ใต้ร่มธรรม

บล็อก => บทความ (Blog) => ข้อความที่เริ่มโดย: lek ที่ ธันวาคม 02, 2010, 08:32:47 pm

หัวข้อ: ปรัชญาชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: lek ที่ ธันวาคม 02, 2010, 08:32:47 pm
คาลิล ยิบราน
KHALIL GIBRAN



                คาลิล ยิบราน เกิดที่ Bechari ประเทศเลบานอน ในปี ค.ศ.๑๘๘๓ ตายที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. ๑๙๓๑ เป็นกวี นักเขียน และศิลปินที่ได้รับสมญานามว่า "วิลเลียมเบลคแห่งศตวรรษที่ ๒๐" บิดามารดาของยิบรานเป็นผู้มีการศึกษาและวัฒนธรรมดี ตระกูลทางมารดาได้ชื่อว่าเก่งดนตรีที่สุดในหมู่บ้าน ยิบรานได้แสดงฝีมือทางวาดเขียน ก่อสร้าง ปั้น และแต่เรียงความมาตั้งแต่เยาว์วัย เมื่ออายุ ๘ ปีก็สนใจและเข้าใจซาบซึ้งในงานของไมเคิล แอนเยลโลและเลโอนารโดดารวินชิ ในปี ๑๘๙๕ ครอบครัวของเขาได้เดินทางไปตั้งรกรากยังสหรัฐอเมริกา แต่เมื่ออายุได้สิบสี่ปีครึ่ง ยิบรานก็เดินทางกลับมายังเลบานอนและเข้าเรียนในสถานศึกษาภาษาอาหรับของซีเรีย ต่อมาเขาได้เดินทางไปศึกษาศิลปะกับโรแดง ( Rodin) ปฏิมากรชาวฝรั่งเศสที่ Ecole des Beaux Arts ในกรุงปารีส ในปี ค.ศ. ๑๙๑๒ ยิบรานเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาและพำนักอยู่ในกรุงนิวยอร์ค และที่นั่นเอง เขาก็ได้ริเริ่มก่อตั้งสมาคมนักเขียนชาวอาหรับ (Arabic P.E.N. Club) และได้เป็นนายกของสมาคมด้วย
                งานประพันธ์ของยิบรานได้มีอิทธิพลจูงใจคนรุ่นหลังมาก ทั้งผู้ใช้ภาษาอาเรบิคในประเทศอาหรับและในอเมริกา ตลอดทั้งยุโรป เอเชีย ตั้งแต่ประเทศจีนถึงสเปน งานชิ้นแรกๆ ของยิบราน เป็นบทเขียนและบทกวีภาษาอาหรับ งานเหล่านั้นแสดงทัศนะเห็นแจ้งในธรรมะ ความงดงามในท่วงทำนอง และแนวใหม่ที่จะเข้าแก้ปัญหาของชีวิต ยิบรานเริ่มใช้ภาษาอังกฤษในการเขียนของเขาตั้งแต่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปี งานชิ้นที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาคือ ชิ้นที่ชื่อ "THE PROPHET" ซึ่งกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน งานชิ้นนี้ได้ถูกแปลถ่ายทอดเป็นภาษาต่างๆ ไม่น้อยกว่าสิบสามภาษา อ่านกันแพร่หลายอย่างยิ่งทั่วโลก ยิบรานได้บรรจุหลักสัจธรรมไว้ด้วยสำนวนกวีอ่านง่ายแต่ไพเราะ เข้าถึงชนทุกชั้น นับเป็นทั้งบทกวี ปรัชญาและธรรมะ พร้อมกันไปในตัว บุคคลในหลายเชื้อชาติและต่างลัทธิศาสนาจำนวนมากได้ยึดถือเอาคำสอนในงานชิ้นนี้เป็นเสมือนประทีป นำแนวทางแห่งการดำรงชีวิต ทั้งนี้เพราะสัจธรรมนั้นเป็นของกลาง แม้ว่าจะกล่าวออกมาในเปลือกหุ้มใดๆ ก็มีธรรมชาติอันแท้เป็นสมบัติของมนุษย์ทั่วไปไม่ว่าชาติ ภาษา หรือลัทธิใด ศาสนาใด
                ข้าพเจ้าแปลงานชิ้นนี้เป็นภาษาไทย ตั้งแต่ราว พ.ศ. ๒๔๙๐ ได้คัดบางส่วนลงพิมพ์ในที่หลายแห่ง ต้นฉบับแปลสมบูรณ์หายไปในระหว่าง พ.ศ. ๒๔๙๗ - ๘ จึงได้แปลใหม่อีกครั้งหนึ่ง ตัวอัลมุสตาฟาในเรื่องตอบปัญหาหลักธรรมถึง ๒๖ หัวข้อด้วยกัน ล้วนบรรจุข้อปรัชญาอันลึกซึ้งและไพเราะด้วยลีลากวีไว้ทั้งสิ้น ข้าพเจ้าได้พยายามถ่ายทอดความไพเราะของต้นฉบับเดิมออกมาอย่างเต็มที่แล้ว เชื่อว่าท่านที่สนใจคงจะได้รับรสและความซาบซึ้งจากฉบับแปลนี้ตามสมควร

ระวี ภาวิไล
มีนาคม ๒๕๐๔


คำนำผู้แปล



               ข้าพเจ้ามีความยินดีที่สำนักพิมพ์ศึกษิตสยามดำเนินการจัดพิมพ์หนังสือแปลสาธนา ปรัชญานิพนธ์ของท่านรพินทรนาถ ฐากูร และ ปรัชญาชีวิตของ กวี คาลิล ยิบราน พร้อมกัน ๒ เล่ม หนังสือเล่มแรกนั้นข้าพเจ้าได้จัดพิมพ์ขึ้นเป็นครั้งแรก แจกเป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพมารดาของข้าพเจ้าเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๐๘ สำหรับงานของคาลิล ยิบรานนั้นสำนักพิมพ์บริการทองได้จัดพิมพ์เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔ และในระยะหลังๆ นี้ได้มีผู้ปรารภต้องการได้ไว้เสมอๆ แม้ว่างานประพันธ์ทั้งสองจะแตกต่างด้วยพื้นเพวัฒนธรรมและขนบประเพณีของผู้รจนา เพราะเหตุด้วยชาติกำเนิด ผิวพรรณและภูมิศาสตร์ แต่เนื้อแท้ของงานทั้งสองนั้นก็กล่าวถึงเรื่องเดียวกันคือ ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับชีวิตและสังคม
              ข้าพเจ้ามีความภาคภูมิใจในงานแปลทั้งสองนี้ประการหนึ่งคือ เป็นงานที่ได้ดำเนินมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่ายี่สิบปีด้วยความรัก อีกประการหนึ่งนั้น แม้กาลเวลาได้ผ่านมานานฉะนี้แล้ว เมื่อข้าพเจ้าย้อนมาอ่านทบทวนดูใหม่ ก็ยังไม่ได้พบว่าตนเองเติบโตเกินที่จะต้องการรับฟังความนึกคิดในบทประพันธ์ทั้งสองนี้ ในความนึกคิดส่วนตัวของข้าพเจ้าแล้ว บทประพันธ์ทั้งสองบรรจุข้อคิดและคำสอนมากมายที่มีคุณค่าแก่ชีวิต และไม่เปลี่ยนแปรไปตามยุคและสมัย ขอท่านผู้สนใจทั้งหลายได้โปรดพินิจพิเคราะห์ด้วยวิจารณญาณของตนเองเถิด.


ระวี ภาวิไล
๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๑




--------------------------------------------------------------------------------


ขอขอบพระคุณ คุณรไมยา
มิตรผู้ี่กรุณาเอื้อเฟื้อต้นฉบับ
พร้อมทั้งคีย์อักษร
หัวข้อ: การมาถึงแห่งนาวา
เริ่มหัวข้อโดย: lek ที่ ธันวาคม 02, 2010, 08:34:54 pm
การมาถึงแห่งนาวา

 


อัลมุสตาฟา ผู้บริสุทธิ์และเป็นที่รัก
ผู้เป็นเสมือนรุ่งอรุณในสมัยของท่าน
ได้อยู่ในเมืองออร์ฟาลีสเป็นเวลาสิบสองปี
เพื่อรอเรือซึ่งจะนำท่านกลับไปยังเกาะแห่งการเวียนเกิด

     ในปีที่สิบสอง วันที่เจ็ดของเดือนแห่งการเก็บเกี่ยว
ท่านขึ้นไปบนภูเขานอกกำแพงเมือง
และมองออกไปในท้องทะเล
และก็เห็นเรือแล่นฝ่าหมอกเข้ามา
ทันใดทวารแห่งดวงใจของท่านก็เปิดออก
ความปิติชื่นชมโบยบินออกไปในสมุทร
ท่านหลับตาและสวดภาวนาในความเงียบสงัด
ขณะเมื่อท่านเดินลงจากภูเขา
ความเศร้าสลดได้บังเกิดขึ้นในใจและท่านคิดว่า
เราจะไปโดยความสงบและปราศจากความเศร้าโศกได้อย่างไร
ไม่ได้ เราจะจากเมืองนี้ไปโดยปราศจากความเจ็บปวดไม่ได้

วันอันเต็มไปด้วยทุกข์ทรมานซึ่งเราได้อยู่ในกำแพงเมืองนี้
ยืดยาวและคืนอันเปล่าเปลี่ยวก็เนิ่นนาน
ใครนะที่อาจจะจากความเจ็บปวด
แลความเปล่าเปลี่ยวของตนเองไปโดยไม่รู้สึกเสียใจได้
บนถนนเหล่านี้ เราได้มีสิ่งที่รักมาก
และลูกหลานแหงความเฝ้าคอยของเรา
ก็เดินเปลือยร่างอยู่ตามเนินเขานี้มากมาย
และเราก็ไม่อาจจากสิ่งเหล่านี้ไปได้โดยปราศจากความปวดร้าว
สิ่งที่เราจะสละวางลงวันนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงแต่เครื่องนุ่งห่ม
แต่เป็นเนื้อหนังของเราแท้ ๆ ที่เราจะฉีกด้วยมือตนเอง
และสิ่งที่เราจะละไว้เบื้องหลัง ก็ไม่ใช่เพียงความคำนึง
แต่เป็นดวงใจที่งดงามด้วยความหิว และความกระหาย
แต่เราก็ไม่อาจอยู่ต่อไปได้
ห้วงสมุทรอันเรียกสรรพสิ่งเข้าสู่ตนได้เรียกร้องเราแล้ว
และเราก็ต้องลงเรือ เพราะการที่จะยับยั้งอยู่นั้น
ถึงแม้ว่าโมงยามจะลุกไหม้ในราตรี
เราก็จะเย็นตัวแข็งและถูกจำกัดในแบบพิมพ์
ที่จริงเราอยากจะนำสิ่งทั้งหมดนี้ไปด้วย
แต่จะทำอย่างไรได้เล่า

เสียงพูดไม่อาจนำเอาลิ้นและริมฝีปากซึ่งให้ปีกแก่มันไปด้วยได้
มันจะต้องเคลื่อนไปในเวหาแต่เดียวดาย
และนกอินทรีบินผ่านดวงอาทิตย์ก็แต่ลำพังตนเองไม่ได้นำรังไปด้วย

บัดนี้ เมื่อท่านลงมาถึงเชิงเขา
ท่านก็หันหน้าออกไปทางทะเลอีก
และก็เห็นเรือกำลังเข้ามาในอ่าว
มีกะลาสียืนอยู่บนกราบ เป็นคนจากบ้านเกิดของท่าน
ดวงวิญญาณของท่านก็กู่เรียกเขาเหล่านี้ และท่านพูดว่า

   บุตรแห่งมารดาของเรา เธอผู้สัญจรไปกับคลื่น
บ่อยครั้ง เธอได้แล่นใบในความฝันของเรา
และบัดนี้เธอมาในตื่นซึ่งเป็นความฝันอันลึกกว่า
เราพร้อมที่จะไป และความเร่งร้อนของเราก็คอยกระแสลมอยู่
ขอให้เราได้หายใจในอากาศอันสงัดนี้อีกสักครั้ง
ขอเพียงแต่มองกลับไปข้างหลังอีกสักครั้ง
แล้วเราก็จะมายืนอยู่ท่ามกลางพวกเธอ
ชาวทะเลในหมู่ชาวทะเล และห้วงสมุทรกว้าง
มารดาผู้มิรู้หลับผู้ซึ่งเป็นศานติและอิสรภาพของแม่น้ำและลำธาร
ขอลำธารนี้วกวนอีกสักครั้ง
ขอเพียงแต่ได้รำพึงในหมู่ไม้นี้อีกสักครั้ง
แล้วเราก็จะมาสู่ท่าน...
หยดน้ำ...สู่ห้วงสมุทรอันไร้เขต

ขณะที่ท่านเดินลงมา
ท่านก็เห็นชายและหญิงละมือจากท้องทุ่งและไร่องุ่นของเขา
และรีบมาที่กำแพงเมือง ท่านได้ยินเสียงเขาเหล่านั้นเรียกชื่อของท่าน
พร้อมกับตะโกนบอกกันถึงข่าวเรือของท่านมาถึง
แล้วท่านรำพึงว่า

วันแห่งการจากไป ควรจะเป็นวันเก็บเกี่ยวด้วยหรือไม่
และในอนาคตกาลนั้น ควรจะเป็นที่กล่าวกันหรือไม่ว่า
สันธยากาลแห่งเรานั้นแท้จริงก็เป็นรุ่งอรุณด้วย
เรามีอะไรสำหรับให้แก่ผู้ที่วางคันไถมา
หรือแก่ผู้ที่รีบหยุดล้อเครื่องบดองุ่น เพื่อมาหาเรา

ควรแล้วหรือมิใช่ที่ดวงใจเราจะเป็นประหนึ่งต้นไม้ผลดก
ซึ่งเราจะเก็บแจกจ่ายแก่เขาเหล่านั้น
และความปรารถนาของเราก็ควรที่จะไหลรินดังธารน้ำพุ
เพื่อว่าจะได้เติมถ้วยของเขาให้เต็ม
ควรแล้วหรือมิใช่ที่เราจะเป็นดังพิณ
เพื่อว่าพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้าจะได้สัมผัส
หรือเป็นขลุ่ยซึ่งลมหายใจของพระองค์จะเป่าผ่าน
เรานี้เป็นผู้เสาะแสวงหาความสงัด
และสมบัติใดเล่าที่เราพบในความสงัดนั้น
อันเราจะให้แก่เขาได้ด้วยความมั่นใจ
ถ้าหากวันนี้เป็นวันเก็บเกี่ยวของเรา
ก็เราได้หว่านเมล็ดพันธุ์ไว้ในท้องทุ่งใด
และในฤดูกาลอันเลือนรางใดเล่า ถ้าหากบัดนี้
เป็นชั่วโมงที่เราจะชูประทีปขึ้น
เปลวประทีปนั้นจะไม่ใช่ของเรา
เราจะชูประทีปขึ้น ว่างเปล่าและมืด
แล้วผู้พิทักษ์ราตรีจะเติมเชื้อเพลิงและจุดมันขึ้นด้วย
ท่านรำพึงสิ่งเหล่านี้เป็นคำพูด
แต่ก็มีอีกมากมายในใจซึ่งไม่ได้พูด
เพราะว่าท่านเองไม่อาจกล่าวความนึกคิดอันล้ำลึกของตนได้

เมื่อท่านถึงในเมือง ฝูงชนก็มาหา
และร้องเรียกท่านเป็นเสียงเดียว
บรรดาผู้เฒ่าออกมาข้างหน้า
และพูดว่า โปรดอย่าเพิ่งด่วนจากเราไปเลย
ท่านได้เป็นเสมือนกาลเที่ยงในยามค่ำของเรา
และความหนุ่มของท่านได้ให้ความฝันแก่เราเพื่อจะฝัน
ท่านนี้ไม่ได้เป็นผู้แปลกหน้าของเรา
และก็ไม่ได้เป็นเพียงผู้เยี่ยมเยียน
แต่เป็นดังบุตรและเป็นที่รักยิ่งของเราแท้ ๆ
อย่าเพ่อให้ดวงตาของเราต้องเจ็บปวด
เพราะไม่ได้เห็นหน้าของท่านเลย

นักบวชทั้งชายและหญิงก็กล่าวแก่ท่านว่า
ขออย่าให้ระลอกคลื่นแยกเราจากกันเสียแต่บัดนี้เลย
ขออย่าเพ่อให้ขวบปีที่ท่านอยู่ในหมู่เรากลายเป็นแต่ความทรงจำ
ท่านได้เดินอยู่ในท่ามกลางเรา ดังดวงวิญญาณ
และเงาของท่านได้เป็นดังแสงสว่างบนใบหน้าของเรา
เรารักท่านมาก แต่ความรักของเราไร้คำพูด ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าคลุม
แต่บัดนี้ มันร้องเรียกท่านแล้วด้วยเสียงอันดัง
และก็จะยืนเปิดเผยตนเองเฉพาะหน้าท่าน
และเป็นที่กล่าวกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่า
ความรักไม่รู้ความล้ำลึกของตนเอง
จนกว่าจะถึงชั่วโมงของการจากพราก

คนอื่นก็เข้ามาร่วมอ้อนวอนท่านด้วย
และท่านไม่ตอบ ท่านเพียงแต่ก้มศีรษะ
และผู้ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็เห็นน้ำตาของท่านร่วงลงสู่หน้าอก
แล้วท่านพร้อมฝูงชนก็พากันเดินไปยังจตุรัสใหญ่หน้าวิหาร
และก็มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ อัลมิตรา เดินออกมาจากวิหารนั้น
เธอเป็นผู้เห็นธรรม และท่านก็มองเธอด้วยความอ่อนโยนยิ่ง
เพราะว่าเธอเป็นคนแรกที่ได้พบและฟังคำกล่าวของท่าน
เมื่อครั้งที่ท่านมาถึงเมืองได้เพียงวันเดียว
และเธอก็แสดงคารวะต่อท่าน พร้อมกับพูดว่า

ท่านผู้แทนของพระผู้เป็นเจ้า
ท่านผู้แสวงหาสิ่งสูงสุด
ท่านได้เฝ้ามองขอบฟ้ารอเรือของท่านเป็นเวลานาน
บัดนี้เรือของท่านมาถึงแล้ว และท่านจำต้องไป
ความใฝ่ฝันถึงดินแดนแห่งความทรงจำของท่านนั้นลึกซึ้งแนบแน่น
และความรักของเราก็ไม่อาจผูกพันท่านไว้ได้
หรือความปรารถนาของเราก็ไม่อาจเหนี่ยวรั้งท่านไว้ได้
แต่สิ่งนี้เราขอร้องก่อนที่ท่านจะจากไป
ขอท่านได้พูดแก่เรา และให้สัจธรรมแก่เรา
และเราก็จะได้ให้แก่ลูกหลานของเรา
และลูกหลานของเราก็จะได้ให้ถ่ายทอดต่อไป
และธรรมะนั้นก็จะไม่สูญ

   ในความโดดเดี่ยวของท่านนั้น
ท่านได้เฝ้ามองวันคืนของเรา
และในความตื่นของท่าน
ท่านก็ได้เฝ้าฟังเสียงสะอื้นและหัวเราะในความหลับของเรา
ดังนั้น ณ บัดนี้ ขอได้เปิดเผยแก่เราเอง
และได้บอกให้เราทราบถึงสิ่งที่ท่านได้ประจักษ์
อันมีอยู่ในระหว่างการเกิดและความตาย

     และท่านตอบว่า ประชาชนชาวออร์ฟาลีส
เราจะบอกอะไรแก่ท่านได้
นอกจากสิ่งที่เคลื่อนอยู่ในวิญญาณของท่านเอง แม้ขณะนี้
อัลมิตราพูดขึ้นว่า
ได้โปรดบอกเราถึงเรื่อง ความรัก
หัวข้อ: ความรัก
เริ่มหัวข้อโดย: lek ที่ ธันวาคม 02, 2010, 08:36:30 pm

ความรัก

และท่านก็เงยศีรษะขึ้นมองดูฝูงชน
เขาเหล่านั้นเงียบกริบ ท่านพูดด้วยเสียงอันดังว่า
เมื่อความรักร้องเรียกเธอจงตามมันไป
แม้ว่าทางของมันนั้นจะขรุขระและชันเพียงไร
และเมื่อปีกของมันโอบรอบกายเธอ จงยอมทน
แม้ว่าหนามแหลมอันซ่อนอยู่ในปีกนั้นจะเสียดแทงเธอ
และเมื่อมันพูดกับเธอ จงเชื่อตาม
แม้ว่าเสียงของมันจะทำลายความฝันของเธอ
ดังลมเหนือพัดกระหน่ำสวนดอกไม้ให้แหลกราญไปฉะนั้น

 เพราะแม้ขณะที่ความรักสวมมงกุฎให้เธอ
มันก็จะตรึงกางเขนเธอ
และขณะที่มันให้ความเติบโตแก่เธอนั้น
มันก็จะตัดรอนเธอด้วย
แม้ขณะเมื่อมันไต่ขึ้นไปสู่ยอดสูง
และลูบไล้กิ่งก้านอันแกว่งไกวในแสงอรุณ
แต่มันก็จะหยั่งลงสู่รากลึก
และเขย่าถอนตรงที่ยึดมั่นอยู่กับดินด้วย

ความรักจะรวบรวมเธอเข้าดังฝักข้าวโพด
มันจะแกะเธอออกจนเปลือยเปล่า
แล้วมันจะร่อนเพื่อให้เธอหลุดจากเปลือก
มันจะบดเธอจนเป็นผงขาวแล้วก็จะขยำจนเธออ่อนเปียก
แล้วมันก็จะนำเธอเข้าสู่ไฟอันศักดิ์สิทธิ์ของมัน
เพื่อว่าเธอจะได้กลายเป็นอาหารทิพย์ของพระเป็นเจ้า
ความรักจะกระทำสิ่งทั้งหมดนี้แก่เธอ
เพื่อว่าเธอจะได้หยั่งรู้ความลับของดวงใจเธอเอง
และด้วยความรู้นั้นเธอก็จะได้เป็นส่วนหนึ่งของดวงใจแห่งชีวิตอมตะ
แต่ถ้าหากด้วยความกลัว
เธอมุ่งแต่แสวงหาความสงบสุขและความสำราญจากความรัก
ก็จะเป็นการดีกว่าที่เธอควรจะปกคลุมความเปลือยเปล่าของตน
และหลีกหนีออกไปเสียจากลานบด ไปสู่โลกอันไร้ฤดูกาล
ที่ซึ่งเธอจะหัวเราะก็ไม่เต็มที่และจะร้องไห้ก็ไม่เต็มที่
  ความรักไม่ให้สิ่งอื่นใดนอกจากตนเอง
และก็ไม่รับเอาสิ่งใดนอกจากตนเอง
ความรักไม่ครอบครอง และก็ไม่ยอมให้ถูกครอบครอง
เพราะความรักนั้นเพียงพอแล้วสำหรับตอบความรัก

เมื่อเธอรัก อย่าได้พูดว่า
พระผู้เป็นเจ้าอยู่ในดวงใจเรา
แต่ควรพูดว่าเราอยู่ในดวงใจพระผู้เป็นเจ้า
และอย่าได้คิดว่า
เธอสามารถนำแนวทางของความรักได้
เพราะถ้าความรักพบว่าเธอมีคุณค่าพอแล้ว
ก็จะเป็นผู้นำแนวทางของเธอเอง
ความรักไม่มีปรารถนาสิ่งอื่นใด
นอกจากที่จะทำตนเองให้สมบูรณ์
แต่ถ้าหากเธอรัก และจำต้องมีความปรารถนา
ก็ขอให้ความปรารถนาของเธอจงเป็นดังนี้

เพื่อจะละลายและไหลดังธารน้ำ
ซึ่งส่งเสียงเพลงกล่อมราตรี
เพื่อจะเรียนรู้ความปวดร้าว อันเกิดแต่ความอ่อนโยนละมุนละไมเกินไป
เพื่อจะต้องบาดเจ็บด้วยความเข้าใจในความรักของตนเอง
และเพื่อจะยอมให้เลือดหลั่งไหล
ด้วยความเต็มใจและปราโมทย์
เพื่อจะตื่นขึ้น ณ รุ่งอรุณด้วยดวงใจอันปิติ
และขอบคุณความรักอีกวันหนึ่ง
เพื่อจะหยุดพัก ณ ยามเที่ยง และเพ่งพินิจความสุขซาบซึ้งของความรัก
เพื่อจะกลับบ้าน ณ ยามพลบค่ำด้วยความรู้สึกสำนึกคุณ
และเพื่อจะหลับไปพร้อมกับคำสวดมนต์ภาวนา
สำหรับคนรักในดวงใจ
และเพลงสรรเสริญบนริมฝีปากของเธอ
หัวข้อ: การแต่งงาน
เริ่มหัวข้อโดย: lek ที่ ธันวาคม 02, 2010, 08:39:59 pm
การแต่งงาน

 

 

แล้ว อัลมิตรา ก็ถามต่อไปว่า
การแต่งงาน เล่าพระคุณท่าน
และท่านตอบว่า

   เธอเกิดมาด้วยกัน
และเธอก็จะอยู่ด้วยกันตลอดไป
เธอจะอยู่ด้วยกันแม้เมื่อปีกขาวของความตาย
ปัดกวาดวันคืนของเธอให้กระจัดกระจายไป
ถูกแล้วเธอจะอยู่ด้วยกัน
แม้ในความทรงจำอันสงัดของพระเป็นเจ้า
แต่ขอให้มีช่องว่างในการอยู่ด้วยกันของเธอ
และขอให้กระแสลมแห่งสวรรค์โบกโบยไปมาระหว่างเธอ

จงรักกันและกัน แต่อย่าสร้างพันธะแห่งรัก
และขอให้ความรักนั้น เป็นเสมือนห้วงสมุทร
อันเคลื่อนไหวอยู่ระหว่างฝั่งแห่งวิญญาณของเธอทั้งสอง
จงเติมถ้วยของกันและกัน แต่อย่าดื่มจากถ้วยเดียวกัน
จงให้ขนมปังแก่กัน แต่อย่ากัดกินจากก้อนเดียวกัน
จงร้องและเริงรำด้วยกัน และจงมีความบันเทิง
แต่ขอให้แต่ละคนได้มีโอกาสอยู่โดดเดี่ยว
ดังเช่นสายพิณนั้น ต่างอยู่โดดเดี่ยว
แต่ว่าสั่นสะเทือนด้วยทำนองดนตรีเดียวกัน
จงมอบดวงใจ แต่มิใช่ต่ออีกฝ่ายหนึ่ง
เพราะหัตถ์แห่งชีวิตอมตะเท่านั้นที่จะรับดวงใจของเธอไว้ได้
และจงยืนอยู่ด้วยกัน แต่อย่าใกล้กันนัก
เพราะว่าเสาของวิหารนั้นก็ยืนอยู่ห่างกัน
และต้นโพธิ์ ต้นไทรก็ไม่อาจเติบโตใต้ร่มเงาของกันได้
หัวข้อ: บุตร
เริ่มหัวข้อโดย: lek ที่ ธันวาคม 02, 2010, 08:42:03 pm
บุตร





และหญิงคนหนึ่งซึ่งกอดบุตรน้อยไว้กับอก พูดว่า
ได้โปรดพูดกับเราถึงเรื่อง บุตร และท่านตอบว่า

บุตรของเธอ ไม่ใช่บุตรของเธอ
เขาเหล่านั้นเป็นบุตรและธิดาแห่งชีวิต
เขามาทางเธอ แต่ไม่ได้มาจากเธอ
และแม้ว่าเขาอยู่กับเธอ แต่ก็ไม่ใช่สมบัติของเธอ
เธออาจให้ความรักแก่เขา แต่ไม่อาจให้ความนึกคิดได้
เพราะว่าเขาก็มีความคิดของตนเอง
เธออาจจะให้ที่อยู่อาศัยแก่ร่างกายของเขาได้
แต่มิใช่แก่วิญญาณของเขา
เพราะว่าวิญญาณของเขานั้นอยู่ในบ้านของพรุ่งนี้
ซึ่งเธอไม่อาจไปเยี่ยมเยียนได้แม้ในความฝัน
เธออาจพยายามเป็นเหมือนเขาได้
แต่อย่าได้พยายามให้เขาเหมือนเธอ
เพราะชีวิตนั้นไม่เดินถอยหลัง
หรือห่วงใยอยู่กับเมื่อวันวาน

 เธอนั้นเป็นเสมือนคันธนู
และบุตรหลานเหมือนลูกธนูอันมีชีวิต
ผู้ยิงเล็งเห็นที่หมายบนทางอันมิรู้สิ้นสุด
พระองค์จะน้าวเธอเต็มแรง
เพื่อว่าลูกธนูจะได้วิ่งเร็วและไปไกล
ขอให้การโน้มง้าวของเธอในอุ้งหัตถ์ของพระองค์
เป็นไปด้วยความยินดี
เพราะว่าเมื่อพระองค์รักลูกธนูที่บินไปนั้น
พระองค์ก็รักคันธนูซึ่งอยู่นิ่งด้วย
หัวข้อ: การบริจาค
เริ่มหัวข้อโดย: lek ที่ ธันวาคม 02, 2010, 08:45:05 pm
การบริจาค

 




               แล้วเศรษฐีคนหนึ่งพูดว่า
ได้โปรดกล่าวถึง การบริจาค และท่านตอบว่า

 เมื่อเธอบริจาคทรัพย์สมบัติของเธอ
เธอให้แต่เพียงเล็กน้อย
ต่อเมื่อเธออุทิศตนเองสิ
นั่นเป็นการให้อย่างแท้จริง
ทรัพย์สมบัติของเธอเองนั้นจะเป็นสิ่งอื่นใด
นอกจากสิ่งที่เธอเก็บและเฝ้าระแวดระวังไว้ด้วยกลัวว่า
พรุ่งนี้เธออาจต้องการมันอีก

เจ้าสุนัขจอมฉลาดที่ฝังชิ้นกระดูกไว้ในทราย
ขณะเมื่อมันเดินตามผู้แสวงบุญไปยังทิพยนคร
เพื่อมันจะได้กินอีกในวันพรุ่ง
- พรุ่งนี้มันจะได้กินละหรือ
ความกลัวว่าจะต้องการอีก มิใช่ความต้องการเองหรือ
ความพรั่นพรึงต่อความกระหาย
ทั้งๆ ที่บ่อน้ำของเธอก็ยังเต็มเปี่ยม
คือความกระหายอันมิรู้ดับมิใช่หรือ

บางคนมีมาก
แต่เขาบริจาคเพียงนิดเดียว และก็ให้เพื่อเอาชื่อ
และความปรารถนาอันเร้นอยู่นี้
ย่อมทำให้การบริจาคของเขามีราคี
บางคนมีอยู่น้อยแต่อุทิศให้ทั้งหมด
เขาเหล่านี้มีศรัทธาต่อชีวิต
และต่อความสมบูรณ์ของชีวิต
และถุงเงินของเขาไม่เคยว่างเปล่า
บางคนบริจาคไปด้วยความปราโมทย์
และความปราโมทย์นั้นเองเป็นผลตอบแทน
บางคนให้ไปด้วยความปวดร้าว
ความปวดร้าวนั้นย่อมชำระดวงใจของเรา
ยังมีบางคนให้ไป
โดยไม่รู้จักความเจ็บปวดในการให้
มิได้ให้โดยมุ่งหวังคุณความดีใดๆ
เขาบริจาคให้ดุจเดียวกับบุปผชาติ
อันส่งกลิ่นหอมตรลบอยู่ในหุบเขาโน้น
พระผู้เป็นเจ้ามีดำรัสผ่านมือของบุคคลเช่นนี้
พระองค์ทรงสรวลยิ้มกับพื้นพิภพผ่านดวงตาของคนเช่นนี้

เมื่อถูกร้องขอก็เป็นการดีที่จะบริจาค
แต่ที่ดีกว่านั้นก็คือให้ไปทั้งๆ ที่ไม่ถูกขอ
โดยความเข้าอกเข้าใจกัน
และสำหรับผู้ที่พร้อมจะบริจาคนั้น
การแสวงหาผู้รับ เป็นความปราโมทย์สูงกว่าการให้เสียอีก
และเธอยังมีอะไรที่หวงกันไว้อีกหรือ

พึงระลึกไว้ว่า
วันหนึ่งทุกสิ่งที่เธอมีอยู่นี้จะต้องถูกบริจาคไป
ดังนั้นจงบริจาคเสียแต่บัดนี้ เพื่อว่าสมัยแห่งการบริจาคนั้น
จักได้เป็นของเธอ มิใช่ทายาทของเธอ


เธอมักจะกล่าวว่า
เรายินดีให้แต่เฉพาะผู้สมควรได้รับ
ต้นไม้ในสวนของเธอ
หรือปศุสัตว์ในท้องทุ่งก็ไม่กล่าวเช่นนั้น
มันสละอุทิศเพื่อจะดำรงอยู่
เพราะการหวงกันหมายความถึงการแตกทำลาย
ผู้มีคุณค่าพอที่จะได้พบวันคืน
ทุกคนควรแก่การรับทุกสิ่งทุกอย่างจากเธอ
และผู้มีคุณค่าพอที่จะได้ดื่มด่ำจากมหาสมุทรแห่งชีวิต
ก็สมควรที่จะได้ตักตวงจากธารน้ำของเธอด้วย

คุณธรรมอันใดเล่าจักประเสริฐไปกว่า
คุณธรรมอันดำรงอยู่ในความอาจหาญ ความมั่นใจ
และยิ่งกว่านั้น ในบริจาคธรรมแห่งการรับบริจาค
และเธอผู้ต้องการให้มนุษย์เปิดเผยดวงใจของเขา
และทำลายความภาคภูมิใจในตนลง
เพียงเพื่อรับการบริจาคของเธอนั้น
เธอเองมีคุณธรรมวิเศษอะไร?
จงดูตนเองเสียก่อนว่า เธอนั้นควรแก่การเป็นผู้ให้
และเป็นเครื่องมือแห่งการให้

เพราะโดยแท้จริงแล้ว ชีวิตเป็นผู้ให้แก่ชีวิต
ส่วนเธอผู้คิดเอาว่าตนเป็นผู้ให้นั้น
เป็นเพียงพยานรู้เห็น
และสำหรับเธอที่เป็นผู้รับ
และเธอทั้งหลายก็คือผู้รับ
อย่าได้คิดกังวลเรื่องบุญคุณนัก
เพราะจะเป็นการสวมขื่อคาเข้ากับตนเองและผู้ให้ด้วย
แต่ขอให้ลอยขึ้นพร้อมกับผู้ให้
โดยของขวัญนั้นเป็นปีก
เพราะความรู้สึกเรื่องหนี้บุญคุณมากไปนั้น
คือการข้องใจในความอารีของเขา
ผู้มีพื้นพิภพเป็นมารดาและพระผู้เป็นเจ้าเป็นบิดา
หัวข้อ: การกินและการดื่ม
เริ่มหัวข้อโดย: lek ที่ ธันวาคม 02, 2010, 08:49:26 pm

การกินและดื่ม





        แล้วชายชราคนหนึ่ง เป็นเจ้าของโรงแรม กล่าวว่า
ได้โปรดพูดเรื่อง การกินและดื่ม ท่านกล่าวว่า

   เรานี้อยากจะให้เธอดำรงชีพอยู่ได้
ด้วยความหอมหวานของพื้นดิน
และหล่อเลี้ยงอยู่ได้ด้วยแสงสว่าง เช่นเดียวกับกล้วยไม้
แต่เนื่องด้วยเธอจำต้องฆ่าเพื่อกิน
และต้องฉกลักน้ำนมแม่โคจากลูกอ่อน
เพื่อบรรเทาความกระหาย
ก็ขอจงกระทำด้วยความคารวะบูชา
และขอให้โต๊ะอาหารของเธอเป็นเช่นแท่นสังเวย
ซึ่งสิ่งที่สดและบริสุทธิ์จากทุ่งนาป่าเขา
ถูกนำมาวางเป็นพลีแก่สิ่งสะอาดและบริสุทธิ์กว่า
อันดำรงอยู่ในมนุษย์

      เมื่อเธอฆ่าสัตว์ จงกล่าวแก่มันในดวงใจว่า
อานุภาพเดียวกับที่ประหารเธอ จะประหารเราด้วย
และเราเองด้วยจะถูกกลืนไป
เพราะกฎเกณฑ์อันนำเธอมาสู่อุ้งมือเรานั้น
จะนำเราไปสู่อุ้งหัตถ์อันทรงอานุภาพกว่าด้วย
เลือดของเธอและเลือดของเรานั้นมิใช่อื่นใด
ต่างก็เป็นน้ำหล่อเลี้ยงพฤกษาแห่งสวรรค์

เมื่อเธอกัดกินผลไม้ จงกล่าวแก่มันในใจว่า
เมล็ดพันธุ์ของเจ้าจักดำรงอยู่ในกายเรา
และดอกตูมในวันพรุ่งนี้ของเจ้า
ก็จักผลิบานในดวงใจเรา
และกลิ่นอันหอมระรื่นของเจ้า
จะเป็นลมหายใจของเรา
และเราก็จะร่วมเริงบันเทิงทุกฤดูกาล

และในฤดูใบไม้ร่วง
เมื่อเธอเด็ดพวงองุ่นนำจากไร่ไปสู่เครื่องบด
และเราก็จะถูกเก็บในภาชนะนิรันดรด้วย
เช่นเดียวกับเหล้าองุ่นใหม่ ในฤดูหนาว
เมื่อเธอรินเหล้าองุ่น
ขอให้เธอได้ร้องเพลงในดวงใจให้แก่แต่ละถ้วย
และในเพลงนั้นๆ ก็ขอให้มีความทรงจำ
ถึงวันในฤดูใบไม้ร่วง .....ถึงไร่องุ่น
และถึงเครื่องบดองุ่นด้วย

หัวข้อ: การงาน
เริ่มหัวข้อโดย: lek ที่ ธันวาคม 02, 2010, 08:54:23 pm
การงาน

 


แล้วชาวนาคนหนึ่งกล่าวว่า
ได้โปรดพูดถึงเรื่อง การงาน
และท่านตอบว่า

เธอทำงานก็เพื่อจะก้าวไปพร้อมกับพื้นพิภพ
และวิญญาณแห่งพื้นพิภพ
เพราะการที่จะเกียจคร้านอยู่นั้น
ก็คือการทำตนเป็นผู้แปลกหน้าต่อฤดูกาลทั้งหลาย
แลคือการก้าวออกไปจากขบวนแถวของชีวิต
ซึ่งกำลังดำเนินอย่างสง่าผ่าเผยและภาคภูมิไปสู่อนันตภาวะ

เมื่อเธอทำงานนั้น
เธอคือขลุ่ยซึ่งเสียงกระซิบแห่งโมงยาม
ผ่านดวงใจของเธอแปรเป็นดนตรี
เธอคนใดบ้างอยากเป็นไม้อ้อ ใบ้และเงียบ
ในขณะเมื่อสรรพสิ่งร่วมร้องเริงกันเป็นเสียงเดียว

เธอมักจะได้รับบอกเล่าบ่อยๆ ว่า
การทำงานคือคำสาปแช่ง
และการงานคือโชคร้าย
แต่เราขอบอกแก่เธอว่า
เมื่อเธอทำงานนั้น
เธอได้ยังความฝันอันไกลยิ่งของโลก
ให้สมบูรณ์ในส่วนที่ได้จัดไว้เฉพาะเธอ
ในเมื่อความฝันนั้นอุบัติขึ้น
และในการประกอบการงานนั้น
ก็คือการที่เธอรักชีวิตอย่างแท้จริง
และการรักชีวิตโดยทางการงานนั้น
ก็คือการเข้าถึงความลับอันล้ำลึกที่สุดของชีวิต

แต่ถ้าในความเจ็บปวดทรมาน
เธอกล่าวว่า การเกิดคือความทุกข์
และการดำรงเลี้ยงกายคือคำสาปอันจารึกบนคิ้ว
เราก็ขอตอบว่า ไม่มีสิ่งอื่นใด
นอกจากหยาดเหงื่อบนคิ้วนี้เท่านั้น
ที่จะลบรอยจารึกให้สิ้นไปได้

เธอได้รับคำบอกมาด้วยว่า
ชีวิตคือความมืด
และในความเหนื่อยอ่อนของเธอนั้น
เธอได้กล่าวสะท้อนคำกล่าวของผู้เหนื่อยอ่อนทั้งหลาย

และเราก็ขอบอกว่า
ชีวิตคือความมืดแน่แท้
เว้นเสียแต่เมื่อมีความมุ่งมาด
และความมุ่งมาดนั้นก็จะยังมืดบอด
ถ้าหากไร้ปัญญา
และปัญญาทั้งหลายก็คงจะเปล่าประโยชน์
ถ้าหากไม่มีการงาน
และการงานก็จะว่างเปล่า
เมื่อไม่มีความรัก
และเมื่อเธอทำงานด้วยความรักนั้น
เธอได้โอบตนเองเข้ากับตนเองเข้ากับผู้อื่น
และเข้าสู่พระผู้เป็นเจ้าแล้ว
ก็การที่จะทำงานด้วยความรักนี้คืออย่างไรเล่า

คือการทอผ้าด้วยเส้นด้ายที่ดึงจากดวงใจของเธอ
ราวกับว่าผืนผ้านั้นจะเป็นเครื่องนุ่งห่มของคนรักของเธอ
คือการสร้างบ้านขึ้นด้วยดวงใจเอิบอิ่มในความรัก
ประหนึ่งว่าเธอสร้างบ้านนั้นเพื่อคนรักของเธออยู่
เมื่อหว่านเมล็ดพันธุ์ก็ด้วยความละมุนละไม
และเก็บเกี่ยวผลอันผุดขึ้นด้วยความปราโมทย์
ดุจดังว่าที่รักของเธอจะเป็นผู้บริโภคผลนั้นๆ
คือการอาบรด ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอจับทำ
ด้วยลมหายใจจากวิญญาณของเธอ
และด้วยรู้อยู่ว่าท่านผู้ทรงคุณธรรมทั้งหลายผู้จากไปแล้ว
ยังยืนเคียงข้างและเฝ้าดูการงานของเธออยู่

บ่อยครั้งที่เราได้ยินเธอพูดดังเพ้อฝันว่า
นายช่างผู้แกะสลักหินอ่อน
และประจักษ์รูปร่างวิญญาณของตนเองในหินผานั้น
สูงศักดิ์กว่าชาวนาผู้คราดไถแผ่นดิน
และผู้ที่คว้าจับเอาสีสันแห่งสายรุ้ง
วางวางระบายบนผืนผ้าใบเป็นรูปร่างแบบมนุษย์นั้น
วิเศษกว่าช่างรองเท้า

แต่เราขอกล่าวว่า
มิใช่ในความหลับหลง
แต่ในความตื่นเต็มที่แห่งกลางเที่ยงนี้ว่า
สายลมนั้นมิได้กระซิบแก่ต้นกร่างใหญ่
ไพเราะไปกว่าแก่ใบหญ้าเล็กที่สุดเลย
และผู้ใดก็ตามที่แปรเสียงแห่งกระแสลม
เป็นทำนองเพลงอันหวานล้ำด้วยความรักของตนเอง
ผู้นั้นนับว่ายิ่งใหญ่โดยแท้

การงานคือความรักปรากฏตนเป็นรูปร่าง
และถ้าเธอไม่อาจประกอบการงานได้โดยมีความรัก
แต่ด้วยความจำใจเบื่อหน่าย
เธอก็ควรวางมือ และไปนั่งตามประตูโบสถ์
ขอทานท่านผู้ทำงานด้วยความชื่นชมจะดีกว่า

เพราะถ้าเธอปิ้งขนมอย่างไม่แยแส
เธอก็จะได้ขนมอันมีรสขม
และบรรเทาความหิวโหยของมนุษย์ได้เพียงครึ่งเดียว
และถ้าเธอบ่นขณะบีบองุ่น
การบ่นของเธอคือยาพิษซึ่งซาบซึมลงในน้ำองุ่นนั้น
และถึงแม้เธอจะร้องเพลงได้ด้วยเสียงดุจเทพธิดา
แต่ถ้าเธอมิได้รักการร้องเพลงนั้นแล้ว
เธอจะทำให้หูของมนุษย์หนวกต่อสำเนียงของวันและคืน



--------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: ความปราโทย์และความเศร้าโศก
เริ่มหัวข้อโดย: lek ที่ ธันวาคม 02, 2010, 08:56:34 pm
ความปราโมทย์
และความเศร้าโศก





 หญิงคนหนึ่งพูดขึ้นว่า
ได้โปรดกล่าวแก่เราถึง
ความปราโมทย์และความเศร้าโศก
และท่านตอบว่า

ความปราโมทย์ของเธอนั้น
คือความเศร้าโศกถอดหน้ากากออก
และจากบ่อเดียวกัน ที่เสียงหัวเราะของเธอผุดขึ้นมานั้น
บ่อยครั้งมันเปี่ยมไปด้วยน้ำตาของเธอ
มันจะเป็นอย่างอื่นใดได้อีกเล่า
ความเศร้าโศกยิ่งบาดลึกลงไปในผิวเนื้อของเธอได้เท่าใด
เธอก็จะสามารถเก็บเอาความปราโมทย์ได้มากขึ้นเพียงนั้น
ก็ถ้วยที่เธอรินใส่ถ้วยองุ่นนั้น
มันจะต้องถูกเผาในเตาอบของช่างปั้นก่อนมิใช่หรือ
และขลุ่ยที่เป่ากล่อมดวงใจเธอนั้น
มิใช่ไม้ที่ถูกบากเจาะด้วยมีดก่อนหรอกหรือ

ขณะเมื่อเธอปรีดาปราโมทย์
จงมองลึกลงไปในดวงใจ
และเธอก็จะพบว่า
สิ่งซึ่งได้เคยยังความเศร้าโศกแก่เธอนั้น
กำลังให้ความปราโมทย์แก่เธอ
ขณะเมื่อเธอเศร้าโศก
จงมองลงไปอีกและก็จะพบว่า
แท้จริงนั้น เธอกำลังสะอื้นไห้
ถึงสิ่งที่เคยก่อความยินดีมาแล้ว
เธอบางคนกล่าวว่า
ความปราโมทย์นั้นยิ่งใหญ่กว่าความเศร้าโศก
และอีกพวกแย้งว่า
ไม่ใช่ ความเศร้าโศกต่างหากที่ยิ่งใหญ่กว่า
แต่เราขอบอกแก่เธอว่า
มันมิอาจแยกจากกันได้ มันมาด้วยกัน
และขณะเมื่อสิ่งหนึ่งนั่งอยู่กับเธอที่โต๊ะ
พึงระลึกไว้ว่า อีกสิ่งหนึ่งหลับรออยู่บนเตียง

แท้จริงนั้น เธอแขวนไกวอยู่ดุจตาชั่ง
ระหว่างความเศร้าโศกและความปราโมทย์ของเธอ
เธอจะยืนนิ่งอยู่และไม่เอนเอียง
ก็แต่ในขณะเมื่อเธอว่างเปล่าเท่านั้น
ขณะเมื่อผู้รักษาสมบัติยกเธอขึ้น
เพื่อชั่งเงินและทองของเขา
ก็ไม่จำเป็นที่ความเศร้าโศก
หรือความชื่นชมของเธอ
จะต้องเอียงขึ้นลงด้วย


--------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: บ้านเรือน
เริ่มหัวข้อโดย: lek ที่ ธันวาคม 02, 2010, 08:58:50 pm
บ้านเรือน

 


แล้วช่างปูนคนหนึ่งก้าวออกมาข้างหน้า
และพูดว่า ได้โปรดกล่าวถึง บ้านเรือน
และท่านตอบกล่าวว่า

จงสร้างบ้านพักในแดนเปลี่ยว
ด้วยจินตนาการของเธอ
ก่อนที่เธอจะสร้างบ้านเรือนขึ้นในกำแพงนคร
เพราะไม่แต่เธอเท่านั้นที่กลับมาพักผ่อนที่บ้านในยามพลบ
แต่ผู้ท่องเที่ยวในเธอด้วยจะต้องกลับไป
ยังบ้านอันห่างไกลและโดดเดี่ยวนั้น

บ้านของเธอคือกายอันใหญ่ของเธอ
มันเติบโตภายใต้แสงแดด
และหลับในความสงัดนิ่งแห่งราตรีกาล
แต่มันก็มิได้ไร้ความฝัน
บ้านของเธอไม่ฝันหรอกหรือ
และในความฝันนั้น มันก็ละจากนครไปสู่หมู่ไม้และขุนเขา

เรานี้อยากจะรวบบ้านเรือนของเธอทั้งหลายไว้ในอุ้งมือ
และหว่านโปรยมันลงยังป่า และทุ่ง
เหมือนดังชาวนาหว่านเมล็ดพันธุ์พืช
เราอยากจะให้หุบเขานั้นเป็นถนนใหญ่
และทางผ่านท้องทุ่งเขียวชอุ่มเป็นทางเดินของเธอ
เพื่อว่าเธอจะได้เที่ยวหากันและกันในไร่องุ่น
และมีกลิ่นไอของดินติดเสื้อผ้ามา
แต่สิ่งเหล่านี้จะยังเป็นไปไม่ได้


ด้วยความหวาดกลัว
บรรพบุรุษของเธอได้รวบรวมพวกเธอไว้ใกล้กันเกินไป
และความหวาดกลัวนั้นจะยังดำรงต่อไปอีก
และกำแพงนครก็จะกั้นขวางดวงใจของเธอไว้จากท้องทุ่งต่อไปอีก
และประชาชนชาวออร์ฟาลีส
ได้โปรดบอกเราว่า
เธอมีอะไรในบ้านเหล่านี้
เธอได้เฝ้าระแวดระวังอะไรไว้ด้วยประตูอันปิดแน่นนั้น
เธอมีสันติสุขอันแสดงพลังภายในเธอหรือเปล่า
เธอมีความทรงจำอันเป็นประดุจซุ้มโค้ง
ครอบยอดแห่งดวงจิตเธอหรือเปล่า
เธอมีความงามอันนำดวงใจก้าวข้ามจากสิ่งที่สร้างด้วยไม้และหิน
ไปยังขุนเขาแห่งความบริสุทธิ์หรือเปล่า

บอกเราสิว่า
เธอมีสิ่งเหล่านี้อยู่ในบ้านของเธอหรือไม่
หรือว่าเธอมีแต่เพียงความสะดวกสบาย
และความใคร่ต่อความสะดวกสบาย
เจ้าสิ่งต่ำช้านั้นที่มาสู่บ้าน
ในฐานะของผู้เยี่ยมเยียน
แล้วกลายเป็นเจ้าของบ้าน
และก็กลายเป็นเจ้าของบ้านเสียเอง
ถูกแล้ว และมันกลายเป็นผู้ขนาบเธอ
มันใช้ขอสับและแซ่
กระทำความปรารถนาสูงส่งของเธอให้เป็นดังหุ่นเชิด
แม้ว่ามือของมันอ่อนนุ่มดุจผ้าไหม แต่ดวงใจของมันดังศิลา
มันเห่กล่อมให้เธอหลับ เพียงเพื่อจะได้ยืนอยู่ริมเตียง
และร้องสรรเสริญคุณค่าของราคะ
มันเยาะหยันความรู้ผิดชอบของเธอ
แล้วปล่อยทิ้งลงบนกอหนามดุจภาชนะแตกเปราะ

แท้จริงนั้น ราคะต่อความสะดวกสบาย
ประหารความมุ่งมาดแห่งวิญญาณ
แล้วก็ไปเดินแสยะยิ้มในขบวนศพ
แต่เธอผู้เป็นบุตรธิดาแห่งเวหา
เธอผู้ไม่ยอมอยู่นิ่งในความพักสงบ
เธอต้องไม่ยอมถูกดักจับไว้ หรือฝึกให้เชื่อง

อย่าให้บ้านของเธอเป็นสมอ จงให้มันเป็นเสาใบ
อย่าให้มันเป็นสะเก็ดบนแผล
แต่จงให้มันเป็นประดุจเปลือกตาอันระวังรักษาจักษุไว้
อย่าได้หุบห่อปีกของเธอเพียงเพื่อจะลอดผ่านประตู
อย่าได้ก้มศีรษะด้วยกลัวว่าจะชนเพดาน
อย่ากลั้นอัดลมหายใจ ด้วยเกรงว่ากำแพงจะร้าวและพังลง
อย่าอาศัยอยู่ในสุสาน ซึ่งผู้ตายไปแล้วสร้างไว้สำหรับผู้ยังอยู่
และแม้ว่าบ้านของเธอนั้นจะใหญ่โตโอ่อ่าเพียงใด
ก็อย่าให้มันเก็บรักษาความลับ
หรือคุ้มป้องความเฝ้ารอของเธอไว้
เพราะสิ่งซึ่งไร้ขอบเขตในเธอนั้น
ดำรงอยู่ในเคหาสน์แห่งเวหา
มีหมอก ณ รุ่งอรุณเป็นประตู
และมีหน้าต่างคือเสียงเพลง
และความสงัดแห่งราตรีกาล
หัวข้อ: เครื่องนุ่งห่ม
เริ่มหัวข้อโดย: lek ที่ ธันวาคม 02, 2010, 08:59:55 pm
เครื่องนุ่งห่ม





 และช่างทอผ้ากล่าวว่า
ได้โปรดพูดกับเราถึงเรื่อง เครื่องนุ่งห่ม
ท่านตอบว่า

เสื้อผ้าของเธอนั้น
ได้ปิดบังความงามของเธอเสียมาก
แต่มันก็มิได้ปกปิดส่วนน่าเกลียด
และถึงแม้เธอจะแสวงหาอิสรภาพ
ของการปกปิดเฉพาะตนจากเครื่องนุ่งห่ม
เธอก็จะได้รับบังเหียนและโซ่ตรวนจากมันด้วย
เราอยากจะให้เธอเผชิญกับแสงแดด และสายลม
ด้วยผิวหนังมากกว่านี้ และด้วยเสื้อผ้าน้อยกว่านี้
เพราะลมหายใจของชีวิตนั้นอยู่ในแสงแดด
และหัตถ์แห่งชีวิตก็อยู่ในสายลม

เธอบางคนกล่าวว่า
ลมเหนือเป็นผู้ทอเสื้อผ้าที่เราสวมใส่
และเราก็ตอบว่า ถูกแล้ว ใช่ลมเหนือ
แต่หูกของมันคือความอับอาย
และเส้นด้ายก็คือความอ่อนแอของเส้นเอ็น
และเมื่อมันทอเสร็จแล้วก็ไปหัวเราะอยู่ในป่า
อย่าลืมว่าความอายนั้นเป็นเพียงเครื่องกำบัง
ต่อสายตาของคนใจสกปรก
แต่เมื่อผู้มีใจสกปรกสูญไปแล้ว
ความอายจะเป็นอะไรอื่น
นอกจากเครื่องเกี่ยวพันและราคีของดวงจิตเอง
และอย่าลืมว่า พื้นพิภพนั้น
ยินดีที่จะได้สัมผัสเท้าเปล่าของเธอ
และสายลมก็เฝ้าคอยเป่าเล่นเส้นผมของเธอด้วย
หัวข้อ: การซื้อและการขาย
เริ่มหัวข้อโดย: lek ที่ ธันวาคม 02, 2010, 09:02:25 pm
การซื้อ
และการขาย

 


และพ่อค้าค้นหนึ่งพูดว่า
ได้โปรดกล่าวถึง
การซื้อและการขาย
ท่านบอกว่า

พื้นพิภพได้อุทิศผลพฤกษาให้แก่เธอ
และถ้าเพียงแต่เธอรู้ว่า จะหาเอาอย่างไร
เธอก็จักไร้ความต้องการ
เธอจะบรรลุความสมบูรณ์เพียงพอ
ก็โดยการแลกเปลี่ยนของขวัญของพื้นพิภพนั้นระหว่างกัน
แต่ถ้าหากการแลกเปลี่ยนนี้มิได้เป็นไป
ด้วยความรัก และเมตตา ยุติธรรมแล้ว
บางคนก็จะเกิดความโลภ
และบางคนก็จะเกิดความหิวโหยขึ้น

เมื่อเธอผู้กรำงานอยู่ในทะเล และท้องทุ่ง และไร่องุ่น
มาพบกับช่างทอง ช่างปั้นภาชนะ
และคนเก็บเครื่องเทศ ณ ลานตลาดนั้น
ขอจงบวงสรวงให้พระวิญญาณแห่งพิภพ
มาสถิตท่ามกลางพวกเธอ
เพื่อทรงเจิมตาชั่งและตาเต็ง
ที่ใช้เปรียบเทียบคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ นั้น
และอย่าไดยอมให้ผู้มีมือเปล่า
เข้ามาเกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนของเธอ
เพราะเขาจะเอาลมปากมาแลกกับหยาดเหงื่อของเธอ
เธอควรกล่าวแก่บุคคลเช่นนี้ว่า
จงมายังท้องทุ่งกับเรา
หรือไปยังทะเลและเหวี่ยงแหกับพี่น้องของเรา
เพราะพื้นดินและท้องน้ำก็จะประสาทผลแก่เธอด้วยเช่นกับเรา

และถ้ามีนักร้องเพลง และนักเต้นรำ
และผู้เป่าขลุ่ยเข้ามาก็จงซื้อของขวัญของเขาด้วย
เพราะคนเหล่านี้ด้วยที่เป็นผู้เก็บเกี่ยวผลพฤกษ์
ไม้จันท์และกำยาน
และสิ่งที่เขานำมานั้น
แม้จะปรุงแต่งขึ้นจากความฝัน
แต่ก็เป็นอาภรณ์ และอาหารของวิญญาณเธอ

และก่อนที่เธอจะกลับจากตลาด
จงดูให้ดีด้วยว่า ไม่มีใครกลับไปมือเปล่า
เพราะวิญญาณอันยิ่งใหญ่ของพิภพ
ย่อมไม่อาจหลับตาในความสงบได้บนสายลม
จนกว่าความต้องการของทุกคน
แม้ต่ำต้อยเพียงใดได้บรรลุผลสมหมายแล้ว



--------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: อาชญากรรมและทัณฑกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: lek ที่ ธันวาคม 02, 2010, 09:03:46 pm
อาชญากรรม
และทัณฑกรรม




 ผู้พิพากษาคนหนึ่งในนครนั้นลุกขึ้นก้าวออกมาพูดว่า
ได้โปรดบอกเราถึง อาชญากรรมและทัณฑกรรม
และท่านตอบว่า

เมื่อใดวิญญาณของเธอออกท่องเที่ยวไปกับสายลม
ขณะนั้นเอง เธอผู้อยู่โดดเดี่ยวและมิได้มีผู้ระวัง
ก็ประทุษร้ายต่อผู้อื่น คือประทุษร้ายต่อตนเอง
และเพราะความผิดอันได้กระทำขึ้นนั้น

เมื่อเธอไปเคาะและรอที่ประตูของผู้บริสุทธิ์ทั้งหลาย
เธอจะจำต้องรออยู่อย่างไม่มีใครเอาใจใส่เสียขณะหนึ่งก่อน
อาตมันในเธอนั้นเป็นประดุจมหาสมุทร
มันดำรงอยู่ไร้ราคีนิรันดร
และเช่นกับห้วงเวหา มันยกเฉพาะผู้มีปีกขึ้น

อาตมันในเธอนั้นเป็นประดุจดวงอาทิตย์
มันไม่รู้จักทางมุดของสัตว์เล็ก
หรือเที่ยวใฝ่หารังรูของงูเห่า
แต่อาตมันก็มิได้ดำรงอยู่โดดเดี่ยวในเธอ
ส่วนใหญ่ในเธอยังเป็นปุถุชน
และส่วนมากก็ไม่เป็นมนุษย์
แต่เป็นเจ้าแคระไร้สารรูป
ซึ่งเดินหลับอยู่ในหมอกมัว
แสวงหาความตื่นของตนเอง

และบัดนี้เราจะพูดถึงส่วนปุถุชนในตัวเธอ
เพราะมิใช่อาตมัน หรือเจ้าแคระในหมอกมัว
แต่ปุถุชนนั้นเองที่รู้จักอาชญากรรม และทัณฑกรรม

บ่อยครั้งที่เราได้ยิน
เธอกล่าวขวัญถึงผู้กระทำความผิดพลาด
ด้วยคำพูดประหนึ่งว่า เขาผู้นั้นมิใช่พวกเธอคนหนึ่ง
แต่เป็นผู้แปลกหน้าและเป็นผู้เข้ามารังควานโลกของเธอ
แต่เรากล่าวว่า
ผู้บริสุทธิ์และทรงคุณธรรม
ไม่อาจก้าวขึ้นเหนือสิ่งสูงสุดอันดำรงอยู่ในเธอแต่ละคนได้
เช่นเดียวกัน ผู้เลวทราม และผู้อ่อนแอ
ก็ไม่อาจตกต่ำกว่าระดับต่ำที่สุดของเธอได้
ดังเช่นใบไม้แต่ละใบไม่อาจแปรเป็นสีเหลืองได้โดยทั้งลำต้น
โดยไม่ได้มีความรู้อย่างเงียบ ๆ ฉันใด
ผู้กระทำผิดก็ไม่อาจกระทำชั่วได้โดยปราศจากความมุ่งมาด
อันแอบแฝงอยู่ในเธอทั้งหมดฉันนั้น

เธอทั้งหลายพากันเดินเข้าสู่อาตมันเป็นขบวนแถว
เธอเป็นทางเดิน และเป็นทั้งผู้เดินทาง
และเมื่อเธอคนหนึ่งสะดุดล้มลงนั้น
เขาล้มลงเพื่อผู้อยู่ข้างหลัง
โดยเตือนให้ผู้อื่นระวังก้อนหินที่ขวางทาง
และเขาล้มลงเพื่อผู้ที่ไปข้างหน้า
ซึ่งถึงแม้เดินไปได้โดยเร็วกว่าและก้าวเที่ยงกว่า
แต่ก็มิได้เอาก้อนหินที่ขวางทางออกไปเสียด้วย

และจงจำสิ่งต่อไปนี้ด้วย
แม้ว่าโลกนี้จะกดทับบนดวงใจของเธอเพียงใด
ผู้ถูกฆ่านั้นจะต้องมีส่วนรับผิดในการฆาตกรรมของตนเอง
ผู้ถูกลักขโมยเป็นผิดด้วยในการที่ถูกขโมย
ผู้ประพฤติถูกต้องก็มิพ้นมลทินจากการกระทำของผู้ต่ำช้า
และผู้มีมือสะอาดก็แปดเปื้อนด้วยเพราะการกระทำของอาชญากร

ถูกแล้ว บ่อยครั้งที่ผู้ต้องหากลายเป็นเหยื่อของผู้บาดเจ็บ
และที่ยิ่งบ่อยกว่านั้นก็คือผู้ถูกลงทัณฑ์
กลายเป็นผู้ต้องแบกภาระของผู้ไม่มีผิด และผู้ไม่ถูกติเตียน

เธอไม่อาจแยกผู้เที่ยงธรรมออกจากผู้มีอคติ
และแยกผู้มีธรรมออกจากคนเลวทราม
เพราะเขาทั้งหลายนั้นยืนเผชิญแสงแดดอยู่ด้วยกัน
เช่นเดียวกับเส้นด้ายดำขาวถักทออยู่ด้วยกัน
และเมื่อเส้นด้ายดำขาดลง ผู้ทอก็จะตรวจดูผ้าทั้งผืน
และก็จะตรวจดูหูกที่ใช้ทอด้วย

ถ้าเธอคนใดจะพิจารณาตัดสินภรรยาผู้นอกใจ
ก็ขอจงชั่งดวงใจ และหยั่งวัดวิญญาณของสามีนางด้วย
และผู้ใดจะโบยผู้กระทำผิด
ก็ขอจงมองเข้าไปในวิญญาณของเจ้าทุกข์
และถ้าเธอคนใดจะลงทัณฑกรรมในนามของคุณธรรม
และจะเหวี่ยงขวานตัดพฤกษ์ร้าย
ก็ขอเขาจงได้มองลึกลงไปยังรากของมัน
และเขาก็จะพบโดยแน่แท้เทียวว่า
รากของต้นไม้ทั้งดีและเลว
ทั้งที่มีผลและไร้ผลทั้งหมดนั้น
เกี่ยวรัดกันอย่างสนิทแนบใน
ท่ามกลางดวงใจอันเงียบสงัดของพิภพ
และเธอผู้เป็นตุลาการมุ่งความเที่ยงธรรม
เธอจะพิพากษาอย่างไรสำหรับผู้ไม่ผิดตามทางโลก
แต่เป็นโจรทางวิญญาณ
และเธอจะลงทัณฑ์อย่างไรต่อบุคคล
ซึ่งมีการกระทำหลอกลวงและข่มเหง
แต่ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ต้องทุกข์และถูกข่มเหงด้วย
เธอจะลงโทษสถานใดแก่ผู้ที่มีความเสียใจ
สำนึกผิดยิ่งกว่าความผิดพลาดของตนเองนัก

ก็ความสลดสำนึกในความผิดนั้น
เป็นไปตามบัญญัติเที่ยงธรรม
อันเธอย่อมจะพอใจยิ่งแล้วมิใช่หรือ
เธอย่อมไม่อาจทำให้ผู้บริสุทธิ์สำนึกผิด
หรือปลดเปลื้องความสำนึกผิดนั้นออกจากผู้มีผิดได้
มันจะมาเยือนในยามราตรีโดยไม่ต้องการคำเชื้อเชิญ
เพื่อมนุษย์นั้นจะได้ผวาตื่นขึ้นและพินิจดูตนเอง
และเธอผู้ต้องการเข้าถึงความยุติธรรม
เธอจะเข้าใจได้อย่างไร
ถ้าไม่คอยเฝ้าดูกรรมทั้งหลายในแสงสว่างเต็มที่
จากนั้นเท่านั้นที่เธอจะได้ทราบว่า
ทั้งผู้ยืนตรงอยู่และผู้ล้มไปแล้วเป็นมนุษย์คนเดียว
และทิวากาลแห่งอาตมันในตน
และเธอก็จะได้เห็นว่า
ก้อนหินซึ่งวางอยู่ที่เสามุมของโบสถ์นั้น
มิได้มีระดับสูงไปกว่า
ก้อนที่วางเป็นรากฐานลึกที่สุดของโบสถ์เลย
หัวข้อ: กฎหมาย
เริ่มหัวข้อโดย: lek ที่ ธันวาคม 02, 2010, 09:07:27 pm
กฏหมาย

 


แล้วทนายความคนหนึ่งพูดว่า
แต่เรื่อง กฎหมาย ของเราเล่าพระคุณท่าน
และท่านตอบว่า

เธอพอใจในการวางบัญญัติลง
แต่เธอก็ยังพอใจยิ่งกว่านั้นในการทำลายมันเสีย
เปรียบได้กับเด็กเล็กเล่นอยู่ริมฝั่งมหาสมุทร
อุตส่าห์สร้างป้อมปราการขึ้นด้วยทราย
แล้วก็พังทลายมันลงพร้อมกับเสียงหัวเราะ
แต่ขณะที่เธอสร้างป้อมปราการอยู่นั้น
มหาสมุทรก็นำทรายมาเพิ่มแก่ฝั่งอีก
และเมื่อเธอทำลายมันลง
มหาสมุทรก็หัวเราะเล่นด้วยกับเธอ

แท้จริงนั้นมหาสมุทรหัวเราะเล่นกับผู้บริสุทธิ์เสมอ
แต่สำหรับผู้ซึ่งชีวิตมิใช่มหาสมุทร
และกฎหมายอันมนุษย์บัญญัติขึ้นมิใช่ป้อมปราการทราย
สำหรับบุคคลผู้ซึ่งชีวิตเป็นดังหินผา
และบทบัญญัติเป็นดังลิ่มซึ่งใช้สกัดหินผานั้นให้เป็นรูปร่างดังตน
สำหรับคนพิการซึ่งเกลียดการเริงรำ
สำหรับเจ้าวัวซึ่งรักขื่อคาของตน
และคิดเอาว่า กวางในป่านั้นเร่ร่อนและจรจัด
สำหรับเจ้างูเห่าแก่ที่ลอกคราบไม่ได้
และเรียกงูอื่นๆ ทั้งหมดว่าเปล่าเปลือยและไร้ยางอาย
และสำหรับผู้ที่มายังวงเลี้ยงอาหารก่อนผู้ใด
เมื่อเหนื่อยอ่อนและอิ่มแปล้แล้วก็เดินกลับไปพร้อมกับบ่นว่า
การเลี้ยงทั้งหลายเป็นการละเมิดบัญญัติ
และผู้กินเลี้ยงทั้งหลายเป็นผู้ทำลายบทบัญญัติ

เราจะกล่าวถึงบุคคลเหล่านี้ได้อย่างไร นอกจากว่า
เขาด้วยยืนอยู่ในแสงแดดแต่หันหลังให้ดวงอาทิตย์
เขาเห็นแต่เงาของตน
และนั่นคือบทบัญญัติของเขา
และสำหรับเขานั้น
ดวงอาทิตย์เป็นเพียงเครื่องก่อให้เกิดเงา
และการยอมรับรู้บทบัญญัติ
ก็คือการก้มลงลากรอยเส้นตามขอบเงาตนบนพื้นดิน

แต่สำหรับเธอผู้เดินบ่ายหน้าเข้าสู่ดวงอาทิตย์
ลวดลายใดอันลากลงบนพื้นพสุธาจะเหนี่ยวรั้งเธอไว้ได้
เธอผู้เหินไปกับสายลม เข็มทิศใดจะชี้ทางให้เธอ
ถ้าเธอทำลายขื่อคาของตนเอง
แต่มิได้กระทำที่ประตูคุกของผู้ใด
ก็บทบัญญัติใดอันมนุษย์สร้างขึ้น
จักผูกพันธนาเธอไว้ได้

ถ้าเธอเริงรำ แต่มิได้สะดุดล้มลง
เธอจะต้องกลัวบทกฎหมายอันใดด้วย
และใครเล่าจะหาญนำเธอไปพิพากษา
ถ้าเธอฉีกเครื่องอาภรณ์ของตนเอง
แต่มิได้ทิ้งมันไว้บนทางเดินของมนุษย์ใด
ประชาชนชาวออร์ฟาลีส
เธออาจจะหยุดเสียงกลอง
เธออาจจะคลายสายพิณเสีย แต่ใครเล่าจักสามารถ
บังคับให้นกแห่งเวหาหยุดร้องเพลงได้


--------------------------------------------------------------------------------


ขอบพระคุณที่มา http://olddreamz.com/bookshelf/prophet/prophet.html
หัวข้อ: Re: ปรัชญาชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ ธันวาคม 02, 2010, 11:18:36 pm
อนุโมทนาครับ