(http://www.luangphor.org/images/1167469819/buddha1.jpg)
พระสูตรสัทธรรมปุณฑรีกะ
วัดโพธิ์แมนคุณาราม
นายชะเอม แก้วคล้าย แปลจากต้นฉบับสันสกฤต
บทที่ 7
ปูรวโยคปริวรรต
ว่าด้วยปุพพโยคกรรม
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องมีมาแล้ว ในอดีตกาล นานจนนับไม่ได้ กำหนดไม่ได้ ประมาณไม่ได้ คำนวณไม่ได้ วัดไม่ได้ ในกาลสมัยนั้น พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "มหาภิชญาชญานาภิภู" ได้อุบัติขึ้นในโลก เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้เสด็จไปดี เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นนายสารถีฝึกบุรุษที่ประเสริฐ เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบาน เป็นผู้จำแนกธรรม ในโลกธาตุที่ชื่อว่า "สมภพ" ในสมัย มหารูปกัลป์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงอุบัติขึ้นนานเท่าใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างชายคนหนึ่ง บดดินในโลกธาตุสามพันน้อยใหญ่ ให้เป็นผงปรมาณู ครั้นแล้ว ชายผู้นั้น ก็หยิบเอาปรมาณูหนึ่ง จากโลกธาตุนั้น แล้วเดินไปทางทิศตะวันออก ได้พันโลกธาตุ แล้วว่างปรมาณูหนึ่งนั้นไว้ ครั้นชายผู้นั้นหยิบเอาปรมาณูที่สอง แล้วเดินไปได้พันโลกธาตุถัดไป แล้ววางปรมาณูที่สองไว้ ชายผู้นั้นต้องไปวางดินทั้งหมดนั้นไว้ในทิศตะวันออก
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอคิดว่า ข้อนั้นเป็นไฉน สามารถนับจุดจบ หรือที่สุดโลกธาตุนั้นได้หรือไม่ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลตอบว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เป็นไปไม่ได้ ข้าแต่พระสุคต เป็นไปไม่ได้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่ว่านักคำนวณ หรือนักคณิตศาสตร์อาจรู้จุดจบของโลกธาตุทั้งหลาย ด้วยการคำนวณ โดยเขาจะเอาปรมาณูนั้นไปวางหรือไม่วางที่ใดก็ตาม แต่เขาไม่อาจรู้ ที่สุดของเวลา หมื่นแสนโกฏิกัลป์เหล่านั้นได้ ด้วยวิธีการคำนวณว่า พระผู้มีพระภาค ตถาคต มหาภิชญาชญานาภิภู ได้ปรินิพพานไปแล้ว เป็นเวลานานที่คิดประมาณมิได้อย่างนี้ เป็นทีกัลป์กาล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่เรายังจำพระตถาคตที่ประนิพพานนายแล้วได้ เหมือนกับปรินิพพานวันนี้หรือเมื่อวานนี้ ด้วยอำนาจตถาคตญาณทัศนะ นั่นเอง
ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
1 หลายโกฏิกัลป์ล่วงมาแล้ว เราระลึกถึง มหามุนีอภิชญาชญานาภิภู ผู้ประเสริฐในหมู่ชนทั้งหลาย ซึ่งได้เป็นพระชินเจ้า ผู้ประเสริฐที่สุดในสมัยนั้น
2 เหมือนอย่างชายผู้หนึ่ง บดดินในสามพันโลกธาตุให้เป็นผงปรมาณู ครั้นแล้วหยิบเอาปรมาณูหนึ่งจากโลกธาตุนั้น เดินไปประมาณพันเกษตรแล้ววางปรมาณูนั้นลง
3 ชายผู้นั้น วางผงปรมาณูที่สองและสาม วางปรมาณูนั้นทั้งหมด จนเหลือโลกธาตุว่างเปล่า ผงทั้งปวงก็หมดไป
4 ปรมาณูในโลกธาตุทั้งหลาย เป็นสิ่งที่นับไม่ได้ เราได้กระทำปรมาณูนั้นเป็นข้อเปรียบเทียบกับร้อยกัลป์ที่ผ่านไป
5 พระตถาคตนั้นปรินิพพานแล้วหลายโกฏิกัลป์จนนับไม่ได้ กัลป์ทั้งหลายสิ้นไปแล้วมากมาย ปรมาณูก็เปรียบไม่ได้
6 เราจำพระตถาคตที่ปรินิพพานแล้ว และสาวกทั้งหลาย โพธิสัตว์ทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นเวลาช้านานได้เหมือนวันนี้หรือเมื่อวานนี้ ด้วยตถาคตญาณแล
7 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความรู้เช่นนี้ ของพระตถาคต ผู้มีญาณอันไม่สิ้นสุดนี้ เราได้รู้มาแล้ว หลายร้อยกัลป์ เป็นอเนกอนันต์ ด้วยความจำที่ไร้อาสวะ ที่ละเอียดสุขุม
