(http://pirun.ku.ac.th/~b4946005/Rama5.jpg)
พระพุทธเจ้าหลวง
๒๐ กันยายน วันคล้ายวันพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
“ เราจะต้องเป็นผู้ที่ไม่หลับตา ถือเอาการซึ่งจะเป็นการดีต่อชาติอื่นซึ่งจะไม่เป็นการดี หรือ เป็นการด่วนเกินต้องการของประเทศสยามไป อีกฝ่ายหนึ่งเราจะต้องไม่เป็นผู้หลงใหลหลับตาถือมั่นตามแบบอย่าง หรือ กฎหมายโบราณ ซึ่งอาจดีได้ในกาลครั้งหนึ่ง แต่เป็นการล่วงพ้นความพอดี ซึ่งเรามีความต้องการและมีความคิดอยู่บัดนี้
(หมาย ความว่า เราจะต้องใช้ปัญญาในการแยกแยะให้ได้ว่า อะไรที่ทำแล้วเป็นผลดีกับชาติอื่นแต่ไม่เกิดผลดีแก่ชาติของตนเอง หรือเป็นเรื่องที่เกินพอดีเกินความต้องการของประเทศชาติ และเราต้องไม่ยึดติด ใช้ปัญญาให้เห็นความเหมาะสมว่าการยึดตามแบบอย่างเก่าๆหรือกฏหมายเก่าๆซึ่ง อาจได้ผลดีในช่วงเวลาหนึ่ง แต่อาจไม่สอดคล้องกับความต้องการหรือแนวคิดในเวลาปัจจุบันก็ได้: ผู้เรียบเรียง)
คำที่เรากล่าวนี้ เราเชื่อว่าท่านทั้งหลายคงจะเข้าใจ และเราทั้งหลายจะเดินต่อไปด้วยกันในทางซึ่งสมควร และเป็นทางที่เจริญขึ้นเนืองนิตย์ จะละหลีกทางที่แรงเกินไปทั้งสองฝ่าย คือจะไม่หยุดนิ่งเกินไป หรือ ไม่เดินเร็วเกินไปกว่าที่สมควรจะเดิน จะทำสิ่งซึ่งเป็นการแน่นอนและเป็นการที่ดีแท้ทุกเมื่อ ”
พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์ ผู้แทนรัฐบาลต่างประเทศ และข้าทูลละอองธุลีพระบาท เมื่อเสด็จกลับจากยุโรป พุทธศักราช
เมื่อมีเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นในบ้านเมือง ผู้นำประเทศควรจะทำอย่างไร ?
วางเพลิงในวังหลวง
มีบันทึกไว้ว่าเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมายุได้ ๒๓ พรรษา เกิดการวางเพลิงรุนแรงในวังหลวง ซึ่งเชื่อว่ามีชนวนมาจากชาวต่างชาติซึ่งกำลังล่าเมืองขึ้น คือ อังกฤษและฝรั่งเศสเข้าแทรกแซง มี วัตถุประสงค์ให้เกิดความร้าวฉานขึ้นในพระราชวงศ์ จะได้ถือโอกาสนั้นเข้าทำลายบ้านเมืองแบบเดียวกับที่เคยทำเมื่อคราวยึดเขมร และลาวเพื่อครอบครองแหลมอินโดจีน
ก่อนเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้นั้น มีบัตรสนเท่ห์มาก่อนแล้วว่าจะมีการลอบปลงพระชนม์กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ทำให้เกิดความระแวงกันขึ้นระหว่างวังหลวงกับวังหน้า กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญถึงกับเสด็จไปประทับในบ้านของกงสุลเยเนราลอังกฤษ เมื่อจุลศักราช ๑๒๓๖ (พ.ศ.๒๔๑๗)
หลังเหตุการณ์ไฟไหม้ใหญ่ครั้งนั้น ก่อให้เกิดความสับสนตระหนกกังวลไปทั่ว พ่อค้าประชาชนต่างพากันหวาดกลัว เหตุการณ์ตึงเครียดอย่างหนัก พระ บาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชวินิจฉัยถึงสถานการณ์ช่วง นั้นว่า การแถลงข้อเท็จจริงจะช่วยให้ประชาชนสิ้นความหวาดวิตกลงได้ จึงได้มีประกาศออกเป็นทางราชการความบางส่วนว่า
