ใต้ร่มธรรม

แสงธรรมนำใจ => ดอกบัวโพธิสัตว์ => วัชรยาน => ข้อความที่เริ่มโดย: มดเอ๊กซ ที่ สิงหาคม 30, 2010, 04:22:01 pm

หัวข้อ: ฉันหรือ .. คือใคร ?
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊กซ ที่ สิงหาคม 30, 2010, 04:22:01 pm
ข้าพเจ้าเพิ่งกลับมาจากงานภาวนา เป็นเวลาสองวันที่เชียงใหม่  เป็นช่วงเวลาที่ดีมากๆ  ในการได้พบเจอและเรียนรู้กับครูบาอาจารย์สายวัชรยานอีกสายหนึ่ง  ในเบื้องต้นที่ข้าพเจ้าสนใจไปงานภาวนานี้ เนื่องจากพี่สาวที่คุ้นเคยกันแจ้งว่า  อจ.กฤษดาวรรณ หงส์ลดารมภ์ จะมางานภาวนานี้ด้วย  สิ่งที่ข้าพเจ้าสนใจก็คือ การได้พบเจอกับอาจารย์ กฤษดาวรรณ มากกว่าจะคิดถึงว่าธรรมาจารย์เป็นใครมาจากไหนด้วยซ้ำ
 
(http://gotoknow.org/file/yanuprom/book12a.JPG)
 
 ข้าพเจ้ารู้จักชื่อของอาจารย์จากหนังสือเล่มหนึ่งที่อาจารย์เขียน ที่มีชื่อว่า “ แทบธุลีดิน “  กัลยาณมิตรที่นับถือกันท่านหนึ่งเคยนำมาให้ยืมอ่าน  ข้าพเจ้ารู้สึกทึ่งมากกับเรื่องราวในหนังสือที่อาจารย์เขียนเล่า ที่กล่าวถึงการเดินทางจาริกแสวงบุญ  ด้วยการกราบอัษฎางคประดิษฐ์เป็นเวลาถึง 18 วัน  เป็นระยะทาง 80 กิโล ของอาจารย์ที่ธิเบต  เป็นเรื่องราวที่ใครหลายๆคนอาจจะไม่เข้าใจ  แต่ข้าพเจ้ามองเห็นความศรัธทาอันยิ่งใหญ่มากๆ ของอาจารย์ผู้นี้  ศรัทธาที่ข้าพเจ้าไม่เคยมี และถึงแม้จะมีอยู่บ้างก็ไม่ได้มากมายสูงส่งเท่ากับท่าน 
 
(http://gotoknow.org/file/yanuprom/sc10.JPG)
 
ปัจจุบันหลายคนอาจจะรู้จักอาจารย์กฤษฎาวรรณเป็นอย่างดีแล้วจากเรื่องราวในสื่อต่างๆ เรื่องราวของอาจารย์เคยนำเสนอทางโทรทัศน์ด้วย  ผู้คนส่วนหนึ่งอาจจะสงสัยในใจว่า ในฐานะที่อาจารย์อยู่ในเมืองพุทธเถรวาท แต่ทำไมจึงสนใจไปศรัทธาในพุทธศานาสายวัชรยานของธิเบต   แต่ข้าพเจ้าไม่ได้สงสัยในเรื่องนั้น  เนื่องด้วยเหตุและปัจจัยของเราทั้งหลายนั้นไม่เหมือนกัน  แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าสนใจ เป็นเรื่องเส้นทางการภาวนาของอาจารย์มากกว่า   มีหลายๆครั้งที่เรามักจะพบเจอคนที่มีศรัทธาแก่กล้าในพุทธศานา ศรัทธาในครูบาอาจารย์ และพวกเขาเหล่่านั้นได้ทำอะไรหลายๆอย่างด้วยกำลังศรัทธาที่ล้นเหลือ  แต่พอถามว่า แล้วได้ทำสมาธิภาวนาด้วยหรือเปล่า หลายคนกลับตอบว่าไม่ได้ภาวนา
 
