ใต้ร่มธรรม

ประชาสัมพันธ์ => 108 โทรโข่ง => ประชาสัมพันธ์ทางธรรม => ข้อความที่เริ่มโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 11, 2010, 09:38:01 am

หัวข้อ: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 11, 2010, 09:38:01 am
ผมขอแ้จ้งให้พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทราบว่า ผมได้เปิดชมรม พระวังหน้า ให้กับทุกๆท่าน ทราบทาง Email เรียบร้อยแล้ว

"ข้าพเจ้าขอเปิดชมรมพระวังหน้าอย่างเป็นทางการในวันเสาร์ที่  11 ธันวาคม พุทธศักราช 2553
เพื่อประโยชน์ต่อ ประเทศไทย ศาสนาพุทธ สถาบันพระมหากษัตริย์ และเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระวังหน้า และงานบุญต่างๆ"

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 11, 2010, 06:44:55 pm
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong อ่านข้อความ
ผมขอแ้จ้งให้พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทราบว่า ผมได้เปิดชมรม พระวังหน้า ให้กับทุกๆท่าน ทราบทาง Email เรียบร้อยแล้ว

"ข้าพเจ้าขอเปิดชมรมพระวังหน้าอย่างเป็นทางการในวันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พุทธศักราช 2553
เพื่อประโยชน์ต่อ ประเทศไทย ศาสนาพุทธ สถาบันพระมหากษัตริย์ และเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระวังหน้า และงานบุญต่างๆ"

.
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sittiporn.s อ่านข้อความ
โมทนาสาธุ
โมทนาสาธุ
โมทนาสาธุ ครับ
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ psombat อ่านข้อความ
ยินดีต้อนรับชมรม...พระวังหน้า
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Pinkcivil อ่านข้อความ
Congratulation from Chiang Mai krub...

ขอสมัครสมาชิกเบอร์1 เรยครับ :-p
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ psombat อ่านข้อความ
งั้นต้องยกตำแหน่งท่านประธานให้แล้วหล่ะครับ หุหุ
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ปฐม อ่านข้อความ
ขอแสดงความยินดีกับพี่หนุ่มและพี่ๆทุกท่านที่เสียสละแรงกายและแรงใจ ทำให้เกิดชมรมใหม่ในวันนี้ครับ
littlelucky ยินดีด้วยครับ จะติดตามข่าวเรื่อย ๆ นะครับ




---------------------------

สำหรับชมรมพระวังหน้า ไม่มีเลขที่สมาชิกครับ

วันนี้ หลังจากที่ผมแจ้งการเปิดชมรมพระวังหน้า ผ่านทาง Email ให้พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่านทราบแล้ว ผมได้เดินทางไปหาพี่ใหญ่ที่บ้าน ได้คุยในเรื่องพระวังหน้านิดหน่อย แต่ยังไม่ได้แจ้งเรื่องการเปิดชมรมพระวังหน้าให้พี่ใหญ่ทราบ

พี่ใหญ่ได้แนะนำในหลายๆเรื่อง ไว้ผมจะขอเรียบเรียงคำพูดใหม่และจะแจ้งให้ทุกๆท่านทราบทาง Email ครับ

หลังจากนั้นผมได้เิดินทางไปที่บ้านท่านอาจารย์ประถม มี 2 ท่านที่ได้มารอผมเพื่อสมัครสมาชิกชมรมพระวังหน้า และทั้งสองท่านก็ได้ลงนามในใบสมัครเรียบร้อยแล้ว

หลังจากกำหนดการปิดรับสมัครที่ผมได้แจ้งไปทาง Email ผมจะแจ้งให้ทุกๆท่านได้ทราบถึงจำนวนสมาชิก ,การคัดเลือกประธาน , รองประธาน , เลขานุการ และ 2 ผู้ช่วยเลขานุการ ครับ

ขอบคุณครับ


เกือบลืม ผมและคุณPinkcivil เคยได้มอบเงินให้กับพี่ใหญ่ เพื่อฝากไปร่วมทำบุญ พี่ใหญ่ได้นำเงินไปร่วมสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่ประเทศลาว และ หยอดเงินทำบุญตามตู้รับบริจาคต่างๆที่ประเทศลาว

มาร่วมโมทนาบุญกับคุณPinkcivil และผมกันครับ

อีกเรื่องก็คือ พระอาจารย์รูปหนึ่ง ได้โทร.มาหาผม แจ้งว่า ได้นำพระพิมพ์ต่างๆที่ทาง(อดีต)กองทุนหาพระถวายวัด ได้ถวายท่านไว้ ท่านนำไปแจกในงานผ้าป่า "สวนทิพย์โลกอุดร" และ ได้แจกให้กับผู้ที่ทำประโยชน์ให้กับพระพุทธศาสนา

มาร่วมโมทนาบุญกับ(อดีต)กองทุนหาพระถวายวัดกันครับ



.---------------------------------------------------------------------


ผมได้ตั้งเฟสบุ๊ค กลุ่ม หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร & พระวังหน้า

ตามลิงค์ https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2/1503999719890625?fref=nf (https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2/1503999719890625?fref=nf)

เพื่อศึกษา"พระวังหน้า" ตามแนวทางที่ผมได้เรียนรู้และศึกษามากว่า 10 ปี

หากท่านใดต้องการที่จะเรียนรู้เรื่อง "ประวัติคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ)" และ "พระวังหน้า" ขอเชิญติดตามจากเฟสบุ๊ค กลุ่ม "หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร & พระวังหน้า" ได้ครับ



.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 11, 2010, 06:45:45 pm
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong อ่านข้อความ
ผมขอแ้จ้งให้พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทราบว่า ผมได้เปิดชมรม พระวังหน้า ให้กับทุกๆท่าน ทราบทาง Email เรียบร้อยแล้ว

"ข้าพเจ้าขอเปิดชมรมพระวังหน้าอย่างเป็นทางการในวันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พุทธศักราช 2553
เพื่อประโยชน์ต่อ ประเทศไทย ศาสนาพุทธ สถาบันพระมหากษัตริย์ และเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระวังหน้า และงานบุญต่างๆ"

.
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sittiporn.s อ่านข้อความ
โมทนาสาธุ
โมทนาสาธุ
โมทนาสาธุ ครับ
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ psombat อ่านข้อความ
ยินดีต้อนรับชมรม...พระวังหน้า
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Pinkcivil อ่านข้อความ
Congratulation from Chiang Mai krub...

ขอสมัครสมาชิกเบอร์1 เรยครับ :-p
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ psombat อ่านข้อความ
งั้นต้องยกตำแหน่งท่านประธานให้แล้วหล่ะครับ หุหุ
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ปฐม อ่านข้อความ
ขอแสดงความยินดีกับพี่หนุ่มและพี่ๆทุกท่านที่เสียสละแรงกายและแรงใจ ทำให้เกิดชมรมใหม่ในวันนี้ครับ
littlelucky ยินดีด้วยครับ จะติดตามข่าวเรื่อย ๆ นะครับ




---------------------------

สำหรับชมรมพระวังหน้า ไม่มีเลขที่สมาชิกครับ

วันนี้ หลังจากที่ผมแจ้งการเปิดชมรมพระวังหน้า ผ่านทาง Email ให้พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่านทราบแล้ว ผมได้เดินทางไปหาพี่ใหญ่ที่บ้าน ได้คุยในเรื่องพระวังหน้านิดหน่อย แต่ยังไม่ได้แจ้งเรื่องการเปิดชมรมพระวังหน้าให้พี่ใหญ่ทราบ

พี่ใหญ่ได้แนะนำในหลายๆเรื่อง ไว้ผมจะขอเรียบเรียงคำพูดใหม่และจะแจ้งให้ทุกๆท่านทราบทาง Email ครับ

หลังจากนั้นผมได้เิดินทางไปที่บ้านท่านอาจารย์ประถม มี 2 ท่านที่ได้มารอผมเพื่อสมัครสมาชิกชมรมพระวังหน้า และทั้งสองท่านก็ได้ลงนามในใบสมัครเรียบร้อยแล้ว

หลังจากกำหนดการปิดรับสมัครที่ผมได้แจ้งไปทาง Email ผมจะแจ้งให้ทุกๆท่านได้ทราบถึงจำนวนสมาชิก ,การคัดเลือกประธาน , รองประธาน , เลขานุการ และ 2 ผู้ช่วยเลขานุการ ครับ

ขอบคุณครับ


เกือบลืม ผมและคุณPinkcivil เคยได้มอบเงินให้กับพี่ใหญ่ เพื่อฝากไปร่วมทำบุญ พี่ใหญ่ได้นำเงินไปร่วมสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่ประเทศลาว และ หยอดเงินทำบุญตามตู้รับบริจาคต่างๆที่ประเทศลาว

มาร่วมโมทนาบุญกับคุณPinkcivil และผมกันครับ

อีกเรื่องก็คือ พระอาจารย์รูปหนึ่ง ได้โทร.มาหาผม แจ้งว่า ได้นำพระพิมพ์ต่างๆที่ทาง(อดีต)กองทุนหาพระถวายวัด ได้ถวายท่านไว้ ท่านนำไปแจกในงานผ้าป่า "สวนทิพย์โลกอุดร" และ ได้แจกให้กับผู้ที่ทำประโยชน์ให้กับพระพุทธศาสนา

มาร่วมโมทนาบุญกับ(อดีต)กองทุนหาพระถวายวัดกันครับ



.

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2154.html#post4136968

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 11, 2010, 08:21:35 pm
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ มูริญโญ่ อ่านข้อความ
โมทนาด้วยครับ
ช่วงนี้งานเยอะครับวันนี้ประชุมทั้งวัน
ถ้าไม่ติดอะไรคุณสมบัติพร้อมสามารถสมัครได้ผมก็ขอเป็นคนที่ 12
หรือ 1 โหลก็แล้วกันครับ

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2154.html#post4137219
-------------------------------------

ไม่มีเลขที่ครับ

แบบสบายๆักันดีกว่าครับ


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 13, 2010, 11:05:50 am
สำหรับเรื่องของชมรมพระวังหน้า ผมได้แจ้งรายการบัญชีให้ทุกๆท่านได้ทราบทาง Email แล้วครับ

ปัจจุบันนี้ มีผู้ที่เขียนใบสมัครและจ่ายเงินค่าแรกเข้าชมรมแล้ว 4 ท่าน(รวมทั้งผม)

ส่วนอีก 3 ท่าน ได้โอนเงินเข้ามายังบัญชีของชมรมแล้ว แต่ผมยังไม่ได้รับใบสมัคร น่าจะได้รับในเร็วๆนี้ (มีอยู่ 1 ท่านที่โอนเข้ามา แต่ผมยังไม่ทราบว่าเป็นท่านใด กรุณาแจ้งผมให้ทราบด้วยครับ)

ขอบคุณครับ
sithiphong
13/12/2553

http://board.palungjit.com/f179/พระวังหน้า-ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้-22445-2155.html
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 23, 2010, 11:47:04 am
การถวายพระบูชาไปที่จังหวัดเลย และ จังหวัดสตูล

รายนามผู้ถวายพระบูชา

ถวายพระบูชา (สุโขทัย) หน้าตัก 9" 1 องค์ , พระทวาราวดี 2 องค์ (ให้พี่เปี๊ยกวันที่ 19 ธันวาคม 2553)

ถวายพระบูชา 3 สมัย (สุโขทัย , อู่ทอง , เชียงแสน) สร้างขึ้นทางนครศรีธรรมราช มีจารทั้งองค์ ทุกองค์ (ถวายพระอาจารย์ของคุณปฐม)

ผู้ถวาย
1.sithiphong2.ครอบครัว sithiphong
3.พี่เปี๊ยก
4.คุณtawatd
5.คุณปฐม
6.พี่ประทีป
7.คุณเทพารักษ์
8.คุณpinkcivil

มาร่วมโมทนาบุญร่วมกันครับ
http://board.palungjit.com/f179/พம.2445-2163.html
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 24, 2010, 08:34:00 am
เรียน ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า และผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้าทุกๆท่าน

ผมได้ส่งรายละเอียดในการเลือกประธานชมรมฯ , รองประธานชมรมฯ ,เลขานุการชมรมฯ , 2 ผู้ช่วยเลขานุการชมรมฯ ให้ทุกท่านได้ทราบทาง Email เรียบร้อยแล้ว

ผมมาแจ้งบนบอร์ดอีกครั้ง

มีผู้ที่สมัครสมาชิกชมรมรวมทั้งหมด 19 ท่าน เป็นอดีตสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า 14 ท่าน เป็นผู้ที่สมัครใหม่ 5 ท่าน

ผู้ที่ได้รับเลือกจากสมาชิกเป็นประธานชมรมพระวังหน้า คือ พี่เปี๊ยก

รองประธานชมรมพระวังหน้า คือ คุณnongnooo

เลขานุการชมรมพระวังหน้า คือคุณsithiphong

ผู้ช่วยเลขานุการชมรมพระวังหน้า คือคุณpsombat

ผู้ช่วยเลขานุการชมรมพระวังหน้า คือคุณPinkcivil

สำหรับอดีตสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า หรือท่านใดที่ผมเคยส่ง Email ไปหาท่าน หากเปลี่ยนใจต้องการที่จะสมัครสมาชิกชมรมพระวังหน้า หรือมีความต้องการที่จะสมัครสมาชิกชมรมพระวังหน้า ให้ท่านแจ้งความประสงค์ของท่านผ่านทาง Email มาหาประธานชมรมฯ หรือ รองประธานชมรมฯ หรือเลขานุการชมรมฯ

ทางประธานชมรมฯ หรือ รองประธานชมรมฯ หรือเลขานุการชมรมฯ จะเปิดประชุมในการรับสมัครสมาชิกใหม่ และการลงมติในการรับสมาชิกใหม่ ต้องใช้คะแนนเสียง 2 ใน 3 ของคณะกรรมการ(ประธานชมรมฯ หรือ รองประธานชมรมฯ หรือเลขานุการชมรมฯ)

จึงเรียนมาให้ทุกๆท่านได้ทราบกันอีกครั้งครับ

ขอบคุณครับ
sithiphong
24/12/2553

http://board.palungjit.com/f179/พระวังหน้า-ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้-22445-2164.html
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 24, 2010, 08:35:33 am
เรียน ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า และผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้าทุกๆท่าน

ผมได้ส่งรายละเอียดในการเลือกประธานชมรมฯ , รองประธานชมรมฯ ,เลขานุการชมรมฯ , 2 ผู้ช่วยเลขานุการชมรมฯ ให้ทุกท่านได้ทราบทาง Email เรียบร้อยแล้ว

ผมมาแจ้งบนบอร์ดอีกครั้ง

มีผู้ที่สมัครสมาชิกชมรมรวมทั้งหมด 19 ท่าน เป็นอดีตสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า 14 ท่าน เป็นผู้ที่สมัครใหม่ 5 ท่าน

ผู้ที่ได้รับเลือกจากสมาชิกเป็นประธานชมรมพระวังหน้า คือ พี่เปี๊ยก

รองประธานชมรมพระวังหน้า คือ คุณnongnooo

เลขานุการชมรมพระวังหน้า คือคุณsithiphong

ผู้ช่วยเลขานุการชมรมพระวังหน้า คือคุณpsombat

ผู้ช่วยเลขานุการชมรมพระวังหน้า คือคุณPinkcivil

สำหรับอดีตสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า หรือท่านใดที่ผมเคยส่ง Email ไปหาท่าน หากเปลี่ยนใจต้องการที่จะสมัครสมาชิกชมรมพระวังหน้า หรือมีความต้องการที่จะสมัครสมาชิกชมรมพระวังหน้า ให้ท่านแจ้งความประสงค์ของท่านผ่านทาง Email มาหาประธานชมรมฯ หรือ รองประธานชมรมฯ หรือเลขานุการชมรมฯ

ทางประธานชมรมฯ หรือ รองประธานชมรมฯ หรือเลขานุการชมรมฯ จะเปิดประชุมในการรับสมัครสมาชิกใหม่ และการลงมติในการรับสมาชิกใหม่ ต้องใช้คะแนนเสียง 2 ใน 3 ของคณะกรรมการ(ประธานชมรมฯ หรือ รองประธานชมรมฯ หรือเลขานุการชมรมฯ)

จึงเรียนมาให้ทุกๆท่านได้ทราบกันอีกครั้งครับ

ขอบคุณครับ
sithiphong
24/12/2553

http://board.palungjit.com/f179/พระวังหน้า-ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้-22445-2164.html

http://board.palungjit.com/f179/พம.2445-2164.html
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 26, 2010, 02:19:34 pm
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1291084&stc=1&thumb=1&d=1293347497)

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1291083&stc=1&thumb=1&d=1293347497)

วันนี้ตอนเช้า ผมได้ไปร่วมทำบุญกับทางทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธฯมา

ไปพบกับคุณnongnooo ,คุณPinkcivil และคุณMEA

หลังจากที่ทำบุญกับทางทุนนิธิฯแล้ว ผมกับคุณPinkcivil ได้ไปซื้อรังนก(ไม่มีน้ำตาล) ไปถวายหลวงปู่พระเทพกวีฯ

หลวงปู่พระเทพกวีฯ ท่านอาพาธอยู่ ผมเห็นท่าน แล้วก็นึกไปถึงเรื่องของสังขาร สังขารไม่เที่ยง มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย เป็นธรรมดา และ เมื่อสมัยก่อนตอนที่ท่านสุขภาพยังดี อยู่ที่วัดระฆัง ก็มีแต่คนไปหา ตอนท่านอาพาธ ผมไปกราบท่านครั้งไหน ไม่เคยเห็นมีใครมาเยี่ยมท่านเลย ชื่อเสียงเกียรติยศ มีได้ ก็ เสื่อมได้ เป็นธรรมดาจริงๆ



มาโมทนาบุญร่วมกัน



ต่อจากนั้น ผมเดินทางไปที่วัดเบญจมบพิตร ไปกราบพระพุทธชินราช , รัชกาลที่ 5 เดินภายในวัด รู้สึกว่าเป็นสุขใจดีจัง

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2166.html#post4193295 (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2166.html#post4193295)


-----------------------------------------------

เพิ่มรูปออร่า


ถ่ายรูปที่เป็นออร่า 

รูปที่ 1(ใส่พระวังหน้า) ถ่ายเมื่อ december2549

รูปที่สอง ถ่ายรูปโดยไม่ได้ใส่พระวังหน้า ถ่ายเมื่อ เมื่อ 8 december 2550

รูปที่สาม ถ่ายรูปโดยใส่พระวังหน้า ถ่ายเมื่อ เมื่อ 8 december 2550


-http://www.auraphoto.info/-
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ ธันวาคม 26, 2010, 10:06:52 pm
อนุโมทนาครับพี่หนุ่ม  :13:
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 29, 2010, 08:54:14 am
สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล
-http://www.oknation.net/blog/ThaiTeacher/2011/07/06/entry-1-

          คำว่า สำเนียง หมายถึง เสียง, น้ำเสียง, หางเสียง หรือวิธีออกเสียง.  สำเนียงส่อภาษา จึงหมายถึง  การออกเสียงที่ทำให้รู้ว่าเป็นคนถิ่นใดหรือมาจากถิ่นใด  เช่นพูดภาษาไทยแต่ออกเสียงเป็นจีน เป็นแขก เป็นฝรั่ง หรือออกเสียงเป็นคนสุพรรณ คนเมืองเพชร คนเมืองจันท์ เป็นต้น.  ส่วนคำว่า กิริยา หมายถึง  มารยาท,  อาการที่แสดงออกมาด้วยกายหรือการกระทำ.  กิริยาส่อสกุล จึงหมายถึง  มารยาทหรือการกระทำของบุคคลที่แสดงถึงระดับการศึกษาอบรมที่ได้รับมาจากครอบครัว

          สำเนียงส่อภาษา  กิริยาส่อสกุล หรือ สำเนียงส่อภาษา  กิริยาส่อตระกูล เป็นคำพังเพยที่กล่าวเตือนให้บุคคลตระหนักถึงการใช้คำพูดและการกระทำว่าสำเนียงภาษาที่พูดและมารยาทที่แสดงออกมาสู่สาธารณชนนั้นจะทำให้ผู้อื่นวิเคราะห์ได้ถึงเชื้อชาติ  สัญชาติ  รวมทั้งประเมินได้ถึงการศึกษาอบรมของผู้แสดงกิริยาวาจานั้น ๆ ว่าเป็นผู้ได้รับการอบรมเลี้ยงดูหรือได้รับการศึกษามาในระดับใด  มักใช้ในทางตำหนิ เมื่อผู้นั้นพูดหรือแสดงกิริยาไม่สมควร เช่น  เขาพูดหยาบคายในที่สาธารณะได้อย่างไร สงสัยไม่ได้รับการอบรม  สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุลแท้ ๆ เชียว

ที่มา :  บทวิทยุรายการ "รู้ รัก ภาษาไทย"  ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ เวลา ๗.๐๐-๗.๓๐ น.

----------------------------------------


สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล : อรรถาธิบายภายใต้ความเป็นผู้ดี
-http://www.oknation.net/blog/print.php?id=13742-

 “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล” คือ หนึ่งในสำนวนไทยที่มักจะถูกหยิบยกขึ้นมาเพื่อเปรียบเปรยกระทบกระเทียบอยู่เป็นประจำ เพราะความหมายของสำนวนนี้จะเชื่อมโยงไปถึงการอบรมสั่งสอนของครอบครัวของคนผู้นั้นไปด้วย ความหมายของสำนวนนี้จะถูกสื่อได้เด่นชัดยิ่งขึ้น เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับสังคมยุคโลกาภิวัฒน์ (Globalization) ด้วยเหตุที่การอบรมสั่งสอนภายในครอบครัวของคนสมัยนี้ช่างห่างไกลกับแบบแผน “ผู้ดี” เสียเหลือเกิน           

“ผู้ดี” หมายถึง บุคคลผู้มีความประพฤติเรียบร้อยทั้งทางกาย ทางวาจา และทางความคิด ซึ่งขัดแย้งกับแนวคิดของคนส่วนใหญ่ที่เข้าใจว่า “ผู้ดี” คือ ผู้ที่มีฐานะร่ำรวย และมียศถาบรรดาศักดิ์ แต่แท้จริงแล้ว “ผู้ดี” ก็เป็นเพียงปุถุชน แต่เป็นมนุษย์ซึ่งเปี่ยมไปด้วยกิริยามารยาทในการแสดงออกทั้งทางกาย วาจาและใจเท่านั้นเอง ดังนั้นการเป็น “ผู้ดี” จึงมิใช่เรื่องที่ต้องลำบากยากเย็นแต่อย่างใด เพราะเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเท่านั้น สำหรับผู้ที่ชอบประชดประชันถึงความเป็น “ผู้ดี” สันนิษฐานได้ว่าผู้นั้นก็คงไม่แน่ใจนักว่าตนเองนั้นเป็น “ผู้ดี” หรือไม่...             

“ไม่มีใครที่จะเปลี่ยนแปลงหรือกำหนดชาติกำเนิดของตนเองได้” ข้อความนี้เป็นสัจธรรมที่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยเรื่องหลักการกำเนิดของมนุษย์ ดังนั้นชาติกำเนิดจึงเป็นเพียงองค์ประกอบที่ส่งเสริมสถานภาพของบุคคลในสังคมเท่านั้น มิใช่ตัวชี้วัดความเป็นผู้ดี อย่างไรก็ตามหากผู้นั้นเป็นผู้ดีทั้งโดยการกระทำและชาติกำเนิดก็ย่อมมีภาษีสังคมเหนือผู้อื่น แต่ในทางกลับกันหากผู้นั้นเป็นผู้ดีแค่โดยชาติตระกูล กล่าวคือ มีชาติตระกูลดีแต่กิริยามารยาทเข้าขั้น “สถุล” คนผู้นั้นย่อมได้รับคำครหาว่าเป็น “ผู้ดีตีนแดง ตะแคงตีนเดิน” จึงเห็นได้ชัดว่าชาติตระกูลไม่ใช่บรรทัดฐานของความเป็น “ผู้ดี” หากแต่เป็นกิริยามารยาทเท่านั้นที่จะสื่อไปถึงการอบรมสั่งสอนของ “ชาติตระกูล”           

หากจะวิเคราะห์ความหมายของ “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล” ในการอรรถาธิบาย จำเป็นจะต้องแปลความหมายของแต่ละ “อรรถ” เสียก่อน

             สำเนียง น. เสียง, น้ำเสียง, หางเสียง, วิธีออกเสียง

             ส่อ ก. แสดงออกมาให้เห็นเค้า           

             ภาษา น. เสียงสัญลักษณ์หรือกิริยาอาการที่ใช้สื่อความต่อกัน, คำพูด, ถ้อยคำที่ใช้พูดกัน

             กิริยา น. การกระทำ; อาการที่แสดงออกทางกายตามความหมายเรื่องมารยาท

             สกุล น. ตระกูล, วงศ์, เชื้อสาย, เผ่าพันธุ์

เมื่อพิจารณาความหมายของ “อรรถ” และรวมความเป็นสำนวนแล้ว ก็น่าที่จะตีความได้ว่าหมายถึง “บุคลิก การกระทำและมารยาทจะแสดงออกมาให้ทราบว่ามาจากชาติตระกูลเช่นไร” สำนวนนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการมีมารยาท (กิริยาวาจาที่เรียบร้อย) เพราะสิ่งนี้จะสะท้อนไปถึง กำพืดของผู้นั้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการพูด ซึ่งสามารถบ่งบอกระดับปัญญาของผู้นั้นได้ ดังที่มีคำกล่าวไว้ว่า “เมื่อไม่พูดก็ไม่รู้ว่าโง่หรือฉลาด จนกว่าจะพูดออกมานั่นแหละ เขาจะหายสงสัย”           

นอกจากการขยายความในเชิงอรรถสัมพันธ์แล้ว การวิเคราะห์ความสมเหตุสมผลของความหมายก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยทำให้เข้าใจกุศโลบายของผู้ริเริ่มใช้สำนวนนี้ได้ดียิ่งขึ้น ในประโยคแรกที่ว่า “สำเนียงส่อภาษา” หากพิจารณาในหมู่คนส่วนใหญ่ ประโยคนี้จะเป็นข้อสรุปที่สมเหตุสมผลในตัวเองอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมองในแง่มุมใด เพราะคนทั่วไปจะมีสำเนียงพูดที่ต่างกัน ซึ่งจะบ่งบอกได้ว่าผู้ใดใช้ภาษาใด ถึงแม้จะใช้ภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาประจำของตน สำเนียงที่ออกมาก็จะแปร่งหูในสำเนียงที่แตกต่างออกไป เช่น คนจีนที่ตั้งรกรากในไทยซึ่งพูดภาษาไทย เป็นต้น ทั้งนี้ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาคนอีกกลุ่มหนึ่งที่มีค่านิยมการใช้ภาษาในอีกลักษณะหนึ่ง ก็จะพบว่าสำเนียงจะมิได้ส่อภาษาเสียแล้ว เพราะคนพวกนี้จะเป็น “ดัดจริตชน” ที่พยายามเปลี่ยนแปลงสำเนียงของตนให้กลายเป็นภาษาอื่นที่มิใช่ “ภาษาพ่อภาษาแม่” เพื่อตอบสนองค่านิยมของตนที่ว่าการใช้ภาษาอื่นๆ จะทำให้ให้ดู “โก้” กว่าการใช้ภาษาของตน ซึ่งจะเห็นได้ชัดในคนไทยยุค “ไอที”           

ส่วนในประโยคหลังที่ว่า “กิริยาส่อสกุล” ประโยคนี้ก็สามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีทางสังคมศาสตร์ในเรื่อง “การขัดเกลาทางสังคม (Socialization)” ที่หมายถึง กระบวนการทางสังคมและจิตวิทยาซึ่งมีผลทำให้บุคคลมีบุคลิกภาพตามแนวทางที่สังคมต้องการ เป็นที่ยอมรับกันว่ากระบวนการขัดเกลาทางสังคมนี้จะเริ่มต้นตั้งแต่บุคคลถือกำเนิดมาในโลก ซึ่งตัวขับเคลื่อนกลไกการขัดเกลาทางสังคมเป็นกลุ่มแรกและสำคัญที่สุดก็คือ “สถาบันครอบครัว” ซึ่งมีหน้าที่ปลูกฝังแนวทางการดำเนินชีวิตทั้งทางตรงและทางอ้อม กล่าวคือ การที่พ่อแม่ผู้ปกครองสั่งสอนบุตรจัดเป็นการขัดเกลาทางสังคมทางตรง และการกระทำตนเป็นแบบอย่างให้กับลูกก็เป็นการขัดเกลาทางอ้อม ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าครอบครัวจึงมีอิทธิพลในการหล่อหลอมกิริยามารยาทของบุคคลแต่ละคน ด้วยเหตุนี้ประโยคที่ว่า “กิริยาส่อสกุล” จึงสมเหตุสมผลไปโดยนิปริยาย           

ทั้งนี้การขัดเกลาทางสังคมจากครอบครัวเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งที่สร้างพฤติกรรมของคนเพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกที่สร้างบุคลิกภาพของบุคคลได้เช่นเดียวกัน ทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน ทว่าปัจจัยอื่นนั้นจะลึกซึ้งกว่าปัจจัยด้านครอบครัว ด้วยเหตุนี้คนทั่วไปจึงมองว่ากิริยามารยาทของแต่ละคนจะมาจากครอบครัว เช่น มีเด็กชอบฉกชิงวิ่งราวทรัพย์สินผู้คนตามท้องถนน คนอื่นที่พบก็จะสรุปในทันทีเลยว่าครอบครัวนี้คงยากจน ไม่มีเวลาอบรมสั่งสอนลูก หรือถึงขั้นกล่าวว่าคงเป็นโจรทั้งครอบครัว ซึ่งในความจริงอาจจะเป็นลูกของครอบครัวฐานะดีที่มีความอบอุ่นสมบูรณ์พร้อมก็ได้ แต่สาเหตุมาจากการได้รับอิทธิพลทางความคิดที่ผิดมาจากที่อื่น เป็นต้น ในบางครั้งสำนวนนี้จึงอาจไม่ยุติธรรมสำหรับวงศ์ตระกูลสักเท่าไร จากการวิเคราะห์ความสมเหตุสมผลของความหมายจึงสรุปได้ว่า สำนวนนี้มุ่งที่จะใช้กับผู้ที่แสดงกิริยามารยาทที่ไม่เหมาะสมให้รู้จักปรับปรุงตนเพื่อมิให้เสื่อมเสียต่อวงศ์ตระกูลและครอบครัว คล้ายๆ กับการกล่าวว่า “พ่อแม่ไม่สั่งไม่สอน” นั่นเอง           

เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างสำนวนนี้กับเรื่องของ “ผู้ดี” ก็จะพบว่ามีความเกี่ยวข้องกัน เพราะผู้ดีคือผู้ที่ระมัดระวังกิริยามารยาทของตนเอง ดังนั้นผู้ดีก็จะแสดงออกให้เห็นถึงลักษณะการอบรมสั่งสอนที่ดีของครอบครัว ซึ่งก็สามารถอธิบายได้ด้วยความหมายสำนวนได้ว่า การเป็นผู้ดีเป็นผลลัพธ์จากการขัดเกลาทางสังคมในวิถีที่ถูกต้องของครอบครัว และความเป็นผู้ดีก็จะส่อให้เห็นถึงความมี “สกุลสูง” ซึ่งก็แน่นอนว่าเป็นความสูงส่งทางจริยธรรมมิใช่ทางด้านฐานะ จึงอาจกล่าวได้ว่าลักษณะความเป็น “ผู้ดี” สอดคล้องและสนับสนุนความหมายของสำนวน “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล” ได้ดียิ่งขึ้น เมื่อใดที่ใช้สำนวนนี้กับผู้ดี นัยของความหมายจึงมิใช่การเสียดสีประชดประชันแต่อย่างใด หากแต่เป็นการชื่นชมถึงครอบครัวนั้นอย่างจริงใจ ดังนั้นหากต้องการจะเป็น “ผู้ดี” ก็ต้องเข้าใจความหมายสำนวนนี้ที่อธิบายด้วยความเป็นผู้ดี เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจในขณะที่จะทำพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมด้วย           

ในอดีตสำนวนนี้คงจะก่อสำนึกให้กับผู้ฟังได้มาก แต่ปัจจุบันไม่ว่าใครจะด่าว่าถึงวงศ์ตระกูลอย่างไร จะกล่าวถึงสำนวนนี้เป็นร้อยครั้งพันครั้ง ก็คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนได้ เพราะ “อัตตา” ในโลกยุคโลกาภิวัฒน์ได้ปิดกั้นไว้ กอปรกับการที่ครอบครัวในปัจจุบันก็ไม่ได้ทำหน้าที่ที่สถาบันครอบครัวพึงกระทำ คือ สั่งสอนให้คนในครอบครัวเป็นคนดี แต่กลับให้ความสำคัญกับเงินตรามากกว่า เหล่านี้คือผลของการพัฒนาในระบอบทุนนิยมโดยไม่ทำไปควบคู่กับจริยธรรมนั่นเอง เราจึงควรให้ความสำคัญกับความหมายของสำนวนนี้ในเชิง “ผู้ดี” บ้าง มิฉะนั้นในอนาคตสำนวนนี้อาจจะเปลี่ยนไปเป็น “สำเนียงส่อภาษา เงินตราส่อสกุล” ก็ได้ 

หมายเหตุ เรียงความนี้เขียนขึ้นเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๐ เพื่อส่งงานในรายวิชา “ภาษาไทยพื้นฐาน (ท ๔๑๑๐๒)” กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โดยกำหนดให้นักเรียนเขียนเรียงความเกี่ยวกับสำนวน สุภาษิต คำพังเพย

 

โดย แว่น

----------------------------------------

 สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล
แอ็คไหน หมายความว่าอย่างไร ต้องรู้!
-http://www.dek-d.com/studyabroad/13846/-

สวัสดีครับน้องๆ ชาว Dek-D.com  ใครได้อ่านชื่อบทความแล้วอย่าเพิ่งตกใจนะครับ แม้ตอนนี้ละครเรื่องเมียหลวงจะมาแรง แต่พี่ยีนคงไม่มีเวลาไปต่อกรกับคุณอรหรือน้องนวลหรอกครับ (เพราะเวลามอบให้กับน้องๆ จนหมด...อิอิ)

     มาคราวนี้พี่ยีนได้มีโอกาสแปลบทความที่เป็นประโยชน์มาให้น้องๆ ได้อ่านกัน หลายคนที่คิดไว้ว่าอยากไปเมืองนอก คงกังวลไม่น้อยกับการวางตัวให้เป็นที่รักของชาวต่างชาติใช่ไหมครับ และความหมายของอากัปกิริยาหรือลักษณะท่าทางต่างๆ ที่แสดงออกมานั้น ก็สามารถสื่อความหมายได้หลายแง่  บวกบ้างลบบ้าง  พี่ยีนจึงอยากจะให้น้องๆ รู้กันไว้บ้าง จะเป็นอย่างไร  ไปดูกันทีละแอ๊คเลยครับ

สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล    

     1. การชี้นิ้ว
    ในอเมริกาและยุโรปตะวันตกนั้น  การชี้นิ้วถือเป็นกิริยาจิ๊บๆ ที่ยอมรับกันได้และใช้กันทั่วๆ ไป  แต่สำหรับชาวเอเชียแล้ว ถือเป็นเรื่องที่หยาบคาย ซึ่งควรใช้มือทั้งมือในการสื่อสาร แทนที่จะใช้นิ้วชี้เพียงนิ้วเดียว
 


