ใต้ร่มธรรม
แสงธรรมนำใจ => จิตวิวัฒน์ กระบวนการนิวเอจ นิเวศแนวลึก => ข้อความที่เริ่มโดย: มดเอ๊กซ ที่ พฤศจิกายน 08, 2010, 09:30:16 pm
-
(http://i48.tinypic.com/2vuy429.jpg)
ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว
THE ONE STRAW REVOLUTION
ผู้เขียน : Masanobu Fukuoka 1975
ผู้แปล : รสนา โตสิตระกูล ๒๕๓๐
พิมพ์ครั้งแรก มีนาคม ๒๕๓๐
เป้าหมายสูงสุดของเกษตรกรรม
ไม่ใช่การเพาะปลูกพืชผล
แต่คือการบ่มเพาะความสมบูรณ์
แห่งความเป็นมนุษย์
คำนำ
คำนำสำนักพิมพ์้
คำนิยม
คำชี้แจงของผู้แปล
อารัมภกถาำ
บทนำ
บันทึกเกี่ยวกับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ
--------------------------------------------------------------------------------
จาก
http://olddreamz.com/bookshelf/onestraw/onestraw.html
-
คำนำสำนักพิมพ์
เมื่อใดที่สังคมเกิดวิกฤตการณ์อันไม่อาจแก้ไขได้ด้วยแนวคิดและวิธีการแบบเดิม เมื่อนั้นผู้คนย่อมคาดหวังว่า "การปฏิวัติ" จะสามารถเป็นทางออกของยุคสมัยได้ คนจำนวนไม่น้อยมองไปที่การปฏิวัติโครงสร้างของสังคม และแล้วเราก็ได้เห็นการปฏิวัติทางการเมืองและเศรษฐกิจครั้งแล้วครั้งเล่าในหลายศตวรรษที่ผ่านมา คนอีกมากมีความหวังกับการปฏิวัติทางเทคโนโลยีและแล้วก็เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม การปฏิวัติเขียว ล่าสุดคือการปฏิวัติทางสารสนเทศโดยมีคอมพิวเตอร์เป็นสัญลักษณ์ แต่แล้ววิกฤตการณ์ต่าง ๆ ก็ยังเวียนวนไม่จบสิ้น โครงสร้างต่าง ๆ แม้จะถูกถอนรากถอนโคน แต่วิกฤตการณ์ต่าง ๆก็ยังเวียนมาอีกเช่่นเคย เผด็จการโดยคนกลุ่มน้อยผลัดเปลี่ยนกันมาอย่างซ้ำซากโดยที่การปฏิวัติเขียวก็ไม่ช่วยให้ความอดอยากหิวโหยสูญไปจากโลก ซ้ำกลับทำให้การเบียดบังเอาเปรียบคนยากไร้เป็นไปอย่างหนักข้อยิ่งขึ้น
การปฏิวัติที่แท้จริงนั้น มิได้อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคมหรือการเนรมิตเทคโนโลยีอันมหัศจรรย์ สิ่งหนึ่งที่คนทั่วไปมักมองข้ามก็คือการปฏิวัติทางทัศนคติอย่างถึงรากฐาน วิกฤตการณ์ในปัจจุบัน โดยเนื้อแท้แล้วเป็นวิกฤตการณ์ทางด้านแนวคิดและทัศนคติขั้นปฐมฐาน เราจำเป็นต้องกลับมามองที่ทัศนคติพื้นฐานของเรา อันได้แก่ ทัศนคติต่อธรรมชาติ และทัศนคติต่อตัวเราในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เป็นเพราะเราเห็นธรรมชาตินั้นไร้ชีวิตจิตใจ เราจึงครอบงำเบียดบังธรรมชาติเพียงเพื่อปรนเปรอตัณหาและสนองความยิ่งใหญ่ที่เราเข้าใจว่ามีอยูในตัวเรา โดยไม่คำนึงถึงความพินาศของระบบนิเวศน์ที่เกิดขึ้นทั่วทั้งโลก เป็นเพราะเราเข้าใจอย่างฉาบฉวยว่า ธรรมชาติเป็นดังเครื่องจักรที่ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนที่แยกจากกันดังฟันเฟือง เราจึงแยกทุกสิ่งทุกอย่างออกเป็นส่วน ๆ แยกสัตว์ออกจากป่า แยกต้นไม้ออกจากภูเขา แยกมนุษย์ออกจากธรรมชาติ จนแม้กระทั่งกายและใจก็ถูกแยกออกจากกันเป็นส่วน ๆ จนต่อกันแทบไม่ติด แล้วเราก็ปรนเปรอตัวเองด้วยวัตถุที่ตักตวงจากธรรมชาติอย่างมโหฬาร จนเกิดวิกฤตการณ์ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และในระบบนิเวศน์ทั้งระบบ
เราจำต้องเปลี่ยนแปลงทัศนคติขั้นพื้นฐาน เราจะต้องลดความเชื่อมั่นในโลหะและคอนกรีต และหันมาศรัทธาในพื้นดิน ลำธาร และต้นไม้กันให้มากขึ้น มองให้เห็นถึงคุณค่าและศักยภาพอันยิ่งใหญ่ที่แฝงอยู่ในธรรมชาติอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน และจะต้องร่วมมือกับธรรมชาติยิ่งกว่าที่จะเอาชนะคะคานธรรมชาติ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติอย่างประสานกลมกลืน ยิ่งกว่าที่จะตั้งตัวเป็นเอกเทศเพื่อครองความเป็นเจ้าเหนือธรรมชาติในที่สุด
ปฎิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว เป็นเรื่องของชาวนาผู้หนึ่งซึ่งได้ผ่านการปฏิวัติทางทัศนคติอย่างถึงรากฐาน เป็นการปฏิวัติอันเนื่องจากฟางข้าว ซึ่งได้แสดงให้เขาประจักษ์ว่า ธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่กว่าสารเคมีและประดิษฐกรรมทางวิทยาศาสตร์ทั้งปวง การค้นพบดังกล่าวมิเพียงแต่จะมีความหมายต่อเกษตรกรรม ซึ่งกำลังมาถึงจุดอุดตัน มันเป็นผลจากการปฏิวัติเขียวที่เห็นเทคโนโลยีเป็นคำตอบเท่านั้น หากยังมีความหมายต่ออารยธรรมมนุษย์อย่างสำคัญ ในยุคสมัยที่มนุษย์ทั้งมวลกำลังประสบกับความอับจนครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ ชนิดที่อาจมีผลทำลายมนุษยชาติให้สูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปนั้น มาซาโนบุ ฟูกูโอกะได้บอกให้เรารู้ว่า ฟางข้าวนั้นสามารถปฏิวัติยุคสมัยให้ผ่านพ้นวิกฤตการณ์ไปได้ การปฏิวัติดังกล่าวก็คือการปฏิวัติทางทัศนคติ ที่มีความตระหนักและสำนึกในคุณค่าอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ซึ่งดูเผิน ๆ แล้วเหมือนว่าไร้ค่า ดังที่เราทั่วไปมักมองเช่นนั้นกับฟางข้าวในท้องทุ่ง นี้แหละคือการปฏิวัติที่แท้จริงที่ยุคสมัยของเรากำลังต้องการอย่างยิ่งยวด
ปฎิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว เป็นงานเล่มแรกของ มาซาโนบุ ฟูกูโอกะที่สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทองได้พิมพ์เผยแพร่ต่อผู้อ่านชาวไทย เพื่อเสนอแนวคิดใหม่อันสามารถเป็นทางออกสำหรับสังคมปัจจุบันได้ พอ ๆ กับที่เป็นทางออกของกลุ่มบุคคลหรือปัจเจกชนที่ปรารถนาสังคมใหม่ที่มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขในสภาพแวดล้อมที่เอื้ออาทรต่อมนุษย์และสรรพชีวิต ........
-
คำนิยม
หากถือตามหลักพุทธศาสนา สรรพสิ่งย่อมเป็นอนิจจัง นั่นคือมีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ หากสภาพเช่นนี้เกิดขึ้นอย่างลึกซึ้งหรือรวดเร็วก็อาจเรียกว่า "การปฏิวัติ" ได้ ซึ่งการปฏิวัตินั้นเองก็อาจกลายเป็นปัจจัยในการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ต่อเนื่องกันไปได้อีกเป็นลูกโซ่ ดังเช่น "การปฏิวัติอุตสาหกรรม" ในยุโรปเมื่อคริสตศตวรรษที่ ๑๘ นำไปสู่การขยายตัวของลัทธิอาณานิคมและต่อมาเป็นชนวนให้เกิดมหาสงครามโลกขึ้น เป็นต้น
ในด้านการเกษตรนั้น การเปลี่ยนแปลงครั้งล่าสุดที่อาจถือได้ว่าเป็นการปฏิวัติก็คือ "การปฏิวัติเขียว" (The Green Revplution) ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ ๖ คือประมาณ ๓๐ ปีที่ผ่านมานี้ โดยเริ่มต้นจากเทคโนโลยีการผลิต เช่น การผสมพันธุ์พืชสัตว์ที่ให้ผลผลิตสูง การใช้สารเคมีชนิดต่าง ๆ เป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญ และการใช้เครื่องจักรกลการเกษตร เป็นต้น ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในด้านอื่น ๆ เช่น ด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและวัฒนธรรม ตลอดจนสุขภาพอนามัยและระบบนิเวศวิทยาของโลก
จุดเด่นของการปฏิวัติเขียวอยู่ที่การนำเอาความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เละเทคโนโลยี มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรอย่างได้ผลชััดเจนดังเช่นการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ของพันธุ์ข้าว "มหัศจรรย์" ต่าง ๆ เป็นต้น แต่จุดอ่อนของมันก็คือละเลยต่อผลกระทบด้านอื่น ๆ เช่น สังคมและสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะผลกระทบต่อระบบนิเวศวิทยาซึ่งมีความละเอียดอ่อนและซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง
โดยอาศัยเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น ผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างกลุ่มอำนาจต่าง ๆ ในที่สุด ระบบการเกษตรในแนวทาง "การปฏิวัติเขียว" ก็กลายเป็นนโยบายหลักของแทบทุกประเทศ และประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะเกษตรกรต่างถูกชักจูงให้ยอมรับระบบการเกษตรดังกล่าวด้วยวิธีการต่าง ๆ รวมทั้งผ่านระบบการศึกษาและสื่อสารมวลชนนานาชนิด จนกระทั่งกลายเป็นกระแสหลักของระบบการเกษตรในปัจจุบัน
กล่าวโดยสรุป ระบบการเกษตรปัจจุบันตั้งอยู่บนหลักการใหญ่ ๆ เพียง ๒ ประการคือ ความมักง่ายและความรุนแรง
"ความมักง่าย" แสดงออกโดยการมองทุกสิ่งอย่างแยกส่วน เช่น มองเห็นดินเป็นเพียงพื้นที่สำหรับพืชอาศัยยืนต้นและเป็นแหล่งธาตุอาหารเท่านั้นเมื่อดินขาดความอุดมสมบูรณ์ก็เพียงแต่ใส่ธาตุอาหารลงไปโดยตรงในรูปของปุ๋ยเคมี ซึ่งในที่สุดก็พัฒนามาจนไม่ต้องปลูกพืชบนดินก็ได้ กล่าวคือ ปลูกบนกกรวดทรายที่มีสารละลายของธาตุอาหารหล่อเลี้ยงอยู่แทน (Hydroponic)
ส่วน "ความรุนแรง" จะเห็นได้จากการแก้ปัญหาศัตรูพืช เช่น โรครา แมลง วัชพืชหรือสัตว์อื่น ๆ เช่นหนูนา โดยการฆ่าหรือทำลายโดยตรงด้วยสารเคมีพิษชนิดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นยากำจัดเชื้อรา ยาฆ่าแมลง ยากำจัดวัชพืช หรือยาเบื่อหนูก็ตาม
ระบบการเกษตรปัจจุบันพยายามแยกตัวออกจากธรรมชาติ โดยใช้วิธีการควบคุมและบังคับธรรมชาติไปในทิศทางที่มนุษย์ต้องการ เพียงเพื่อสนอง "ความต้องการเทียม" ของคนกลุ่มน้อยที่มีกำลังซื้อ ตัวอย่างเช่น การปลูกพืชเมืองร้อนในประเทศเขตหนาว หรือปลูกพืชเมืองหนาวในประเทศเขตร้อน รวมทั้งการบังคับให้ต้นไม้ออกผลนอกฤดูกาล เป็นต้น
รูปธรรมอันเป็นผลจากระบบการเกษตรดังกล่าวที่เห็นได้ชัดเจนในปัจจุบัน ก็คือ การขยายตัวอย่างรวดเร็วของกิจการกลุ่มบรรษัทผลิตสารเคมีและเครื่องจักรกลที่ใช้ในการเกษตร การล่มสลายของเกษตรกรรายย่อย หนี้สินต่างประเทศของประเทศเกษตรกรรม ความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศวิทยา ปัญหาด้านสุขภาพอนามัยของประชาชนทั่วไปในฐานะผู้บริโภคผลจากระบบการเกษตรนี้
และเมื่อวิเคราะห์ลึกลงไปอีกก็พบว่าแท้จริงแล้ว ระบบการเกษตรที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้กลับมิได้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นดังที่กล่าวอ้างกันมาแต่ต้น หากแต่เป็นระบบที่ด้อยประสิทธิภาพอย่างยิ่ง ดังจะเห็นได้จากการผลิตอาหารให้ได้พลังงาน ๑ แคลอรี่นั้น จะต้องใช้พลังงานในการผลิตถึง ๗ แคลอรี่ ในขณะที่ระบบการเกษตรดั้งเดิมนั้นใช้พลังงานการผลิตเพียง ๑ แคลอรี่ แต่ผลิตอาหารได้พลังงานถึง ๕๐ แคลอรี่ ดังนั้น ระบบการเกษตรในปัจจุบันจึงใช้ทรัพยากรของโลกอย่างฟุ่มเฟือย โดยเฉพาะทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดและไม่อาจหมุนเวียนกลับมาใช้้ใหม่ได้อีก เช่น น้ำมันดิบ ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติและแร่ธาตุต่าง ๆ เป็นต้น ในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดของเของเสียซึ่งเป็นพิษต่อดิน น้ำ อากาศ ตลอดจนปนเปื้อนมากับอาหารที่ผลิตได้ เป็นพิษภัยต่อผู้บริโภคอีกด้วย
ปัญหาอันเกิดจากระบบการเกษตรทั้งทางตรงและทางอ้อมที่โลกกำลังเผชิญอยู่ทุกวันนี้ ทวีความรุนแรงและคับขันยิ่งขึ้นทุกขณะ จนอาจกล่าวได้ว่าใกล้ถึงจุด "วิกฤต" แล้ว เช่นเดียวกับปัญหาด้านอื่น ๆ เช่น เศรษฐกิจ การเมืองและสังคม ฯลฯ
ทางออกของ "วิกฤตการณ์" ดังกล่าวก็คือ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรอบด้านเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น "การปฏิวัติ" ครั้งใหม่ในระบบการเกษตรของโลก
ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว ของมาซาโนบุ ฟูกูโอกะ เป็นทั้งแนวความคิดและรูปธรรมในการเปลี่ยนแปลงอย่างรอบด้านดังกล่าว แต่เป็นการปฏิวัติด้วยฟางเส้นเดียว กล่าวคือเปลี่ยนระบบการเกษตรปัจจุบัน เป็นระบบเกษตรกรรมธรรมชาติ (Natural Farming) นั่นเอง
ฟูกูโอกะเชื่อว่าแท้จริงแล้วมนุษย์ไม่รู้อะไรเลย และไม่อาจเข้าใกล้ธรรมชาติได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้นกิจกรรมทุกชนิดของมนุษย์จึงไร้ประโยชน์และสูญเปล่า นอกจากกิจกรรมประเภท "อกรรม" (Do-nothing) ซึ่งเป็นการร่วมมือกับธรรมชาติอย่างสอดคล้องและส่งเสริมซึ่งกันและกันเท่านั้น
เกษตรกรรมธรรมชาติคือตัวอย่างหนึ่งของกิจกรรมชนิดอกรรม ซึ่งมิได้หมายถึงการไม่ทำอะไรเลย หรือปล่อยตามยถากรรม หากแต่เป็นการงดเว้นกิจกรรมที่ไม่จำเป็นทุกชนิด ใช้แรงงานที่มีอยู่โดยไม่ใช้แรงงานจากสัตว์หรือเครื่องจักร ไม่พึ่งพาปัจจัยการผลิตจากภายนอก และไม่แยกทุกสิ่งออกจากธรรมชาติ เป็นต้น
ด้วยการดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายแต่สูงส่งในด้านจิตวิญญาณ มีเวลาเหลือเฟือสำหรับพักผ่อนและทำงานอดิเรกที่เขารัก เช่น การเขียนกวีไฮกุหรือแต่งบทเพลง ฟูกูโอกะได้แสดงให้เราเห็นว่า มนุษย์แต่ละคนมีศักยภาพอย่างเต็มเปี่ยมสำหรับการดำรงชีวิตที่เป็นอิสระและสมบูรณ์ โดยอาศัยเกษตรกรรมธรรมชาติเป็นหนทางที่จะนำไปสู่วิถีชีวิตดังกล่าว
ดังนั้น ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว จึงไม่ใช่เพียงเรื่องเกี่ยวกับแนวคิดหรือประสบการณ์ด้านเกษตรเท่านั้น หากแต่เป็นเรื่องชีวิตทั้งชีวิตของชาวนาญี่ปุ่นคนหนึ่งซึ่งมีอดีตเป็นนักวิทยาศาสตร์ และมิใช่เรื่องส่วนตัวหรือเฉพาะสำหรับประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น หากแต่เป็นเรื่องสากลสำหรับมนุษยชาติทั้งปวงบนโลกใบน้อยดวงเดียวกันและยุคสมัยเดียวกันนี้
สำหรับหนังสือ ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียวนี้ ทราบมาว่าผู้แปลใช้เวลาหลายเดือนในการถอดความจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย ด้วยความอุตสาหะและพิถีพิถัน จนทำให้สามารถรักษาอรรถรสและความหมายตามต้นฉบับไว้ได้ครบถ้วน ทั้ง ๆ ที่มิได้สันทัดหรือมีพื้นฐานด้านเกษตรกรรมมาก่อนเลย นับว่าสมควรได้รับการชื่นชมอย่างจริงใจ
เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบลงแล้ว หลายคนคงมีความรู้สึกคล้ายคลึงกันคือเกิดแรงบันดาลใจที่จะเข้าร่วมในขบวนการ "ปฏิวัติ" ด้วยวิถีทางเกษตรกรรมธรรมชาตินี้บ้าง แต่คงจะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่กล้าอุทิศตนดำเนินชีวิตไปตามแรงบันดาลใจดังกล่าวอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่หรือ "การปฏิวัติ" ที่แท้จริงทั้งหลาย ต่างก็เริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ ด้วยกันทั้งนั้นมิใช่หรือ
เดชา ศิริภัทร
๘ มีนาคม ๒๕๓๐
-
คำชี้แจงของผู้แปล
ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว มีชื่อในพากย์อังกฤษว่า The One Straw Revolution ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในภาษาญี่ปุ่นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๘ และถอดความเป็นพากย์อังกฤษในปีรุ่งขึ้น ส่วนฉบับแปลไทยนี้ตีพิมพ์เผยแพร่โดยมีระยะเวลาห่างจากต้นฉบับเดิมถึง ๑๒ ปี แต่กระนั้น เนื้อหาสาระที่มาซาโนบุกูโอกะตั้งใจสื่อสารกับผู้อ่านยังคงความมีชีวิตชีวา ที่ไม่ล้าสมัยไปตามวันเวลาที่ผ่านไป ทั้งยังกลับจะเป็นการเสนอทางออกให้กับยุคแห่งความตีบตันของเราในขณะนี้อย่างสมสมัย
ข้าพเจ้าเชื่อว่าใครก็ตามที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ย่อมจะได้รับแรงบันดาลใจจากทัศนคติอันลุ่มลึก และประสบการณ์อันน่าทึ่งผ่านงานเกษตรกรรมของฟูกูโอกะ ดังเช่นที่ข้าพเจ้าได้ประสบสัมผัสจากการอ่านและแปลงานของเขาเล่มนี้ สิ่งที่ฟูกูโอกะได้สื่อสารกับเราด้วยการใช้ชีวิตตลอด ๕๐ ปีกับงานเกษตรกรรมที่เขาได้เลือกแล้วก็คือ "การปฏิวัติ" ที่แท้จริงสามารถเริ่มต้นขึ้นได้จากคนเล็ก ๆ คนหนึ่ง และจากสิ่งธรรมดาสามัญที่ดูเสมือนไร้คุณค่าดังเช่นฟางข้าวในท้องทุ่ง ขอเพียงแต่เราแลเห็นคุณค่าในสิ่งธรรมดาสามัญนั้นอย่างแท้จริง
ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว เป็นหนังสือหนึ่งในจำนวน ๕ เล่มของฟูกูโอกะ ที่ได้รับการตีพิมพ์ออกมาในขณะนี้ และในจำนวนดังกล่าวมี ๓ เล่มที่ได้รับการถ่ายทอดเป็นพากย์อังกฤษแล้ว ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว เป็นหนังสือเล่มแรกของฟูกูโอกะ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นข้อเขียนที่เสนอความคิดที่เป็นแม่บทของเขาไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ งานเขียนหลังจากนั้นล้วนเป็นการเพิ่มเติมและลงรายละเอียดต่อความคิดพื้นฐานดังกล่าว
ในฉบับแปลเป็นไทยนี้ ข้าพเจ้าได้ทำนามานุกรมชื่อพืชและสัตว์เฉพาะที่เป็นอาหารเพิ่มเติมไว้ท้ายเล่ม ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงความรกรุงรังจากการกำกับชื่ออังกฤษไว้ในเนื้อหา ชื่อเหล่านี้ได้พยายามเทียบให้เป็นไทยมากที่สุด แต่กระนั้นก็ยังมีบางส่วนที่ไม่สามารถทำได้เนื่องจากเป็นพืชและสัตว์ที่หาไม่ได้ในประเทศไทย ซึ่งก็ใช้วิธีเรียกชื่อทับศัพท์ตามต้นฉบับอังกฤษ แม้ชื่อที่ได้เทียบเป็นไทยแล้ว ก็ขอให้ผู้อ่านได้ทำความเข้าใจด้วยว่า ชื่อของพืชและสัตว์เหล่านั้นมิได้เป็นชนิดเดียวกันเสียทีเดียวกับที่พบในบ้านเรา โดยมากจะเป็นพืชและสัตว์ที่อยู่ในตระกูลเดียวกัน ส่วนชนิดพันธุ์อาจแตกต่างกันบ้าง สำหรับพืชและสัตว์ที่ชาวไทยไม่คุ้นเคย ข้าพเจ้าได้พยายามหารายละเอียดเพิ่มลงในนามานุกรมเท่านี้จะสามารถหาข้อมูลได้ โดยหวังว่าเนื้อหาในส่วนนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านชาวไทยบ้าง นอกจากนี้ยังได้ทำเชิงอรรถเพิ่มเติมในบทแปลนี้ โดยกำกับต่อท้ายว่า ผู้แปล ส่วนเชิงอรรถนอกนั้นเป็นเชิงอรรถของผู้แปลเป็นอังกฤษได้ทำไว้แต่เดิม
ข้าพเจ้าขอกราบขอบคุณ พระไพศาล วิสาโล ขอขอบคุณ คุณเดชา ศิริภัทร ที่กรุณาช่วยอ่านต้นฉบับ ตรวจแก้และให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับศัพท์เฉพาะทางเกษตรกรรม ขอขอบคุณ คุณสมยศ สุภาพรเหมินทร์ ที่ให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มใจในการทำนามานุกรมชื่อพืชและสัตว์ ด้วยการเทียบชื่ออังกฤษให้เป็นชื่อทางวิทยาศาสตร์จากนั้นจึงเทียบกลับมาเป็นชื่อไทย ซึ่งเป็นงานที่ใช้เวลาและต้องอาศัยความอุตสาหะอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังเอื้อเฟื้อรูปถ่ายของฟูกูโอกะเป็นภาพประกอบในเล่ม ข้าพเจ้ายังได้รับภาพประกอบบางส่วนจาก คุณพิภพ ธงไชย และคุณมานะ วิทยาวัชรินทร์ ซึ่งทั้งสามท่านมีโอกาสได้พบกับฟูกูโอกะที่ไร่นาของเขาเมื่อคราวไปดูงานที่ญี่ปุ่น ข้าพเจ้าขอถือโอกาสขอบคุณในน้ำใจและความเอื้อเฟื้อ คนสุดท้ายที่ข้าพเจ้าไม่อาจจะละเลยกล่าวถึงในที่นี้คือคุณพจนา อรุณสันติโรจน์ ที่ได้อดหลับอดนอนเร่งดีดพิมพ์ต้นฉบับ ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว ให้อย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ข้าพเจ้าขอขอบคุณ เพื่อนคนอื่น ๆ และเจ้าหน้าที่ของสำนักพิมพ์ที่ไม่ได้เอ่ยนามในที่นี้ ด้วยความสำนึกว่าความสำเร็จของหนังสือเล่มนี้ล้วนได้รับความเอื้อเฟื้อและช่วยเหลือจากบุคคลเหล่านี้
รสนา โตสิตระกูล
๙ มีนาคม ๒๕๓๐
-
อารัมภกถา
ผู้อ่านที่คาดหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเกษตรเท่านั้น คงจะรู้สึกประหลาดใจที่พบว่าหนังสือเล่มนี้ยังมีเนื้อหาที่เกี่ยวกับอาหารสุขภาพ คุณค่าทางวัฒนธรรม ตลอดจนข้อจำกัดของความรู้ของมนุษย์อีกด้วย ส่วนท่านที่อ่านเพราะได้รับคำบอกเล่าว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับปรัชญา ก็คงจะรู้สึกประหลาดใจที่พบว่า หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยความรู้ทางภาคปฏิบัติเกี่ยวกับการปลูกข้าว ธัญพืชฤดูหนาว ส้ม และพืชผักสวนครัวในไร่นาของญี่ปุ่น
นี้เป็นความคาดหวังโดยปกติวิสัย เพราะว่าเราคุ้นเคยที่จะคาดหวังบุคคลในลักษณะของผู้เชี่ยวชาญ และหนังสือที่มีเนื้อหาเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่งดังที่เราต้องการ จากหนังสือ ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว หนังสือเล่มนี้มีคุณค่าต่อเราเพราะมันเป็นทั้งคู่มือการปฏิบัติและมีเนื้อหาทางปรัชญาในขณะเดียวกัน เป็นหนังสือเกี่ยวกับการเกษตรที่จำเป็นและให้แรงบันดาลใจ ด้วยเหตุที่ว่ามันมิใช่เพียงเรื่องราวที่เกี่ยวกับการเกษตรเท่านั้น
ผู้อ่านที่มีความรู้ย่อมจะตระหนักได้ว่า เทคนิควิธีการของฟูกูโอกะไม่อาจนำมาใช้ได้โดยตรงกับไร่นาส่วนใหญ่ในประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ก็ไม่ถูกต้องหากสรุปว่าความรู้ภาคปฏิบัติในหนังสือนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีคุณค่าสำหรับเราเพียงเพราะเหตุผลดังกล่าว สิ่งเหล่านี้ควรค่าแก่การใส่ใจ ด้วยเหตุที่ว่ามันได้เสนอตัวอย่างอันวิเศษว่ามีอะไรที่เราสามารถทำได้บ้าง เมื่อผืนดิน สภาพอากาศและพืชพันธ์ได้รับการพินิจพิจารณาด้วยความสนอกสนใจ ด้วยสายตาแห่งความเข้าใจ และด้วยการเกี่ยวข้องอย่างถูกต้องเหมาะสม หนังสือเล่มนี้มีคุณค่าเพราะได้ให้คำแนะนำที่น่าใคร่ครวญ และเสริมสร้างแรงบันดาลใจแก่เรา เกษตรกรคนใดก็ตามหากได้อ่านหนังสือเล่มนี้ย่อมจะพบว่า ความคิดของเขาถูกโน้มนำครั้งแล้วครั้งเล่าจากหน้าหนังสือสู่ไร่นาของตน และจากจุดนั้น จะก่อให้เกิดจุดเชื่อมต่อกับระบบทั้งหมดของการเกษตรกรรมในอเมริกา
ฟูกูโอกะก็เช่นเดียวกับอีกหลาย ๆ คนในประเทศนี้ ที่มีความเข้าใจล้ำหน้ากว่าคนส่วนใหญ่ที่แลเห็นว่า เราไม่สามารถแยกด้านใดด้านหนึ่งของชีวิตออกจากด้านอื่น ๆ เมื่อเราเปลี่ยนแปลงวิถีการเพาะปลูกธัญญาหารของเรา เท่ากับเราเปลี่ยนแปลงลักษณะอาหาร เปลี่ยนแปลงลักษณะสังคม และเปลี่ยนแปลงค่านิยมของเราไปด้วย ดังนั้นหนังสือเล่มนี้จึงเป็นหนังสือที่ให้ความใส่ใจต่อเรื่องราวความสัมพันธ์ ต่อสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผล และต่อความรับผิดชอบในสิ่งที่แต่ละคนรู้
สำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับงานเขียนทางด้านเกษตรกรรมอินทรีย์ (Organic Farming) คงจะแลเห็นความคล้ายคลึงระหว่างงานของฟูกูโอกะกับงานของเซอร์อัลเบิร์ต โฮวาร์ด ซึ่งเป็นผู้วางรากฐานศาสตร์แห่งเกษตรอินทรีย์ในโลกตะวันตก เช่นเดียวกับโฮวาร์ด ฟูกูโอกะก็เริ่มต้นด้วยการเป็นนักวิทยาศาสตร์ในห้องทดลอง และเริ่มมองเห็นข้อจำกัดของห้องทดลองในเวลาต่อมา โฮวาร์ดได้นำงานของเขาออกจากห้องทดลองมาสู่ไร่นา และเมื่อเขาได้ตระหนักว่าความรับผิดชอบทำให้เขาต้องเริ่มต้นทำตามความเห็นของเขาก่อนที่จะนำเสนอสิ่งนี้ต่อผู้อื่น นี้ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไป ฟูกูโอกะก็ทำในสิ่งเดียวกัน "ในท้ายที่สุดผมได้ตัดสินใจที่จะทำให้ความคิดของผมปรากฏเป็นรูปร่างขึ้น โดยการนำมันมาสู่การปฏิบัติ เพื่อที่จะตัดสินว่าความเข้าใจของผมถูกหรือผิด ผมตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตด้วยการทำการเกษตร.....และนี่คือวิถีทางที่ผมเลือกเดิน" เขายังกล่าวอีกว่า "แทนที่จะพูดอธิบายเป็นร้อย ๆ ครั้ง สู้ลงมือทำตามความเชื่อจะมิเป็นวิธีที่ดีกว่าหรือ" เมื่อผู้เชี่ยวชาญตัดสินใจที่จะทำตามความเชื่อของตัวเองและเริ่มทำในสิ่งที่เขาพูด เขาได้ทำลายกำแพงแห่งความเป็นผู้เชี่ยวชาญของเขาลง เรายอมรับฟังเขาอย่างที่เราไม่เคยทำมาก่อน นั่นเพราะว่าเขาพูดด้วยหลักฐานซึ่งไม่ใช่จากความรู้เพียงอย่างเดียว เป็นหลักฐานที่ได้จากความรู้และประสบการณ์ร่วมกัน
เมื่อฟูกูโอกะพูดถึงเกษตรกรรมแบบ "ไม่กระทำ" (do-nothing) ชาวตะวันตกอาจระลึกได้ถึงข้อความในเซนต์ แมทธิว ๖:๒๖: ที่ว่า "จงดูนกที่บินอยู่บนฟ้าสิ มันไม่ต้องหว่าน ทั้งไม่ต้องเก็บเกี่ยว หรือเก็บสะะสมไว้ในยุ้งฉางแต่กระนั้นพระบิดาบนสวรรค์ก็ประทานอาหารให้มันจนเพียงพอ" ข้าพเจ้ายกตัวอย่างทั้งสองนี้เพื่อจะเตือนให้เราระลึกถึงสถานะอันเหมาะสมของเราในบรรดาสิ่งทั้งหลาย เรามิใช่เป็นผู้สร้างโลกหรือตัวเราเอง เรามีชีวิตอยู่ด้วยการใช้ชีวิต หาใช่สร้างชีวิตไม่ แต่แน่นอนล่ะ เกษตรกรไม่อาจทำการเกษตรโดยไม่ทำงาน เช่นเดียวกับนกที่ไม่อาจมีอาหารโดยไม่ออกหากิน นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ฟูกูโอกะยอมรับอย่างมีอารมณ์ขันว่า "ผมประกาศสนับสนุนเกษตรกรรมแบบ "ไม่กระทำ" และมีคนจำนวนมากมาที่นี่โดยคิดว่าเขาจะได้พบกับดินแดนในฝัน (Utopia) ที่ซึ่งเขาสามารถมีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องทำอะไรแม้แต่เพียงการลุกขึ้นจากเตียง คนเหล่านี้ต้องพบกับความประหลาดใจอย่างยิ่ง" ประเด็นโต้แย้งในที่นี้ไม่ใช่การคัดค้านการทำงาน แต่เป็นการคัดค้านงานที่ไม่จำเป็น บางครั้งคนเราทำงานเกินจำเป็นเพื่อให้ได้สิ่งที่เขาปรารถนา และบางสิ่งที่เขาปรารถนาก็เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นสำหรับเขา และ "การไม่กระทำ" นี้ยังเป็นปฏิกิริยาของสามัญสำนึกที่ตอบโต้อำนาจของผู้เชี่ยวชาญ ปฏิกิริยานี้ก็คือ "ลองไม่ทำสิ่งนี้ดูสิ ลองไม่ทำสิ่งนั้นดูสิ" นั่นคือวิธีคิดของผม นี่เป็นอาการต่อต้านของเด็ก และคนแก่บางคนที่มีความไม่ไว้วางใจต่อ "ความสมัยใหม่ที่ซับซ้อน" ที่มุ่งรุดไปข้างหน้าโดยปราศจากการตั้งคำถามว่า "เพื่ออะไร"
ฟูกูโอกะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่สงสัยในวิทยาศาสตร์หรือดังที่มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นวิทยาศาสตร์ นี่มิได้หมายความว่าเขาเป็นพวกไม่ปฏิบัติจริงหรือดูถูกในความรู้ แต่ทว่า ความลังเลสงสัยของเขาเกิดจากการปฏิบัติจริง และจากสิ่งที่เขารู้ ฟูกูโอกะก็เป็นเช่นเดียวกับ เซอร์ อัลเบิร์ต โฮวาร์ดที่กล่าวตำหนิความรู้ที่เป็นส่วน ๆ ของบรรดาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางทั้งหลาย เช่นเดียวกับโฮวาร์ด เขาต้องการที่จะสืบค้นเรื่องราวที่เขาเกี่ยวข้องอยูในลักษณะที่เป็นองค์รวมของสิ่งนั้น (Wholeness) และเขาไม่ลืมว่าความเป็นองค์รวมนั้นรวมถึงสิ่งที่เขารู้ และสิ่งที่เขาไม่รู้อยู่ด้วย สิ่งที่เขาหวาดเกรงเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ประยุกต์สมัยใหม่ก็คือ ความรู้สึกดูถูกในสิ่งที่เป็นรหัสยนัย ความสมัครใจที่จะลดส่วนของชีวิตมาสู่สิ่งที่สามารถรู้ได้และมีสมมติฐานว่าสิ่งที่ไม่รู้สามารถละเลยได้โดยไมมีผลเสียแต่อย่างไร เขากล่าวว่า "ธรรมชาติที่ถูกรับรู้โดยอาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นธรรมชาติที่ได้ถูกทำลายไปแล้ว เปรียบเหมือนภูตผีที่มีแต่โครงกระดูก แต่ปราศจากวิญญาณ" ข้อความดังกล่าวช่างคล้ายคลึงกับน้ำเสียงที่แสดงความไม่วางใจในแบบฉบับแห่งวัฒนธรรมของเรา ซึ่งเขียนขึ้นโดยเวิร์ดสเวิธ :
ความฉลาดอันอยู่ไม่สุขของเรา
ได้ทำลายรูปทรงแห่งความงามของสรรพสิ่ง
เรากระทำฆาตกรรมด้วยการผ่าทุกสิ่งออกศึกษา
วิธีการของฟูกูโอกะเป็นวิทยาศาสตร์ที่เริ่มต้นและสิ้นสุดลงด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน ด้วยความตระหนักรู้ว่า สิ่งที่มนุษย์เข้าใจได้ ย่อมมีน้อยกว่าสิ่งที่มีอยู่จริง ดูเหมือนสิ่งที่เขาต้องการจะกล่าวก็คือ หาใช่ความรู้ไม่ แต่เป็นความรื่นรมย์ต่างหากที่ให้ความรู้สัมผัสกับความเป็นหนึ่งของสรรพสิ่ง ซึ่งจะปรากฏขึ้นก็แต่ในขณะแห่งการไม่ยึดมั่นเท่านั้น เราสามารถพบข้อความที่ยืนยันความจริงข้อนี้ได้ในพระคัมภีร์ และในบทกวีของ วิลเลียม เบลก :
ผู้ซึ่งติดยึดอยู่กับความรื่นรมย์
ได้ทำลายปีกแห่งชีวิต
แต่ผู้ซึ่งจุมพิตความรื่นรมย์ขณะที่มันบินจากไป
จะมีชีวิตสถิตในนิรันดรภาพแห่งแสงอรุณ
ความงดงามเช่นนี้แหละคือต้นธารแห่งปรีชาญาณ (insight) ในทางเกษตรกรรมของฟูกูโอกะ "เมื่อใดก็ตามที่บุคคลประจักษ์แก่ใจในความจริงที่ว่า ความรื่นรมย์และความสุขจะมลายหายไปเมื่อพยายามจะครอบครองมันไว้ เมื่อนั้นสาระของเกษตรกรรมธรรมชาติก็จะเป็นที่เข้าใจได้"
และเกษตรกรรม "ธรรมชาติ" ซึ่งมีความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นต้นกำเนิดและเป็นจุดสิ้นสุดนี้เอง ที่มีความเป็นมนุษย์และความเมตตากรุณาในทุกหนทุกแห่ง มนุษย์จะทำงานได้ดีที่สุดเมื่อเขาทำเพื่อความดีงามของมนุษย์ไม่ใช่เพื่อ "ผลผลิตที่สูงขึ้น" หรือเพื่อ "เพิ่มประสิทธิภาพ" ซึ่งเป็นเป้าหมายในการดำเนินงานของเกษตรกรรมแบบอุตสาหกรรม ฟูกูโอกะกล่าวว่า "เป้าหมายสูงสุดของเกษตรกรรมไม่ใช่การเพาะปลูกพืชผล แต่คือการบ่มเพาะความสมบูรณ์แห่งความเป็นมนุษย์" เขาได้กล่าวถึงเกษตรกรรมในฐานะที่เป็นมรรควิถีว่า "การอยู่ที่นี่ ดูแลทุ่งนาเล็ก ๆ ด้วยความรู้สึกที่เป็นอิสระในแต่ละวันทุก ๆ วัน นี้คือวิถีดั้งเดิมของเกษตรกรรม" งานเกษตรกรรมซึ่งมีความสมบูรณ์เป็นหนึ่งเดียวจะหล่อเลี้ยงบุคคลทั้งร่างกายและวิญญาณ เรามิได้มีชีวิตอยู่ด้วยอาหารเพียงอย่างเดียว
เวนเดล แบร์รี่
-
บทนำ
ใกล้กับหมู่บ้านเล็ก ๆ บนเกาะชิโกกุในภาคใต้ของญี่ปุ่น มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ ได้พัฒนาวิธีการทำเกษตรกรรมแบบธรรมชาติ ซึ่งสามารถช่วยทวนกระแสของเกษตรกรรมแผนใหม่ที่กำลังตกต่ำลงทุกที เกษตรกรรมธรรมชาติไม่ต้องใช้เครื่องจักร สารเคมี และอาศัยการกำจัดวัชพืชเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ฟูกูโอกะไม่ไถพรวนดิน และไม่ใช้ปุ๋ย เขาไม่กักน้ำไว้ในนาข้าวระหว่างฤดูเพาะปลูกดังที่ชาวนาทั้งในตะวันออกและทั่วโลกกระทำกันมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ ดินในที่นาของเขาไม่เคยถูกไถพรวนมาเป็นเวลากว่า ๒๕ ปีแล้ว แต่กระนั้นผลผลิตที่เขาได้นั้นเมื่อเทียบกับที่นาที่ให้ผลผลิตสูงสุดในญี่ปุ่นแล้ว แทบไม่มีความแตกต่างกันเลย วิธีการเพาะปลูกของเขาใช้แรงงานน้อยกว่าวิธีอื่น ๆ ทั้งไม่ก่อให้เกิดมลภาวะ และไม่จำเป็นต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงด้วย
เมื่อผมได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับฟูกูโอกะในตอนแรกๆ นั้น ผมเกิดความรู้สึกสงสัยไม่แน่ใจ จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะเพาะปลูกข้าวและธัญพืชฤดูหนาวที่ให้ผลผลิตสูงในแต่ละปี โดยทำเพียงแค่การหว่านเมล็ดพันธุ์ไปบนที่นาที่ไม่มีการไถพรวน มันต้องมีวิธีการอะไรที่มากกว่านี้แน่
ผมใช้ชีวิตอยู่กับกลุ่มเพื่อน ๆ ในที่นาแห่งหนึ่งทางเขตภูเขาทางเหนือของเมืองเกียวโตเป็นเวลาหลายปี เราใช้วิธีการเพาะปลูกแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นในการปลูกข้าวเจ้า ข้าวไรย์ ข้าวบาร์เลย์ ถั่วเหลือง และผักสวนครัวหลายชนิด อาคันตุกะที่แวะเยี่ยมไร่นาของเรามักจะพูดถึงงานของฟูกูโอกะ แต่คนเหล่านี้ไม่มีใครเลยที่เคยอยู่ในไร่นาของฟูกูโอกะนานพอที่จะเรียนรู้รายละเอียดทางเทคนิคของเขา แต่ว่าคำพูดของพวกเขาก็กระตุ้นความสนใจใคร่รู้ของผม
ยามใดก็ตามที่ว่างจากการงานในไร่นา ผมจะออกเดินทางไปยังภาคอื่น ๆ ของประเทศ แวะเยี่ยมเยียนไร่นาและชุมชนต่าง ๆ และหางานครึ่งเวลาทำไปด้วยในระหว่างเดินทาง มีอยู่ครั้งหนึ่งของการเดินทางในลักษณะนี้ ผมได้แวะเยี่ยมที่ไร่ของฟูกูโอกะเพื่อจะเรียนรู้การทำงานของชายคนนี้ด้วยตัวผมเอง
ผมไม่แน่ใจนักว่าได้คาดหวังว่าเขาจะเป็นคนอย่างไร แต่หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับครูผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ ผมก็ต้องประหลาดใจที่ได้เห็นเขาสวมรองเท้าหุ้มข้อในเครื่องแต่งกายชุดทำงานชองชาวนาญี่ปุ่นโดยทั่วไป ยิ่งกว่านั้นหย่อมเคราสีขาว ผนวกกับท่าทีที่ว่องไว และเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นของเขา ได้ทำให้เกิดเป็นภาพบุคลิกของบุรุษที่แสนพิสดารที่สุดคนหนึ่ง
ในการเยี่ยมครั้งแรกนั้น ผมใช้เวลาอยู่ในไร่นาของฟูกูโอกะเป็นเวลาหลายเดือน ทำงานอยู่ในนาและในสวนส้ม และในบ้านที่ผนังสร้างจากดินแห่งนั้น เราใช้เวลายามเย็นในการพูดคุยถกเถียงร่วมกับนักศึกษาที่มาทำงานในไร่นาคนอื่น ๆ และจากการพูดคุยนั้น ที่รายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับวิธีการของฟูกูโอกะ รวมทั้งปรัชญาเบื้องหลังการกระทำเหล่านั้นก็ค่อย ๆ ปรากฏชัดเจนต่อผม
สวนผลไม้ของฟูกูโอกะตั้งอยู่บนเชิงเขา ซึ่งมองลงไปเห็นอ่าวมัทซึยาม่า นี่คือ "ภูเขา" ที่นักเรียนของเขาพักอาศัยและทำงาน พวกเขาส่วนใหญ่มาในลักษณะเดียวกับผม สะพายเป้มาบนหลัง และก็ไม่รู้ว่าจะคาดหวังอะไรบ้างจากการมา บางคนมาอยู่ไม่กี่วัน หรือไม่กี่อาทิตย์ ก็เผ่นลงจากเขาไป แต่ทีนั่นก็ยังมีกลุ่มแกนราว ๔-๕ คนที่มาอยู่อาศัยเป็นปีหรือมากกว่านั้น หลายปีที่ผ่านมามีผู้คนทั้งชายและหญิงพากันมาอยูที่นี่และทำงาน
ที่นี่ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกแบบสมัยใหม่ น้ำดื่มต้องใช้ถังหิ้วเอามาจากแหล่งน้ำตามธรรมชาติ อาหารหุงขึ้นจากเตาถ่าน และแสงสว่างยามค่ำคืนได้จากเทียนและตะเกียงน้ำมันก๊าด ภูเขาแถบนี้อุดมไปด้วยสมุนไพรและพืชผัก ปลาและหอยสามารถหาได้จากลำธารใกล้ ๆ และสาหร่ายทะเลได้จากทะเลสาบที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ไมล์
การงานจะเปลี่ยนไปตามอากาศและฤดูกาล เวลาทำงานเริ่มจาก ๘ โมงเช้า และหยุดพักเที่ยง ๑ ชั่วโมง (๒-๓ ชั่วโมงในช่วงที่ร้อนที่สุดกลางฤดูร้อน) นักศึกษาเหล่านั้นจะเลิกงานกลับสู่กระท่อมก่อนค่ำมืด นอกจากงานด้านเกษตรแล้วยังมีงานบ้านที่ต้องทำทุกวัน คือ การตักน้ำ ผ่าฟืน ทำอาหาร เตรียมน้ำร้อนสำหรับอาบ ดูแลแพะ ให้อาหารไก่และเก็บไข่ ดูแลรังผึ้ง ซ่อมแซมบ้านหรือบางครั้งก็ช่วยกันสร้างบ้านใหม่ และทำเต้าเจี้ยว (มิโซะ) กับเต้าหู้
ฟูกูโอกะใช้เงิน ๑๐,๐๐๐ เยน (ประมาณ ๗๐๐-๘๐๐ บาท)* ในแต่ละเดือนเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับความเป็นอยู่ในชุมชน ส่วนใหญ่จะใช้ไปในการซื้อซีอิ๊วที่ทำจากถั่วเหลือง น้ำมันพืช และของใช้จำเป็นอื่น ๆ ที่ไม่สามารถทำกันเองในชุมชนขนาดเล็ก สิ่งจำเป็นอื่น ๆ นอกนั้น นักศึกษาเหล่านั้นต้องพึ่งจากพืชพันธุ์ที่พวกเขาผลิตขึ้นทั้งหมด วัตถุดิบที่หาได้ในบริเวณนั้น และความสามารถส่วนตัวของเขา ฟูกูโอกะเจตนาที่จะให้นักศึกษาของเขาใช้ชีวิตในลักษณะกึ่งบรรพกาลแบบนี้ เช่นเดียวกับที่เขาเป็นอยู่มาเป็นเวลาหลายปี เพราะเขาเชื่อว่าวิถีชีวิตเช่นนี้จะพัฒนาประสาทสัมผัสที่ละเอียดอ่อนอันจำเป็นต่อการทำไร่นาตามวิธีแบบธรรมชาติของเขา
บริเวณของเกาะชิโกกุที่ฟูกูโอกะอยู่อาศัย พื้นที่สำหรับปลูกข้าวจะอยู่บริเวณที่ราบริมฝั่งทะเล ส่วนสวนส้มจะปลูกตามเชิงเขารอบ ๆ ไร่นาของฟูกูโอกะจะประกอบด้วยพื้นที่ปลูกข้าว ๑ ๑/๔ เอเคอร์ (๓.๑ ไร่) และสวนส้มอีก ๑๒ ๑/๒ เอเคอร์ (๓๑.๒ ไร่) พื้นที่ขนาดนี้อาจจะดูไม่มากสำหรับข้าวนาในตะวันตก แต่เนื่องจากการทำงานในไร่นาแห่งนี้อาศัยเครื่องไม้เครื่องมือพื้นบ้านแบบญี่ปุ่น จึงต้องการแรงงานมากสำหรับการดูแลไร่นา แม้จะมีจำนวนพื้นที่ไม่มากนักก็ตาม
ฟูกูโอกะจะทำงานร่วมกับนักศึกษาทั้งในนาและในสวน แต่ไม่มีใครรู้อย่างแน่นอนว่าเขาจะมาในเวลาใด ดูเหมือนเขาจะมีความสามารถพิเศษที่จะมาปรากฏตัวในเวลาที่คนไม่คิดว่าเขาจะมา เขาเป็นคนที่ว่องไวกระปรี้กระเปร่าและมักจะคุยเกี่ยวกับเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่เสมอ บางครั้งเขาจะเรียกนักศึกษามาชุมนุมพูดคุยถกเถียงกันถึงงานที่กำลังทำอยู่ และมักจะชี้แนะแนวทางที่จะทำให้งานสำเร็จด้วยวิธีที่ง่ายและรวดเร็วขึ้น บางครั้งเขาจะพูดให้ฟังเกี่ยวกับวงจรชีวิตของวัชพืชและโรคเชื้อราในสวน และมีบางครั้งที่เขาจะหยุดเพื่อระลึกและสะท้อนเกี่ยวกับประสบการณ์ในการทำการเกษตร นอกจากจะอธิบายถึงเทคนิควิธีการแล้ว ฟูกูโอกะยังสอนให้รู้จักทักษะพื้นฐานของงานเกษตรอีกด้วย เขาย้ำอยู่เสมอถึงความสำคัญในการดูแลรักษาเครื่องมืออย่างดี และไม่เคยเบื่อหน่ายที่จะสาธิตให้เห็นการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือเหล่านั้น
หากว่าคนมาใหม่คาดหวังว่า "เกษตรกรรมธรรมชาติ" คือการปล่อยให้ธรรมชาติจัดการทุกอย่างเอง โดยมีเขานั่งดูอยู่เฉย ๆ ละก็ ฟูกูโอกะจะสอนให้เขารู้ว่ายังมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้และกระทำอีกมากมาย ถ้าจะพูดให้ถูกต้องตามความหมายจริง ๆ แล้ว เกษตรกรรม "ธรรมชาติ" นั้นมีอยู่ชนิดเดียว คือการเสาะหาล่าสัตว์และเก็บเกี่ยวจากพืชผลที่เกิดขึ้นเอง การปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารนั้นถือเป็นประดิษฐกรรมทางวัฒนธรรม ที่ต้องอาศัยความรู้และความเพียรพยายามอันไม่ลดละ ข้อแตกต่างขั้นพื้นฐานก็คือ ฟูกูโอกะทำเกษตรกรรมด้วยการประสานร่วมมือกับธรรมชาติ ยิ่งกว่าการพยายามที่จะ "ปรับปรุง ธรรมชาติอย่างผู้มีชัยเหนือกว่า
มีอาคันตุกะจำนวนมากที่แวะมาเยี่ยมเยียนเพียงแค่ครึ่งวันเท่านั้น กระนั้นฟูกูโอกะก็มีความอดทนในการพาอาคันตุกะเหล่านั้นเดินชมรอบไร่นาของเขา ไม่เป็นเรื่องแปลกที่จะเห็นเขาก้าวเดินอาด ๆ ไปตามทางเดินขึ้นเขาพร้อมด้วยกลุ่มคนอีก ๑๐-๑๕ คน ที่เดินหอบฮัก ๆ ตามหลัง อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้มีแขกมาเป็นจำนวนมาก ๆ บ่อยนัก ฟูกูโอกะติดต่อกับโลกภายนอกหมู่บ้านของเขาน้อยมากในระหว่างหลายปีที่เขากำลังพัฒนาวิธีการของเขาอยู่
เมื่อครั้งยังหนุ่ม ฟูกูโอกะได้จากบ้านในชนบทและเดินทางไปจนถึงเมืองโยโกฮาม่า ที่นั่นเขาทำงานเป็นนักวิจัยทางจุลชีววิทยา เขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคพืช และทำงานอยู่ในห้องทดลองเป็นเวลาหลายปีในฐานะผู้ตรวจสอบสินค้าเกษตรของกรมศุลกากร ในเวลานั้น ขณะที่ฟูกูโอกะเป็นชายหนุ่มวัย ๒๕ ปี เขาก็ได้พบกับประสบการณ์แห่งการประจักษ์แจ้ง ซึ่งกลายเป็นฐานของงานชั่วชีวิตของเขา และเป็นสาระหลักของหนังสือเล่มนี้ด้วย เขาลาออกจากงานและกลับไปยังบ้านเกิดอีกครั้งเพื่อทดลองพิสูจน์ความจริงในสิ่งที่เขาพบโดยประยุกต์ความคิดนั้นกับการทำเกษตรกรรม
ความคิดพื้นฐานปรากฏแก่เขาในวันหนึ่ง ขณะที่เขาเดินผ่านทุ่งนารกร้างแห่งหนึ่งที่ดินไม่เคยถูกไถพรวนมาเป็นเวลาหลายปี ที่นั่นเขาแลเห็นต้นข้าวที่แข็งแรงแทงยอดออกมาท่ามกลางกอหญ้าของวัชพืช จากนั้นเป็นต้นมา เขาเลิกกักน้ำไว้ในนาเพื่อที่จะปลูกข้าว เขาเลิกหว่านเมล็ดข้าวในฤดูใบไม้ผลิ แต่เปลี่ยนมาหว่านเมล็ดในฤดูใบไม้ร่วงแทน และหว่านเมล็ดลงไปบนท้องนาโดยตรงซึ่งเมล็ดเหล่านั้นจะตกลงไปบนผืนดินโดยธรรมชาติ แทนที่จะไถพรวนดินเพื่อกำจัดวัชพืช เขาเรียนรู้ที่จะควบคุมมันโดยการใช้พืชคลุมดินจำพวกถั่ว เช่นไวท์โคลเวอร์ และฟางข้าว เมื่อเขาแลเห็นว่าสภาพเช่นนั้นมีแนวโน้มที่เป็นประโยชน์ต่อพืชผลของเขา ฟูกูโอกะจะเข้าไปแทรกแซงพืชผลรวมทั้งชุมชนของสัตว์ในไร่นาของเขาน้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้
ด้วยเหตุที่ชาวตะวันตกแม้แต่ในบรรดาเกษตรกรด้วยกัน ก็คงจะไม่คุ้นเคยกับการปลูกข้าวเจ้าและธัญพืชฤดูหนาวหมุนเวียนกัน และเพราะว่าฟูกูโอกะได้พูดถึงการปลูกข้าวเจ้าไว้มากในหนังสือเล่มนี้ ก็คงจะเป็นประโยชน์หากจะได้พูดถึงการทำเกษตรกรรมแบบพื้นบ้านของญี่ปุ่นไว้บ้าง
แรกทีเดียวเมล็ดข้าวเจ้าจะถูกโปรยหว่านลงบนที่ราบลุ่มนาท่วมถึงในระหว่างฤดูมรสุม ในที่สุดที่ดินส่วนที่เป็นก้นแอ่งจะกลายเป็นชั้นลดหลั่นสามารถจะกักเก็บน้ำไว้สำหรับการเพาะปลูกแม้ว่าน้ำจากฤดูน้ำหลากจะผ่านพ้นไปแล้วก็ตาม
วิธีเพาะปลูกแบบพื้นบ้านของญี่ปุ่น ซึ่งเคยกระทำกันมาตั้งแต่อดีตตราบจนกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองนั้น เมล็ดข้าวจะถูกหว่านลงบนแปลงเพาะที่มีการไถพรวนเตรียมไว้ ปุ๋ยหมักและมูลสัตว์จะถูกโปรยบนหน้าดิน แล้วปล่อยน้ำเข้าและไถคราดจนมีลักษณะข้นเหนียว เมื่อต้นกล้าสูงประมาณ ๘ นิ้ว ก็จะถูกนำไปปักดำในที่นา ชาวนาที่มีความชำนาญจะสามารถปักดำได้ถึงวันละ ๑/๓ เอเคอร์ (๐.๘ ไร่) แต่งานปักดำโดยมากใช้วิธีช่วยกันทำทีละหลาย ๆ คน
เมื่อต้นกล้าถูกนำมาปักดำแล้ว จะมีการไถดินอีกเพียงเล็กน้อยระหว่างแถวของต้นกล้า จากนั้นก็ต้องคอยถอนวัชพืชและคลุมดินด้วยฟาง ที่นานั้นจะปล่อยให้น้ำท่วมขังสูงประมาณ ๑ นิ้วหรือมากกว่านั้นเป็นเวลา ๓ เดือน การเก็บเกี่ยวข้าวก็อาศัยเคียว รวงข้าวจะถูกมัดเป็นฟ่อนและแขวนไว้กับราวไม้ หรือไม้ไผ่เป็นเวลาหลายอาทิตย์เพื่อตากให้แห้งก่อนการนวด นับตั้งแต่การปักดำมาจนถึงการเก็บเกี่ยว ทุกตารางนิ้วในทุ่งนาผ่านมือชาวนา ๔ เที่ยวเป็นอย่างน้อย
ทันทีที่การเก็บเกี่ยวสิ้นสุดลง พื้นดินจะถูกไถ และดินจะถูกปราบให้เรียบเป็นแนวกว้างประมาณ ๑ ฟุต และถูกคั่นด้วยร่องระบายน้ำ เมล็ดข้าวไรย์หรือข้าวบาร์เลย์จะถูกหว่านลงบนสันร่องและคลุมด้วยดิน การปลูกพืชหมุนเวียนเช่นนี้เป็นไปได้ ก็เพราะมีการกำหนดระยะเวลาในการเพาะปลูกไว้เป็นอย่างดี มีการดูแลที่นาให้ได้รับอินทรีย์วัตถุ รวมทั้งสารอาหารที่จำเป็นอย่างเพียงพอ เป็นที่น่าสังเกตว่า การใช้วิธีเพาะปลูกแบบพื้นบ้านเช่นนี้ ชาวนาญี่ปุ่นสามารถปลูกข้าวเจ้าและธัญพืชฤดูหนาวในแต่ละปี บนผืนดินผืนเดิมมาเป็นเวลานับศตวรรษโดยไม่ทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของดินลดน้อยลงไป
แม้ว่าเขาจะแลเห็นข้อดีหลายอย่างของการทำนาแบบพื้นบ้าน แต่ฟูกูโอกะก็ยังรู้ดีกว่ามีงานที่ไม่จำเป็นหลายอย่างอยู่ในวิธีการแบบนี้ เขาพูดถึงวิธีการของเขาว่าเป็นการทำเกษตรกรรมแบบ "ไม่กระทำ" (do-nothing farming) และยังบอกว่าวิธีการเช่นนี้ใคร ๆ ก็ทำได้ แม้แต่คนที่เป็นชาวนาแค่ในวันหยุดสุดสัปดาห์ ก็สามารถปลูกข้าวพอเลี้ยงดูคนทั้งครอบครัวได้ อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้หมายความว่าการทำนาแบบเขานั้น สามารถเป็นไปได้โดยปราศจากความพยายามเสียเลย ไร่นาของเขาดำเนินไปได้ ก็เพราะมีการกำหนดตารางเวลาขึ้นเป็นประจำสำหรับงานแต่ละอย่างในนา งานที่ทำต้องเป็นไปอย่างถูกต้อง และด้วยความละเอียดอ่อน เมื่อเกษตรกรได้ตัดสินใจที่จะใช้ที่ดินแปลงหนึ่งสำหรับปลูกข้าวหรือผัก และได้หว่านเมล็ดแล้ว เขาจะต้องรับผิดชอบในการดูแลที่ดินแปลงนั้น การทำลายธรรมชาติแล้วก็ละทิ้งไป เป็นการกระทำที่อันตรายและเป็นความไม่รับผิดชอบ
ในฤดูใบไม้ร่วง ฟูกูโอกะจะหว่านเมล็ดข้าวเจ้า พืชคลุมดินจำพวกถั่วพวกไวท์ โคลเวอร์ และธัญพืชฤดูหนาวลงบนที่ดินผืนเดียวกัน แล้วจากนั้นคลุมด้วยฟางข้าวให้หนา ๆ ข้าวบาร์เลย์หรือข้าวไรย์รวมทั้งพืชจำพวกถั่วเช่นโคลเวอรจะงอกขึ้นก่อนในขณะที่เมล็ดข้าวเจ้าจะนอนสงบนิ่งอยู่จนถึงฤดูใบไม้ผลิ
ในขณะที่ธัญพืชฤดูหนาวเติบโตขึ้น และกำลังสุกอยู่ในที่นาข้างล่าง สวนผลไม้ตามเนินเขาก็กำลังเป็นที่ชุมนุมของกิจกรรมทั้งหลาย การเก็บผลส้มจะมีระยะตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนเมษายน
ข้าวไรย์และข้าวบาร์เลย์จะเก็บเกี่ยวในเดือนพฤษภาคม และจะแผ่ผึ่งแดดอยู่ในนาประมาณ ๗-๑๐ วัน หลังจากนั้นก็จะนำมานวด ฝัด และเก็บใส่กระสอบไว้ ฟางทั้งหมดจะนำมาโปรยคลุมพื้นที่นาเอาไว้โดยไม่ต้องสับ แล้วจึงปล่อยน้ำให้ท่วมขังในนาเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ในระหว่างฤดูมรสุมในเดือนมิถุนายนเพื่อทำให้พืชคลุมดินจำพวกถั่วและวัชพืชเฉาลง และเปิดโอกาสให้ต้นข้าวแตกหน่อแทงยอดออกมา เมื่อปล่อยน้ำออกจากที่นา พืชคลุมดินจะฟื้นตัวขึ้นมาใหม่และงอกงามอยู่ภายใต้ต้นข้าว จากช่วงนี้จนถึงหน้าเก็บเกี่ยว จะเป็นช่วงงานหนักของเกษตรกรโดยทั่วไป แต่งานในที่นาของฟูกูโอกะจะมีเพียงการดูแลทางระบายน้ำและถางหญ้าตามทางเดินระหว่างคันนาเท่านั้น
ข้าวเจ้าจะเก็บเกี่ยวในเดือนตุลาคม รวงข้าวจะถูกแขวนผึ่งแดดให้แห้งก่อนจะนำมานวด การหว่านเมล็ดธัญพืชในฤดูใบไม้ร่วงจะเสร็จสิ้นลงเล็กน้อยก่อนที่ส้มแมนดารินชนิดต่าง ๆ จะเริ่มสุกและพร้อมที่จะเก็บ
ผลผลิตข้าวเจ้าของฟูกูโอกะจะอยู่ระหว่าง ๑๘ ถึง ๒๒ บูเชล (๕๐๐-๕๙๐.๙ กิโลกรัม) ต่อพื้นที่ ๑ ๑/๔ เอเคอร์ (๐.๖ ไร่) ซึ่งเท่ากับผลผลิตที่ได้จากพื้นที่เพาะปลูกที่ใช้สารเคมี และวิธีแบบพื้นบ้านในเขตที่เขาอยู่อาศัย ส่วนผลผลิตธัญพืชฤดูหนาวของเขามักจะสูงกว่าชาวนาที่อาศัยสารเคมี และชาวนาที่เพาะปลูกแบบพื้นบ้าน ซึ่งเกษตรกรรมทั้งสองแบบล้วนแต่ใช้วิธียกแปลงและมีร่องระบายน้ำ
การเพาะปลูกทั้ง ๓ วิธี (ธรรมชาติ พื้นบ้าน และใช้สารเคมี) ให้ผลผลิตที่ไม่แตกต่างกัน แต่จะให้ผลแตกต่างต่อดินที่ทำการเพาะปลูกอย่างเห็นได้ชัด ดินในที่นาของฟูกูโอกะดีขึ้นในแต่ละฤดูกาล ตลอดระยะ ๒๕ ปีที่ผ่านมาตั้งแต่เขาเลิกไถพรวนดิน ที่นาของเขาดีขึ้นทั้งในแง่ความอุดมสมบูรณ์ โครงสร้างของดิน และความสามารถในการกักเก็บน้ำ สำหรับวิธีเพาะปลูกแบบพื้นบ้านนั้น สภาพของดินที่ผ่านการเพาะปลูกเป็นเวลาหลายปีจะคงสภาพเดิม ชาวนาจะได้ผลผลิตตามสัดส่วนของปุ๋ยหมักกับมูลสัตว์ที่เขาใส่ในนา แต่ดินในที่นาที่ใช้สารเคมีจะไร้ชีวิต และความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติจะถูกผลาญไปในระยะเวลาอันสั้น
ข้อได้เปรียบที่สุดของวิธีการของฟูกูโอกะก็คือข้าว ที่สามารถปลูกได้โดยไม่ต้องอาศัยน้ำท่วมขังในนาในฤดูปลูกข้าว น้อยคนที่จะเชื่อว่าเป็นไปได้แต่ความจริงก็คือมันเป็นไปได้ และฟูกูโอกะทำให้ข้าวเติบโตดีขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยวิธีการเช่นนี้ ต้นข้าวของเขาลำต้นจะแข็งแรง และมีรากหยั่งลึก พันธุ์ข้าวเหนียวดั้งเดิมที่เขาปลูกจะให้เมล็ดระหว่าง ๒๕๐-๓๐๐ เมล็ดต่อรวง
การใช้ฟางคลุมดินจะเพิ่มพูนความสามารถของดินในการกักเก็บน้ำ ในหลายแห่ง การทำเกษตรกรรมธรรมชาติสามารถตัดความจำเป็นเกี่ยวกับการชลประทานไปได้อย่างเด็ดขาด ข้าวเจ้าและพืชผลที่ให้ผลผลิตสูงสามารถปลูกในพื้นที่ที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะสามารถปลูกได้ ที่ดินลาดชันและที่ดินที่ไม่อุดมสมบูรณ์สามารถนำมาใช้เพาะปลูกได้ โดยปราศจากอันตรายจากการชะล้างพังทลายของหน้าดิน เกษตรกรรมธรรมชาติสามารถช่วยฟื้นฟูสภาพดินที่ถูกทำลายจากวิธีการเพาะปลูกอันโง่เขลา และจากสารเคมีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โรคพืชและแมลงยังคงมีอยู่ในนาและในสวนผลไม้ แต่พืชผลจะไม่เสียหาย ความเสียหายจะเกิดเฉพาะกับต้นที่อ่อนแอเท่านั้น ฟูกูโอกะยืนยันว่าวิธีการควบคุมโรคพืชและแมลงอย่างดีที่สุด ก็คือการปลูกพืชในสิ่งแวดล้อมที่มีความสมดุลทางนิเวศวิทยา
ผลไม้ในสวนของฟูกูโอกะไม่ถูกตัดแต่งให้เป็นพุ่มเตี้ยเพื่อให้สะดวกกับการเก็บเกี่ยว แต่ปล่อยให้เติบโตไปในลักษณะที่เป็นธรรมชาติของมัน ผักและสมุนไพรปลูกอยู่ตามที่ลาดของสวนผลไม้ โดยที่มีการตระเตรียมดินน้อยมาก ในฤดูใบไม้ผลิเมล็ดเบอร์ดอกซ์ เมล็ดกะหล่ำปลี หัวไชเท้า ถั่วเหลือง ผักโสภณ ผักกาดหัว แครอท และเมล็ดผักชนิดต่าง ๆ จะถูกนำมาผสมกันแล้วหว่านไปตามทีโล่งระหว่างต้นไม้ ก่อนที่ฝนในฤดูใบไม้ผลิจะมาถึง พืชผลเหล่านี้อาจจะไม่สามารถปลูกได้ในทุกที่ แต่มันสามารถปลูกได้ในญี่ปุ่น ที่ซึ่งภูมิอากาศชื้นจากฝนที่ตกลงตลอดในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เนื้อดินในสวนผลไม้ของฟูกูโอกะมีลักษณะคล้ายดินเหนียว หน้าดินอุดมสมบูรณ์ไปด้วยอินทรีย์วัตถุ ร่วน และเก็บกักน้ำได้ดี นี่เป็นผลจากวัชพืชคลุมดินและพืชคลุมดินจำพวกถั่วที่ขึ้นปกคลุมสวนผลไม้เป็นเวลาต่อเนื่องกันหลายปี
วัชพืชจะถูกถางออกบ้างเมื่อผักยังอ่อนอยู่ แต่เมื่อผักเติบโตขึ้น มันจะถูกปล่อยให้เติบโตไปกับพืชคลุมดินตามธรรมชาติ มีผักบางส่วนที่ไม่ได้ถูกเก็บเกี่ยว เมื่อมันแก่เมล็ดจะตกลงดิน หลังจากที่งอกใหม่สัก ๑-๒ ชั่วรุ่น มันจะกลายพันธุ์กลับไปเหมือนผักป่าตามบรรพบุรุษของมันแต่เดิม ซึ่งมีลักษณะแข็งแรงและมีรสชาติขมนิด ๆ ผักหลายชนิดเติบโตขึ้นโดยปราศจากการดูแลเอาใจใส่ เมื่อผมไปถึงไร่นาของฟูกูโอกะไม่นานนัก วันหนึ่งผมเดินออกไปถึงส่วนที่อยู่ไกลที่สุดของสวนผลไม้ และก็เตะเอาของแข็งอะไรบางอย่างที่อยู่ท่ามกลางกอหญ้าสูงโดยไม่ตั้งใจ ผมก้มลงไปมองใกล้ ๆ สิ่งที่ผมเห็นคือแตงกวา และใกล้ ๆ กันนั้น ผมเห็นผลน้ำเต้าขึ้นเบียดเสียดกันอยู่ท่ามกลางพืชคลุมดินจำพวกถั่ว
หลายปีมาแล้วที่ฟูกูโอกะเขียนเกี่ยวกับวิธีการของเขาลงในหนังสือนิตยสาร และให้สัมภาษณ์ทางวิทยุและโทรทัศน์ แต่แทบจะไม่มีใครที่จะทำตามตัวอย่างเขา ในเวลานั้นสังคมญี่ปุ่นกำลังเคลื่อนไปด้วยนโยบายที่สวนทางกับวิถีของฟูกูโอกะอย่างสิ้นเชิง
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง อเมริกันได้นำเอาเกษตรกรรมแผนใหม่ที่ใช้สารเคมีเข้ามาในญี่ปุ่น วิธีเช่นนี้ช่วยให้เกษตรกรรมญี่ปุ่นสามารถผลิตพืชผลได้ในปริมาณที่เท่ากับที่ได้จากการเพาะปลูกแบบพี้นบ้าน แต่ลดเวลาและแรงงานของเกษตรกรลงได้มากกว่าครึ่งหนึ่ง นี่ประดุจดังความฝันได้กลายเป็นความจริง และเพียงชั่วรุ่นหนึ่งผ่านไป ชาวญี่ปุ่นเกือบทุกคนก็หันไปหาเกษตรกรรมที่ใช้สารเคมี
นับเป็นเวลาร้อย ๆ ปีที่เกษตรกรญี่ปุ่นสงวนรักษาอินทรีย์วัตถุในดินด้วยการปลูกพืชหมุนเวียน ใส่ปุ๋ยหมักและมูลสัตว์ และด้วยการปลูกพืชคลุมดิน เมื่อวิธีการเหล่านี้ถูกละทิ้งและมีการนำเอาปุ๋ยเคมีเข้ามาใช้แทนที่อย่างรวดเร็ว ฮิวมัสในดินก็ถูกทำลายหมดไปภายในชั่วรุ่นเดียว โครงสร้างของดินเสื่อมโทรมลง พืชพันธุ์เริ่มอ่อนแอและต้องพึ่งพิงปุ๋ยจากสารเคมี การสร้างระบบใหม่ขึ้นเพื่อที่จะลดแรงงานของคนและสัตว์ได้ทำลายความอุดมสมบูรณ์ของดินไป
ในระหว่าง ๔๐ ปีที่ผ่านมา ฟูกูโอกะได้ประจักษ์ถึงความเสื่อมโทรมของแผ่นดินและสังคมญี่ปุนด้วยความรู้สึกขุ่นเคืองใจ ชาวญี่ปุ่นจำเริญรอยตามรูปแบบการพัฒนาทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของอเมริกันอย่างสุดจิตสุดใจ มีการเคลื่อนย้ายของประชากร เนื่องจากเกษตรกรได้ย้ายถิ่นฐานจากชนบท เข้ามายังเขตความเจริญทางอุตสาหกรรม หมู่บ้านที่ฟูกูไอกะถือกำเนิดและเป็นพื้นฐานของครอบครัวฟูกูโอกะมานานกว่า ๑,๔๐๐ ปี บัดนี้ได้กลายเป็นเขตชานเมืองมัทซึยาม่าที่กำลังเจริญขึ้นไปเสียแล้ว ถนนหลวงที่ตัดผ่านที่นาของเขาเกลื่อนไปด้วยกองขวดสาเกและเศษขยะตามรายทาง
แม้ว่าฟูกูโอกะจะไม่เคยจัดปรัชญาของตนเข้าอยู่กับองค์กรหรือนิกายศาสนาใดเป็นการเฉพาะ แต่คำพูดและวิธีการสอนของเขาก็ได้รับอิทธิพลสูงจากพุทธศาสนานิกายเซน และลัทธิเต๋า มีบางครั้งเช่นกันที่เขาจะยกข้อความจากในคัมภีร์ไบเบิ้ล และประเด็นทางปรัชญาและเทววิทยาจากในลัทธิยิว-คริสเตียน (Judeo-Christian) มาแสดงประกอบสิ่งที่เขาพูดถึง หรือเพื่อกระตุ้นให้เกิดการถกเถียง
ฟูกูโอกะเชื่อว่าเกษตรกรรมธรรมชาติสืบสายมาจากสภาวะแห่งความไพบูลย์ทางจิตวิญญาณของปัจเจกบุคคล เขาถือว่าการบำรุงรักษาผืนแผ่นดินและการชำระจิตใจของมนุษยให้บริสุทธิ์เป็นกระบวนการอันเดียวกัน เขาได้นำเสนอมรรควิธีแห่งการดำเนินชีวิต และมรรควิธีแห่งเกษตรกรรมเพื่อให้เกิดกระบวนการดังกล่าวขึ้น
เป็นเรื่องไม่สมจริงเลยหากมีความเชื่อว่าฟูกูโอกะสามารถแปรปรัชญาที่เขาได้ประจักษ์ ออกมาเป็นการปฏิบัติได้อย่างสมบูรณ์ภายในชั่วชีวิตนี้ของเขาภายใต้เงื่อนไขและสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แม้เวลาจะได้ผ่านไปถึง ๓๐ ปีแล้ว แต่เทคนิควิธีการของเขาก็ยังพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ คุณูปการที่ยิ่งใหญ่ของเขาก็คือการแสดงให้เห็นประจักษ์ว่า กระบวนการสร้างเสริมความไพบูลย์แห่งจิตวิญญาณในชีวิตประจำวัน สามารถนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เป็นจริง และเป็นคุณประโยชน์ต่อโลก
ปัจจุบันการรับรู้ถึงอันตรายในระยะยาวจากการใช้สารเคมีในการเกษตร ทำให้เกิดความสนใจในการแสวงหาทางเลือกใหม่ทางเกษตรกรรมขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ฟูกูโอกะได้ก้าวเข้ามาในฐานะประกาศกชั้นนำเกี่ยวกับการปฏิวัติเกษตรกรรมในญี่ปุ่น เมื่อหนังสือ ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว ได้รับการตีพิมพ์ออกมาในเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ ความสนใจในเกษตรกรรมธรรมชาติก็แพร่หลายอย่างรวดเร็วในหมู่ชาวญี่ปุ่น
หลังจากที่ผมทำงานอยู่ในไร่นาของฟูกูโอกะเป็นเวลาปีครึ่ง ผมก็กลับไปที่ไร่นาของผมในเมืองเกียวโตบ่อยขึ้น ทุกคนที่นั่นกระตือรือร้นที่จะลองวิธีใหม่ และในที่สุดการทำเกษตรในที่ดินของพวกเราก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นเกษตรกรรมธรรมชาติมากขึ้นทุกที
นอกจากการปลูกข้าวเจ้า และข้าวไรย์หมุนเวียนกันตามวิธีการพื้นบ้านแล้ว เราก็ยังปลูกข้าวสาลี ข้าวบั๊ควีท มันฝรั่ง ข้าวโพดและถั่วเหลืองตามอย่างวิธีของฟูกูโอกะอีกด้วย ในการปลูกข้าวโพดและพืชที่ปลูกเป็นแนวชนิดอื่นซึ่งงอกช้า เราจะทำรูโดยใช้เศษไม้หรือไม้ไผ่จิ้ม จากนั้นจะหยอดเมล็ดลง แต่ละหลุมเราปลูกข้าวโพดปนกับถั่วเหลืองด้วยวิธีการของฟูกูไอกะ คือใช้วิธีหุ้มเมล็ดในกระสุนดินเหนียว และหว่านลงไปในดิน จากนั้นเราจะถางวัชพืชคลุมดินและพืชคลุมดินจำพวกถั่วออกไปบ้าง และใช้ฟางคลุมดิน พืชคลุมดินจะงอกขึ้นมาใหม่แต่ก็หลังจากที่ข้าวโพดและถั่วเหลืองเติบโตหยั่งรากดีแล้ว
ฟูกูโอกะจะช่วยได้ก็เพียงการให้คำแนะนำบางประการ แต่เราต้องปรับปรุงวิธีการเหล่านี้ด้วยการลองผิดลองถูกกับพืชผลชนิดต่าง ๆ และปัจจัยเงื่อนไขในท้องถิ่นของเราเอง เรารู้ตั้งแต่แรกเริ่มแล้วว่าการเปลี่ยนไปสู่เกษตรกรรมธรรมชาตินั้น ต้องการเวลามากกว่า ๒-๓ ปี ทั้งนี้เพื่อให้เวลาในการปรับตัวแก่ดิน และจิตใจของเราเองด้วย จากจุดหัวเลี้ยวได้กลายมาเป็นกระบวนการที่ดำเนินอย่างต่อเนื่องและรุดหน้าในบัดนี้
ลาร์รี่ คอร์น
--------------------------------------------------------------------------------
* เป็นอัตราเงินในปี ๒๕๑๘ : ผู้แปล
-
บันทึกเกี่ยวกับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ
การถ่ายทอดเนื้อความจากภาษาหนึ่งไปสู่อีกภาษาหนึ่งนั้น ก็นับว่าเป็นงานที่ท้าทายพออยู่แล้ว แต่การคงอรรถรสและลักษณะทางวัฒนธรรมตามท้องเรื่องของต้นฉบับเดิมไว้ด้วย กลับเป็นงานที่ยากยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาญี่ปุ่นมีความละเอียดลึกซึ้งกว่าภาษาอังกฤษในการอธิบายประสบการณ์ในทางจิตวิญญาณ และคำสอนทางปรัชญาซึ่งจะพบอยู่ในหนังสือเล่มนี้ คำบ้างคำ เช่น ความรู้ที่ "แบ่งแยก" และ "ไม่แบ่งแยก" "จิตว่าง" และ "ไม่กระทำ" ไม่มีคำใช้ในภาษาอังกฤษ ด้วยเหตุนี้จึงต้องแปลโดยใช้รูปคำและให้อรรถาธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำนั้น ๆ
คำสอนโดยทั่วไปของเมธีตะวันออกมักมีลักษณะที่ขัดกันในตัวมันเอง ไม่เป็นเหตุเป็นผล และมักมีลักษณะที่ขัดแย้งกัน ทั้งนี้เพื่อที่จะช่วยทำลายแบบแผนความคิดอันเคยชิน คำพูดเหล่านั้นไม่มีความจำเป็นต้องทำความเข้าใจตามรูปคำ หรือในลักษณะที่เป็นอุปมาอุปมัยแต่อย่างไร เราคำพูดเหล่านั้นจะเป็นก็แต่แบบฝึกหัด ที่จะช่วยเปิดจิตสำนึกให้เข้าใจสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่พ้นขอบเขตการเข้าถึงของพุทธิปัญญา (lntellect)
คำญี่ปุ่นวา มูจิ แปลว่า "ธัญพืชฤดูหนาว" นั้นรวมเอาข้าวสาลี ข้าวไรย์ และข้าวบาร์เลย์ วิธีการปลูกธัญพืชเหล่านี้มีลักษณะคล้ายกัน ยกเว้นข้าวสาลี ซึ่งโดยทั่วไปจะสุกช้ากว่าข้าวชนิดอื่นหลายอาทิตย์ ข้าวไรย์และข้าวบาร์เลย์นิยมปลูกกันทั่วไปในญี่ปุ่นมากกว่าข้าวสาลี ทั้งนี้เพราะว่าข้าวสาลี กว่าจะเก็บเกี่ยวได้ก็ล่วงถึงกลางฤดูฝนของญี่ปุ่นแล้ว
คำญี่ปุ่นว่า มิกัน แปลว่าส้ม ส้มที่พบและรู้จักทั่วไปทางตะวันออก ส่วนใหญ่จะเป็นส้มแมนดาริน ส้มแมนดารินที่ปลูกในญี่ปุ่นมีหลายพันธุ์ แต่ที่พบโดยทั่วไปจะเป็นส้มผลเล็ก ซึ่งคล้ายกับส้มเขียวหวานในประเทศของเรา(สหรัฐอเมริกา)
ในกรณีที่มีการกล่าวเป็นเฉพาะในท้องเรื่องเกี่ยวกับธัญพืชฤดูหนาว และชนิดของส้มในบทแปลก็จะใช้ชื่อเฉพาะด้วย
การแปล ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว เริ่มต้นที่ไร่นาของฟูกูโอกะ และมีเขาเป็นคนช่วยตรวจตราแก้ไขในระหว่างฤดูใบไม้ผลิ ปี ๒๕๑๙ นี่มิใช่การแปลแบบคำต่อคำ ในหนังสือเล่มนี้ยังได้รวมเอาส่วนที่เกี่ยวกับงานอื่น ๆ ของฟูกูโอกะ และบทสนทนากับเขาเอาไว้ด้วย
ลาร์รี่ คอร์น
-
(http://emerson.typepad.com/photos/uncategorized/2007/11/29/fukuoka.png)
มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ
เกิดในปี พ.ศ. ๒๔๕๔ ในหมู่บ้านเล็ก ๆ บนเกาะชิโกกุทางตอนใต้ของญี่ปุ่น เขาจบการศึกษาทางจุลชีววิทยา สาขาพยาธิวิทยาของพืช และทำงานเป็นนักวิจัยทางเกษตรของกรมศุลกากรในเมืองโยโกฮาม่า ในแผนกตรวจสอบพันธุ์พืชที่จะนำเข้าและส่งออก เมื่อเขาอายุได้ ๒๕ ปี ฟูกูโอกะเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับหลักการพื้นฐานของเกษตรกรรมสมัยใหม่ เขาตัดสินใจลาออกจากงานและกลับไปทำเกษตรกรรมที่บ้านในชนบท เขาอุทิศเวลากว่า ๕๐ ปีให้กับการพัฒนาวิธีการทำเกษตรกรรมธรรมชาติ
ฟูกูโอกะเชื่อว่าเกษตรกรรมธรรมชาติสืบสายมาจากสภาวะแห่งความไพบูลย์ทางจิตวิญญาณของปัจเจกบุคคล เขาถือว่าการบำรุงรักษาผืนแผ่นดินและการชำระจิตใจของมนุษยให้บริสุทธิ์เป็นกระบวนการอันเดียวกัน เขาได้นำเสนอมรรควิธีแห่งการดำเนินชีวิต และมรรควิธีแห่งเกษตรกรรมเพื่อให้เกิดกระบวนการดังกล่าว เขากล่าวว่า "เป้าหมายสูงสุดของเกษตรกรรมไม่ใช่การเพาะปลูกพืชผล แต่คือการบ่มเพาะความสมบูรณ์แห่งความเป็นมนุษย์"
และด้วยเหตุที่เราไม่อาจแยกด้านใดด้านหนึ่งของชีวิตออกจากด้านอื่น ๆ เมื่อเราเปลี่ยนแปลงวิถีเพาะปลูกธัญญาหารของเรา เท่ากับเราเปลี่ยนแปลงลักษณะของอาหาร เปลี่ยนแปลงลักษณะสังคม และเปลี่ยนแปลงค่านิยมของเราไปด้วย คุณูปการที่ยิ่งใหญ่ของเขาก็คือ การแสดงให้ประจักษ์ว่า กระบวนสร้างเสริมความไพบูลย์แห่งจิตวิญญาณในชีวิตประจำวัน สามารถนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เป็นจริงและเป็นคุณประโยชน์ต่อโลก
เมื่อดินถูกเผาจนอินทรีย์วัตถุและจุลินทรีย์หมดไป การใช้ปุ๋ยก็จะกลายเป็นสิ่งจำเป็น ถ้าใช้ปุ๋ยเคมีต้นข้าวจะโตไวและสูง แต่วัชพืชก็จะเจริญเติบโตเช่นเดียวกันด้วย ยากำจัดวัชพืชก็ต้องถูกนำมาใช้ และคนก็จะคิดว่ามันมีประโยชน์
ในระหว่างเดินทางไปยังโตเกียว ผมมองออกไปนอกหน้าต่างรถไฟสายฮอคไคโด ผมได้แลเห็นความเปลี่ยนแปลงของชนบทญี่ปุ่น มองดูท้องนาในฤดูเหมันต์ ภาพที่ปรากฏล้วนแต่แตกต่างจากเมื่อ ๑๐ ปีที่แล้วโดยสิ้นเชิง ผมรู้สึกบันดาลโทสะอย่างที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้
ภูมิประเทศเดิม ๆ ที่มีทุ่งนาข้าวบาร์เลย์อันเขียวขจีเป็นระเบียบ ต้นถั่วยาง และต้นผักกาดยางที่ออกดอกบานสะพรั่งไม่ปรากฏให้เห็นอีกต่อไป สิ่งที่เห็นก็คือ ฟางที่ถูกเผายังไม่หมดดีกองสุมระเกะระกะและถูกปล่อยให้เปียกโชกอยู่ในสายฝน การที่ฟางเหล่านี้ถูกละเลยเป็นข้อพิสูจน์ถึงความไร้ระเบียบของเกษตรกรรมแบบใหม่ ทุ่งนาที่ไร้พืชผลเหล่านี้ได้ส่อให้เห็นถึงความแห้งแล้งในจิตใจของเกษตรกร มันท้าทายความรับผิดชอบของผู้นำรัฐบาล และได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการขาดนโยบายทางการเกษตรที่สุขุมแยบคาย
ผมเชื่อว่าการปฏิวัติสามารถเริ่มต้นจากฟางข้าวเพียงเส้นเดียว ดูเผิน ๆ ฟางข้าวนี้อาจจะดูบอบบางไร้น้ำหนัก และไม่มีความสลักสำคัญอะไร จึงยากที่ใครจะเชื่อว่ามันสามารถเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติได้ แต่ผมได้ตระหนักแล้วถึงน้ำหนักและพลังของฟางเส้นนี้ หากผู้คนรู้ถึงคุณค่าที่แท้จริงของฟางเส้นนี้ การปฏิวัติของมนุษยชาติก็จะเกิดขึ้น เป็นการปฏิวัติที่ทรงพลังเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศและโลกทั้งโลกเลยทีเดียว
http://olddreamz.com/bookshelf/onestraw/osphoto.html
-
(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/576/29576/images/MSNB1215082381.jpg)
.......ผมเฝ้าสงสัยว่าเหตุไฉนปรัชญาของผู้คน
จึงได้หมุนเร็วเสียยิ่งกว่าการแปรเปลี่ยนของฤดูกาล...
ธรรมชาติไม่ได้เปลี่ยนแปลง แม้ว่า วิธีการมองดู
ธรรมชาติ จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย
จากยุคหนึ่งสู่ยุคหนึ่ง ....
ภาค ๑
พินิจดูเมล็ดข้าวนี้
โลกนี้ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร
กลับสู่ชนบท
สู่เกษตรกรรมแบบไม่กระทำ
กลับคืนสู่ต้นกำเนิด
สาเหตุที่เกษตรกรรมธรรมชาติไม่แพร่หลาย
มนุษย์ไม่รู้จักธรรมชาติ
--------------------------------------------------------------------------------
-
(http://image.ohozaa.com/i8/3314820.jpg)
๑.๑
พินิจดูเมล็ดข้าวนี้
ผมเชื่อว่าการปฏิวัติสามารถเริ่มต้นจากฟางข้าวเพียงเส้นเดียว ดูเผิน ๆ ฟางข้าวนี้อาจจะดูบอบบางไร้น้ำหนัก และไม่มีความสลักสำคัญอะไร จึงยากที่ใครจะเชื่อว่ามันสามารถเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติได้ แต่ผมได้ตระหนักแล้วถึงน้ำหนักและพลังของฟางเส้นนี้ สำหรับผมแล้ว การปฏิวัติดังกล่าวเป็นเรื่องจริงจังมาก
ลองมองดูผืนนาที่ปลูกข้าวไรย์และข้าวบาร์เลย์เหล่านี้ มันให้ผลผลิตถึง ๒๒ บูเชล (๕๙๐.๙ กิโลกรัม) ต่อเนื้อที่ ๑/๔ เอเคอร์ (๐.๖ ไร่) ผมเชื่อว่าผลผลิตดังกล่าวเทียบได้กับผลผลิตสูงสุดในจังหวัดอิไฮมิ และหากปริมาณผลผลิตนี้เท่ากับผลผลิตในจังหวัดอิไฮมิแล้ว ย่อมถือได้ว่าเป็นปริมาณผลผลิตที่สูงที่สุดในประเทศ เพราะที่อิไฮมิถือกันว่าเป็นแหล่งที่มีอัตราผลผลิตข้าวสูงที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น และยิ่งกว่านั้นผืนนาเหล่านี้ไม่เคยถูกไถพรวนมาเป็นเวลาถึง ๒๕ ปีแล้ว
เมื่อจะปลูก ผมก็เพียงแต่หว่านเมล็ดข้าวไรย์และข้าวบาร์เลย์ลงในที่นาคนละแปลงในฤดูใบไม้ร่วงในขณะที่ข้าวเจ้ายังไม่ได้เก็บเกี่ยว หลายอาทิตย์ต่อมาหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวเจ้าเสร็จแล้ว ผมจะนำฟางข้าวมาคลุมให้ทั่วผืนนาที่ถูกเก็บเกี่ยวข้าวไป
การปลูกข้าวเจ้าก็ใช้วิธีการเดียวกัน ธัญพืชฤดูหนาวจะเก็บเกี่ยวได้ประมาณ ๒๐ พฤษภาคม และประมาณ ๒ อาทิตย์ก่อนที่ข้าวจะสุกเต็มที่ ผมก็จะหว่านเมล็ดข้าวเจ้าซ้อนลงในแปลงข้าวไรย์ และข้าวบาร์เลย์ เมื่อการเก็บเกี่ยวธัญพืชฤดูหนาวและการนวดข้าวแล้วเสร็จ ผมจะโปรยฟางข้าวไรย์และข้าวบาร์เลย์ลงคลุมพื้นที่นา
ผมคิดว่าการใช้วิธีปลูกข้าวเจ้าและธัญพืชฤดูหนาวแบบเดียวกัน เป็นวิธีการเฉพาะของการทำเกษตรกรรมชนิดนี้ แต่มีวิธีที่ง่ายกว่านี้ ขณะที่เราเดินตัดไปยังที่นาแปลงถัดไป ผมจะชี้ให้ดูข้าวเจ้าที่หว่านพร้อมกับธัญพืชฤดูหนาวเมื่อฤดูใบไม้ร่วงที่แล้ว การปลูกพืชหมุนเวียนตลอดทั้งปีในที่นาแปลงนั้น จะเสร็จสิ้นภายในวันขึ้นปีใหม่
คุณจะสังเกตเห็นว่ามีพืชคลุมดินจำพวกถั่ว และวัชพืชงอกอยู่ในที่นาเหล่านี้ด้วย พืชคลุมดินจำพวกถั่วจะถูกหว่านลงไปในระหว่างต้นข้าวในต้นเดือนตุลาคมก่อนการหว่านข้าวไรย์และบาร์เลย์เล็กน้อย ผมไม่ต้องยุ่งยากเกี่ยวกับการหว่านพืชคลุมดินเหล่านี้ เพราะว่ามันสามารถแพร่พันธุ์ได้เองอย่างง่ายดาย
ดังนั้นแบบแผนการปลูกพืชในที่นาจะเป็นเช่นนี้ พืชคลุมดินจำพวกถั่วจะถูกหว่านลงในระหว่างต้นข้าวในตอนต้นเดือนตุลาคม ธัญพืชฤดูหนาวจะถูกหว่านตามลงไปในตอนกลางเดือน พอต้นเดือนพฤศจิกายนข้าวเจ้าก็สามารถเก็บเกี่ยวได้ หลังจากนั้นข้าวเจ้าสำหรับปีต่อไปก็จะถูกหว่านลงในที่นา และฟางข้าวหลังเก็บเกี่ยวจะถูกนำมาโปรยคลุมที่นาเอาไว้ ข้าวไรย์และบาร์เลย์ที่คุณแลเห็นอยู่นี้ก็เติบโตขึ้นมาด้วยวิธีดังกล่าว
ในการดูแลที่นาขนาด ๑/๔ เอเคอร์ (๐.๖ ไร่) แรงงานคนเพียง ๑ หรือ ๒ คนก็เพียงพอที่จะทำงานทั้งหมด ในการปลูกข้าวเจ้าและธัญพืชฤดูหนาวให้แล้วเสร็จภายในเวลาไม่กี่วัน คงจะไม่มีวิธีเพาะปลูกอื่นใดที่ง่ายยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว
วิธีการนี้มีลักษณะที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับเทคนิคทางเกษตรกรรมแผนใหม่ มันได้โยนความรู้ทางวิทยาศาสตร์และความรู้ในการเพาะปลูกแบบพื้นบ้านทิ้งไปเสียสิ้น วิธีการเพาะปลูกชนิดนี้ ไม่ต้องใช้เครื่องจักร ไม่ต้องอาศัยปุ๋ยและสารเคมี แต่สามารถให้ปริมาณผลผลิตเท่ากับหรือมากกว่าผลผลิตจากที่นาโดยเฉลี่ยในญี่ปุ่น ซึ่งมีหลักฐานให้เห็นประจักษ์แก่ตา
-
๑.๒
โลกนี้ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร
มีคนถามผมว่าเหตุไฉนผมจึงเลือกทำเกษตรกรรมวิธีนี้เมื่อหลายปีก่อน จวบจนบัดนี้ผมยังไม่เคยพูดคุยกับใครถึงเรื่องราวเหล่านี้มาก่อน อาจจะกล่าวได้ว่า ไม่มีทางที่จะพูดถึงเรื่องราวเช่นนี้ได้ มันเป็นเรื่องสามัญธรรมดา คุณจะพูดอย่างไรล่ะ เป็นอาการช็อก ความกระจ่างที่แวบขึ้นมาฉับพลัน ประสบการณ์เล็ก ๆ เรื่องหนึ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด
ความประจักษ์แจ้งนั้นได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของผมอย่างสิ้นเชิง มันไม่ใช่สิ่งที่คุณจะสามารถสื่อมันออกมาได้อย่างแท้จริงหรอก แต่ถ้าจะพูดก็อาจจะพูดได้ในทำนองที่ว่า "มนุษย์ไม่รู้อะไรเลย ไม่มีคุณค่าอันเป็นเนื้อแท้ของสิ่งใด ๆ การกระทำทุกชนิดล้วนหาคุณค่าไม่ได้ เป็นความพยายามที่ไร้ความหมาย" นี้อาจจะดูเป็นเรื่องวิตถาร ผิดวิสัย แต่หากว่าคุณจะสื่อมันเป็นคำพูด มันก็เป็นทางเดียวที่จะอธิบายออกมาได้
"ความคิด" นี้พัฒนาขึ้นอย่างฉับพลันในหัวสมองของผม เมื่อครั้งที่ผมยังหนุ่มมาก ผมไม่รู้ว่าความกระจ่างแจ้งภายในนี้ ที่ว่าความเข้าใจและความพยายามทั้งหมดของมนุษย์เป็นสิ่งไร้ประโยชน์ และไร้ความหมายนี้จะถูกต้องหรือไม่ แต่ถ้าผมตรวจสอบความคิดเหล่านี้ และพยายามที่จะกำจัดมัน ผมไม่อาจจะหาข้อที่จะมาคัดค้านความคิดนี้ได้ มันกลับเป็นความเชื่อที่ลุกโชติช่วงในตัวผม
ความเชื่อโดยทั่วไปมักจะเป็นไปในทำนองว่า ไม่มีสิ่งใดที่จะวิเศษยิ่งกว่าเชาว์ปัญญาของมนุษย์ (human intelligence) มนุษย์เป็นนฤมิตกรรมของคุณค่าอันพิเศษ ทั้งความสำเร็จและประดิษฐกรรมของมนุษย์ ซึ่งสะท้อนอยู่ในวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ก็เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ นี้เป็นความเชื่อโดยสามัญทั่วไป และเนื่องจากสิ่งที่ผมคิดนั้นเป็นการปฏิเสธความเชื่อดังกล่าว ผมจึงไม่สามารถจะสื่อสารทัศนะของผมกับใครได้ ในที่สุดผมตัดสินใจที่จะทำให้ความคิดของผมปรากฏเป็นรูปธรรม ด้วยการนำมาปฏิบัติ และเพื่อจะได้ตัดสินว่าความเข้าใจของผมนั้นถูกหรือผิดกันแน่ การใช้ชีวิตในการทำเกษตรกรรม ปลูกข้าวและธัญพืชฤดูหนาว นี้คือแนวทางที่ผมเลือก
แล้วประสบการณที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผมล่ะ คืออะไรกัน?
เมื่อ ๔๐ ปีก่อน ตอนผมอายุ ๒๕ ปี ผมทำงานอยู่ในกรมศุลกากรแห่งเมืองโยโกฮาม่า ในแผนกวิจัยพืช งานหลักของผมคือการตรวจสอบหาแหล่งที่เป็นพาหะของโรคพืชจากพันธุไม้ต่าง ๆ ที่จะนำเข้าและส่งออก ผมโชคดีที่มีเวลาว่างมาก ในช่วงนั้นจึงมักจะหมกตัวอยู่ในห้องวิจัยทดลอง ทำการทดลองเกี่ยวกับพยาธิสภาพของพืช ซึ่งเป็นสิ่งทีผมมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ สถานีวิจัยนี้ตั้งอยู่ใกล้กับสวนสาธารณะยามาเตะ และถ้ามองจากหน้าผาลงไปก็จะแลเห็นท่าเรือโยโกฮาม่า ตรงข้ามกับตัวอาคารเป็นโบสถ์คาธอลิค และทางด้านตะวันออกเป็นที่ตั้งของโรงเรียนสตรี สถานที่แห่งนี้มีความสงบเงียบมาก เป็นสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการทำวิจัย
นักวิจัยด้านพยาธิวิทยา (pathology) ในสถานีวิจัยแห่งนี้คือคุณเออิชิ คุโรซาว่า ผมศึกษาพยาธิวิทยาเกี่ยวกับพืชจากคุณมาโคโตะ โอเคร่า ซึ่งเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่วิทยาลัยเกษตรกรรมแห่งกิฟุ และรับการอบรมจากคุณซูฮิโกะ อิกาตะที่สถานีวิจัยทางเกษตรกรรมแห่งจังหวัดโอคายาม่า
ผมโชคดีมากที่เป็นลูกศิษย์ของศาสตราจารย์คุโรซาว่า แม้ว่าท่านจะไม่เป็นที่รู้จักกันกว้างขวางนักในวงวิชาการ แต่ท่านก็เป็นผู้ที่แยกเชิ้อราที่ก่อให้เกิดโรคบาคานาเอะ* ในต้นข้าวเจ้า และเลี้ยงด้วยวิธีการเพาะเชื้อ ท่านเป็นบุคคลแรกที่สกัดฮอร์โมนเพิ่มการเจริญเติบโตในพืชชื่อจิบเบเรลลิน (gibberellin)** จากการเพาะเลี้ยงเชื้อราชนิดนี้ เมื่อข้าวกล้าดูดซึมฮอร์โมนนี้เข้าไปเพียงจำนวนเล็กน้อย จะมีผลประหลาดคือทำให้ต้นข้าวเจริญเติบโตสูงผิดปกติ แต่เมื่อให้ฮอร์โมนในปริมาณที่มากกว่าปกติ มันกลับให้ผลในทางตรงกันข้าม คือทำให้ข้าวเจริญเติบโตช้าลง ในญี่ปุ่นไม่มีใครสนใจการค้นพบนี้ แต่ในต่างประเทศเรื่องนี้กลับเป็นประเด็นที่คนให้ความสนใจในการทดลองวิจัยอย่างมาก และหลังจากนั้นไม่นานชาวอเมริกันก็ใช้ประโยชน์จากจิบเบเรลลินในการพัฒนาองุ่นที่ไม่มีเมล็ด
ผมนับถือคุณคุโรซาว่าเหมือนกับพ่อแท้ ๆ ของผม และอาศัยการแนะนำของท่าน ผมได้ประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์แบบแยกส่วน และทุ่มเทเวลาให้กับการวิจัยหาสาเหตุของโรคเน่าในลำต้น กิ่งก้าน และผลของส้มในอเมริกาและในญี่ปุ่น
ผมเฝ้าสังเกตการเจริญเติบโตของเชื้อราผ่านกล้องจุลทรรศน์ และเห็นว่าการนำเอาชนิดพันธุ์ของเชื้อราที่ต่างกันมาผสมพันธุ์กัน จะทำให้เกิดพันธุ์ใหม่ ๆ ที่ก่อให้เกิดโรคแตกต่างกัน ผมเพลิดเพลินอยู่กับงานของผม งานของผมนี้ต้องการความจดจ่อที่ต่อเนื่องมาก ทำให้มีบางครั้งที่ผมลืมตัวไปเลยในขณะทำงานอยู่ในห้องทดลอง
ในขณะเดียวกันนั้นก็เป็นช่วงเวลาแห่งวัยหนุ่มที่มีจิตใจคึกคะนอง ผมไม่ได้ใช้เวลาทั้งหมดอยู่แต่ในห้องทดลอง คงไม่มีที่ใดที่น่าเดินเล่นหาความเพลิดเพลินยิ่งไปกว่าบริเวณท่าเรือของเมืองโยโกฮาม่า และในช่วงเวลานั้นเองเหตุการณ์ฉากหนึ่งก็ได้เกิดขึ้น ขณะที่ผมกำลังเดินทอดน่องไปตามบริเวณท่าจอดเรือ พร้อมด้วยกล้องถ่ายรูปในมือ
ฉับพลันนั้นผมก็เหลือบไปพบหญิงสาวที่งดงามผู้หนึ่ง ผมคิดว่าเธอจะทำให้องค์ประกอบของภาพถ่ายนั้นวิเศษมาก จึงเข้าไปขอถ่ายรูปเธอ ผมพาเธอขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือที่จอดทอดสมออยู่บริเวณนั้น จัดท่าให้เธอหันไปทางโน้นที ทางนี้ที และถ่ายรูปเธอไว้มากมายหลายท่า เธอขอให้ผมส่งรูปไปในเธอด้วย เมื่อผมถามว่าจะให้ส่งไปที่ไหน เธอเพียงแต่บอกว่า "ที่โอฟุนา" และก็จากไปโดยไม่ได้บอกชื่อของเธอ
หลังจากที่ผมล้างอัดรูปเสร็จ ผมก็นำรูปของเธอมาให้เพื่อนดูและถามเพื่อนว่ารู้จักเธอหรือไม่ เพื่อนดูรูปแล้วก็บอกว่า "เธอคือ ไมเอโกะ ทาคามิเนะ ดาราภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง" ผมรีบส่งรูป ๑๐ ใบไปให้เธอที่เมืองโอฟุนา หลังจากนั้นไม่นานรูปที่ผมส่งไปถูกส่งกลับมาทางไปรษณีย์ที่จ่าหน้าซองด้วยลายมือเขียน แต่มีอยู่รูปหนึ่งหายไป เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ในเวลาต่อมา ผมก็พบว่ารูปที่หายไปเป็นรูปที่ถ่ายระยะใกล้จนสามารถแลเห็นริ้วรอยย่นบางแห่งบนใบหน้าของเธอ อย่างไรก็ตามผมก็รู้สึกดีใจที่ได้แลเห็นแวบหนึ่งในความงามของสตรี
ผมมักจะไปที่โรงเต้นรำบริเวณนันคินไกอยู่เสมอ แม้ว่าจะรู้สึกเคอะเขินอยู่บ้าง ครั้งหนึ่งผมพบกับนักร้องชื่อดังคนหนึ่งคือ คุณโนริโกะ อาวาย่า ผมเคยไปขอเต้นรำกับเธอ ผมไม่มีวันลืมความรู้สึกจากการเต้นรำครั้งนั้นได้เลย เพราะว่าร่างของผมถูกโอบอยู่ด้วยร่างกายอันมหึมาของเธอ ที่แม้แต่แขนของผมก็ไม่สามารถโอบได้รอบเอวของเธอด้วยซ้ำ
จะอย่างไรก็ตาม ผมก็เป็นคนหนุ่มที่ยุ่งเหยิงไปด้วยธุระการงาน แต่ก็โชคดีมากในเวลาเดียวกัน ผมใช้เวลาวัน ๆ อยู่กับความน่าตื่นตาตื่นใจในโลกของธรรมชาติที่มองเห็นผ่านเลนส์กล้องจุลทรรศน ถูกสะกดด้วยความรู้สึกว่าไฉนโลกอันกระจิริดจึงช่างละม้ายเหมือนโลกแห่งจักรวาลอันไร้ขอบเขต ในยามเย็นไม่ว่าจะตกอยู่ในห้วงรักหรือไม่ก็ตาม ผมมักจะออกเที่ยวหาความเพลิดเพลินให้กับตัวเองเสมอ ผมคิดว่าชีวิตที่ไร้เป้าหมายเช่นนี้ บวกกับความอ่อนล้าจากการตรากตรำกับงานมากเกินไป ทำให้ผมเป็นลมล้มฟุบลงไปในห้องทดลอง จากการวินิจฉัยพบว่าผมเป็นโรคปอดอักเสบเฉียบพลัน ผมถูกจัดให้นอนพักรักษาตัวอยู่ในห้องพิเศษบนชั้นสูงสุดในโรงพยาบาลตำรวจ
ขณะนั้นเป็นฤดูหนาว ลมได้พัดหอบเอาละอองหิมะเข้ามาในห้องผ่านทางช่องหน้าต่างที่กระจกแตก ร่างกายภายใต้ผ้าห่มนั้นอบอุ่น แต่ใบหน้าของผมเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง นางพยาบาลเข้ามาวัดอุณหภูมิชั่วครู่แล้วก็กลับออกไป
เนื่องจากเป็นห้องพิเศษ จึงไม่ค่อยมีใครโผล่เข้ามาดู ผมรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งให้อยู่ในความหนาวเย็นอันขมขื่น และในทันใดก็หลุดเข้าไปยังโลกแห่งความอ้างว้างโดดเดี่ยว ผมพบว่าตัวเองต้องเผชิญหน้ากับความกลัวตาย เมื่อผมมาหวนคิดถึงมันในขณะนี้ ผมพบว่ามันเป็นความกลัวที่ไร้ประโยชน์จริง ๆ แต่ในขณะนั้นมันเป็นเรื่องจริงจังสำหรับผมมาก
ในที่สุดผมก็ออกจากโรงพยาบาล แต่ผมไม่อาจดึงตัวเองออกจากความรู้สึกหดหู่ใจได้เลย ที่ผ่านมาความมั่นใจของผมเกิดจากอะไรกันหนอ ผมไม่เคยแยแสใส่ใจ มีแต่ความพึงพอใจ แต่อะไรคือธรรมชาติของความพึงพอใจนั้นล่ะ ผมปวดร้าวทรมานอยู่กับความสงสัยเกี่ยวกับธรรมชาติของชีวิตและความตาย ผมไม่สามารถข่มตาหลับได้เลย ทั้งไม่มีกระจิตกระใจจะทำงานด้วย ในยามค่ำคืน ผมจะเดินเตร็ดเตร่ไปตามเชิงผาและริมอ่าว ความวิตกกังวลยังคงเกาะกุมจิตใจของผมอยู่ไม่เสื่อมคลาย
คืนหนึ่งขณะที่เดินเตร็ดเตร่อย่างไร้จุดหมาย ผมก็ทรุดกายลงด้วยความเหนื่อยอ่อนบนเนินเขาเหนืออ่าว ในที่สุดก็เอนหลังพิงกับไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ผมนอนอยู่ที่นั่นในลักษณะครึ่งหลับครึ่งตื่นจนรุ่งสาง ผมยังจำได้ดีว่าเช้าวันนั้นเป็นวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ในอาการสะลึมสะลือผมแลเห็นแสงสว่างค่อย ๆ เรืองรองขึ้นทีละน้อยที่ริมอ่าว ในขณะที่ดวงตะวันยังไม่ทันโผล่พ้นจากทะเล เมื่อลมอ่อน ๆ โบกพัดมาจากหุบผาเบื้องล่าง หมอกยามเช้าก็พลันสลายตัวไป
ในทันใดนั้น นกกระสากลางคืนก็ปรากฏกายขึ้น ส่งเสียงร้องแหลม และบินลับจากสายตาไปผมสามารถได้ยินเสียงกระพือปีกของมัน ในชั่วขณะนั้นเอง หมอกมัวแห่งความขุ่นข้องสับสนและความลังเลสงสัยของผมก็ปลาสนาการไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเคยยึดถืออย่างเหนียวแน่น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเคยเชื่อมั่นเป็นปกติวิสัยล้วนสลายไปกับสายลม ผมรู้สึกว่าผมเข้าใจเรื่อง ๆ หนึ่งขึ้นมา ผมถึงกับหลุดคำพูดออกมาโดยไม่ได้คิดมาก่อนว่า
"ในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารเลยหนอ...."
ผมรู้สึกขึ้นมาว่าผมไม่ได้เข้าใจอะไรเลย***
ผมแลเห็นได้ว่าบัญญัติ (concepts) ทั้งหลายแหล่ที่ผมเคยยึดถือ ความคิดความเข้าใจเกี่ยวกับความมีอยู่ โดยตัวมันเอง ล้วนเป็นโครงอันว่างเปล่า จิตใจของผมโปร่งเบา และใสกระจ่าง ผมกระโดดโลดเต้นด้วยความร่าเริง ผมได้ยินเสียงนกเล็ก ๆ ร้องจุ๊กจิ๊กอยู่ในพุ่มไม้ และแลเห็นเกลียวคลื่นสะท้อนประกายแสงอรุณอยู่ลิบ ๆ ใบไม้พลิ้วทอประกายเขียวเลื่อมพราย ผมรู้ดีกว่านี่คือสรวงสวรรค์อันแท้จริงบนพื้นพิภพ ความปวดร้าวทรมานใจทั้งหลายแหล่ที่เกาะกุมใจผมล้วนแต่ปลาศนาการไปดุจความฝันและมายาภาพ และสิ่งหนึ่งที่เราอาจเรียกมันว่า "ธรรมชาติที่แท้" ก็ได้ปรากฏตัวออกมาอย่างเปิดเผย
ผมคิดว่าคงจะพูดได้ว่า นับแต่ประสบการณ์ในเช้าวันนั้นแล้ว ชีวิตของผมได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
แม้จะมีความเปลี่ยนแปลง แต่ผมก็ยังคงเป็นคนบ๊อง ๆ เมื่อเทียบกับคนอื่น และนี่ไม่เคยเปลี่ยนเลยจากเวลานั้นจนถึงปัจจุบัน มองจากภายนอกคงจะไม่มีใครที่ดูราบเรียบไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษเช่นผม และไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของผม แต่ความมั่นใจที่ผมได้รู้สิ่งนั้นไม่เคยเปลี่ยนเลยนับจากเวลานั้น ผมได้ใช้เวลา ๓๐-๔๐ ปีในการทดสอบว่าผมเข้าใจผิดหรือไม่ แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่ผมสามารถหาหลักฐานมาหักล้างความเชื่อมั่นนั้นได้ ซึ่งได้แสดงออกด้วยการที่ผมดำเนินชีวิตเช่นนี้มา
ความประจักษ์แจ้งนี้ในตัวมันเองเป็นสิ่งมีคุณค่ามาก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ผมผูกติดอยู่กับคุณค่าพิเศษอะไรอยู่ ผมยังเป็นคนธรรมดา ๆ จะพูดว่าเหมือนอีกาแก่ตัวหนึ่งก็คงได้ สำหรับคนที่สังเกตอยู่ห่าง ๆ ผมอาจจะดูเหมือนคนอ่อนน้อมถ่อมตน หรือไม่ก็คงหยิ่งยโสจองหองก็ได้ ผมเตือนหนุ่มสาวที่อยู่ในไร่นาของผมเสมอว่า อย่าพยายามเลียนแบบผม และผมก็โกรธจริง ๆ ด้วยถ้ามีใครไม่ใส่ใจในคำแนะนำของผม ดังที่ผมต้องการคือให้เขาทั้งหลายอยู่กับธรรมชาติและใช้ชีวิตกับงานการประจำวัน ไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับตัวผมหรอก แต่สิ่งที่ผมแลเห็นต่างหากที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง
--------------------------------------------------------------------------------
*เป็นโรคข้าวชนิดหนึ่งเกิดจากเชื้อราชื่อ Glbberella Fujikuroi wol ลักษณะเด่นคือปล้องของต้นข้าวที่เป็นโรคนี้จะยืดยาวกว่าต้นที่ไม่ได้เป็นโรค ไทยเรียกว่าโรคถอดฝักดาบ : ผู้แปล
**เป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่งซึ่งพบมากในส่วนที่กำลังเจริญเติบโต เช่น ในเมล็ดอ่อน ยอดอ่อนและปลายราก มีผลในการกระตุ้นความเจริญเติบโตของพืช เป็นฮอร์โมนที่พบทั้งในพืชชั้นสูงและพืชชั้นต่ำ : ผู้แปล
*** "การไม่เข้าใจอะไรเลย" ในความหมายนี้ คือการตระหนักถึงความไม่สมบูรณ์ของความรู้ในระดับพุทธิปัญญา (lntellectual knowledge)
-
๑.๓
กลับสู่ชนบท
วันรุ่งขึ้นที่ ๑๖ พฤษภาคม ผมกลับไปยังที่ทำงานและประกาศลาออกจากงานในทันที ผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงานของผมต่างพากันประหลาดใจและไม่อาจเข้าใจการกระทำเช่นนี้ได้ พวกเขาจัดงานเลี้ยงอำลาให้ผมในภัตตาคารเหนือท่าจอดเรือ แต่บรรยากาศออกจะพิกลอยู่ ชายหนุ่มผู้นี้แต่ไหนแต่ไรมาเคยเป็นคนเข้ากับใครต่อใครได้อย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งดูเหมือนจะไม่เคยรู้สึกไม่พอใจงานที่ตนทำ ในทางตรงกันข้าม เขาได้ทุ่มเทให้กับงานวิจัยด้วยชีวิตจิตใจทั้งหมด แต่จู่ ๆ ก็ประกาศลาออกจากงานในทันทีทันใด ทั้งผมยังหัวเราะอย่างมีความสุขอีกด้วย
ตอนนั้นผมกล่าวกับทุกคนว่า
"ฝั่งนี้คือท่าจอดเรือ และฝั่งโน้นก็คือสะพานจอดเรือที่ ๔ หากคุณคิดว่าชีวิตอยู่ฝั่งนี้ ความตายก็จะอยู่ฝั่งโน้น หากคุณต้องการกำจัดความคิดเกี่ยวกับความตาย คุณก็ต้องกำจัดความคิดที่ว่ามีชีวิตอยู่ฝั่งนี้ออกไปด้วย เพราะชีวิตและความตายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน"
เมื่อผมกล่าวคำพูดเหล่านั้นออกมา ทุกคนก็ยิ่งพากันเป็นห่วงผมมากขึ้น
"เขาพูดอะไรน่ะ เขาต้องเสียสติไปแล้วแน่ ๆ" พวกเขาคงต้องคิดเช่นนี้ พวกเขาพากันมองดูผมด้วยใบหน้าสลด มีผมเพียงคนเดียวที่เดินอย่างกระฉับกระเฉงด้วยท่าทีร่าเริงสบายใจ
ในเวลานั้น เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งของผมมีความวิตกกังวลห่วงใยผมมาก และแนะนำให้ผมไปพักผ่อนเงียบ ๆ สักระยะที่ฝั่งทะเลโบโซ ผมก็เลยไป ตอนนั้นผมไปทุกที่ที่มีคนแนะนำให้ไป ผมขึ้นรถประจำทางไปเป็นระยะทางหลายไมล์ ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง แลดูท้องนาแปลงสี่เหลี่ยมเหมือนตาหมากรุกและหมู่บ้านเล็ก ๆ ตามเส้นทางถนนหลวง เมื่อรถจอดที่สถานีหนึ่งผมแลเห็นป้ายเล็ก ๆ แผ่นหนึ่ง อ่านได้ความว่า "เมืองในฝัน" ผมรีบลงจากรถและก็ออกเดินหาสถานที่นั้น
ผมพบโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ อยู่บริเวณชายฝั่งทะเล ขณะที่ปีนขึ้นทางหน้าผาผมก็พบสถานที่ที่มีทิวทัศน์งดงามอย่างยิ่ง ผมพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งนั้น และใช้เวลาเป็นวัน ๆ หมดกับการเอนกายเคลิ้มหลับอยู่ในพงหญ้าสูงซึ่งมองลงไปแลเห็นทะเล อาจจะเป็นเวลาหลายวัน เป็นอาทิตย์ หรือเป็นเดือน ที่ผมอยู่ที่นั่น ผมไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ เอาเป็นว่าผมได้พักอยู่ที่นั่นระยะหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไป ความร่าเริงเบิกบานของผมก็ค่อย ๆ อาจคลายลง ผมเพิ่งจะเริ่มรู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้น คุณอาจจะพูดว่า ในที่สุดผมก็กลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง
ผมกลับไปโตเกียว และพักอยู่ที่นั่นระยะหนึ่ง ใช้เวลาให้หมดไปวัน ๆ กับการเตร็ดเตร่อยู่ในสวนสาธารณะ พูดคุยกับคนบนท้องถนน ไปนอนที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง เพื่อนผมเป็นห่วงมากและแวะมาดูว่าผมเป็นอย่างไรบ้าง เขาถามว่า
"นี่คุณไม่ได้หลงอยู่ในโลกของความสนุกหรือโลกแห่งมายาอะไรสักอย่างหรือ"
"ไม่" ผมตอบ "คุณต่างหากเล่าที่อยู่ในโลกของความฝัน"
เราทั้งคู่ต่างคิดว่า "ฉันถูกและคุณต่างหากที่อยู่ในโลกของความฝัน"
เมื่อเพื่อนบอกอำลา ผมก็ตอบเขาในทำนองนี้ว่า
"อย่าพูดว่าลาก่อน การจากก็คือการจาก"
ดูเหมือนเพื่อนจะรู้สึกหมดหวังในตัวผม
ผมเดินทางออกจากโตเกียวผ่านมณฑลคันไซ* และไปจนถึงใต้สุดที่กิวชิวผมรู้สึกเพลิดเพลินกับการเร่ร่อนจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งเหมือนกับสายลม ผมเที่ยวได้ท้าทายใครต่อใครถึงความเชื่อมั่นของตนเองที่ว่า ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนไร้ความหมาย และปราศจากคุณค่า และสรรพสิ่งกลับคืนสู่ความว่าง
แต่นี่อาจจะมากเกินไป หรือน้อยเกินไป สำหรับโลกทุกวันนี้ที่จะเข้าใจ ถึงอย่างไรก็ตาม ก็ไม่มีวิธีที่จะสื่อสาร ผมคิดแต่เพียงว่าความคิดเกี่ยวกับความไร้ประโยชน์นี้ เป็นสิ่งที่มีคุณประโยชน์ยิ่งใหญ่ต่อโลกมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโลกปัจจุบันที่กำลังเคลื่อนไปในทิศทางตรงกันข้ามอย่างรวดเร็ว ผมตั้งใจจะท่องเที่ยวไปให้ทั่วประเทศเพื่อประกาศถึงความเชื่อนี้ แต่ผลลัพธ์ก็คือไม่ว่าที่ไหนที่ผมไป ผมไม่เคยได้รับการใส่ใจจากผู้คน เพราะพวกเขาคิดว่าผมเป็นคนไม่เต็มเต็ง ผมจึงตัดสินใจกลับไปบ้านนาของพ่อในชนบท
พ่อผมทำสวนส้มอยู่ในตอนนั้น ผมย้ายเข้าไปอยู่อาศัยในกระท่อมบนภูเขาและใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายที่นัน ผมคิดว่าถ้าผมเป็นเกษตรกรอยู่ที่นี่ ผมก็จะสามารถทำให้ความจริงที่ผมได้ค้นพบเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้จริง ดังนั้นอาจจะทำให้สัจจะที่ผมค้นพบเป็นที่ยอมรับได้ การปฏิบัติตามความเชื่อนี้ จะไม่เป็นวิธีที่ดีกว่าการอธิบายด้วยคำพูดเป็นร้อย ๆ ครั้งละหรือ เกษตรกรรมแบบ "ไม่กระทำ"** เริ่มต้นขึ้นบนฐานของความคิดนี้ ขณะนั้นเป็นปีที่ ๑๓ ของรัชกาลปัจจุบันซึ่งตรงกับปี พ.ศ. ๒๔๘๑
ผมปักหลักอยู่ที่นั่นและทุกอย่างก็ดำเนินไปด้วยดี จนกระทั่งพ่อวางมือมอบให้ผมดูแลสวนส้มที่ให้ผลดีมากสวนนั้น พ่อได้ตัดแต่งกิ่งส้มให้เป็นพุ่มคล้ายรูปถ้วยสาเก เพื่อให้การเก็บผลส้มทำได้ง่าย เมื่อผมปล่อยทิ้งไว้ในสภาพนั้นผลก็คือ กิ่งก้านของต้นส้มแตกแขนงซ้อนไขว้กันไปมาอย่างไม่มีระเบียบ แมลงก็รวมกันเข้ามาทำลาย และในที่สุดสวนส้มขนัดนั้นก็เฉาตายไปในเวลาไม่นานนัก
ความเชื่อของผมคือพืชพันธุ์ไม้ทั้งหลายจะเติบโตของมันเอง และไม่มีความจำเป็นที่ต้องเข้าไปแทรกแซงการเจริญเติบโตของมัน ผมได้ทำตามความเชื่อที่ แต่ผมก็พบว่าหากเรานำเอาความคิดนี้มาปฏิบัติในทันทีทันใด ย่อมจะประสบความล้มเหลว เพราะนี่เป็นการปล่อยปละละเลย ไม่รับผิดขอบ ไม่ใช่เกษตรกรรมธรรมชาติ
พ่อผมตกอกตกใจมากกับเหตุการณ์ครั้งนี้ ท่านบอกว่าผมต้องปรับปรุงตัวเองเสียใหม่ และให้หางานในเมืองทำไปพลาง ๆ ก่อน จนกว่าสติสัมปชัญญะจะกลับคืนมา จึงค่อยกลับบ้าน ในเวลานั้นพ่อผมเป็นผู้ใหญ่บ้าน และแลเห็นว่าชาวบ้านคงจะเข้ากับลูกชายไม่เต็มเต็มของท่านได้ยาก เห็นได้ชัดว่าผมเป็นพวกแผลง ๆ ที่ไม่สามารถเข้ากับผู้คนได้ อย่างการแยกตัวไปอยู่คนเดียวที่หลังเขา ยิ่งกว่านั้น ผมไม่ชอบการเป็นทหาร และในระหว่างนั้นสงครามกำลังทวีความรุนแรงขึ้นทุกที ผมจึงตัดสินใจหางานทำตามความประสงค์ของพ่ออย่างว่าง่าย ในเวลานั้นผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคยังมีอยู่น้อย สถานีทดลองในจังหวัดโคชิได้ยินชื่อเสียงเกี่ยวกับตัวผม จึงเสนอให้ผมมารับตำแหน่งหัวหน้านักวิจัยทางด้านควบคุมโรคพืชและแมลง ผมจึงตอบสนองความกรุณาของจังหวัดโคชิด้วยการทำงานอยู่ที่นั่นนานเกือบ ๘ ปี ในสถานีทดลองแห่งนี้ ผมยังเป็นทีปรึกษาของแผนกเกษตรกรรมวิทยาศาสตร์อีกด้วย นอกจากนี้ผมยังได้ทุ่มเทให้กับการวิจัยเพื่อเพิ่มผลผลิตทางอาหารในระหว่างสงคราม ในระหว่าง ๘ ปีนั้น ผมครุ่นคิดคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างเกษตรกรรมวิทยาศาสตร์และเกษตรกรรมธรรมชาติอยู่ตลอดเวลา เกษตรกรรมเคมีซึ่งอาศัยสติปัญญาของมนุษย์ มีกิตติศัพท์ในความเหนือกว่า คำถามที่ติดอยู่ในใจของผมตลอดเวลาก็คือ เกษตรกรรมธรรมชาติและสามารถยืนผงาดอย่างทัดเทียมกับวิทยาศาสตร์แผนใหม่ได้หรือไม่
เมื่อสงครามสิ้นสุดลง ผมก็รู้สึกเป็นอิสระอีกครั้งหนึ่ง และเดินทางกลับสู่บ้านเกิดเพื่อเริ่มต้นงานเกษตรที่นั่นใหม่
--------------------------------------------------------------------------------
* โอซาก้า โกเบ เกียวโต
** โดยคำพูดนี้ ฟูกูโอกะต้องการอธิบายถึงความง่ายโดยเปรียบเทียบกับวิธีอื่น การทำเกษตรกรรมวิธีนี้ต้องทำงานหนัก โดยเฉพาะในฤดูเก็บเกี่ยวแต่ก็น้อยกว่าวิธีแบบอื่น ว่าสรรพสิ่งควรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติของมัน
-
๑.๔
เกษตรกรรมแบบไม่กระทำ
ผมใช้ชีวิตอยู่ในไร่นาเป็นเวลากว่า ๓๐ ปี โดยติดต่อกับผู้คนและโลกภายนอกชุมชนที่ผมอยู่อาศัยน้อยมาก ในระหว่างหลายปีนั้น ผมมุ่งมั่นกับวิธีการทำการเกษตรที่เรียกว่า "ไม่กระทำ" อย่างจริงจัง
ตามปกติเมื่อเราคิดที่จะพัฒนาวิธีการอะไรสักอย่าง เรามักจะเริ่มต้นด้วยคำถามว่า "ลองวิธีนี้ดีไหม" หรือ "ลองวิธีนั้นดีไหม" การเริ่มต้นเช่นนี้จะทำให้เรามีเทคนิควิธีการที่หลากหลาย จากวิธีหนึ่งไปสู่อีกวิธีหนึ่ง นี่คือเกษตรกรรมแผนใหม่ ผลก็คือมักจะทำให้เกษตรกรมีเรื่องที่ต้องทำมากขึ้น
ผมทำตรงกันข้าม สิ่งที่ผมมุ่งหวังคือ การทำเกษตรด้วยวิธีที่เป็นธรรมชาติ* และน่าพึงพอใจ ซึ่งส่งผลให้งานง่ายขึ้นยิ่งกว่าหนักขึ้น วิธีคิดของผมก็คือ "ลองไม่ทำสิ่งนี้ดูซิ ลองไม่ทำสิ่งนั้นดูซิ" ผมได้มาถึงข้อยุติที่ว่า ไม่จำเป็นต้องไถพรวนดิน ไม่จำเป็นต้องใช้ปุ๋ยเคมี ไม่จำเป็นต้องทำปุ๋ยอินทรีย์ ไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลง เมื่อคุณปฏิบัติจริง ๆ ดู คุณจะพบว่ามีวิธีการทางเกษตรกรรมไม่กี่อย่างเท่านั้นที่มีความจำเป็น
เหตุผลที่เทคนิคใหม่ ๆ ของมนุษย์ดูจะมีความจำเป็น ก็เพราะว่าธรรมชาติได้สูญเสียความสมดุลไปมากแล้วจากเทคนิคทั้งหลายก่อนหน้านั้น จนทำให้ต้องพึ่งพิงและขึ้นอยู่กับเทคนิคพวกนั้น
เหตุผลข้อนี้ไม่เพียงแต่ใช้ได้กับเกษตรกรรมเท่านั้น แต่รวมถึงแง่มุมอื่น ๆ ของสังคมมนุษย์ด้วย แพทย์และยากลายเป็นสิ่งจำเป็นเมื่อคนเราก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เจ็บป่วยขึ้นมา การศึกษาในระบบโรงเรียนไม่มีคุณค่าที่แท้จริงแต่กลายเป็นสิ่งจำเป็น เมื่อคนเราสร้างเงื่อนไขให้คนต้องเป็นผู้ "มีการศึกษา" ขึ้นมา
ก่อนที่สงครามโลกจะสิ้นสุด ตอนนั้นผมไปทดลองกับสวนส้มของพ่อด้วยวิธีที่ผมคิดในตอนนั้นว่า คือ เกษตรกรรมธรรมชาติ ผมไม่ตัดแต่งกิ่งของต้นส้มอย่างที่พ่อเคยทำ และปล่อยให้สวนส้มทั้งขนัดนั้นเติบโตของมันไปตามลำพัง ผลปรากฏว่ากิ่งก้านที่งอกขึ้นใหม่ของต้นส้ม ซ้อนก่ายกันไปมาอย่างไม่เป็นระเบียบ ทั้งแมลงก็ยังพากันมารุมกิน จนในที่สุดสวนส้มเกือบ ๒ เอเคอร์ (๕ ไร่)ก็เหี่ยวเฉา และล้มตายไปหมด จากเวลานั้นเป็นต้นมาคำถามเกิดขึ้นในใจผมตลอดว่า "อะไรคือแบบแผนของธรรมชาติ"
กว่าที่จะได้คำตอบ ผมได้ทำให้ต้นไม้ต้องเหี่ยวตายไปอีกราว ๔๐๐ ต้น ในที่สุดผมคิดว่าผมสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่า "นี่คือแบบแผนของธรรมชาติ" เมื่อพืชพันธุ์ไม้ถูกทำให้ผิดจากธรรมชาติดั้งเดิมของมันไปแล้ว การตัดแต่งกิ่งใบ และการกำจัดแมลงศัตรูพืชก็กลายเป็นสิ่งจำเป็น เช่นเดียวกันสังคมมนุษย์ที่ชีวิตแยกขาดออกจากธรรมชาติ การศึกษาในโรงเรียนก็กลายเป็นสิ่งจำเป็น ในธรรมชาติการศึกษาด้วยระบบโรงเรียนเป็นสิ่งที่ไม่อาจใช้งานได้จริง
ในการเลี้ยงดูลูก พ่อแม่จำนวนมากได้กระทำความผิดพลาด เช่นเดียวกับที่ผมได้ทำต่อสวนส้มในครั้งแรกนั้น ยกตัวอย่างเช่น การสอนดนตรีให้กับเด็กเป็นสิ่งไม่จำเป็นดุจเดียวกับการตัดแต่งกิ่งใบของพันธุ์ไม้ หูของเด็กสามารถรับรู้เสียงดนตรีอยู่แล้ว เสียงพึมพำของสายน้ำ เสียงกบเขียดระงมอยู่ริมส่งน้ำ เสียงใบไม้แผ่วพลิ้วอยู่ในป่า เสียงของธรรมชาติเหล่านี้คือเสียงดนตรี เป็นดนตรีที่แท้ แต่เมื่อมีเสียงรบกวนมากมายที่เข้ามาก่อกวนโสตประสาท เด็ก ๆ จะสูญเสียความสามารถในการรับรู้ดนตรีที่ตรงและบริสุทธิ์เช่นนี้ไป ถ้าหากเราปล่อยไปเรื่อย ๆ เด็ก ๆ จะไม่สามารถได้ยินเสียงร้องของนกหรือเสียงลมพัดเป็นเสียงเพลงได้เลย และนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมการศึกษาเกี่ยวกับดนตรี จึงถือว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อพัฒนาการของเด็ก
เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้โสตประสาทบริสุทธิ์ และใสกระจ่าง แม้ว่าเขาอาจจะไม่สามารถเล่นไวโอลินหรือเปียโนด้วยทำนองที่ทันสมัยได้ แต่ผมก็ไม่คิดว่ามีความจำเป็นอะไรที่ต้องไปอบรมให้เด็กมีความสามารถในการฟังดนตรี หรือร้องเพลง ต่อเมื่อหัวใจเต็มเปี่ยมด้วยเสียงเพลงเท่านั้น จึงจะกล่าวได้ว่าเด็กคนนั้นมีพรสวรรค์ในทางดนตรี
เกือบทุกคนล้วนคิดว่า "ธรรมชาติ" เป็นสิ่งที่ดี แต่มีน้อยคนที่สามารถรับรู้ความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เป็นธรรมชาติและไม่เป็นธรรมชาติ หากว่าตาอ่อนของไม้ผลสักตาหนึ่งถูกตัดออกด้วยกรรไกร นั่นอาจเป็นต้นเหตุของความยุ่งยากที่ไม่อาจปล่อยทิ้งไว้โดยไม่แก้ไขได้ เมื่อปลูกพันธุ์ไม้ในรูปแบบเดิมตามธรรมชาติ กิ่งก้านของต้นไม้จะงอกสลับกันอย่างเป็นระเบียบออกมาจากลำต้น ทำให้ใบสามารถได้รับแสงอาทิตย์อย่างทั่วถึง หากว่าระเบียบของธรรมชาตินี้ถูกทำลายไป กิ่งก้านจะงอกออกมาอย่างสบสน และจะซ้อนก่ายกันไปมายุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ และใบที่ไม่ได้รับแสงอาทิตย์ก็จะเหี่ยวเฉาหลุดร่วงไป แมลงศัตรูพืชก็จะแพร่ระบาด และถ้าในปีต่อไปต้นไม้ไม่ได้ถูกตัดแต่งกิ่งใบอีกกิ่งก้านของต้นไม้ก็จะยิ่งเหี่ยวเฉาเพิ่มมากขึ้น
การเข้าไปแทรกแซงของมนุษย์ก่อให้เกิดสิ่งที่ผิดพลาดขึ้น และถ้าความเสียหายดังกล่าวถูกปล่อยทิ้งไว้โดยไม่แก้ไข จนผลร้ายนั้นสะสมมากเข้า คนเราก็จะต้องทุ่มเทความพยายามทั้งมวลเพื่อเข้าไปแก้ไขมัน หากการแก้ไขลุล่วงไปด้วยดี พวกเขาก็จะคิดว่าวิธีการเหล่านี้เป็นความสำเร็จอันงดงาม คนเรามักทำเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันก็เหมือนกับคนโง่ที่ปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านแล้วทำกระเบื้องบนหลังคาแตก พอฝนตกลงมา เพดานก็เริ่มเปื่อยและปล่อยน้ำฝนรั่วลงมา เขาก็จะรีบปีนขึ้นไปซ่อมหลังคา จากนั้นก็ดีอกดีใจที่เขาได้ค้นพบวิธีการแก้ปัญหาที่วิเศษมหัศจรรย์
นักวิทยาศาสตร์ก็เป็นเช่นเดียวกัน เขาคร่ำเคร่งกับการอ่านตำรับตำราทั้งวันทั้งคืน ซึ่งเป็นการบั่นทอนสายตาของตนและในที่สุดก็สายตาสั้น หากคุณนึกกังขาว่า อะไรหน้าที่ทำให้เขาถึงกับคร่ำเคร่งศึกษาอย่างจริงจังตลอดเวลาเช่นนั้น คำตอบก็คือเขาเป็นนักประดิษฐ์แว่นตาสำหรับคนสายตาสั้น
--------------------------------------------------------------------------------
* ทำการเกษตรด้วยวิธีเรียบง่ายที่สุด ด้วยการร่วมมือกับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติหรือเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ยิ่งกว่าที่จะเอาอย่างวิธีการแบบใหม่ที่มุ่งเพิ่มขยายเทคนิคที่ซับซ้อน ในการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติอย่างสิ้นเชิง เพื่อผลได้ของตัวมนุษย์เอง
-
๑.๕
กลับคืนสู่ต้นกำเนิด
ผมยืนพิงเคียวด้ามยาวในมือ หยุดพักงานในสวนชั่วขณะแล้วทอดสายตาจับจ้องอยู่ที่ภูเขาและหมู่บ้านเบื้องล่าง ผมเฝ้าสงสัยว่าเหตุไฉนปรัชญาของผู้คน จึงได้หมุนเร็วเสียยิ่งกว่าการแปรเปลี่ยนของฤดูกาล
เส้นทางที่ผมเลือกเดิน หรือการทำเกษตรกรรมแบบธรรมชาติ ซึ่งมักจะเป็นสิ่งแปลกประหลาดสำหรับผู้คนส่วนใหญ่นั้น เคยได้รับการกล่าวขวัญถึงในสมัยแรก ๆ ว่า เป็นปฏิกิริยาตอบโต้ความก้าวหน้าและการพัฒนาอย่างปราศจากความยั้งคิดของวิทยาศาสตร์ แต่ทั้งหมดที่ผมได้กระทำมา ด้วยการออกมาทำเกษตรในชนบท ก็เพียงเพื่อจะแสดงให้เห็นว่ามนุษย์ไม่รู้อะไรเลย เพราะโลกได้หมุนไปในทิศทางตรงกันข้ามด้วยพลังอันบ้าระห่ำนี่เอง ผมจึงดูเหมือนคนล้าหลัง แต่กระนั้นผมก็ยังเชื่อมั่นว่าหนทางที่ผมเลือกเดินเป็นหนทางที่มีเหตุมีผลอันสมควรมากที่สุดหนทางหนึ่ง
หลายปีที่ผ่านมานี้ คนที่หันมาสนใจการเกษตรกรรมธรรมชาติได้เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนว่าขีดจำกัดของการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ได้ปรากฏให้เห็นแล้ว ความลังเลสงสัยเริ่มเกิดขึ้น และเวลาสำหรับการกลับมากำหนดคุณค่าใหม่ได้มาถึง ดังที่เคยถูกมองว่าเป็นเรื่องโบราณคร่ำครึและล้าหลัง กลับกลายเป็นความก้าวหน้าที่เหนือกว่าวิทยาศาสตร์แผนใหม่ไปได้อย่างไม่คาดฝัน ทั้งนี้อาจจะดูแปลกประหลาดในตอนแรก แต่สำหรับผม ไม่เคยรู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดเลยแม้แต่น้อย
ผมได้พูดคุยกับศาสตราจารย์ อินูม่า แห่งมหาวิทยาลัยเกียวโตเมื่อไม่นานมานี้ว่า เมื่อพันปีที่แล้ว การทำเกษตรกรรมในญี่ปุ่นไม่มีการไถพลิกหน้าดิน จนกระทั่งมาถึงยุคสมัยโตกูกาว่า เมื่อราว ๓๐๐-๔๐๐ ปีที่ผ่านมา การไถหน้าดินตื้น ๆ ก็ถูกนำเข้ามาใช้ไนญี่ปุ่น การไถดินแบบลึกถูกนำเข้ามาในญี่ปุ่นพร้อมกับเกษตรกรรมแบบตะวันตก ผมกล่าวว่า การแก้ไขปัญหาในอนาคต คนรุ่นต่อไปจะกลับไปหาวิธีทำเกษตรกรรมแบบไม่ไถพลิกหน้าดินอีกครั้งหนึ่ง
การเพาะปลูกโดยไม่ไถพลิกหน้าดิน ในตอนแรกอาจจะดูเป็นการถอยหลังกลับไปสู่เกษตรกรรมแบบโบราณ แต่หลายปีที่ผ่านมา จากการทดลองในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัย และสถานีทดลองการเกษตรทั่วประเทศแสดงให้เห็นว่า วิธีทำเกษตรกรรมแบบนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด มีประสิทธิภาพ และเป็นวิธีที่ทันสมัยกว่าทุกวิธีในปัจจุบัน แม้ว่าวิธีทำเกษตรกรรมแบบนี้จะปฏิเสธวิทยาศาสตร์แผนใหม่ แต่วิธีการนี้ก็ได้ก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับแนวหน้าของพัฒนาการทางการเกษตรแผนใหม่
ผมได้เสนอวิธีทำเกษตรแบบหว่านเมล็ดข้าวเจ้าและธัญพืชฤดูหนาวลงไปโดยตรงในดินที่ไม่มีการไถพรวนในวารสารการเกษตรเมื่อประมาณ ๒๐ ปีก่อน จากนั้นเป็นต้นมา ก็มีการนำเนื้อหานี้ไปตีพิมพ์ และออกอากาศทางวิทยุและโทรทัศน์อยู่เสมอ เพื่อให้สาธารณชนได้รับรู้กันอย่างกว้างขวาง แต่ปรากฏว่าไม่มีใครให้ความสนใจเรื่องนี้มากนัก
มาบัดนี้ เรื่องราวกลับตาลปัตรไปโดยสิ้นเชิง คุณอาจกล่าวว่าตอนนี้เกษตรกรรมธรรมชาติได้กลายเป็นสิ่งน่านิยมอย่างที่สุด นักหนังสือพิมพ์ ศาสตราจารย์ และนักวิจัยทางเทคนิคพากันแห่มาเยี่ยมผมที่ไร่และกระท่อมบนเขา
แต่ละคนที่มาล้วนมีทัศนะที่แตกต่างกันไป ต่างคนต่างมองจากจุดยืนของตน และให้ความหมายต่อสิ่งที่แลเห็นแตกต่างกัน แล้วก็จากไป บางคนก็บอกว่ามันโบราณ บ้างก็ว่าล้าหลัง บางส่วนก็เห็นว่านี่คือความสำเร็จทางเกษตรกรรมขั้นสูงสุด และบางคนก็เรียกมันเป็นการเบิกทางสู่อนาคต โดยทั่วไปคนมักสนใจแต่เพียงว่าการทำเกษตรแบบนี้เป็นความก้าวหน้าของอนาคตหรือการย้อนกลับไปหาอดีตกันแน่ มีน้อยคนที่จะสามารถจับสาระได้อย่างถูกต้องว่า แท้จริงแล้วเกษตรกรรมธรรมชาติเกิดขึ้นจากศูนย์กลางแห่งพัฒนาการทางการเกษตรที่ไม่ไหลเลื่อน และไม่เปลี่ยนแปลง
