ปรากฏการณ์อัศจรรย์ในพระประสูติกาล
ด้วยอำนาจบุญที่ทำมาดีแล้ว เมื่อจุติลงสู่ครรภ์พระมารดา ลักษณะของท่านก็ไม่เหมือนคนทั่วไป
ทรงลักษณะที่สมบูรณ์ที่สุด แข็งแรงที่สุด และได้สัดส่วนที่ดีที่สุดด้วย
และในวาระพระประสูติกาล ก็ได้มีปรากฏการณ์เป็นที่อัศจรรย์เกิดขึ้นอีกหลายประการ เช่น
(http://www.dmc.tv/forum/uploads/monthly_05_2008/post-2683-1210915325.jpg)
ประการที่ 1
ด้วยลักษณะมหาบุรุษที่สมบูรณ์แข็งแรง ศูนย์ถ่วงของร่างกายจึงดีเหลือเกิน
ขณะที่พระองค์อยู่ในครรภ์พระมารดา แทนที่จะนอนคุดคู้ ขด เหมือนลูกแมว ลูกหมู
พระวรกายของพระองค์กลับนั่งสมาธิอยู่ในครรภ์พระมารดา
ครบ 10 เดือน จึงประสูติออกมา
เวลาคลอดก็ไม่เมือนคนทั่วไป ซึ่งเอาหัวออก ทำให้แม่ต้องนอนคลอด
แต่เมื่อพระพุทธเจ้าประสูตินั้น ไม่ทรงทำลำบากให้พระมารดาเลย พระมารดายืนคลอด
(http://www.dmc.tv/forum/uploads/monthly_05_2008/post-2683-1210915382.jpg)
พอพระองค์ยืดขา หลุดจากพระครรภ์มารดาก็ทรงยืนได้ทันที
พอยืนก็ก้าวไปได้เลย เจ็ดก้าว และยังพูดได้ด้วย
คำพูดที่ท่านเปล่งออกมาทันทีที่ประสูติ เรียกว่า อาสภิวาจา
คือวาจา หรือ คำพูดที่ประกาศถึงความเป็นผู้มีความสามารถสูงสุดในโลก พระองค์ตรัสว่า
"เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก เราเป็นผู้เจริญที่สุดแห่งโลก เราเป็นผู้ประเสริฐสุดแห่งโลก
ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ภพใหม่ ย่อมไม่มี"
(http://www.dmc.tv/forum/uploads/monthly_05_2008/post-2683-1210915407.jpg)
[/COLOR]เป็นหลักฐานได้ว่า ผู้มีบุญบารมีแก่กล้านั้นเมื่อประสูติก็สามารถพูดได้เลย
ประการที่ 2
เมื่อพระองค์ประสูตินั้น เทวดาทั้งหลายต่างพากันมารอรับและดูแลอารักขา คนอื่น ๆ มองไม่เห็น
มีแต่พระมารดาเท่านั้นที่เห็นชัดว่า มีเทวดาเข้ามารับ เทวดาเหล่านี้ คือ
เทวดาที่ไปอัญเชิญพระองค์มาประสูตินั่นเอง
เพราะฉะนั้นเมื่อเชิญลงมาแล้วก็เลยตามมาดูแลอารักขาด้วย
เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติ เท้ายังไม่ถึงดิน ก็มีเทพบุตรทั้ง 4 มารองรับ พระองค์ท่านไว้
แล้วทูลกับพระมารดาว่า
"พระแม่เจ้าจงพอพระทัยเถิด บุตรอันมีศักดาใหญ่ของพระแม่เจ้าเกิดแล้ว"
(http://www.dmc.tv/forum/uploads/monthly_05_2008/post-2683-1210915437.jpg)
ยิ่งกว่านั้น เวลาพระองค์ประสูติ พระวรกายของพระองค์ยังสะอาดหมดจด ไม่เปื้อนด้วยเลือด เมือกหนอง
อย่างคนธรรมดา นับเป็นผู้สะอาดหมดจด
เหมือนอย่างเอาแก้วมณีวางบนผ้าเนื้อเกลี้ยงแก้วนั้นไม่เปื้อนผ้า และผ้าก็ไม่เปื้อนแก้วอย่างนั้น
ประการที่ 3
เมื่อประสูติแล้วปรากฏว่ามีท่อน้ำธารน้ำอุ่น เกิดขึ้นกลางอากาศให้ได้สรงทีเดียว ถามว่าเกิดจาก
บุญอะไร
ตอบว่า บุญที่ท่านไม่เคยหวงน้ำดื่มน้ำใช้ข้ามภพข้ามชาติมานั่นแหละ
ถึงคราวประสูติ บุญก็ตามมา มีน้ำตกกลางอากาศหลั่งไหลเป็นน้ำฝน ที่เหมาะแก่ทารก
เป็นปรากฏการณ์อัศจรรย์อย่างยิ่ง
ประการที่ 4
ทันทีที่ประสูติก็เกิดแสงสว่างเจิดจ้า สว่างชนิดที่เรียกว่า
แม้นรกที่มืดมิดก็ยังสว่าง ด้วยรัศมีที่เกิดจากการประสูติ
ยิ่งกว่านั้นแผ่นดินก็ยังไหวด้วย
สำหรับพวกเรา ถึงไม่ได้เท่าผงธุลีของพระองค์ แต่ว่าเมื่อเกิดมาแล้วได้
เป็นผู้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงพร้อมต่อการปฏิบัติธรรม
และมีเครื่องอำนวยความสะดวกเพื่อการปฏิบัติธรรมให้พร้อม
ก็นับว่าเป็นการดีไม่น้อยอยู่แล้ว สำหรับการสร้างบารมีต่อไปภายหน้า
ผู้ที่สะสมบุญบารมีอย่างเต็มที่ เช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น
เวลาเกิดนอกจากจะมีปรากฏการณ์อัศจรรย์เกิดขึ้นดังนี้แล้ว
ยังมีลักษณะพระวรกายที่สมบูรณ์งามสง่าเป็นเลิศ ซึ่งเรียกว่า "ลักษณะมหาบุรุษ" อีกด้วย
ลักษณะมหาบุรุษ
พวกเราเคยสังเกตไหมว่า นักกีฬาที่ร่างกายแข็งแรงนั้นเกิดจากฝึกซ้อม ซ้อมวิ่งบ้าง ซ้อมยกลูกน้ำหนักบ้าง
รวมทั้งการฝึกท่าบริหารต่าง ๆ เมื่อซ้อมมาก ๆ สุขภาพร่างกายสมบูรณ์และแข็งแรง
การฝึกออกกำลังช่วยให้ร่างกายแข็งแรงได้ฉันใด
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในขณะที่บำเพ็ญบารมีอยู่ ท่านก็พากเพียรฝึกซ้อมเป็นประจำ
แต่การฝึกซ้อมออกกำลังของท่าน ไม่ใช่การซ้อมยกตุ้มน้ำหนัก
แต่เป็นการยกมนุษย์ให้พ้นจากความทุกข์ ทรงยกใจของพระองค์ให้พ้นจากกิเลส