     2. การโชว์แก้มก้น
    นอกจากจะเผยให้เห็นความอุจาดตานานาประการแล้ว บางประเทศยังใช้วิธีนี้เพื่อการลบหลู่ ต่อต้าน และกระตุ้น เพื่อให้ผู้คนเกิดความสนใจ  ซึ่งเป็นไม้ตายสำคัญในการประท้วงของกลุ่มต่างๆ


     3. การถกกระโปรง
  นอกจากความเซ็กซี่ที่เผยไต๋ให้เห็นเรียวขาแล้ว  ในประเทศแถบยุโรปยังนิยมใช้เป็นมุกตลกลามกอีกด้วย

     4. การกลอกตา
    จะมีความหมายในทำนอง "ฉันไม่ชอบ"  หรือ "ฉันคิดว่ามันงี่เง่ามาก" หรือ  "ฉันไม่เชื่อหรอก"   และบางครั้งก็ใช้ในภาวะจำยอม  ไม่สามารถทำอะไรได้  แต่ในใจค้านนิดๆ

     5. การผงกหัว
    ในประเทศบัลแกเรียและศรีลังกานั้น  การผงกหัวเป็นสัญญาณอย่างเป็นทางการว่า  น้องๆ ยอมรับหรือตกลง  แต่ในประเทศเอเชียบางประเทศใช้คำพูดควบคู่จะดูสุภาพกว่า เช่น ครับ/ ค่ะ  ขืนผงกหัวให้กับพ่อแม่ ระวังจะหัวขาดไม่รู้ตัว  ฮ่าๆๆ

     6. การส่ายหัว
     แปลว่า "ไม่" ในทุกกรณีครับ

     7. การแลบลิ้น
    หากเป็นประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงและรวมถึงเมืองไทยบ้านเราคงโดดตัดลิ้นขาดแน่ๆ แต่สำหรับชาวเอสกิโมแล้ว เขาใช้การแลบลิ้นแทนคำว่า "สวัสดี" ครับ

     8. การเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย
    ถ้ามือน้องๆ กำลังวุ่นกับการบ้าน และเป็นเวลาเดียวกับที่เพื่อนของน้องเอามาขอยืมการบ้านไปลอก (ไม่ทำนะครับ ไม่ดีๆ) น้องก็จะเชิดหน้าใช้คางและหางตาชี้บอกใช่ไหมครับ ลักษณะท่าทางแบบนี้แหละครับที่หนุ่มๆ ชาวมะกันใช้ทักทายเพื่อนๆ เมื่อพบกัน แต่ต้องรู้จักสนิทกันแล้วเท่านั้นนะครับ ขืนทำสุ่มสี่สุ่มห้าอาจเจอดี

     9. การโค้งคำนับ
    เป็นภาษาสากลที่ใช้ในการทำความเคารพหรือแสดงความนับถืออีกฝ่าย และสำหรับชาวญี่ปุ่นจะใช้ในการทักทายและอำลาครับ ท่านี้ดูอ่อนน้อมมาก จึงสารพัดประโยชน์ ท่าเดียวรอดตายทุกประเทศทั่วโลกครับ


     10. การใช้นิ้วโป้งสะกิดปลายจมูก
    แม้ในหนังจะดูเท่สำหรับบ่าว และดูแก่นแก้วสำหรับสาว แต่อีกความหมายที่สามารถแปลได้ก็คือ ใครที่ทำท่าทางแบบนี้กำลังกระตุกหนวดเสืออยู่นะครับ

     เป็นอย่างไรบ้างครับ  ข้อมูลไหนที่เป็นประโยชน์ก็จำๆ และนำไปใช้กันบ้างนะครับ และหากใครอยากพูดคุย แนะนำ หรืออยากเล่าประสบการณ์การเรียนต่อต่างประเทศ  ก็อีเมลมาคุยกันได้ครับที่ gin@dek-d.com นะครับ ไว้เจอกันคราวหน้าครับ...
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 08, 2011, 07:31:24 am
หลังจากนี้ไป (ยกเว้น ท่านเดียวที่ทางชมรมพระวังหน้า กำัลังพิจารณาอยู่ในขณะนี้) สำหรับท่านใดที่สนใจสมัครสมาชิกชมรมพระวังหน้า ผมจะมีรายละเอียดให้ท่านได้กรอกข้อมูลของท่าน ซึ่้งมีบางคำถามที่ผมระบุให้ต้องเขียนหรือพิมพ์อธิบายไม่น้อยกว่า 5 บรรทัด

และ ต้องมีสมาชิกชมรมพระวังหน้า รับรองด้วยครับ

ในรายละเอียด ต้องมีการส่งรูปมาให้ผมด้วย ต้องส่ง 2 รูป

1.รูปตนเอง
2.รูปที่ถ่ายคู่กับสมาชิกชมรมพระวังหน้าครับ


จึงเรียนมาเพื่อทราบกันครับ

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2175.html

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 08, 2011, 07:35:42 am
หลังจากนี้ไป (ยกเว้น ท่านเดียวที่ทางชมรมพระวังหน้า กำัลังพิจารณาอยู่ในขณะนี้) สำหรับท่านใดที่สนใจสมัครสมาชิกชมรมพระวังหน้า ผมจะมีรายละเอียดให้ท่านได้กรอกข้อมูลของท่าน ซึ่้งมีบางคำถามที่ผมระบุให้ต้องเขียนหรือพิมพ์อธิบายไม่น้อยกว่า 5 บรรทัด

และ ต้องมีสมาชิกชมรมพระวังหน้า รับรองด้วยครับ

ในรายละเอียด ต้องมีการส่งรูปมาให้ผมด้วย ต้องส่ง 2 รูป

1.รูปตนเอง
2.รูปที่ถ่ายคู่กับสมาชิกชมรมพระวังหน้าครับ


จึงเรียนมาเพื่อทราบกันครับ

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2175.html

.

สำหรับการรับ หรือ ไม่รับ ขึ้นอยู่กับ การลงมติ ของ ประธาน , รองประธาน และเลขานุการ เป็นการลงมติ 2 ใน 3 เสียง

และผมเองจะส่งเรื่องการรับสมัครสมาชิกใหม่ ให้สมาชิกชมรมพระวังหน้าทุกๆท่านได้ทราบและแสดงความคิดเห็นกัน เนื่องจาก เราอยู่บ้านหลังเดียวกัน ต้องช่วยเหลือและดูแลกันครับ


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ มกราคม 09, 2011, 12:19:50 am
 :13: อนุโมทนาครับพี่หนุ่ม
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 09, 2011, 08:32:10 pm
ชาวชมรมพระวังหน้า ไปสักการะพระพุทธรูป ที่วังหน้า

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2174.html (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2174.html)

.-----------------------------------------------------------------------------------------


ยศและลาภ หาบไป ไม่ได้แน่
มีเพียงแต่ ต้นทุน บุญกุศล
ทรัพย์สมบัติ ทิ้งไว้ ให้ปวงชน
แม้ร่างตน เขาก็เอา ไปเผาไฟ

เมื่อเจ้ามา มีอะไร มาด้วยเจ้า
เจ้าจะเอา แต่สุข สนุกไฉน
เจ้ามามือเปล่า เจ้าจะ เอาอะไร
เจ้าก็ไป มือเปล่า เหมือนเจ้ามา

(จุฬาลงกรณ์ ปร.)

-http://larndham.org/index.php?/topic/14644-%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%88/-



 โอวาท  สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต  พรหมรังสี)

-http://supissara.myreadyweb.com/article/category-36362.html-
 
             ยศและลาภหาบไปไม่ได้แน่        มีเพียงแต่ต้นทุนบุญกุศล
             ทรัพย์สมบัติทิ้งไว้ให้ปวงชน      แม้ร่างตนเขายังเอาไปเผาไฟ
             เมื่อเจ้ามามีอะไรมาด้วยเจ้า        เจ้าจะเอาแต่สุขสนุกไฉน
             เจ้ามามือเปล่าเจ้าจะเอาอะไรไป      เจ้าก็ไปมือเปล่าเหมือนเจ้ามา...
 
๐ ๐ ๐ ๐

 
             บุญเราไม่เคยสร้างใครที่ไหนจะมาช่วยเรา...
           
            ลูกเอ๋ย....ก่อนจะเที่ยวไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด  เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเองคือ  บารมีของตนลงทุนไปก่อน  เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอจึงค่อยยืมบารมีคนอื่นมาช่วย  มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด  เพราะหนี้สินในบุญบารมีที่เที่ยวไปขอยืมมาจนพ้นต้ว  เมื่อทำบุญกุศลได้บารมีมาก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมดไม่มีอะไรเหลือติดตัว  แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้า  หมั่นสร้างบารมีไว้ (สร้างความดีไว้)  แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง  จงจำไว้นะ  เมื่อยังไม่ถึงเวลาเทพเจ้าองค์ใดคิดช่วยก็ไม่ได้  แต่ครั้นถึงเวลาทั่วฟ้าจรดดินอะไรก็ต้านเจ้าไม่อยู่  จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดิน  เมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลย  ใครที่ไหนจะมาช่วยเจ้า

             ความจริงพอกิน  พอใช้  พออยู่  รู้พอ   ย่อมสงบ  มนุษย์หยุดนิ่งไซร้ความจริงย่อมเกิด  ถ้าท่านยังไม่หยุด....ท่านยังไม่มีโอกาสพบความจริง....

 
                           ๐ ๐ ๐ ๐

 
                  หัวใจการเจริญวิปัสสนากรรมฐานนั้น
                    ต้องละจนถึงที่สุดมิใช่ไปยึด


------------------------------------------------

        อันที่จริงคนเขาอยากให้เราดี               แต่ถ้าเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้

จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย                            ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน

 

เมื่อมีร้อนมีเย็นเป็นเครื่องแก้                เมื่อมืดแท้แล้วก็มีสว่าง

ถึงครึ้มฟ้ามัวฝนทุกทิศทาง                              เมื่อเมฆจางก็จะกลับเห็นแสงจันทร์

 

            คิดก่อนจึงค่อยทำจงจำไว้                    ทำอะไรต้องคิดทั้งหน้าหลัง

อย่าปล่อยตัวให้ทำตามลำพัง                           ต้องเอาใจเหนี่ยวรั้งเสมอไป

ก่อนจะทำสิ่งใดใจต้องคิด                               ถูกหรือผิดทำอย่างนี้ดีหรือไม่

ถ้าหากเห็นว่าไม่ดีมีโทษภัย                             จงหาทางทำใหม่ทำให้ดี

 

งานยิ่งมีมากจริงยิ่งเป็นสุข                   งานยิ่งชุกมันสมองยิ่งผ่องใส

เมื่องานทำได้เสร็จสำเร็จไป                             ก็สุขใจปลาบปลื้มลืมทุกข์ร้อน

 

เป็นการง่ายยิ้มได้ไม่ต้องฝืน                เมื่อชีพชื่นเหมือนบรรเลงเพลงสวรรค์

แต่คนที่ควรชมนิยมกัน                                   ต้องใจมั่นยิ้มได้เมื่อภัยมา

หลวงวิจิตรวาทการ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 10, 2011, 09:45:11 pm
พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ  เจ้าฟ้าอิศเรศจุฑามณี  ตรีพิธเพ็ชรรัตนาลงกฎ  อรรคราโชรสวรสศวิบุลย  อดุลยเดชมหาสุขุมาลย์  วงศวโรดม  บรมราชกุมาร

คือ

พระบาทสมเด็จพระปวเรนทราเมศร  มหิศเรศรังสรรค์  พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว   

ซึ่งเสด็จเฉลิมพระราชมณเฑียรในพระบวรราช วัง  นับตามพระราชวงศ์นี้ นั้น    พระองค์เป็นพระราชบุตร  ทึ่  ๕๐    หรืออีกอย่างหนึ่ง  เป็นที่  ๒๗  ตามจำนวน    นับแต่พระองค์ที่เป็นพระราชกุมารของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย  ซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินใหญ่ที่  ๒ ในบรมราชวงศ์นี้    และเป็นพระโอรสที่  ๓    ตามจำนวนซึ่งประสูติเป็นพระองค์    หรือเป็นที่  ๕  ตามจำนวนซึ่งตั้งพระครรภ์  ในกรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์    ตั้งพระครรภ์มาตั้งแต่เดือนอ้าย  ปีเถาะ  นักษัตร   นพศก   จุลศักราช  ๑๑๖๙   เป็นปีที่  ๒๖  ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

 

          ครั้งนั้น    พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยซึ่งเป็นสมเด็จพระบรมชนกนาถ    ยังเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ  เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร  ในแผ่นดินนั้นอยู่    ครั้นเมื่อพระราชบุตรพระองค์นี้ตั้งพระครรภ์ขึ้น  ๔  เดือน    ก็ได้เสด็จเลื่อนถานันดรราชอิสริยยศ  อุปราชาภิเษกเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลในแผ่นดินนั้น

 

          ครั้นพระครรภ์ถ้วนทศมาส  ก็ประสูติในวันอาทิตย์  เดือน  ๑๐    ขึ้น  ๑๕  ค่ำ  ปีมะโรง    นักษัตรสัมฤทธิศก  จุลศักราช  ๑๑๗๐    เป็นปีที่  ๒๗  ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก    เวลา  ๕  นาฬิกา  แต่เที่ยงคืนวันนั้น    พระอาทิตย์สถิตราศีสิงห์    พระพุธ  พระเสาร์  พระลักขณา  อยู่ราศีสิงห์     พระเคราะห์ทั้ง  ๓  อยู่ร่วมราศีกัน      พระจันทร์  พระพฤหัสบดี    ๒  พระเคราะห็  อยู่ราศีกุมภ์  เล็งพระลักขณา    พระอังคาร  พระราหู   ๒  พระเคราะห็  อยู่ราศีตุลย  เป็นโยค แก่พระลักขณา  แต่พระเสาร์  อยู่ราศี    การประสูติครั้งนี้ เป็นไปตามกาลตามสมัย    ที่พระราชวังเดิมปากคลองบางกอกใหญ่     ครั้งนั้น  เรียกว่าพระบวรราชวังใหม่  อยู่ในกำแพงกรุงธนบุรีโบราณ

 

          ตรงกับ วันที่   ๔  กันยายน  พ.ศ.๒๓๕๑    ทรงพระนามเดิมว่า เจ้าฟ้าจุฑามณี หรือเป็นที่รู้จักอย่างดีคือ เจ้าฟ้าน้อย    คุณหญิงนก   เป็นพระพี่เลี้ยง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ป้อมวิไชย ประสิทธิ์                                                                                                                  ท้องพระโรงพระราชวังเดิม


 

          พระราชวังเดิม เป็นพระราชวังหลวงของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณปากคลองบางกอกใหญ่ ในพื้นที่ ป้อมวิไชยประสิทธิ์  ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช    ตำแหน่งที่ตั้งของพระราชวังหลวงนี้มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์   เนื่องจากมีป้อมปราการที่มั่นคง  และสามารถตรวจการณ์ได้ในระยะไกล     อีกทั้งยังใกล้กับเส้นทางคมนาคมและเส้นทางการเดินทัพที่สำคัญด้วย
 
       อาณาเขตของพระราชวังเดิมในสมัยของพระเจ้าตากสินมหาราชนั้น มีพื้นที่ตั้งแต่ป้อมวิไชยประสิทธิ์ขึ้นมาจนถึงคลองเหนือวัดอรุณราชวราราม (คลองนครบาล) โดยรวมวัดแจ้ง (วัดอรุณราชวราราม) และวัดท้ายตลาด (วัดโมลีโลกยาราม) เข้าไปในเขตพระราชวัง   
 
         ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ  ทรงย้ายราชธานีมาอยู่ฝั่งพระนคร  โดยสร้างพระบรมมหาราชวังขึ้น   พระราชวังกรุงธนบุรีจึงได้ชื่อว่า พระราชวังเดิม  ตั้งแต่บัดนั้น  และทรงกำหนดเขตวังให้แคบกว่าเดิม  โดยให้วัดทั้งสองดังกล่าวแล้วอยู่นอกเขตพระราชวัง   

          เนื่องจากพระราชวังกรุงธนบุรี   มีความสำคัญในทำเลที่ตั้ง   จึงทรงแต่งตั้งพระราชวงศ์ชั้นสูงที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยมาประทับ    พระราชดำรินี้ได้สืบทอดมาทุกรัชกาล

 

 ปัจจุบันเป็นที่ตั้งกองบัญชาการกองทัพเรือ

 

 

 

 

 

 

  ป้อมวิไชยประสิทธิ์  (ปัจจุบัน)

 

 

           ป้อมวิไชยประสิทธิ์  เดิมชื่อ  ป้อมวิไชยเยนทร์ หรือป้อมบางกอก  สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยเจ้าพระยาวิไชยเยนทร์กราบบังคมทูลแนะนำให้สร้างป้อมสองฝั่งแม่น้ำเจ้า พระยา ทั้งทางฝั่งตะวันออก คือ บริเวณ  ระหว่างวัดพระเชตุพนกับปากคลองตลาดในปัจจุบัน   และฝั่งตะวันตก คือ  บริเวณปากคลองบางกอกใหญ่ ที่เป็นป้อมอยู่ในปัจจุบัน    แล้วให้ขึงสายโซ่อันใหญ่ขวางลำน้ำตลอดถึงกันทั้งสองฟากลำน้ำ เพื่อป้องกันข้าศึกที่มาทางทะเล     สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงเห็นชอบด้วยและได้โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาวิไชยเยนทร์เป็นแม่กองก่อป้อมจนแล้วเสร็จในระหว่างปีพุทธ ศักราช  ๒๑๙๙ - ๒๒๓๑    การขึงโซ่กั้นเรือได้ถูกกล่าวถึงในเหตุการณ์กบฏมักกะสัน  ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

          ในสมัยสมเด็จพระเพทราชา มีการรบระหว่างไทยกับฝรั่งเศส เนื่องจากทางไทยต้องการขับไล่ฝรั่งเศสออกจากประเทศไทย   ในการรบครั้งนี้ป้อมทางฝั่งตะวันออกได้รับความเสียหายมาก จึงโปรดให้รื้อลง

           เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงกู้เอกราชให้ชาติไทยและสถาปนากรุงธนบุรี เป็นราชธานีทรงสร้างพระราชวังหลวงในบริเวณป้อมวิไชยเยนทร์   พร้อมกับทรงปรับปรุงป้อมนี้   และพระราชทานนามใหม่ว่า  ป้อมวิไชยประสิทธิ์   ในปี พ.ศ.๒๓๑๔

 

๐   ๐   ๐   ๐   ๐

 

        เมื่อพระชนมายุพระราชกุมารได้  ๑๓  เดือน  หย่อนอยู่  ๗  วัน  สมเด็จพระบรมชนกนาถซึ่งเป็น  กรมพระราชวังบวรสถานมงคลอยู่ในเวลานั้น   ก็ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชบรมราชาภิเษกในวันอาทิตย์  เดือน  ๑๐    ขึ้น  ๙  ค่ำ  ปีมะเส็ง  เอกศก  จุลศักราช  ๑๑๗๑   พระราชกุมารพระองค์นี้ราชบริพารก็ได้เชิญตามเสด็จสมเด็จพระบรมชนกนาถมาในพระ บรมมหาราชวัง      แต่วันพฤหัสบดี    เดือน  ๙   แรม  ๑๓  ค่ำ      ก่อนแต่วันพระบรมราชาภิเษกขึ้นไปได้  ๑๐  วัน    ทรงพระเจริญอยู่ในพระบรมมหาราชวังจนพระชนมายุได้  ๑๒  ขวบ กับ  ๖  เดือน    ก็ได้รับมงคลการโสกันต์ในพระราชพิธีใหญ่อย่างสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้า

 

เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์

          พระราชกุมารพระองค์นี้  มีพระชนมายุได้  ๑๖  ปี หย่อนอยู่เดือนหนึ่ง   ได้เสด็จกลับคืนไปสู่พระราชวังเดิมได้ทำราชการในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่ง เกล้าเจ้าอยู่หัว มีความชอบ    จึงได้โปรดทรงตั้งให้เป็นเจ้าฟ้าต่างกรม  ปรากฏพระนามว่า  สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ  เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์    (เมื่อวันที่  ๑๐  พฤษภาคม  ๒๓๗๕   พระชนมายุ   ๒๔ พรรษา)  ได้บังคับบัญชาว่ากล่าวกรมทหารแม่นปืนหน้า  ปืนหลัง   และญวนอาสารบแขกอาสาจาม    เป็นแม่ทัพออกไปรบเมืองญวนครั้งหนึ่ง  เมื่อปีฉลูนักษัตร  ตรีศก  จุลศักราช  ๑๑๒๓*   เป็นปีที่  ๑๙  ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว 

     * พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  ทรงครองราชย์ตั้งแต่ พ.ศ.๒๓๖๗  หรือ จ.ศ.๑๑๘๖    ปีที่  ๑๙ ในแผ่นดิน  คือ พ.ศ.๒๓๘๖  หรือ  จ.ศ.๑๒๐๕    ดังนั้น  จ.ศ.๑๑๒๓  น่าจะไม่ถูกต้อง    เพราะพระราชกุมารประสูติในวันอาทิตย์  เดือน  ๑๐    ขึ้น  ๑๕  ค่ำ  ปีมะโรง    นักษัตรสัมฤทธิศก  จุลศักราช  ๑๑๗๐

 

                  อาคารตำหนักเก๋ง   ที่ประทับพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว   ในพระราชวังเดิม   เมื่อครั้งทรงทำราชการในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  และทรงดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนอิศเรศรังสรรค์  ในระหว่างปีพุทธศักราช  ๒๓๖๗ - ๒๓๙๔   ก่อนที่จะทรงรับบวรราชาภิเษก

 

          อาคารตำหนักเก๋ง  เป็นสถาปัตยกรรมที่มีรูปแบบตะวันตกหรือเรียกว่า ตึกแบบอเมริกัน    อาจถือได้ว่าอาคารนี้เป็น ตำหนักแบบตะวันตกหลังแรกที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์   รูปแบบโดยทั่วไป  เป็นตึกก่ออิฐถือปูน   ๒  ชั้น  หลังคาทรงปั้นหยา มีหน้าจั่วปีกนก  ๒ ด้าน   บริเวณชั้นบนของตำหนักเป็นส่วนที่ประทับ กั้นเป็นห้องต่าง ๆ  ด้วยผนังไม้

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ปืนใหญ่    ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าพระตำหนักพระบาทสมเด็จพระปิ่เกล้าเจ้าอยู่หัว  ภายในพระราชวังเดิม

สร้างเมื่อ  พ.ศ.๒๓๐๕  ค.ศ.๑๘๖๒

 

 พ.ศ.๒๓๖๘   พระราชทานขนานชื่อปืนใหญ่ 

          ศุภมัศดุ    ศักราช  ๑๑๘๗  ปีระกา    นักสัตว์สัพศก    ณ  วันเสาร์  เดือนอ้าย  ขึ้น  ๗  ค่ำ  เวลาเช้า  ๒  โมง    พระบาทบรมนารถบรมบพิต  สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จออก  ณ  พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาณ  ทรงพระราชทานขนานชื่อปืนใหญ่เก่า,ใหม่  จาฤกชื่อเป็นอักษรพจประจำบอกไว้สำหรับพระนคร  ๒๗๗  บอก   ดังนี้

 ฯลฯ


          การปืนใหญ่นั้นได้ต่อสู้รักษาพระนคร และขอบขัณฑสีมา  มาตั้งแต่อดีตกาล  สามารถสืบสาวได้ว่ากองทัพไทยได้เริ่มนำปืนใหญ่มาใช้ตั้งแต่ครั้งแผ่นดิน สมเด็จพระเพทราชา   เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  ทรงพระกรุณาพระราชทานขนานชื่อปืนใหญ่เก่า, ใหม่   จาฤกชื่อเป็นอักษรประจำบอกไว้  สำหรับพระนคร  ๒๗๗  บอก   ณ  วันเสาร์  เดือนอ้าย  ขึ้น  ๗  ค่ำ    ปีระกา   จุลศักราช  ๑๑๘๗  นั้น   นับได้ว่า ทรงเห็นความสำคัญ และคุณค่าของการปืนใหญ่  เป็นพระมหากรุณาธิคุณ และศิริมงคล  แก่การปืนใหญ่ และรี้พลสกลไกรที่ใช้สอยและทำงานปืนใหญ่ ทั่วกัน       ก็วันนี้แล  ท่านผู้รู้ได้ตรวจสอบแล้ว  ปรากฏว่า  ตรงกับวันที่  ๑๗  ธันวาคม       ทางการทหารบกจึงนับเอา

 

วันที่  ๑๗   ธันวาคม  เป็นวันทหารปืนใหญ่   

 

 

 ป้อมพิฆาตข้าศึก

        ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเครื่องอาวุธยุทธภัณฑ์  และป้อมปราการเพื่อป้องกันพระนครและปากน้ำสำคัญขึ้นหลายแห่ง 

          พ.ศ.๒๓๗๔    พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ  เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ทรงนำกองกำลังทหารบก สร้าง "ป้อมพิฆาตข้าศึก" ขึ้น เพื่อรักษาปากน้ำแม่กลอง    เมืองสมุทรสงคราม    นับเป็นพระราชกิจจานุกิจแรก เกี่ยวกับราชการบ้านเมืองที่ได้บันทึกไว้ในพระราชพงศาวดารของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอฯ

 

           "ป้อมพิฆาตข้าศึก"  ตั้งอยู่ที่ปากคลองแม่กลองฝั่งตะวันออก ต่อจากวัดบ้านแหลม และสถานีรถไฟแม่กลอง ในปัจจุบัน

           พ.ศ.๒๔๔๙    ทางราชการได้รื้อป้อมดังกล่าว  ตั้งเป็นกองโรงเรียนพลทหารเรือที่ ๑   

          พ.ศ.๒๔๖๕    กระทรวงทหารเรือในเวลานั้น ได้ยุบเลิกกองโรงเรียนพลทหารเรือ ที่ ๑   และ ยกสถานที่ให้กระทรวงมหาดไทย  สำหรับเป็นที่ตั้งศาลากลางจังหวัดสมุทรสงคราม  เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๘   ดังปรากฎในปัจจุบัน

 

 ป้อมพิฆาตข้าศึก    >   

 

การทหารเรือ . . . เข้าสู่ยุคสมัยใหม่

       การทหารเรือ ของไทยเรานั้น เริ่มมีเค้าเปลี่ยนจากสมัยโบราณเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ ในสมัยรัชกาลที่  ๓  นี้  และผู้ที่เป็นกำลังสำคัญ ในกิจการด้านทหารเรือในสมัยนั้น คือ เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ และ จมื่นไวยวรนาถ  (ช่วง บุนนาค   ต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น  สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์)   ด้วยทั้งสองท่านนี้มีความรู้ในวิชาการต่อเรือเป็นอย่างดี    จึงได้รับหน้าที่ปกครอง บังคับบัญชาการทหารเรือในสมัยนั้น

 

เรือที่สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  (เฉพาะลำที่สำคัญ)

 

                   ๑.เรือเทพโกสินทร    สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๓๗๔   เป็นเรือกำปั่นหลวง   เคยใช้ออกไปค้าขายยังต่างประเทศ เมื่อ พ.ศ.๒๓๘๔ ใช้เป็นเรือแม่ทัพหน้า คือเจ้าหมื่นไวยวรนารถ  ยกทัพไปรบกับญวน
 
                   ๒.เรืออมรแมนสวรรค์   สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๓๗๕ เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) เป็นผู้สร้างถวาย สำหรับเป็นเรือพระที่นั่ง สร้างที่นครศรีธรรมราช เป็นเรือกำปั่นแปลง   ปากกว้าง ๓ วา  สร้างอย่างประณีตวิจิตรงดงามใช้เวลาเกือบ ๗ ปี จึงแล้วเสร็จ เมื่อ พ.ศ.๒๓๘๒ ใช้เป็นเรือสำหรับ พระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษาธิบดี ผู้เป็นแม่ทัพยกทัพเรือ ไปปราบพวกเจ้าแขก ที่ก่อจลาจลทางปักษ์ใต้
 
                   ๓.เรือปักหลั่น และ เรือมัจฉาณุ (ลำที่หนึ่ง) ไม่ปรากฏว่าสร้างในปีใด   เป็นเรือใบขนาดใหญ่ สำหรับบรรทุกทหาร และ เสบียงไปส่งกองทัพ เรือทั้งสองลำนี้ ได้ใช้ในราชการทัพเรือ พ.ศ.๒๓๘๒ คราวปราบพวกเจ้าแขก ที่ก่อการจลาจลทางปักษ์ใต้ และ  เมื่อ พ.ศ.๒๓๘๔ คราวยกทัพไปรบกับญวน
 
                   ๔.เรือแกล้วกลางสมุทร (Ariel)   สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๓๗๘ ที่จันทบุรี   เป็นเรือกำปั่นใบ ลำแรกที่สร้างโดยคนไทย คือหลวงนายสิทธิ์ (สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์) เมื่อคราวไปช่วยบิดาของท่านสร้างเมืองใหม่ ที่จันทบุรี เป็นเรือชนิดบริกขนาด ๑๑๐ ตัน มีอาวุธปืนใหญ่ ๖ กระบอก  เมื่อ พ.ศ.๒๓๘๒ ไปราชการทัพปราบเจ้าแขก ที่ก่อการจลาจลทางปักษ์ใต้
 
                   ๕.เรือพุทธอำนาจ  (Fairy)   สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๓๗๙   เป็นเรือชนิดบาร์ก  (Barque)    ขนาด ๒๐๐ ตัน มีอาวุธปืนใหญ่ ๑๐ กระบอก เรือลำนี้เป็นของ กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เมื่อ พ.ศ.๒๓๘๔   ทรงเป็นแม่ทัพเสด็จไปราชการทัพรบกับญวณ   ตีเมืองบันทายมาศ (ฮาเตียน) ทรงใช้เป็นเรือพระที่นั่งของแม่ทัพ

 

         ต่อมา  ได้แบ่งหน้าที่กันโดยพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ ทรงบังคับบัญชาทหารเรือวังหน้า   ส่วนทหารเรือบ้านสมเด็จอยู่ในปกครองบังคับบัญชาของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรี สุริยวงศ์ ในยามปกติทั้งสองฝ่ายนี้ไม่ขึ้นแก่กัน  ต่างขึ้นตรงต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

          พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ ทรงฝึกฝนทหารของพระองค์ โดยใช้ทั้งความรู้และความสามารถ และ ยังทรงมุ่งพระราชหฤทัยในเรื่องการค้าขายให้มีกำไรสู่แผ่นดินด้วย    เพราะได้ทรงสร้างเรือเดินทะเล เพื่อการค้าระหว่างประเทศ  มิใช่สร้างแต่เรือรบ

          เมื่อได้มีพวกญวนเข้ารีตอพยพเข้ามาสวามิภักดิ์     จึงโปรดเกล้าฯ ให้   เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์  ทรงฝึกหัดพวกญวนเหล่านี้    ซึ่งได้ทรงจัดให้เป็นพลประจำการ  และกำหนดให้มีหน้าที่ประจำป้อม   จึงได้ทรงแปลตำราทหารปืนใหญ่ภาษาอังกฤษมาใช้เป็นหลักฐานเล่มหนึ่ง   เรียกว่า  "ตำราปืนใหญ่" ขึ้น      ทั้งนี้  ทรงได้ศึกษาวิชาการทหารปืนใหญ่จากครูชาวฝรั่งเศส  มาก่อนแล้ว   และได้ทรงเพิ่มเติม  วิชาของไทยลงไปด้วย  เช่นการเขียนยันต์  และพระคาถาต่างๆ กำกับ

          นอกจากนี้    พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  ยังได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บังคับว่ากล่าว  ทหารปืนใหญ่    กรมทหารแม่นปืนหน้า    กรมทหารแม่นปืนหลัง  และกองทหารญวนอาสารบ  แขกอาสาจาม    ซึ่งเป็นกองทหารที่สำคัญ และมีกำลังพลมาก

         "กรมทหารแม่นปืน"  มีหน้าที่เก็บรักษาปืนใหญ่  ควบคุมปืนประจำป้อม และฝึกซ้อมการยิงปืนใหญ่    เมื่อมีการเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค   มีหน้าที่ควบคุมปืนหัวเรือพระที่นั่ง      นอกจากนี้   ยังมีหน้าที่เฝ้าพระบรมมหาราชวัง  เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกหัวเมือง    เดิมมีอยู่แล้ว  ๑  กรม    พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งเพิ่มอีก  ๑  กรม    บรรจุคนที่อยู่บ้าญวนสามเสน  เรียก "กรมทหารฝรั่งแม่นปืนหลัง"  ส่วนกรมที่มีอยู่เดิม  ให้เรียก "กรมทหารฝรั่งแม่นปืนหน้า"

 

ผู้บัญชาการทหารปืนใหญ่

 

พ.ศ.๒๓๘๓  ทรงเป็นผู้บัญชาการทหารปืนใหญ่และทหารญวนต่างด้าว

          ทรงพระราชนิพนธ์ตำราปืนใหญ่ขึ้น โดยทรงแปลจากตำราภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย    กล่าวถึงความเป็นมาของปืนใหญ่ตั้งแต่ยังไม่มีลำกล้อง และ ทรงนำชื่อปืนใหญ่ ทั้ง  ๒๗๗  กระบอก  ที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานขนานชื่อไว้  เมื่อ  พ.ศ.๒๓๖๘  มารวบรวมไว้    รวมทั้งตำราทำดินปืนของไทยแต่เดิม  ซึ่งนอกจากส่วนผสมดินปืนแล้ว  ยังต้องมียันต์ และคาถากำกับด้วย    ส่วนการฝึกหัดพลประจำปืนนั้น   อยู่ในตอนที่  ๔  และ ตอนที่  ๕ 

             ผมขอนำเสนอเฉพาะตอนต้นของแต่ละตอน  พอเป็นตัวอย่าง  หากมีท่านใดสนใจ  จะนำมาเผยแพร่ให้ศึกษากัน  หมดทั้งเล่ม ต่อไป

 

ตอนที่  ๑

ตำนานปืนใหญ่

- - - - -

         จะกล่าวเล่มต้นพงศาวดารปืนใหญ่  และตำราปืน ตำราดิน    ตั้งแต่ครั้งศักราชฝรั่ง  ๑๒๘๐  ปี   คิดเป็นจุลศักราชไทยได้  ๖๔๒  ปี   มาจนถึงทุกวันนี้    ได้แปลออกจากภาษาอังกฤษ  เป็นคำไทย  ณ  วันศุกร์เดือนยี่   ขึ้น  ๕  ค่ำ  ปีฉลู   ตรินิศก  จุลศักราช  ๑๒๐๓    ใจความว่า  . . .