(http://gotoknow.org/file/yanuprom/sc6.JPG)
 
ส่วนข้าพเจ้านั้นอยู่ในหมู่คนจำพวกชอบภาวนา แต่มีศรัทธาไม่แก่กล้าสักเท่าไหร่ในการทำสิ่งต่างๆ  แถมมีความสงสัยอยู่ในใจมากมาย  และข้าพจ้าไม่ค่อยจะได้กระทำสิ่งใด หรือมีสิ่งใดที่บ่งบอกว่าตนเองมีศรัทธาแก่กล้าในพุทธศาสนา ที่พอจะมองเห็นเป็นรูปธรรมได้    แค่การตื่นแต่เช้า ลุกขึ้นมาใส่บาตรกับพระก็เป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตที่ข้าพเจ้า ต้องเตรียมการเตรียมเวลาล่วงหน้า     และต้องมีเหตุและปัจจัยจริงๆ  เพราะขนาดในวันเิกิดของตนเอง ข้าพเจ้าก็ไม่คิดที่จะทำบุญใส่บาตร แถมกลับตื่นสายไปทำงานเสียด้วยซ้ำในเช้าวันนั้น   วันก่อนเพื่อนที่สนิทและคุ้นเคยกันดีได้โทรศัพท์มาอวยพรวันเกิดแล้วถามว่า  เช้าวันนี้ใส่บาตรหรือไม่  ข้าพเจ้าก็ได้แต่ตอบว่า ไม่ได้ใส่  แถมลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปด้วยซ้ำ 
 
(http://gotoknow.org/file/yanuprom/sc3.JPG) 
 
การได้พบอาจารย์กฤษฎาวรรณจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใมาก  และในการไปครั้งนี้ก็ทำให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้แนวทางภาวนาของวัชรยาน เพิ่มเติมอีกสายหนึ่งคือสายเพิน และซกเช็น  แถมข้าพเจ้าได้เรียนรู้วิถีีแห่งการภาวนาของอาจารย์กฤษดาวรรณด้วย และพบว่าอาจารย์เข้าใจในวีถีของคนธิเบตแถมพูดภาษาธิเบตได้  อีกทั้งอาจารย์เป็นผู้ที่สนใจในการภาวนา และคงจะเป็นเส้นทางแห่งการภาวนาที่เปี่ยมไปด้วย พลังแห่งศรัทธาอันยิ่งใหญ่ แถม มีคุณค่า  และมีความหมายเป็นอย่างยิ่ง   
 
(http://gotoknow.org/file/yanuprom/sc1.JPG)
 
งานภาวนานี้ ยังเป็นโอกาสอันดีที่ทำให้ข้าพเจ้า ได้พบ ธรรมาจารย์ที่้เป็นพระลามะชาวธิเบตนามว่า พระอาจารย์ลาตรี  เคนโป  ญีมา ทรักปา  ริมโปเช ท่านเป็นพระลามะที่ใจดีมีเมตตาแถมอารมณ์ดีมากๆ  อายุท่านประมาณห้าสิบปี  ท่านมีท่าทีที่ดูสบายๆเอามากๆ   ท่านสอนให้เรานั่งสมาธิและสอนหลักการภาวนาอยู่หลายอย่าง และทำให้เราได้รู้จักภาพรวมกว้างๆของการภาวนาในแนวทางของเพินและซกเช็น
 
(http://gotoknow.org/file/yanuprom/sc2.JPG)
 