“... แต่ความที่พูดจาดูร่ำลือกันนั้น ข้าพเจ้าก็มิได้เชื่อว่าเป็นความจริง เพราะกรมพระราชวังกับข้าพเจ้า มิได้มีอริร้าวฉานแก่กันกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด ครั้นถึงวันจันทร์ เดือนอ้ายแรมห้าค่ำ ปีจอ ฉศก ข้าพเจ้าได้ทราบความอีกว่า กรมพระราชวังได้เตรียมทหารและคนซึ่งมิได้เป็นทหาร ซึ่งอยู่บ้านนอกนั้น เจ้าหมู่มูลนายก็ได้เรียกไพร่เหล่านั้นให้เข้ามาพร้อมกันในเดือนอ้าย ถึงกระนั้น ข้าพเจ้าก็ยังไม่เชื่อในความนั้นเป็นแน่ชัด
ครั้นค่ำลงวันนั้น เวลา ๕ ทุ่มเศษ เกิดเพลิงไหม้ขึ้นในโรงแก๊สในพระบรมมหาราชวัง ที่โรงแก๊สซึ่งเกิดเพลิงไหม้ขึ้นเป็นที่สำคัญน่ากลัวยิ่งนัก คือข้างฝ่ายตะวันตกของโรงแก๊ส เป็นโรงเก็บภูษามาลา อันนี้เป็นที่ไว้พระมหาพิชัยมงกุฎ และพระมหาชฎา และเครื่องต่างๆซึ่งเป็นต้นเครื่องสำหรับแผ่นดินสืบมาแต่โบราณ
โรงภูษามาลา ที่ไว้เครื่องต้นนี้ห่างจากโรงแก๊สที่ติดเพลิงขึ้นนั้น ๒ วา หลังโรงภูษามาลานั้นติดกับฉนวนประตูดุสิตศาสดา ทางซึ่งจะออกวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หลังจากฉนวนนั้น ก็ติดกับหอพระปริตรสาตราคมและพระที่นั่งราชฤดี ใกล้กับพระที่นั่งอัมรินทร์วินิจฉัย และพระที่นั่งไพศาลทักษิณ และด้านใต้ของโรงแก๊สนั้นมีเขื่อนเพ็ชร์ พระราชวังชั้นในห่างจากโรงแก๊ส ๑๔ วา ๓ ศอก ที่โรงแก๊สที่เพลิงติดขึ้นนั้นอยู่ตรงกลาง เป็นที่คับแคบ แลของที่เป็นเชื้อเพลิงนั้นมีมากคือ ดินประสิวแลน้ำมัน เป็นต้น
ถ้าเพลิงไหม้ติดลามขึ้นแล้ว พระที่นั่ง แลคลังของต่างๆที่อยู่ใกล้เคียงดังข้าพเจ้ากล่าวมาแล้วนั้น ก็คงจะเป็นอันตรายทั้งสิ้น เพราะของเหล่านี้ติดเนื่องกัน โรงแก๊สซึ่งเกิดเพลิงขึ้นในเวลากลางคืนนั้นเป็นที่ลับ ที่สงัด มิได้มีผู้คนไปมาเล้าลม ซึ่งเพลิงติดขึ้นดังนั้นก็เป็นที่สงสัยหวาดหวั่นยิ่งนัก ในเวลาที่เพลิงติดขึ้นนั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระปราบปรปักษ์แลข้าราชการได้ช่วยกันดับเพลิงนั้น ถ้าเพลิงนั้นจะติดอยู่ช้า ฤามีลมเป่ามาก็จะรักษาไว้ไม่ได้เลย ฤาถ้ามีหม้อแก๊สแตก ก็จะเป็นอันตรายแก่คนเป็นอันมากซึ่งอยู่ในพระบรมมหาราชวัง
ในเวลานั้นเพราะเหตุบังเกิดขึ้น ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงได้มีความหวาดหวั่นเป็นอันมาก เพราะเพลิงเกิดขึ้นในที่สำคัญ จะเกิดขึ้นด้วยเหตุอันใดก็ไม่รู้ เกรงว่าจะเกิดขึ้นด้วยเหตุกลอุบายอันใดอันหนึ่ง การอันนี้ก็เป็นการเหลือที่จะคาดคะเนว่าจะเป็นการเท็จฤาจริงให้แน่ได้ เหตุที่บังเกิดขึ้นได้ดังนี้แล้ว ครั้นจะเชิญท่านเสนาบดีมาประชุมปรึกษาในเวลากลางคืนนั้นก็เห็นว่าเป็นเวลา ดึกถึงเจ็ดทุ่ม เกินเวลาแล้ว
ข้าพเจ้าจึงสั่งข้าราชการซึ่งเป็นพนักงานทั้งปวงที่มาช่วยดับเพลิงในเวลา กลางคืนนั้น ให้นอนอยู่ในพระบรมมหาราชวัง ประจำซองอยู่ตามพนักงาน เพราะกลัวว่าจะมีเหตุขึ้นอีกในเวลากลางคืนนั้น..”