ด้วยเหตุที่ผู้คนแยกตัวออกจากธรรมชาติ เขาจึงหมุนห่างออกจากศูนย์กลางนี้ไหลออกไปทุกที ในขณะเดียวกัน ความปรารถนาในการที่จะกลับคืนสู่ศูนย์กลางดังกล่าวก็ค่อยแสดงตัวขึ้น และความปรารถนาที่จะกลับมาหาธรรมชาติก็เกิดขึ้น แต่ถ้าหากว่าผู้คนยังคงคิดอยู่แค่การแสดงปฏิกิริยาโต้กลับ ด้วยการหมุนไปทางซ้ายทีขวาที โดยขึ้นอยู่กับเงื่อนไขเหตุปัจจัยอื่น ๆ ผลคือจะเป็นเพียงการเพิ่มพูนกิจกรรมให้เกิดมากขึ้นเท่านั้น จุดที่ไม่เคลื่อนไหวของต้นกำเนิดดั้งเดิม ยังอยู่นอกอาณาจักรแห่งสัมพันธภาพนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสังเกตเห็นและถูกมองผ่านไป ผมเชื่อว่าแม้ "การกลับสู่ธรรมชาติ" และกิจกรรมที่ต่อต้านมลภาวะ จะเป็นการกระทำที่น่ายกย่องเพียงไรก็ตาม แต่ก็มิได้นำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง ตราบใดที่การกระทำนั้น เป็นเพียงการแสดงออกถึงปฏิกิริยาต่อการพัฒนามากเกินไปในสมัยปัจจุบันเท่านั้น
ธรรมชาติไม่ได้เปลี่ยนแปลง แม้ว่าวิธีการมองดูธรรมชาติจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมายจากยุคหนึ่งสู่ยุคหนึ่ง แต่ไม่ว่ายุคใด เกษตรกรรมธรรมชาติจะยังคงเป็นต้นกำเนิดของเกษตรกรรมตลอดไป
-
๑.๖
สาเหตุที่เกษตรกรรมธรรมชาติไม่แพร่หลาย
ในระยะ ๒๐ หรือ ๓๐ ปีที่ผ่านมา วิธีการปลูกข้าวและธัญพืชฤดูหนาวแบบนี้ได้ผ่านการปฏิบัติทดลองในขอบข่ายที่กว้างขวาง ทั้งในด้านภูมิอากาศ และเงื่อนไขทางธรรมชาติ เกือบทุกจังหวัดในญี่ปุ่นได้ทำการทดลองเปรียบเทียบผลผลิตที่ได้จาก "การหว่านเมล็ดโดยตรงลงในดินที่ไม่มีการไถพรวน" และการปลูกข้าว ทั้งข้าวเจ้า ข้าวไรย์ และข้าวบาร์เลย์ด้วยวิธีแบบเดิมคือไถดินยกคันร่อง ผลจากการทดลองทั้งหมดทำให้เห็นชัดว่า เกษตรกรรมธรรมชาติสามารถนำมาใช้การได้อย่างกว้างขวางและทั่วไป
อาจจะมีผู้ถามว่า ถ้ายังงั้นเหตุใดความจริงในเรื่องนี้จึงไม่เป็นที่ปรากฏหรือแพร่หลายออกไป ผมคิดว่าเหตุผลข้อหนึ่งก็คือ โลกเราในปัจจุบันนี้ไดกลายเป็นโลกของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมากเกินไป จนผู้อื่นไม่อาจจะจับสาระของสิ่งใดสิ่งหนึ่งในฐานะแห่งความเป็นองค์รวมอันสมบูรณ์ของสิ่งนั้น ยกตัวอย่างเช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านป้องกันโรคแมลงศัตรูพืชผู้หนึ่งจากศูนย์ทดลองการเกษตรที่จังหวัดโคชิได้มาที่นาและถามผมว่า ทำไมจึงมีเพลี้ยจักจั่นข้าว(rice leaf hopper) น้อยมากในนาของผม ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้ใช้ยาฆ่าแมลงเลย จากการสังเกตสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในนาข้าว เขาพบว่าความสมดุลระหว่างแมลงชนิดต่าง ๆ และศัตรูตามธรรมชาติของแมลงเหล่านั้น รวมทั้งอัตราการขยายตัวของแมงมุม และอื่น ๆ ทำให้เพลี้ยจักจั่นข้าวในนาของผมมีน้อยกว่าที่พบในแปลงทดลองของศูนย์ ทั้ง ๆ ที่แปลงทดลองดังกล่าว ได้ฉีดพ่นยาฆ่าแมลงพิษร้ายแรงสารพัดชนิดอย่างนับครั้งไม่ถ้วนด้วยซ้ำ
ศาสตราจารย์ผู้นั้นรู้สึกประหลาดใจที่พบว่า ในขณะที่แมลงศัตรูพืชมีน้อย แต่ศัตรูตามธรรมชาติของแมลงกลับมีอยู่มากมายในนาข้าวของผม ยิ่งกว่าทีมีอยู่ในแปลงทดลองที่ได้พ่นยาปราบศัตรูพืชไว้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจได้ว่าสภาพเช่นนี้คงอยู่ได้ด้วยความสมดุลตามธรรมชาติที่เกิดจากชุมชนแมลงทีมีอยู่หลากหลายในที่นา เขาได้คำตอบว่า หากวิธีการของผมมีการนำไปปฏิบัติอย่างกว้างขวางแล้ว ปัญหาความเสียหายของพืชผลที่เกิดจากเพลี้ทั้งหลายก็จะสามารถแก้ไขได้ จากนั้นเขาก็รีบกลับขึ้นรถและกลับไปที่โคชิทันที
แต่ถ้าคุณถามว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านความอุดมสมบูรณ์ของดิน และผู้เชี่ยวชาญด้านพืชผลของศูนย์ทดลองนั้นเคยมาที่ไร่นาของผมหรือไม่ คำตอบก็คือ ไม่เลย พวกเขาไม่เคยมา และหากว่าคุณจะพยายามเสนอแนะในที่ประชุมว่าวิธีการเช่นนี้ หรือน่าจะเรียกว่าวิธีที่ปราศจากวิธีการ สมควรจะนำไปทดลองปฏิบัติในระดับกว้างแล้วละก็ ผมเดาได้เลยว่าเจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่ของศูนย์ทดลองจะกล่าวว่า "เสียใจครับ มันเร็วเกินไปที่จะทำเช่นนั้น ก่อนอื่นเราต้องทำวิจัยเกี่ยวกับแง่มุมต่าง ๆ ให้รอบด้านที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ ก่อนที่จะมาถึงการอนุมัติขั้นสุดท้าย" และมันต้องใช้เวลาหลายสิบปีกว่าที่จะได้ข้อสรุปออกมา
สภาพเช่นนี้เกิดขึ้นตลอดเวลา ผู้เชี่ยวชาญและนักเทคนิคมากมายจากทั่วประเทศได้มาที่ไร่นาแห่งนี้ มองดูที่นี่จากจุดยืนตามความชำนาญเฉพาะทางของแต่ละคน นักวิจัยเหล่านี้อย่างน้อยก็รู้ดีกว่าวิธีการดังกล่าวเป็นที่น่าพอใจถ้าเขาไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์น่าทึ่งแต่อย่างไร แต่ปรากฏว่าตลอดเวลา ๕-๖ ปีหลังจากที่ศาสตราจารยจากศูนย์ทดลองการเกษตรผู้นั้นได้แวะมาเยี่ยมดูนาของผมที่นี่ มีความเปลี่ยนแปลงน้อยมากในจังหวัดโคชิ ปีนี้แผนกเกษตรกรรมแห่งมหาวิทยาลัยคินคิได้ตั้งโครงการเกษตรกรรมธรรมชาติขึ้น โดยมีนักศึกษาจากหลายแผนกเข้าร่วมอยู่ในโครงการ และจะมาทำการทดลองปฏิบัติกันที่นี่ วิธีการนี้ดูจะเป็นก้าวอีกก้าวหนึ่งที่เข้ามาใกล้ขึ้น แต่ผมก็มีความรู้สึกว่า ก้าวต่อไปไปอาจกลายเป็นสองก้าวในทิศทางตรงข้ามก็ได้
ผู้เชี่ยวชาญโดยทั่วไปมักให้ความเห็นว่า "ความคิดพื้นฐานของวิธีการเช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่ดีอยู่หรอก แต่มันจะไม่เป็นการสะดวกขึ้นหรือ ถ้าจะใช้เครื่องจักรมาช่วยในการเก็บเกี่ยว" หรือ "ปริมาณผลผลิตจะไม่เพิ่มมากกว่าหรือ หากจะใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงในกรณีเฉพาะ หรือในเวลาที่แน่นอน" มักจะมีผู้ทีพยายามเอาเกษตรกรรมธรรมชาติ และเกษตรกรรมวิทยาศาสตร์มารวมเข้าด้วยกันอยู่เสมอ แต่วิธีคิดเช่นนี้เป็นการคิดที่พลาดจากประเด็นอย่างสิ้นเชิง เกษตรกรที่ก้าวไปสู่การประนีประนอมเช่นนี้ จะไม่สามารถวิพากษ์วิทยาศาสตร์ในระดับรากฐานได้อีกต่อไป
เกษตรกรธรรมชาติเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน และง่ายดาย ทั้งเป็นการแสดงให้เห็นถึงการกลับสู่ต้นกำเนิดเดิมของการเกษตร การก้าวพลาดออกนอกทางเพียงก้าวเดียวจากจุดตั้งต้นนั้นก็จะพาให้ก้าวผิดทางไปเลย
-
๑.๗
มนุษย์ไม่รู้จักธรรมชาติ
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผมเกิดความคิดขึ้นว่า ประเด็นของเรื่องนี้คงจะบรรลุผลหากบรรดานักวิทยาศาสตร์ นักการเมือง ศิลปิน นักปรัชญา นักการศาสนาและทุก ๆ คนที่ทำงานอยู่ในสาขาดังกล่าวจะมารวมกันยังที่นี้ มองออกไปยังทุ่งนาเหล่านี้ และถกเถียงหาข้อสรุปร่วมกันในเรื่องต่าง ๆ ผมคิดว่าถึงนี้จะเกิดขึ้นได้ เมื่อผู้คนสามารถแลเห็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขาของตน
นักวิทยาศาสตร์คิดว่าเขาสามารถเข้าใจธรรมชาติ นั่นคือฐานะบทบาทที่เขายึดถืออยู่ เพราะเขาเชื่อว่าเขาสามารถเข้าใจธรรมขาติ พวกเขาจึงพากันเข้าไปศึกษาธรรมชาติอย่างเป็นระบบ และใกล้ชิด และนำธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ แต่ผมคิดว่าความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติอยู่นอกขอบข่ายแห่งเชาวน์ปัญญาของมนุษย์
ผมมักพูดกับคนหนุ่มสาว ที่มาอยู่กับผมที่กระท่อมบนเขา เพื่อเรียนรู้งานเกี่ยวกับเกษตรกรรมธรรมชาติว่าใคร ๆ ก็สามารถมองเห็นต้นไม้บนเขาแห่งนี้ เขาสามารถแลเห็นใบเขียวขจีของมัน สามารถแลเห็นต้นข้าว เขาคิดว่าเขารู้ว่าสีเขียวนั้นคืออะไร การสัมผัสกับธรรมชาติทั้งกลางวันกลางคืน บางทีเขาอาจจะคิดว่าเขารู้จักธรรมชาติ แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาคิดว่า เขาเริ่มจะเข้าใจธรรมชาติก็แน่ใจได้เลยว่าเขากำลังเดินผิดทางแล้ว
ทำไมจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าใจธรรมชาติ สิ่งที่คิดว่าเป็นธรรมชาติเป็นเพียง "ความคิด" เกี่ยวกับธรรมชาติที่เกิดขึ้นในจิตใจของแต่ละคน ผู้ที่แลเห็นธรรมชาติที่แท้จริงคือเด็กน้อย เขาแลเห็นโดยปราศจากความคิด เป็นการแลเห็นอย่างตรงไปตรงมา และกระจ่างแจ้งแม้ว่า ชื่อของพันธุ์ไม้จะเป็นที่รู้จัก เช่นส้มแมนดารินในตระกูลส้ม ต้นสนในตระกูลไม้สน แต่สิ่งที่แลเห็นก็หาใช่รูปทีแท้จริงของธรรมชาติไม่
สิ่งที่แลเห็นในลักษณะแยกขาดจากส่วนทั้งหมดของมันไม่ใช่ของแท้
ผู้เชี่ยวชาญจากสาขาต่าง ๆ มาอยู่รวมกันและสังเกตต้นข้าวสักต้น ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคแมลงก็จะแลเห็นแต่โรคที่เกิดจากแมลง ผู้เชี่ยวชาญด้านธาตุอาหารของพืช (plant nutrition) ก็จะสังเกตแต่ความแข็งแรงของต้นข้าว นี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นเดียวกับสภาพการณที่เป็นอยู่ในเวลานี้
ยกตัวอย่างเช่น ผมพูดกับสุภาพบุรุษที่มาจากสถานีทดลอง ตอนที่เขากำลังศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเพลี้ยจักจั่นและแมงมุมในนาข้าวของผมว่า "ท่านศาสตราจารย์ครับ เมื่อท่านศึกษาเกี่ยวกับเรื่องแมงมุม ก็เท่ากับท่านสนใจศัตรูธรรมชาติของเพลี้ยจักจั่นเพียงชนิดเดียวในบรรดาศัตรูทั้งหมดของมัน ปีนี้ประชากรของแมงมุมขยายตัวมาก แต่ปีที่แล้วเป็นคางคก แต่ก่อนหน้านั้นกบจะมีมากกว่าสัตว์ชนิดอื่น มันมีลักษณะที่หลากหลายนับไม่ถ้วน"
เป็นไปไม่ได้ที่นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขา จะสามารถเข้าใจถึงบทบาทของสัตว์ที่กินสัตว์อื่นเป็นอาหารเพียงชนิดใดชนิดหนึ่งในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่แน่นอน ภายในระบบความสัมพันธ์ที่อิงอาศัยกันและกันอย่างซับซ้อนละเอียดอ่อนของแมลง มีบางฤดูที่ประชากรของเพลี้ยมีน้อยเพราะมีแมงมุมมาก มีบางครั้งที่ฝนตกมากกบก็จะกินแมงมุม แต่ถ้าหากฝนตกน้อยก็จะไม่มีทั้งเพลี้ยหรือกบเลย
วิธีควบคุมแมลงโดยละเลยความสัมพันธ์ในบรรดาแมลงด้วยกัน เป็นสิ่งทีไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง การวิจัยเกี่ยวกับแมงมุมและเพลี้ย จะต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างกบกับแมงมุมด้วย เมื่อพูดถึงประเด็นนี้ก็จะต้องมีผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับกบ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับแมงมุมและเพลี้ย ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับข้าว และผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการชลประทานมาประชุมร่วมกัน
ยิ่งกว่านั้น ที่นาของผมยังมีแมงมุมที่มีลักษณะแตกต่างกันประมาณ ๔-๕ ชนิด ผมยังจำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน เพื่อนบ้านคนหนึ่งวิ่งมาหาผมที่บ้านแต่เช้าตรูและถามผมว่าผมเอาตาข่ายไหมหรืออะไรไปคลุมที่นาเอาไว้หรือเปล่า ผมไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร ดังนี้ผมจึงรีบเดินรุดไปดูทันที
เราเพิ่งจะเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จใหม่ ๆ และเพียงชั่วคืนเดียวทุ่งนาที่เหลือเพียงโคนข้าวที่เหลือจากการเก็บเกี่ยว และหญ้าทีเลื้อยอยู่ตามดินก็ถูกคลุมด้วยใยแมงมุมทุกตารางนิ้วดูราวกับใยไหมส่องประกายแวววับเป็นระลอกพริ้วอยู่ในสายหมอกยามเช้า ช่างเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก
ความน่าอัศจรรย์ของมันคือ สิ่งที่เกิดขึ้นนาน ๆ ครั้งเช่นนี้ จะคงอยู่เพียงวันสองวันเท่านั้น หากคุณเข้าไปมองดูใกล้ ๆ ก็จะแลเห็นแมงมุมมากมายอยูในทุก ๆ ตารางนิ้วของทุ่งนา มันอยู่กันอย่างหนาแน่นมากในทุ่งนา จนดูเหมือนจะแทบไม่มีที่ว่างเหลืออยู่ในระหว่างพวกมัน ในพื้นที่ ๑/๔ เอเคอร์ (๐.๖ ไร่) ต้องมีแมงมุมอยู่เป็นแสนเป็นล้านตัวทีเดียว ถ้าคุณกลับไปดูที่นาในอีก ๒-๓ วันหลังจากนั้น คุณจะเห็นเส้นใยแมงมุมซึ่งยาวเป็นหลา ๆ ขาดลุ่ยออกสะบัดอยู่ในสายลม โดยมีแมงมุม ๕-๖ ตัวเกาะอยู่ตามเส้นใยเหล่านั้น ดูราวกับปุยของดอกแดนดิเลี่ยน หรือลูกสนที่ปลิวอยู่ในสายลม แมงมุมเหล่านั้นเกาะอยู่กับเส้นใยแต่ละเส้นที่สะบัดขึ้นลงสู่ท้องฟ้าด้วยแรงลม
ภาพที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้เป็นบทละครแห่งธรรมชาติอันน่าพิศวง เมื่อเห็นเช่นนี้คุณคงเข้าใจว่ากวี และศิลปินก็ควรจะร่วมอยู่ในการประชุมพบปะนี้ด้วยเหมือนกัน
เมื่อสารเคมีถูกพ่นลงในที่นา สิ่งเหล่านี้จะถูกทำลายไปในพริบตา ครั้งหนึ่งผมเคยคิดว่าการใส่ขี้เถ้าลงไปในนา* คงจะไม่เป็นไร ผลที่ออกมาน่าตกใจเพราะว่า ๒-๓ วันหลังจากนั้นปรากฏว่าที่นาทั้งแปลงปราศจากแมงมุมแม้แต่ตัวเดียว ขี้เถ้าทำให้เส้นใยแมงมุมขาดกระจัดกระจาย ไม่รู้ว่ามีแมงมุมกี่พันกี่หมื่นตัวที่ต้องตกเป็นเหยื่อของขี้เถ้าที่ดูไม่มีพิษสงเพียงกำมือเดียว การใช้ยาฆ่าแมลงไม่เพียงแต่กำจัดเพลี้ยรวมทั้งศัตรูตามธรรมชาติของเพลี้ยไปเท่านั้น ตัวละครแห่งธรรมชาติอันสำคัญเหล่านี้อีกมากมายที่ต้องได้รับความกระทบกระเทือนไปด้วย
ปรากฏการณ์ของแมงมุมจำนวนมหาศาล ซึ่งปรากฏขึ้นในนาข้าวในฤดูใบไม้ร่วง และราวกับศิลปินที่หลบหายไปในชั่วคืน ยังเป็นสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ ไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากไหน มันจะมีชีวิตรอดในฤดูหนาวด้วยวิธีใด หรือว่ามันหายไปไหน
ดังนั้นการใช้สารเคมีจึงไม่ใช่เป็นเพียงปัญหาของนักกีฏวิทยา หรือผู้ทีศึกษาเกี่ยวกับเรื่องแมลงเท่านั้น แต่นักปรัชญา นักการศาสนา ศิลปิน และกวีจะต้องเข้ามาช่วยตัดสินด้วยว่าควรอนุญาตให้มีการใช้สารเคมีในการทำเกษตรหรือไม่ และผลที่เกิดขึ้นจำเป็นอย่างไร แม้จากการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ด้วย
ปริมาณผลผลิตของข้าวเจ้าและธัญพืชฤดูหนาวต่อที่ดิน ๑/๔ เอเคอร์ (๐.๖ ไร่) จะได้ในราว ๒๒ บูเชล (๕๙๐.๙ กิโลกรัม) ถ้าเมื่อไรที่เราได้ผลผลิตถึง ๒๙ บูเชล (๗๗๘.๙ กิโลกรัม) ซึ่งเคยได้ในบางครั้ง คุณก็จะไม่สามารถหาผลผลิตที่ไหนทั่วประเทศที่จะสูงไปกว่านี้อีกแล้ว เนื่องจากเทคโนโลยี่ที่ก้าวหน้าไม่มีความจำเป็นในการเพาะปลูกด้วยวิธีเช่นนี้ จึงกล่าวได้ว่าเกษตรกรรมธรรมชาติเป็นเรื่องที่สวนทางกับสมมุติฐานของวิทยาศาสตร์แผนใหม่ ใครก็ตามที่มาดูผืนนาแห่งนี้ และยอมรับประจักษ์พยานเหล่านี้ จะต้องรู้สึกสงสัยมากยิ่งขึ้นในคำถามที่ว่า มนุษย์รู้จักธรรมชาติหรือไม่ และธรรมชาติอาจรู้จักได้ภายในขอบเขตแห่งความเข้าใจของมนุษย์หรือไม่
ถ้าจะกล่าวอย่างประชดประชันก็ต้องกล่าวว่า วิทยาศาสตร์ช่วยได้เพียงแค่ทำให้เห็นว่ามนุษย์มีความรู้น้อยเพียงไรเท่านั้น
--------------------------------------------------------------------------------
* ฟูกูโอกะทำปุ๋ยหมักจากขี้เถ้าและพวกเศษอาหารเหลือ เขาใส่ปุ๋ยหมักนี้ในสวนครัวเล็ก ๆของเขา
-
:13: อนุโมทนาครับพี่มด