ท่านกล่าวว่าในการนั่งภาวนาทุกครั้งไม่ได้ขึ้นว่านั่งนานเท่าไหร่  การที่เรานั่งนานๆแต่ไม่มีคุณภาพ และไม่มีสติ ไม่มีความคมชัด เป็นการนั่งที่ไม่ได้ประโยชน์อย่างแท้จริง   ท่านกล่าวว่าเวลาไม่สำคัญอะไร  แต่คุณภาพนั้นสำคัญ  แม้กระทั่งเพียง  5 นาที ในการนั่งภาวนาแต่ถ้าเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ จะเกิดประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง  และอาจจะเกิดประโยชน์มากกว่าการนั่งเป็นชั่วโมงๆ  ก็เป็นได้    ดังนั้นสำหรับผู้เริ่มต้นใหม่ๆ  ท่านแนะนำให้เริ่มต้นด้วยเวลาเพียงห้านาทีสิบนาทีก่อน  ถ้าเราทำวันละหลายๆครั้งวันละ 10 นาที  เช่นทำวันละ สามครั้ง  เราก็เหมือนนั่งได้ถึงสามสิบนาที  เช่นกัน   การนั่งสมาธิแต่ละครั้งต้องมีความคมชัด ไม่ซึม ไม่เบลอแบบคนง่วงงาวหาวนอน  เพราะบางทีถ้าเป็นแบบนั้นสักครู่เราก็จะหลับ 
 
(http://gotoknow.org/file/yanuprom/sc9.JPG)
 
ท่านริมโปเชสอนว่า เราสามารถภาวนาได้ทุกเวลาทุกขณะที่ใช้ชีวิตประจำวัน  การภาวนาจนถึงความสงบของจิตจะเกิดความสุข แต่เราจะไม่หยุดอยู่เพียงนั้น เราต้องเข้าสู่ปัญญาและพิจารณาสิ่งต่างๆ   เพื่อจะได้มองเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของสรรพสิ่งทั้งหลาย
 
การภาวนาจะนำเราเข้าสู่จิตที่ใสสว่างกระจ่างแจ้ง  จิตเดิมแท้ที่แต่เดิมมีเมฆหมอกแห่งอวิชชา แห่งกิเลสมาบดบังไว้  เมื่อเมฆหมอกสูญสลายไปเราก็จะพบจิตที่สว่างไสวข้างใน  ในหลักการนี้ทุกสิ่งนั้นแต่เดิมดีอยู่แล้ว  เราทุกคนมีจิตอันสว่างไสวนี้อยู่ข้างใน  นั่นคือเรามีความเป็นพุทธะอยู่ข้างใน  ไม่มีอะไรที่แตกต่างกัน  เราทุกคนมีความสามารถที่จะเข้าถึงจิตนี้แบบพระพุทธเจ้าได้  เพราะสิ่งนี้มีอยู่ในตัวเราทุกคน
 
(http://gotoknow.org/file/yanuprom/sc5.JPG)
 
หลักคำสอนของเพินและซกเช็น คือการมองสรรพสิ่งอย่างเข้าใจ และเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของสิ่งทั้งหลาย  ความทุกข์ความเศร้าความโกรธหรืออะไรๆที่เกิดขึ้นในจิตใจเรานั้น ริมโปเชท่านสอนว่าให้เราเพียงแค่มองดู แค่รู้ ไม่ต้องไปเปลี่ยนแปลง ไม่ต้องไปหลีกหนี  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในจิตใจเรานั้นเมื่อถึงเวลา  มันก็จะสูญสลายไปได้เอง เราไม่จำเป็นต้องไปทำอะไร กับสิ่งเหล่านี้    เราไม่ต้องเดินหนี  ไม่ต้องหลีกเลี่ยง ทั้งไม่ต้องไปพยายามเปลี่ยนแปลง หรือจัดแจงอะไรๆ
   
(http://gotoknow.org/file/yanuprom/sc7.JPG)
 
เมื่อมีความทุกข์หรืออะไรๆ ก็ตามเกิดขึ้นกับเรา  ท่านสอนให้มองเข้ามาในจิตในใจของเราก่อน    สิ่งที่เราเห็น สิ่งที่เราเป็น และเหตุทั้งหลายทั้งปวงมาจากข้างในทั้งสิ้น   เข้าทำนองว่าเมื่อเราคิดดีทำดีจากภายใน  สิ่งภายนอกทั้งหลายก็จะดีด้วย
 