(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/503/37503/images/114.jpg)
เจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์(ร.5)เมื่อทรงพระเยาว์ ถ่ายโดยชาวต่างชาติ
อาจเป็นด้วยพระอำนาจของพระสยามเทวาธิราช จึงช่วยให้ดับไฟที่ไหม้โรงแก๊สนั้นได้ทัน เรื่องไฟไหม้ในพระบรมมหาราชวังนี้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้ตอบปัญหาประจำวันในหนังสือสยามรัฐ ประจำวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๐๒ ความตอนหนึ่งว่า “... จน วันหนึ่ง มีคนร้ายลอบเข้าไปจุดไฟในพระบรมมหาราชวังใกล้กับตึกที่เก็บดินดำ โดยประสงค์ที่จะให้ดินดำนั้นระเบิดขึ้น เคราะห์ดีที่เจ้านายข้าราชการในวังหลวง เห็นเหตุการณ์และดับไฟเสียทัน มิฉะนั้นจะเกิดเหตุร้ายแรง และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอาจถึงสวรรคตเสียแต่ในต้นรัชกาล
เมื่อ เกิดเหตุนี้ขึ้นแล้ว ความอลเวงทางการเมืองก็เกิดขึ้นในเมืองไทยอย่างหนัก กรมพระราชวังบวรฯเสด็จไปประทับอยู่ในกงสุลของชาติมหาอำนาจนั้น และยอมพระองค์อยู่ใต้อารักขาของชาตินั้น เมืองไทยขณะนั้นจึงล่อแหลมหวุดหวิดจะมีมหาอำนาจเข้ามาแทรกแซงและยึดเอาเป็นเมืองขึ้น เดชะบุญที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระปรีชาสามารถระงับเหตุต่างๆได้ทันท่วงที และเดชะบุญที่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์มีใจซื่อสัตย์ จงรักภักดีและอาจหาญ ได้อุตสาหะบากบั่นเข้าไปถึงกงสุลต่างประเทศและเชิญเสด็จกรมพระราชวังบวรฯออก มาได้ เมืองไทยจึงรอดมาได้ไม่เสียเอกราช...”
เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตนี้ ทำให้นึกโยงมาปัจจุบันโดยเฉพาะปัญหาทางภาคใต้ที่กำลังมีข่าวลือ มีความสับสนของข่าวสาร และในระดับบริหารก็มีข่าวลวงสารพัดชนิด ในระดับประชาชนมีการวิพากษ์วิจารณ์กันไปสารพัดทิศทาง ความระแวงเกิดขึ้นไปทั่ว (แต่ความระวังกลับไม่ค่อยจะมีมากนัก) ย้อน กลับไปครั้งนั้นเมื่อเกิดเหตุไฟไหม้ ซึ่งสมัยนี้น่าจะเรียกได้ว่าเป็นวินาศกรรมครั้งสำคัญทีเดียว เพราะเกิดขึ้นในวังหลวง ต้องถือว่าร้ายแรงมาก นึกสภาพเราในฐานะพลเมืองคงจะสะเทือนขวัญไม่น้อยทีเดียว
วิธีที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าครั้งนี้ เมื่ออ่านแล้วทำให้เห็นว่าทรงตัดสินพระทัยได้อย่างเฉียบขาด ทันเหตุการณ์ และทรงมีความเป็น"ผู้นำ"อย่างแท้จริง ในประกาศนั้นจะเห็นว่าทรงใช้ "ความจริง"สยบ"ข่าวลือ" ทั้งการแจกแจงเนื้อหาเหตุร้ายที่เกิดขึ้นโดยละเอียด ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสเหมาะที่จะแถลงไขความคลุมเครือที่เกี่ยวข้องกับข่าวลือ เป็นโอกาสที่ถ่วงน้ำหนักได้พอดีในการทำความเข้าใจกับราษฎรและส่งสาส์นถึงฝ่ายตรงข้ามไปในตัวด้วย
ในตอนท้ายของบทความที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เขียนไว้เกี่ยวกับสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของผลพวงจากการที่สถาบันสงฆ์เป็นเสาหลักสำคัญหนึ่งในการปกป้องบ้านเมือง สถาบันพระพุทธศาสนาไม่เคยแยกจากสถาบันพระมหากษัตริย์ และความมั่นคงของชาติสยามมาแต่ครั้งสุโขทัย อยุธยา เรื่อยมาแล้ว (ความจริงแต่ครั้งพุทธกาลพระบรมศาสดาก็ทรงคลี่คลายปัญหาการเมืองอยู่หลายครั้ง) ที่น่าสนใจค้นคว้าคือ ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มีแนวคิดการห้ามพระยุ่งเกี่ยวกับการเมือง? แนวคิดนี้มาจากไหน? และมีจุดประสงค์อะไร?
อันความกรุณาปรานี
จะมีใครบังคับก็หาไม่
หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ
จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน
พระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว