th/userfiles/image/sskk.jpg)
สองธรรมราชาคู่พระบารมีแห่งแผ่นดิน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถวายน้ำพระมหาสังข์ทักษิณาวัฏแด่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ในพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๒ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
(http://www2.tnews.co.th/userfiles/image/730214-img-1387364151-9.jpg)
ดังนั้น เดือนตุลาคมนี้...จึงเป็นเดือนที่มีคาวามสำคัญทางประวัติศาสตร์ เนื่องจากเป็นเดือนที่มีวันคล้ายวันประสูติ ของเจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ประสูติเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2456
สิ้นพระชนม์วันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556
และการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559
ทั้งสองงพระองค์ถือเป็นสองธรรมราชาคู่บุญ คู่บารมีแห่งแผ่นดินไทย เดือนตุลาคมจึงนับเป็นเดือนแห่งความสูญเสียครั้งสำคัญ ในหน้าประวัติศาสตร์ประเทศไทย
น้อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย
ทีมข่าว ปัญญาญาณ ทีนิวส์
จาก http://panyayan.tnews.co.th/contents/209978/ (http://panyayan.tnews.co.th/contents/209978/)