ท่านสอนว่าเมื่อตื่นนอนตอนเช้า  ขอให้เราทั้งหลายเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการตั้งปณิธาน ตั้งจิตตั้งใจในการทำสิ่งที่ดีๆ  นั่นคือ เริ่มต้นวันใหม่ด้วย  Good motivation  และทั้งวันของวันนั้นขอให้เป็น Good action  ตามปณิธานที่เราตั้งใจไว้   และให้จบวันนั้นด้วย   Dedication  ก่อนเข้านอนให้เราระลึกถึงสิ่งต่างๆ ที่เราได้กระทำมาทั้งวัน ให้พิจารณาว่าเราได้ทำอะไรบ้างที่ดีงามและได้ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นอะไรบ้างตามปณิธานที่ตั้งใจไว้ ท่านให้เรานึกถึงความดีทั้งหลายที่ได้กระทำไปในวันนั้น และนึกถึงความดีทั้งหลายที่ใครก็ตามได้ทำไปในวันนั้น   จากนั้นขอ ให้เราอนุโมทนาบุญพร้อมกับอุทิศส่วนกุศลที่ทำทั้งหมดมอบแด่สรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งใกล้และไกลทุกสารทิศ 
 
ท่านริมโปเช  ยังพูดคำว่า “อนุโมทนา  “  เป็นภาษาไทยอยู่หลายครั้ง  ดูเหมือนท่านประสงค์จะพูดคำนี้เพื่อสื่อให้เราเข้าใจ แม้ท่านจะบรรยายธรรมเป็นภาษาอังกฤษอยู่ก็ตาม 
 
การภาวนาท่านกล่าวว่าครูบาอาจารย์เป็นเพียงแรงบรรดาลใจ และแบ่งปันหนทาง  สุดท้ายแล้วเราต้องปฎิบัติและภาวนาด้วยตัวเอง  แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่อาจช่วยอะไรเราได้  เราต้องเป็นอาจารย์ของตัวเอง สิ่งที่เราอ่านนั้น  ท่านกล่าวว่ามันเป็นเพียงข้อมูล  ( information )  เราไม่อาจประจักษ์แจ้งเรื่องอะไรๆจากการอ่านเพียงประการเดียวได้ถ้าไม่เข้าสู่วิถีการปฎิบัติ   ท่านเปรียบเทียบว่า  อาหารที่วางอยู่ตรงหน้า ถ้าเราได้แต่มอง ได้แต่รู้ข้อมูลว่ามันมีรสชาดเป็นเช่นนั้นเช่นนี้  ทว่าหากเราไม่หยิบเข้าปากลองชิมดูเอง  เราก็จะไม่สามารถรู้รสชาดที่แท้จริงได้
 
(http://gotoknow.org/file/yanuprom/sc4.JPG)
 
ในวันนั้นริมโปเชยังให้การบ้านว่า  ให้เราทั้งหลายกลับไปพินิจพิจารณา และหาคำตอบว่า   “ ฉันนี้คือใคร??   ฉันคนที่คิดที่นึก  ฉันที่โกรธ ฉันที่อยากมีนั่นมีนี่    ฉันคนที่เราทั้งหลายพยายามปกป้องอยู่ทุกวันนี้  คือใคร ? “
 
นี่คือการบ้านที่เราผู้เข้าร่วมภาวนาทั้งหลายต้องไปค้นหา  ไปภาวนาเพื่อทำความเข้าใจ  แล้วนำมาตอบท่านในวันรุ่งขึ้น 
นี่เป็นการบ้านที่ข้าพเจ้าเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้ื และได้ค้นหามาตลอดชีวิต และได้ตั้งคำถามมาตลอดชีวิตเช่นกัน
 