และยกใจคนทั้งหลายให้พ้นจากความทุกข์ ยกใจคนทั้งหลายให้พอใจในการทำความดี
ทรงบริหารจิตใจของพระองค์เช่นนั้น ข้ามภพ ข้ามชาติ อันยาวนาน บุญบารมีจากการที่ยกใจมนุษย์
ให้พ้นบาปพ้นจากกิเลสนี้เอง
จึงทำให้ท่านได้ลักษณะมหาบุรุษ คือ
ลักษณะที่สมบูรณ์ที่สุดที่มนุษยชาติ จะพึงมีพึงเป็นได้ และเป็น
ลักษณะที่เหมาะแก่การทำความดีทุกรูปแบบ
รูปร่างลักษณะของเรานี้ ความจริงพิการทั้งนั้น แต่พวกเราคุ้นกับสิ่งที่ไม่ได้มาตรฐาน จึงเคยชิน
หน้าเรา จมูกเราปากเรา มีแต่ความพิการ บางคนก็เห็นชัดมาก บางคนชัดน้อย เช่น
มือของเรา นิ้วก้อยเล็กนิดเดียว คิดว่าน่ารักจริง ๆแล้ว นั่นแหละ นิ้วง่อย
บางคนว่าสวยจนขนาดนางงามงานวัด หรือมิสยูนิเวอร์สเชียวนะ แต่พอไปเทียบกับรูปร่าง
มาตรฐานแล้ว ง่อยกันทั้งนั้น พิการทั้งนั้นแหละ
รู้ได้อย่างไรว่า ง่อยพิการ ค่อย ๆ ฝึกไป เมื่อเห็นพระธรรมกายภายในตัวแล้ว
เอาตัวของเราไปเทียบ จึงจะเห็นว่าตัวเรานี่แหละ พิการ
(http://www.dmc.tv/forum/uploads/monthly_05_2008/post-2683-1211217991_thumb.jpg) (http://"http://www.dmc.tv/forum/index.php?act=attach&type=post&id=16677")
ลักษณะมหาบุรุษมีอยู่ 32 ประการ คือ
1. มีพื้นเท้าสม่ำเสมอ
2. ฝ่าเท้ามีลายจักร มีซี่กำข้างละพัน พร้อมทั้งกงและดุม
3. มีส้นเท้ายาว
4. มีนิ้วมือและนิ้วเท้าเรียวยาว
5. มีฝ่ามือฝ่าเท้าอ่อนละมุน
6. มีลายฝ่ามือฝ่าเท้าดุจตาข่าย
7. มีข้อเท้าอยู่สูง
8. มีแข้งดุจแข้งเนื้อทราย
9. แม้ยืนไม่ย่อตัวก็สามารถแตะเข่าได้ด้วยมือทั้งสองข้าง
10. มีองคชาติตั้งอยู่ในฝัก
11. มีสีกายดุจทอง คือผิวหนังดุจทอง
12. มีผิวหนังละเอียด
13. มีขนขุมละเส้น เส้นหนึ่งอยู่ขุมหนึ่ง
14. มีปลายขนช้อนขึ้น มีสีดุจดอกอัญชัญ ขึ้นเวียนขวา
15. มีกายตรงดุจพรหม
16. มีเนื้อนูนหนาในที่ 7 แห่ง
17. มีกายข้างหน้าดุจราชสีห์
18. มีหลังเต็มบริบูรณ์ไม่เป็นร่อง
19. มีทรวดทรงดุจต้นไทร คือ กายกับวาจา เท่ากัน
20. มีคอกลมเกลี้ยง
21. มีประสาทรับรสอันเลิศ
22. มีคางดุจคางราชสีห์
23. มีฟัน 40 ซี่ บริบูรณ์
24. มีฟันเรียบเสมอ
25. มีฟันสนิทชิดกัน
26. มีเขี้ยวสีขาวงาม
27. มีลิ้นใหญ่และยาว
28. มีเสียงดุจเสียงพรหม คือ เสียงไพเราะมาก
29. มีนัยน์ตาดำสนิท เหมือนสีนิล
30. มีตาบริสุทธิ์ดุจตาลูกโคเพิ่งคลอด
31. มีอุณาโลมที่หว่างคิ้ว ขาวอ่อนเหมือนสำลี
32. มีศรีษะรับกับกรอบหน้า
รายละเอียดหลวงพ่อเทศน์ไว้แล้วในเรื่องลักษณะมหาบุรุษ ไปหาอ่านเอาก็แล้วกัน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราประสูติมาพร้อมกับได้ลักษณะมหาบุรุษ 32 ประการครบถ้วน
ในสมัยพุทธกาลมีบางคนได้ลักษณะมหาบุรุษเหมือนกัน แต่ได้มาคนละอย่างสองอย่างเท่านั้น
แสวงธรรมะ
ในการแสวงหาธรรมของพระองค์ ได้มีการทดลองตั้งแต่ฝึกสมาธิโดยทั่วไป ซึ่งมีมาก่อนพุทธกาลแล้ว
แห่งแรกคือฝึกสมาธิกับอาฬารดาบส ได้ไปศึกษาอยู่ไม่นาน ก็รู้เท่าอาจารย์ อาฬารดาบสได้กล่าวว่า
"เป็นลาภของเราแล้วท่านผู้มีอายุ เราได้ดีแล้ว ท่านผู้มีอายุ มิเสียแรงที่ได้พบเห็นเหมือนร่วมพรหมจรรย์เช่นเดียวกับท่าน
เรารู้ธรรมะใด ท่านก็รู้ธรรมะนั้น
ท่านรู้ธรรมะใด เราก็รู้ธรรมะนั้น
เราเป็นเช่นใด ท่านก็เป็นเช่นนั้น
ท่านเป็นเช่นใด เราก็เป็นเช่นนั้น
มาเกิดท่านผู้มีอายุ เราสองคนด้วยกัน จักช่วยกันปกครองศิษย์คณะนี้ต่อไป"
เห็นไหม เรียนพักเดียว อาจารย์ยอมรับว่า รู้เท่ากันแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราในครั้งนั้น เรียนก็เก่งทันอาจารย์ อาจารย์ก็น่ารัก ใจดีด้วย ไม่กลัวลูกศิษย์ดังกว่าตัว กลับชวนให้มาช่วยกันปกครองหมู่คณะต่อไป ฟังประโยคนี้แล้วชื่นใจ
ฉะนั้นเมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้ว คนแรกที่พระองค์คิดแทนพระคุณก็คือ อาฬารดาบส
แต่ว่าน่าเสียดายอาฬารดาบสได้ตายไปก่อนหน้า 7 วันเท่านั้นเอง น่าเสียดายจริง ๆ
ในทำนองเดียวกัน เมื่อเสด็จไปฝึกสมาธิกับอุทกดาบส ก็ได้รับคำชมเชยจากอุทกดาบส
และเชิญชวนให้อยู่ด้วยกัน เพื่อช่วยปกครองลูกศิษย์ต่อไปเช่นเดียวกัน
พวกเราเองไปเรียนกับอาจารย์ บางทีก็เรียนไม่จบ ตก ๆ หล่น ๆ
หลวงพ่อมีเรื่องตลกที่ขำไม่ออก ก็พวกเรานี่แหละบางคนมาถึง
"หลวงพ่อทำสมาธิอย่างไร"
หลวงพ่อก็สอนไป ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ตั้งใจทำไปนะ อีก 2-3 วันก็มาแล้ว
หลวงพ่อก็ดีใจ เอ้อ...คงจะเข้าถึงปฐมมรรคแล้ว แต่เปล่า!
