:13: :13: :13:
จิตคือพุทธะ ตอน จิตหนึ่ง
โดยหลวงปู่ดูลย์ อตุโล
พระพุทธเจ้าทั้งปวงและสัตว์โลกทั้งสิ้นไม่ได้เป็นอะไรเลย นอกจากเป็นเพียงจิตหนึ่ง
นอกจากจิตหนึ่งแล้วไม่ได้มีอะไรตั้งอยู่เลย
จิตหนึ่งที่ปราศจากการตั้งต้นนี้ เป็นสิ่งซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นและไม่อาจจะถูกทำลายได้เลย
มันไม่ใช่สิ่งของมีสีเขียวหรือสีเหลือง และไม่มีทั้งรูปและการปรากฎ
มันไม่ถูกนับรวมอยู่ในบรรดาสิ่งต่างๆที่มีการตั้งอยู่หรือไม่มีการตั้งอยู่
ไม่อาจจะลงความเห็นว่า เป็นของใหม่หรือของเก่า มันไม่ใช่ของยาว ของสั้น ของใหญ่ ของเล็ก
ทั้งนี้เพราะมันอยู่เหนือขอบเขต เหนือการวัด เหนือการตั้งชื่อ เหนือการทิ้งร่องรอยไว้
หรือแม้การเปรียบเทียบทั้งหมดทั้งสิ้น
จิตหนึ่งนี้เป็นสิ่งที่เราเห็นว่าตำตาเราอยู่แท้ๆ แต่ลองไปใช้เหตุผล (ว่ามันเป็นอะไร เป็นต้น) กับมันเข้าดูสิ
เราจะหล่นไปสู่ความผิดพลาดทันที
สิ่งนี้มันเป็นเหมือนของว่างอันปราศจากขอบทุกๆด้านซึ่งไม่อาจหยั่งหรือวัดได้
จิตหนึ่งนี้เท่านั้นเป็นพุทธะ ไม่มีแตกต่างระหว่างพุทธะกับสัตว์โลกทั้งหลาย
เพียงแต่ว่าสัตว์โลกทั้งหลายไปยึดมั่นต่อรูปธรรมต่างๆเสีย
และเพราะเหตุนั้นเขาจึงแสวงหาพุทธภาวะจากภายนอก
การแสวงหาของสัตว์เหล่านั้นนั่นเองทำให้เขาพลาดจากพุทธภาวะ
การทำสิ่งนี้เท่ากับการใช้สิ่งซึ่งเป็นพุทธะไปเที่ยวแสวงหาพุทธะ
และการใช้จิตให้ช่วยจับฉวยจิต แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะพยายามสุดความสามารถของเขาอยู่ตั้งกัปป์หนึ่งเต็มๆ
เขาก็ไม่สามารถลุถึงภาวะพุทธะได้เลย เขาไม่รู้ว่าถ้าเขาเองเพียงแต่หยุดความคิดปรุงแต่ง
และหมดความกระวนกระวายเพราะความแสวงหาเสียเท่านั้น
พุทธะก็จะปรากฎตรงหน้าเขา เพราะว่าจิตนี้ก็คือพุทธะนั่นเอง
พุทธะก็คือสิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั้งปวงนั่นเอง
สิ่งสี่งนี้ในเมื่อปรากฎอยู่ที่สามัญสัตว์และเป็นสิ่งเล็กน้อยก็หาไม่
เมื่อปรากฎอยู่ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายจะเป็นสิ่งใหญ่หลวงก็หาไม่
สำหรับการบำเพ็ญปารมิตาทั้งหกก็ดี การบำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติที่คล้ายๆกันอีกเป็นจำนวนมากก็ดี
หรือการได้บุญมากมายนับไม่ถ้วนเหมือนจำนวนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาเลยก็ได้
เหล่านี้นั้นจงคิดดูเถิด ถ้าเราเป็นผู้สมมุติโดยสัจจะพื้นฐานในทุกๆกรณีแล้ว
ซึ่งเป็นจิตหนึ่งหรืออันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพุทธะทั้งหลายอยู่แล้ว
เราก็ไม่ควรพยายามจะเพิ่มเติมอะไรให้แก่สิ่งซึ่งสมบูรณ์อยู่แล้วนั้น
ด้วยการบำเพ็ญวัตรปฏิบัติต่างๆซึ่งไร้ความหมายเหล่านั้นมิใช่หรือ
เมื่อไรโอกาสอำนวยให้ทำก็ทำมันไป และเมื่อโอกาสผ่านไปแล้วอยู่เฉยๆก็แล้วกัน
ถ้าเรายังไม่เห็นตระหนักอย่างเด็ดขาดลงไปว่า
จิตนั้นคือพุทธะก็ดี แล้วเราไปยึดมั่นถือมั่นต่อรูปธรรมต่างๆอยู่ก็ดี ต่อวัตรปฏิบัติต่างๆอยู่ก็ดี