ฯลฯ

 

ตอนที่  ๒

ทำเนียบนามปืนใหญ่
 
ฯลฯ

 

ตอนที่  ๓

ตำราทำดินปืน และยิงปืนใหญ่

- - - - -

ตำราดินสำหรับพระพิไชยสงครามจะให้ศัตรูพ่ายแพ้  ท่านให้ประสมยาดิน  ดังนี้

 ฯลฯ

ตอนที่  ๔

การหัดปืนใหญ่รบกลางแปลง

- - - - -

วิธีหัด

          ปืนใหญ่รบกลางแปลงคราวนี้    จะว่าด้วยอย่างธรรมเนียมที่จะหัดปืนใหญ่รบกลางแปลง  และบอกให้ทหารยืนฝึกหัดในกระบวนรบต่างๆ  ตามอย่างใหม่ที่ได้ใช้มา  ตั้งแต่ศักราชฝรั่งได้   ๑๘๓๑  ปี    คิดเป็นจุลศักราชไทย  ตั้งแต่  ๑๑๙๓  โทศก    มาจนถึงทุกวันนี้    และตำรานี้ได้แปลออกจากภาษาอังกฤษ  ภาษามะลิกัน  ภาษาฝรั่งเศส    ชาติอื่นๆอีกหลายภาษา    ในใจความนั้น  ว่าด้วยธรรมเนียมทหารจะยืนประจำที่ตามตำแหน่ง    เมื่อเพลาจะยิง  จะใช้ปืนสำหรับจะได้เป็นคติร่ำเรียน  แห่งข้าราชการฝ่ายทหารปืนใหญ่ต่อๆ ไป    หวังจะให้เข้าใจชำนิชำนาญในการที่จะใช้สอนฝึกหัดทหาร และทำงานปืนใหญ่

ฯลฯ

 

ตอนที่  ๕

การหัดปืนป้อม และปืนเรือรบ

- - - - -

           เล่มนี้จะว่าด้วยฝึกหัดทหารให้รู้ในทำนองที่จะยิงปืน กระสุนโตตั้งแต่  ๗  นิ้ว   ๘  นิ้ว   ๙  นิ้ว   ๑๐  นิ้ว   ๑๑  นิ้ว    ใจความว่าด้วยธารมเนียมซึ่งทหารจะยืนประจำที่ตามตำแหน่ง    เมื่อเพลาจะยิงปืนรบในป้อม ในค่าย และในกำปั่นรบหลวง    จะให้นายทหารร่ำเรียนวิชาการปืนใหญ่ต่อๆ ไป  จะได้เข้าใจชำนิชำนาญในการจะใช้สอยและทำงานปืนใหญ่   คราวนี้จะว่าด้วยการฝึกหัดยิงปืนบนป้อมก่อน

 ฯลฯ

 

วิธีการฝึกทหารแบบตะวันตก

          ได้ทรงจัดวิธีการฝึกทหารแบบตะวันตกทั้งด้านยุทธศาสตร์ และยุทธวิธี  แต่เนื่องจากเป็นวิชาใหม่ในประเทศ  ยังไม่มีคำบอก คำสั่งมาก่อน  จึงต้องใช้คำบอก คำสั่งเป็นภาษาอังกฤษ  (ลิ้นไทย)  เช่น  . . .
 
          ประการหนึ่ง  คนในสำรับที่จะยิงปืนใหญ่นี้ต้องเปลี่ยนการทำไปให้รอบ  จำต้องหัดให้เป็นจนครบท่าทุกๆ คน  เมื่อไรคำบอกว่า "แจนจะฟะโรน"  คนยืนข้างขวาปืน นั้น   ถอยหลังลงมา  ยืนที่คนตรงหลัง   และคนข้างซ้ายปืนนั้น เดินขึ้นไปข้างหน้า  แล้วยืนที่ๆ คนตรงหน้า   

          "แจนจะฟะโรน"   ท่านว่าคือ   Change Front  ครับ    ลองดูอีกตัวอย่างนะครับ

          . . . และเมื่อไรจะออกเดินเข้าไปยืนในที่ยิงปืนนั้น    คนที่เป็นเลข  ๑   เขาบอกว่า  "เรกเฟ เตกโปษ แอดเกิน กวิกมาจ์"  ทหารปืนใหญ่ยุคคอมพิวเตอร์    แน่ๆ มาจากสำนักประเทศไหน  ช่วยแปลหน่อยครับ          ท่านว่า  คือ    Right Face, Take Post At Gun, Quick March   ครับ


 
http://iseehistory.socita.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538711144

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 10, 2011, 09:45:38 pm

 
แม่ทัพปราบกบฏญวน
 

          พ.ศ.๒๓๘๔    ทรงเป็นแม่ทัพใหญ่นำกองทัพเรือจากกรุงเทพฯ ยกทัพไปตี "เมืองบันทายมาศ" เพื่อปราบกบฏญวน อยู่เป็นเวลาถึง  ๑๖  เดือน   เพื่อถ่วงเวลาให้กองทัพบกถมคลอง  ตัดเส้นทางส่งเสบียงและการคมนาคมทางน้ำ   เป็นการป้องกันไม่ให้กองทัพญวนเข้ามาตั้งในเขมรได้   

                ทรงใช้เรือพุทธอำนาจ  (Fairy) สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๓๗๙   ซึ่งเป็นเรือชนิดบาร์ก   ขนาด ๒๐๐ ตัน มีอาวุธปืนใหญ่ ๑๐ กระบอก  เป็นเรือพระที่นั่ง
 

สงคราม ไทย - ญวน   พ.ศ.๒๓๘๕

           พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริที่จะถมคลองขุดวิญเต ซึ่งญวนใช้เป็นเส้นทางยกกองทัพเรือมาเมืองบันทายมาศได้ราดเร็ว  แต่จะต้องทำลายกำลังของญวนที่รักษาปากคลอง เสียก่อน  จึงทรงพระกรุณาให้เจ้าพระยายมราชเป็นแม่ทัพใหญ่อยู่ที่พนมเปญ  (เจ้าพระยาบดินทร์เดชา ป่วย  รักษาตัวอยู่ที่พระตะบอง)  พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เป็นแม่ทัพ    จมื่นไวยวรนาถ เป็นแม่ทัพหน้ายกทัพเรือออกไปก่อน     

          กองทัพเรือไทยโจมตีทหารญวนที่รักษาป้อมปากน้ำเมืองบันทายมาศ  ญวนสู้ไม่ได้  ต้องส่งกำลังจากไซง่อนมาช่วย   กองทัพเรือไทยต้องถอยกลับมา  ญวนจึงสามารถรวมกำลังที่มีอยู่เข้าตีกองทัพบกของเจ้าพระยายมราชจนต้องถอยไป

          เจ้าพระยาบดินทร์เดชาเห็นว่าจะรักษาพนมเปญไว้ไม่ได้ต่อไป  เพราะอยู่ใกล้ญวนเกินไป  จึงให้นักองด้วงกลับมาตั้งมั่นที่อุดงฤาชัยอีก  แต่ก็จัดกำลังส่วนหนึ่งไว้รักษาพนมเปญ  ก็พอดีเกิดความไม่สงบขึ้นในตังเกี๋ย  พระเจ้าเทียวตรีจึงต้องถอนกำลังส่วนใหญ่จากเขมรกลับไป     ไทยจึง ส่งกำลังเข้าครอบครองดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงไปจนถึงบริเวณเทือกเขาต่อแดน ญวน  ยึดได้เมืองตะโปน  เมืองวัง  เมืองคำน้อย  เมืองพิน  เมืองคำม่วน (ในลาว)  และรวบรวมผู้คนมาอยู่แถบเมืองกาฬสินธุ์  และสกลนคร  จำนวนหนึ่ง

 

Second  King  of  Siam

        พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว    ทรงประชวรตั้งแต่  เดือนอ้าย  ปีจอ  โทศก  จุลศักราช  ๑๒๑๒    มาเสด็จสวรรคตในวันพุธ  เดือน  ๕   ขึ้นค่ำ  ๑    ปีกุน    ยังเป็นโทศก    พระบรมวงศานุวงศ์  และท่านเสนาบดี  และข้าราชการเป็นอันมาก    ปรึกษาพร้อมยอมถวายราชสมบัติและแผ่นดิน   แด่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าทั้ง  ๒  พระองค์   เพื่อว่าพระองค์ใหญ่จะได้พระบรมราชาภิเษกในพระบรมมหาราชวัง   และพระองค์น้อยจะได้พระบวรราชาภิเษกในพระบวรราชวัง

 

           พระองค์ใหญ่นั้น  คือ  สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎ     พระองค์น้อยนั้น  คือ  สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์    ท่านทั้งปวงพร้อมกันเชิญเสด็จพระองค์ใหญ่เข้ามารักษาพระบรมมหาราชวัง   อยู่แต่  ณ  วันพฤหัสบดี  เดือน  ๕  ขึ้น  ๒  ค่ำ  ปีกุน  ยังเป็น โทศก

 

สมภารวัดร้าง

          . . . และคงเป็นด้วยเหตุที่วังหน้ารกร้างทรุดโทรมลงนี้เอง    จึงมีหมายรับสั่งปรากฏอยู่ว่าเมื่อก่อนพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเสด็จขึ้นไปประทับที่วังหน้านั้น   ให้ทำพิธีฝังอาถรรพ์  เมื่อเดือน  ๖  ขึ้นค่ำ  ๑    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  โปรดให้แห่พระพุทธสิหิงค์กลับไปสถิตประดิษฐานในพระราชวังบวร ฯ  และในวันนั้น  เวลาบ่าย  พระสงฆ์  ๒๐  รูปสวดมนต์ในพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย      รุ่งขึ้น  วันขึ้น  ๒  ค่ำ  เวลาเช้า   พราหมณ์ฝังหลักอาถรรพ์ทุกป้อม และทุกประตูพระราชวังบวร ฯ   รวม  ๘๐  หลัก 

 

 

 

   
 พระพุทธสิหิงค์ภายในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์  (ปัจจุบัน)

 

          พระองค์น้อยได้เสด็จเข้าไป อยู่ในพระบวรราชวังแต่  ณ  วันศุกร์    เดือน  ๖  ขึ้น  ๒  ค่ำ    ปีกุน  ตรีศก  จุลศักราช  ๑๒๑๓     แต่ก่อนงานพระราชพิธีบวรราชาภิเศก   เสด็จประทับแรมอยู่ในพระฉาก ที่พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย  เสด็จขึ้นไปประทับที่พระบวรราชวังเวลากำลังปรัก หักพังทรุดโทรมทั่วไปทั้งวัง   ข้าราชการวังน่าที่ได้ตามเสด็จไปแต่แรก เล่ากันว่า   ถึงพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวออกพระโอษฐ์ว่า  "เออ อยู่ดีดีก็ให้มาเปนสมภารวัดร้าง"

         เมื่อเสด็จประทับพระบวรราชวังแล้ว  ก็โปรดให้ตั้งเสาธงสำหรับพระบวรราชวังขึ้น    ได้ชักธงพระจุฑามณีเป็นประจำ

           . . . ฉันมาทราบในภายหลังว่า การทำเสาธงนั้น เกี่ยวกับการเมือง เป็นข้อสำคัญ ควรจะเล่าให้ปรากฏ คือในเมืองไทยแต่ก่อนมา การตั้งเสาธงมีแต่ในเรือกำปั่น  บนบกหามีประเพณีเช่นนั้นไม่     มีคำเล่ากันมาว่า เมื่อในรัชกาลที่  ๓  พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดขนบธรรมเนียมฝรั่ง ให้ทำเสาธงขึ้น ณ พระราชวังเดิม  อันเป็นที่เสด็จประทับ  และชักธงบริวารเป็นเครื่องบูชาในเวลาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จ ไปทอดพระกฐิน     เมื่อสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทอดพระเนตรเห็น ตรัสถามผู้อยู่ใกล้พระองค์ว่า     “นั่น ท่านฟ้าน้อย เอาผ้าขี้ริ้วขึ้นตากทำไม?”

          พิเคราะห์เห็นว่า มิใช่เพราะไม่ทรงทราบว่า ทำโดยเคารพตามธรรมเนียมฝรั่ง ที่มีพระราชดำรัสเช่นนั้น เพราะไม่โปรดที่ไปเอาอย่างฝรั่งมาตั้งเสาชักธงเท่านั้นเอง

                                            "ความทรงจำ" พระนิพนธ์ สมเด็จฯกรมพระยา ดำรงราชานุภาพ

 

       พระองค์ใหญ่เสด็จเถลิงถวัล ยราช  รับพระบรมราชาภิเษก    ในวันพฤหัสบดี  เดือน  ๖  ขึ้น   ๑๕  ค่ำ  ปีกุน  ตรีศก  จุลศักราช  ๑๒๑๓    ทรงพระนามในพระสุพรรณบัตรว่า  สม เด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ  สุทธสมมติเทพยพงศ  วงศาอิศวรกระษัตริย  วรขัติยราชนิกโรดม  จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ  บรมธรรมิกมหาราชาธิราช  บรมนาถบพิตร  พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว     เป็นพระเจ้าแผ่นดินสยามใหญ่  ที่  ๔  ในพระบรมราชวงศ์นี้

จึงโปรดให้ตั้งการ พระบวรราชาภิเษก มีพระนามในพระสุพรรณบัตรว่า

สมเด็จพระปวเรนทราเมศ  มหิศเรศรังสรรค์  มหันตวรเดโชไชย

มโหฬารคุณอดุลยพิเศษ  สรรพเทเวศรานุรักษ์  บวรจักรพรรดิราช

บวรนาถบพิตร

พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว 

 

โปรดให้รับพระบวรราชโองการ  อย่างสมเด็จพระเจ้าเอกาทศรถ  ในแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้า  เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยา

 

พระราชพิธีบวรราชาภิเศก

           พระราชพิธีบวรราชาภิเศก ตั้งสวดเมื่อ  ณ วันอาทิตย์  เดือน  ๖   แรม  ๑๐ ค่ำ เปนวันแรก    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ โดยกระบวนพยุหยาตราแห่สี่สายขึ้นไปยังพระบวรราชวังในเวลาบ่าย ทั้ง  ๓ วัน    ครั้น  ณ วันพุฒ  เดือน  ๖   แรม  ๑๓ ค่ำ  เปนพระฤกษ์บวรราชาภิเศก   เสด็จขึ้นไปในเวลาเช้า   พระราชทานน้ำอภิเศกแลพระสุพรรณบัตร  กับทั้งเครื่องราชูปโภคแก่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว   ครั้นเสด็จกลับแล้ว  (ในจดหมายเหตุของเจ้าพระยาทิพากรวงษ์ว่า)   พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จลงมาถวายดอกไม้ ธูป เทียนที่ในพระบรมมหาราชวัง    และวันรุ่งขึ้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นไปพระราชทาน ต้นไม้เงินทองของขวัญในการเฉลิมพระราชมณเฑียรที่พระบวรราชวังอิกครั้ง หนึ่ง    และในการพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียรครั้งนั้น โปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์  เสนาอำมาตย์  ราชเสวกทั้งฝ่ายวังหลวงวังน่าถวายดอกไม้ ธูป เทียน พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว    แต่ส่วนพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ทรงประพฤติตามแบบอย่างเจ้านายรับกรม คือ ถวายดอกไม้ธูปเทียนแก่พระบรมวงศานุวงศ์ซึ่งเจริญพระชนมายุยิ่งกว่าพระองค์ ทุกๆ พระองค์    ครั้นเสร็จการพระราชพิธีเฉลิมพระราชมนเทียรแล้ว โปรดให้แห่เสด็จพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเลียบพระนครทางสถลมารค อีกวันหนึ่ง   จึงเสด็จพระราชพิธีบวรราชาภิเศก

          สิ่งซึ่งสร้างขึ้นเฉลิมพระเกียรติยศพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว    เล่ากันมาว่า  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริเกือบจะทั้งนั้น    ทั้งพระราชมนเทียรสถาน และเครื่องราชูปโภคทั้งปวง  ตลอดจนตำแหน่งขุนนาง  . . . ฯลฯ . . . จะกล่าวแต่เฉพาะพระราชมนเทียรก่อน  คือ

          ข้อสำคัญ    ปราสาทไม่เคยมีในพระราชวังบวรสถานมงคล  จึงโปรดให้สร้างปราสาทขึ้นข้างหน้ามุขพระที่นั่งพุทไธสวรรค์องค์ ๑    ขนาดและรูปสัณฐานอย่างพระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ ในพระบรมมหาราชวัง  ขนานนามว่า "พระที่นั่งคชกรรมประเวศ" มีเกยสำหรับขึ้นทรงช้างอยู่ข้างหน้า   

 

 

 

 

 "พระที่นั่งคชกรรมประเวศ"

 

 

 

 

 

 

 

ซ้าย  พระที่นั่งคชกรรมประเวศก่อนรื้อ

ขวา  ฐานพระที่นั่งและที่เกยช้างของพระที่นั่งคชกรรมประเวศบริเวณหน้าพระที่นั่งพุทธไธสวรรย์ในปัจจุบัน

 

 

 

 

 

พระราชลัญจกร

 

 ฯลฯ
 

          พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อได้พระบวรราชาภิเษกแล้วได้ทรง ปฏิสังขรณ์พระบวรราชวัง  ซึ่งชำรุดทรุดโทรมอยู่แต่ก่อน  แก้ไขให้งามดี เป็นปรกติดังเก่าบ้าง  ยิ่งกว่าเก่าบ้าง   ได้จัดการทหาร และเครื่องศัตราวุธสรรพรณยุทโธปการขึ้น  สำหรับแผ่นดินเป็นอันมาก

 

 

 

 

           ทรงจัดตั้งทหารวังหน้าขึ้น  ทั้งทหารบก และทหารเรือและทรงฝึกหัดทหารปืนใหญ่ต่อไป    ทรงเป็นธุระจัดการฝึกหัด และจัดการทหารด้วยพระองค์เอง    มีร้อยเอก น็อกซ์      (Thomas George Knox) นายทหารอังกฤษ  เป็นครูฝึกตามแบบฉบับทหารอังกฤษ    ทรงสะสมปืนใหญ่ปืนน้อย และเครื่องศาสตราวุธ  และ ยุทธภัณฑ์สำหรับกิจการทหารมากมาย  มีการก่อสร้างโรงนอนทหาร   โรงเก็บปืนใหญ่  และคลังสรรพาวุธ   ภายในพระบวรราชวังกิจการทหารในพระบวรราชวังจึงคึกคักมีชีวิตชีวา

           ทหารปืนใหญ่ญวนรุ่นแรก  (กองปืนใหญ่อาสาญวน)  นั้นมี  ๒ กอง    กองหนึ่งเป็นทหารวังหน้าของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว  ตั้งเมื่อ  พ.ศ.๒๓๙๕   เป็นพวกญวนเข้ารึตนับถือคริสตศาสนา  ซึ่งเข้ามาสวามิภักดิ์ต่อกองทัพเรือเมื่อคราวสงคราม ไทยกับญวน  (พ.ศ.๒๓๗๗ - ๒๓๙๐)

           ส่วนอีกกองหนึ่งเป็นทหารปืนใหญ่ญวนนับถือพุทธศาสนา ซึ่งเป็นทหารวังหลวง    ตั้งขึ้นทีหลัง   เป็นหน่วยเดิมของทหารปืนใหญ่หลวง   

          กองปืนใหญ่อาสาญวน  (คริสตศาสนา)    เป็นปืนประจำป้อม  หรือปืนเรือ

          กองปืนใหญ่อาสาญวน  (พุทธศาสนา)    เป็นปืนใหญ่สนาม

 

         พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงจัดตั้ง “กรมทหารเรือวังหน้า” ขึ้น และทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารเรือเป็นพระองค์แรก พระองค์ทรงวางรากฐานกิจการทหารเรือให้เข้าสู่ระบบสากลตามแบบอย่างประเทศ ตะวันตกทรงสร้างโรงทหารเรือขึ้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาทางทิศใต้ของวังหน้า  โดยทรงต่อ "เรือกลไฟ"  ขึ้นเป็นครั้งแรกในสยาม

          ได้ทรงแปลงกำปั่นไทยให้เป็นเรือกลไฟรบ  ๒  ลำ  ชื่ออาสาวดีรส ลำหนึ่ง  ชื่อยงยศอโยชฌิยา ลำหนึ่ง    สำหรับพระนคร    เป็นความชอบแก่แผ่นดิน

 

 

 

เรืออาสาวดีรส    (SHERRY WINE)  ประเภท เรือยอช์ท (ตัวเรือไม้)
ระวางขับน้ำ เต็มที่  ๑๕๐ ตัน
ขนาด  ยาว  ๑๒๐ ฟุต   กว้าง  ๑๘ ฟุต
เครื่องจักรท้าย กำลัง   ๔๐ แรงม้า
ขึ้นระวางประจำการ  พุทธศักราช  ๒๔๐๑

 

 

 

 

 

เรือยงยศอโยชฌิยา   (IMPREGNABLE หรือ JONG JOT) ประเภท เรือรบแบบสกูนเนอร์  (ตัวเรือไม้)
ระวางขับน้ำ เต็มที่  ๓๐๐ ตัน
ขนาด  ยาว  ๑๔๐ ฟุต   กว้าง ๒๙ ฟุต
อาวุธ ปืนใหญ่   ๖ กระบอก
เครื่องจักรท้าย กำลัง  ๖๐ แรงม้า
ขึ้นระวางประจำการ  พุทธศักราช  ๒๔๐๖

 

 

 

 

 

 

 

 

 

            ทรงรอบรู้ทางด้านการต่างประเทศ โดยทรงศึกษาภาษาอังกฤษจากมิชชันนารีอเมริกันจนเชี่ยวชาญ และทรงมีพระสหายชาวต่างประเทศเป็นจำนวนมาก พระองค์จึงทรงเป็นกำลังสำคัญยิ่งของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในด้านการต่างประเทศโดยทรงเป็นที่ปรึกษาในการทำสนธิสัญญาต่างๆ กับประเทศตะวันตก ในยุคเริ่มต้นการเข้ามาล่าอาณานิคมในประเทศสยาม

 

 

 

 

 

          ทรงเป็นหนึ่งในกลุ่มบุคคลแรกที่เริ่มใช้บัตรพระปรมาภิไธยอย่างฝรั่ง (นามบัตร)  ตามแบบชาติตะวันตกขึ้นครั้งแรกในสยาม

 

 

 

 

 

การวางผังถนนเจริญกรุง

 

         เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีความเชี่ยวชาญในเรื่อง ปืนใหญ่   จึงทรงทักท้วงการวางผังตัดถนนเจริญกรุงตรงจากสามแยกพุ่งเข้ามายังพระนคร เพราะทรงเห็นว่าหากข้าศึกนำปืนใหญ่มาตั้งที่ถนน จะยิงพระบรมมหาราชวังได้ง่าย

          ดังนั้น  จึงได้ตัดถนนเจริญกรุงโค้งอ้อมมาทางสะพานเหล็ก  (สะพานดำรงสถิต)    ซึ่งจะเห็นว่าถนนตอนนี้เลี้ยวหักมุมอยู่

 

 

 ราชธานีสำรอง

           ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว    ชาติตะวันตกพยายามแสวงหาอาณานิคม  อยู่เสมอๆ  นับเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรง    ในปี พ.ศ.๒๓๙๙    พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นไปตรวจเมืองนครราชสีมา เพื่อตั้งเป็นเมืองราชธานีสำรองหรือ “เมืองหลวงที่ ๒”  ไว้รองรับการรุกรานของชาติตะวันตก ทางทะเล

          ครั้นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จไปตรวจแล้วทรงเห็นว่าไม่เหมาะสมเพราะกันดารน้ำ   จึงได้เสด็จมาที่เมืองสระบุรีและโปรดเลือกบริเวณที่ "เขาคอก" ซึ่งมีที่ราบเป็นบริเวณกว้าง มีแนวภูเขาล้อมรอบเปรียบเสมือนป้อมปราการธรรมชาติ . . . ทรงสร้างที่ประทับขึ้น   ณ  บ้านสีทา   ริมแม่น้ำป่าสัก เพื่อเป็นที่เสด็จแปรพระราชฐาน และทรงควบคุมดูแลการก่อสร้างปรับปรุงตกแต่งเขาคอก ไว้เป็นป้อมปราการสำหรับป้องกันข้าศึกนักล่าอาณานิคมชาวตะวันตกในสมัยนั้น  . . .

 

ไม่โปรดที่จะแสดงยศศักดิ์  . . .  "เจ้าใหญ่นี่และต่อไปจะเปนที่พึ่งของญาติได้ "

 

 

         พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น    เล่ากันมาว่า  พระอัธยาศัยไม่โปรดที่จะแสดงยศศักดิ์    โดยปรกติเสด็จออกให้ข้าราชการเฝ้า  ก็เสด็จออกที่โรงรถ    ต่อเวลามีการพิธีจึงเสด็จออกท้องพระโรง    จะเสด็จที่ใด  ถ้ามิได้เป็นราชการงานเมือง  ก็มักจะเสด็จแต่โดยลำพังพระองค์    บางทีทรงม้าไปกับคนตามเสด็จคนหนึ่ง สองคน    โดยพอพระราชหฤทัยที่จะเที่ยวประพาสมิให้ใครรู้ว่าพระองค์เสด็จ     แม้จะเสด็จไปตามวังเจ้านายก็ไม่ให้ใครรู้พระองค์ก่อน . . . อันเรื่องทรงม้า    เล่ากันว่า พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดนัก    ประทับอยู่พระบวรราชวังเสด็จทรงม้าเล่นในสนามไม่ขาด  บางทีก็ทรงคลี  บางทีเวลากลางคืน ให้ขี่ม้าเล่นซ่อนหา . . . เล่ากันว่าสนุกนัก   บางทีก็ถึงทรงม้าเข้าล่อช้างน้ำมัน    ครั้งหนึ่ง  ว่าทรงม้าผ่านตัวโปรด  ขึ้นระวางเป็นเจ้าพระยาสายฟ้าฟาด  เข้าล่อช้างพลายแก้ว  ซึ่งขึ้นระวางเป็นพลายไฟภัทกัล์ป  เวลาตกน้ำมัน    พอช้างไล่  ทรงกระทบแผงข้างจะให้ม้าวิ่ง    ม้าตัวนั้นเป็นเต้นน้อย ดี ไปเต้นน้อนเสีย    เล่ากันว่าวันนั้น  หากหมออาจ  ซึ่งเป็นหมอตัวดีขี่พลายแก้ว    เอาขอฟันที่สำคัญเหนี่ยวพลายแก้วไว้อยู่โดยฝีมือ    อีกนัยหนึ่งว่า  ปิดตาช้าง แล้วเบนไปเสียทางอื่นทัน   พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงไม่เป็นอันตราย     เห็นจะเป็นเพราะเหตุที่โปรดการทแกล้วทหาร และสนุกคะนองต่างๆ ดังกล่าวมานี้    จึงเกิดเสียงกระซิบลือกันว่า  พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงวิชาอาคม  บางคนว่าหายพระองค์ได้  บ้างว่าเสด็จลงเหยียบเรือกำปั่นฝรั่งเอียงก็มี    กระบวนทรงช้างก็ว่าแข็งนัก    ของที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดทรงเล่น   ที่เล่าลือกันอีกอย่างหนึ่ง ก็แอ่วลาว  ว่าทรงได้สันทัดทั้งแคนทั้งแอ่ว     คำแอ่วเป็นพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวยังมีปรากฏ อยู่จนบัดนี้หลายเล่มสมุด     เซอร์  ยอน เบาริง  ราชฑูตอังกฤษ เข้ามากรุงเทพฯ  แต่งหนังสือกล่าวไว้ว่า    เมื่อวันพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานเลี้ยงนั้น    เมื่อเสร็จการเลี้ยงแล้ว  ทรงแคนให้ฟัง     เซอร์  ยอนเบาริง ชมไว้ในหนังสือว่า   ทรงเพราะนัก.

 

ฯลฯ

          . . . และในเดือนยี่ ปีฉลูสัปตศกนั้น  (จุลศักราช ๑๒๒๗ พ.ศ.๒๓๐๘)  เป็นกำหนดพระฤกษ์จะได้ทำการพระราชพิธีโสกันต์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว   พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริห์ว่าสมเด็จพระอนุชาธิราช ประชวรมากอยู่ จะโปรดให้เลื่อนงานโสกันต์ไป ความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว กราบทูลขออย่าให้เลื่อนงาน ว่าพระองค์ประชวรมากอยู่แล้ว จะไม่ได้มีโอกาสสมโภช จึงต้องโปรดให้คงงานไว้ตามพระฤกษ์เดิม   ครั้นถึงงาน  พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวดำรัสสั่งให้เจ้าพนักงานเตรียมกระบวนจะ เสด็จลงมาจรดพระกันไกรพระราชทาน   พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ก็ต้องรับสั่งให้ทอดที่ราชอาศน์เตรียมไว้รับเสด็จตามเคย  ทั้งทรงทราบอยู่ว่าพระอาการมากจะไม่เสด็จลงมาได้ โดยจะมิให้สมเด็จพระอนุชาธิราชโทมนัศน้อยพระไทย   ด้วยพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระเมตตาพระบาทสมเด็จพระจุล จอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาก    ข้าพเจ้าเคยได้ยินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว   รับสั่งเล่าว่า เมื่อยังทรงพระเยาว์อยู่นั้น เสด็จขึ้นไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อใด   มักดำรัสเรียกเข้าไปให้ใกล้  แล้วยกพระหัตถ์ลูบ   รับสั่งว่า  "เจ้าใหญ่นี่และต่อไปจะเปนที่พึ่งของญาติได้"

http://iseehistory.socita.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538711144
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 10, 2011, 09:46:30 pm
ทรงพระประชวร -  เสด็จสวรรคต

        พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว   ตั้งแต่ทรงพระเจริญวัย  มาจนถึงปีวอก  โทศก  จุลศักราช  ๑๒๒๒    มีพระราชบุตรพระราชธิดาเป็นอันมาก  นับถึง  ๖๓  พระองค์  แต่สิ้พระชนม์เสียแต่ยังพระเยาว์  ๓๓  พระองค์      ยังคงอยู่  ๓๐  พระองค์   พระองค์เจ้าชาย  ๑๖  พระองค์    พระองค์เจ้าหญิง   ๑๔  พระองค์     ตั้งแต่ปลายปีระกา    ตรีศก  จุลศักราช  ๑๒๒๓    พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรมีพระอาการต่างๆ ไป  ไม่เป็นปรกติ    ไม่สบายพระองค์สืบๆ มา   จนถึงเดือน  ๖  ปีฉลู  สัปตศก  จุลศักราช  ๑๒๒๗    ทรงพระประชวรมาก   พระกายทรุดโทรม  พระกำลังหย่อนลง    แพทย์หมอหลายพวกหลายเหล่าถวายพระโอสถแก้ไข    พระอาการคลายบ้าง แล้วทรุดไปเล่า    จนถึง  วันอาทิตย์  เดือน  ๒  แรม  ๖  ค่ำ  ปีฉลู  สัปตศก    เวลาเช้า  ๓  โมง  คือ  ๙  นาฬิกา แต่เที่ยงคืน  เสด็จสวรรคต    เมื่อเวลาพระอาทิตย์  สถิตราศีธนู  องศา  ๒๕  สิริพระชนมายุตามจันทรคติอย่างชาวสยามใช้    ได้  ๕๗  ปี   กับ  ๕  เดือน  กับ  ๕  วัน    นับเป็นวันได้  ๒๐๙๔๓  กับเศษอีก  ๔  ชั่วโมง

        เมื่อทรงพระประชวรหนักใกล้จะเสด็จสวรรคต    ไม่ได้ทรงสั่งการอันหนึ่งอันใดให้ลำบากพระราชหฤทัย    ไว้วางพระราชอัธยาศัยแสดงการทรงเชื่อถือเป็นหนึ่งว่า  สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชซึ่งทรงดำรงยุติธรรมจะทรงพระราชดำริ  แล้วดำรัสการทุกสิ่งทุกอย่าง     สมควรแก่เหตุผลโดยยุติธรรม  และราชการแผ่นดินไม่ต้องทรงพระวิตกเพราะเคยเห็นการที่ชอบเป็นมาแล้วแต่หน หลังนั้น เป็นอันมาก

           พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว  เสด็จสวรรคต ในวันอาทิตย์ที่  ๗  มกราคม  พ.ศ.๒๔๐๘   เวลา  ๐๙๐๐   ณ พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์ รวมพระชนมายุได้  ๕๘ พรรษา  ครองราชสมบัติอยู่ประมาณ ๑๕ ปี     พระองค์ไม่ได้ทรงสถาปนาพระอัครมเหสี  ทรงมีแต่พระสนมเอกคือ เจ้าคุณจอมมารดาเอม  นับโดยรวมพระองค์ทรงมีเจ้าจอมหม่อมห้าม   ทั้งสิ้น ๓๑ ท่าน     พระราชโอรสธิดารวม   ๕๘ พระองค์

 

 

 

 

 

 

 

 

 

พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์

 

 

 

 

           . . . การพระศพโปรดให้เรียกว่า พระบรมศพจัดเหมือนอย่างพระบรมศพสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินทุกอย่าง  เว้นแต่มิได้มีพระลองเงิน  กับประกาศให้คนโกนหัวไว้ทุกข์แต่ที่มีสังกัดในพระบวรราชวัง  เหมือนอย่างกรมพระราชวังบวรฯ   มิได้ให้โกนหัวทั้งแผ่นดิน

 

          ครั้นถึง  ปีขาล  พ.ศ.๒๔๐๙  โปรดให้ทำพระเมรุที่ท้องสนามหลวง    ตามแบบอย่างพระเมรุพระบรมศพสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน   และจัดการแห่พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทำนองครั้งกรม พระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ในรัชกาลที่  ๒    แต่เพิ่มเติมพระเกียรติยศพิเศษขึ้นเป็นหลายประการ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

          ปรากฏรายการงานพระเมรุครั้งนั้นว่า   ณ  เดือน ๓  ขึ้น ๔ ค่ำ   เชิญพระบรมธาตุแห่แต่พระที่นั่งอิศราวินิจฉัยในพระบวรราชวัง ออกประตูมหาโภคราช และประตูบวรยาตรา ด้านตะวันออก มาสมโภชที่พระเมรุวันกับคืนหนึ่ง แห่พระบรมธาตุกลับแล้ว   ถึงเดือน  ๓  ขึ้น  ๖ ค่ำ    เพลาบ่าย ๒ โมง  เชิญพระบรมศพแห่ออกประตูโอภาสพิมานชั้นกลางด้านเหนือ  และประตูพิจิตรเจษฎา ด้านตะวันตกพระบวรราชวัง ไปถึงตำหนักแพ   เชิญพระบรมโกศประดิษฐานเหนือพระแท่นแว่นฟ้าในเรือพระที่นั่งกิ่งไกรสรมุข   แห่ล่องลงมาประทับที่พระราชวังเดิม   ด้วยพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จประทับอยู่ตลอดในรัชกาลที่ ๓   มีมหรสพสมโภชคืนหนึ่ง    ครั้นเวลาดึกเคลื่อนเรือพระบรมศพประทับที่ท่าฉนวนวัดพระเชตุพน   รุ่งขึ้น   ขึ้น ๖ ค่ำ  เวลาเช้าแห่กระบวนน้อยไปยังที่ตั้งกระบวนใหญ่ที่ถนนสนามไชย   เชิญพระบรมโกศขึ้น พระมหาพิไชยราชรถ  แห่ไปยังพระเมรุมาศ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล   และมีมหรสพสมโภช  ๗ วัน   แล้วพระราชทานเพลิงเมื่อขึ้น  ๑๔ ค่ำ

 เมื่อเสร็จการสมโภชพระบรมอัฐิแล้ว โปรดให้เชิญไปประดิษฐานไว้ที่พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์  ที่ในพระบวรราชวัง.

 

 

 

 

 


 

พระป้าย  ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว   (กลาง)

 ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย  (ซ้าย)      และของสมเด็จพระศรีสุริเยนทรา  บรมราชชนนี  (ขวา)

 http://iseehistory.socita.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538711144
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 10, 2011, 09:47:18 pm
วังสีทา   บ้านสีทา   ต.สองคอน   อ.แก่งคอย   จ.สระบุรี

         เมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดให้รื้อพระตำหนักและพลับพลาที่ประทับต่างๆ ที่วังสีทา  ขนเครื่องไม้ และรื้อนำเอาอิฐบางส่วนนำมาสร้างวังต่างๆในกรุงเทพฯ...