"หลวงพ่อ ผมจะไปละ"
อ้าว...เป็นอะไรล่ะ
"โอ้ย...ผมเรียนตั้งนาน ยังไม่เห็นปฐมมรรคสักที ไปดีกว่า ไปเรียนสำนักอื่น"
โธ่เอ๊ย จะเรียนที่ไหนก็ต้องเรียนให้จบรู้จริงเสียก่อน ทำเหยาะ ๆ แหยะอย่างนี้ ทั้งชาติก็ไม่ได้อะไร
ดูตัวอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราซิ ท่านไม่เคยถอยหลังเลย
ภิกษุทั้งหลาย เราได้รู้ถึงธรรมะ 2 อย่าง คือ
ความไม่รู้จักสันโดษในกุศลธรรมทั้งหลาย และความเป็นผู้ไม่ถอยหลับ
ในการตั้งความเพียงนั้น เรื่องถอยหลังไม่ต้องพูดถึง พระองค์ท่านมีแต่เดินหน้าเรื่อยไป
เพราะฉะนั้นคำว่าถอยตั้งหลัก ไม่ใช่คำพูดของพ่อเรา อย่าเอามาพูดนะ
ทรงขยายความต่อไปว่า
"เราตั้งความเพียร คือความไม่ถอยหลัง ว่า
แม้หนังเอ็นกระดูก จักเหลืออยู่เนื้อและเลือดในสรีระ จะเหือดแห้งไปก็ตามที
เมื่อยังไม่บรรลุถึงประโยชน์อันบุคคลจะลุได้ ด้วยกำลังของบุรุษด้วยความเพียรของบุรุษ
ด้วยความบากบั่นของบุรุษแล้วเรื่องจะหยุดความเพียรนั้นเสีย เป็นไม่มีเลย
เรานั้นได้บรรลุความตรัสรู้ เพราะความไม่ประมาท
ได้บรรลุโมกขธรรมอันไม่มีอื่นยิ่งไปกว่า เพราะความไม่ประมาท"
(http://www.dmc.tv/forum/uploads/monthly_05_2008/post-2683-1211218262_thumb.jpg) (http://"http://www.dmc.tv/forum/index.php?act=attach&type=post&id=16679")
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้พากเพียรศึกษาวิชาต่าง ๆ ทุกวิชาที่คนในยุคนั้นเชื่อกันว่า เมื่อทำแล้วจะทำให้หมดกิเลสได้
บางพวกเชื่อกันว่า ถ้าบำเพ็ญตบะโดยเปลือยกาย โดยไม่สนใจใยดีกับร่างกาย
แม้ที่สุดจะถ่ายอุจจาระ ก็ใช้มือของตนนั่นแหละ เช็ดให้เกลี้ยง ไม่ได้เอาน้ำล้าง
บางพวกก็เคร่งครัดเรื่องอาหารที่รับประทาน กล่าวคือ
- ถือเป็นผู้ไม่รับอาหารที่เขาร้องเชิญว่า "ท่านผู้เจริญ จงมารับอาหาร"
- ไม่รับอาหารที่เขานิมนต์ว่า "ท่านผู้เจริญ จงหยุดก่อน"
- ไม่ยินดีในอาหารที่เขานำมาเฉพาะเจาะจง ข้าวปลาอาหารที่เขาเตรียมไว้ก็ไม่รับ
- เที่ยวไปหา เปลือกไม้บ้าง หญ้าบ้าง ผักบ้าง สาหร่ายบ้าง รำข้าวบ้าง ข้าวสารหัก ๆ
พวกปลายข้าวที่เขาเลี้ยงไก่ คือ
มีความเชื่อว่า ถ้ากินอาหารไม่พิถีพิถันแล้ว กิเลสจะหมด พระองค์ท่านก็ทดลองหมด
แม้ที่สุด คนในยุคนั้นเชื่อว่าบริโภคขี้วัวแล้ว จะหมดกิเลส พระองค์ก็ทดลองทำตาม
ทรงบริโภคขี้วัวและหญ้าเป็นธัญญาหารบริโภค ผลไม้ที่หล่นอยู่โคนต้น
เก็บรากไม้ในป่าเป็นอาหาร เพื่อยังชีวิตบ้าง นุ่งห่มด้วยผ้าที่ทิ้งไว้กับซากศพ บางครั้งก็นุ่งห่มด้วยหญ้าคานุ่งห่มด้วยเปลือกไม้ นุ่งห่มด้วยหนังสัตว์ที่ยังมีเล็บติดอยู่
แม้ที่สุดเอาปีกนกเค้าแมวมาต่อกันทำเป็นผ้านุ่งห่มก็ยังเคยทำ
ทรงบำเพ็ญเพียรตามวิธีที่เชื่อถือกันในขณะนั้นทุกวิธี แต่ก็ไม่ได้ผล ทรงเล่าว่า
"เรานั้น แห้ง ๆ แล้ว ร้อนแล้ว แต่ผู้เดียว เปียกแล้วผู้เดียว อยู่ในป่าที่น่าสพรึงกลัวผู้เดียว
เป็นผู้มีกายอันเปลือยเปล่า ไม่ผิงไฟเป็นผู้แสวงหาความบริสุทธิ์อย่างนี้"
นอนบนหนามก็ทรงเคยมาแล้ว ไม่ได้อาบน้ำเป็นปีก็ทนได้ อยู่ในป่าลึก ๆ
คนเดียวก็ยังไม่หวั่นไหว
ในขั้นสุดท้าย ทรงบำเพ็ญทุกข์กิริยา จนผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ทรงบรรยายว่า
"เวลาเอามือลูบหน้าท้อง มีความรู้สึกเหมือนลูบกระดูกสันหลัง เวลาเอามือลูบหลัง ก็เหมือนลูบหน้าท้อง"
พระองค์ทรงทดลองทุกวิธีเป็นขั้นตอน แต่ไม่สำเร็จมรรคผลอันใด
ในที่สุดทรงเลิกวิธีการต่าง ๆ เหล่านั้น
แล้วฝึกสมาธิด้วยพระองค์เองอย่างจริงจัง
ลองพิจารณาถึงขั้นตอนการแสวงหาธรรมะของพระองค์ ก่อนที่จะตรัสรู้ ย่อมจะเห็นว่า
พระองค์ท่าน ได้พากเพียรเพียงไร ทรงพากเพียรอย่างทุ่มเทชีวิตเข้าแลกตลอดมา
ตั้งแต่ออกบวชจนบรรลุธรรม
(http://www.dmc.tv/forum/uploads/monthly_05_2008/post-2683-1211218307_thumb.jpg) (http://"http://www.dmc.tv/forum/index.php?act=attach&type=post&id=16680")
อาการแห่งการตรัสรู้ธรรม
เมื่อทรงเลิกบำเพ็ญทุกข์กิริยา เริ่มฉันภัตตาหาร โดยปฏิบัติสายกลาง พระวรกายก็แข็งแรงขึ้น
การพากเพียรสมาธิภาวนาก็ได้ผลดีขึ้น เพิ่มพูนพระบารมียิ่งขึ้นตามลำดับ
จนถึงวันเพ็ญกลางเดือนหก รวมเป็นระยะเวลา 6 พรรษาหลังจากทรงผนวช
วันที่จะตรัสรู้นั้น มีชายชาวป่าคนหนึ่ง ได้นำหญ้ากุสสะ มาปูถวายเป็นอาสนะ
ด้วยอำนาจบุญที่ทรงเคยให้ที่นั่งที่นอน สร้างบารมีมาแต่ภพในอดีต หญ้ากุสสะ หรือที่เราเข้าใจว่าเป็นหญ้าคา ก็กลายสภาพเป็นรัตนบัลลังก์
พระองค์ประทับบนรัตนบัลลังก์ แล้วตั้งสัจจะอธิษฐานความเพียรว่า