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นัยว่า พระชนมายุของพระมหาภิชญาชญานาภิภู อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มีประมาณ 54 หมื่นแสนโกฏิกัลป์ ก็แลในตอนแรก พระผู้มีพระภาคตถาคต มหาภิชญาชญานาภิภู ยังไม่ได้ บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ได้ประทับที่โพธิมณฑล นั่นแล ปราบเสนามารทั้งปวงได้ชัยชนะ คิดว่า เราครั้นปราบชนะเสนามารได้แล้ว จักได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ดังนี้ แต่พระองค์ก็มิได้รู้แจ้งเห็นจริงธรรมทั้งหลาย พระองค์ได้ประทับที่โพธิมณฑล ณ โคนโพธิพฤกษ์ เป็นเวลาหนึ่งกัลป์ แม้ประทับอยู่ตลอดกัลป์ที่สองก็ยังไม่ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระองค์ประทับอยู่ทีโพธิมณฑล ณ โคนต้นโพธิพฤกษ์ตลอดกัลป์ที่สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า สิบ ติดต่อกันไป เป็นคราวเดียวกัน โดยมิได้เสด็จลุกจากที่ประทับเลย พระองค์ได้ประทับด้วยจิตที่สงบนิ่ง พระวรกาย ไม่เคลื่อนไหว แต่ก็ยังมิได้รู้แจ้งเห็นจริง ธรรมทั้งหลาย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ที่โพธิมณฑลนั้น เทวดาชั้นไตรตรึงศ์ ได้จัดสิงหาสน์ (บัลลังก์) สูงแสนโยชน์ถวาย พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ที่นั้นแล้ว ก็ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ต่อมา ขณะที่พระผู้มีพระภาคประทับนั่ง ณ โพธิมณฑลนั้น พรหมกายิกเทพบุตรทั้งหลาย ได้โปรยฝนดอกไม้ทิพย์ลงมา โดยรอบโพธิมณฑล และทำให้เกิดพายุ แผ่บริเวณไปทั่ว ประมาณร้อยโยชน์ในอากาศให้พัดดอกไม้ที่เหี่ยวแห้งนั้นไป เทพบุตรเหล่านั้นโปรยดอกไม้ลงมาโดยมิขาดสาย ในขณะที่พระผู้มีพระภาค ประทับนั่งที่โพธิมณฑลนั้น และเกลี่ยฝนให้ปกคลุมพระผู้มีพระภาคนั้น ตลอดเวลาสิบกัลป์บริบูรณ์ เทพบุตรทั้งหลายโปรยฝนดอกไม้ลงมา ทำให้ปกคลุมพระผู้มีพระภาคนั้นในขณะที่พระผู้มีพระภาค กำลังจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน จาตุมหาราชกายิกเทพบุตรทั้งหลาย ได้ประโคมกลองทิพย์อย่างไม่ขาดสาย เพื่อสักการะพระผู้มีพระภาค ผู้ประทับที่โพธิมณฑล เมื่อพระผู้มีพระภาค ประทับนั่งอยู่นั้น ตลอดสิบกัลป์ ตั้งแต่นั้น เทพบุตรทั้งหลายเหล่านั้น ได้ประโคมดนตรีทิพย์ทั้งหลายยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องจวบจนพระผู้มีพระภาค เสด็จดับขันธประนิพพาน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น เมื่อกาลเวลาล่วงไปสิบกัลป์ พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า"มหาภิชญาชญานาภิภู" ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ และต่อมาโอรสทั้งสิบหกพระองค์ ซึ่งประสูติแต่พระผู้มีพระภาค เมื่อครั้งยังเป็นพระกุมารอยู่นั้น ทรงทราบว่าพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว บรรดาโอรสทั้งหลาย โอรสองค์ใหญ่นามว่า "ชญาณกร" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แล พระราชกุมารทั้งสิบหกพระองค์ แต่ละพระองค์มีของเล่นนานาชนิด อันวิจิตร น่าดู น่าพอใจมาก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระราชกุมารเหล่านั้นทั้งสิบหกพระองค์ พากันละวางของเล่นนานาชนิด อันวิจิตร น่าดู น่าพอใจเหล่านั้น เมื่อทราบว่าพระผู้มีพระภาคตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระราชกุมารทั้งหลาย มีมารดา พี่เลี้ยง และนางนมทั้งหลายกรรแสงร่ำไห้ห้อมล้อมไปด้วยกัน มหาจักรพรรดิหมู่ใหญ่และประชาชนหลายหมื่นโกฏิ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ซึ่งประทับอยู่ที่โพธิมณฑล จนถึงสถานที่ประทับ ทั้งหมดเข้าไป เพื่อสักการะ เคารพ นบนอบ บูชา ยกย่อง เทิดทูนพระผู้มีพระภาค ครั้นเข้าไปแล้ว ได้กราบแทบพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาค ด้วยเศียรเกล้ากระทำประทักษิณพระผู้มีพระภาคสามครั้ง ประนมมือ กราบทูลพระผู้มีพระภาค ณ เบื้องพระพักตร์ของพระองค์ด้วยคาถาที่เหมาะสมว่า
8 พระองค์ทรงเป็นแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ ได้ดำเนินไปหลายกัลป์ไม่มีที่สิ้นสุด ความดำริอันประเสริฐ ที่จะให้สัตว์ทั้งหลายพ้นจากสังสารวัฏนี้ สมบูรณ์แล้ว
9 พระองค์ประทับนั่งบนอาสนะเดียวตลอดสิบกัลป์นั้น นับว่าเป็นสิ่งกระทำได้ยากในระหว่างนั้น พระองค์มิได้ทรงเคลื่อนไหวพระวรกาย พระหัตถ์และพระบาทตลอดจนอวัยวะอื่นๆ เลยแม้สักครั้งเดียว