 

"สถานที่แห่งนี้จึงถูกปล่อยทิ้งให้รกร้างไปตามกาล เวลา มีชาวบ้านเข้ามาจับจองทำพื้นที่เกษตรกรรมอยู่หลายชั่วอายุคน โดยไม่รู้ว่าใต้พื้นดินนั้นมีส่วนฐานของวังสีทาในอดีตหลงเหลืออยู่ "

 

 

 

 

 

 

 

 

 

พระบวรราชานุสาวรีย์

พระบาทสมเด็จพระปวเรนทราเมศ  มหิศเรศรังสรรค์

มหันตวรเดโชไชย  มโหฬารคุณอดุลยพิเศษ

สรรพเทเวศรานุรักษ์  บวรจักรพรรดิราช  บวรนาถบพิตร

พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

 

ณ  หน้าโรงละครแห่งชาติ  เชิงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า  กรุงเทพมหานคร

 

๗  มกราคม  ๒๕๕๓ 

วันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

ปีที่  ๑๔๕

 

ข้าพระพุทธเจ้าขออัญเชิญดวงพระวิญญาณของพระองค์ท่าน

ทรงสถิตเสวยสุข  ณ  ทิพยสถานชั่วนิรันดร์ เทอญ.

 

 

 

 

 

ปกิณกะ

 

การแต่งกายของทหารปืนใหญ่

 

           การแต่งกายของทหารปืนใหญ่ญวนรุ่นหลังซึ่งพ้นสมัยแล้ว    ถ่ายในกระทรวงกลาโหม เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๒  "ปืนใหญ่เป็นแบบ อาร์สตรอง  ขนาด  ๓  นิ้ว"  ซึ่งเป็นปืนชนิดบรรจุทางปากลำกล้อง  ได้สั่งเข้ามาใช้ราชการเมื่อ พ.ศ.๒๔๐๕

     ทหารปืนใหญ่ญวนรุ่นแรก  (กองปืนใหญ่อาสาญวน)  นั้นมี  ๒ กอง

          กองหนึ่งเป็นทหารวังหน้าของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว    ตั้งเมื่อ  พ.ศ.๒๓๙๕    เป็นพวกญวนเข้ารึตนับถือคริสตศาสนา  ซึ่งเข้ามาสวามิภักดิ์ต่อกองทัพเรือเมื่อคราวสงคราม ไทยกับญวน  (พ.ศ.๒๓๗๗ - ๒๓๙๐)    แล้วได้ยุบมารวมกับทหารวังหลวงเมื่อ พ.ศ.๒๔๒๘   

 

          ส่วนอีกกองหนึ่งเป็นทหารปืนใหญ่ญวนนับถือพุทธศาสนา ซึ่งเป็นทหารวังหลวง    ตั้งขึ้นทีหลัง    เป็นหน่วยเดิมของทหารปืนใหญ่หลวง   หรือกองพันทหารปืนใหญ่ที่  ๑

 

 

          กองปืนใหญ่อาสาญวน  (เข้ารีต)    เป็นปืนประจำป้อม  หรือปืนเรือ

          กองปืนใหญ่อาสาญวน  (พุทธศาสนา)    เป็นปืนใหญ่สนาม
         

 

กองอาสาญวน

          กองอาสาญวน   สมัยรัชกาลที่ ๓ ได้มีพวกญวนอพยพเข้ามาอยู่ในเมืองไทย  ๓ คราว ด้วยกันคือ

          คราวที่ ๑   เมื่อ พ.ศ.๒๓๗๖

            ญวนที่นับถือพระพุทธศาสนา โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งบ้านเรือนที่เมืองกาญจนบุรี สำหรับรักษาป้อมเมืองใหม่ซึ่งทรงตั้งขึ้นที่ปากแพรก

            ส่วนญวนที่ถือคริสตังโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบล สามเสนในกรุงเทพ และให้ขึ้นกับเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ทรงฝึกหัดเป็นทหารปืนใหญ่

          คราวที่ ๒    เมื่อ พ.ศ.๒๓๘๓

            เป็นพวกญวนที่นับถือศาสนาพุทธ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งบ้านเรือนที่บางโพ  และขึ้นอยู่กับเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์   สังกัดกรมอาสาญวน เป็นพลทหารปืนใหญ่ประจำป้อม

          ในรัชกาลที่ ๔   พวกญวนคริสตังย้ายไปเป็นทหารปืนใหญ่ฝ่ายพระบวรราชวัง   รัชกาลที่ ๔ ทรงทราบว่า พวกญวนส่วนมากที่อยู่เมืองกาญจนบุรี มีความประสงค์จะมาอยู่กรุงเทพ ฯ  เหมือนกับญวนพวกอื่น     ดังนั้น  จึงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่คลองผดุงกรุง เกษม   ซึ่งโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ขุดใหม่  แล้วให้จัดเป็นทหารปืนใหญ่ฝ่ายวังหลวงสืบมา

 

 

 

ปืนใหญ่ทองเหลืองปากบาง  BrassArty

ทหารสวมเสื้อทูนิคดำ ข้อมือแดง กับปืนใหญ่ทองเหลืองปากบาง ซึ่งเป็นปืนบรรจุทางปากลำกล้อง

 

 

 

 

ปืนใหญ่ภูเขาบรอดเวล  Broadwel

ปืนใหญ่ภูเขา"บรอดเวล" ขนาดกว้างปากลำกล้อง ๗ ซม. เป็นปืนบรรจุกระสุนทางปากลำกล้อง

 

 

 

 

ปืนใหญ่ภูเขาแบบ  ๓๐  " อุลเคเชียส " หรือ "สตีลบรอนซ์"

 

          ปืนใหญ่ภูเขาแบบ  ๓๐  ขนาดปากลำกล้องกว้าง  ๗ ซม.    สั่งเข้ามาในปี พ.ศ. ๒๔๓๐  ระยะยิง ๒,๕๐๐ เมตร  ปืนชนิดนี้มีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า ปืน " อุลเคเชียส " หรือ "สตีลบรอนซ์"

 ข้อมูลจาก  พิพิธภัณฑ์สรรพาวุธทหารบก

 

 

 

พระราชวังเดิม

 

           พระราชวังเดิมนี้เคยเป็นสถานที่ ๆ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว   และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว   เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันที่  ๓๑ มีนาคม พุทธศักราช  ๒๓๓๐   วันที่  ๑๘  ตุลาคม พุทธศักราช  ๒๓๔๗   และวันที่  ๔  กันยายน  พุทธศักราช  ๒๓๕๑   ตามลำดับ

          เนื่องจากพระราชวังนี้   มีความสำคัญในทำเลที่ตั้ง   จึงทรงแต่งตั้งพระราชวงศ์ชั้นสูงที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยมาประทับ    พระราชดำรินี้ได้สืบทอดมาทุกรัชกาล

 

         พระราชวงศ์ชั้นสูงที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้มาประทับที่พระราชวังเดิมเรียงตามรัชกาลตั้งแต่รัชกาลที่ ๑   มีดังนี้

 

รัชกาลที่  ๑

     - เจ้าฟ้ากรมหลวงธิเบศร์บดินทร์ ระหว่างปีพุทธศักราช   ๒๓๒๕ - ๒๓๒๘

     - สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ระหว่างปีพุทธศักราช  ๒๓๒๘- ๒๓๕๒

 

รัชกาลที่  ๒

     - สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี ระหว่างปีพุทธศักราช  ๒๓๕๔ - ๒๓๖๕

     - สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฏ ระหว่างปีพุทธศักราช  ๒๓๖๖ - ๒๓๖๗

 

รัชกาลที่  ๓

     - สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศเรศรังสรรค์ ระหว่างปีพุทธศักราช  ๒๓๖๔ - ๒๓๙๔

 

รัชกาลที่  ๔

     - พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวาษาธิราชสนิท  ระหว่างปีพุทธศักราช  ๒๓๙๔ - ๒๔๑๓

 

รัชกาลที่  ๕

     - สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ  เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี  กรมพระจักรพรรดิพงศ์ ระหว่างปีพุทธศักราช  ๒๔๒๔ - ๒๔๔๓

           ภายหลังจากที่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี  กรมพระจักรพรรดิพงศ์สิ้นพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทาน พระราชวังเดิมให้เป็นที่ตั้งโรงเรียนนายเรือ  ตั้งแต่วันที่  ๒๓  กุมภาพันธ์  พ.ศ.๒๔๔๓

 

วังสีทา   บ้านสีทา   ต.สองคอน   อ.แก่งคอย   จ.สระบุรี

          กรมศิลปากรได้ดำเนินการขุดแต่งและขุดค้นทางโบราณคดี เมื่อ  พ.ศ.๒๕๔๖ - ๒๕๔๗ และขึ้นทะเบียนไว้เป็นโบราณสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของชาติ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

วังสีทา   เมื่อกรมศิลปากรได้ขุดแต่งแล้ว

 http://iseehistory.socita.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538711144
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 10, 2011, 09:47:57 pm
บรรณานุกรม

          - พระราชประวัติสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว    พระราชนิพนธ์รัชกาลที่  ๔,  พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว    คัดจากตำนานวังหน้า    พระนิพนธ์สมเด็จ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ    พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงพระศพ    หม่อมเจ้า  ขจรศุภสวัสดิ์  นันทวัน    ณ  เมรุวัดมกุฎกษัตริยาราม   วันที่  ๒๐  กรกฎาคม   ๒๔๙๖

          - พระราชนิพนธ์  ตำราปืนใหญ่  ของ  พระบาทสมเด็จพระปวเรนทราเมศ  มหิศเรศรังสรรค์  พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว   พิมพ์ที่โรงพิมพ์พานิชศุภผล   ถนนวานิช  ๑    พระนคร    ๒๐  กุมภาพันธ์  พ.ศ.๒๕๐๕

          - "ความทรงจำ"   พระนิพนธ์  สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ

          - ประวัติกองทัพไทยในรอบ  ๒๐๐  ปี    พ.ศ.๒๓๒๕ - ๒๕๒๕      โรงพิมพ์กรมแผนที่ทหาร    กรุงเทพมหานคร    พ.ศ.๒๕๒๕

          - พระราชประวัติสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว    จัดพิมพ์เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองพระเกียรติคุณฯ    บริษัท  สำนักพิมพ์สมาพันธ์  จำกัด    ถนนพิชัย  เขตดุสิต  กรุงเทพฯ    ธันวาคม  ๒๕๔๕

 
http://iseehistory.socita.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538711144
 
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 11, 2011, 08:45:10 am
ปัจจุบันนี้  มีสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาอย่างมากมาย

ขอให้ชาวชมรมพระวังหน้า และท่านผู้อ่าน  ยึดถือในธรรมะของพระพุทธองค์ 

สิ่งที่ไม่ดีเข้ามากระทบตัวเรา ก็ให้รับรู้ว่า เป็นสิ่งไม่ดีที่เข้ามากระทบ  แล้วก็ปล่อยวางนะครับ

ด้วยรัก
sithiphong


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ มกราคม 11, 2011, 10:15:19 pm
 :13: อนุโมทนาครับพี่หนุ่ม
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 15, 2011, 09:46:06 pm
14 มกราคม 2554

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong อ่านข้อความ
เรียน ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า

พรุ่งนี้พบกันที่ซอยเฉลิมพระเกียรติ ร.9 72
ประมาณ 10.00 น.

ส่วนท่านที่ไม่ได้ไป ผมจะนำบุญมาฝากครับ

อีกเรื่อง ขอแสดงความเสียใจกับเพื่อนรักของผม ที่ได้สูญเสียบิดาไป ผมได้กราบเรียนเรื่องนี้ให้พระอาจารย์ท่านทราบทางโทรศัพท์แล้ว

ขอให้บิดาของเพื่อนรัก ไปสู่สุคติภพที่ดีด้วยเทอญ

--------------------------------------------------------------

15 มกราคม 2554
.
วันนี้ ได้ไปกราบพระอาจารย์รูปหนึ่ง ผมและคณะ ได้ร่วมกันซื้ออาหารไปถวายเพลท่าน

ผมได้ซื้อข้าว , ไข่พะโล้ , ห่อหมก , ผัดวุ้นเส้นใส่ไข่ ,แกงกะทิไก่ และ ขนมเค๊กกล้วยหอม(S&P) รวมเป็นเงินจำนวน 585 บาท

ผม , น้องปฐม และ น้องสมบัติ ได้ร่วมกันซื้อภัตตาหารไปถวาย

ยังมีคณะอื่นๆอีกหลายๆท่านที่มาในวันนี้

หลังจากนั้น มีงานพิเศษ (ขอสงวนสิทธิ์ไม่แ้จ้งหน้าบอร์ด)

หลังจากนั้น ผมแจกพระวังหน้าให้กับทุกๆท่าน บางท่านก็ได้เกือบๆสิบองค์ บางท่านได้สิบกว่าองค์

ยังมีการถวายปัจจัยกับพระอาจารย์รูปหนึ่งด้วยเช่นกัน

ผู้ที่ถวายปัจจัย มีดังนี้ ผม , ผบทบ.ผม , ครอบครัวผม , ครอบครัวผบทบ.ผม , น้องปฐม , คุณณฑนนและครอบครัว , คุณpinkcivil , คุณธวัช และท่านอื่นๆอีกหลายๆท่าน

ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยครับ


หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ มกราคม 15, 2011, 09:56:33 pm
 :13: อนุโมทนาครับพี่หนุ่ม
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 15, 2011, 10:03:10 pm
เกือบลืมแจ้ง

ผมได้ถวายชุดไหมพรม ที่คุณณฐนน ฝากผมถวายแทนให้

ผมถวายแทนให้เรียบร้อยแล้วครับ

รายชื่อ ผมจดและถวายท่านเรียบร้อยแล้วครับ

โมทนาบุญกับคุณณฐนนครับ

ส่วนเรื่องถวายปัจจัย ลืมแจ้งว่า มีพี่ประทีปด้วยเช่นกันครับ

โมทนาบุญกับพี่ประทีปด้วยครับ



วันนี้ ผมถวายพระสมเด็จ เ้้จ้าคุณกรมท่า (รักสมุ หรือรักสีน้ำเงิน และ ชาด หรือรักสีแดง) จำนวน 400 องค์ , ถวายพระลอยองค์พิมพ์หลวงปู่โลกอุดร (เนื้อปัญจสิริและปูนเพชรปิดทองร่องชาด) จำนวน 100 องค์ , ถวายพระสมเด็จ (เนื้อปัญจสิริ) จำนวน 200 องค์ , พิมพ์ 2408 (เนื้อผสมพระธาตุ) 1 องค์ , พระกริ่งปวเรศ เนื้อนาค 1 องค์ , พระสมเด็จ (top of the top 4) 1 องค์ ถวายพระอาจารย์รูปหนึ่ง

มาร่วมโมทนาบุญกับผมกันครับ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 16, 2011, 08:48:19 am


ยังมีหยกวังหน้ารูป "จงขุ่ย" และลูกสะกดอีก 4 ลูก ครับพี่
Pinkcivil
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 16, 2011, 09:04:00 am
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Pinkcivil
อ่านข้อความ

(http://pic.nipic.com/2007-10-27/2007102711547341_2.jpg)

“จงขุย” (钟馗) คือเทพผู้เป็นสัญลักษณ์ของการปราบภูตผีปีศาจ มีอำนาจวิเศษและอิทธิฤทธิ์ในการกำราบปีศาจและมารร้ายทั้งปวง บ้างยกย่องให้จงขุยเป็น “เทพแห่งปีศาจ” หรือ “เทพนักรบผู้กำจัดความชั่วร้าย” ภาพลักษณ์ของจงขุย จะเป็นเทพเจ้าหน้าดำ ตาโปนโต หนวดเคราลุกชี้ชัน และจะสวมชุดขุนนางสีแดง ในมือมักจะจับกระบี่อยู่เนืองนิตย์>>
ใน “วันเทศกาลตวนอู่” (端午节) ซึ่งตรงกับวันที่ 5 เดือน 5 ตามปฏิทินจันทรคติจีน จะเป็นวันปล่อยผีให้มาพบญาติบนโลกมนุษย์ ชาวจีนจึงมักแขวนรูปเทพจงขุยไว้หน้าบ้าน เพื่อให้ท่านช่วยกำจัดปัดเป่าเคราะห์ร้ายและช่วยปกป้องคุ้มครองให้ปลอดภัย>>
ตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับประวัติที่มาของเทพเจ้าจงขุยนั้น กล่าวกันว่าในสมัยราชวงศ์ถัง จักรพรรดิถังเสวียนจงฮ่องเต้ (บ้างว่าเป็นจักรพรรดิถังหมินหวัง) ทรงประชวรอย่างหนัก ในคืนหนึ่งได้ทรงพระสุบิน (ฝัน) ว่า มีผีน้อยตนหนึ่งมาขโมยขลุ่ยหยกของพระองค์ ทันใดนั้นก็ปรากฏผีใหญ่อีกตนหนึ่ง หน้าตาดุดัน หนวดเคราชี้ชัน สวมชุดขุนนางฝ่ายบุ๋น ออกมาจับตัวผีน้อยไว้ แล้วหักแขนหักขา ควักลูกตามันมากิน ถังเสวียนจงฮ่องเต้ทรงตกพระทัยจึงตรัสถามถึงได้รู้ว่า ที่แท้ผีใหญ่ตนนี้ มีชื่อว่า “จงขุย” เคยสอบจองหงวนบู๊ได้ในสมัยถังเกาจงฮ่องเต้ แต่ไม่ผ่านการทดสอบ เพราะจงขุยมีหน้าตาอัปลักษณ์ จึงได้ตัดสินใจฆ่าตัวตาย ฮ่องเต้ทรงเมตตาสงสารจึงพระราชทานชุดขุนนางฝ่ายบุ๋นให้เป็นกรณีพิเศษและจัด พิธีศพให้ ทำให้จงขุยซาบซึ้งในน้ำพระทัย และตั้งใจว่าจะคอยพิทักษ์อารักขาฮ่องเต้และแผ่นดินต้าถังตลอดไป เมื่อพระองค์ทรงตื่นขึ้นมาจึงตรัสมอบหมายให้จิตรกรเอกนาม “อู๋เต้าจื่อ” วาดภาพของจงขุยตามที่เห็นในพระสุบิน และทรงแจกจ่ายรูปของจงขุยให้แก่ประชาราษฏร์ติดที่หน้าประตูบ้าน เพื่อป้องกันสิ่งอัปมงคลและสิ่งชั่วร้ายนานาประการ>>
ในตำนานยังกล่าวด้วยว่า จงขุยได้รับมอบหมายจากสวรรค์ให้มีทหารในสังกัดถึง 3 พันนาย เพื่อช่วยในการปราบปีศาจ ดังนั้น สำหรับชาวจีนแล้ว จงขุยคือเทพผู้สำคัญที่สุดในยามที่ชาวบ้านเกรงกลัวภูตผี และกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของเทพเจ้าผู้พิทักษ์มนุษย์ให้พ้นจากภัยรังควานของ ภูตผีปีศาจสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน >>
อ้างอิงจาก : หนังสือ 108 ลัญลักษณ์จีน – ปิยะแสง จันทรวงศไพศาล>>


อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Pinkcivil
อ่านข้อความ

จงขุ่ย เทพปราบมาร
(http://images.diaryis.com/p/phantom/20051027.chungkwei_08.jpg)

จง ขุ่ย ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพในลัทธิเต๋า มีชื่อเสียงที่สุดจากความสามารถในการสยบไสยศาสตร์ต่างๆ นอกจากนี้ยังเป็นที่ยกย่องกันว่าเทพจงขุ่ยเป็นหมอผีที่มีความสามารถสูง เพราะว่ากันว่าท่านปราบวิญญาณร้ายได้กว่า 84,000 ตนและทำให้วิญญาณเหล่านั้นอยู่ใต้อาณัติได้

ภาพวาดของท่านมักมีลักษณะอย่างไร?
ภาพเทพจงขุ่ยที่เห็นส่วนใหญ่มักเป็นภาพที่มีหน้าตาอัปลักษณ์ มีนัยน์ตาเบิกโพลงและเคราดกหนา ยืนอยู่ในท่าที่พกดาบไว้ที่ขาข้างหนึ่ง อาวุธที่ท่านใช้ประจำก็คือ ดาบ สำหรับใช้ในการต่อสู้ และ พัด เพื่อโบกพัดให้วิญญาณชั่วร้ายออกไป ตัวพัดมีอักษรจารึกไว้ว่า “นำความสันติสุขมา ปรับเปลี่ยนโถงให้มีสภาพดังเดิม” ใบหน้าของท่านเองก็เป็นอาวุธด้วยเช่นกัน น่าทึ่งมากที่ความถ+++ทึงบนใบหน้าของท่านเพียงอย่างเดียวก็สามารถขับไล่วิญญาณชั่วร้ายที่อาจหาญมากล้ำกราย ลูกท้อที่ห้อยจากหมวกของท่านเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงความเป็นอมตะ ค้างคาวสีแดงที่อยู่รอบหมวกของท่านเป็นสัญลักษณ์ของ ความสุข ความโชคดีอย่างมหาศาล ในบางครั้งจะแขวนภาพท่านไว้กับสัญลักษณ์แห่งการคุ้มครองและความโชคดีอย่างอื่น เช่น เสือ กวาง หรือพิณ
การเตรียมการคุ้มครองอันทรงพลานุภาพ
หาก คุณมีภาพเทพจงขุ่ยไว้ในบ้านจะทำให้บ้านคุณได้รับความคุ้มครองให้พ้นจากศัตรู อันทรงพลังที่ทำให้คุณลำบาก สำหรับท่านที่มีอาชีพที่ต้องจับโน่นทำนี่อยู่ตลอดเวลา เทพจงขุ่ยจะช่วยให้พ้นจากการถูกหักหลังและความอิจฉาตาร้อนและความมุ่งร้าย ต่างๆ ทั้งในที่ทำงานและความสัมพันธ์ด้านธุรกิจ
เครื่องแก้เคล็ดดาวร้ายห้าเหลืองได้อย่างดี ?
ผู้ ประกอบวิชาชีพฮวงจุ้ยโดยอิงจากหลักดาวบินผู้คร่ำหวอดในวงการมานานแนะนำว่า ให้ตั้งภาพจงขุ่ยขนาดใหญ่ เพราะเทพจงขุ่ยเป็นวิธีสยบอิทธิพลด้านลบที่เกิดจากดาวร้ายห้าเหลืองที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง แต่ต่างจากเครื่องมือแก้เคล็ดฮวงจุ้ยอย่างอื่นๆ คือการตั้งรูปเทพจงขุ่ยไว้ ในบ้านจะช่วยปัดเป่าโชคร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากดาวร้ายห้าเหลือง ไม่ว่าปีนั้นจะเป็นปีใดหรือดาวร้ายห้าเหลืองจะโคจรไปสถิตอยู่ในทิศใดก็ตาม

ควรจะเชิญเทพจงขุ่ยเข้ามาเมื่อใด?
เวลาที่เหมาะจะเชิญเทพจงขุ่ยเข้ามาในบ้าน (เช่นการแขวนภาพของท่าน) มากที่สุดก็คือวันที่ 5 ของเดือนที่ 5 เดือนที่ 5 ถือว่าเป็นเดือนที่อันตรายมากที่สุด เนื่องจากเป็นเดือนที่อยู่ในช่วงกลางฤดูร้อน ซึ่งพลังงานธาตุหยางจะทรงพลังที่สุด
อาจจะฟังดูแปลกสักหน่อยที่ฤดูร้อน ถือว่าเป็นฤดูแห่งความโชคร้าย แต่ทว่าฤดูนี้เป็นช่วงที่ควรทำอะไรด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ นอกจากนั้น เทพแห่งขุนเขาและเทพแห่งสายน้ำ บรรพบุรุษ และมังกรแห่งทะเลจะมาปรากฏขึ้นในฤดูกาลนี้ ดังนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับฤดูอื่น พลังความร้ายกาจของฮวงจุ้ยที่ไม่ดีจึงมีฤทธิ์ในการทำลายล้างมากขึ้นในช่วง นี้ของปี สีหลักของฤดูนี้ก็คือสีแดง และปิศาจสีแดงก็เป็นที่รู้จักในนาม “ซวี” ซึ่งแปลว่า “ความว่างเปล่าและความพินาศ”
ควรตั้งท่านไว้ที่ไหน
ที่ที่เหมาะจะตั้งเทพจงขุ่ยไว้มากที่สุดก็คือ ประตูบ้าน (หรือ ที่ทำงาน) เพื่อให้ท่านคอยจับตาดู ทุกคนที่เข้ามาในบ้านหรือที่ทำงาน วิธีนี้จะช่วยคุ้มครองผู้ที่อาศัยอยู่ด้านในได้ดีมาก หรืออีกทางเลือกหนึ่งก็คือ คุณอาจจะแขวนภาพท่านไว้บนผนังที่ ตีนบันได เมื่อแขวนภาพท่านไว้ในบริเวณนี้ ท่านจะช่วยคุ้มครองให้ที่ชั้นบนปลอดภัยจากดาวร้ายห้าเหลืองและวิญญาณชั่วร้ายอื่นๆ

(http://images.diaryis.com/p/phantom/20051027.chungkwei_09.jpg)

ที่มาครับ phantom

โพสโดย คุณPinkcivil

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2182.html
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 18, 2011, 09:15:28 pm
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong อ่านข้อความ
ผม ได้จัดเตรียม พระบูชา (หน้าตัก 5" ) จำนวน 3 องค์ ( สุโขทัย , เชียงแสน และอู่ทอง ซึ่งมีจารทั้งองค์ ทั้ง 3 องค์) , พระสมเด็จ (เนื้อกรมท่า) , พระสมเด็จ (เนื้อปัญจสิริ) ,พระขรรค์ท้าวเวสสุวรรณ ,เบี้ยแก้ , พระกริ่งปวเรศ เนื้อนาค องค์ใหญ่ และอื่นๆ ถวายพระอาจารย์ของน้องปฐม

สำหรับรายนามผู้ร่วมทำบุญมีด้งนี้
1.ผม , ผบทบ.ผม และ 2 ครอบครัว
2.น้องปฐม
3.น้องสมบัติ
4.พี่ประทีป

รายละเอียดผมแจ้งให้ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า , ท่านผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้า ให้ทราบทาง Email เรียบร้อยแล้ว

เรื่องค่าใช้จ่ายในการจัดส่ง ผมและน้องปฐม จะเป็นผู้ดำเนินการจ่ายให้ครับ

วันนี้ผมจะเดินทางไปหาคุณnongnooo เพื่อที่จะฝากคุณnongnooo ส่งไปรษณีย์ให้

มาโมทนาบุญร่วมกันครับ

____________________________________

.
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ปฐม อ่านข้อความ
กระผม ขอขอบพระคุณพี่ๆทุกท่านที่ให้ความเมตตาและไว้วางใจให้กระผมได้ทำหน้าที่เป็น ผู้ถวายครับ และขอโมทนาในกุศลจิตกับพี่ๆทุกท่านด้วยครับผม

____________________________________

โพสโดยคุณ sithiphong

มาแจ้งค่าใช้จ่ายในการจัดส่งครับ

ค่าจัดส่ง รวม 336 บาท

และค่าใช้จ่ายในการเดินทาง(ของผม) ในการจัดส่งอีก 130 บาท

ที่สำคัญที่สุด ขอขอบคุณ สำหรับก๋วยเตี๋ยวสุโขทัย และ ผัดไทยกุ้งสด ที่คุณnongnooo เลี้ยงตอนกลางวันครับ

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2184.html#post4277007
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 18, 2011, 09:29:52 pm
กระทู้พระวังหน้าฯ เว็บพลังจิต
http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445.html

ใต้ร่มธรรม
http://www.tairomdham.net/index.php

สุขใจดอทคอม
http://www.sookjai.com/index.php?action=forum

อกาลิโก - บ้านที่แท้จริง
http://agaligohome.fix.gs/index.php
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ มกราคม 20, 2011, 12:33:24 pm
 :13: อนุโมทนาครับพี่หนุ่ม
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 21, 2011, 09:41:16 am
เรียน น้องปฐม

พระพิมพ์ต่างๆที่ส่งให้เพื่อถวายพระอาจารย์ของน้องปฐม

สำหรับองค์ผู้อธิษฐานจิตเดิม ขอดูรูปครับ (ส่งผ่าน Email)

สำหรับองค์ผู้อธิษฐานใหม่ ได้มีการขอพระบรมพุทธานุญาตครับ

สำหรับถุงที่เขียนเลข 1

ได้มีการขอพระบรมพุทธานุญาต ขอพระบารมีองค์หลวงปู่พระอุปคุตเถระเจ้า , หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า , หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า , หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร) , หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้าหรือหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา ลพบุรี) , หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปานหรือหลวงพ่อโอภาสี วัดโอภาสี กรุงเทพฯ) ,หลวงปู่แจ้งฌาณ , สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และหลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ อธิษฐานจิตเพิ่มเติม ( เมตตามหานิยม , แคล้วคลาด , คงกระพัน , ป้องกันคุณไสย ยาสั่งต่างๆ และทำน้ำมนต์ป้องกันคุณไสยและยาสั่งต่างๆ)

สำหรับถุงที่ไม่ได้เขียน

ได้มีการขอพระบรมพุทธานุญาต ขอพระบารมีองค์หลวงปู่พระอุปคุตเถระเจ้า , หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า , หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า , หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร) , หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้าหรือหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา ลพบุรี) , หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปานหรือหลวงพ่อโอภาสี วัดโอภาสี กรุงเทพฯ) ,หลวงปู่แจ้งฌาณ , สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี , หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง , หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ และหลวงปู่ยี วัดดงตาก้อนทอง อธิษฐานจิตเพิ่มเติม ( ขอให้ผู้สวมใส่ เป็นที่รักของสามโลก , แคล้วคลาด , คงกระพัน , ป้องกันคุณไสย ยาสั่งต่างๆ ,สามารถทำน้ำมนต์ป้องกันคุณไสยและยาสั่งต่างๆ และ ให้ประสบความสำเร็จตามที่ผู้สวมใส่อธิษฐาน )

http://board.palungjit.com/f179/เธžเธฃเธฐเธงเธฑเธ‡เธซเธ™เน‰เธฒ-เธ—เธตเนˆเธซเธฅเธงเธ‡เธ›เธนเนˆเธšเธฃเธกเธ„เธฃเธนเน€เธ—เธžเน‚เธฅเธเธญเธธเธ”เธฃเน€เธชเธ-เธ–เน‰เธฒเธ•เน‰เธญเธ‡เธเธฒเธฃเธ—เธตเนˆเธˆเธฐเน„เธ”เน‰-22445-2185.html#post4286901
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 21, 2011, 04:48:29 pm
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong 
เรียน น้องปฐม

ส่วนน้ำมนต์

1.น้ำมนต์หลวงปู่ 11 พระองค์(หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า , หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า , หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า , หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า , หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า , สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี , หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน , หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า , หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก , หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว และหลวงปู่กรมพระยาปวเรศ)

2.น้ำมนต์ (หลวงปู่พระอุปคุตเถระเจ้า ,หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า , หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า , หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า , หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า , หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า , หลวงปู่แจ้งฌาณ , สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ,หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ)

3.น้ำมนต์ (หลวงปู่พระอุปคุตเถระเจ้า ,หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า , หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า , หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า , หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า , หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า , หลวงปู่แจ้งฌาณ , สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี , หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง , หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ และหลวงปู่ยี วัดดงตาก้อนทอง)

4.น้ำมนต์ (พระแม่ธรณี , พระแม่คงคา และ พระแม่โพสพ)

5.น้ำสรงพระแก้วมรกต (น้ำที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร สรงพระแก้วมรกตในปี 2553 วาระเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกต จากฤดูฝน เป็น ฤดูหนาว)

จะนำน้ำมนต์ทั้งหมด รวมกันไว้ในขวดเดียว แล้วจะส่งให้น้องปฐมอีกครั้ง พร้อมทั้งหนังสือประวัติหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร และรูปหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร 5 พระองค์ครับ


-------------------------------------------------------------

น้ำมนต์ชุดนี้ ผมเตรียมนำขึ้นไปที่พระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งด้วยเช่นกันครับ

เมื่อสักพักนี้ สาวสองพันปี โทร.มาหาผม แจ้งว่า จะเดินทางไปกับผม ในการขึ้นไปร่วมงานพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง

ยินดีมากครับ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 21, 2011, 04:53:19 pm
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong 
ผมได้จัดเตรียม พระบูชา (หน้าตัก 5" ) จำนวน 3 องค์ ( สุโขทัย , เชียงแสน และอู่ทอง ซึ่งมีจารทั้งองค์ ทั้ง 3 องค์) , พระสมเด็จ (เนื้อกรมท่า) , พระสมเด็จ (เนื้อปัญจสิริ) ,พระขรรค์ท้าวเวสสุวรรณ ,เบี้ยแก้ , พระกริ่งปวเรศ เนื้อนาค องค์ใหญ่ และอื่นๆ ถวายพระอาจารย์ของน้องปฐม

สำหรับรายนามผู้ร่วมทำบุญมีด้งนี้
1.ผม , ผบทบ.ผม และ 2 ครอบครัว
2.น้องปฐม
3.น้องสมบัติ
4.พี่ประทีป

รายละเอียดผมแจ้งให้ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า , ท่านผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้า ให้ทราบทาง Email เรียบร้อยแล้ว

เรื่องค่าใช้จ่ายในการจัดส่ง ผมและน้องปฐม จะเป็นผู้ดำเนินการจ่ายให้ครับ

วันนี้ผมจะเดินทางไปหาคุณnongnooo เพื่อที่จะฝากคุณnongnooo ส่งไปรษณีย์ให้

มาโมทนาบุญร่วมกันครับ


. ____________________________________ .
 

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ปฐม 
วันนี้กระผมได้รับของที่คุณพี่ nongnooo ส่งให้เรียบร้อยแล้วครับ ผมได้ทำการเปิดดูพระบูชา รวมถึงสิ่งของทุกอย่างที่อยู่ภายในเรียบร้อยดีทุกประการครับ
พรุ่งนี้ผมจะทำความสะอาดให้เรียบร้อย ขอขอบพระคุณพี่ๆทุกท่านที่เสียสละแรงกายแรงใจสำหรับงานนี้นะครับ ถวายวันไหนผมจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งนะครับผม เพราะช่วงนี้อาจารย์ท่านปลีกวิเวกปฎิบัติธรรมอยู่ครับ รอท่านออกก่อนครับ
 
. ____________________________________ .


อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong 

รายชื่อผู้ร่วมทำบุญ ไว้พี่ส่งให้อีกครั้งนะครับ

โมทนาบุญทุกประการ


. ____________________________________ .