"เราจักตั้งความเพียรคือ ความไม่ถอยหลังว่าแม้เนื้อและเลือดในสรีระจักเหือดแห้งไป
เหลือแต่หนัง เอ็น กระดูกก็ตามที เมื่อยังไม่บรรลุถึงประโยชน์อันบุคคลจะบรรลุได้ด้วยกำลังของบุรุษ
ด้วยความเพียรของบุรุษ ด้วยความบากบั่นของบุรุษแล้ว จักหยุดความเพียรนั้นเสียเป็นไม่มีเลย"
อธิบายความว่า แม้เลือดเนื้อจะแห้งเหือดหายไปก็ตามที ถ้ายังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาน
จะไม่ขอลุกจากที่นั่ง จะยอมนั่งตายไปเลย
พวกเราที่นั่งแล้ว แหม...ยังมืดตื้อ เจอหน้าทีไรก็ถาม
"หลวงพ่อ เมื่อไรจะเห็นพระธรรมกายสักที"
ยังหรอกโยม ก็ยังนั่งบิดอยู่หลายตลบ เดี๋ยวลุก เดี๋ยวพลิก มันก็เลยมีอาการอย่างนี้แหละ
ลองดูสิ จุดเทียนอธิษฐาน ไม่ถึงพระธรรมกายจะยอมตายตรงนี้ เดี๋ยวก็ได้ ฝึกต่อไปก็แล้วกันนะ
หลังอธิษฐานแล้ว พระองค์ท่านก็นั่งสมาธิเรื่อยไป จนในที่สุดใจรวมหยุดนิ่ง
ความสว่างภายในพระองค์ ก็ค่อย ๆ พัฒนาจากเห็นแสงสว่าง แต่ไม่เห็นรูป
ต่อมาเห็นแสงสว่างด้วย เห็นรูปด้วย
ทรงเข้าถึงธรรมกายละเอียดขึ้นตามลำดับจนถึงธรรมกายอรหันต์ ความสว่างภายในพระองค์
สว่างยิ่งกว่าตะวันเที่ยงอีก สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงมาเรียงอยู่ในท้องฟ้าเต็มไปหมด
(พวกเราอาจสงสัยว่า สว่างมาก ๆ แล้ว ไม่ร้อนหรือ ไม่ร้อนเลย สว่างด้วยอำนาจธรรม
ยิ่งสว่างยิ่งเย็นใจ อย่าเอาแสงสว่างทางโลกมาเปรียบ ทางโลกนั้นยิ่งสว่างยิ่งร้อน)
แสงสว่างในธรรมรังษี ยิ่งสว่างยิ่งเย็นเย็นเหมือนแสงจันทร์วันเพ็ญ ยิ่งสว่าง ยิ่งชุ่มฉ่ำหัวอกหัวใจบุพเพนิวาสานุสสติญาน
เมื่อความสว่างชัดขึ้น ชัดขึ้น
ก็ทรงใช้ธรรมกายอรหันต์พิจารณาถึงขันธ์ที่เคยอยู่ในชาติ ในภพก่อน ๆ ได้ตามลำดับ
ตั้งแต่หนึ่งชาติ สองชาติ สามชาติเรื่อยไปจนถึงร้อยชาติ พันชาติตลอดหลายสังวัฏกัป และหลายวิวัฏกัปว่า
เมื่อเราอยู่ในภพนั้น ๆ มีชื่ออย่างนั้น มีโคตร มีวรรณะ มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุข และทุกข์อย่างนั้น ๆ มีอายุสิ้นสุดลงเท่านั้น ๆ
ครั้นจุติ คือ ตายจากภพนั้นแล้ว ก็ได้เกิดในภพต่อไป เมื่อเกิดใหม่ มีโคตร มีวรรณะ เสวยสุขทุกข์อย่างไร
ทรงตรัสว่า
"เรานั้นระลึกถึงขันธ์ห้า ที่เคยอยู่ เคยอาศัยในภพก่อน ๆ ได้หลายประการ พร้อมทั้งอาหาร และลักษณะ
ดังกล่าวนี้ เป็นวิชชาที่เข้าบรรลุในยามแรกแห่งราตรี คือ
บุพเพนิวาสานุสสติญาน ญาน ความสามารถในการระลึกชาติหนหลังได้"
ถ้าจะเปรียบกับวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน ในเชิงวิชาการ หลวงพ่อขอเปรียบเทียบง่าย ๆ ก็คือ
ในทางโลก ภพต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ เราสามารถเอากล้องถ่ายภาพยนตร์ ถ่ายวีดีโอ ถ่ายไว้ บันทึกไว้เช่นนี้
ใจของเราก็เหมือนกัน ดีกว่าฟิลม์ทั้งหลายในโลก
ใจของเรานั้น ใสเป็นดวง ใสกว่าดวงแก้วใส การกระทำทั้งหลาย ตลอดชีวิตของเรา ถูกบันทึกไว้ในใจ
ตลอดทั้งชาติ ฟิลม์ภาพยนตร์หรือเทปวีดีโอ ก็ยังมีคุณภาพสู้ใจเราไม่ได้
เมื่อชาติที่ผ่านมาแล้ว ก็บันทึกเอาไว้ ถ้าใจของเรา ยังฝึกสมาธิไม่พอ หลับตาแล้ว มันมืดตื้อ จึงไม่เห็นภาพ
ที่บันทึกไว้ ฝึกมาก ๆ เข้า ใจตกตระกอนใส ใจใสแจ๋ว หลับตาลืมตา สว่างโพลง พอ ๆ กัน
จึงมองย้อนเห็นภาพที่บันทึกไว้ในใจชัดเจนเลย เหมือนกรอภาพกลับไปในอดีต ที่เราเรียกว่า
ระลึกชาติได้ ก็ด้วยเหตุผลอย่างนี้
เมื่อย้อมระลึกถึงความดีที่ทำเอาไว้ อ๋อ...ความดีส่งเรามาอย่างนี้
มิน่า..เราจึงได้มาบวช มาเป็นธรรมทายาท
มาพบพร้อมหน้ากันที่วัดพระธรรมกายในวันวิสาขบูชานี่เอง
ถ้าย้อนกลับไปพบความดี ก็ทำให้ชื่นใจ อิ่มใจ แต่ความชั่วที่เคยทำไว้ก็ไม่หนีหายไปไหน
กรอกลับไป เดี๋ยว ๆ ก็เจอ
อ้าว...ไอ้ที่ทำแสบ ๆ ไว้โผล่มาให้เราเห็นแล้ว ชัดเลย ไอ้ฟันโตอย่างกับจอบที่ได้มา
ก็เพราะไปด่าเขาไว้เยอะ
อ้อ...ที่หัวล้านแดง ๆ อยู่นี่ ก็เกิดจากพูดจาล่วงเกินผู้มีศีล ผู้หลักผู้ใหญ่ไว้
บางคนก็ผอมจริง ๆ กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ระลึกชาติไปดู ก็ปรากฎว่า
ปากไม่ดีเหมือนกัน ชอบพูดค่อนแคะว่า
ผู้หลักผู้ใหญ่ว่า ผอมบ้าง แห้งบ้าง ชาตินี้จึงต้องผอมเป็นกุ้งแห้ง
เมื่อระลึกชาติได้ชัดเจน จึงเกิดความกลัวบาป กลัวกรรม จะทำอะไรไม่เข้าท่า เข้าทาง ก็กลัวบาป กลัวกรรม
เพราะว่ามันตามให้ผลจริง ๆ ตามข้ามชาติแน่ะ เห็นชัดนะ
เมื่อระลึกชาติได้แล้ว พระองค์ตรัสว่า
"นี้เป็นวิชชาที่สอง ที่เราได้บรรลุแล้ว ในยามแรกแห่งราตรี