10 แม้จิตพระองค์ ก็สงบ ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว ไม่สะเทือน ไม่วอกแวก พระองค์ไม่มีอาสวะ ตั้งอยู่ในความสงบนิ่งยิ่งนักแล
11 ขอแสดงความยินดีว่า พระองค์ทรงบรรลุอัครโพธิญาณ ด้วยความเกษมและสวัสดี ข้าแต่พระนเรนทรสิงหะ ข้าพระองค์ทั้งหลาย ได้ประสบความสำเร็จ เห็นปานนี้และได้รับความเจริญ
12 ประชาชนทั้งหลาย ที่ไม่มีผู้นำ เป็นทุกข์ มีนัยน์ตามืดมน ไร้ความสนุกสนานไม่รู้หนทางที่นำไปสู่ ที่สุดแห่งทุกข์ไม่มีความพยายามเพื่อถึงความหลุดพ้น
13 อันตรายมีมากขึ้น ร่างกายก็เสื่อมจากธรรม (ความดี) มาช้านาน ไม่เคยได้ยินพระสุรเสียงของพระชินเจ้าทั้งหลาย โลกทั้งปวงก็มืดมนอนธการ
14 ข้าแต่พระองค์ ผู้รู้แจ้งโลก วันนี้และที่นี่ พระองค์ได้บรรลุบทอันอุดม อันเป็นมงคลและเป็นอนาสวะแล้ว ข้าพระองค์ทั้งหลาย และชาวโลกทั้งปวง เป็นผู้ที่พระองค์ทรงอนุเคราะห์แล้ว ข้าแต่พระผู้เป็นนาถะ ข้าพระองค์ทั้งหลาย พากันมาเฝ้าก็เพื่อถึงพระองค์เป็นสรณะ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลครั้งนั้น พระราชกุมารทั้งสิบหกองค์ ที่ยังเป็นพระกุมารผู้เยาว์วัยอยู่ สดุดีพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า อภิชญาชญานาภิภู นั้น ด้วยคาถาอันเหมาะสมเหล่านี้แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคนั้นว่า เพื่อยังพระธรรมจักรให้หมุนไป ขอพระผู้มีพระภาค จงแสดงธรรม ขอพระสุคตจงแสดงธรรม เพื่อประโยชน์แก่ชนจำนวนมาก เพื่อความสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่อนุเคราะห์สัตว์โลก เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนหมู่มาก แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ก็ในสมัยนั้น พระราชกุมารเหล่านั้นทรงกล่าวคาถาเหล่านี้ว่า
15 ข้าแต่พระมหาฤษี ผู้เพียบพร้อมด้วยบุณยลักษณะร้อยประการ ทรงเป็นผู้นำ ที่ไม่มีผู้เสมอเหมือน ขอพระองค์จงแสดงธรรม ขอพระองค์ทรงประกาศญาณอันเลิศประเสริฐที่พระองค์ทรงได้แล้วแก่ชาวโลกพร้อมกับเทวดาด้วยเถิด
16 ขอพระองค์จงให้ข้าพระองค์ทั้งหลายและสัตว์เหล่านี้ล่วงพ้น (ทุกข์) ขอพระองค์ทรงแสดงตถาคตญาณทั้งหลาย โดยประการที่พวกข้าพระองค์และสัตว์เหล่านี้จะได้บรรลุพระโพธิญาณด้วยเถิด
17 พระองค์ทรงทราบความประพฤติ ความรู้ อัธยาศัย และบุญที่สัตว์ทั้งหลายได้กระทำแล้วแต่ปางก่อน และพระองค์ทรงทราบอุปนิสัยของสัตว์แต่ละคน (ฉะนั้น)ขอพระองค์ทรงหมุนธรรมจักรที่เลิศประเสริฐด้วยเถิด
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเวลานั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ทิศทั้งสิบในห้าสิบหมื่นแสนโกฏิโลกธาตุได้ แต่ละทิศ ได้สั่นสะเทือนเป็นหกจังหวะ และสว่างไสวไปด้วยแสงเจิดจ้า ในโลกธาตุทั้งปวงเหล่านั้น โลกธาตุใดมีที่ว่าง และมีความมืดมิด แม้พระอาทิตย์และพระจันทร์ ที่มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก มีความรุ่งโรจน์โชติช่วงมาก ไม่สามารถส่องแสงไปถึงด้วยสีและพลังของตน แต่ที่ว่างนั้นทั้งหมด ก็มีแสงสว่างเจิดจ้าไปทั่วถึง สัตว์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในที่ว่างแห่งโลกธาตุนั้น ย่อมมองเห็นซึ่งกันและกันและจำกันได้ แม้สัตว์ผู้เจริญเหล่าอื่น ที่เกิดในที่นี้ และในโลกธาตุทั้งปวง ภพของเทพ วิมานแห่งเทพ ตลอดถึงพรหมโลก ก็สั่นสะเทือนเป็นหกจังหวะ สว่างไสวไปด้วยแสงอันเจิดจ้า เกินเทวานุภาพของเทพทั้งหลาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลในสมัยนั้น ในโลกธาตุเหล่านั้น ได้ปรากฏแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ และมีแสงสว่างโชติช่วง ในเวลาเดียวกัน
ก็แลในทิศบูรพา หรหมวิมานทั้งหลายในโลกธาตุห้าหมื่นแสนโกฏิเหล่านั้น ส่องแสงสว่างโชติช่วงสวยงาม เจิดจ้ายิ่งนัก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหาพรหมในโลกธาตุห้าสิบหมื่นแสนโกฏิเหล่านั้น ได้มีความคิดว่า พรหมวิมานเหล่านี้ ไม่เคยส่องแสงโชติช่วงสวยงามเจิดจ้าอย่างนี้มาก่อน คงจะไม่มีอะไรเป็นบุพนิมิตแน่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น มหาพรหมในโลกธาตุห้าสิบหมื่นโกฏิทั้งหมด ได้ไปยังที่ประทับของกันและกันได้สนทนากัน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จากนั้นมหาพรหมนามว่า สรวสัตตตวัตรตฤ ได้กล่าวคาถาทั้งหลายกับหมู่พรหมนั้นว่า
18 วันนี้ เรามีความหรรษาอย่างยิ่ง วิมานอันประเสริฐทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้สว่างโชติช่วงสวยงาม น่ายินดี อะไรเป็นเหตุในเรื่องเช่นนี้
19 ดีละ พวกเราจะค้นหา ก็แลวันนี้ คงมีเทพบุตรองค์ใดบังเกิดขึ้น ผู้มีอานุภาพปานนี้ ที่พวกเราเห็นอยู่ขณะนี้ ยังไม่เคยมีมาก่อน
20 หรืออาจเป็นเพราะว่า พระพุทธเจ้า ผู้เป็นจอมราชาแห่งนรชน ได้อุบัติขึ้น ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งในโลกนี้ นิมิตของพระองค์จึงโชติช่วงสวยงามไปทั้งสิบทิศ ในวันนี้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หลังจากนั้น มหาพรหมทั้งหลายในโลกธาตุห้าสิบหมื่นแสนโกฏิเหล่านั้นทั้งหมด ขึ้นสู่พรหมวิมานทิพย์ของตน แล้วถึอเอาภาชนะดอกไม้ทิพย์ ใหญ่เท่าเขาพระสุเมรุ ท่องเที่ยวไปในทิศทั้งสี่ จนถึงทิศตะวันตก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหาพรหมทั้งหลายในโลกธาตุห้าสิบหมื่นแสนโกฏิ ได้พบพระผู้มีพระภาคตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ประทับบนสิงหาสน์ โคนโพธิพฤกษ์ ณ โพธิมณฑลนั้นมีเทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร พญานาค มนุษย์ อมนุษย์ นั่งแวดล้อมอยู่และมีโอรสราชกุมารทั้งสิบหกพระองค์ กำลังทูลขอให้ประกาศพระธรรมจักรอยู่ ณ ทิศตะวันตกนั้น ครั้นพบแล้ว พรหมทั้งหลายเหล่านั้น ก็เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค จนถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้วได้ถวายบังคมด้วยเศียรเกล้า ที่แทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคนั้น กระทำประทักษิณพระผู้มีพระภาคหลายแสนครั้ง และได้บูชาพระผู้มีพระภาค ด้วยภาชนะดอกไม้นั้น ซึ่งใหญ่เท่าเขาพระสุเมรุ และได้โปรยดอกไม้เหล่านั้นลงที่ต้นโพธิ์ด้วย เป็นระยะทางห่างออกไป ประมาณสิบโยชน์ ครั้นทำการบูชาแล้ว พรหมทั้งหลายเหล่านั้น ได้มอบวิมานพรหม แต่พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นว่า ขอพระผู้มีพระภาค จงรับพรหมวิมานเหล่านี้ เพื่ออนุเคราะห์ข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอพระสุคต จงใช้พรหมวิมานเหล่านี้ เพื่ออนุเคราะห์ข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยเถิด
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้นนั้น มหาพรหมทั้งหมาย ครั้งได้มอบวิมานพรหมของตน แด่พระผู้มีพระภาคแล้ว ได้สดุดีพระผู้มีพระภาค ณ เบื้องพระพักตร์ ด้วยคาถาอันเหมาะสมเหล่านี้ในเวลานั้นว่า
21 พระชินเจ้าผู้ประเสริฐ หาผู้เปรียบมิได้ ผู้อนุเคราะห์ประโยชน์ต่อชาวโลก ได้อุบัติขึ้นแล้ว พระองค์อุบัติมาเพื่อเป็นที่พึ่ง เป็นศาสดา และเป็นครู เป็นผู้อนุเคราะห์ทั้งสิบทิศ ในวันนี้
22 ข้าพระองค์ทั้งหลาย มาจากโลกธาตุห้าหมื่นโกฏิ ไกลจากที่นี้ เพื่อนมัสการพระชินเจ้า ด้วยการถวายวิมานอันประเสริฐ
23 วิมาน อันวิจิตร สวยาม เหล่านี้ บังเกิดแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย ด้วยบุพกรรมอันดีงาม ขอพระองค์ผู้เป็นโลกวิทู จงรับไว้ใช้สอยตามพระประสงค์ เพื่ออนุเคราะห์แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยเถิด
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้นมหาพรหมทั้งหลาย ได้สดุดีพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ด้วยคาถาอันสมควร ณ ที่เบื้องพระพักตร์นั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นว่า ขอพระผู้มีพระภาค จงยังพระธรรมจักร ให้หมุนไป ขอพระสุคต จงยังพระธรรมจักรให้หมุนไป ในโลก ขอพระผู้มีพระภาค จงแสดงพระนิพพาน ขอพระผู้มีพระภาค จงยังสัตว์ให้ข้ามพ้น(ทุกข์) จงสงเคราะห์ชาวโลก ขอพระผู้มีพระภาคจงแสดงธรรม แก่ชาวโลก พรอมทั้งมาร พรหม และแก่ประชาชนพร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทวดามนุษย์และอสูรทั้งหลาย เพื่อประโยชน์แก่ชนจำนวนมาก เพื่อเป็นการอนุเคราะห์ชาวโลก เพื่อประโยชน์และความสุขแก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย
หลังจากนั้น พรหมทั้งหลาย ห้าสิบแหมื่นแสนโกฏิ ประชุมกันแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ด้วยคาถาอันไพเราะเหล่านี้เป็นเสียงเดียวกันว่า
24 ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์จงแสดงธรรม ข้าแต่พระสุคตผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่มนุษย์ ขอพระองค์จงแสดงธรรม จงแสดงพลังแห่งเมตตา และทรงให้สัตว์ทั้งหลายข้ามพ้นจากความทุกข์ด้วยเถิด
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หลังจากนั้น หมู่ชนเหล่านั้นประหลาดใจ อัศจรรย์ใจ คิดว่าเราออกจากป่าทึบน่ากลัวนั้นแล้ว ได้พักผ่อนอย่างสงบสบายที่นี่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชนเหล่านั้นเข้าไปยังเมืองเนรมิต พวกเขาเข้าใจว่า มาถึงแล้ว ปลอดภัยแล้ว พากันคิดว่า เราได้พักผ่อนสดชื่นขึ้นแล้ว แต่ผู้นำทราบว่า พวกเขาหายเหนื่อยแล้ว จึงทำให้เมืองเนรมิตนั้นอันตรธานไป แล้วก็กล่าวกับชนเหล่านั้นว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ทุกท่านจงมา รัตนทวีปอยู่ใกล้นี้เอง ส่วนเมืองนี้ข้าพเจ้าเนรมิตขึ้น เพื่อให้พวกท่านได้พักผ่อนเท่านั้น
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ชนทั้งหลาย ผู้เดินป่า ได้พากันประหลาดใจ อัศจรรย์ใจว่า เราได้ออกจากป่าแล้ว เราได้ถึงสถานที่สงบแล้ว เราจักพักที่นี่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายชนเหล่านั้น ได้เข้าไปนครนิมิตนั้นด้วยสำคัญว่า พวกเขาได้มาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ได้ปลอดภัยแล้ว และได้ถึงสถานที่สงบสุขแล้ว จากนั้น เมื่อผู้นำทางทราบว่า ชนทั้งหลายหายเหนื่อยแล้ว จึงทำให้นครนิมิตนั้นหายไป เมื่อทำให้หายไปแล้ว จึงกล่าวกับชนเหล่านั้นว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย จงมาเถิด เกาะมหารัตนทวีปนี้อยู่ไม่ไกลนัก นครนี้ เรานิรมิตขึ้น เพื่อให้ท่านได้พักผ่อนเท่านั้น
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในทำนองเดียวกัน พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ชี้ทางแก่พวกเธอ และสัตว์ทั้งปวงทั้งหลาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แท้ที่จริง พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นว่า ป่าทึบคือกิเลสอันยิ่งใหญ่นี้ เป็นสิ่งที่ควรข้าม หลีกหนี และละทิ้งไม่ควรที่สรรพสัตว์ ผู้ได้ฟังพุทธญาณแล้ว จะกลับเสียโดยพลัน ไม่ก้าวต่อไปด้วยคิดว่า พุทธญาณ เป็นสิ่งยากจะบรรลุได้ ณ ที่นั้นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทราบว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีความอ่อนแอ จึงชี้แจงประกาศ ภูมิ (ฐานะ) ของพระนิพพานสองอย่างคือ สาวกภูมิ และปัจเจกภูมิ ด้วยกุศโลบาย (อุบายอันฉลาดยิ่ง) เพื่อให้สัตว์ทั้งหลายได้พักผ่อน เหมือนผู้นำทางนั้น สร้างเมืองเนรมิต เมืองที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ เพื่อให้ชนทั้งหลายเหล่านั้นได้พักผ่อนกัน และแล้วได้บอกแก่ผู้พักผ่อนเหล่านั้นว่าว่า นี้เป็นเพียงเมืองเนรมิต ดังนี้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลายในสมัยใด สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น หยุดอยู่ รออยู่ ที่นั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ณ ที่นั้น พระตถาคตก็จะแสดงอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอ ยังไม่ได้ทำภารกิจ และหน้าที่ให้แล้วเสร็จ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่ากลัวเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พุทธญาณอยู่ใกล้เธอแล้วจากนี้ไป พวกเธอจงมองดูพุทธญาณ และพิจารณาว่า นิพพานของเธอ ไม่ใช่นิพพานที่แท้จริง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นกุศโลบายของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่ประกาศยานเป็นสาม
