ใต้ร่มธรรม

วิถีธรรม => กฏแห่งกรรม-ชาติภพ => ข้อความที่เริ่มโดย: mmm ที่ กรกฎาคม 17, 2010, 11:26:13 pm

หัวข้อ: หลวงพ่อตอบปัญหา (พระราชพรหมยาน) 3
เริ่มหัวข้อโดย: mmm ที่ กรกฎาคม 17, 2010, 11:26:13 pm


(http://img121.imageshack.us/img121/4347/17167270.jpg)


ถวายพระก่อนจะกินข้าว
 
 
ผู้ถาม  “ทีนี้มีเรื่องการถวายข้าวพระต่อไป  มีคนหนึ่งเขาบอกว่าจะเป็นตอนเช้าหรือตอนเที่ยงตอนเย็นก็ตาม  ก่อนจะกินข้าวก็ต้องยกมือถวายแด่พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์  พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์  และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย  ตอนหลังเขาก็เลยสงสัยว่า  มันเลยเพลแล้วพระจะฉันได้หรือเปล่า”
หลวงพ่อ  “ทำแบบนั้นเป็นปกติใช่ไหม”
ผู้ถาม  “ครับ”
หลวงพ่อ  “คนนั้นน่ะตกนรก”
ผู้ถาม  “ทำไมล่ะครับ
หลวงพ่อ  “อ้าว...เอาข้าวถวายพระแล้วแย่งพระกินนี่”
ผู้ถาม  “อ๋อ...แต่เขาขอก่อนมั๊ง”
หลวงพ่อ  “ความจริงไม่แปลก  ก่อนจะกินนึกถึงพระ  ก่อนจะนอนนึกถึงพระ  ตื่นมาใหม่ ๆ นึกถึงพระ  ยามว่างจากอารมณ์อื่นนึกถึงพระ  อันนี้จัดเป็นอนุสสติ  นึกถึงพระธรรมเป็นธัมมานุสสติ  นึกพระสงฆ์ เป็นสังฆานุสสติ  ถ้าอนุสสติอย่างนี้ทรงตัว   ตายก็ตกนรกไม่เป็น  ลืมตกนรก  แล้วตอนกลางคืนเวลาจะกินกาแฟก็ต้องนึกถึงด้วยนะ”
ผู้ถาม  (หัวเราะ) “ถ้าจะให้ดีก็ถวายเลย  จะได้อานิสงส์ใหญ่”
หลวงพ่อ  “ใช่  ถ้าจะให้ดีต้องถวายพระที่พูดได้นะ  ถึงจะมีอานิสงส์มาก”



อานิสงส์ถวายอาหารรูปเหมือน(หลวงพ่อ)
 