เพราะฉะนั้นเมื่อวิชชาเกิดขึ้น อวิชชาก็ถูกทำลายไป เหมือนความมืดถูกทำลาย ความสว่างก็เกิดขึ้นแทน"
ใครบอกว่า ความสว่างเป็นกิเลส อย่าเพิ่งไปเชื่อนะ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงสรรเสริญแสงสว่าง ในพระไตรปิฎก มีหลักฐานยืนยังไว้ชัด
จุตูปปาตญาน
เมื่อบรรลุวิชชาที่หนึ่ง คือ บุพเพนิวาสานุสสติญานแล้ว ก็ทรงบำเพ็ญเพียรต่อไป
"เรานั้นเมื่อจิตตั้งมั่นบริสุทธิ์ผ่องใส ไม่มีกิเลส ปราศจากกิเลส เป็นธรรมชาติอ่อนโยน
ควรแก่การงาน ถึงความไม่หวั่นไหว ตั้งอยู่เช่นนี้แล้ว
ได้น้อมจิตไปเฉพาะต่อ จุตูปปาตญาน คือการรู้จักการเกิด การตายของสัตว์อื่น"
"เรามีจักขุทิพย์บริสุทธิ์กว่าจักษุของสามัญมนุษย์ ย่อมแลเห็นสัตว์ทั้งหลายจุติอยู่แล้วว่า
เลวทรามประณีตมีวรรณะดี มีวรรณะเลว มีทุกข์มีสุขอย่างไร
เรารู้แจ้งชัด หมู่สัตว์ทุกผู้เข้าถึงตามกรรมว่า
ผู้เจริญทั้งหลาย สัตว์เหล่านี้หนอ ประกอบกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ผู้ติเตียนพระอริยเจ้าทั้งหลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ
ประกอบการงานด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เบื้องหน้า
เมื่อกายแตกตายไป ล้วนพากันไปสู่อบาย ทุคติ วิบากนรก"
เห็นไหม ท่านบอกชัดเลยนะ ลองเปรียบเทียบว่า
ถ้าเรามีไฟฉายอยู่ในมือ ก็จะส่องทาง บอกได้ว่าตรงไหนเป็นเขา
ตรงไหนเป็นบ่อ เป็นเหว เมื่อพระองค์บรรลุวิชชาที่สอง คือ
จุตูปปาตญาน มีจักขุทิพย์รู้เห็นการเกิด การตายของมนุษย์
และสัตว์ทุกชนิดแล้ว จึงทรงบอกได้ว่า
ไม่ว่าคนหรือสัตว์ชนิดใดก็ตาม ถ้าทำความผิดไว้ ไม่ว่าจะด้วยกาย วาจาใจก็ตาม เบื้องหน้า
เมื่อแตกกาย ทำลายขันธ์แล้ว ก็จะสู่ทุคติวิบากนรก ตกนรกหมด
กายทุจริต ได้แก่ ทำความชั่ว ใช้มือเท้าปากเล็บ ไปฆ่าเขาไว้ แย่งลูกเมียเขาไป ทำลายทรัพย์ของเขาไว้
วจีทุจริต คือ พูดจาโกหกพกลม พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ พูดส่อเสียด
มโนทุจริต คิดละโมภ อยากได้ของเขา คิดล้างผลาญ พยาบาท คิดผิดทำนองคลองธรรม อิจฉาตาร้อน
"ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ส่วนสัตว์เหล่านี้หนอ ประกอบกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า
ประกอบการงานด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เบื้องหน้าแตกตายไปนี้ ย่อมพากันเข้าสู่สุคติโลกสวรรค์"
เพราะฉะนั้นถ้าใครบอกว่า สวรรค์ไม่มีก็อย่าเพิ่งเชื่อนะ
เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทรงยืนยันว่า มีจริง
เป็นที่ไปของคนทำความดี หลังจากสิ้นชีวิตแล้ว
หลายท่านที่นั่งในที่นี้ ก็เคยเห็นว่าสวรรค์เป็นอย่างไร เทวดาเป็นอย่างไร
สิ่งที่เรามองไม่เห็น ไม่ได้หมายความว่า สิ่งนั้นไม่มีนะ
มี
แต่เรามองไม่เห็นต่างหาก
ลองพิจารณาว่า
เมื่อก่อนนี้ยังไม่มีกล้องจุลทรรศน์ ใคร ๆ ก็ไม่รู้ ไม่เชื่อว่า มีเชื้อโรค
ในพระไตรปิฎก พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพูดถึงเรื่องเชื้อโรคต่าง ๆ เอาไว้มาก
แต่ท่านไม่ได้เรียก "เชื้อโรค" ท่านเรียกว่า "พยาธิ"
พยาธิที่กินฟัน กินผมกินตา กินส่วนต่าง ๆ ที่อยู่ในร่างกาย ทำให้ร่างกายเสื่อมโทรมไป ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ
เรื่องพยาธินี้ทรงอธิบายว่า มีขนาดต่าง ๆ กันตั้งแต่ตัวโตมองเห็นได้จนเล็ก ๆ มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
ฟังแล้วไม่ค่อยเชื่อกัน จนกระทั่งเกิดกล้องจุลทรรศน์ขึ้น จึงยอมรับว่ามี
แล้วก็ตรงกับที่พระองค์ตรัสไว้ทุกอย่าง เห็นไหม!
สิ่งที่ตาเรามองไม่เห็นนั้น ไม่ใช่ว่าไม่มี เมื่อก่อนนี้ก็ไม่เชื่อกันว่าดวงดาวเป็นโลกอีกโลกที่ต่างออกไปจากโลกที่เราอยู่
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า มีจักรวาลอยู่นับไม่ถ้วน เป็นอนันต์จักรวาล มีลักษณะคล้ายจักรวาลที่เราอยู่นี้
ก็ไม่มีใครเชื่อ แต่เดี๋ยวนี้หลักฐานทาง ดาราศาสตร์ยืนยันแล้วว่ามีจริง ๆ แต่ต้องอาศัยกล้องดูดาว เดี๋ยวนี้ก็เริ่มเห็นหมู่ดาวอะไร ๆ ต่ออะไรมากขึ้นแล้วใช่ไหม
อาสวักขยญาณ
เมื่อพระองค์ได้รู้ ได้เห็นมีวิชชาเกิดขึ้น แสงสว่างปรากฎชัดขึ้น เช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ
พระองค์ก็อาศัยธรรมกายพิจารณาธรรมละเอียดขึ้น ประณีตขึ้นตามลำดับ
"เรานั้นเข้าถึงวิชชาที่ 3 แล้ว จิตตั้งมั่นมีความบริสุทธิ์ผ่องใส ปราศจากกิเลสเป็นธรรมชาติ จิตอ่อนโยนควรแก่การงาน ถึงความไม่หวั่นไหวตั้งอยู่เช่นนี้แล้วก็น้อมจิตไปเฉพาะต่อ อาสวักขยญาณ..."
ฟังให้ดีนะ เวลาทำความดีใจเราเป็นดวงใส ใสอย่างแก้ว อย่างเพชร
เมื่อทำความดีครั้งหนึ่ง ใจก็สว่างวูบขึ้นทีหนึ่ง
ดวงสว่างนั้นนะจะเรียกว่า "ดวงบุญ" ก็ได้
ความสว่างหรือบุญที่สะสมไว้มากเข้า ๆ ก็กลั่นเป็นดวงใสยิ่งขึ้นเรียกว่า"บารมี"
ในด้านตรงกันข้าม
พอทำความชั่ว ใจก็มืดวูบลงความชั่วนั้นเรียกว่า "บาป" เกิดจาก"กิเลส"
กิเลส คือโลภโกรธหลง กิเลสที่ห่อห้มใจอยู่ชักนำให้เราทำความชั่วทางกายวาจา
พอเราทำความชั่วได้ผลเป็นบาปใจที่มีปกติสว่างก็มืดวูบลง
บาปนี้สะสมมากเข้า ๆ เรียกว่า "อาสวะ"
ตรงกันข้ามบุญที่สะสมมากเข้า ๆ เรียกว่า "บารมี"
มนุษย์ที่สะสมกิเลสไว้มาก ภาษาพระเรียกว่า "อาสวะกิเลส"
ทรงอธิบายถึงการบรรลุธรรมตามลำดับของพระองค์ต่อไปว่า
"เรานั้นเมื่อตั้งมั่น บริสุทธิ์ผ่องใสปราศจากกิเลสเป็นธรรมชาติอ่อนโยน ควรต่อการงานถึงความไม่หวั่นไหวตั้งอยู่เช่นนี้แล้วก็ น้อมจิตไปเฉพาะต่ออาสวักขยญาณ เราย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า
นี้ทุกข์ นี้เหตุแห่งทุกข์ คือสมุทัย
นี้ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ คือนิโรธ
นี้ความให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ คือมรรค อันประกอบด้วยองค์ 8
เรารู้ด้วยว่า นี้เป็นอาสวะทั้งหลาย
นี้คือความดับไม่เหลือแห่งอาวสะทั้งหลาย คือ นิโรธ
เมื่อเรารู้อย่างนี้ เป็นอยู่อย่างนี้ จิตพ้นจากกามอาสวะ คือพ้นจากกามะสวะ
ก็พ้นจากภพ แล้วอวิชชาคือความไม่รู้ทั้งหลายก็หมดไป
ครั้นจิตพ้นวิเศษแล้ว ก็เกิดญาณหยั่งรู้ว่า จิตนี้พ้นแล้ว เรารู้ชัดว่าชาตินี้สิ้นแล้ว ไม่ต้องเกิดอีกแล้ว
พรหมจรรย์คือการประพฤติตัวให้ประเสริฐหมดกิเลสกับบรรลุแล้ว กิจที่จะต้องทำได้สำเร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความหลุดพ้นก็ไม่ได้มีอีกแล้ว
นี่เป็นวิชชา 3 ที่เราได้บรรลุแล้ว ในยามปลายแห่งราตรี"
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อตรัสรู้นั้น ท่านเกิดความรู้ เกิดวิชชาตามลำดับคือ
ระลึกชาติของพระองค์ได้ เป็นวิชชาที่ 1 คือบุพเพนิวาสานุสสติญาน เมื่อยามหนึ่ง
ระลึกชาติผู้อื่นได้ เป็นวิชชาที่ 2 คือจุตูปปาติญาน เมื่อยามสองและ
บรรลุอาสวขยญาณ เป็นวิชชาที่ 3 หมดกิเลสในระยะวันเก่าต่อกับวันใหม่
เมื่อรุ่งอรุณก็ตัดกิเลสทั้งหลายได้สิ้นอวิชชาถูกทำลาย วิชชาก็เกิดขึ้น ความมืดถูกทำลาย ความสว่างก็เกิดขึ้น
เป็นอาการที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาทบำเพ็ญเพียรเผาบาป
นี่คืออาการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ธรรมเมื่อวันเพ็ญกลางเดือน 6
ทรงค่อย ๆ ขุดคุ้ย ค่อย ๆพิจารณาพากเพียรทดลอง ค่อย ๆ กลั่นกรองเผาผลาญกิเลสจนสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ
แล้วยังเล่าต่อให้ลูกศิษย์ลูกหาฟังทุกแง่ทุกมุมไม่ปิดปัง
เป็นข้อความจริงที่ลูกศิษย์ลูกหาประพฤติปฏิบัติตามแล้ว
ก็ได้ผลสำเร็จเช่นเดียวกับพระองค์์
ด้วยเหตุนี้จึงมีพระอรหันต์เกิดตามขึ้นมามากมาย ต่อเนื่องกันมาเป็นสายไม่ขาดช่วงขาดตอนทรงประกาศพระศาสนา
เมื่อตรัสรู้แล้วก็ประทับเสวยวิมุติสุขอยู่ 7 สัปดาห์
ในระหว่างที่พระองค์เสวยวิมุติสุข คือความสุขอันเกิดจากการตรัสรู้ธรรมนั้น
พระองค์ทรงคำนึงถึงพระมโนปณิธานที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้น ในอันที่จะปลดเปลื้องความทุกข์ให้แก่ชาวโลก
อยู่ตลอดเวลา จึงทรงพิจารณาแยกหมวดหมู่ธรรมะ แจกแจงรายละเอียดเตรียมไว้อย่างพร้อมมูล
เพื่อเตรียมพระองค์ทำหน้าที่เป็นยอดกัลยาณมิตรให้แก่ชาวโลก
ครั้นล่วงถึงเดือน 8
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้เสด็จไปยังป่าอิสิปปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี
เพื่อแสดงธรรมโปรดปัญจวัคคีย์ คือนักบวช 5 รูป ซึ่งเคยติดตามอุปัฏฐากรับใช้พระองค์
ในขณะที่ทรงบำเพ็ญเพียรในระยะแรก แต่ได้ทอดทิ้งพระองค์ไป
เมื่อเห็นว่าทรงหันมาเสวยพระกระยาหารไม่ทรมานพระวรกาย
ทั้งนี้เพราะท่านเหล่านั้น หลงเข้าใจผิดคิดว่าพระองค์ทรงคลายความเพียร
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงติดตามหาปัญจวัคคีย์จนพบ เมื่อวันเพ็ญกลางเดือน 8
ทรงทำให้ปัญจวัคคีย์เลื่อมใสในพระองค์แล้ว จึงแสดงปฐมเทศนาเรื่อง "ธัมมจักกัปปวัตนสูตร"
ทันทีจบพระธรรมเทศนา
อัญญาโกณทัญญะ ผู้เป็นพี่ใหญ่ ก็บรรลุธรรมกายโสดา เป็นพระโสดาบัน
พระอัญญาโกณทัญญะทูลขอบรรพชาอุปสมบท พระองค์จึงทรงประทานอุปสมบทให้โดยวิธี
"เอหิภิกขุอุปสัมปทา" พระอัญญาโกณทัญญะจึงเป็นพระอริยสงฆ์รูปแรกในพระพุทธศาสนา
ณ บัดนั้นพระธรรม พระสงฆ์จึงได้เกิดขึ้นในโลก
ในวันเพ็ญกลางเดือน 8 ที่เรียกว่า "วันอาสาฬหบูชา"
นับได้ว่าเป็นวันที่พระรัตนตรัยครบองค์ 3 คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
หลังจากที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตรแล้ว
ก็ทรงประทานโอวาทแก่พระปัญจวัคคีย์ด้วยธรรมะอันละเอียด ลุ่มลึกยิ่งขึ้นตามลำดัย
จนกระทั่งบรรลุธรรมกายโสดา เป็นพระโสดาบันทุกรูป