ครั้นนั้น เพื่ออธิบายความนั้นให้ละเอียดยิ่งขึ้น ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาค จึงได้ตรัสพระถาคาเหล่านี้ว่า
60 พระอภิชญาชญานาภิภู พระผู้นำแห่งโลก ผู้ทรงเห็นอรรถอันยิ่ง ได้ประทับนั่งที่โพธิมณฑลติดต่อกันถึง10 กัลป์บริบูรณ์ แต่ก็ยังไม่ได้ตรัสรู้
61 ครั้นพระชินเจ้า ผู้นำของนรชน ได้ตรัสรู้แล้ว เทวดา นาค อสูร และมารร้ายทั้งหลาย ได้โปรยฝนดอกไม้ลงมา เพื่อบูชาองค์พระชินเจ้านั้น
62 แลพวกเขาเหล่านั้น และเขาเหล่านั้นมีความขัดเคือง เรื่องที่พระพุทธชินเจ้า ได้ตรัสรู้อนุตตรธรรม ช้าไป
63 เป็นเวลา 10 กัลป์ล่วงไป พระผู้มีพระภาคอภิญาชญา(นาภิภู) จึงได้ตรัสรู้ในสมัยนั้น เทวดา มนุษย์ พญานาค และอสูรทั้งหลายต่างพากันดีใจ รื่นเริงหรรษา
64 ต่อมา พระโอรสราชกุมาร 16 พระองค์ผู้แกล้วกล้า และพรั่งพร้อมด้วยคุณธรรมของพระผู้นำแห่งนรชนพระองค์นั้น พร้อมกับหมู่สัตว์หลายพันโกฏิ ได้เสด็จมาทำการบูชาพระผู้มีพระภาค ผู้เป็นจอมนรชน ที่เลิศยิ่งนั้น
65 พระโอรสราชกุมารเหล่านั้น ครั้นทรงกราบพระบาทพระผู้นำแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระนเรนทรสิงห์ ขอพระองค์ทรงประกาศธรรม ทำให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย และชาวโลก ได้สดชื่นด้วยพระสุรเสียงที่ไพเราะด้วยเถิด
66 ข้าแต่พระผู้นำที่ยิ่งใหญ่ พระองค์อุบัติขึ้นในโลกทั้งสิบทิศ เป็นเวลาช้านาน วิมานแห่งพรหมทั้งหลาย สั่นสะเทือนเป็นเหตุบ่งบอกนิมิตแก่สัตว์ทั้งหลาย
67ในทิศตะวันออก (พุทธ) เกษตรทั้งหลาย ห้าสิบพันโกฏิ ก็สั่นสะเทือน พรหมวิมานอันประเสริฐ ณ ที่นั้นๆมีรัศมีส่องแสงสว่างไสว
68 พรหมทั้งหลายเหล่านั้น เห็นบุพนิมิตเช่นนี้แล้ว ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้นำแห่งโลกได้โปรยปรายดอกไม้ลงมา บูชาพระองค์และได้ถวายพรหมวิมานทั้งปวงแก่พระองค์
69 พรหมเหล่านั้น ได้ทูลขอพระองค์ ด้วยคาถาและบทสวดทั้งหลาย เพื่อให้พระองค์ทรงยังพระธรรมจักรให้หมุนไป แต่พระองค์ผู้เป็นจอมราชันทรงสงบนิ่ง (ด้วยทรงคิดว่า) นี้ยังไม่ใช่เวลาแสดงธรรมแห่งเรา
70 ในทิศใต้ ทิศตะวันตก ทิศเบื้องล่าง ทิศเบื้องบน และทิศอันมีในท่ามกลางทั้งหลาย มีพรหมหลายพันโกฏิแล
71 พรหมทั้งหลายได้โปรยปรายดอกไม้บูชาพระผู้ทรงเป็นผู้นำ (พระตถาคต) และกราบพระบาททั้งสองของพระผู้นำมอบถวายวิมานทั้งหลายทั้งปวง กล่าวสดุดีและขอร้องว่า
72 ข้าแต่พระผู้มีจักษุอันหาที่สุดมิได้ ขอพระองค์ทรงให้จักรเป็นไป(ขอจงทรงแสดงธรรม) พะองค์เป็นผู้ที่พบเห็นได้โดยยากเป็นเวลาหลายโกฏิกัลป์ ขอพระองค์ได้โปรดแสดงพลังแห่งพระเมตตาที่พระองค์ทรงเคยแสดงมาแล้วในกาลก่อนขอพระองค์ทรงเปิดประตูแห่งอมตะด้วยเถิด
73 พระผู้มีพระจักษุอันหาที่สุดมิได้ (ผู้เห็นการณ์โลก) ตถาคตเจ้า ครั้นสดับคำทูกลขอแล้ว ทรงประกาศธรรมหลายประการ พระองค์ได้ประกาศอริยสัจสี่โดยพิสดาร พระองค์ทรงแสดงว่าสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยของกันและกัน
74 พระผู้มีพระจักษุ (ตถาคต) ทรงประกาศทุกข์ อันมีมรณะเป็นที่สุด เริ่มต้นจากอวิชชา (พระองค์ทรงประกาศว่า) อกุศลทั้งปวงเหล่านี้ เกิดจากชาติและ(ว่า) ท่านทั้งหลาย จงทราบอย่างนี้ว่า มฤตยู (ความตาย) เป็นสิ่งที่มีแก่มนุษย์(เป็นเป็นของมนุษย์)
75 แลต่อมาพระองค์ทรงประกาศพระธรรมหลายอย่างหลายประการ สัตว์ทั้งหลายประมาณ 80 โกฏิ ฟังแล้วตั้งอยู่ในภาวะแห่งสาวกโดยพลัน