และต่อวิธีการบำเพ็ญบุญกุศลต่างๆอยู่ก็ดี
แนวความคิดของเราก็ยังคงผิดพลาดอยู่ ไม่เข้าร่องเข้ารอยกับทาง ทางโน่นเสียเลย
จิตหนึ่งนี้เท่านั้นที่เป็นพุทธะ ไม่มีพุทธะอื่นใดที่ไหนอีก ไม่มีจิตอื่นใดที่ไหนอีก
มันแจ่มจ้าและไร้ตำหนิเช่นเดียวกับความว่าง
คือ มันไม่มีรูปร่างและปรากฎการณ์ใดๆเลย
การใช้จิตของเราปรุงแต่งคิดฝันไปต่างๆนั้น เท่ากับเราละทิ้งเนื้อหาอันเป็นฐานะเสีย
แล้วไปผูกพันธ์ตัวเองกับรูปธรรมซึ่งเป็นเหมือนกับเปลือก
พุทธะซึ่งมีอยู่ตลอดกาลนั้น ไม่ใช่พุทธะของความยึดมั่นถือมั่น
การปฏิบัติปารมิตาทั้งหกและการบำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติที่คล้ายคลึงกันอีกจำนวนนับไม่ถ้วน
ด้วยเจตนาที่จะไปเป็นพุทธะสักองค์หนึ่งนั้น เป็นการปฏิบัติชนิดคืบหน้าทีละขั้น ทีละขั้น
แต่พุทธะซึ่งมีอยู่ตลอดกาลดังกล่าวแล้วนั่น หาใช่พุทธะที่ลุถึงได้ด้วยการปฏิบัติเป็นขั้นๆเช่นนั้นไม่
เรื่องมันเพียงแต่ตื่นและลืมตาต่อจิตหนึ่งเท่านั้น
และไม่มีอะไรที่จะต้องบรรลุถึงอะไร นี่แหละคือพุทธะที่แท้จริง
พุทธะและสัตว์โลกทั้งหลายคือจิต จิตหนึ่งที่เท่านั้น ไม่มีอะไรอื่นนอกไปจากนี้อีกแล้ว
จิตเป็นเหมือนความว่างซึ่งภายในนั้นย่อมไม่มีความสับสนและความไม่ดีต่างๆ
ดังจะเห็นได้ในเมื่อดวงอาทิตย์ผ่านไปในที่ว่างนั้น ย่อมส่องแสงไปได้ทั้งสี่มุมโลก
เพราะว่าเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นย่อมให้ความสว่างทั่วทั้งพื้นโลก
ความว่างที่แท้จริงนั้น มันก็ไม่ได้สว่างขึ้น
และเมื่อพระอาทิตย์ตก ความว่างก็ไม่ได้มืดลง
ปรากฎการณ์ของความสว่างและความมืดย่อมสับเปลี่ยนซึ่งกันและกัน
แต่ธรรมชาติของความว่างนั้น ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอยู่นั่นเอง
จิตของพุทธะและของสัตว์โลกทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น
ถ้ามองดูพุทธะว่าเป็นผู้แสดงออกซึ่งความปรากฎของสิ่งที่บริสุทธิ์ ผ่องใสและรู้แจ้งก็ดี
หรือมองสัตว์โลกทั้งหลายว่า เป็นผู้แสดงออกซึ่งความปรากฎของสิ่งที่โง่เง่า มืดมน
และมีอาการสลบไสลก็ดี ความรู้สึกนึกคิดเหล่านั้น อันเป็นผลเกิดมาจากความคิดยึดมั่นต่อรูปธรรมนั้น
จะกันเราไว้เสียความรู้อันสูงสุด
ถึงแม้เราจะได้ปฏิบัติมากี่กัปป์นับไม่ถ้วนประดุจเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาแล้วก็ตาม
มีแต่จิตหนึ่งนี้เท่านั้น ไม่มีสิ่งอื่นใดแม้แต่อนุภาคเดียวที่จะอิงอาศัยได้
เพราะจิตนั่นเองคือพุทธะ
http://cyberwalker.multiply.com/journal/item/171
(http://sphotos-g.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash3/66858_500802166643720_1121388815_n.jpg)
จิตคือพุทธะ ตอน จิตที่ไปรู้นิพพาน
จิตนี้คือพุทธะโยนิอันบริสุทธิ์ซึ่งมีประจำอยู่แล้วในคนทุกคน
สัตว์ซึ่งมีความรู้สึกนึกคิด กระดุกกระดิกได้ทั้งหมดก็ดี
พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงก็ดี