รายชื่อผู้ร่วมทำบุญ พี่ส่งให้แล้วในEmail(เดิม) ครับ

โมทนาบุญทุกประการ

http://board.palungjit.com/f179/พระวังหน้า-ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้-22445-2186.html
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 22, 2011, 08:38:42 pm
ประวัติศาสตร์ ตราประทับพระราชลัญจกร องค์จักรพรรดิ์
จากคุณ : หนุ่มรัตนะ

สืบเนื่องจากกระทู้คุณ Jassb1 ว่าด้วย มาทำตราประทับชื่อจีนกันเถอะ เพื่อนๆก็ทำกันหลากหลาย จึงอยากจะนำเสนอประวัติและที่มาของตราประทับกันครับ

ต้นกำเนิดของ ตราประทับ ย้อนไปหลายพันปี จุดประสงค์ใช้ตราประทับในเอกสารราชการแผ่นดินเท่านั้น ในยุคต่อมาการทำตราประทับได้เริ่มความนิยมขึ้น ศิลปะการแกะสลักตราประทับได้พัฒนาขึ้น และรวมทั้งจุดประสงค์ในการใช้ได้พัฒนาเป็นตราประจำตัวอีกด้วย มีการนำไปประทับในเอกสารทางการค้า เอกสารทางราชการ ทำให้ตราประทับได้กลายเป็นเสมือนสัญลักษณ์แห่งอำนาจของราชสำนักจีน

ใน สมัยก่อนการประทับตรา มีวิธีประทับตราที่ไม่เหมือนในปัจจุบันนี้ กล่าวคือเอกสารสำคัญจะผูกด้วยเชือกและประทับบนดินเหนียว โดยวิธีนี้ได้แพร่หลายในทางการค้าด้วย ซึ่งเราสามารถพบตราประทับได้ทั้งใน เปอร์เซีย อินเดีย กรีก โรมันโดยได้พัฒนาทำเป็นตราประทับบนหัวแหวน เพื่อความสะดวกในการใช้งาน สำหรับในประเทศไทยได้พบตราประทับ และดินเหนียวตราประทับ สมัยทวารวดี (เช่นรูปเรือใบ รูปลิง อักษรปาลวะ อักษรเปอร์เซีย รูปต้นปาล์ม) เป็นต้น

การประทับตราของจีน ได้รับการนิยมในหมู่ศิลปิน เช่น การเขียนภาพก็ประทับตราไว้ การแต่งบทกวีก็ประทับตราไว้ แม้กระทั่งในสมัยที่มีกล้องถ่ายภาพเข้ามาในประเทศจีน ก็มีการถ่ายรูปพร้อมลงตราประทับไว้อีกด้วย อีกหนึ่งจุดประสงค์เพื่อแสงดให้เห็นถึงความเป็นเจ้าของผลงานศิลปะที่ตนเอง เป็นผู้ได้มา เช่น ภาพวาดในสมัยราชวงศ์ถัง ก็จะมีตราประทับของอดีตจักรพรรดิ์จากราชวงศ์ต่างๆประทับไว้ เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของภาพวาด
สมัยราชวงศ์เซียะ, ชาง และจ้าว ได้ยึดถือตำนานการสร้างตราประทับของจักรพรรดิเหลือง ว่าเป็นตราประทับพระราชลัญจกร มีลายมังกรด้านหลัง บรรจุในหีบหยก จุดนี้เองทำให้จักรพรรดิต่อมาสร้างตราประทับขึ้น เพื่อแสดงถึงพระราชอำนาจของพระองค์

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1330853&d=1295699019)


ยุค Spring Autumn Period (c. 800-300 BC) ตราประทับจากราชวงศ์ชาง ได้ถูกขุดพบจากแหล่งโบราณคดีอันหยาง

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1330854&stc=1&d=1295699019)

ยุคWarring States Period (770-221 BC) (ชุนชิว-จ้านกว๋อ) ตราประทับนิยมทำจากดินเหนียวเสียส่วนใหญ่ ตราประทับมีการออกแบบให้สวยงามขึ้น


(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1330855&d=1295699019)

Chin Dynasty (221-207 BC)
ยุคราชวงศ์ฉิน นิยมตราประทับที่มีขนาดเล็ก โดยถูกเรียกว่า “Hsiao Mu” หรือ “Chin Hsiao Mu” ตราประทับขององค์จิ๋นซีฮ่องเต้ ทำด้วยหยก และสลักรูปมังกร ซึ่งถือเป็นตราพระราชอำนาจสูงสุดและถือว่าเป็นโอรสแห่งสวรรค์



(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1330856&d=1295699019)

Han Dynasty (206 BC - 220 AD)
ในยุคนี้ตราประทับได้ รับการพัฒนาต่อเนื่องจากราชวงศ์ฉิน มีการใช้งานอย่างแพร่หลาย ในสมัยราชวงศ์ฮั่น มีการใช้การดาษ เป็นครั้งแรก ดังนั้นตราประทับก็สนองกับการใช้งานทันที โดยมีการประทับตราและมีการนำสีมาทา โดยนำครั่งแดงมาใช้ ซึ่งแต่ก่อนนี้ตราประทับทำการประทับบนดินเหนียวอย่างที่เล่ามา
ทั้งราชวงศ์ฉินและฮั่น ถือเป็นยุคกำเนิดและก้าวไปถึงจุดสูงสุดของการสร้างตราประทับ เป็นต้นกำเนิดมาตรฐานของตราประทับมาจนทุวันนี้


(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1330857&d=1295699019)

Eastern Han Dynasty (25-330)

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1330858&d=1295699019)


Wei Dynasty (220-265), Jin Dynasty (West Jin 265-316, East Jin 317-420)
ยุค นี้ตราประทับประทับบนกระดาษแล้ว และยังประทับบนผ้าไหมอีกด้วย ส่วนตราดินเหนียวได้หมดความนิยมลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเริ่มใช้งานได้ยาก

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1330859&d=1295699019)


http://topicstock.pantip.com/library.../K7814260.html

PANTIP.COM : K7814260 (http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/05/K7814260/K7814260.html)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 22, 2011, 08:42:48 pm
ประวัติศาสตร์ ตราประทับพระราชลัญจกร องค์จักรพรรดิ์
จากคุณ : หนุ่มรัตนะ

Sui (581-618) & Tang (618 - 907) Dynasties
ใน ยุคราชวงศ์ถัง มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกครั้งในตราประทับ คือ พระนางได้มีพระราชเสาวนีย์ให้เปลี่ยนอักษร “xi” “BAO” ลงในตราประทับ เนื่องจากความหมายในเชิงที่ดีกว่า นอกจากนี้ตราประทับยังแกะตราให้มีลักษณะแกะกลับอักษรกัน โดยมีพื้นขาว ตัวอักษรแดง (เดิมแกะตัวขาว พื้นแดง)

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1330860&d=1295699019)


Sung Dynasty (960 - 1179)
ในสมัยนี้การพัฒนาการ แกะอักษรได้นิยมเน้นแกะให้มีพระราชลัญจกร มีขนาดบางยาว และเริ่มเน้นจำนวนตัวอักษรให้มีการยึดเลขมงคล กับจำนวนคำมาใช้ในตราประทับ

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1330861&d=1295699019)


Yuan Dynasty (1271 - 1368)
ราชวงศ์หยวน ปกครองประเทศจีนโดยชาวมองโกล ดังนั้นตราประทับจึงเป็นภาษามองโกล และมีขนาดใหญ่โตมาก

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1330862&d=1295699019)


Ching Dynasty (1644 - 1911)
ในสมัยราชวงศ์ชิงก็ เช่นเดียวกันกับราชวงศ์หยวน เนื่องจากเป็นชาวแมนจูเข้ามาปกครอง ทำให้ตราประทับแห่งพระราชอำนาจจึงมีการนำภาษาแมนจู เข้ามาด้วย นอกจากนี้ยังมีการเล่นกับตราประทับอีกแบบหนึ่ง คือ สมัยเฉียนหลงฮ่องเต้ ได้เขียนอักษรลายมือของพระองค์เอง และสั่งแกะตราประทับตามลายมือนั้น


(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1330863&d=1295699071)

ตราประทับเฉียนหลงฮ่องเต้ ซึ่งเป็นลายมือของพระองค์เอง

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1330864&stc=1&d=1295699071)


ตราประทับเฉียนหลงฮ่องเต้

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1330865&d=1295699071)

ตรานี้ของคังซี

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1330866&d=1295699071)


พระนางซูสีไทเฮา
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1330867&d=1295699071)



จักรพรรดิ์ปูยี
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1330868&d=1295699071)



 หลังราชวงศ์ชิง มีการจัดตั้งสมาคม "Xi Leng Seals Society" มีการรวบรวมตราประทับและเผยแพร่ศิลปะการแกะสลักอย่างแพร่หลาย โดยมี Wu Tsun-Shuo เป็นประธานสมาคม


(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1330869&d=1295699071)


http://topicstock.pantip.com/library.../K7814260.html

.


PANTIP.COM : K7814260 (http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/05/K7814260/K7814260.html)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 22, 2011, 08:45:37 pm
ประวัติศาสตร์ ตราประทับพระราชลัญจกร องค์จักรพรรดิ์
จากคุณ : หนุ่มรัตนะ

ปัจจุบันมีการทำให้ทันสมัยขึ้นเพื่อตอบรับการใช้ตราประทับ โดยทำออกมาเหมือนตรายางก็มี ใช้สะดวกง่ายดาย หรือจากเวปออนไลน์ก็ได้เห็นกัน

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1330870&stc=1&d=1295699071)


ความคิดเห็นที่ 20
ขออนุญาต
ท่าน จขกท ครับ

เพิ่มเติมข้อมูลเล็กน้อย


ตาม คห ที่ 7

ก่อนยุค สุย กับ ถัง นิยมการแกะแบบ หยางเหวิน
คือ อักษรสีขาว พื้นแดง

หลังจากนั้น เปนการแกะ แบบ อักษรแดง พื้นขาว
เรียกว่า อิน เหวิน

หยินหยางนั่นแหละครับ

แบบหลัง แบบอินเหวิน จะแกะยากกว่า
ต้องเจาะไล่ให้อักษรจีนนั้นนูนขึ้นมา

ขอบคุณครับ
จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา)


ความคิดเห็นที่ 21
จขกท.ครับ ในคห.ที่2 น่าจะเป็นยุคจ้านกั๋วนะครับ ไม่ใช่ฮั่น เว่ย จิน

ดูได้จากปีที่ จขกท.เอามาอ้างอิงครับ

ราชวงศ์ฮั่นก่อตั้งหลังยุคราชวงศ์ฉินครับ

จากคุณ : โอฮาน่า




ความคิดเห็นที่ 25
ราช ลัญจกรทั้ง 2 อัน นี้มีความสำคัญต่อ ปวศ จีนสมัยชิง อย่างมาก ด้วยเป็นตราประทับของเสียนฟงฮ่องเต้ (แต่ไม่ใช่ตราประจำตำแหน่งฮ่องเต้ของพระองค์) ซึ่งก่อนพระองค์จะสวรรคต พระองค์ ได้มอบอันด้านขวา แก่รัชทายาทซึ่งมีอายุเพียง 6 พรรษา มอบอันซ้ายแก่พระมเหสีคือพระนางซูสี เพื่อใช้ร่วมกันในการประทับราชโองการ

แต่แล้วเมื่อฮ่องเต้เสียนฟงสวรรคต พระนางซูสีก็ได้รวบเอาตราประทับทั้งสองมาเป็นของพระนางเอง เพื่อใช้ในการออกพระราชโองการ ทำให้ ปวศ ราชวงศ์ชิงที่ไม่เคยมีสตรีมาว่าราชการ ต้องพินาศลงเพราะการรวบอำนาจของพระนางซูสี

อันซ้าย สำหรับ พระนางซูสี เรียกว่า อวี่ ส่าง
อันขวา สำหรับรัชทายาท " ถง ต่าว ถาง
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1330871&d=1295699071)

ราช ลัญจกรเหมือนข้างบน แบบเห็นใกล้ชิดจะเห็นความสวยงามของหินสบู่ที่ใช้ว่าแม้จะเป็นหินที่ทึบแสง แต่ก็มันวาวสวยมีประกาย ด้วยผ่านการคัดเลือกมาอย่างดี และไม่มีลายสลักเสลาใดๆเลย

ตราประทับทั้งสองใช้อยู่ประมาณ 12 ปี จนสิ้นรัชสมัยของพระราชโอรสของพระนางซูสี คือ ถง จื่อ ฮ่องเต้

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1330872&d=1295699071)

ราช ลัญจกรนี้เป็นของประจำตำแหน่งพระนางซูสี เมื่อดำรงตำแหน่ง "ฮองไทเฮา" คือ ถงจื่อฮ่องเต้ ผู้เป็นโอรสได้สถาปนายศของพระนางเป็น พระนางซูสีตวนสิ่วฮองไทเฮา ใน ค.ศ. 1872 ซึ่งตรานี้พระนางจะใช้ในการประทับราชโองการสำคัญ

จะสังเกตเป็นว่าส่วนที่เป็นมือจับมีตัวมังกรแกะสลักด้วย

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1330873&d=1295699084)

จากคุณ : Fortunism


ประวัติศาสตร์ ตราประทับพระราชลัญจกร องค์จักรพรรดิ์
จากคุณ : หนุ่มรัตนะ


ความคิดเห็นที่ 30

หลัวเหล่าซือ

ท่านเป็นศิลปินจีน มณฑลยูนาน
มีความสามารถทำ ตราปั๊ม ระดับโลก
ลงผลงานในกินเนสบุ๊คมาแล้ว

ปีหนึ่งท่านจะบินมาที่ไทย สักหนสองหน

ตอนนี้ ท่านเดี้ยง กลับไปรักษาหัวเข่าที่จีน


เปนศิลปินแกะสลักที่มีความสามารถอีกท่าน
หลังจากยุคของฉีไป๋สือ

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1330874&d=1295699084)

จากคุณ : นายเสลา (นายเสลา)



.



.

PANTIP.COM : K7814260


.

[url]http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/05/K7814260/K7814260.html (http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/05/K7814260/K7814260.html)


จบแล้วครับ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ มกราคม 22, 2011, 11:11:47 pm
 :13: อนุโมทนาครับพี่หนุ่ม
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 24, 2011, 07:44:18 pm
เมื่อวานนี้ ผมได้อัญเชิญพระบูชา 9 นิ้ว พระศรีอาริยเมตตรัย 1 องค์ และ พระบูชา รัตนะ ปางอุ้มบาตร 1 องค์ ไปมอบให้พี่เปี๊ยก เพื่อถวายวัดที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

รายนามผู้ร่วมทำบุญ
1.sithiphong และ ภรรยา และ 2 ครอบครัว
2.พี่เปี๊ยก
3.น้องฝน
4.น้องปฐม

มาร่วมโมทนาบุญกันครับ
http://board.palungjit.com/f179/พம.2445-2187.html
http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2187.html

PaLungJit.com - งานบุญที่หลายๆท่านได้ฝากเงินให้ผมทำบุญแทน
http://board.palungjit.com/groups/%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%86%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%9D%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%9C%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B8%99-2145.html
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 31, 2011, 10:22:57 pm
เรียน ท่านประธานชมรมพระวังหน้า
รองประธานชมรมพระวังหน้า
และสมาชิกชมรมพระวังหน้าทุกๆท่าน

คุณIT Man (หรือคุณpsombat) ได้แจ้งความประสงค์ขอลาออกจากตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการชมรมพระวังหน้า

ดังนั้นคุณIT Man (หรือคุณpsombat) จึงพ้นจากตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการชมรมพระวังหน้า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

แต่ยังคงเป็นสมาชิกชมรมพระวังหน้าตามเดิม

รายละเอียด อยู่ใน Email ของทุกๆท่านแล้วครับ

จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
sithiphong
31/1/2554

.

.

พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....
http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2195.html

PaLungJit.com - ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
http://board.palungjit.com/groups/%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%86-2139.html

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 01, 2011, 10:20:38 am
เมื่อสักพักนี้ ( วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 ) ผมได้จัดส่งหนังสือวิเคราะห์พระสมเด็จและสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า (ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ผู้เขียน) จำนวน 5 เล่ม และ หนังสือประวัติหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร (ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ผู้เขียน) จำนวน 7 เล่ม ให้กับท่านน้องปฐม เพื่อให้ ท่านน้องปฐม ถวายพระภิกษุที่จังหวัดสตูล , จังหวัดพัทลุง และอื่นๆ ตามที่ท่านน้องปฐม เห็นสมควร

รายนามผู้ร่วมทำบุญในครั้งนี้
1.sithiphongและผบทบ.
2.ท่านน้องปฐม
3.คุณธวัช

รายนามผู้ร่วมทำบุญค่าจัดส่ง
1.sithiphongและผบทบ.
2.ท่านน้องปฐม

มาโมทนาบุญร่วมกันครับ


และพี่ได้ส่งหนังสือ "พระบวรราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า " ให้กับ ท่านน้องปฐม ไปพร้อมกันด้วยแล้ว


ส่วนท่านน้องpsombat พี่ได้ส่งหนังสือ  "พระบวรราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า " เล่มนี้ไปเมื่อเช้านี้เช่นกัน

ขอขอบคุณ คุณ:::เพชร::: ที่ได้มอบหนังสือทั้งสองเล่มนี้ให้กับ ท่านน้องปฐม และ ท่านน้องpsombat


โมทนาบุญกับคุณ:::เพชร::: ในการให้ความรู้กับ ท่านน้องปฐม และ ท่านน้องpsombat ในครั้งนี้ครับ

.
http://board.palungjit.com/f179/พம.2445-2195.html
.

http://board.palungjit.com/f179/พระวังหน้า-ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้-22445-2195.html
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 01, 2011, 04:06:44 pm
เรียน ท่านประธานชมรมพระวังหน้า
รองประธานชมรมพระวังหน้า
และสมาชิกชมรมพระวังหน้าทุกท่าน

คุณแหน่ง ได้แจ้งความประสงค์ขอลาออกจากชมรมพระวังหน้า มีผลนับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 เป็นต้นไป

จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
sithiphong
เลขานุการชมรมพระวังหน้า
1/2/2554

http://board.palungjit.com/f179/พระวังหน้า-ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้-22445-2195.html
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 01, 2011, 11:50:57 am
เรียน ท่านประธานชมรมพระวังหน้า
รองประธานชมรมพระวังหน้า
และสมาชิกชมรมพระวังหน้าทุกท่าน

คุณpsombat (IT Man) ได้แจ้งความประสงค์ขอลาออกจากชมรมพระวังหน้า และขอเป็นผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้านับตั้งแต่วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ 2554 เป็นต้นไป (รายละเอียด ตาม Email)

จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
sithiphong
เลขานุการชมรมพระวังหน้า
8/2/2554

http://board.palungjit.com/groups/ชมรมพระวังหน้า-เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ-2139-page2.html?pp=30

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 01, 2011, 11:53:33 am
เรียน ท่านประธานชมรมพระวังหน้า
ท่านรองประธานชมรมพระวังหน้า
และท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า

สำหรับสมาชิกชมรมพระวังหน้าทุกๆท่าน

ผมมอบให้ฟรี หากท่านเป็นตัวแทนของชมรมพระวังหน้า ในการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 4 พระองค์ , พระบรมสารีริกธาตุ พระปัจเจกพุทธเจ้า , พระธาตุพระอรหันต์ และ พระธาตุนิมิตร คณะเผยแพร่พระพุทธศาสนา (หลวงปู่พระอุปคุตเถระเจ้า ,คณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) และ ครูฝึกคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) ) ถวายตามวัดต่างๆ , สำนักสงฆ์ต่างๆ ทั่วประเทศ

ในการอัญเชิญ พระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 4 พระองค์ , พระบรมสารีริกธาตุ พระปัจเจกพุทธเจ้า , พระธาตุพระอรหันต์ และ พระธาตุนิมิตร คณะเผยแพร่พระพุทธศาสนา (หลวงปู่พระอุปคุตเถระเจ้า ,คณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) และ ครูฝึกคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) ) ผมมอบให้เฉพาะผู้ที่เป็นตัวแทนชมรมพระวังหน้า เพียง 1 ท่าน ต่อการอัญเชิญถวายวัด หรือสำนักสงฆ์ 1 แห่ง และ ผมให้ท่านเลือกธนบัตร นำโชค หรือ ธนบัตร โภคทรัพย์ (ประเภทใดประเภทหนึ่ง) เท่านั้นครับ

ส่วนจำนวนเงินในธนบัตร ผมมอบธนบัตร 20 บาทให้ครับ


http://board.palungjit.com/f179/พระวังหน้า-ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้-22445-2216.html

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 01, 2011, 11:58:26 am
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1386440&d=1298948891)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 01, 2011, 12:01:20 pm
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1385649&d=1298892926)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 02, 2011, 08:59:52 pm
.
พึ่งกลับมาถึงบ้านครับ

ผมไปกราบพระอาจารย์นิลมาแล้ว

และไปรับธนบัตร (ที่ได้ขอพระเมตตาหลวงปู่สุภา อธิษฐานจิต)

ผมได้ถวายธนบัตร (500บาท) แด่พระอาจารย์นิล

และได้ถวายธนบัตร (20บาท) แด่พระภิกษุ 3 รูป (ที่ท่านช่วยงานพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งและผมได้พบกับท่านในวันงานสมโภชพระ เจดีย์ศรีชัยผาผึ้งและงานผ้าป่า "ปลดหนี้ รุ่งเรืองบารมี ศรีชัยผาผึ้ง")

อีกทั้งได้ถวายปัจจัย แด่พระอาจารย์นิล ในการที่พระอาจารย์นิล ท่านจะนำคณะพระภิกษุ ไปปฎิบัติธรรมในถ้ำ

มาโมทนาบุญร่วมกันครับ


(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1385649&stc=1&d=1298892926)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 05, 2011, 06:26:48 pm
เรียน ท่านประธานชมรมพระวังหน้า
ท่านรองประธานชมรมพระวังหน้า
ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้าทุกท่าน
และท่านผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้าทุกท่าน






ผมได้ดำเนินการซื้อเจดีย์ และ ผอบ เพื่อบรรจุพระบรมสารีิริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 4 พระองค์ , พระบรมสารีริกธาตุ พระปัจเจกพุทธเจ้า , พระธาตุพระอรหันต์ และ พระธาตุนิมิตรพระอรหันต์

ผมได้ดำเนินการอัญเชิญพระบรมสารีิริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 4 พระองค์ , พระบรมสารีริกธาตุ พระปัจเจกพุทธเจ้า , พระธาตุพระอรหันต์ และ พระธาตุนิมิตรพระอรหันต์ ลงในเจดีย์ และผอบ เรียบร้อยแล้ว

และผมได้อัญเชิญ พระบรมสารีิริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 4 พระองค์ , พระบรมสารีริกธาตุ พระปัจเจกพุทธเจ้า , พระธาตุพระอรหันต์ และ พระธาตุนิมิตรพระอรหันต์ ที่ผมอัญเชิญลงในเจดีย์และผอบ ไปมอบให้กับคุณเฉลิมพล ในวันนี้เรียบร้อยแล้ว

ผมได้มอบ ธนบัตร "โภคทรัพย์" ให้กับคุณเฉลิมพล เรียบร้อยแล้วเช่นกันครับ


ขอโมทนาบุญกับคุณเฉลิมพล ที่เป็นตัวแทนของชมรมพระวังหน้า ในการอัญเชิญ พระบรมสารีิริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 4 พระองค์ , พระบรมสารีริกธาตุ พระปัจเจกพุทธเจ้า , พระธาตุพระอรหันต์ และ พระธาตุนิมิตรพระอรหันต์ ไปถวายวัด

และขอโมทนาบุญกับสมาชิกชมรมพระวังหน้า ในการร่วมทำบุญซื้อเจดีย์และผอบ ครับ

รายละเอียด ผมแ้จ้งให้ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้าทราบทาง Email เรียบร้อยแล้วครับ

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2217.html

http://board.palungjit.com/groups/%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%86-2139-page3.html#gmessage29985



.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 05, 2011, 06:27:43 pm
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1393009&d=1299324649)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 05, 2011, 06:28:26 pm
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1393010&d=1299324649)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 05, 2011, 06:29:11 pm
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1392957&d=1299320604)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 11, 2011, 09:57:54 pm
สวัสดียามค่ำ วันศุกร์แห่งชาติ

มาร่วมโมทนาบุญกับพี่สิทธิพรและคณะ รวมทั้งน้องพรสว่าง ที่จะบวชเป็นพระภิกษุในเดือนหน้านี้ เมื่อบวชแล้ว จะเดินทางมาอยู่ที่สวนทิพย์โลกอุดร

โมทนาบุญทุกประการ

สิ่งใดที่ผมเคยพลาดพลั้ง ล่วงเกินด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ใจก็ดี เจตนาก็ดี ไ่ม่เจตนาก็ดี รู้เท่าถึงการก็ดี รู้เท่าไม่ถึงการก็ดี ผมขอให้ทุกๆท่านอโหสิกรรมให้ผมด้วย และผมอโหสิกรรมให้ทุกๆท่านทุกๆประการ

เรียนพี่สิทธิพร ผมจะรวมรวมปัจจัยร่วมทำบุญด้วย ผมจะโทร.ไปหาพี่อีกครั้งครับ

ฝากถึงน้องพรสว่่าง บวชน้อยไม่เป็นไร แต่ให้ตั้งใจปฎิบัตินะครับ

โมทนาบุญกับทุกๆท่านทุกๆประการ

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2219.html


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 13, 2011, 08:44:02 pm
วันนี้ ผมเดินทางไปหาพี่ใหญ่

นำเงินไปร่วมทำบุญกับทุนนิธิสงเคราห์สงฆ์อาพาธ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ตามรายนามดังนี้

1.ท่านน้องปฐมและครอบครัว
2.คุณเฉลิมพลและครอบครัว
3.sithiphongและครอบครัว

มาร่วมโมทนาบุญกันครับ

วันนี้ผมได้นำเรื่อง กรณีศึกษา ของผม นำไปคุยกับพี่ใหญ่ มีบทสรุปมาแล้ว และยังมีสิ่งที่น่าตกใจ ซึ่งผมเชื่อว่า มีหลายๆคนเป็นจำนวนมากที่ไม่ทราบ ผมขอสงวนสิทธิ์ไม่แจ้งบนบอร์ด แต่ผมจะแจ้งให้กับสมาชิกชมรมพระวังหน้า และ ท่านผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้าให้ทราบกันครับ

.
ผมแจ้งให้ทราบทาง Email แล้วครับ

อย่าลืมนะครับ

สะสมแต้มในเรื่องกรรมดีไว้

อย่าไปสะสมแต้มในเรื่องกรรมไม่ดี

โมทนาสาธุครับ

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2220.html#post4476956


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 15, 2011, 12:41:12 pm
แจ้งข่าวงานบุญ

คุณเฉลิมพล เป็นตัวแทนของชมรมพระวังหน้า (สมาชิกชมรมพระวังหน้าและผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้า) ถวายพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 4 พระองค์ , พระบรมสารีริกธาตุ พระปัจเจกพุทธเจ้า , พระธาตุพระอรหันต์ , พระธาตุนิมิตร คณะเผยแพร่พระพุทธศาสนา และ พระธาตุนิมิตร คณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) เรียบร้อยแล้ว

คุณเฉลิมพลแจ้งมาให้ผมทราบทาง sms เมื่อสักพักนี้ครับ

โมทนาบุญกับทุกๆท่านทุกๆประการครับ


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 21, 2011, 06:49:53 pm
มาชมภาพและร่วมโมทนาบุญกับคุณเฉลิมพล และ ชมรมพระวังหน้ากันครับ

http://board.palungjit.com/f179/พระวังหน้า-ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้-22445-2223.html

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 21, 2011, 06:52:54 pm
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1413270&d=1300636628)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 21, 2011, 06:56:39 pm
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1413272&d=1300636628)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 21, 2011, 06:57:29 pm
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1413273&d=1300636628)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 21, 2011, 07:00:59 pm
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1413275&d=1300636628)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 21, 2011, 07:03:21 pm
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1413276&d=1300636628)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 21, 2011, 07:05:53 pm
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1413277&d=1300636628)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 21, 2011, 07:16:39 pm
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1413274&d=1300636628)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 21, 2011, 07:21:19 pm
คุณเฉลิมพล เป็นตัวแทนชมรมพระวังหน้า ในการถวายพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 4 พระองค์ , พระบรมสารีริกธาตุ พระปัจเจกพุทธเจ้า , พระธาตุพระอรหันต์ , พระธาตุนิมิตพระอรหันต์

และคุณเฉลิมพล ถวายพระบูชา สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี

โมทนาบุญทุกประการกับคุณเฉลิมพลและครอบครัว และ สมาชิกชมรมพระวังหน้าทุกท่านครับ


-----------------------------------------------------

 วันนี้, 08:22 AM    #44454 
ปฐม
สมาชิก
 
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ปฐม 
เห็นรูปแล้วน่าประทับใจจริงๆนะครับ ขอโมทนาบุญทุกประการครับผม


-----------------------------------------------------


ทำเอง แล้วจะรู้เอง ว่า ดีหรือไม่ อย่างไร

อย่างที่น้องปฐมเคยทำมาแล้ว

สะสมแต้ม(กรรมดี)ไว้นะครับ

อย่าไปสะสมแต้ม(กรรมชั่ว)เลย ผลที่ได้รับตอนที่ต้องรับนั้น หนีไม่ได้ ดังนั้น อย่าหลงระเริงกับการสะสมแต้ม(กรรมชั่ว)

"ระมัดระวัง ทั้ง กาย วาจา ใจ ของเรา ดีที่สุด คนอื่นจะทำอย่างไร ช่างเขา ช่างมัน ใครทำอะไร ต้องได้เช่นนั้น" เป็นคำสอนที่พระภิกษุรูปหนึ่งสอนพี่ไว้เมื่อวันอาทิตย์(ที่ 20 มีนาคม 2554) นี้เอง

ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 23, 2011, 10:02:57 pm
เรียน ท่านประธานชมรมพระวังหน้า
ท่านรองประธานชมรมพระวังหน้า
ท่านผู้ช่วยเลขานุการชมรมพระวังหน้า
ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า
ท่านผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้า

ผมเปิดประชุมชมรมพระวังหน้า  รายละเอียดตาม Email ครับ

รบกวนให้แสดงความเห็นกันด้วยครับ

ขอบคุณครับ

ขอแสดงความนับถือ
sithiphong
23/3/2554

.

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2224.html


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 23, 2011, 10:05:18 pm
วันนี้ ตอนบ่าย น้องปฐม ได้เป็นตัวแทนของคณะผม (sithiphongและครอบครัว , น้องปฐมและครอบครัว , พี่เปี๊ยกและครอบครัว , น้องฝนและครอบครัว , คุณPinkcivilและครอบครัว , คุณธวัชและครอบครัว , คุณเฉลิมพลและครอบครัว และ คุณณฑนนและครอบครัว) นำพระวังหน้า , หนังสือประวัติหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร , หนังสือวิเคราะห์พระสมเด็จและสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า , รูปคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร (คณะโสณะ-อุตระ)(ที่น้องปฐมได้นำไปใส่กรอบ) , น้ำมนต์ 4 ขวด(น้องปฐมต่อน้ำมนต์จาก น้ำมนต์ 4 ขวดที่ผมได้มอบให้น้องปฐม) ไปถวายวัดที่จังหวัดสตูล

ขอขอบใจน้องปฐม ที่ช่วยพี่เป็นธุระให้ในการงานบุญนี้


นอกจากงานบุญต่างๆแล้ว อย่าลืมนั่งวิปัสนากรรมฐานกันด้วย ทำกันไปทั้งสองอย่าง สะสมแต้ม(ดี)กันครับ

เป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง

ยิ่งทำยิ่งได้ ยิ่งให้ยิ่งมี

อยากรวยให้ทำทาน อยากไปนิพพานให้ภาวนา

โมทนาบุญกับทุกๆท่านครับ



.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 25, 2011, 11:49:29 am
วันนี้(วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม 2554) ผมได้โอนเงินร่วมทำบุญ การบวชพระภิกษุ ของคณะพี่สิทธิพร รวมทั้งน้องพรสว่าง ไปให้น้องพัชเรียบร้อยแล้ว

 เมื่อคณะพี่สิทธิพร บวชเป็นพระภิกษุแล้ว จะมาปฎิบัติธรรมที่สวนทิพย์โลกอุดร

มาร่วมโมทนาบุญกันครับ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 25, 2011, 11:51:39 am
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1420019&d=1301026842)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 25, 2011, 11:57:49 am
วันนี้(วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม 2554) ผมได้โอนเงินร่วมทำบุญ จำนวน 200 บาท

บัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาสะพานใหม่ดอนเมือง
ชื่อบัญชี นายณัฐพัชร จันทรสูตร
เลขที่บัญชี ๐๘๑ - ๒๔๔๙๑๒ - ๓

ร่วมเป็นเจ้าภาพสร้าง สมเด็จองค์ปฐมปิดทองทั้งองค์ เพื่อชำระหนี้สงฆ์ และสร้าง วิหารแก้ว ณ วัดตะโก จ.สระแก้ว

ร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่าสามัคคี เททองหล่อสมเด็จองค์ปฐมบรมครู (สมเด็จพระพุทธสิกขีทศพล ที่ ๑) ปางทรงเครื่องพระมหาจักรพรรดิ์ ขนาดหน้าตัก ๔ ศอก (เนื้อโลหะทองเหลือง ปิดทองประดับเพชร) และร่วมสร้างวิหารแก้ว ณ วัดตะโก ต.ตาพระยา อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว


มาร่วมโมทนาบุญกันครับ

http://board.palungjit.com/f179/พระวังหน้า-ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้-22445-2225.html
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 25, 2011, 11:59:29 am
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1420033&d=1301027596)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 03, 2011, 08:44:25 pm
วันนี้ ทางชมรมพระวังหน้า ได้นำกระเช้าผลไม้ ไปกราบท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร เนื่องในวาระวันปีใหม่ไทย (วันสงกรานต์)

ผู้ที่มอบกระเช้า ก็คือพี่เปี๊ยก (ประธานชมรมพระวังหน้า)

ผู้ที่ไปจัดเตรียมกระเช้าให้ก็คือ คุณPinkcivil

ผู้ที่ไปร่วมงาน มีคุณณฑนน(จากโคราช) , คุณมูริญโญ่ , คุณธวัช(จากน่าน) ,น้องฝน และผม

วันนี้ ผมแจกพระเช่นเคย โดยได้มอบพระพิมพ์ 2408 (พิมพ์ฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ชุึด 8 พิมพ์) , พิมพ์สมเด็จ(แหวกม่าน) , พิมพ์พระสมเด็จ (Tott 4) แจกกันไม่อั้นครับ

ตอนเย็นๆ นึกครึ้มอกครึ้งใจ ดีใจที่มาเจอกัน แจกเบี้ยแก้(วังหน้า) สำหรับท่านที่อยู่กันถึงตอนเย็น ตอนที่ผมแจกไป ผมได้ขอสัญญาจากท่านที่รับเบี้ยแก้ว่า ต้องพกทุกวัน ซึ่งทุกๆท่านที่ได้รับไป ได้ให้สัญญากับผมแล้ว

ท่านที่ได้พระสมเด็จ Tott 4 หากห้อยได้ ให้นำไปห้อยกันนะครับ

วันนี้ ผมได้นำพระพิมพ์ ...... เนื้อ....... และ เนื้อ........ ไปให้ทุกๆท่านที่ไปในวันนี้ ได้ชมองค์จริงๆกัน (ผมได้ส่งรูปให้กับท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้าแล้ว) ตกลงว่า ดีป่าวครับ แรงป่าวครับ อิอิ และผมได้มอบให้กับท่านเจ้าของไปบางส่วนแล้ว ยังเหลืออีก 2 ท่านไว้ผมจะมอบให้ในวาระต่อไป (ผมจะโทร.ไปหานะครับ)

วันนี้ มีโอกาสได้เห็นเหล็กไหลวรรณะสีทอง ดูภายนอกเหมือนกับก้อนทองคำ ต้องยอมรับว่า สวยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

จะถ่ายรูปมาให้ชม ปรากฎว่า ผมทำกล้องตก ทำให้เลนส์เสียหาย ก็เลยไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ชมครับ

ในตอนเช้า ผมได้นำเงินที่หลายๆท่าน ได้ร่วมทำบุญสร้างพระพุทธรูป ปางจักรพรรดิ ไปมอบให้.... เรียบร้อยแล้ว

ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยครับ

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2232.html

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ เมษายน 05, 2011, 09:54:28 pm
 :13: อนุโมทนาครับพี่หนุ่ม
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 05, 2011, 10:39:03 pm
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong อ่านข้อความ
ช่วยภัยน้ำท่วม มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปัมภ์



วิธีการเงินโดยเสด็จพระราชกุศล
สมทบทุนมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์
การโอนเข้าบัญชี(ประเภทออมทรัพย์)
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาย่อย สำนักพระราชวัง (สนามเสือป่า)
ชื่อบัญชี มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ เลขที่บัญชี 401-636319-9

ธนาคารทหารไทย สาขาย่อย สำนักพระราชวัง(สนามเสือป่า)
ชื่อบัญชี มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ เลขที่บัญชี 046-2-44777-2
(กรุณาส่งสำเนาใบนำฝาก พร้อมแจ้งชื่อ ที่อยู่ ที่จะออกใบเสร็จของท่าน มาทางโทรสารหรือจดหมาย ภายใน 15 วัน)

การส่งเช็คธนาคาร ตั๋วแลกเงิน หรือธนาณัติ
สั่งจ่าย ในนามมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ
ปณ.พลับพลาไชย 10100 หรือ ปณ. จิตรลดา 10303
พร้อมแจ้งชื่อที่อยู่ที่จะออกใบเสร็จของท่านแล้วส่งไปที่
มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์
ตู้ ปณ.22 พลับพลาไชย กรุงเทพมหานคร 10100

***********************************

สร้างกุศลร่วมกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครับ

สามารถติดตาม กำหนดการช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้ที่
มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์

ครับผม



http://www.dhammathai.org/webboard/dbview.php?No=1522


อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong อ่านข้อความ
มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1435543&stc=1&d=1301969799)

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1435544&stc=1&d=1301969799)


พระราชทานกำเนิดมูลนิธิ เมื่อได้ช่วยเหลือประชาชนในระยะแรกแล้ว ยังเหลือเงินอีกสามล้านบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริว่า เงินสามล้านบาทนี้ ควรตั้งเป็นทุนเพื่อหาดอกผลสำหรับสงเคราะห์เด็ก ซึ่งครอบครัวต้องประสบวาตภัยภาคใต้ และขาดผู้อุปการะเลี้ยงดูประการหนึ่งและสำหรับสงเคราะห์ช่วยเหลือราษฎรผู้ ประสบสาธารณภัยทั่วประเทศอีกประการหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงพระราชทานเงินสามล้านบาท ให้เป็นทุนประเดิมก่อตั้งมูลนิธิ และพระราชทานนามว่า “มูลนิธิราชประชานุเคราะห์” และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อยู่ใน “พระบรมราชูปถัมภ์” กับทรงดำรงตำแหน่ง พระบรมราชูปถัมภกแห่งมูลนิธินี้ด้วย ชื่อของมูลนิธินี้หมายความว่า “พระราชา” และ “ประชาชน” อนุเคราะห์ซึ่งกันและกัน เป็นการแสดงน้ำพระทัยว่า เวลาทำงานควรจะได้ให้ประชาชนมีส่วนร่วมด้วย

มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงได้ก่อกำเนิดขึ้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ ทรงมีต่อพสกนิกรของพระองค์โดยได้ทรงมีพระราชดำริว่าภัยธรรมชาติหรือสาธารณ ภัยอาจเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ ไม่มีผู้ใดจะคาดหมายได้ดังที่ได้เกิดขึ้นที่แหลมตะลุมพุกนครศรีธรรมราช และหลายจังหวัดภาคใต้

มูลนิธิฯ ได้ทุนดำเนินงานจากเงินพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทาน เงินอุดหนุนจากรัฐบาล จากผู้ที่มีจิตศรัทธาบริจาค จากทรัพย์สินซึ่งมีผู้ยกให้ และจากดอกผลอันเกิดจากทรัพย์สินอันเป็นทุนของมูลนิธิฯ

การใช้จ่ายเงินของมูลนิธิฯ อยู่ภายใต้ระเบียบข้อบังคับ ซึ่งมีการควบคุม ตรวจสอบอย่างรอบคอบ การดำเนินงานยึดมั่นในพระบรมราโชบาย “...ให้ไปให้ความอบอุ่นไปช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยฉับพลัน ทำให้ผู้ประสบภัยได้รับการช่วยเหลือ มีกำลังใจที่จะปฏิบัติงานต่อไป...”