76 วาระที่สอง เมื่อพระชินเจ้าประกาศธรรมจำนวนมาก สัตว์ทั้งหลายที่บริสุทธิ์มีจำนวนเท่าเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา ก็ได้ตั้งอยู่ในสาวกภูมิ ในขณะนั้น
77 แต่นั้นหมู่สาวกของพระผู้นำแห่งโลกนั้น ในกาลครั้งนั้น ได้มีมากเหลือทีจะคณานับ ไม่มีใครสักผู้หนึ่งในบรรดาท่านทั้งหลายเหล่านั้นจะนับได้ แม้จะนับไปตลอดหลายโกฏิกัลป์
78 เจ้าฟ้าชาย สิบหกพระองค์ อันเป็นพระราชโอรสขององค์พระชินเจ้าทุกพระองค์ซึ่งเป็นนักบวชดำรงภาวะเป็นสามเณร ได้กราบทูลกระพระชินเจ้าว่า ข้าแต่พระผู้นำแห่งโลก ขอพระองค์ทรงประกาศพระธรรมอันเลิศเถิด
79 ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐสุดแห่งพระชินเจ้าทั้งหลาย เพื่อที่ข้าพระองค์ทั้งหลายจะได้เป็นพระสัพพัญญู เช่นเดียวกับพระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้แกล้วกล้า ผู้ทรงเห็นแจ้งหมดจด เพื่อที่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้จะเป็นอย่างที่พระองค์ได้ทรงเป็น
80 พระชินเจ้าครั้นทรงทราบพระประสงค์ของเจ้าฟ้าชายราชโอรสเหล่านั้นแล้วทรงประกาศธรรมอันสูงสุดด้วยการยกตัวอย่างอเนกประการ (หลายโกฏิยุต มิใช่หนึ่ง)
81 พระโลกนาถ เมื่อจะทรงแสดงและชี้แจงอภิญญาหลายพันวิธี ทรงแสดงหน้าที่อันแท้จริง อย่างที่พระโพธิสัตว์ผู้ฉลาดทั้งหลายปฏิบัติอยู่
82 พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไวปุลยสูตร ชื่อว่า สัทธรรมปุณฑรีกนั่นด้วยคาถามากมายหลายพันคาถา อันมีประมาณเท่ากับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา
83 ก็แล พระชินเจ้าพระองค์นั้น ครั้นตรัสพระสูตรนี้แล้วก็เสด็จเข้าไปสู่วิมานพักผ่อน พระโลกนาถทรงนั่นเข้าสมาธิอยู่บนอาสนะเดี่ยวตลอด 84 กัลป์
84 สามเณรทั้งหลายเหล่านี้ทราบว่า พระผู้ทรงเป็นผู้นำประทับนั่งไม่เสด็จออกไปจึงได้แสดงพุทธธรรม ซึ่งปราศจากอาสวะ อันประเสริฐนี้จำนวนหลายโกฏิ
85 สามเณรทั้งหลายเหล่านั้น แต่ละรูป นั่งบนอาสนะที่ถูกจัดแยกไว้ รูปละที่ ได้แสดงพระสูตรนี้แก่หมู่สัตว์เหล่านั้นในศาสนาของพระสุคต ในกาลนั้น เช่น เดียวกันกับที่แสดงอยู่ในสมัยแห่งเราตถาคต
86 สามเณรเหล่านั้นได้แสดง(ญาณ) แก่สัตว์ทั้งหลายประมาณไม่ได้เหมือนจำนวนเมล็ดทรายในหกหมื่นคงคานที พระโอรสแต่ละองค์ของพระสุคตนั้น แนะนำสัตว์ทั้งหลายมิใช่น้อย
87 เมื่อพระชินเจ้าพระองค์นั้นปรินิพพานแล้ว สามเณรทั้งหลายเหล่านั้นได้ท่องเที่ยวไปเฝ้าพระพุทธเจ้าหลายโกฏิ และทำการบูชาพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย พร้อมกับพระสาวกทั้งหลายในกาลนั้น
88 พระราชโอรสทั้ง 16 พระองค์ เหล่านั้น ของพระชินเจ้า ครั้นประพฤติธรรมอันไพบูลย์และสูงส่งและได้ตรัสรู้โพธิญาณในทิศต่างๆ ทั้งสิบทิศแล้ว ได้ทรงเป็นพระชินเจ้า ทรงประทับอยู่เป็นคู่ในทิศทั้งปวง (ทิศละสองพระองค์)
89 ในกาลครั้งนั้น ทุกคนผู้ซึ่งเคยเป็นสาวก (ของพระโอรส) ก็ได้เป็นสาวกของพระชินเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น และได้บรรลุโพธิญาณด้วยอุบายต่างๆโดยลำดับ
90 แม้เราตถาคตก็เป็นผู้หนึ่ง ในจำนวนนั้น แม้ตถาคตก็ได้สั่งสอนเธอทั้งปวง เพราะฉะนั้น ในบัดนี้ เธอทั้งหลายก็เป็นสาวกของเราตถาคต ณ ที่นี้ เราตถาคตจะนำเธอให้เข้าถึงโพธิญาณด้วยอุบายทั้งหลาย (ของเราตถาคต)
91 เหตุอันนี้ ได้มีแล้วในกาลครั้งกระนั้น นี้คือปัจจัยที่ให้เราตถาคตแสดงธรรมด้วยเหตุปัจจัยนี้แล เราตถาคตจะนำเธอทั้งหลายให้เข้าถึงพุทธญาณอันเลิศของเรา ภิกษุทั้งหลาย ณ ที่นี้ เธอทั้งหลาย จงอย่าได้กลัวเลย
92 เปรียบเหมือนป่าทึบน่ากลัว เวิ้งว้าง ไม่มีที่พักพิงและอาศัย อันเต็มไปด้วยสัตว์ป่ามากมาย และปราศจากน้ำ ป่านั้นพึงเป็นที่น่ากลัว สำหรับผู้คนทั้งหลายที่ขาดความชำนาญป่า
93 ก็แล คนจำนวนหลายพันมาถึงป่า และป่านั้นเป็นป่าที่เวิ้งว้าง มีบริเวณยาวตั้ง 500 โยชน์
94 คนซึ่งเป็นผู้นำทาง ผ่านป่าอันน่ากลัวนี้ไปนั้น เป็นคนมั่งคั่ง มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด เป็นปราชญ์ เป็นผู้ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี และกล้าหาญ