มันออกจะน่าแปลกใจอยู่ที่เราทั้งหลายมักจะอยากรู้จักเรื่องราวของคนอื่นๆ  อยากเข้าใจและอยากทำความคุ้นเคยกับคนอื่นๆ  ที่เราสนใจ แต่เมื่อถึงเวลาที่เราต้องถามตัวเองและทำความคุ้นเคยกับตัวเอง เราก็พบว่า อันที่จริงแล้วคนที่เราไม่เคยรู้จักและไม่ค่อยคุ้นเคยเลยก็คือตัวของเรานี่เอง   
 
เรามักจะบิดเบือนปิดบังและตกแต่ง “ฉัน”  ที่เรายังไม่คุ้นเคย แถมไม่ค่อยจะรู้จักดีนักนี้ด้วยวิธีการต่างๆ บางครั้งเราไม่กล้าแม้แต่จะยอมรับความเป็นตัวตนที่แท้จริงของเราเอง  เรามักจะสรรสร้างปั้นแต่งตัวตนของเราตามความคิดเห็นของเราเอง ว่ามันควรจะเป็นเช่นนั้นเช่นนี้  เราควรจะเป็นคนแบบนั้นแบบนี้ ควรจะเป็นคนดีอย่างนั้นอย่างนี้  บางครั้งภาพลักษณ์ของ “ฉัน”  จึงเป็นเพียงภาพลวงตาที่เราสร้างขึ้นมาไว้หลอกตัวเอง  แต่เมื่อใดหรือใครก็ตามมาวิพากษ์วิจารณ์เรา  และไม่ตรงตามที่เราเสกสรรปั้นแต่งไว้ เราก็จะไม่พอใจและโกรธ ทั้งๆที่บางครั้งสิ่งที่เขากล่าวถึงนั้นมีความจริงอยู่หลายส่วน แต่เราก็ยอมรับไม่ได้  สุดท้ายแล้วเราไม่เคยรู้จักตัวเองเลย ไม่เข้าใจตัวเอง อย่างแท้จริงเลย แถมไม่เคยยอมรับความต้องการที่แท้จริงของตัวเองแม้สักครั้ง  เราจึงไม่เคยรู้จักตัวตนที่บอกว่า “ คือตัวฉัน”   แม้แต่น้อย   
 
คำว่า “ฉันคือใคร”  จึงเป็นเรื่องที่หลายๆคนต้องรู้สึกสะเทือนใจและไม่อาจที่จะทนค้นหาต่อไปได้  และเป็นที่แน่ชัดว่า  บางครั้งเราก็ไม่ได้รู้จัก “ ฉัน” คนที่ว่าแม้แต่น้อย  สุดท้ายกลายเป็นว่าสิ่งที่เราควรจะค้นหา   ควรจะเรียนรู้ ควรจะพยายามมองเข้าไปอย่างลึกซึ้งก็คือตัวตนของเรานี่แหละ   ตราบใดที่เรายังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรา  มันก็คงยากอยู่ที่จะไปรู้จักคนอื่นๆ  และไปทำความคุ้นเคยกับคนอื่นๆ อย่างเข้าใจถ่องแท้ได้   
 
ข้าพเจ้านึกถึงคำสอนของท่านเชอเกียมตรุงปะ ในหนังสือชัมบาลาขึ้นมาได้ บทที่กล่าวถึงขั้นตอนของการเป็นนักรบ  มันคงถึงเวลาและ ถึงขั้นตอนของการถอดหน้ากากของตัวเองออกแล้วกระมัง  หน้ากากที่เราห่อหุ้มปรุงแต่งไว้มากมายหลายชั้น รวมทั้งถึงเวลาของการยอมศิโรราบต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในตัวเรา  เพื่อเราจะได้รับรู้ว่าแท้จริงแล้วฉันคือใคร ??
 