“...การช่วยเหลือผู้ประสบภัยนั้นจะต้องช่วยในระยะสั้นหมายความว่า เป็นเวลาที่ฉุกเฉินต้องช่วยโดยเร็ว และต่อไปก็จะต้องช่วยให้ต่อเนื่อง...ส่วนเรื่องการช่วยเหลือในระยะยาวก็มี ความจำเป็นเหมือนกัน... เป็นผลว่าเขาได้รับการดูแลเหลียวแลมาจนกระทั่งได้รับการศึกษาที่สามารถทำมา หากินได้โดยสุจริตและโดยมีประสิทธิภาพ เป็นพลเมืองดีของประเทศชาติ...”

คณะกรรมการบริหารได้มอบหมายหน้าที่ให้กรรมการช่วยปฏิบัติงาน แบ่งออกเป็น ๖ ฝ่าย คือ ฝ่ายหาทุน ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ฝ่ายบรรเทาทุกข์ ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ ฝ่ายการศึกษาสงเคราะห์ และฝ่ายฝึกอบรม คณะกรรมการเจ้าหน้าที่ และอาสาสมัครต่างๆ ได้เสียสละเวลา กำลังกาย กำลังทรัพย์ ดำเนินตามพระบรมราโชบายตามเบื้องพระยุคลบาท ออกช่วยเหลือสงเคราะห์ประชาชน ผู้ทุกข์ยากเดือดร้อนทั่วราชอาณาจักร ยังสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพสกนิกรทั้งใกล้ไกล ที่ได้ทรงห่วงใยเอื้ออาทรอย่างใกล้ชิด ซึ่งจะสนิทแน่นอยู่ในดวงกมลของคนไทยต่อไป


วัตถุประสงค์ :

1. เพื่อให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ
2. เพื่อให้การสงเคราะห์ด้านการศึกษา

2.1 ทุนการศึกษาแก่นักเรียนที่เรียนดีเยี่ยมในโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ และเด็กกำพร้า หรืออนาถา ที่ครอบครัวประสบสาธารณภัย
2.2 บูรณะ ซ่อมแซม ปรับปรุง โรงเรียนราชประชานุเคราะห์

3. เพื่อให้มีการป้องกันสาธารณภัยที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ
4. เพื่อให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือเป็นส่วนรวมแก่ประชาชนที่ได้รับความทุกข์ยาก เดือดร้อนประการ อื่น ซึ่งคณะกรรมการบริหารพิจารณาเห็นสมควร และได้รับความเห็นชอบจากนายกมูลนิธิฯ
กิจกรรมมูลนิธิ :

1. มอบทุนพระราชทานการศึกษาสงเคราะห์ต่อเนื่องแก่นักเรียนกำพร้าที่ครอบครับประสบธารณภัยต่าง ๆ
2. ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการสร้างโรงเรียนที่ประสบสาธารณภัย และสร้างโรงเรียนให้สำหรับบุตรหลานที่ประสบภัยในจังหวัดต่าง ๆ
3. สงเคราะห์ผู้ประสบสาธารณภัยกรณีต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวม 1,258,822 ครอบครัว จำนวน 6,630,412 คน มอบสิ่งของพระราชทานแก่ผู้ประสบสาธารณภัยตามแผนปฏิบัติงานร่วมกันที่ ตกลงไว้กับกรมประชาสงเคราะห์ ได้แก่ เครื่องครัว เครื่องนอน วัสดุซ่อมแซมบ้าน ข้าวสาร อาหารแห้ง เครื่องใช้ ที่จำเป็นสำหรับครอบครัว ทุนพระราชทานการศึกษาสงเคราะห์ และความเดือนร้อนประการอื่น



http://www.rajaprajanugroh.org/intro.aspx

-------------------------------------------------------

.
สำหรับงานบุญในวันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน 2554 ที่ผมอัญเชิญพระพุทธรูป หน้าตัก 12 นิ้ว จำนวน 3 องค์( เชียงแสน , สุโขทัย และอู่ทอง) ที่ท่านเจ้าสัวน้อย ฝากถวายวัด โดยผมฝากให้พี่เปี๊ยก เป็นผู้ที่อัญเชิญไปถวายวัดที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

มีผู้ร่วมทำบุญในงานบุญนี้

1.ท่านเจ้าสัวใหญ่ และครอบครัว
2.คุณธวัช และครอบครัว
3.คุณกุ้งมังกอนและครอบครัว
4.คุณปฐมและครอบครัว
5.ผมและครอบครัว

เงินที่ร่วมทำบุญในการถวายพระพุทธรูป หน้าตัก 12 นิ้ว จำนวน 3 องค์( เชียงแสน , สุโขทัย และอู่ทอง) ท่านเจ้าสัวน้อยแจ้งมาว่า ให้ผมดำเนินการทำบุญช่วยเหลือชาวภาคใต้ที่ประสบอุทกภัย ผมจะดำเนินการโอนเงินเข้ามูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เราจะร่วมทำบุญกับในหลวงกันครับ

ทำบุญเรื่องเดียว ได้หลายต่อ แบบนี้ชอบมากที่สุดครับ

โมทนาในทุกบุญกับทุกๆท่านครับ

ร่วมกันสะสมแต้ม(กรรมดี)กันครับ

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 05, 2011, 10:40:04 pm
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1435543&stc=1&d=1301969799)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 05, 2011, 10:40:54 pm
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1435544&stc=1&d=1301969799)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 09, 2011, 09:08:23 pm
วันพรุ่งนี้ ผมจะนำพระพิมพ์ จำนวน 2 กล่องสเตนเลส ไปมอบให้พี่เปี๊ยก เพื่อนำไปบรรจุตามสถานที่ต่างๆ เช่น ใต้ฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ , ใต้ฐานชุกชี หรือพระเจดีย์ต่างๆ เป็นต้น

มาโมทนาบุญร่วมกับผมและคณะกันครับ

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2235.html#post4574906

.

http://board.palungjit.com/groups/%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%86-2139-page4.html#gmessage30392


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 02, 2011, 12:37:45 pm
นนี้, 10:33 AM      #44933
sithiphong
สมาชิก
 
sithiphong's Avatar
 
วันที่สมัคร: Dec 2005
สถานที่: ชมรมพระวังหน้า
ข้อความ: 40,504
พลังการให้คะแนน: 17025
sithiphong has a reputation beyond reputesithiphong has a reputation beyond reputesithiphong has a reputation beyond reputesithiphong has a reputation beyond reputesithiphong has a reputation beyond reputesithiphong has a reputation beyond reputesithiphong has a reputation beyond reputesithiphong has a reputation beyond reputesithiphong has a reputation beyond reputesithiphong has a reputation beyond reputesithiphong has a reputation beyond repute
   
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong อ่านข้อความ
.

ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 9 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 6 คน )    [ แนะนำเรื่องเด่น ]
sithiphong, อนัตตัง, ปฐม+



วันนี้จะได้เตรียมพระวังหน้า จัดส่งให้กับทั้ง 4 ท่านครับ



.
เดี๋ยวจะลืม

สำหรับพระพิมพ์สมเด็จที่ผมส่งให้นั้น เป็นพิมพ์คะแนนร้อย เนื้อผงยาจินดามณี หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร 5 พระองค์ อธิษฐานจิต (คุณอนัตตัง , คุณs@n16 , และคุณซื้งบน)

ส่วนพระปิดตาวังหน้า 2 หน้า สีดำ เป็นพระปิดตาของวังหน้า หลวงปู่อิเกสาโร อธิษฐานจิต

สำหรับคุณLee_bangkok จะได้พิมพ์หลวงปู่ทวด (สร้างสมัยรัชกาลที่ 5) 1องค์ และพิมพ์พระปิดตาวังหน้า 2 หน้า สีดำ 1 องค์

สำหรับคุณอนัตตัง ที่ร่วมทำบุญมา 3 ครั้ง อีก 3 องค์จะเป็นพิมพ์พระสมเด็จ (รักสมุ หรือ รักพม่า สีน้ำเงิน) สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี อธิษฐานจิต , พิมพ์พระปิดตาวังหน้า 2 หน้า สีขาว หลวงปู่อิเกสาโร อธิษฐานจิต และ พิมพ์ต้นรังคู่ เนื้อกรมท่า หลวงปู่อิเกสาโร อธิษฐานจิต ครับ

ส่วนค่าจัดส่ง คุณเฉลิมพล ได้มอบเงินมาให้ผม ผมจะนำเงิน(บางส่วน)ของคุณเฉลิมพล , น้องปฐม ได้มอบเงินมาให้ผม ผมจะนำเงิน(บางส่วน)ของน้องปฐม และเงินของผม เป็นค่าจัดส่งให้ครับ

รายละเอียดตามนี้ครับ

1.คุณอนัตตัง

1.1 พระสมเด็จ พิมพ์คะแนนร้อย เนื้อผงยาจินดามณี 1 องค์ หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร 5 พระองค์ อธิษฐานจิต

1.2 พระปิดตาวังหน้า 2 หน้า สีดำ เป็นพระปิดตาของวังหน้า 1 องค์ หลวงปู่อิเกสาโร อธิษฐานจิต

1.3 พิมพ์พระสมเด็จ (รักสมุ หรือ รักพม่า สีน้ำเงิน) 1 องค์ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี อธิษฐานจิต

1.4 พิมพ์พระปิดตาวังหน้า 2 หน้า สีขาว 1 องค์ หลวงปู่อิเกสาโร อธิษฐานจิต

1.5 พิมพ์ต้นรังคู่ เนื้อกรมท่า 1 องค์ หลวงปู่อิเกสาโร อธิษฐานจิต ครับ

2.คุณLee_bangkok

2.1 พิมพ์หลวงปู่ทวด (สร้างสมัยรัชกาลที่ 5) 1องค์

2.2 พิมพ์พระปิดตาวังหน้า 2 หน้า สีดำ 1 องค์ หลวงปู่อิเกสาโร อธิษฐานจิต

3.คุณs@n16

3.1 พระสมเด็จ พิมพ์คะแนนร้อย เนื้อผงยาจินดามณี 1 องค์ หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร 5 พระองค์ อธิษฐานจิต

3.2 พระปิดตาวังหน้า 2 หน้า สีดำ เป็นพระปิดตาของวังหน้า 1 องค์ หลวงปู่อิเกสาโร อธิษฐานจิต

4.คุณซื้งบน

4.1 พระสมเด็จ พิมพ์คะแนนร้อย เนื้อผงยาจินดามณี 1 องค์ หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร 5 พระองค์ อธิษฐานจิต

4.2 พระปิดตาวังหน้า 2 หน้า สีดำ เป็นพระปิดตาของวังหน้า 1 องค์ หลวงปู่อิเกสาโร อธิษฐานจิต


โมทนาบุญกับทุกๆท่านทุกๆประการ

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 02, 2011, 12:38:31 pm
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ปฐม อ่านข้อความ
โมทนาบุญทุกประการครับผม ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงามจริงดังโบราณว่าไว้จริง ๆ


sithiphong

รู้สึกผิด ที่ส่งให้ช้ามากๆๆๆๆ

ตอนนี้ กำลังจัดเตรียมส่งพระวังหน้าให้ท่านน้องปฐม ไม่น่าจะน้อยกว่า 1,000 องค์ จะฝากท่านน้องปฐมไปถวายพระภิกษุทางภาคใต้ ซึ่งก็แล้วแต่ท่านจะนำไปทำอะไรสุดแล้วแต่ท่านนะครับ ท่านน้องปฐม

พี่จัดเตรียม พระสมเด็จ Tott 1 และ พระสมเด็จ Tott 4 ส่งให้ด้วย

พี่อนุญาตท่านน้องปฐม หากว่าท่านน้องปฐม ต้องการพิมพ์ไหน จำนวนเท่าไหร่ สามารถเก็บไว้ได้เท่าที่้ต้องการนะครับ

เพื่อเป็นกำลังใจที่เราช่วยพี่ในงานบุญถวายพระวังหน้า

และพี่เองก็รบกวนเวลา กำลังกาย กำลังใจ และเงิน ที่ท่านน้องปฐมเสียสละในงานบุญนี้ครับ

โมทนาบุญกับท่านน้องปฐมในทุกๆบุญครับ
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 02, 2011, 12:39:15 pm
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong อ่านข้อความ
รู้สึกผิด ที่ส่งให้ช้ามากๆๆๆๆ

ตอนนี้ กำลังจัดเตรียมส่งพระวังหน้าให้ท่านน้องปฐม ไม่น่าจะน้อยกว่า 1,000 องค์ จะฝากท่านน้องปฐมไปถวายพระภิกษุทางภาคใต้ ซึ่งก็แล้วแต่ท่านจะนำไปทำอะไรสุดแล้วแต่ท่านนะครับ ท่านน้องปฐม

พี่จัดเตรียม พระสมเด็จ Tott 1 และ พระสมเด็จ Tott 4 ส่งให้ด้วย

พี่อนุญาตท่านน้องปฐม หากว่าท่านน้องปฐม ต้องการพิมพ์ไหน จำนวนเท่าไหร่ สามารถเก็บไว้ได้เท่าที่้ต้องการนะครับ

เพื่อเป็นกำลังใจที่เราช่วยพี่ในงานบุญถวายพระวังหน้า

และพี่เองก็รบกวนเวลา กำลังกาย กำลังใจ และเงิน ที่ท่านน้องปฐมเสียสละในงานบุญนี้ครับ

โมทนาบุญกับท่านน้องปฐมในทุกๆบุญครับ
.

-----------------------

ปฐมตอบ

อย่าใช้คำว่ารบกวนครับพี่ท่าน ต้องใช้คำว่าพี่ท่านให้โอกาสผมในการสร้างบุญกุศลมากกว่านะครับ สำหรับผมคิดว่ายากที่เราจะได้เอาพระวังหน้าไปถวายพระภิกษุสงฆ์ มันทำให้ผมอิ่มใจทุกครั้งที่เห็นครูบาอาจารย์ท่านยิ้มน้อยๆ ตอนเราไปถวาย และยังไม่รวมกับคำพูดที่ท่านพูดถึงพระที่นำมาถวาย ทำให้ผมอิ่มใจในบุญทุกครั้งที่ได้กระทำ ทำให้ในชิวีตที่ผ่านไปวันๆโดยไม่มีไรให้น่าจดจำ พอเราเอาพระไปถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ทำให้เป็นวันที่น่าจดจำและได้บันทึกไว้ในจิตในด้านกุศลที่ดี ผมจึงเข้าใจที่พี่ท่านพูดว่าให้ทำเก็บแต้มในด้านดี สำหรับผมคิดว่าพี่ๆทุกๆท่านในชมรมได้ให้โอกาสผมทำบุญกุศลมากกว่า ผมจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดนะครับเท่าที่ผมจะทำได้ ขอบพระคุณพี่ๆทุกท่านเสมอมาครับ

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2247.html

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 02, 2011, 01:51:31 pm
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong อ่านข้อความ
รู้สึกผิด ที่ส่งให้ช้ามากๆๆๆๆ

ตอนนี้ กำลังจัดเตรียมส่งพระวังหน้าให้ท่านน้องปฐม ไม่น่าจะน้อยกว่า 1,000 องค์ จะฝากท่านน้องปฐมไปถวายพระภิกษุทางภาคใต้ ซึ่งก็แล้วแต่ท่านจะนำไปทำอะไรสุดแล้วแต่ท่านนะครับ ท่านน้องปฐม

พี่จัดเตรียม พระสมเด็จ Tott 1 และ พระสมเด็จ Tott 4 ส่งให้ด้วย

พี่อนุญาตท่านน้องปฐม หากว่าท่านน้องปฐม ต้องการพิมพ์ไหน จำนวนเท่าไหร่ สามารถเก็บไว้ได้เท่าที่้ต้องการนะครับ

เพื่อเป็นกำลังใจที่เราช่วยพี่ในงานบุญถวายพระวังหน้า

และพี่เองก็รบกวนเวลา กำลังกาย กำลังใจ และเงิน ที่ท่านน้องปฐมเสียสละในงานบุญนี้ครับ

โมทนาบุญกับท่านน้องปฐมในทุกๆบุญครับ


----------------------------------------


.
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ปฐม อ่านข้อความ
อย่าใช้คำว่ารบกวนครับพี่ท่าน ต้องใช้คำว่าพี่ท่านให้โอกาสผมในการสร้างบุญกุศลมากกว่านะครับ สำหรับผมคิดว่ายากที่เราจะได้เอาพระวังหน้าไปถวายพระภิกษุสงฆ์ มันทำให้ผมอิ่มใจทุกครั้งที่เห็นครูบาอาจารย์ท่านยิ้มน้อยๆ ตอนเราไปถวาย และยังไม่รวมกับคำพูดที่ท่านพูดถึงพระที่นำมาถวาย ทำให้ผมอิ่มใจในบุญทุกครั้งที่ได้กระทำ ทำให้ในชิวีตที่ผ่านไปวันๆโดยไม่มีไรให้น่าจดจำ พอเราเอาพระไปถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ทำให้เป็นวันที่น่าจดจำและได้บันทึกไว้ใน จิตในด้านกุศลที่ดี ผมจึงเข้าใจที่พี่ท่านพูดว่าให้ทำเก็บแต้มในด้านดี สำหรับผมคิดว่าพี่ๆทุกๆท่านในชมรมได้ให้โอกาสผมทำบุญกุศลมากกว่า ผมจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดนะครับเท่าที่ผมจะทำได้ ขอบพระคุณพี่ๆทุกท่านเสมอมาครับ

----------------------------------------


อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong อ่านข้อความ
สำหรับพระวังหน้า ที่พี่มอบให้น้องปฐม (เดี๋ยวลืม) มีดังนี้ครับ

1.พระวังหน้า(อยุธยา) ซุ้มไทรย้อย ที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร 3 องค์(หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า , หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า และ หลวงปู่พระมูนียะเถระเ้จ้า) อธิษฐานจิต

2.ลูกแก้ว (ไว้ในการทำสมาธิ) หลวงปู่เครา วัดถ้ำระฆังทองเือือมระอาศรัทธาธรรม

3.พระปิดตา (หลวงปู่อิเกสาโร และ กลุ่มหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่) อธิษฐานจิต หากเป็นพิมพ์พระปิดตาหลวงพ่อแก้ว องค์เล็กๆ หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ท่านอธิษฐานจิตด้วยนะครับ

4.พิมพ์หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน มีทั้งเนื้อปูนเพชร , เนื้อใบลาน และ เนื้อทองเหลือง

5.พระสมเด็จ พิมพ์พระประธาน

6.พระปิดตาวังหน้า 2 หน้า เนื้อขาว

7.พิมพ์ต้นรังคู่ เนื้อกรมท่า ลงรักจีน สีแดง

ส่วนที่พี่มอบให้นั้น หากเราจะนำไปถวายพระภิกษุหรือมอบให้ใคร แล้วแต่น้องปฐมนะครับ

ส่วนพิมพ์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นองค์ไหน หากเห็นแล้วชอบ พี่อนุญาตให้หยิบได้เลยนะครับ เพื่อเห็นกำลังใจในการทำความดีครับ

สะสมแต้ม(กรรมดี)ไว้นะครับ เรื่องนี้ไม่มีใครแย่งเราไปได้ ใครทำอะไร ต้องได้เช่นนั้น

ปลูกข้าว ต้องได้ต้นข้าว ไม่เคยมีที่ปลูกข้าวแล้วต้นที่โตเป็นมะม่วง หรือ ต้นไม้ประเภทอื่น

ใครทำใครได้ ใครกินใครอิ่ม (เป็นคำสอนที่พี่ใหญ่สอนพี่มา)

โมทนาบุญทุกประการครับ


.
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong อ่านข้อความ



พี่ส่งเบี้ยแก้ (บุทอง 2 ตัว และ ลงรัก 4 ตัว) ถวายพระภิกษุด้วยนะครับ


จะได้เป็นสิ่งที่ช่วยท่านในหลายๆเรื่องครับ


สำหรับท่านผู้อ่าน

ท่านเลือกเองว่า พระวังหน้า ที่แก๊งบัวใต้น้ำบอกว่า เก๊ , ปลอม , ไม่มีในสารบบการซื้อขายพระของเมืองไทย หรือ คำพูด(โพส)ในลักษณะแบบนี้ ว่า พระวังหน้า มีจริงหรือไม่ อย่างไร ส่วนกรรมที่ปรามาสพระวังหน้า ผู้ที่กระทำกรรม ต้องได้รับผลกรรมเอง ผมไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวข้องอีก เทพเทวาที่ท่านมีหน้าที่นี้ ท่านทำหน้าที่ของท่านเอง ผมไม่เข้าไปแย่งงานท่านทำ ผมมาทำงานบุญ สะสมแต้ม(บุญ) เปลี่ยนพระวังหน้าให้เป็นอริยทรัพย์ ดีที่สุด อริยทรัพย์ที่ผมได้ ไม่มีใครที่สามารถแย่งผมไปได้ครับ

ผม , สมาชิกชมรมพระวังหน้า และ พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ที่ผมรู้จักหลายๆท่าน ห้อยแต่พระวังหน้า ครับ

ส่วนพระวังหน้า ดีอย่างไร ผมคงไม่มาบอกอีก เนื่องจากได้บอกในกระูทู้พระวังหน้ามามากแล้ว สำหรับท่านที่มีพระวังหน้า ท่านต้องพิสูจน์เองว่า ดีหรือไม่ ลองห้อยเดี่ยวดู แต่การเลี่ยมต้องเจาะรูที่พลาสติกด้วยครับ

ทำไมถึงต้องเจาะรูที่พลาสติก เรื่องนี้ผมก็ได้เคยอธิบายในกระทู้พระวังหน้าแล้วเช่นกัน

โมทนาสาธุครับ

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 03, 2011, 06:02:06 am
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ปฐม อ่านข้อความ
ขอบพระคุณพี่หนุ่มที่เมตตาน้องอย่างผมเสมอมา ขอน้อมรับคำแนะนำดีๆที่มีให้ผมเสมอมานะครับ โมทนาบุญทุกประการครับพี่ท่าน
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ปฐม อ่านข้อความ
รับทราบครับพี่ท่านผมจะทำตามเจตนาของพี่ท่านครับผม โมทนาในกุศลจิตนะครับพี่หนุ่ม


sithiphong ตอบ
กลับมาถึง ก็มาเตรียมพระที่จะถวายพระภิกษุ

1.พระกริ่งปวเรศ เนื้อสเตอร์ริงซิลเวอร์ จำนวน 5 องค์

2.น้ำประสาน จำนวน 6 เม็ด (หากน้องปฐมต้องการเม็ดไหน ก็ให้เก็บไว้ได้เลยครับ พี่อนุญาต)

3.พิมพ์หลวงปู่ทวด เนื้อว่าน สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 จำนวน 9 องค์ (หากน้องปฐม ต้องการองค์ไหน ก็ให้เก็บไว้ได้เลย พี่อนุญาต)

4.องค์มัจจุราช พี่มอบให้น้องปฐม ตามสัญญาครับ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 05, 2011, 02:30:00 pm
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong 
เมื่อสักพักนี้ ได้ไปส่งพระวังหน้า ให้กับท่านน้องปฐม เรียบร้อยแล้ว

มีจำนวน 3 กล่อง

กล่องแรก น้ำหนัก 6.538 กก.
ค่าจัดส่ง 216.-บาท

กล่องที่สอง น้ำหนัก 1.926 กก.
ค่าจัดส่ง 86.-บาท

กล่องที่ 3 น้ำหนัก 1.960 กก.
ค่าจัดส่ง 86.-บาท

ค่าจัดส่ง รวม 388.-บาท
ผู้ที่จ่ายเงินค่าจัดส่ง
1.ท่านน้องปฐม 156.-บาท
2.คุณเฉลิมพล 56.-บาท
3.sithiphong 176.-บาท

ถึงในวันพรุ่งนี้ตอนบ่ายครับ

พี่ใช้บริการ การจ้ดส่งไปรษณีย์เอกชน (เจ้าเดิม) ครับ

รายละเอียด พี่จะแจ้งให้ทราบทาง Email ครับ

โมทนาบุญทุกประการครับ


.

เรียน ท่านประธานชมรมพระวังหน้า
ท่านรองประธานชมรมพระวังหน้า
ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า
และท่านผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้า

ผมได้ส่งรายละเอียด ในเรื่องของพระวังหน้า ที่ได้ส่งให้กับน้องปฐม ไปให้ทุกๆท่านทราบ ทาง Email เรียบร้อยแล้ว

โมทนาสาธุครับ

http://board.palungjit.com/f179/พระวังหน้า-ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้-22445-2251.html

.

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 06, 2011, 10:53:25 pm
เรียน ท่านประธานชมรมพระวังหน้า , ท่านรองประธานชมรมพระวังหน้า , ท่านผู้ช่วยเลขานุการชมรมพระวังหน้า , ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า และ ท่านผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้า ทุกๆท่าน

ผมได้ไปสั่งกล่องสเตนเลส มาเรียบร้อยแล้ว ตามรายละเอียดดังนี้

กล่องสเตนเลส (ความหนาของแผ่นสเตนเลส 2 มิลลิเมตร)
No.   กว้าง (นิ้ว)   ยาว (นิ้ว)   สูง (นิ้ว)   จำนวน   ราคา   จำนวนเงิน   การบรรจุ
1.   12   12   12   1   5,000.00   5,000.00   พระบูชา 7" (อู่ทอง) 1 องค์ และพระวังหน้า
2.   12   12   15   1   5,500.00   5,500.00   พระบูชา 9" (ทรงเครื่อง) 1 องค์ และพระวังหน้า
3.   12   12   18   1   6,000.00   6,000.00   พระลีลาประทานพร 1 องค์ และพระวังหน้า
4.   12   12   10   5   4,500.00   22,500.00   พระวังหน้า
         รวม   8      39,000.00   




เรียนมาเพื่อทราบกัน รายละเอียดเบื้องต้น ผมแจ้งให้ทุกๆท่านทราบทาง Email แล้วครับ

หากมีรายละเอียดอื่นๆ ผมจะแจ้งให้ทราบทาง Email อีกครั้งครับ

โมทนาสาธุครับ

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 06, 2011, 10:54:20 pm
จาก pm ของผม

Private Message: แ
วันนี้, 05:32 PM    
ศาสดาเอก
สมาชิก



วันที่สมัคร: Jul 2010
ข้อความ: 620
พลังการให้คะแนน: 127


   



ถ้าข้าพเจ้าอยากได้พระสมเด็จวังหน้สพิมพ์เจ้าคุณกรมท่า
ขอแลกเปลี่ยนจะได้หรือไม่คราบ
ผมโดนหรอกมาเยอะแล้วกับสมเด็จวังหน้านะคราบ
ขอแลกเปลี่ยสมเด็จ เปลี่ยนกับตะกรุดหลวงพ่อแพปี26กับผมได้ไหมคราบ
ตอบด่วนๆครับ




-------------------------------------

sithiphong


ขอไปตอบในกระทู้พระวังหน้าฯครับ


พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2252.html

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 06, 2011, 10:54:58 pm
เรียน คุณศาสดาเอก

หากต้องการพระสมเด็จ เจ้าคุณกรมท่า ผมให้ร่วมทำบุญดังนี้ครับ

1. ร่วมในงานบุญทุกอย่างที่เกี่ยวกับงานพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง
ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ บมจ.ธ.กรุง ไทย สาขาลาดพร้าว102 บช.ออมทรัพย์เลขที่1890-13128-8 บัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ

หรือ

2.ร่วมในงานบุญทุกอย่างของ สนส.บ่อเงินบ่อทอง
ขอความเมตตาช่วยต่อชีวิตพระเณรบช.ออมทรัพย์ 2030-06304-5 บัญชี รร.พระปริยัติธรรมบ่อเงินบ่อทองบมจ.ธ.กรุงไทย สาขาพนมสารคาม

หรือ

3.ร่วมทำบุญกับสภากาชาดไทย , มูลนิธิชัยพัฒนา หรือ มูลนิธิพระดาบส

โดยทำบุญจำนวน 500 บาท ผมมอบพระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่าให้ 1 องค์ โดยผมไม่ลงรูปในเว็บ

เมื่อทำบุญแล้ว ให้ลงรูปสลิปการโอนเงินร่วมทำบุญลงในกระทู้พระวังหน้าฯนี้

แล้วส่ง ชื่อ - นามสกุล และที่อยู่ให้ผมทาง pm ผมจะจัดส่งพระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่าให้

ส่วนการแลกเปลี่ยน ผมไม่เคยแลกเปลี่ยนพระวังหน้า กับพระเครื่องต่างๆครับ

การร่วมทำบุญเืพื่อรับพระวังหน้าในกระทู้พระวังหน้าฯและกระทู้ที่sithiphong ได้ตั้งขึ้นเพื่องานบุญทุกๆงาน

หมายเหตุ 1 ผมไม่ถ่ายรูปพระพิมพ์ลงในเว็บครับ

หมายเหตุ พระ พิมพ์(พระเครื่อง)ที่ผมจะมอบให้เพื่อเป็นพุทธานุสติและเพื่อบูชานั้น เป็นพระพิมพ์(พระเครื่อง)ที่ไม่สามารถนำไปซื้อขายในวงการพระเครื่องไทย(วง การซื้อ-ขายพระ) ได้ หากท่านต้องการพระพิมพ์(พระเครื่องที่สามารถนำไปซื้อขายในวงการพระเครื่อง ของเมืองไทย (วงการซื้อ-ขายพระ) ก็ไม่ต้องร่วมทำบุญและรับพระพิมพ์(พระเครื่อง)ไป

แต่ พระพิมพ์(พระเครื่อง) ที่ผมมอบให้นั้น เป็นพระพิมพ์(พระเครื่อง) ที่สร้างขึ้นที่วังหน้า โดยกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ มีพระบัณฑูรให้สร้างขึ้น โดยช่างสิบหมู่แห่งวังหน้าเป็นผู้สร้าง และนำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงที่วัดบวรสถานสุทธาวาส (พระอุโบสถประจำวังหน้า) มีการอาราธนาคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) และ หรือ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และ หรือ กลุ่มหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ (เช่น หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน , หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า , หลวงปู่ภู วัดอินทรวิหาร , หลวงปู่กรมพระยาปวเรศ เป็นต้น) อธิษฐานจิต ระหว่างปี พ.ศ.2400- 2428 หรือ พระที่สร้างขึ้นที่วังหลวง นำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงที่ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว) ปี พ.ศ.2429-2434

แต่ หากจะนำไปเพื่อเป็นพุทธานุสติ และหรือการห้อยคอเพื่อคุ้มครองตนเอง และหรือการบูชาต่างๆ เพื่อเป็นการบูชาพระคุณองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามกุกุกสันโธ ,องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม สมณโคดม ,หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ,สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ( การบูชาพระคุณพระสิวลีเถระเจ้า ,พระอนุรุธเถระเจ้า ,พระอุปคุตเถระเจ้า เนื่องจากการนำเข้าพิธีพุทธาภิเษกเพิ่มเติม) ,การบูชาพระคุณองค์พระมหากษัตริย์ไทยทุกๆพระองค์ ,พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ,องค์อุปราชวังหน้า รัตนโกสินทร์ทุกๆพระองค์ และทั้งช่างสิบหมู่แห่งวังหน้า ,วังหลวง ,วังหลัง ,ช่างราษฎร์ทุกๆท่านและเทพเทวาทั้ง 16 ชั้นฟ้าและที่อยู่ในองค์พระพิมพ์(พระเครื่อง)ครับ

ซึ่ง เรื่องที่ผมได้บอกนั้น เป็นความเชื่อ ,ความเห็นของผม รวมทั้งคณะของผม ซึ่งก็แล้วแต่ท่านผู้ร่วมทำบุญและท่านผู้อ่านทุกๆท่าน จะมีความคิดเห็นอย่างไร ก็สุดแล้วแต่ครับ

โมทนาบุญทุกประการกับทุกๆท่านครับ



.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ พฤษภาคม 09, 2011, 01:27:50 am
อนุโมทนาครับพี่หนุ่ม
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 14, 2011, 09:11:15 pm
คำบูชาพระบรมสารีริกธาตุ
นโม   ๓   จบ

อะหัง   วันทามิ   อะธะ   ปะติฏฐิตา   พุทธะธาตุโย   ตัสสานุภาเวนะ   สะทา   โสตถี   ภะวันตุ   เม.

   ข้าพเจ้า   ขอนอบน้อมนมัสการกราบไหว้   พระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า   ที่ประดิษฐานอยู่   ณ   ที่นี้   ด้วยอานุภาพแห่งกุศลผลบุญนี้   ขอให้ข้าพเจ้าประสพแต่ความสุขสวัสดีตลอดกาลทุกเมื่อเทอญ
คาถาบูชาพระปัจเจกพุทธเจ้า
สัพเพ ปัจเจกะสัมพุทธา นิโรธะฌานะโกวิทา นิราละยา นิราสังกา อัปปะเมยยา มะเหสะโย  ทูเรปิ วิเนยเย ทิสสะวา สัมปัตตา ตังขะเณนะ เต สันทิฏฐิกะผะเล กัตตะวา สะทา สันติง กะโรนตุ โน

การทำบุญประจำวัน

1.ให้อธิษฐานเลยว่าเดือนนี้จะทำบุญ(จำนวน......เช่น  30  บาท)  ตั้งเป็นสัจจะเอาไว้เลย

2.นำเหรียญ 1 หรือ 5 หรือ เหรียญ 10 ยกขึ้นมาอธิษฐาน ว่าข้าพเจ้าขอนำเงินที่ได้มาเหนื่อยยากนี้ เพื่อทำบุญ


1.ทำบุญที่เกี่ยวกับพระสงฆ์ในทุกกรณี

2..ทำบุญกับมูลนิธิที่เกี่ยวข้องกับในหลวงหรือพระเทพฯ

3.ชำระหนี้สงฆ์

4.ทำบุญเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และสัตว์


แล้วสวดต่อด้วย

“คาถาเรียกทรัพย์”   (หลวงพ่อปาน  วัดบางนมโค  อยุธยา)

พุทธะ มะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม"


------------------------------------------------------------------------------------------



คำบูชาพระสีวลี

อิมินา สักกาเรนะ สีวะลีเถรัง อะภิปูชะยามิ

เมื่อบูชาแล้วกำหนดภาวนาในใจว่า

สีวลี จะ มะหาเถโร อินโท พรัมมาจะ ปูชิตัง สัพพะลาภัง ประสิทธิเม เถรัสสะ อานุภาเวนะ สัพพะโสตถี ภะวันตุเม ฯ

***********************************************************************

พระคาถาพระอนุรุธเถรเจ้า

มัยหังปุตโต ปุญญะวากะตา
ภินิหาโร ภะวิสสะติ เทวะตะหิ ปาติง
ปูเรตวา ปูวาปะหิตา ภะวิสสะตีติ

***********************************************************************

คำบูชา พระอุปคุต

อุปะคุตโต จะ มะหาเถโร ยักขาเทวา นะระปูชิโต โสระโห ปัจจะ ยาทิมปิ มะหาลาภัง ภะวันตุเม ฯ

***********************************************************************

คำบูชาหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร

โลกุตตะโร ปัญจะ มะหาเถโร อะหัง วันทามิ ตัง สะทา เมตตาลาโภ นะโสมิยะ อะหะพุทโธ

***********************************************************************

สมเด็จพระพุฒาจารย์โต  พรหมรังสี

(เป็นบทลบผงของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี)

นะโมพุทธายะ    นะมะพะทะ     จะภะกะสะ     นะมะอะอุ     อิสวาสุ     อาปามะจุปะ    ทิมะสังอังขุ    สังวิธาปุกะยะปะ    สะธะวิปิปะสะอุ    อะสังวิสุโลปุสะพุภะ    นะมะนะอะ  นอ,กอ,นะ,กะ,กอ,ออ,นอ,อะ  นะอะกะอัง    อิติอะระหังพุทธัง    สรณังคัจฉามิ     อิติอะระหังธัมมังสรณังคัจฉามิ    อิติอะระหังสังฆังสรณังคัจฉามิ    ติติอุมิ    จิเจรุนิ    จิตตังเจตะสิกกัง    รูปังนิพพานัง    นามะรูปังทุกขัง    นามะรูปังอนิจจัง    นามะรูปังอนัตตา    อะยัง    อัตตะภาโว    อะสุจิ    อะสุภัง    อะระหังหรินัง    หัคตา    สัมมาสัมพุทโธ  พุทธสังมิ    มังคะลังโวเจติ    อิติอะระหัง    อะระหังพุทโธ    นะโมพุทธายะ 

สิทธิกิจจัง    สิทธิกัมมัง    สิทธิการิยะตะถาคะโต    สิทธิเตโชชะโยนิจจัง    สิทธิลาโภนิรันตะรัง    สัพพะกัมมังประสิทธิเม    สัพพะสิทธิภะวันตุเม 

**********************************************************************


คาถา โสฬส-สรตะ-จตุโรนำลาภ
นโม 3 จบ สวด 3-7 จบ

โสฬะสะมังคะลัญเจวะ นะวะ โลกุตตระ จัตตาโรมะ
หาทีปา ปัญจะพุทธามหามุนี เตปิฎะกาธัมมะขันธา
ฉะกามาวะจะราเทวา ปัญจะทะสะภาเวตัพพัง
ทะสะมังสีละเมวะจะ เตระสะธุตังคานิ ปาฏิหาริยัญจะทะวาทะสะ
เอกะเมรุ สุราอัฏฐะ ทะเวจันโท สุริโยตะถา สัตตาสัมโพฌังคาเจวะ
จะตุททะสะจักกะวัตติจะ เอกาทะสะวิสะณุราชา สัพพะเทวา
มังปาละยันตุ สัพพะทา เอเตนะมังคะละเตเชนะ
สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง สะทาโสตถิ ภะวันตุเม

(เมื่อสวดมนต์จบ ให้อธิษฐาน)

พระคาถากันเสื่อม  คือ        มะอะอุโสทายะ       3  ครั้ง 
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 14, 2011, 09:13:00 pm
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong อ่านข้อความ
.
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 7 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 5 คน )    [ แนะนำเรื่องเด่น ]
sithiphong, ปฐม+


สวัสดีตอนเช้า วันเสาร์สุขสันต์ครับ


.
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ปฐม อ่านข้อความ
สวัสดีครับพี่ท่าน เตรียมตัวเดินทางไปทำหน้าที่แล้วครับพี่ท่าน กลับมาแล้วจะรายงานรายละเอียดให้พี่ท่านทราบนะครับ
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong อ่านข้อความ
ขอให้เดินทางโดยปลอดภัยทุกประการ ไม่มีอุปสรรค ในการเดินทางและงานบุญ

โมทนาบุญทุกประการครับ

-------------------------------------------------------------------------

.
วันนี้ น้องปฐมได้เดินทางไปถวายพระวังหน้า(ที่ผมและสมาชิกชมรมพระวังหน้า ร่วมกันถวายและมอบให้น้องปฐมเป็นตัวแทนในการถวาย) แด่พระภิกษุ(ผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ) 3 วัด

ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่านในทุกๆบุญครับ

แอบมาบอก(บางส่วน)จากที่ผมได้คุยกับน้องปฐม พระำภิกษุท่านมีความปิติยินดี ในงานบุญนี้

ส่วนตัวผมเองได้ถวายพระสมเด็จTott 1 , พระสมเด็จTott 4 , พระกริ่งปวเรศ (เนื้อสเตอร์ริงซิลเวอร์ ปีพ.ศ.2434) และเบี้ยแก้(วังหน้า)

พระสมเด็จTott 1 , พระสมเด็จTott 4 ผมฝากให้น้องปฐมเลี่ยมใส่กรอบและติดแหนบถวายพระภิกษุ

ขอโมทนาบุญกับน้องปฐมที่เสียสละเวลา แรงกาย แรงใจ กำลังทรัพย์ ในงานบุญนี้

อย่างที่มีคำกล่าวของครูบาอาจารย์และคำโบราณที่ว่า ยิ่งทำยิ่งได้ ยิ่งให้ยิ่งมี เชื่อว่า น้องปฐม คงทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี

เงินทองของนอกกาย ใช้อย่างประหยัด ตามกำลังของตนเองที่หามาได้ แต่ก็ไม่สามารถนำติดตัวไปได้ ยกเว้น อริยทรัพย์(บุญ) ที่ติดตามตัวเราไปได้ทุกๆที่

โมทนาบุญทุกประการ

และขอเชิญทุกๆท่าน ร่วมโมทนาบุญในบุญนี้

รายละเอียดไว้น้องปฐมและผมจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

ส่วนรูปจริง พี่ขออนุญาตน้องปฐม ส่งให้กับสมาชิกชมรมพระวังหน้า โดยพี่ขอไม่ปิดหน้า หากรูปใดที่ลงเว็บ พี่ปิดหน้าพระภิกษุและหน้าเราครับ

โมทนาสาธุครับ


http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2258.html#post4709462

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 14, 2011, 11:11:09 pm
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ปฐม อ่านข้อความ
รายละเอียดและรูปในการถวายผมจะมาแจ้งให้ทราบอีกครั้งนะครับ วันนี้ผมและคณะได้ร่วมกันเป็นตัวแทนของชมรม ได้ไปถวายพระวังหน้า 3 วัด พระภิกษุทั้ง3วัด บอกตรงกันว่าพระวังหน้านี้ผู้ที่จะได้ครอบครองต้องมีวาสนาและบารมีครับ ผมได้เห็นรอยยิ้มของพระภิกษุทั้ง3ท่าน ที่ผมได้ไปถวายพระ รวมถึงประสบการณ์ของคณะผม บอกได้คำเดียวครับว่าปิติสุดๆ สุดยอดจริง ผมไม่สามารถที่จะบรรยายได้เป็นคำพูด มันเป็นความรู้สึกที่อยู่ในใจ ถ้าท่านได้ถวายท่านจะได้รับรู้ด้วยตัวของท่านเองครับ บุญใดในวันนี้ที่ผมและคณะได้เป็นตัวแทนของทางชมรมได้ไปถวายในวันนี้บุญกุศลส่งให้ผมและคณะมีความสุขเท่าใด ก็ขอให้คุณพี่หนุ่มและพี่ๆในชมรมทุกๆท่านมีความสุขมากกว่ากระผมหลายเท่า ส่วนสิ่งใดที่ผิดพลาดไปบ้างกระผมขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียวครับ
ขอขอบพระคุณพี่หนุ่มที่คอยสอนสั่งชี้แนะในสิ่งที่ถูกที่ควรมาตลอด ขอขอบพระคุณและโมทนาบุญทุกประการครับผม สาธุ
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ปฐม อ่านข้อความ
ขอโมทนากับพี่หนุ่มเป็นอย่างสูงครับผม ที่เสียสละของรักของหวง มาสร้างอริยะทรัพย์ มีพระท่านนึงบอกกับผมในวันนี้ว่า ยากนักที่จะหาคนที่เข้าใจและทำเช่นนี้ได้ ส่วนใหญ่จะติดวัตถุมงคลกันชะหมด ขอบพระคุณพี่ท่านที่คอยแนะนำในการสร้างอริยทัพย์และการมีวัตถุมงคลอย่างไม่มีความทุกข์ใจ และสอนให้รู้จักการใช้วัตถุมงคลมาสร้างบุญ เปลี่ยนจากวัตถุมงคลที่ติดกายได้แต่เพียงชาตินี้เท่านั้น มาเป็นบุญที่ติดตัวเราไปหลายภพหลายชาติ


sithiphong ตอบ

บรรพบุรุธ ท่านผู้ให้สร้าง ท่านผู้สร้าง และองค์ผู้อธิษฐานจิต ท่านสอนพี่มาแบบนี้

ครูบาอาจารย์พี่ก็สอนพี่มาแบบนี้ครับ

สั้นๆ ง่ายๆ แต่ได้ใจความ

ยิ่งทำยิ่งได้ ยิ่งให้ยิ่งมี

ใครทำอะไร ต้องได้เช่นนั้น

อีกประการ ที่เคยบอก โบราณจะมีพิธีกรรมหลายๆเรื่อง เรื่องพระวังหน้า ก็มีพิธีกรรมนี้เช่นกัน พิธีกรรมนี้ พี่บอกกับน้องปฐมไปแล้วเช่นกัน

อีกเรื่อง ต้องหัดรู้จักให้ จะได้ไม่เป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ครับ

โมทนาสาธุครับ


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 16, 2011, 11:02:33 am

ปัจจุบัน เท่าที่ผมเห็นเมื่อสักพักนี้ มีผู้นำชื่อ ชมรมพระวังหน้า นำไปใช้

ให้ระวังครับว่า มีการนำไปแอบอ้าง

ส่วนจะแอบอ้างอย่างไร สำหรับสมาชิกชมรมพระวังหน้า ผมจะส่งรูปไปให้ดู

ชมรมพระวังหน้า ที่เกี่ยวข้องมีเฉพาะในกระทู้พระวังหน้าฯ และ กลุ่มพระวังหน้า ในเว็บพลังจิต , เว็บใต้ร่มธรรม และ เว็บสุขใจ เท่านั้น

หากเป็นบล็อคต่างๆ ชมรมพระวังหน้าไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้น

จึงเรียนมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

sithiphong
เลขานุการชมรมพระวังหน้า
16/5/2554

-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2261.html#post4713932-

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2261.html#post4713932

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 16, 2011, 09:34:07 pm
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ปฐม อ่านข้อความ
รายละเอียดและรูปในการถวายผมจะมาแจ้งให้ทราบอีกครั้งนะครับ วันนี้ผมและคณะได้ร่วมกันเป็นตัวแทนของชมรม ได้ไปถวายพระวังหน้า 3 วัด พระภิกษุทั้ง3วัด บอกตรงกันว่าพระวังหน้านี้ผู้ที่จะได้ครอบครองต้องมีวาสนาและบารมีครับ ผมได้เห็นรอยยิ้มของพระภิกษุทั้ง3ท่าน ที่ผมได้ไปถวายพระ รวมถึงประสบการณ์ของคณะผม บอกได้คำเดียวครับว่าปิติสุดๆ สุดยอดจริง ผมไม่สามารถที่จะบรรยายได้เป็นคำพูด มันเป็นความรู้สึกที่อยู่ในใจ ถ้าท่านได้ถวายท่านจะได้รับรู้ด้วยตัวของท่านเองครับ บุญใดในวันนี้ที่ผมและคณะได้เป็นตัวแทนของทางชมรมได้ไปถวายในวันนี้บุญกุศลส่งให้ผมและคณะมีความสุขเท่าใด ก็ขอให้คุณพี่หนุ่มและพี่ๆในชมรมทุกๆท่านมีความสุขมากกว่ากระผมหลายเท่า ส่วนสิ่งใดที่ผิดพลาดไปบ้างกระผมขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียวครับ
ขอขอบพระคุณพี่หนุ่มที่คอยสอนสั่งชี้แนะในสิ่งที่ถูกที่ควรมาตลอด ขอขอบพระคุณและโมทนาบุญทุกประการครับผม สาธุ
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ปฐม อ่านข้อความ
ขอโมทนากับพี่หนุ่มเป็นอย่างสูงครับผม ที่เสียสละของรักของหวง มาสร้างอริยะทรัพย์ มีพระท่านนึงบอกกับผมในวันนี้ว่า ยากนักที่จะหาคนที่เข้าใจและทำเช่นนี้ได้ ส่วนใหญ่จะติดวัตถุมงคลกันชะหมด ขอบพระคุณพี่ท่านที่คอยแนะนำในการสร้างอริยทัพย์และการมีวัตถุมงคลอย่างไม่มีความทุกข์ใจ และสอนให้รู้จักการใช้วัตถุมงคลมาสร้างบุญ เปลี่ยนจากวัตถุมงคลที่ติดกายได้แต่เพียงชาตินี้เท่านั้น มาเป็นบุญที่ติดตัวเราไปหลายภพหลายชาติ


sithiphong ตอบ

บรรพบุรุธ ท่านผู้ให้สร้าง ท่านผู้สร้าง และองค์ผู้อธิษฐานจิต ท่านสอนพี่มาแบบนี้

ครูบาอาจารย์พี่ก็สอนพี่มาแบบนี้ครับ

สั้นๆ ง่ายๆ แต่ได้ใจความ

ยิ่งทำยิ่งได้ ยิ่งให้ยิ่งมี

ใครทำอะไร ต้องได้เช่นนั้น

อีกประการ ที่เคยบอก โบราณจะมีพิธีกรรมหลายๆเรื่อง เรื่องพระวังหน้า ก็มีพิธีกรรมนี้เช่นกัน พิธีกรรมนี้ พี่บอกกับน้องปฐมไปแล้วเช่นกัน

อีกเรื่อง ต้องหัดรู้จักให้ จะได้ไม่เป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ครับ

โมทนาสาธุครับ


.

รูปให้ชมตามลิงค์นะครับ

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2261.html#post4716307

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 17, 2011, 01:57:31 pm
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong อ่านข้อความ
สำหรับรูปพระบูชา ที่จะบรรจุลงกล่องสเตนเลส ผมส่งรูปให้ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า และ ท่านผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้าทุกๆท่านให้ได้ชมกันเรียบร้อยแล้ว

มีบางท่านที่ใช้ mail ของบริษัทฯ ผมเห็นว่ามีการแจ้งกลับมาว่า ไม่สามารถที่จะส่งไปได้ แต่ Gmail ของท่าน สามารถรับได้ทั้งหมดครับ

โมทนาสาธุครับ



.
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong อ่านข้อความ
ผมส่งรูป โถเบญจรงค์ไปให้ชมด้วยครับ



.

สำหรับพระบูชาทั้งสามองค์ที่ผมส่งรูปให้กับสมาชิกชมรมพระวังหน้า

ผมมาถามกันว่า พระบูชาทั้งสามองค์ มีพระบูชา(เก่า) กี่องค์ มีพระบูชา(ที่สร้างใหม่ในปี 2553) กี่องค์ หรือว่า เก่าทั้งสามองค์ หรือว่า ใหม่ทั้งสามองค์

ตอบกันสนุกๆนะครับ ไม่มีรางวัลครับ อิอิ


--------------------------------------

พิมพ์ซุ้มไทรย้อย และ ซุ้มไข่ปลา
พระกรุวังหน้า สมัยอยุธยา รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม พ.ศ.2145 เป็นพระที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 3 พระองค์คือ1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)เป็นองค์อธิษฐานจิตครับ

ผมจะมอบให้สำหรับท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้าที่ร่วมทำบุญในงานบุญ จัดทำกล่องสเตนเลส เพื่อบรรจุตามสถานที่ต่างๆ

โดยมีข้อแม้อีกข้อว่า ต้องมาพบกันในวันที่ผมนำกล่องสเตนเลส(ที่บรรจุพระวังหน้า) นำมามอบให้กับท่านประธานชมรมพระวังหน้า และ คุณณฑนน

โมทนาสาธุครับ


.

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2262.html#post4718129


.

http://board.palungjit.com/groups/%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%86-2139-page4.html#gmessage31064


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 18, 2011, 06:25:54 am
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong
สวัสดีครับคุณอนัตตัง

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/news_4/planking_monk.jpg)

ผมขอให้คุณแสดงความเห็นเกี่ยวกับทางธรรมต่อรูปด้านล่าง ไม่น้อยกว่า 10 บรรทัด

และแสดงความเห็นเกี่ยวกับทางโลกต่อรูปด้านล่าง ไม่น้อยกว่า 10 บรรทัดเช่นกัน


ที่มาของรูป-http://hilight.kapook.com/view/59663-


ขอบคุณครับ


.


อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ อนัตตัง
ทางโลก
ตอนนี้ กระแสแพลงกิ้ง กลายเป็นท่าฮิตที่กำลังระบาดหนักทั้งในไทยและต่างประเทศซึ่งแพลงกิ้งเองบางคนกล่าวว่ามีต้นกำเนิดมาจากประเทศออสเตรเลีย แพลงกิ้งมีกฎอยู่ว่าต้องทำท่านอนคว่ำ ขาเหยียดตรง และราบไปกับพื้นนิ้วเหยียดตรงไม่งอ และต้องมีผู้ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐานภาพทุกภาพต้องมีการตั้งชื่อ เพราะหากไม่มีรูปเก็บไว้แบ่งปันเพื่อนๆก็เหมือนคุณแค่ไปนอนคว่ำแค่นั้นเองทั้งนี้รายงานระบุเอาไว้ว่ากฎเหล็กของแพลงกิ้งคือ1.ไม่รบกวนชาวบ้าน 2.ไม่เสี่ยงอันตราย 3.ไม่ทำลายสิ่งของสาธารณะ
ไม่มีเหตุผลว่า การทำแพลงกิ้ง ทำไปเพราะเหตุใด เพราะ มันคือศิลปะและนั่นเองไม่ต้องการเหตุผลมาอธิบายแต่อย่างใดแม้ว่าบางคนจะไปทำท่าแพลงกิ้งแบบพิเรน จนอาจเป็นอันตรายขึ้นมาก็ได้แพทย์ก็ออกมาระบุด้วยว่าหากทำผิดวิธีจะทำให้กล้ามเนื้อฉีกขาดได้เพราะต้องมีการจัดความสมดุลของร่างกายให้พอดีในโลกอินเตอร์เน็ต มีการระบาดไปอย่างรวดเร็วไปสู่บุคคลแทบทุกวงการไม่เว้นแม้กระทั่ง พนักงานบริษัท พยายามทำท่า แพลงกิ้ง ขณะทำงานจนอาจทำให้เจ้านายไล่ออกจากงานได้ นอกจากนี้ ดารานักแสดงของไทย ก็โชว์ศิลปะแพลงกิ้งกันด้วยเช่นกันส่วนคนอื่นๆทั่วๆไป ก็ทำแพลงกิ้งเผยแพร่ภาพผ่านทางเว็บไซต์เฟสบุค

ทางธรรม
รูปภาพพระสงฆ์ห่มจีวร ทำท่าแพลงกิ้ง หรือ ท่าแกล้งตาย ที่กำลังถูกวิพากย์วิจารย์อย่างหนักในสังคมไทยทั้งทางหนังสือพิมพ์ ทีวี และ ทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งถูกนำมาโพสต์ในโลกอินเตอร์เน็ต ผมคิดว่า เป็นการกระทำท่าทางที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นท่าแพลงกิ้งหรือท่าใดๆ ก็ตาม ที่มีลักษณะ ไม่สำรวม พระสงฆ์ก็ ไม่สามารถทำได้ เพราะ ถือว่า ผิดวินัยสงฆ์ ทำให้มีการติเตียน ว่า ขาดความสำรวม ไม่ใช่กิจของพระสงฆ์ ที่จะมาถ่ายท่าแพลงกิ้ง โชว์ทางอินเตอร์เน็ต เหมือนคนธรรมดาทั่วไป ซึ่ง ไม่ควรปล่อยปละละเลยเรื่องนี้ เพราะ จะทำให้พระพุทธศาสนา เสื่อมความศรัทธา จากพุทธบริษัทได้ การกระทำแบบนี้ เขาเรียกกันว่าโลกวัชชะ ทำให้โลกติเตียนได้ การปฏิบัติ ดังกล่าว ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์ ซึ่งถ้า ไม่มีการห้ามปราม ก็ จะมีการเลียนแบบ ทำกัน แล้วนำมาโชว์กัน เป็นแฟชั่นต่อไป ซึ่ง ทางเจ้าอาวาส ทุกๆ วัด ควรจะ ตักเตือนให้ พระลูกวัดทุกๆ รูป ให้สำรวม อย่าไปเลียนแบบ พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม หรือทางกรรมการมหาเถรสมาคม ควรจะมีหนังสือแจ้งไปยังทุกวัด ตักเตือนเรื่องนี้ ให้ทุกวัดปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อที่ชาวโลกจะได้ไม่ติเตียน

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 22, 2011, 12:47:35 pm
สำหรับพระวังหน้า(อยุธยา) และ พระวังหน้า(รัตนโกสินทร์) จำนวน 546 องค์ ที่ผมและคณะ จะมอบให้กับทหารผู้ปฎิบัติหน้าที่เสี่ยงภัยทางภาคใต้ ผมได้นำกลับมาแล้วหลังจากที่นำไปให้ร้านใส่กรอบสเตนเลสให้ หลังจากนี้ ผมและคณะจะดำเนินการเจาะรูที่กรอบ(พลาสติก) ,ใส่ห่วงและแหนบให้เรียบร้อย กำหนด(ในใจ)ว่า จะดำเนินการให้เสร็จก่อนวันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม 2554 (วันทอดผ้าป่าสามัคคีศรีชัยผาผึ้ง) เพื่อผมและคณะจะได้นำไปถวายพระอาจารย์นิล (ผมจะขอความเมตตาจากพระอาจารย์นิล ลงไปแจกทหารผู้ปฎิบัติหน้าที่เสี่ยงภัยทาง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้) ให้เรียบร้อย

เมื่อวานนี้ ผมคุยกับพี่สิทธิพร ในเรื่องของการเจาะรู ผมคงฝากไปประมาณ 446 องค์ครับ ส่วนอีก 100 องค์ ตั้งใจว่า จะร่วมทำกันกับคุณ Pinkcivil จะได้ทำกับมือของตนเอง

สำหรับพระพิมพ์(กรุวังหน้าอยุธยา) มีจำนวน 339 องค์ (มีทั้งหมด 3 พิมพ์) ส่วนพระพิมพ์(กรุวังหน้ารัตนโกสินทร์) มีจำนวน 207 องค์

ขอกราบขอบพระคุณคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร , องค์ผู้อธิษฐานจิตทุกๆพระองค์ , พี่ใหญ่ ที่ได้มีเมตตาในงานบุญนี้

ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่าน ที่มีส่วนในงานบุญนี้ครับ

ส่วนท่านเจ้าภาพ ผมเตรียมมอบชุดพระกรุวังหน้าอยุธยาไว้ให้ท่านแล้ว น่าจะไม่น้อยกว่า 5 พิมพ์ (ส่วน 3 พิมพ์ ผมเตรียมไว้ให้ท่าน พิมพ์ละ 3 องค์)

สำหรับท่านผู้ร่วมทำบุญ ผมก็ได้เตรียมมอบพระกรุวังหน้าอยุธยา จำนวน 3 องค์(3 พิมพ์)

โมทนาบุญทุกประการ
.

http://board.palungjit.com/f179/พระวังหน้า-ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้-22445-2278.html
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 26, 2011, 06:39:49 am
อรุณสวัสดิ์ยามเช้า วันอาทิตย์หรรษา


เมื่อคืนนี้ กว่าจะได้นอนพักผ่อน ก็เกือบๆตีสอง

มาสรุปเรื่องของจำนวนพระพิมพ์ที่บรรจุลงกล่องสเตนเลส(ไม่รวมพระบูชา และพระพิมพ์ที่บรรจุลงในกล่องสเตนเลส(ขนาดเล็ก) )

กล่องที่ 1 จำนวน 4,387 องค์
กล่องที่ 2 จำนวน 2,675 องค์
กล่องที่ 3 จำนวน 2,065 องค์
กล่องที่ 4 จำนวน 1,179 องค์
กล่องที่ 5 จำนวน 2,193 องค์
กล่องที่ 6 จำนวน 1,319 องค์
รวมจำนวนทั้งหมด( 6 กล่อง) 13,818 องค์

ส่วนพระที่บรรจุลงกล่องสเตนเลส(ขนาดเล็ก) จำนวน 20 ใบ พระบูชา หนังตัก 9" 1 องค์, พระบูชา อู่ทอง หน้าตัก 7" 1 องค์ พระบูชา ยืนประทานพร 1 องค์ , พระบูชา (เนื้อปูนเพชร) พิมพ์พระปิดตา 2 องค์ และ พระบูชา (เนื้อปัญจสิริ) พิมพ์สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี 2 องค์ ผมบรรจุลงกล่องสเตนเลส(ขนาดใหญ่) ทั้งหมด 6 ใบเรียบร้อยแล้ว

ผมจะนำไปมอบให้กับพี่เปี๊ยก และ ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า เพื่อบรรจุตามพระเจดีย์ต่างๆ หรือ ตามฐานชุกชี หรือ สถานที่่ต่างๆเพื่อความเหมาสม

ส่วนกล่องสเตนเลสขนาดใหญ่อีก 2 ใบ ผมคงต้องเตรียมพระบรรจุลงกล่องสเตนเลสขนาดเล็กก่อน และ จะดำเนินการนำพระวังหน้า ลงกล่องสเตนเลสใบใหญ่อีกครั้งครับ

โมทนาบุญกับทุกๆท่าน ทุกๆประการครับ

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2281.html

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 03, 2011, 09:08:24 am
เมื่อวานนี้ มีผู้สอบถามเรื่องของการสมัครสมาชิกชมรมพระวังหน้ากับผม ผมตอบไปในหลักการก็คือ ผู้ที่มีอำนาจในการรับสมัครสมาชิกชมรมพระวังหน้า จะมีอยู่ 3 ท่าน โดยการลงคะแนน จะลงคะแนนรับ 2 ใน 3 เสียง ( ประธานชมรมพระวังหน้า , รองประธานชมรมพระวังหน้า และ เลขานุการชมรมพระวังหน้า(ผม) )

ผมเองก็มีวิธีในการพิจารณาสมาชิกใหม่

ท่านประธานชมรมพระวังหน้า และท่านรองประธานชมรมพระวังหน้า ก็มีวิธีการพิจารณาของแต่ละท่านเอง

ผมเองได้รับประสบการณ์ มามาก จากบุคคลต่างๆ เ่ช่น อดีตสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า และ อดีตสมาชิกกองทุนหาพระถวายวัด ( ทั้งชมรมรักษ์พระวังหน้า และ กองทุนหาพระถวายวัด ได้ยุบไปทั้ง 2 แห่งแล้ว)

มีมาสารพัดวิธี สารพัดรูปแบบ ขนาดรู้จักกันมาเป็น ปี 2 ปี 3 ปี บอกว่าผมเป็นผู้มีพระคุณบ้าง ผมดีอย่างโน้นบ้าง ผมดีอย่างนี้บ้าง สุดท้ายกลับมาตีผม ,เหน็บแนมผม สารพัดอย่าง หรือ พระของข้าแท้เพียงผู้เดียว

ดังนั้น ในส่วนของความเห็นผมที่จะลงมติในการรับสมาชิกชมรมพระวังหน้า บางส่วนจะอยู่ด้านล่าง และ ผมต้องให้สมาชิกชมรมพระวังหน้า ลงความเห็นว่า เห็นควรรับ มากกว่าจำนวนครึ่งหนึ่งของสมาชิก( สมมุติ สมาชิกมี 100 ท่าน ต้องลงความเห็น มากกว่า 50 ท่าน) ด้วย

ผมบอกได้แต่เพียงว่า การสมัครสมาชิกชมรมพระวังหน้า ยากมาก เพียงแค่ในส่วนการลงความเห็นของผม ก็ยากมากแล้ว ยังต้องไปพบกับความเห็นของประธานชมรมพระวังหน้า หรือ ความเห็นของรองประธานชมรมพระวังหน้า อีกครับ


http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2288.html

------------------



02-03-2011 12:32 PM
sithiphong

เรียน ท่านผู้สนใจที่ต้องการสมัครสมาชิกชมรมพระวังหน้า

หลักเกณฑ์ของชมรมพระวังหน้า ผู้ที่มีอำนาจในการรับสมัครสมาชิก จะมีอยู่ 3 ท่าน คือ
1.ประธานชมรม
2.รองประธานชมรม
3.เลขานุการชมรม

โดยการลงมติ ใช้คะแนนเสียง 2 ใน 3 เสียง

และ ผมเองจะส่งรายละเอียดส่วนตัวของผู้ที่จะสมัคร ไปให้สมาชิกชมรมพระวังหน้าทุกๆท่าน ได้พิจารณากันด้วย


เกณฑ์พิจารณาในการรับสมาชิกใหม่ของท่านประธานชมรมและรองประธานชมรม อยู่ในดุลยพินิจของแต่ละท่าน

ส่วนเกณฑ์พิจารณา(บางส่วน)ในการรับสมาชิกใหม่ ของผม (ตามรูป)
ระยะเวลาในการดูและพิจารณาของผม ไม่น้อยกว่า 1 ปี ( 12 เดือน )

สาเหตุ เนื่องจากที่ผ่านมา ผมได้เจอประสบการณ์หลายๆเรื่องมาแล้ว ดังนั้น ผมต้องพิจารณาให้มากขึ้นครับ




-http://board.palungjit.com/groups/%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%86-2139-page3.html?pp=30-
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 03, 2011, 09:36:38 am
สำหรับชมรมพระวังหน้า

มีเพียง 3 เว็บไซด์ (4 แห่ง)เท่านั้นครับ

1.กระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....
และ กระทู้ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ (จากกลุ่มพระวังหน้า)

-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2288.html#post4837610-

-http://board.palungjit.com/groups/6/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-

เว็บพลังจิต


2.กระทู้ ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ

-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,4172.90.html-

เว็บใต้ร่มธรรม

3.กระทู้ ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ



-http://www.sookjai.com/index.php?topic=13666.20-

เว็บสุขใจ


หากท่านใดไปพบ ชื่อ ชมรมพระวังหน้า ในเว็บอื่นๆ นอกเหนือจากทั้ง 3 เว็บไซด์นี้ เช่น พวกเว็บตระกูล บล็อคต่างๆ เป็นต้น ขอให้ทราบว่า หากพบชื่อ ชมรมพระวังหน้า นี่เป็นการแอบอ้างชมรมพระวังหน้า และชมรมพระวังหน้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้น

และ ระวังการหาผลประโยชน์จากผู้ที่นำชื่อชมรมพระวังหน้าไปแอบอ้างด้วย และ หากข้อมูลต่างๆที่ออกมาจากผู้ที่แอบอ้าง เป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และ ผมคิดว่า เป็นการแอบอ้างเพื่อสร้างความไม่น่าเชื่อถือต่อชมรมพระวังหน้าด้วยเช่นกัน

จึงเรียนมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

sithiphong
3/7/2554

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 03, 2011, 11:13:49 pm
ประวัติพระเจ้าทรงธรรม

-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2288.html-

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2288.html

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 05, 2011, 08:10:06 pm
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong 
เรียนท่านประธานชมรมพระวังหน้า
ท่านรองประธานชมรมพระวังหน้า
ท่านผู้ช่วยเลขานุการชมรมพระวังหน้า
ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า
ท่านผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้าทุกๆท่าน

ผมส่งรายการงานบุญด่วนพิเศษไปใ้ห้ทุกๆท่านทาง Email แล้วครับ

ขอบคุณครับ

.
 