ในที่สุดเมื่อทรงแสดงพระธรรมเทศนา ในบทอนัตตลักขณสูตรเมื่อวันแรม 5 ค่ำ
พระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 รูปก็บรรลุธรรมกายอรหัต สำเร็จพระอรหันต์ พร้อมกัน
ในเวลาต่อจากนั้นอีกไม่กี่วัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ทรงพบกับยสกุมาร ชายหนุ่มลูกเศรษฐีผู้หนึ่ง
พระองค์ทรงเล็งเห็นจริต อัธยาศัยของเขา
จึงทรงแสดงพระธรรมเทศนาเรื่อง อนุปุพพิกถา
โปรดยสกุมาร จนได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระอรหันต์ในวันนั้นเอง
ต่อมาเพื่อนของยสกุมารอีก 54 คนซึ่งล้วนเป็นลูกเศรษฐีและเป็นคนหนุ่มที่มีการศึกษาดีแห่งยุคนั้น
ก็ได้ตามมาฟังเทศน์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในที่สุดก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์พร้อมกันทั้งหมด และได้บวชโดยเอหิภิกขุอุปสัมปทาเช่นกัน
ฉะนั้นในยุคแรกของพระศาสนา เพียงเวลาล่วงไปไม่ถึง 3 เดือนก็มีพระอรหันต์บังเกิดขึ้นในโลกขึ้นถึง 61 รูป
คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 1 รูป พระปัญจวัคคีย์ 5 รูป พระยสกุมารและเพื่อนอีก 55 รูป
ทรงเผยแผ่พระศาสนา
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นว่า มีพระอรหันต์จำนวนมากแล้ว จึงทรงเรียกประชุมและมอบหมาย
ให้พระอรหันต์ทั้ง 60 รูปแยกย้ายกันไปเผยแผ่พระศาสนา ไปเป็นกัลยาณมิตรให้แก่ชาวโลก ทรงมีรับสั่งว่า
พวกเธอทั้งหลายจงเที่ยวจารึกไป เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่มหาชน
เพื่อความเอ็นดูแก่ชาวโลก
เพื่อประโยชน์เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
พวกเธออย่าไปทางเดียวกันถึงสองรูปนะ
ในการเผยแผ่ธรรมะแก่ชาวโลกนั้น พระพุทธองค์ทรงวางแนวทางการสั่งสอนอย่างมีขั้นตอน
คือสอนตั้งแต่ง่ายไปหายาก เพราะพระองค์ปฏิบัติมาแล้ว
ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองว่าอะไรง่าย อะไรยาก ไม่ข้ามขั้นตอน ไม่รวบรัด สอน
อย่างพอเหมาะพอสมกับบุคคล
เพราะพระองค์หยั่งรู้สภาพจิตของมนุษย์ว่า กำลังคิดตรึก นึกตรองอย่างไร
ฉะนั้นเมื่อสอนธรรมะผู้ใด ก็จะสอนตรงประเด็นที่ผู้นั้นสงสัยคลางแคลง
เมื่อเทศน์จบจึงได้ผลสำเร็จอย่างสูงจนบรรลุธรรมทุกคน
จำได้ไหม
เมื่อพวกเราสวดมนต์ทำวัตรนั้น มีบทสรรเสริญพระพุทธคุณบทหนึ่งที่กล่าวว่า
อาทิกัลยานัง มัชเฌกัลยาณัง ปะริโยสาณกัลยานัง สาตถัง สะพยัญชะนัง
เกวะละปริปุณณัง ปะริสุทธังพรหมะจริยัง ปะกาเสสิ
ซึ่งมีความหมายโดยสรุปว่า
ธรรมะอันพระพุทธเจ้าตรัสดีแล้วนั้นงามในเบื้องต้น งามในเบื้องกลาง งามในเบื้องปลาย
งดงามลุ่มลึกไปตามลำดับ
สามารถอธิบายขยายความนำไปได้ทุกรูปแบบเป็นประโยชน์แก่ผู้นำไปปฏิบัติจริง
ไม่มีเลยในประวัติศาสตร์ที่ศาสดาองค์ใดในโลกจะกล้ากล่าวได้ดังนี้
มีแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่กล้าตรัสเช่นนี้
เพราะท่านศึกษาค้นคว้า ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง มิได้มีผู้ใดมาเนรมิตเสกสรรให้
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ตั้งแต่ประกาศพระศาสนา
เมื่อพระชนมายุ 35 ปีจนกระทั่งเสด็จดับขันธปรินิพพาน เมื่อพระชนมายุ 80 ปี เป็นเวลาทั้งหมด 45 ปีนั้น
รวมเรียกว่า พระไตรปิฎก แบ่งเป็นสาระสำคัญคือ
ส่วนที่ 1 พระวินัย หมายถึงกฎระเบียบของพระภิกษุ 21,000 ข้อ
ส่วนที่ 2 พระสูตร หรือพระสุตตันตปิฎก
กล่าวถึงเหตุการณ์ในสมัยพุทธกาล รวมคำเทศน์คำสอนที่มีหลักธรรม 21,000 ข้อ
ส่วนที่ 3 พระอภิธรรม เป็นธรรมะเบื้องสูง กล่าวถึงพัฒนาการระดับจิตใจว่า
เมื่อปฏิบัติธรรมแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงก้าวหน้าดีขึ้นอย่างไร ใช้ตรวจสอบสภาวะจิต
และยังกล่าวไว้ด้วยว่าถ้าไม่ปฏิบัติจะเลวลงอย่างไร รวม 42,000 ข้อ
พระไตรปิฎกในภาษาบาลีมี 45 เล่ม แปลเป็นภาษาไทยก็มี 45 เล่ม
เท่าจำนวนพรรษาที่พระพุทธเจ้า ทรงเผยแผ่พระศาสนา
ในการประกาศศาสนา หรือการเผยแผ่พระธรรมคำสอนของพระองค์
ตั้งแต่ตรัสรู้แล้วนั้น ทรงอุทิศเวลาตลอดพระชนม์ชีพเพื่อปลดเปลื้องทุกข์ของสัตว์โลก
ด้วยพระกรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ เป็นแบบฉบับศาสดาที่วิเศษสุดในโลก
ทรงแบ่งงานของพระองค์เป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ ไม่ให้น้อยหน้ากันคือ
ส่วนที่หนึ่ง เกี่ยวกับพระญาติ
ส่วนที่สอง เป็นของชาวพุทธทั้งหลาย
ซึ่งเริ่มจากบุคคลคนเดียวจนเพิ่มเป็นพุทธบริษัท 4 อันประกอบด้วย พระภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
ส่วนที่สาม เป็นของชาวโลกทั่วไป ซึ่งบุญบารมียังไม่แก่กล้าพอที่จะติดตามพระองค์ไปได้
พระองค์ก็เพียงโปรดเพียงสอนไปตามกำลังที่เขาจะรับได้
ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษย์ชาติ
ยังไม่เคยมีศาสดาองค์ใดที่แบ่งงานได้สมบูรณ์แบบดังพระองค์ท่าน
จนได้รับฉายา อย่างที่เราสวดมนต์สรร เสริญพระพุทธคุณอยู่ทุกวันนี้ว่า
ปุริสธรรมสาระถิ คือเป็นสารถีนักฝึกคนที่เยี่ยมที่สุดในโลก