ล้วนแต่เป็นของแห่งธรรมชาติอันหนึ่งนี้เท่านั้น ไม่มีแตกต่างกันเลย
ความแตกต่างทั้งหลายเกิดขึ้นจากเราคิดผิดๆเท่านั้น
ย่อมนำเราไปสู่การก่อสร้างกรรมทั้งหลายทั้งปวงทุกชนิดไม่มีหยุด
ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะดั้งเดิมของเรานั้น
โดยความจริงอันสูงสุดแล้ว
เป็นสิ่งซึ่งไม่มีความหมายแห่งความเป็นตัวตนแม้แต่สักปรมาณูเดียว
สิ่งนั่นก็คือความว่าง
เป็นสิ่งซึ่งมีอยู่ในที่ทุกแห่งซึ่งสงบเงียบและไม่มีอะไรเจือปน
มันเป็นสันติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับ และก็หมดกันเพียงเท่านั้นเอง
จงเข้าไปสู่สิ่งสิ่งนี้โดยลึกซึ้ง โดยการลืมตาต่อสิ่งนี้ด้วยตัวเราเอง
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรานี่แหละ คือสิ่ง สิ่งนั้น ในอัตราที่เต็มที่ทั้งหมดทั้งสิ้น
และสมบูรณ์ถึงที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรนอกไปจากนี้อีกแล้ว
จิตก็คือพุทธะ (สิ่งสูงสุด) มันย่อมรวมสิ่งทุกสิ่งเข้าไว้ในตัวมันทั้งหมด
นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้วทั้งหลาย เป็นที่สุดในเบื้องสูง
ลงไปกระทั้งจนถึงสัตว์ที่ต่ำต้อยที่สุด
ซึ่งเป็นสัตว์เลื้อยคลานอยู่ด้วยอกและแมลงต่างๆ เป็นที่สุดในเบื้องต่ำ
สิ่งเหล่านี้ทุกสิ่งนั้นย่อมมีส่วนแห่งความเป็นพุทธะเท่ากันหมด
และทุกๆสิ่งมีเนื้อหาเป็นอันเดียวกันกับจิตหนึ่งนั้น
ดังนั้นสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงได้เป็นสิ่งที่มีเนื้อหาเป็นอันเดียวกันกับพุทธะอยู่แล้วตลอดเวลา
ถ้าพวกเราเพียงแต่สามารถทำความเข้าใจในจิตของเรานี้ให้สำเร็จ
และค้นพบธรรมชาติอันแท้จริงของเราเองได้ ด้วยความเข้าใจอันนั้นเท่านั้น
มันก็จะเป็นที่แน่นอนว่า ไม่มีอะไรที่พวกเราจำเป็นจะต้องแสวงหาแม้แต่อย่างใดเลย
จิตของเรานั้นถ้าเราทำความสงบอยู่จริงๆ
เว้นขาดจากการคิดนึกซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวของจิตแม้แต่น้อยที่สุดเสียให้ได้จริงๆ
ตัวแท้ของจิตก็จะปรากฏออกมาเป็นความว่าง แล้วเราก็จะพบว่ามันเป็นสิ่งที่ปราศจากรูป
มันไม่ได้กินเนื้อที่อะไรที่ไหนๆแม้แต่จุดเดียว มันไม่ได้ตกลงสู่การบัญญัติว่า
เป็นพวกที่มีความเป็นอยู่ หรือว่าไม่มีความเป็นอยู่แม้แต่ประการใดเลย
เพราะเหตุที่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เรารู้สึกไม่ได้โดยทางอาตยนะ
เพราะจิตที่เป็นธรรมชาติที่แท้ของคนเรานั้น มันเป็นครรภ์หรือเป็นกำเนิด
ซึ่งไม่ได้มีใครทำให้เกิดขึ้น และไม่อาจจะถูกทำลายได้เลย
ในการทำปฏิกริยาตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆนั้น
มันเปลี่ยนรูปของมันเองออกมาจากปรากฎการณ์ต่างๆ
ซึ่งสะดวกในการพูด เราพูดถึงจิตในฐานะที่เป็นตัวสติปัญญา
แต่ในขณะที่มันไม่ได้ทำการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม
คือไม่ได้เป็นตัวสติปัญญาที่คิดนึงหรือสร้างสิ่งต่างๆขึ้นมานั้น
มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจถูกกล่าวถึงในการที่จะบัญญัติว่า
มันเป็นความมีอยู่ หรือไม่ใช่ความมีอยู่
ยิ่งไปกว่านั้นอีก แม้ในขณะที่มันทำหน้าที่สร้างสิ่งต่างๆขึ้นมา
ในฐานะของกฏแห่งการตอบสนองของเหตุและผลของกันและกันนั้น
มันก็ยังเป็นสิ่งที่เรารู้สึกไม่ได้
โดยทางอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และมโนทวารอยู่นั่นเอง
ถ้าเราทราบความเป็นจริงข้อนี้ เราทำความสงบเงียบสนิทอยู่ในภาวะแห่ง
ความไม่มีอะไรในขณะนั้น
พวกเรากำลังเดินอยู่แล้วในทางแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายโดยแท้จริง
ดังนั้น เราควรเจริญจิตให้อยู่หยุดอยู่บนความไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น
มูลธาตุทั้งห้าซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นวิญญาณนั้น มันเป็นของว่างเปล่า
แต่ละมูลธาตุทั้งสี่ของสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นรูปกายนั้น
ไม่ใช่เป็นสิ่งทีประกอบกันขึ้นเป็นตัวของเรา
จิตจริงแท้นั้นไม่มีรูปร่างและไม่มีอาการมา อาการไป
ธรรมชาติเดิมแท้ของเรานั้นเป็นสิ่งสิ่งหนึ่ง
ซึ่งไม่มีการตั้งต้นขึ้นที่การเกิด และไม่มีการสิ้นสุดลงที่การตาย
แต่เป็นของสิ่งเดียวรวดและปราศจากเคลื่อนไหวใดๆ
ในส่วนลึกจริงๆของมันทั้งหมด
จิตของเรากับสิ่งต่างๆซึ่งแวดล้อมเราอยู่นั้น เป็นสิ่งสิ่งเดียวกัน
ถ้าเราสามารถทำความเข้าใจได้ตามนี้จริงๆ
เราจะได้ลุถึงความรู้แจ้งเห็นแจ้งได้โดยแว๊บเดียวในขณะนั้น
และเราเป็นผู้ไม่ต้องข้องเกี่ยวในโลกทั้งสามอีกต่อไป
เราจะเป็นผู้อยู่เหนือโลก จะไม่มีการโน้มเอียงไปสู่การเกิดใหม่อีก
แม้แต่นิดเดียว เราจะเป็นแต่ตัวของเราเองเท่านั้น
ปราศจากความคิดปรุงแต่งโดยสิ้นเชิง
และเป็นสิ่งสิ่งเดียวกับสิ่งสูงสุดสิ่งนั้น และเราจะได้ลุถึงภาวะแห่ง
ความที่ไม่มีอะไรปรุงแต่งได้อีกต่อไป
ฉะนั้นนี่แหละคือหลักธรรมะ นี่เป็นหลักมูลฐานอยู่ในที่นี้
(http://sphotos-c.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash3/524209_500141753376428_482122082_n.jpg)
สัมมาสัมโพธิเป็นชื่อของการเห็นแจ้งชัดว่า ไม่มีธรรมใดเลยที่ไม่เป็นโมฆะ
ถ้าเราเข้าใจความจริงข้อนี้แล้ว ของหลอกลวงทั้งหลายจะมีประโยชน์อะไรแก่เรา
ปรัชญาก็คือความรู้แจ้ง ความรู้แจ้งคือจิตต้นกำเนิดดั้งเดิมซึ่งปราศจากรูป
ถ้าเราสามารถทำความเข้าใจได้ ผู้กระทำและสิ่งที่ถูกกระทำ
คือจิตและวัตถุเป็นของสิ่งเดียวกันนั่นแหละ
จะนำเราไปสู่ความเข้าใจอันลึกซึ้งและลึกลับเหนือคำพูด
และโดยความเข้าใจอันนี้เอง พวกเราจะได้ลืมตาต่อสัจธรรมที่แท้จริงด้วยตัวเราเอง
สัจธรรมที่แท้จริงของเรานั้น มันไม่ได้หายไปจากเราแม้ในขณะที่เรากำลังหลงผิดอยู่ด้วยอวิชชา
และไม่ได้รับกลับมาในขณะที่เรามีการตรัสรู้ มันเป็นธรรมชาติแห่งภูตตถาตา
ในธรรมชาตินี้ไม่มีทั้งอวิชชา ไม่มีทั้งสัมมาทิฐิ
มันเต็มอยู่ในความว่างและเป็นเนื้อหาอันแท้จริงของจิตหนึ่งนั้น