 
ผู้ถาม  “โดยปกติหนูต้องถวายอาหารรูปเหมือนหลวงพ่อเป็นประจำ  บางครั้งต้องไปค้างที่อื่น  จึงบอกกับรูปเหมือนหลวงพ่อว่า  พรุ่งนี้ไม่อยู่นิมนต์หลวงพ่อไปฉันที่บ้านอื่นก่อนนะ ขอถามว่า  ที่หนูพูดอย่างนี้จะผิดหรือเปล่าเจ้าคะ”
หลวงพ่อ  “มิน่าเล่า  บางวันท้องกิ่ว..หิว  ไม่ผิดนะ..ถูก  ก็มีอะไรผิดบ้าง  ก็พูดกับตัวเอง ได้ยินฟังรู้เรื่องก็ถูก”
ผู้ถาม  “หลวงพ่อได้ยินหรือเปล่าก็ไม่รู้”
หลวงพ่อ  “อ้าว..ไอ้นั่นไม่ใช่ทานนะ  มันเป็นการบูชา  คำว่า “บูชา” เป็นการยอมรับนับถือ นึกไว้เป็นประจำนี่ก็เป็นฌานด้วย  นี่อย่างเลวที่สุดไปสวรรค์ชั้นสูง ไม่งั้นก็เป็นพรหมเลย
          ถ้าบังเอิญคนที่ถวายประเภทนั้น  เขาเกิดไม่นิยมร่างกาย  เมื่อใกล้จะตาย พอป่วยแล้วเจ็บโน้นปวดนี่  รำคาญขึ้นมา เอ๊ะ นี่ร่างกายเลว ๆ อย่างนี้เราไม่ต้องการอีก  ไปนิพพานทันทีเหมือนกัน  นิพพานนี่ไปไม่ยาก  ถ้าฉลาดนี่ไปไม่ยาก”
ผู้ถาม  “แค่เบื่อรางกายตัวเดียวหรือครับ”
หลวงพ่อ  “ก็เขาตัดตัวเดียวคือสักกายทิฐิ ไง”
ผู้ถาม  “อ๋อ  ไม่ต้องไปไล่ตัวอื่นหรือครับ”
หลวงพ่อ  “โอ๊ย..ไปไล่น่ะซวย  มันเหนื่อย  การบรรลุมรรคผลนะเขาไม่ได้ไล่ตามลำดับหรอก  พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า  พระอริยเจ้านะมี 4 อันดับ  พระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์  ส่วนใหญ่จริง ๆ ฟังเทศน์พระพุทธเจ้าจบเดียวเป็นอรหันต์ทันทีเห็นไหมล่ะ
          ตามพระสูตรที่เรียนมานะ  บางท่านก็ติดแหงแก๋แค่พระโสดาบัน  อย่างพระอานนท์ที่ล่อพระโสดาบันซะเกือบ 40 ปี  ปื๊ดป๊าดทีเดียวไปเป็นปฏิสัมภิทาญาณเลย  และเก่งมากด้วย ใช่ไหม  ก็มีหลายท่านอยู่ปุ๊บปั๊บเป็นอรหันต์กันเป็นแถว ๆ  อย่างลูกศิษย์ของพระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์  ฟังเทศน์จบเดียวเป็นอรหันต์หมด  ใช่ไหม...ก็เยอะแยะไป  ไม่จำเป็นต้องบรรลุตามลำดับ
          ชื่อของพระอริยะ  ชั้นของพระอริยะมี 4 ขั้นจริง  แต่ไม่จำเป็นต้องบรรลุตามขั้นนี่  การปฏิบัติพระกรรมฐานของทุกคน  ถ้าหวังตามขั้นก็โง่เต็มที  นี่การปฏิบัติจริงเขาไม่หวังตามขั้นหรอก  อันดับแรกสุด  ถ้ากำลังเราไม่มั่นใจแน่นอน ต้องยึดอารมณ์พระโสดาบันก่อน  ถ้าได้แล้วก็จับพระอรหันต์ทันที”
ผู้ถาม  “อ๋อตีข้ามกระโดดไปเลย”
หลวงพ่อ  “ไม่กระโดด  นั่งเฉย ๆ ตามแบบจริง ๆ  ท่านก็แนะนำแบบนั้น  อย่างท่านพุทธโฆษาจารย์ที่รจนาวิสุทธิมรรค  ท่านก็บอกไว้ตรงว่า  บุคคลใดถ้าถึงพระโสดาบันในที่นั่งใด ให้ทำจิตเข้าถึงอรหันต์ในที่นั่งนั้นทันที
          คือว่าไม่ยาก อรหันต์นี่แค่ไม่ต้องการร่างกายเท่านั้นละ  ถ้าไม่ต้องการจริง ๆ ก็เป็นอรหันต์  ตัดตัวเดียวคือการตัดกิเลสจริง  เขาตัดตัวสักกายทิฏฐิ  ที่พระไปถามพระสารีบุตรว่า
          “ผมเป็นปุถุชน  จะเป็นพระโสดาบันเป็นอย่างไร”  ก็พิจารณาร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราใช่ไหม   เป็นสกิทาคามีล่ะ  ก็ไอ้ตัวนี้ถ้าละเอียดก็เป็นสกิทาคามี  ถ้าผมจะเป็นอนาคามี ก็ปฏิบัติไอ้ตัวนี้จิตละเอียดลงไปอีก  เบื่อหน่ายร่างกายก็เป็นอนาคามี ต้องการเป็นพระอรหันต์ก็ไอ้ตัวนี้  ถ้าจิตวางเฉยได้ก็เป็นอรหันต์  พระองค์นั้นก็แน่เหมือนกัน  ถามอีกว่าเป็นอรหันต์แล้วไม่ต้องทำอะไรเลยใช่ไหม  พระขี้เกียจนี่  พระสารีบุตรบอกไม่ใช่  คือพระอรหันต์ทำเป็นปกติเพื่อความเป็นอยู่เป็นสุข”