มีคำพูดหนึ่งที่พี่สาวผู้เป็นศิษย์เดิมแท้ของทักโปควกิวกล่าวเสมอก็คือคำว่า “ความชัดเจนในตัวเอง”    คำนี้มีความสำคัญอย่างมากทีเดียว  ถ้าเราไม่ชัดเจนในตัวเอง  เราจะไม่เข้าใจตนเอง แถมคนอื่นๆก็จะไม่เข้าใจตัวเราเองด้วย   ทุกวันนี้เราหลายคนมีปัญหาในการแสดงเจตจำนงที่แท้จริงในจิตใจเรา  เราไม่กล้าที่จะบอกว่าเราไม่ชอบอะไร  ไม่อยากทำอะไร ด้วยเพราะว่าเราเกรงใจคนรอบข้าง  การที่เราไม่บอกอะไรไปตรงๆ มักจะกลับกลายเป็นการสร้างความอึดอัดใจให้อีกฝ่ายหนึ่งเสมอ  หลังๆข้าพเจ้าพบว่า การชัดเจนในความคิดความรู้สึก ในความต้องการของเราจะเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าในการไปสื่อสารกับคนรอบข้าง  ข้าพเจ้าว่าบางครั้ง ความเกรงใจก็ไม่อาจจะแก้ปัญหาที่แท้จริงได้   
 
เราควรจะชัดเจนพอที่จะบอกว่าเราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร และต้องการอะไร
 
(http://gotoknow.org/file/yanuprom/sc11.JPG)
 
กลับมาที่การบ้านของท่านริมโปเชในงานภาวนานี้   ในวันสุดท้ายก็ถึงเวลาที่เราจะต้องตอบคำถาม  มีหลายคนไม่อยากจะตอบ อาจจะเป็นเพราะยังคิดไม่ออกและบอกไม่ถูก แถมอาจจะเป็นเรื่องยากทีเดียวในการอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้  และข้าพเจ้าเองก็ไม่คิดจะส่งการบ้านนี้กับท่านริมโปเช  เหตุก็เพราะ ข้าพเจ้าเองก็ไม่อาจจะหาคำตอบได้ว่า  “ ข้าพเจ้านี้คือใคร  ฉันคนนี้คือใคร”
 
แต่ในที่สุดข้าพเจ้าก็ตัดสินใจตอบการบ้านท่าน ริมโปเช หลังจากที่มีใครหลายๆคนตอบการบ้านไปบ้างแล้ว  ข้าพเจ้าก็มีแรงบรรดาลใจที่จะกล่าวถึงคำตอบที่ยังไม่รู้อย่างแท้จริงแก่ท่าน
   ข้าพเจ้าได้ตอบการบ้านไปดังนี้
 
“ ฉัน .. คือใคร “
 
“ นี่คือคำถามที่ข้าพเจ้าเพียรถามตัวเองมาตั้งแต่เด็ก  ฉันคือใคร  มาจากไหน และมาทำไม เพื่ออะไร   และไม่เคยหาคำตอบได้เลย แต่หลังจากเข้าสู่วิถีแห่งการภาวนามาได้เกือบสามปี  และศึกษาเรียนรู้แนวทางภาวนาทั้งในสายเถรวาท  มหายาน และวัชรยาน  ก็พยายามค้นหาว่าฉันคือใครมาตลอด  ขณะนี้พบว่า   ฉันไม่ใช่ร่างกายนี้ เพราะถ้าร่างกายนี้ไม่มีความคิดไม่มีความรู้สึกก็ไม่มีฉันอยู่    ฉันก็ไม่ใช่ที่ความคิดนี้เพราะความคิดนี้ที่มีเกิดขึ้นมันเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว สักครู่มันก็หายไป    และในความคิดนี้ก็ไม่ได้มีฉันอยู่ด้วยทุกครั้ง  เพราะบางทีก็มีตัวรู้หรือสิ่งหนึ่งที่เป็นผู้รับรู้ได้มองเห็นความคิดต่างๆ นั้น เป็นเหมือนใครอีกคนที่เป็นเพียงผู้ดู ผู้รู้ ผู้มองเห็น    แถมตัวผู้รู้นี้ ถ้าถูกกระทบกระเทือนจากภายนอกก็จะมีความรู้สึกว่า นี่คือฉัน นี่คือของฉันเกิดขึ้น  แถมตัวรู้นี้ บางครั้งมันก็มีอยู่  บางครั้งมันก็หายไป  และบางครั้งมันก็กลับมาอีก 
 