เมื่อเป็นดังนั้นแล้วอารมณ์ต่างๆของเราที่จิตได้สร้างขึ้นทั้งฝ่ายธรรมและฝ่ายรูปธรรม
จะเป็นซึ่งอยู่ภายนอกของความว่างนั่นได้อย่างไร
โดยหลักมูลฐานแล้ว ความว่างนั่นเป็น สิ่งซึ่งปราศจากมิติต่างๆแห่งการกินเนื้อที่
คือปราศจากกิเลส ปราศจากกรรม ปราศจากอวิชชา และปราศจากสัมมาทิฐิ
พวกเราต้องทำความเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งว่า
โดยแท้จริงแล้วไม่มีอะไรเลย
ไม่มีมนุษย์สามัญ ไม่มีพุทธะทั้งหลาย เพราะว่าในความว่างนี้ ไม่มีอะไรบรรจุอยู่
แม้เท่าเส้นขนที่เล็กที่สุด อันเป็นสิ่งซึ่งจะมองเห็นได้โดยทางมิติ หรือกฏแห่งการกินเนื้อที่เลย
มันไม่ต้องอาศัยอะไร และไม่ต้องติดเนื่องอยู่กับสิ่งใด มันเป็นความงามที่ไร้ตำหนิ
เป็นสิ่งซึ่งอยู่ได้โดยตัวมันเอง และเป็นสิ่งสูงสุดที่ไม่มีอะไรสร้างขึ้น
มันเป็นเพชรพลอยที่อยู่เหนือการตีค่าทั้งปวงเสียจริงๆ
เราต้องแยกรูปถอด ด้วยวิชามรรคจิต เหตุต้องละ ผลต้องละ
ใช้ หนี้ก็หมด พ้นเหตุเกิด
(http://sphotos-f.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash4/401378_500414653349138_638540934_n.jpg)
สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตในจักรวาลมีนับไม่ถ้วน รวมแล้วมี รูปกับนาม สองอย่างเท่านั้น
นามเดิมก็คือจักรวาลเข้าคู่กัน เป็นเหตุเกิดตัวอวิชา เกิดเหตุก่อ
ที่ใดมีรูป ที่นั่นต้องมีนาม ที่ใดมีนาม ที่นั่นต้องมีรูป
รูปนามรวมกันเป็นเหตุเกิดปฏิกริยาให้เปลี่ยนแปลงตลอดกาลและเกิดกาลเวลาขึ้น
คือรูปย่อมมีความดึงดูดซึ่งกันและกัน
จึงเป็นเหตุให้รูปเคลื่อนไหวและหมุนรอบตัวเองตามปัจจัย
รูปเคลื่อนไหวได้เพราะมีนาม ความว่างคั่นระหว่างรูป รูปจึงเคลื่อนไหวได้
เมื่อสภาวะธรรมเป็นอย่างนี้ สรรพสิ่งของวัตถุสสาร ทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิต
จึงต้องเปลี่ยนแปลงเป็นไตรลักษณ์ เกิดดับสืบเนื่องทุกขณะจิต
ไม่มีวันหยุดนิ่งคงทนเป็นปัจจุบันทุกยามได้
จิตวิญญาณก็เกิดมาจากรูปนามของจักรวาล
เพราะเป็นมายาหลอกลวงและเปลี่ยนแปลงให้คนหลง
จากรูปนามไม่มีชีวิต เปลี่ยนมาเป็นรูปนามมีชีวิต
จากรูปนามมีชีวิต มาเป็นรูปนามมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณ
แล้วจิตวิญญาณก็เปลี่ยนแปลงแยกออกจากกันไป
คงแต่นาม ว่างที่ปราศจากรูป นี่เป็นจุดสุดยอดของ..
การหลอกหลวงของรูปนาม ...
(http://sphotos-d.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash3/p480x480/733784_499063206817616_88214564_n.jpg)
หลวงปู่ดูลย์...อัศจรรย์ !!!
บางส่วนของธรรมเทศนาของหลวงปู่
จากหนังสือ จิตคือพุทธะ
หลวงปู่เทศน์ไว้เมื่อ พ.ศ. 2525-2526
(http://sphotos-g.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-prn1/72371_492302517493685_673501627_n.jpg)
-http://cyberwalker.multiply.com/journal/item/170
- http://fws.cc/whatisnippana/index.php?topic=512.0 (http://fws.cc/whatisnippana/index.php?topic=512.0)