(http://images.thaiza.com/34/34_20081201112204..jpg)
ลดความเห็นแก่ตัว เพิ่มพลังต้านทานโรค
รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ
คำแนะนำของแพทย์ในอนาคต
“ถ้าอยากมีสุขภาพดี คุณควรใส่ใจปฏิบัติในสิ่งต่อไปนี้”
หนึ่ง ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
สอง กินอาหารให้ได้สัดส่วนของอาหารหลัก 5 หมู่อย่างเหมาะสม
และ สาม ทำความดีต่อผู้อื่นให้มากขึ้น”
หลัก แห่งอายุวัฒนะ 3 ประการนี้ จะเป็นสุขบัญญัติที่แพทย์ในอนาคต ใช้แนะนำให้แก่ประชาชนทั่วไปในการเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อป้องกันมิให้เกิดการเจ็บไข้ได้ป่วย หรือถ้าหากป่วยไข้ขึ้นมาก็จะช่วยลดความรุนแรงหรืออันตรายลง สำหรับหลัก 2 ประการแรกนั้น ได้มีการกล่าวขวัญกันมากแล้ว และเชื่อว่าผู้อ่านหมอชาวบ้าน คงมีความรู้ความเข้าใจว่าการออกกำลังกายและอาหารการกิน(ตามหลักโภชนาการเนมัตตัญญุตา)นั้น มีส่วนในการเสริมสุขภาพอย่างไร ดังนั้นจึงขอที่จะไม่กล่าวถึงในที่นี้แต่ที่น่าแปลกคือ ข้อแนะนำประการที่สามนั้น อาจทำให้ผู้อ่านตั้งคำถามว่า
“การกระทำความดีต่อผู้อื่นนั้น จะมีผลต่อสุขภาพของผู้กระทำความดีอย่างไรกัน?”
บังเอิญผู้เขียนได้อ่านพบบทความภาษาอังกฤษ ชื่อว่า “เหนือตัวตน” (Beyond Self) ในนิตยสารสุขภาพของสหรัฐอเมริกาเล่มหนึ่ง ชื่อว่า American Health ฉบับเดือนมีนาคมศกนี้ ซึ่งได้เปิดเผยถึงการค้นพบใหม่ ๆ จากการศึกษาวิจัยของคณะแพทย์และนักวิทยาศาสตร์หลายคณะ แห่งสถาบันวิจัยหลายแห่งในประเทศนั้นว่า การทำความดีต่อผู้อื่น(ความไม่เห็นแก่ตัว หรือความเห็นแก่ผู้อื่น)นั้น มีส่วนเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคแก่ผู้กระทำดีอย่างแน่นอน
ข้อมูลใหม่ในเรื่องนี้ ทำให้ผู้เขียนอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ และคิดว่า คงจะมีส่วนให้กำลังใจแก่ผู้กระทำความดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก่บุคคลที่มีน้ำใจช่วยเหลือคนอื่น ๆ อย่างปิดทองหลังพระที่มีอยู่ในทุกซอกมุมของสังคมไทยในขณะนี้
พบว่าคนที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น มีอายุยืน ส่วนคนโสดและไม่ชอบสังคมมีอายุสั้น
นัก วิจัยชื่อนายเจมส์เฮาส์และคณะ แห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกน ได้ทำการสำรวจประชาชน 2,700 คน ในเมืองเทคัมเซ โดยใช้เวลาในการติดตามศึกษาถึง 10 กว่าปี เพื่อดูว่าการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่นนั้นจะมีผลต่อสุขภาพอย่างไร
พวกเขาพบว่า คนที่ชอบทำงานอาสาสมัคร (ช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน) จะมีอายุยืนยาวกว่าอายุขัยโดยเฉลี่ยของคนทั่วไป และพบว่าในช่วงระยะเวลาของการศึกษาวิจัยนี้ ผู้ชายที่ไม่เคยทำงานอาสาสมัครจะมีอัตราการตายมากเป็น 2 เท่าครึ่งของผู้ชายที่ทำงานอาสาสมัคร (มีกิจกรรมอาสาสมัครอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง)
คุณผู้อ่านอาจสงสัยว่า แล้วกลุ่มผู้หญิงเล่าเป็นอย่างไร?
คณะวิจัยบอกว่า ในกลุ่มผู้หญิงนั้นเห็นผลแตกต่างไม่ชัดเจน ทั้งนี้เป็นเพราะว่า ผู้หญิงส่วนมาก(ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกของกลุ่มอาสาสมัครหรือไม่ก็ตาม) ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ ดูแลรับใช้ผู้อื่นอยู่แล้ว
นอกจากนี้การวิจัยยังพบว่า กลุ่มคนที่ชอบอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย แม้ว่าจะหาความรื่นเริงบันเทิงใจ ด้วยการหนังสือ ฟังวิทยุ หรือดูโทรทัศน์ตามลำพังนั้น จะมีอัตราการตายโดยเฉลี่ยของคนในเมืองนี้
ความจริงข้อนี้ยังได้รับการยืนยันจากผลการวิจัยอีกชิ้นหนึ่ง โดยนักวิจัยชื่อ ลิซา เบิร์กแมน แห่งมหาวิทยาลัยเยล และลีโอนาร์ด ไซม์ แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซึ่งได้ทำการศึกษาวิจัยผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองอะลาเมดา แคลิฟอร์เนีย จำนวน 5,000 คน นานถึง 9 ปี พบว่าไม่ว่าจะเชื้อชาติอะไร เศรษฐฐานะเป็นอย่างไร และมีอาชีพอะไรก็ตาม แต่ถ้าคนโสด(ไม่แต่งงาน) มีญาติและเพื่อนน้อย และไม่ชอบสังสรรค์กับสังคมภายนอกแล้วละก็ มีโอกาสตายมากกว่าคนที่ชอบติดต่อสังคมกับคนภายนอกถึง 2 เท่าตัว
ข้อเท็จจริงเหล่านี้ทำให้สรุปได้ว่า คนที่ชอบติดต่อสังคมกับผู้อื่น และช่วยเหลือผู้อื่น จะมีอายุยืนยาวกว่าคนที่ชอบปิดประตูขังตัวเองตัดขาดจากโลกภายนอกทำให้ผู้เขียนนึกถึงมหาบุรุษที่อุทิศตนเพื่อสังคมผู้ล่วงลับไปแล้ว ดังสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือท่านมหาตมะคานธี ล้วนแต่มีสุขภาพสมบูรณ์และอายุยืนยาว หรือแม้แต่ปูชนียบุคคลแห่งสังคมไทยที่เรารู้จัก เช่น ท่านพุทธทาสมหาเถระ, ศาสตราจารย์นายแพทย์สุด แสงวิเชียร, ศาสตราจารย์นายแพทย์อวย เกตุสิงห์ และศาสตราจารย์นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว ซึ่งล้วนแต่มีอายุใกล้หรือกว่า 80 ปีกันทุกท่าน และทุกท่านก็มีร่างกายและจิตใจกระชุ่มกระชวย มีมันสมองปราดเปรื่อง และสร้างสรรค์งานแก่สังคมอย่างไม่หยุดหย่อนจวบจนทุกวันนี้
(http://www.whenifallinlove.net/diary/images_line/line17/reply-00000028348.gif)
มีต่อค่ะ