(http://www.dharma-isara.onoi.org/images/stories/lp/luangpoo.jpg)
การแสดงธรรมประจำปี 2553 ณ สถาบันเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์
วันที่ 17 ตุลาคม 2553
ในหัวข้อเรื่อง "อำนาจที่แท้จริง"
อำนาจที่แท้จริงของใคร ของคุณ ของชั้น ของปวงชน ของประชาชน ของส.ส. ของส.ว. รัฐมนตรีนายก หรือไม่ก็ผู้บริหารบ้านเมือง ผู้บริหารชุมชน ตำบล อำเภอ จังหวัด ทั้งหมดมีอำนาจทั้งนั้นแหละ แล้วก็แสวงหาอำนาจกันทั้งนั้น แล้วก็ต้องการอำนาจทั้งนั้น แต่สุดท้ายอำนาจที่แสวงหา มันก็ไม่ได้ทำให้ตัวเองมีอำนาจที่แท้จริง เพราะมันมีอายุขัย ในความคิดของชั้น ชั้นถือว่า อำนาจเหล่านี้มีอายุขัย มันมีอายุขัย มีกาลเวลากำหนด แล้วมันก็มีข้อจำกัดในเรื่องบริษัทบริวาร เมื่อคืนชั้นเพิ่งจะตอบปัญหาเรื่องบารมี มีคนที่ใช้นามแฝงหรือนามตัวเองว่า คุณตี๋ ถามปัญหาว่า คำว่าบารมี โดยความหมายจริงๆ คืออะไร
ชั้นก็ตอบเค้าไปว่า ณ.วันนี้ คนมีบารมีคือ คนต้องมีปืน คนมีบารมีคือ คนต้องมีเงิน ต้องมีผู้คุ้มครอง ต้องมีอำนาจบาตรใหญ่ ต้องเป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ แต่ถ้าเป็นบารมีของพระพุทธเจ้า บารมีของคำสอนในพุทธธรรมก็ต้องบอกว่า ผู้มีบารมี คือผู้ที่ต้องทำดี ทำดี พูดดี คิดดี เป็นคนดีของตนเอง เป็นที่พึ่งพาอาศัยของคนอื่นได้ แล้วดีนั้นมันหลั่งไหลพรั่งพรูออกไปไหลเนืองนองออกไปยังผู้คนรอบข้างได้พึ่งพาอาศัยความดีนั้นๆได้ ก็จะเรียกว่าท่านผู้นั้นว่า เป็นผู้มีบารมี ก็คือ มีความดีให้เป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ ก็คล้ายๆกับคนมีอำนาจหรือเปล่า ผู้มีอำนาจในปัจจุบันก็คิดว่า ตนเองจะต้องมีปืนมากๆหลายๆกระบอก มีมือปืนเลี้ยง มีซุ้มมือปืนมีบริวาร มีเงินทอง มีลูกไล่ มีลูกน้อง แล้วตัวเองก็เป็นเจ้านายใหญ่ แล้วก็ทำตัวเองเป็นช้างชูงวง ปูชูก้าม แล้วก็แสดงอวดอำนาจบาตรใหญ่ หรืออวดเดช อวดศักดา แต่อำนาจเหล่านี้มันมีอายุขัยนะคุณมนัส อายุขัยก็เท่ากับอายุขัยของการเงิน อายุขัยของมือปืน อายุขัยของวัตถุที่เรายึดถือเพื่อแสดงอำนาจ และแม้ที่สุดก็คืออายุขัยของคนผู้เป็นเจ้าของอำนาจ
แต่อำนาจที่มันไม่มีอายุขัย อำนาจที่มันอยู่ยั่งยืนยาวนาน อำนาจที่เกิดขึ้นแล้ว มันไม่มีวันเสื่อมหรือว่าจะเสื่อมได้ยาก แล้วก็ผู้คนทั้งหลายก็ยอมรับโดนศิโรราบโดยดุษฎี โดยมอบกายถวายชีวิตก็คือ อำนาจที่เกิดจากศรัทธา อำนาจที่เกิดจากปัญญา อำนาจที่เกิดจากเมตตา อำนาจที่เกิดจากคุณงามความดี ดูตัวอย่างง่ายๆ เอาเป็นว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านมีพระชนมายุเท่าไหร่ถึงวันนี้ คุณมนัสว่าอายุเท่าไหร่ พระศาสนานี้อายุเท่าไหร่แล้ว 