95 แม้คนจำนวนหลายโกฏิเหล่านั้นมีความเหน็ดเหนื่อย จึงบอกแก่ผู้นำทางนั้น ในเวลานั้นว่า ท่านผู้เจริญ พวกเราเหนื่อยเหลือเกิน ไม่สามารถจะเดินทางต่อไปได้เราอยากจะกลับจากที่นี่
96 แต่ผู้นำทางนั้น เป็นผู้ฉลาด เป็นบัณฑิต จึงคิดหาอุบายที่จะพาไปต่อไปในขณะนั้น จึงคิดว่า น่าเสียดาย หากผู้เขลาเบาปัญญาทั้งปวง พาตนเองกลับไปเสียก็จะไม่ประสบรัตนะทั้งหลายเลย
97 ไฉนหนอ ข้าพเจ้า (ผู้นำทาง)พึงนิรมิตนครใหญ่นครหนึ่ง อันกอปรด้วยตึกรามบ้านช่องและวิหารหลายพันโกฏิ พร้อมทั้งสวนอันงดงามด้วยพลังแห่งฤทธิ์ของตนในวันนี้
98 ข้าพเจ้า (ผู้นำทาง) พึงนิรมิตบ่อน้ำ แม่น้ำ สวนและดอกไม้ทั้งหลาย(นคร)ที่มีป้อมปราการและประตูอันสวยงาม เต็มไปด้วยผู้คนทั้งบุรุษและสตรีทั้งหลาย
99 ข้าพเจ้า (ผู้นำทาง) ครั้นทำการนิรมิต พึงกล่าวกะเข้าทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายอย่างกลัวเลย ท่านทั้งหลาย จงรื่นเริงหรรษากันเถิด ท่านทั้งหลายถึงเมืองอันประเสริฐยิ่งแล้ว จงเข้าไปทำธุรกิจของท่านทั้งหลาย โดยเร็วเถิด
100 เพื่อให้คนเหล่านั้นได้พักผ่อน (คนนำทาง)จึงกล่าวว่า ท่านทั้งหลายคงหายเหนื่อยแล้ว จงสนทนากันตามสบายใจเถิด เพราะได้ผ่านป่ามาแล้วโดยสิ้นเชิงดังนี้ ซึ่งความก็ทำให้ทุกคนหายเหนื่อยได้
101 (ผู้นำทาง)ครั้นทราบแล้วว่าเขาทั้งหลายพักผ่อนเพียงพอแล้ว ได้เรียกให้พวกเขามารวมกัน แล้วกล่าวอีกว่า "ท่านทั้งหลาย จงมาฟังคำของข้าพเจ้า นครนี้ ข้าพเจ้าสร้างขึ้นมาด้วยฤทธิ์
102 ข้าพเจ้า (ผู้นำทาง)ทราบว่า ท่านทั้งหลายเหน็ดเหนื่อยแล้ว เพื่อไม่ให้ท่านทั้งหลายพากันกลับไป จึงทำกุศโลบายอย่างนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายจงเกิดความกล้าหาญเพื่อเดินทางต่อไปยังเกาะเถิด
103 ภิกษุทั้งหลาย ในทำนองเดียวกัน เราตถาคต ซึ่งเป็นผู้นำทาง นำสรรพสัตว์หลายพันโกฏิ เห็นว่าสัตว์ทั้งหลายมีความทุกข์ยากและสัตว์ทั้งหลายไม่สามารถจะทำลายกองกิเลสได้
104 แต่นั้น เราตถาคตไตร่ตรองเรื่องนี้ (และทราบว่า) เธอทั้งหลายได้พักผ่อนแล้วมีความสงบแล้ว ความดับแห่งทุกข์ทั้งปวงย่อมมี (และกล่าวว่า) เธอทั้งหลายทำกิจที่พึงกระทำแล้ว พึงตั้งอยู่ในภูมิอรหันต์
105 เมื่อใดเธอทั้งหลายตั้งอยู่ในสภาวะนี้แล้ว (บรรลุอรหันต์) เราตถาคตทราบว่าเธอทั้งหมดเป็นพระอรหันต์ เมื่อนั้นเราตถาคตก็จะเรียกให้เธอทั้งหลายมาประชุมกันแล้วอธิบายว่า ธรรมอันแท้จริงคืออะไร
106 เป็นอุบายอันฉลาดของพระผู้เป็นผู้นำทั้งหลาย แท้ที่จริงมีเพียงยานเดียวเท่านั้น ยานที่สองไม่มี แต่ท่านแสดงอีกสองยานไว้ก็เพื่อจะให้ได้พักผ่อนเท่านั้นเอง
107 ภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นเราตถาคตจึงกล่าว ณ บัดนี้ว่า เธอทั้งหลายจงก่อให้เกิดความกล้าหาญอันสูงส่งยอดเยี่ยมด้วยสัพพัญญุตญาณทั้งปวงที่ได้ก่อให้เกิดมีขึ้นแล้วนั้น เธอทั้งหลายก็จะบรรลุนิพพานที่ยังไม่บรรลุได้
108 ก็ในกาลที่เธอทั้งหลายจักสัมผัสกับสัพพัญญุตญาณ มีพละสิบ (ทศพละญาณ) ซึ่งเป็นธรรมของพระชินเจ้าทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จักเป็นพุทธะ ทรงไว้ซึ่งมหาบุรุษลักษณะ 32 ประการ และถึงซึ่งพระนิพพาน
109 เทศนาของพระผู้ทรงเป็นผู้นำทั้งหลาย (ตถาคตทั้งหลาย) เป็นเช่นนี้ พระตถาคตทั้งหลาย ตรัสพระนิพพาน เพื่อการพักผ่อน ก็แลครั้นพระตถาคตทราบว่า ทุกท่านได้พักผ่อนแล้วจึงสอน สัพพัญญุตญาณ อันเป็นธรรมให้ถึงพระนิพพาน(ความดับ)แก่ทุกท่านแล
บทที่ 7 ปูรวโยคปริวรรต ว่าด้วยปุพพโยคกรรม
ในธรรมบรรยาย สัทธรรมปุณฑรีกสูตร อันประเสริฐ
มีเพียงเท่านี้
***********
(http://t1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSJqIzurhYIxHpqh28tzmvcvOSFiTkpp81RG_HbOUi-K2lUuC-s)
http://www.mahayana.in.th/tmayana/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81/สัทธรรมปุณทรีกะบท7.htm