สัตถาเทวะมนุสสานัง คือเป็นครูสอนได้ทั้งเทวดาและมนุษย์ ยังไม่มีศาสดาองค์ใดทำได้
แต่พระองค์ท่านก็ทำได้
(http://www.dmc.tv/forum/uploads/monthly_05_2008/post-2683-1210916016.jpg)
เสด็จดับขันธปรินิพพาน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทรงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่
พระองค์ทรงเผยแผ่พระธรรมคำสอนขัดเกลากิเลสมนุษย์โลก
โดยไม่หยุดยั้งต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลายาวนานถึง 45 พรรษา
เมื่อถึงคราวจะเสด็จดับขันธปรินิพพานก็ยังเหนือกว่าศาสดาใด ๆ ในโลก
คือทรงรู้วาระที่จะดับขันธ์ล่วงหน้าถึง 3 เดือน ทรงประกาศล่วงหน้าเลยว่า
สาวกทั้งหลาย อีก 3 เดือนข้างหน้าจะถึงกำหนดที่เราต้องดับขันธแล้ว
ฉะนั้นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
ผู้ใดมีอะไรสงสัยในธรรมะจงมาถามเราเถิด
สั่งอย่างนี้แล้วก็เสด็จออกประกาศพระศาสนาต่อไปไม่หยุดพัก เสด็จผ่านเมืองสำคัญ
แหล่งสำคัญที่มีประชาชนอยู่กันมาก ทรงเทศน์โปรดผู้ที่มีกำลังบุญพอที่จะตรัสรู้ธรรมได้
เพื่อให้เป็นกำลังสำคัญ ในการประกาศพระศาสนาแทนพระองค์
สำหรับพระอรหันต์รุ่นแรก ๆ พระองค์ก็สั่งว่า
เมื่อเราจากพวกเธอไปแล้วเธอจะต้องจัดหมวดหมู่ธรรมะที่เราสอนไว้ให้ดี
พูดง่าย ๆ ก็คือ สั่งให้ทำพระไตรปิฎก เราจึงได้พระไตรปิฎกไว้เป็นหลักฐานจนถึงทุกวันนี้
ที่เหนือกว่านั้นคือ
ก่อนที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระองค์ได้ทรงสรุปคำสอนไว้ให้อย่างยอดเยี่ยม
พวกเราเรียนตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยม มีใครบ้างสามารถสรุปความรู้ที่เรียนมาได้ทั้งหมด
ร้อยทั้งร้อยสรุปไม่ลงหรอก เพราะรู้ไม่จริง
โดยทั่วไปความรู้ที่เกิดแก่ใครก็ตามมักพัฒนาเป็นขั้นตอนอยู่ 3 ระดับ
ระดับแรกเรียกว่า รู้จำ คือท่องมาบ้าง พ่อแม่บอกให้บ้าง
ระดับที่ 2 รู้จริง คือเมื่อเติบโตขึ้น ย่ำโลกมากเข้า มีประสพการณ์มากขึ้น
ความรู้ที่ได้มาจากระดับแรกก็เปลี่ยนจากรู้จำป็นรู้จริง
อธิบายถ่ายทอดให้คนอื่นรู้ตามได้บ้าง แต่ก็มีขอบเขตจำกัด เจอของแปลกใหม่ก็มืดตื้อเหมือนกัน
ระดับที่ 3 รู้แจ้ง คือรู้รอบไปทั้งหมดทั้งที่มาที่ไป
รู้วิธีนี้ต้องฝึกสมาธิจนใจสงบเกิดดวงปัญญาสว่างโพลง
สามารถอธิบายขยายข้อความรู้ที่ลึกล้ำได้ ค่อย ๆ นึกแล้วจะเห็นความสว่างปรากฎขึ้น
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านรู้จำ รู้จริง แล้วรู้แจ้ง
แต่พวกเรารู้งู ๆ ปลา ๆ ต้องฝึกสมาธิจึงจะสามารถพัฒนาการเรียนรู้ได้เต็มขึ้น
สิ่งอัศจรรย์อีกเรื่องหนึ่ง ที่ใคร ๆ ก็ทำไม่ได้อย่างพระองค์ คือ
พระองค์ทรงทำงานจนวินาทีสุดท้าย
แม้พละกำลังจะหมดแล้ว ก็ยังอนุญาตให้สุภัททะปริพพาชกเข้าเฝ้าถามปัญหา
และเทศน์โปรดจนได้เป็นพระอรหันต์ในคืนวันที่พระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานนั่นเอง
พระอรหันต์องค์สุดท้ายในยุคพุทธกาลที่พระบรมศาสดายังทรงพระชนม์ คือ พระสุภัททะ
ความอัศจรรย์อีกอย่างหนึ่งที่ศาสนาอื่น ๆ ไม่มี
ก็คือการแต่งตั้งศาสดาไว้ปกครองศิษย์ต่อไป
ไม่มีศาสดาองค์ใดที่ทำได้รัดกุมเท่าพระองค์
ได้มีผู้ทูลถามว่า เมื่อเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วจะตั้งใครเป็นศาสดาปกครองสงฆ์ต่อไป
พระองค์ทรงตอบชัดเจนดีมากว่า
ธรรมะและวินัยที่ได้ตรัสไว้ดีแล้ว จะเป็นศาสดาแทนพระองค์
พระองค์ไม่ตั้งบุคคล
เพราะพระธรรมคำสั่งสอนทั้ง 84,000 ข้อเป็นหลักที่ดีเยี่ยมแล้ว
ศาสนาอื่น ๆ เมื่อศาสดาตายก็แบ่งกันใหญ่เพื่อปกครองสาวกแทบจะฆ่ากันตาย
ในพุทธศาสนาไม่เป็นเช่นนั้น เพราะพระองค์ทรงเตรียมการไว้พร้อมแล้ว
ขอฝากผู้เฒ่าทั้งหลายหัดเตรียมตัวตายไว้บ้างนะ
คือเตรียมอย่างที่พระพุทธองค์เตรียม จัดมรดกให้เรียบร้อย ยุติธรรม
- ลูกคนไหนนิสัยดี ไม่ดีอย่างไร ก็ทำเป็นลายลักษณ์อักษรชี้แจง แนะนำตักเตือนให้ชัดเจน
- มรดกที่เป็นทรัพย์สินเขาอาจเอาไปขายกินหมด แต่มรดกคำสอนที่เป็นลายลักษณ์อักษร
แม้ตัวผู้รับตายแล้วก็ยังอยู่ตกทอดต่อไปไม่สูญหายไปเสีย
- รักลูกก็ต้องทำให้เรียบร้อยอย่างนี้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทำงานจนวินาทีสุดท้าย
นอกจากนั้นยังปรากฎความอัศจรรย์ในวาระสุดท้าย ให้คนรุ่นหลังได้เคารพบูชาอีก
คือวันประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน
ตรงกันหมดในวันเพ็ญกลางเดือน 6 ไม่มีศาสดาใดทำได้
เรามีศาสดาที่วิเศษสุดอย่างนี้ เพราะฉะนั้นอย่าดิ้นรนไปหาศาสดาที่ไหนอีกเลย
เท่านั้นยังไม่พอ เพื่อความเรียบร้อย พระองค์ยังได้สั่งถึงการถวายพระเพลิงพระสรีระของพระองค์ว่า
พระศพของพระองค์นั้นให้เอาผ้า เอาสำลีพัน แล้วใส่เครื่องหอมเป็นชั้น ๆ
แล้วไม่ต้องจุดไฟเพราะใครจะจุดไฟอย่างไรก็ไม่ติด
เนื่องจากพระองค์อธิษฐานไว้ว่า เมื่อถึงเวลาสมควรไฟจะเกิดสว่างพรึบขึ้นมาเอง
ยิ่งกว่านั้น เมื่อถวายพระเพลิงแล้วพระบรมสารีริกธาตุจะแตกออกเป็น 84,000 ชิ้น
เท่าจำนวนหัวข้อธรรมที่พระองค์
ได้ทรงสั่งสอนไว้ ให้แจกจ่ายกันให้ทั่วถึง