ทำบุญถวายอาหารบรรพบุรุษ
 
 
ผู้ถาม  “การทำบุญถวายอาหารแก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว  ในกรณีที่บรรพบุรุษเป็นพระสงฆ์อยู่ด้วยอย่างนี้  เราจะต้องแยกถาดออกจากกันหรือเปล่าเจ้าคะ  คือบรรพบุรุษเป็นพระสงฆ์ก็มี  ปู่ย่าตายายก็มี”
หลวงพ่อ  “ไม่ต้องแยกถาดหรอกหม่ำด้วยกันได้  เป็นผีแล้วแกไม่ได้กินเนื้อหรอก  แกกินการอุทิศส่วนกุศล  เขารับผลคือกุศลนะ  ไม่ใช่กินหมูกินไก่”



อานิสงส์สร้างเจดีย์บรรจุกระดูกพ่อแม่
 
 
ผู้ถาม  “สร้างเจดีย์ไว้ในพระพุทธศาสนา  แล้วเอากระดูกพ่อกระดูกแม่บรรจุไว้  ถามว่าพ่อแม่จะมีอานิสงส์หรือไม่  และผู้สร้างจะมีอานิสงส์อย่างไรครับ”
หลวงพ่อ  “พ่อแม่มีอานิสงส์หรือไม่  ผู้สร้างมีอานิสงส์หรือไม่...ยังไม่ตอบ แต่ขอตอบว่าพระมีอานิสงส์”
ผู้ถาม  “พระได้ยังไงครับ”
หลวงพ่อ  “บังสกุลทุกปี  อนิจจา วะตะ สังขารา..”
ผู้ถาม  “อ๋อ..”  (หัวเราะ)
หลวงพ่อ  “ทำไมล่ะ  พ่อแม่จะมีอานิสงส์หรือไม่..อยู่ที่ลูกว่าอุทิศส่วนกุศลให้หรือเปล่า  แล้วก็ท่านมีโอกาสโมทนาหรือเปล่า  เราก็ทราบอยู่แล้ว  ถ้าให้แล้วไม่มีโอกาสโมทนาก็ไม่ได้  ลูกได้แน่  ได้สองชั้น  สร้างเจดีย์ไว้ในเขตวัดก็เป็นพุทธบูชา  ธรรมบูชา  สังฆบูชา เอากระดูกพ่อแม่ไปตั้งในนั้นเป็นกตัญญูกตเวที  พระพุทธเจ้าว่ายังไง
          “นิมิตตัง  สาธุรูปานัง  กตัญญูกตเวทิตา”
          ผู้ที่มีความกตัญญูรู้คุณแก่ท่านผู้มีอุปการะแล้ว  และตอบสนองคุณท่าน  เรากล่าวว่าบุคคลนั้นเป็นคนดี
          นี่ว่าภาษาไทยนะ  เขามีอานิสงส์  2-3 ชั้น  พอถึงปีถึงเวลาสงกรานต์  เขานิมนต์พระมาบังสกุล  ไอ้ตัวบังสกุลนี่ความจริงเป็นวิปัสสนาญาณ  แต่คนคิดไม่ถึง  พระบังสกุลตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไปเป็นคณะสงฆ์ใช่ไหม  ถวายสตางค์องค์ละสลึงหรือสองสลึงก็ตามเป็นสังฆทาน อานิสงส์ใหญ่  แล้วก็เป็นการน้อมใจด้านความกตัญญูรู้คุณ  ทำทุกปีเขาได้ทุกปี
 




ขอขอบคุณที่มา http://www.kaskaew.com/   :45: :45: :45:
หัวข้อ: Re: หลวงพ่อตอบปัญหา (พระราชพรหมยาน) 3
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ กรกฎาคม 17, 2010, 11:44:18 pm
 :13: อนุโมทนาครับผม