ฉันจึงไม่ใช่ร่างกายนี้ที่มีอยู่  ไม่ใช่ความคิดนี้ที่เกิดขึ้น  และไม่ใช่อยู่ที่ตัวผู้รู้นี้ที่มองเห็นความคิดทั้งหลาย ข้าพเจ้าจึงยังรู้สึกงุนงงและสงสัยอยู่ว่า ฉันคือใคร และใครคือฉันกันแน่ จากการภาวนาและได้ประจักษ์แจ้งในใจขณะนี้ก็พบว่า   “ ฉัน” ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน  และไม่อาจจะหาคำตอบที่แท้จริงได้ว่า  “ฉันคือใคร “ 
ตอนที่กล่าวมาถึงตรงนี้ต่อหน้าริมโปเช  ข้าพเจ้าก็รู้สึกสะเทือนใจอยู่ภายใน  ข้าพเจ้าเริ่มมองเห็นอย่างชัดเจนว่า  ข้าพเจ้าหาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้  และ “ ฉัน “ ก็ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน   รู้แต่เพียงว่ามันมาเป็นพักๆและจากไปเป็นพักๆ  ด้วยเหตุปัจจัยอะไรบางอย่าง  ได้ก่อเกิดความเป็นฉันและตัวฉันขึ้น  ด้วยกาย ด้วยจิต ที่ก่อเกิดรวมกันขึ้นจากผัสสะทั้งหลาย   เกิดความรู้สึกนึกคิด  เกิดความจำได้หมายรู้  เกิดการปรุงแต่งของสิ่งที่เกิดขึ้นในจิต  แล้วเกิดมีฉันขึ้น   ฉันที่ไม่เคยดำรงอยู่อย่างแท้จริง และถาวรเลย  ..    แล้วทำไมที่ผ่านมา  ข้าพเจ้าถึงยังยึดมั่นถือมั่นกับคำว่า  “ตัวฉันของฉัน”  มากมายนัก   เพราะตัวฉันที่แท้จริงไม่เคยมี  มันเพียงแต่เกิดขึ้น  ตั้งอยู่และดับหายไป  แถมวนเวียนเกิดมีขึ้นแล้วหายไปแบบนั้นตลอดทั้งวันทั้งคืน   ทุกเวลานาที ทุกลมหายใจเข้าออก  และทุกขณะจิต …     
 
  สิ่งที่ข้าพเจ้าเข้าใจในขณะนี้ก็คือ ฉันที่แท้จริงไม่เคยมีมาก่อน   แต่ทำอย่างไรจิตจะปล่อยและยอมรับว่า “ ฉัน “  แท้ที่จริงแล้วไม่เคยมี    คำตอบลึกๆในใจก็คือ  ข้าพเจ้าต้องภาวนาต่อไป  ….   
 
 
ขอบคุณภาพประกอบ .. โดยคุณหมอนกยักษ์
 
http://gotoknow.org/blog/sunmoola/303924 (http://gotoknow.org/blog/sunmoola/303924)
หัวข้อ: Re: ฉันหรือ .. คือใคร ?
เริ่มหัวข้อโดย: rain.... ที่ สิงหาคม 30, 2010, 04:44:15 pm
 :07: :07: :07: :07:
ขอบคุณคร้าฟฟฟฟฟฟฟฟฟ
หัวข้อ: Re: ฉันหรือ .. คือใคร ?
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ สิงหาคม 30, 2010, 07:48:50 pm
^^น่าไปมากครับ

 :13: อนุโมทนาครับ ขอบคุณครับพี่มด