2600 กว่าแล้ว 2600 กว่าปีแล้ว เราท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่นี่หรือที่รับชมรายการนี้ มีใครเคยเห็นหน้าพระพุทธเจ้าไม๊ มีใครเคยเป็นญาติสนิทสนมกับพระผู้มีพระภาคเจ้า พระอรหันตเจ้าองค์นั้นบ้าง เราไม่เคยมีใครรู้จัก เคยพบ แม้ที่สุดเราก็ยังเดาไม่ได้ว่า หน้าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร ได้แต่เชื่อกันว่าพระพุทธเจ้าหน้าตาเหมือนพระพุทธรูป แต่เราทำไมยังต้องมาไหว้พระพุทธรูปเป็นสัญญาลักษณ์ของพระพุทธเจ้า ก็เพราะว่าพระองค์ทรงมีพระอำนาจ และอำนาจของพระองค์เป็นที่ยอมรับของปวงชน ของมหาชน ของคนทั้งโลกทั้งจักรวาล แม้แต่พรหม มารก็ยังบูชาเทิดทูน แล้วพระองค์มีอะไรเป็นอำนาจ พระองค์มีพระปัญญาธิคุณ มีพระมหากรุณาธิคุณ ทรงมีพระบริสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ พระมหากรุณาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ คือคุณงามความดี พูดเป็นภาษชาวบ้าน เป็นอำนาจของพระองค์ เพราะฉะนั้น อำนาจของพระองค์จึงยั่งยืนยาวนานถาวรตลอดกาลตลอดสมัย 2000 กว่าปี แม้ไม่มีใครรู้จักเลย ไม่มีใครเคยพบหน้าเจอะเจอพระองค์ แต่ก็อยากที่จะเข้าใกล้ อยากที่ไหว้เทิดทูนบูชา แม้อยากจะมอบกายถวายชีวิต
อำนาจอย่างนี้ต่างหากเล่า เป็นอำนาจที่แท้จริง เป็นอำนาจที่ยั่งยืนยาวนาน และเป็นอำนาจที่รังสรรค์ และสร้างเสริม ส่งเสริมสนับสนุนและทำให้คนมีความสุขสมบูรณ์ รุ่งเรือง เจริญแล้วก็ร่ำรวยไปด้วยคุณงามความดี แต่อำนาจที่มาจากการกดขี่ข่มเหง อำนาจที่ได้มาจากการจัดตั้ง การเลือกตั้ง การยัดเยียด แสดงอำนาจบาทใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจยุทโธปกรณ์ อำนาจเดชศักดาใดๆ ก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับอำนาจแห่งพระเมตตาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระปัญญาคุณ
ที่จริงทุกคนมีสิทธิ์สร้างอำนาจอย่างนี้นะคุณ เหมือนเมื่อคืนนี้ก็มีคนถามชั้นเหมือนกันว่า ระหว่างพระโพธิสัตว์กับสรรพสัตว์ มีข้อเกิดแตกต่างกันอย่างไร มีแดนเกิด และที่เกิดแตกต่างกันอย่างไร ชั้นก็ตอบเค้าว่า แค่เมื่อใดที่คุณรู้จักที่อยากจะช่วยเหลือคนอื่น อยากจะอนุเคราะห์การุณคนอื่น อยากอุดหนุน อุปถัมภ์บำรุงดูแลคนอื่น ส่งเสริมคนอื่น เมื่อนั้นคุณเป็นพระมหาโพธิสัตว์ แต่ถ้าเมื่อใดคุณอยากจะเอาเปรียบ จิตใจคับแคบ ตระหนี่ และเห็นแก่ตัว คุณก็คือ สามัญสัตว์
เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตว์กับสามัญสัตว์ก็อยู่ในตัวเรา อำนาจบาทใหญ่ อำนาจที่ได้มาจากการเจริญบารมีธรรม ไม่ใช่บารมีในยุคปัจจุบันนะ เป็นบารมีธรรม เป็นบารมีที่ทำดี คิดดี พูดดี มันอยู่กับคนๆเดียว เมื่อใดที่คุณเลือกจะทำบารมีธรรม ทำดี คิดดี พูดดี คุณอาจจะสร้างบารมี สร้างอำนาจได้ แต่ถ้าเมื่อใดที่คุณแสดงตน เป็นคนมีอำนาจบาทใหญ่ แสดงตนเป็นคนพูดไม่ดี ทำไม่ดี คิดอัปรีย์ แม้คุณจะพยายามสร้างอำนาจมากมายซักเท่าไร แสดงอำนาจบาทใหญ่มากมายขนาดไหน คุณก็อาจรักษาอำนาจนั้นได้อย่างไม่ยั่งยืนยาวนาน บางทีบางครั้งอาจจะไม่ต้องรอตัวเองตาย แค่ชั่วข้ามชั่วคืน ชั่วเผลอ อำนาจนั้นก็อาจเลือนหายไปได้ เรียกว่า อำนาจแบบช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง เป็นอำนาจที่เกิดจากการต่อรอง การจัดตั้ง จากการสดงอำนาจบาทใหญ่
เพราะฉะนั้น ถ้าเราปรารถนาที่จะเป็นผู้มีอำนาจจริงๆ ไม่ยากอะไร แค่ทำตัวเองให้รู้สึกศรัทธาในตัวเองให้ได้ก่อน บูชาตัวเองให้ได้ ไหว้ตัวเองให้ได้ ยอมรับตัวเองให้ได้ แล้วก็ 2 ขาแข็งแรง 2 มือทำได้ 1 ตัวตั้งมั่น 1 หัวคิดออก แล้วก็คิดแต่เรื่องดีๆ เหล่านี้เป็นกระบวนการสั่งสมอำนาจทั้งนั้น เพราะเมื่อใดที่เราไหว้ตัวเองได้ บูชาตัวเองถูก ยอมรับตัวเองสนิท ก็เป็นการทำให้ตัวเองเชื่อมั่นตัวเอง และก็เป็นการสร้างอำนาจต่อรองให้กับตัวเอง อะไรที่จะเป็นเรื่องไม่งดงาม ไม่ดีงาม ไม่ถูกต้อง มีแต่เรื่องบกพร่อง เราก็จะต่อรองได้ เราก็จะขัดเกลา เลือกสรร คัดแยก แล้วก็แจกแจงได้อย่างเหมาะสม ชนิดที่ตรงต่อเป้าประสงค์และชัดเจน แล้วเราก็จะทำแต่สิ่งที่งดงามอย่างยั่งยืนยาวนานและถาวร
เพราะฉะนั้นรวมๆสรุป อำนาจที่ยั่งยืนจริงๆ วิเศษจริงๆและถาวรจริงๆ มีอายุขัยยาวนานอย่างแท้จริงก็คืออำนาจที่ได้จากการทำดี พูดดี คิดดี เกิดจากตัวเราก่อน แล้วเมื่อเราทำจนกลายเป็นที่ยอมรับของตัวเองแล้วคนอื่นพึ่งพาอาศัยความดีของเราได้ เมื่อนั้นเราก็กลายเป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้มีอำนาจอย่างมั่นคง และรุ่งเรืองเจริญยิ่ง ทำดีมากขึ้น เจริญมากขึ้น เราก็ยิ่งมีอำนาจมากขึ้น เหมือนกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครู่นี้พวกคุณได้ฟังวิธีที่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจ ทรงพระราชดำริ ทรงงานเพื่อความสุขของอานาประชาราษฎร์ของพระองค์ เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยามด้วยทศพิธราชธรรมที่พระองค์ทรงลงมือประพฤติปฏิบัติอย่างแท้จริง ทำให้พระองค์ทรงมีอำนาจในหัวใจคนไทยทุกคน แม้แต่คนทั้งโลกก็ยังยอมรับยกย่องพระองค์ เป็นเจ้าเหนือเจ้า เรียกว่า king of the king ก็คือ เป็นเจ้าที่ยิ่งใหญ่เหนือเจ้าทั้งปวง เป็นราชาที่เหนือราชาทั้งปวง อย่างนี้เรียกว่าต้นแบบแห่งการสร้างอำนาจจริงๆ ซึ่งเราอาจจะไปย้อนตามดูพระผู้มีพระภาคเจ้าคงไม่ทันแล้ว แต่เราสามารถย้อนตามดูอัตตชีวประวัติ พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ได้ว่า วิธีสร้างอำนาจอย่างเที่ยงแท้ ยั่งยืนยาวนานและอย่างมั่นคงถาวรในพระราชกรณียกิจ ในผลงานของพระองค์ ในวิธีทรงดำริ ทรงริเริ่ม ทรงงานของพระองค์ ทำให้เอื้อประโยชน์ต่อประชาชนคนในชาติมากน้อยแค่ไหนอย่างไร
เพราะฉะนั้นสิ่งที่ชั้นอยากจะบอกพวกคุณว่า การจะมีอำนาจอย่างยั่งยืนถาวรนั้นก็คือ ต้องพึ่งตัวเองให้ได้ เป็นที่พึ่งของคนอื่นได้อย่างชนิดที่จริงใจ ตั้งใจ จริงใจ แล้วก็บริสุทธิ์ใจ
จริงใจ ตั้งใจ จริงจัง แล้วก็บริสุทธิ์ใจ นั่นคือ กระบวนการสร้างอำนาจให้กับตัวเอง
คุณมนัส ถ้าอย่างนั้น คนเราทุกคนเกิดมา อำนาจเท่ากันไม๊ครับ
หลวงปู่ เกิดมาครั้งแรก ก็อำนาจเท่ากัน แต่มันจะต่างกันตรงที่จะทำหรือไม่ทำ มันก็มีกระบวนการข้างหลังอยู่อีกอย่างหนึ่ง ที่จะสั่งสมอบรมทำให้อำนาจปัจจุบันรุ่งเรือง เจริญ หรือไม่รุ่งเรือง เจริญเหมือนกันนะ ที่เค้าเรียกกันว่า อดีตกรรม คือผลแห่งกรรมในอดีตของตน ก็เป็นฐานอย่างหนึ่งในการที่จะเกื้อหนุนให้ตนเป็นผู้มีอำนาจรุ่งเรืองเจริญ หรือว่า เสื่อมทรามลง ตัวอย่างเช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านเป็นผู้ทรงพระราชอำนาจ แล้วก็ทรงทศพิธราชธรรม นั่นเป็นเพราะพระองค์ทรงมีมหากุศลกรรมดีมาแล้วแต่อดีต เรียกว่ามีบุพเพกตบุญตา คือ ทำดีมาแล้วแต่อดีต คือได้เกิดเป็นพระราชา มหากษัตริย์ ทรงได้เกิดเป็นพระราชา มหากษัตริย์แล้วถามว่า ราชาทุกพระองค์มีพระราชอำนาจ พระราชกรณียกิจเป็นที่ยอมรับของชาวโลกได้อย่างนี้หรือไม่ ก็ไม่ทุกพระองค์ เพราะบ้านเมืองเรา ก็มีราชาตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ราชวงศ์จักรี ราชวงศ์ปราสาททอง ก็มีพระราชา พระมหากษัตริย์มากมาย แต่เรารู้จักพระราชาสักกี่องค์ในราชวงค์ต่างๆ เราบูชา ยอมรับ เทิดทูนเคารพ นบนอบ มอบกายถวายชีวิตพระราชาเหล่านั้นสักกี่องค์ นั่นเป็นเพราะว่า เราจะมารอหวังพึ่งบุพเพกตบุญตา คือความดีที่ทำมาแล้วแต่กาลก่อนอย่างเดียวโดยไม่ทำความดีใหม่บ้างเลยก็คงจะไม่ได้ เพราะด้วยเหตุผลว่า รอบุญเก่าแล้วบุญใหม่ไม่ยอมทำ รอจะกินอำนาจเก่า อำนาจใหม่ไม่ยอมสั่งสม รอจะกินบารมีเก่า บารมีใหม่ไม่ยอมเพิ่มพูน มันก็คงจะไม่เหลืออะไร
เพราะฉะนั้นมันมีเหตุ มีปัจจัยเหมือนกัน ไม่ใช่เกิดมาแล้วจะมีอำนาจเท่ากันหมด ทั้งหมดไม่จริงแท้เสมอ มันขึ้นอยู่กับว่า ท่านผู้นั้น จะทำอะไร จะเลือกอะไร จะคิดอะไร แล้วจะรังสรรค์ให้เกิดประโยชน์หรือเกิดโทษอย่างไรต่อชีวิตตนและคนรอบข้าง สรุปแล้ว ก็คือ มาจากตัวเองนั่นแหละ มาจากสติปัญญา ความรู้ความสามารถและวิธีทำ พูด คิดของตน จบ