-------------

ผมได้ดำเนินการโอนเงินร่วมทำบุญเรียบร้อยแล้วครับ

รายละเอียดผู้ร่วมทำบุญ
1.คุณธวัชและครอบครัว 1,000 บาท
2.sithiphongและครอบครัว 1,000 บาท
3.คุณแด๋นและครอบครัว 1,000 บาท
4.คุณเฉลิมพลและครอบครัว 800 บาท
5.คุณพรสว่าง_2008และครอบครัว 400 บาท
6.คุณปฐมและครอบครัว 500 บาท
7.คุณPinkcivilและครอบครัว 2,000 บาท
8.พี่เปี๊ยกและครอบครัว 1,300 บาท

รวมจำนวนเงินทั้งสิ้น 8,000 บาท

ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่านครับ

อีกเรื่อง คุณPinkcivil ได้ร่วมทำบุญถวาย Notebook 1 เครื่อง แก่หลวงพี่รูปหนึ่งที่วัดท่าซุง (การจัดหา Comp. ในการทำหนังสือของวัด เพื่อเผยแพร่ธรรมะอย่างต่อเนื่อง)

โมทนาบุญกับคุณPinkcivil ครับ

และขอเชิญทุกๆท่านมาร่วมโมทนาบุญกับคุณPinkcivil กันครับ

-http://board.palungjit.com/f179/พระวังหน้า-ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้-22445-2290.html-

http://board.palungjit.com/f179/พระวังหน้า-ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้-22445-2290.html
__________________
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 05, 2011, 08:15:38 pm

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong 
เรียน คุณอนัตตัง

หลังจากนี้ไป คะแนนในส่วนของ 2.การเข้ามาพูดคุยในกระทู้พระวังหน้า (ไม่น้อยกว่า 20 ครั้ง / 1 เดือน)

ผมจะให้คะแนนเต็มในแต่ละเดือนเพียง 10 คะแนนเท่านั้นครับ

จึงเรียนมาเพื่อทราบ
sithiphong
4/7/2554

.

จากสาเหตุที่ลดลง เนื่องจากในวันงานผ้าป่าสามัคคีศรีชัยผาผึ้ง คุณอนัตตัง ไม่ได้เข้าไปร่วมในงานดังกล่าว จะได้ให้สมาชิกชมรมพระวังหน้าหลายๆท่าน ได้มีโอกาสพบปะพูดคุยด้วย

หากผ่านเกณฑ์ในส่วนของการให้คะแนนแล้ว ยังต้องผ่านความเห็นชอบของสมาชิกชมรมพระวังหน้า ในคะแนนเสียงที่ต้องไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิก(ไม่นับเสียงของท่านประธานชมรมพระวังหน้าและรองประธานชมรมพระวังหน้า)

ถามว่า ทำไมถึงสมัครสมาชิกชมรมพระวังหน้ายากขนาดนี้

ตอบได้ว่า เป็นเพราะอดีตสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า(ชมรมรักษ์พระวังหน้า ปัจจุบันได้ปิดไปแล้ว) , อดีตสมาชิกกองทุนหาพระถวายวัด (กองทุนหาพระถวายวัด ปัจจุบันก็ปิดไปแล้วเช่นกัน) และ อดีตสมาชิกชมรมพระวังหน้า ที่ทำให้ผมและสมาชิกชมรมพระวังหน้าหลายๆท่าน มีประสบการณ์ในการพิจารณาผู้ที่สนใจจะเข้ามาสมัครสมาชิกชมรมพระวังหน้า

โดยส่วนตัวผม โดนไปเยอะครับ ที่ว่าโดนนั้น โดนนำข้อมูลต่างๆ ไปบิดเบือน อีกทั้ง นำไปผสมปนเปกับข้อมูลเท็จอื่นๆ อีกทั้งการโดนแต่งเรื่องราวที่เป็นเท็จอีก และในเรื่องนี้ ปัจจุบันผมไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะใครทำอะไร ต้องได้เช่นนั้น แต่ต้องนำเรื่องราวต่างๆนี้ มาเป็นบทเรียนในการรับพิจารณาการรับสมัครสมาชิกชมรมพระวังหน้า

ผมบอกได้ว่า การสมัครสมาชิกชมรมพระวังหน้า ทำได้ยากจริงๆ การทำให้สมาชิกชมรมพระวังหน้า(มากกว่ากึ่งหนึ่ง ยกเว้นคะแนนเสียงของท่านประธานชมรมพระวังหน้า และ ท่านรองประธานชมรมพระวังหน้า) ลงความเห็นชอบในการรับสมาชิกใหม่นั้นยากกว่าหลักเกณฑ์ในตารางของผมอีก

ที่สำคัญกว่านั้น ยังต้องไปผ่านความเห็นของท่านประธานชมรมพระวังหน้า หรือ ท่านรองประธานชมรมพระวังหน้า อีก

ผมได้รับความเห็นของสมาชิกชมรมพระวังหน้าหลายๆท่านมาว่า ให้ผมใจเย็นๆในการรับสมาชิกใหม่ เท่าที่มีอยู่ก็อบอุ่นมากอยู่แล้ว

แต่หากคุณอนัตตัง ยังคงมีความตั้งใจ , ความมุ่งมั่นเกินร้อย ก็ให้พยายามต่อไป ผมแนะให้อีกเรื่องก็คือ หากมีงานบุญที่ชมรมพระวังหน้า ร่วมเป็นเจ้าภาพ ให้ไปทุกๆครั้ง อย่างเช่น งานผ้าป่าพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง เป็นต้น

ขอบคุณครับ
sithiphong
4/7/2554

.










-http://board.palungjit.com/f179/พระวังหน้า-ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้-22445-2289.html-

http://board.palungjit.com/f179/พระวังหน้า-ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้-22445-2289.html

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 11, 2011, 09:44:39 pm
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong
อ้างอิง:


งานผ้าป่าสามัคคีศรีชัยผาผึ้ง ผ่านพ้นไปด้วยดี

ยอดเงินผ้าป่า(เป็นเงินที่ได้จากการร่วมทำบุญในงาน ยังไม่รวมยอดเงินที่โอนเข้าบัญชี) จำนวน 229,000.-บาท

หลังจากการพิธีของงานผ้่าป่าเรียบร้อยแล้ว

ผมก็ได้นำพระกรุวังหน้าอยุธยา และ พระกรุวังหน้ารัตนโกสินทร์ ถวายพระอาจารย์นิล เพื่อขอความกรุณาพระอาจารย์นิล เดินทางลงไปมอบพระให้กับตำรวจตะเวณชายแดนที่ 44 , 43 และผู้ที่ปฎิบัิติงานในพื้นที่จริง ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

อีกทั้งผมและหลายๆท่าน ได้ร่วมกันถวายปัจจัย(เพื่อใช้ในการเดินทางไปยัง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้)

ผมมีโอกาสได้คุยกับผู้พันช้าง (เป็นเพื่อนกับผู้กองแคนและผู้กองตี้) ได้เห็นภาพในการปฎิบัติงาน ทำให้เห็นว่า การปฎิบัติงานเสี่ยงต่ออันตรายเป็นอย่างยิ่ง เห็นหลายๆสิ่งหลายๆอย่างแล้ว ก็ทำให้คิดว่า คุ้มค่าเป็นอย่างยิ่งครับสำหรับความเหนื่อยที่หลายๆท่านได้ร่วมกันทำบุญใน การมอบพระกรุวังหน้าอยุธยาและพระกรุวังหน้ารัตนโกสินทร์

ผมได้กราบเรียนพระอาจารย์นิลว่า สำหรับพระกรุวังหน้าอยุธยา พิมพ์ซุ้มไทรย้อย ขอให้พระอาจารย์มอบให้กับ กองกำกับการตำรวจตะเวณชายแดนที่ 44 และ 43 ครับ

ขอขอบคุณและโมทนาบุญกับทุกๆท่านที่ร่วมทำบุญ ไม่ว่าจะเป็นพี่เปี๊ยก , คุณnongnooo , พี่เมตตา , คุณPinkcivil ,คุณเฉลิมพล , คุณณฑนน , น้องปฐม , พี่แอ๊ว , คุณแด๋น และพี่สิทธิพร (ต้องขอโทษหากลืมท่านใด)
ขอขอบคุณและโมทนาบุญกับพี่สิทธิพร , คุณหนิง , คุณจี๊ดและคณะที่ช่วยเหลือในการเจาะรูที่กรอบสเตนเลส อีกทั้งใส่แหนบให้

วันนี้ ผมได้ถวายพิมพ์ซุ้มไทรย้อย แด่พระอาจารย์นิล และพี่แอ๊ว เพราะว่า พระอาจารย์นิล ท่านจะต้องเดินทางลงไปยัง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้


และผมเองก็ได้พบกับคุณซิ้งบน ที่เดินทางมารับพระวังหน้า ในการร่วมทำบุญผ้าป่าสามัคคีศรีชัยผาผึ้ง

สำหรับท่านใดที่ร่วมทำบุญและรับพระวังหน้าหรือพระวังหลวงที่มีพระธาตุ ผมขอให้ท่านหาโถเบญจรงค์ นำแผ่นทองคำปูพื้นโถ แล้วนำพระวังหน้าหรือพระวังหลวงที่มีพระธาตุ นำไปไว้ในโถ ตั้งบูชาไว้ในที่อันควรด้วยครับ

ส่วนสมาชิกชมรมพระวังหน้าที่เดินทางมาไกล ก็มีคุณณฑนน , คุณเฉลิมพล เดินทางมาจากจังหวัดนครราชสีมา ส่วนอีกท่านที่มาไกลกว่าก็คือ คุณธวัช (มาจากจังหวัดน่าน)

ส่วนท่านที่อยู่ในกรุงเทพฯ ก็คือ คุณPinkcivil และ คุณมูริญโญ่ที่เดินทางมาร่วมงาน

.

-http://board.palungjit.com/f105/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87-%E0%B8%93-%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%86%E0%B9%8C%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87-%E0%B8%AD-%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%88-%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4-68899-111.html-

.

--------------------
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 11, 2011, 09:45:24 pm
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong
.
เพื่อนผมไปดำเนินการมา

"วันก่อนไปซื้อเกลือแร่ 3000 ซอง ให้พี่แอ๊ว ก็เลยซื้ออุปกรณ์ทำแผล ยาแก้หวัด แก้ไอ แก้ท้องเสีย ไปสมทบด้วย ( ตามรูป พักนี้สายตายาวถ่ายรูปไม่ค่อยชัดนะ) แล้วขับไปส่งทั้งหมดให้หลวงพี่ที่กุฏิ เชิญโมทนาได้เลยนะ "










.
.

จริงๆแล้ว คุณธวัช บอกผมว่า ไม่ต้องบอกใคร

ผมต้องขอโทษคุณธวัชด้วยครับที่ต้องนำมาบอก เพื่อให้โมทนาบุญกัน

คุณธวัชได้โอนเงินร่วมทำบุญ ค่ายารักษาโรค และอื่นๆ

ขอโมทนาบุญกับคุณธวัชและทุกๆท่านในงานบุญนี้ครับ

.------------------------------------------

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2292.html#post4868113
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 11, 2011, 09:46:32 pm
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1561978&d=1310303483)

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1561979&stc=1&thumb=1&d=1310303483)

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1561980&stc=1&thumb=1&d=1310303483)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 11, 2011, 09:47:22 pm
ในช่วง 2 - 3 เดือนที่ผ่านมา ทางผม , คณะผม , ชมรมพระวังหน้า และ ท่านผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้า ได้มีโอกาส(ที่หาได้ยาก)ในการร่วมทำบุญในหลายๆเรื่อง

1.เรื่องของการมอบพระกรุวังหน้าอยุธยา (สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ช่วงปี พ.ศ.2154 - 2171) จำนวน 339 องค์ และ พระกรุวังหน้ารัตนโกสินทร์ (สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 - 5 ) จำนวน 207 องค์ สำหรับการมอบให้กับตำรวจตะเวณชายแดน และผู้ที่ปฎิบัติหน้าที่เสี่ยงภัยใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

2.การมอบแผ่นห้ามเลือด กับตำรวจตะเวณชายแดน และผู้ที่ปฎิบัติหน้าที่เสี่ยงภัยใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

3.การมอบยาสามัญประจำบ้านและเกลือแร่และอื่นๆ กับตำรวจตะเวณชายแดน และผู้ที่ปฎิบัติหน้าที่เสี่ยงภัยใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

โดยพระอาจารย์นิล ท่านได้เดินทางลงไปยัง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เอง และมีผู้พันช้าง(เป็นเพื่อนกับผู้กองแคน ผู้กองตี้) เป็นผู้นำไป บิดาของผู้พันช้างก็ได้ร่วมเดินทางลงไปในคณะด้วย ยังมีอีก 2 ท่านที่ขอร่วมเดินทางลงไปด้วยเช่นกัน

การเดินทาง ลงไปในพื้นที่ ไปกันจำนวน 2 คืน 3 วัน แต่ไม่สามารถไปได้ครบทุกแห่งที่ได้ตั้งใจไว้ แต่ด้วยระยะเวลาที่จำกัด สามารถไปได้ทุกฐานของ 1 กองกำกับการตำรวจตะเวณชายแดน ซึ่งพระอาจารย์นิลและผู้พันช้างได้มอบพระกรุวังหน้าอยุธยา และ พระกรุวังหน้ารัตนโกสินทร์ ให้กับตำรวจตะเวณชายแดนและผู้ที่ปฎิบัติหน้าที่เสี่ยงภัย และพระบางส่วนได้ถวายพระภิกษุสงฆ์ด้วยเช่นกัน

หากผมได้รูปมาแล้ว ผมจะัจัดส่งให้กับสมาชิกชมรมพระวังหน้า และท่านผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้าให้ได้เห็นกันว่า ในพื้นที่เป็นอย่างไร จะได้เห็นกับตาของตนเอง ผมเองได้เห็นมาบางส่วนแล้ว

ผมขอสงวนสิทธิ์ในการนำลงหน้าบอร์ดครับ

ผมขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงต่อคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) , องค์ผู้อธิษฐานจิตทุกๆพระองค์ ,หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ , พระอาจารย์นิล ที่ท่านได้เดินทางลงไปมอบพระกรุวังหน้าอยุธยา พระกรุวังหน้ารัตนโกสินทร์ยังพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ พี่ใหญ่ที่ช่วยเหลือผมในหลายๆเรื่อง

ผมขอร่วมโมทนาบุญในทุกๆบุญที่เกี่ยวข้องกับงานบุญข้างต้น กับทุกๆท่านที่มีส่วนร่วมในงานบุญในทุกๆเรื่องไม่ว่าท่านจะร่วมบริจาคเงิน หรือ ช่วยเหลือการเจาะรูีที่กรอบสเตนเลส และในทุกๆเรื่องที่เกี่ยวข้อง

ผมขอขอบพระคุณ ผู้พันช้าง , บิดาผู้พันช้าง และทุกๆท่านที่มีส่วนในการเิดินทางลงไปมอบพระกรุวังหน้าอยุธยา และ พระกรุวังหน้ารัตนโกสินทร์ กับตำรวจตะเวณชายแดน และผู้ที่ปฎิบัติหน้าที่เสี่ยงภัยใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้


sithiphong
11/7/2554

.
-http://board.palungjit.com/f105/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87-%E0%B8%93-%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%86%E0%B9%8C%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87-%E0%B8%AD-%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%88-%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4-68899-111.html-

-http://board.palungjit.com/groups/%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%86-2139-page5.html?pp=30-

-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2292.html-


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 12, 2011, 09:25:53 pm
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong อ่านข้อความ
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong
.
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong
อ้างอิง:


งานผ้าป่าสามัคคีศรีชัยผาผึ้ง ผ่านพ้นไปด้วยดี

ยอดเงินผ้าป่า(เป็นเงินที่ได้จากการร่วมทำบุญในงาน ยังไม่รวมยอดเงินที่โอนเข้าบัญชี) จำนวน 229,000.-บาท

หลังจากการพิธีของงานผ้่าป่าเรียบร้อยแล้ว

ผมก็ได้นำพระกรุวังหน้าอยุธยา และ พระกรุวังหน้ารัตนโกสินทร์ ถวายพระอาจารย์นิล เพื่อขอความกรุณาพระอาจารย์นิล เดินทางลงไปมอบพระให้กับตำรวจตะเวณชายแดนที่ 44 , 43 และผู้ที่ปฎิบัิติงานในพื้นที่จริง ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

อีกทั้งผมและหลายๆท่าน ได้ร่วมกันถวายปัจจัย(เพื่อใช้ในการเดินทางไปยัง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้)

ผมมีโอกาสได้คุยกับผู้พันช้าง (เป็นเพื่อนกับผู้กองแคนและผู้กองตี้) ได้เห็นภาพในการปฎิบัติงาน ทำให้เห็นว่า การปฎิบัติงานเสี่ยงต่ออันตรายเป็นอย่างยิ่ง เห็นหลายๆสิ่งหลายๆอย่างแล้ว ก็ทำให้คิดว่า คุ้มค่าเป็นอย่างยิ่งครับสำหรับความเหนื่อยที่หลายๆท่านได้ร่วมกันทำบุญใน การมอบพระกรุวังหน้าอยุธยาและพระกรุวังหน้ารัตนโกสินทร์

ผมได้กราบเรียนพระอาจารย์นิลว่า สำหรับพระกรุวังหน้าอยุธยา พิมพ์ซุ้มไทรย้อย ขอให้พระอาจารย์มอบให้กับ กองกำกับการตำรวจตะเวณชายแดนที่ 44 และ 43 ครับ

ขอขอบคุณและโมทนาบุญกับทุกๆท่านที่ร่วมทำบุญ ไม่ว่าจะเป็นพี่เปี๊ยก , คุณnongnooo , พี่เมตตา , คุณPinkcivil ,คุณเฉลิมพล , คุณณฑนน , น้องปฐม , พี่แอ๊ว , คุณแด๋น และพี่สิทธิพร (ต้องขอโทษหากลืมท่านใด)
ขอขอบคุณและโมทนาบุญกับพี่สิทธิพร , คุณหนิง , คุณจี๊ดและคณะที่ช่วยเหลือในการเจาะรูที่กรอบสเตนเลส อีกทั้งใส่แหนบให้

วันนี้ ผมได้ถวายพิมพ์ซุ้มไทรย้อย แด่พระอาจารย์นิล และพี่แอ๊ว เพราะว่า พระอาจารย์นิล ท่านจะต้องเดินทางลงไปยัง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้


และผมเองก็ได้พบกับคุณซิ้งบน ที่เดินทางมารับพระวังหน้า ในการร่วมทำบุญผ้าป่าสามัคคีศรีชัยผาผึ้ง

สำหรับท่านใดที่ร่วมทำบุญและรับพระวังหน้าหรือพระวังหลวงที่มีพระธาตุ ผมขอให้ท่านหาโถเบญจรงค์ นำแผ่นทองคำปูพื้นโถ แล้วนำพระวังหน้าหรือพระวังหลวงที่มีพระธาตุ นำไปไว้ในโถ ตั้งบูชาไว้ในที่อันควรด้วยครับ

ส่วนสมาชิกชมรมพระวังหน้าที่เดินทางมาไกล ก็มีคุณณฑนน , คุณเฉลิมพล เดินทางมาจากจังหวัดนครราชสีมา ส่วนอีกท่านที่มาไกลกว่าก็คือ คุณธวัช (มาจากจังหวัดน่าน)

ส่วนท่านที่อยู่ในกรุงเทพฯ ก็คือ คุณPinkcivil และ คุณมูริญโญ่ที่เดินทางมาร่วมงาน

.

-http://board.palungjit.com/f105/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87-%E0%B8%93-%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%86%E0%B9%8C%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87-%E0%B8%AD-%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%88-%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4-68899-111.html-

.

--------------------

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong
.
เพื่อนผมไปดำเนินการมา

"วันก่อนไปซื้อเกลือแร่ 3000 ซอง ให้พี่แอ๊ว ก็เลยซื้ออุปกรณ์ทำแผล ยาแก้หวัด แก้ไอ แก้ท้องเสีย ไปสมทบด้วย ( ตามรูป พักนี้สายตายาวถ่ายรูปไม่ค่อยชัดนะ) แล้วขับไปส่งทั้งหมดให้หลวงพี่ที่กุฏิ เชิญโมทนาได้เลยนะ "










.
.

จริงๆแล้ว คุณธวัช บอกผมว่า ไม่ต้องบอกใคร

ผมต้องขอโทษคุณธวัชด้วยครับที่ต้องนำมาบอก เพื่อให้โมทนาบุญกัน

คุณธวัชได้โอนเงินร่วมทำบุญ ค่ายารักษาโรค และอื่นๆ

ขอโมทนาบุญกับคุณธวัชและทุกๆท่านในงานบุญนี้ครับ

.------------------------------------------
-------------------------------------------

ในช่วง 2 - 3 เดือนที่ผ่านมา ทางผม , คณะผม , ชมรมพระวังหน้า และ ท่านผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้า ได้มีโอกาส(ที่หาได้ยาก)ในการร่วมทำบุญในหลายๆเรื่อง

1.เรื่องของการมอบพระกรุวังหน้าอยุธยา (สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ช่วงปี พ.ศ.2154 - 2171) จำนวน 339 องค์ และ พระกรุวังหน้ารัตนโกสินทร์ (สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 - 5 ) จำนวน 207 องค์ สำหรับการมอบให้กับตำรวจตะเวณชายแดน และผู้ที่ปฎิบัติหน้าที่เสี่ยงภัยใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

2.การมอบแผ่นห้ามเลือด กับตำรวจตะเวณชายแดน และผู้ที่ปฎิบัติหน้าที่เสี่ยงภัยใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

3.การมอบยาสามัญประจำบ้านและเกลือแร่และอื่นๆ กับตำรวจตะเวณชายแดน และผู้ที่ปฎิบัติหน้าที่เสี่ยงภัยใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

โดยพระอาจารย์นิล ท่านได้เดินทางลงไปยัง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เอง และมีผู้พันช้าง(เป็นเพื่อนกับผู้กองแคน ผู้กองตี้) เป็นผู้นำไป บิดาของผู้พันช้างก็ได้ร่วมเดินทางลงไปในคณะด้วย ยังมีอีก 2 ท่านที่ขอร่วมเดินทางลงไปด้วยเช่นกัน

การเดินทาง ลงไปในพื้นที่ ไปกันจำนวน 2 คืน 3 วัน แต่ไม่สามารถไปได้ครบทุกแห่งที่ได้ตั้งใจไว้ แต่ด้วยระยะเวลาที่จำกัด สามารถไปได้ทุกฐานของ 1 กองกำกับการตำรวจตะเวณชายแดน ซึ่งพระอาจารย์นิลและผู้พันช้างได้มอบพระกรุวังหน้าอยุธยา และ พระกรุวังหน้ารัตนโกสินทร์ ให้กับตำรวจตะเวณชายแดนและผู้ที่ปฎิบัติหน้าที่เสี่ยงภัย และพระบางส่วนได้ถวายพระภิกษุสงฆ์ด้วยเช่นกัน

หากผมได้รูปมาแล้ว ผมจะัจัดส่งให้กับสมาชิกชมรมพระวังหน้า และท่านผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้าให้ได้เห็นกันว่า ในพื้นที่เป็นอย่างไร จะได้เห็นกับตาของตนเอง ผมเองได้เห็นมาบางส่วนแล้ว

ผมขอสงวนสิทธิ์ในการนำลงหน้าบอร์ดครับ

ผมขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงต่อคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) , องค์ผู้อธิษฐานจิตทุกๆพระองค์ ,หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ , พระอาจารย์นิล ที่ท่านได้เดินทางลงไปมอบพระกรุวังหน้าอยุธยา พระกรุวังหน้ารัตนโกสินทร์ยังพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ พี่ใหญ่ที่ช่วยเหลือผมในหลายๆเรื่อง

ผมขอร่วมโมทนาบุญในทุกๆบุญที่เกี่ยวข้องกับงานบุญข้างต้น กับทุกๆท่านที่มีส่วนร่วมในงานบุญในทุกๆเรื่องไม่ว่าท่านจะร่วมบริจาคเงิน หรือ ช่วยเหลือการเจาะรูีที่กรอบสเตนเลส และในทุกๆเรื่องที่เกี่ยวข้อง

ผมขอขอบพระคุณ ผู้พันช้าง , บิดาผู้พันช้าง และทุกๆท่านที่มีส่วนในการเิดินทางลงไปมอบพระกรุวังหน้าอยุธยา และ พระกรุวังหน้ารัตนโกสินทร์ กับตำรวจตะเวณชายแดน และผู้ที่ปฎิบัติหน้าที่เสี่ยงภัยใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้


sithiphong
11/7/2554

.
-http://board.palungjit.com/f105/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87-%E0%B8%93-%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%86%E0%B9%8C%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87-%E0%B8%AD-%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%88-%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4-68899-111.html-

-http://board.palungjit.com/groups/%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%86-2139-page5.html?pp=30-

-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2292.html-


.

มีรูปบางส่วนมาจากผู้พันช้างแล้ว ผมส่งให้แล้วครับ

หากมีรูปมาอีก ผมจะทยอยส่งให้นะครับ

.
ผมส่งรูปให้กับท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า และ ท่านผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้า ให้ชมกันแบบเต็มอิ่มครับ

เห็นแล้วก็เป็นสิ่งที่ภาคภูมิใจ อิ่มบุญ เป็นอย่างมากครับ

.

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2293.html#post4871804

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 12, 2011, 10:00:06 pm
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1565610&stc=1&d=1310482798)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 12, 2011, 10:00:32 pm
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1565611&stc=1&d=1310482798)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ กรกฎาคม 12, 2011, 10:35:14 pm
อนุโมทนาครับพี่หนุ่ม
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 13, 2011, 10:08:02 am
เรียน ท่านประธานชมรมพระวังหน้า
รองประธานชมรมพระวังหน้า
ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้าทุกท่าน
ท่านผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้าทุกท่าน

ผมได้เปิดวาระการประชุม การสร้างพระบูชา พระอานนท์เถระเจ้า หน้าตัก 16" ทาง Email เรียบร้อยแล้ว

ผมขอให้ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า แสดงความเห็นของท่านไม่เกินวันพฤหัสที่ 18 สิงหาคม 2554 และ ขอให้ท่านประธานชมรมพระวังหน้า และท่านรองประธานชมรมพระวังหน้า ลงมติในวันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2554 นี้

ขอแสดงความนับถือ
sithiphong
13/8/2554

.

http://board.palungjit.com/f179/ (http://board.palungjit.com/f179/)พระวังหน้า-ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้-22445-2313.html

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 13, 2011, 10:10:01 am
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong 
เรียน ท่านประธานชมรมพระวังหน้า
รองประธานชมรมพระวังหน้า
ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้าทุกท่าน
ท่านผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้าทุกท่าน

ผมได้เปิดวาระการประชุม การสร้างพระบูชา พระอานนท์เถระเจ้า หน้าตัก 16" ทาง Email เรียบร้อยแล้ว

ผมขอให้ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า แสดงความเห็นของท่านไม่เกินวันพฤหัสที่ 18 สิงหาคม 2554 และ ขอให้ท่านประธานชมรมพระวังหน้า และท่านรองประธานชมรมพระวังหน้า ลงมติในวันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2554 นี้

ขอแสดงความนับถือ
sithiphong
13/8/2554

.
 

.-----------------------------------------------------------------------------.


ส่วนท่านที่เคยร่วมทำบุญในการสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ที่มีความประสงค์ในการร่วมทำบุญร่วมสร้างพระบูชา พระอานนท์เถระเจ้า หน้าตัก 16" ขอให้ท่านแจ้งความประสงค์เข้ามา ผมจะแจ้งหมายเลขบัญชีให้ท่านทราบทาง PM

ส่วนบัญชีที่จะใช้ในการโอนเงินร่วมทำบุญ วันนี้ผมจะไปเปิดบัญชีใหม่ เพื่องานนี้โดยเฉพาะครับ

ในการร่วมทำบุญครั้งนี้ ผมไม่มีพระวังหน้ามอบให้ครับ

ส่วนรายละเอียดในการสร้าง ผมจะแจ้งเฉพาะในส่วนที่แจ้งบนบอร์ดได้เท่านั้น

จำนวนเงินในการสร้างพระบูชา พระอานนท์เถระเจ้า หน้าตัก 16" องค์ละ 13,000 บาท ท่านสามารถร่วมทำบุญทั้งองค์ได้ หรือ ร่วมทำบุญบางส่วนได้ ส่วนการอัญเชิญไปถวายวัด ผมขอสงวนสิทธิ์ในการมอบให้กับท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า เป็นตัวแทนของท่านไปถวายวัดให้ครับ

หากท่านใดไม่มั่นใจว่า ผมจะนำเงินของท่านไปร่วมทำบุญไปทำบุญไม่ครบตามจำนวนเงินที่ท่านได้ร่วมทำบุญ หรือ ผมมีส่วนได้ส่วนเสียในงานบุญนี้ ก็ไม่ต้องร่วมทำบุญครับ

ผมขอสงวนสิทธิ์ในการรับพิจารณาสำหรับท่านที่จะร่วมทำบุญ หากท่านใดผมเห็นว่า ไม่ควรที่จะร่วมทำบุญในงานบุญนี้ ผมจะปฎิเสธ โดยแจ้งให้ท่านทราบหน้าบอร์ด(กระทู้พระวังหน้าฯ) นี้ และ ผมไม่แจ้งเหตุผลในการที่ผมปฎิเสธครับ

สำหรับท่านที่จะร่วมทำบุญ ต้องแจ้งชื่อ - นามสกุล และที่อยู่ให้ผมทราบทางPMก่อนทุกครั้งครับ


โมทนาสาธุครับ

http://board.palungjit.com/f179/ (http://board.palungjit.com/f179/)พระวังหน้า-ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้-22445-2313.html
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 14, 2011, 08:54:42 pm
.

วันนี้ ผมได้นำเงิน(บางส่วน)ไปร่วมทำบุญในการสร้างพระบูชา พระอานนท์เถระเจ้า แล้ว

และผมได้ร่วมทำบุญกับทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร

และผมได้นำเงินของท่านน้องปฐมไปร่วมทำบุญกับทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร เช่นกัน

มาร่วมโมทนาบุญผมและครอบครัว และท่านน้องปฐมและครอบครัวกันครับ

.

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2313.html (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2313.html)

.





หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ สิงหาคม 14, 2011, 09:12:25 pm
อนุโมทนาครับพี่หนุ่ม
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ฐิตา ที่ สิงหาคม 15, 2011, 06:28:42 pm
(http://www4.pantown.com/data/5495/board18/166-20050911144948.jpg)
อนุโมทนาสาธุบุญทุกประการค่ะคุณหนุ่ม


หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 19, 2011, 10:42:09 pm
ผมแจ้งมติการประชุมของชมรมพระวังหน้า ในกรณีของการร่วมทำบุญสร้างพระบูชา พระอานนท์เถระเจ้า ให้ทุกๆท่านทราบทางEmail เรียบร้อยแล้ว

ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่านครับ



.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 11, 2011, 06:58:31 pm
ข้าวหนึ่งคำน้ำหนึ่งขันจดจำจนวันตาย


ทุกวันนี้คนเราให้ความหนักแน่นในคำว่าบุญคุณ หรือการตอบแทนบุญคุณกันมากน้อยเพียงใด

โดย...อินทรชัย พาณิชกุล

“ข้าวหนึ่งคำ น้ำหนึ่งขัน จดจำจนวันตาย” วรรคทองของ วาณิช จรุงกิจอนันต์ นักเขียนซีไรต์ผู้ล่วงลับ ที่เคยกล่าวไว้กลางวงเหล้าในคืนหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน
ประโยคสั้นๆ แต่สรุปความหมายของคำว่า “กตัญญูรู้คุณ” และ “บุญคุณ” แบบคนเลือดสุพรรณได้อย่างลึกซึ้งตรึงใจ

แต่คงไม่ได้มีเพียงแค่คนสุพรรณเท่านั้นที่สร้างวลีอันเกี่ยวกับความ กตัญญูกตเวทีได้อย่างคมคาย เชื่อว่าคนป่าคนดอยบนเทือกสูงทางภาคเหนือ ลูกอีสานบนที่ราบสูง ลูกน้ำเค็มแห่งทะเลตะวันออก ชาวดงแห่งผืนป่าตะวันตก นักเลงปักษ์ใต้ หรือแม้แต่จิ๊กโก๋คะนองกรุง ต่างใคร่เอาชีวิตตนแลกความตายได้เพื่อคนรัก



โดยเฉพาะลูกผู้ชายอกสามศอก เกิดมาทั้งทีบุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ ตีเหล็กหุ้มใจให้แกร่งกล้า ใครดีมาเราดีไป หากมาร้าย ร้ายคืนไป ดังที่ภาษิตจีนกล่าวไว้ว่า บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ

หวนรำลึกถึงอดีต เรื่องเล่าของชายพเนจร ออกรอนแรมไปในไพรลึก ขึ้นหุบลงห้วย ฝ่าภยันตรายจากคมเขี้ยวของสัตว์ร้ายและไข้ป่าตามหาสมุนไพรวิเศษ เพื่อนำมารักษาโรคภัยไข้เจ็บของตัวเองที่เข้าขั้นวิกฤต แล้วเกิดหลงป่า
วันแล้วคืนเล่าผ่านไปอย่างอ่อนระโหยโรยแรง ท้อแท้สิ้นหวัง ของแห้งเสบียงกรังที่เตรียมไปเริ่มร่อยหรอหมดเกลี้ยง ชายหนุ่มโซซัดโซเซด้วยพิษไข้ ล้มฟุบสลบไสลยังหน้ากระท่อมในราวป่า โชคดีได้สองตายายเจ้าของบ้านช่วยอุ้มขึ้นเรือนอย่างทุลักทุเล ป้อนข้าวป้อนน้ำจนรอดตายปาฏิหาริย์

ข้าวเย็นชืดในกระบอกไม้ไผ่ คลุกกินกับหน่อไม้ จิ้มน้ำพริกมะเขือ พร้อมน้ำหนึ่งขัน แค่นั้นก็เพียงพอให้หัวใจลูกผู้ชายจดจำบุญคุณไว้ไม่มีวันลืม

รุ่งขึ้น หลังขอบอกขอบใจสองตายายเป็นอันเรียบร้อย จึงได้รู้ความลับอันน่าใจหายว่าชายชรากำลังจะตายด้วยโรคร้ายโรคเดียวกับตน ปิดฉากชีวิตโดยไม่มีโอกาสแม้แต่จะเสาะหาสมุนไพรที่ว่านั้นมารักษาตัวเองได้ ชายพเนจรใช้เวลาไตร่ตรองเพียงเศษเสี้ยวนาที ตัดสินใจมอบยาให้แก่เจ้าบ้านผู้ช่วยให้ตนรอดชีวิต แล้วก็จากลามาอย่างเงียบๆ ก่อนจะหายสาบสูญไปไม่มีใครเห็นอีกเลย

เคยได้ยินเรื่องเพื่อนรักสองคน ในวันตกงานไม่มีจะกิน แบ่งมาม่าคนละครึ่งห่อต้มกินกันอย่างหิวโซ

หรือเรื่องเพื่อนหยิบยื่นเงินในกระเป๋าก้อนสุดท้ายในชีวิตให้เพื่อนที่กำลังจะตายด้วยโรคหัวใจล้มเหลว ไปหาหมอที่โรงพยาบาล

นักโทษประหารอดีตมือปืนผู้ลั่นไกปลิดชีวิตเหยื่อ สารภาพว่าทำไปเพื่อทดแทนบุญคุณ

ทุกวันนี้คนเราให้ความหนักแน่นในคำว่าบุญคุณ หรือการตอบแทนบุญคุณกันมากน้อยเพียงใด น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้รับจากผู้อื่น เราเคยหยิบยื่นสิ่งดีงามตอบแทนกลับไปบ้างไหม คำว่าขอบคุณเป็นเพียงถ้อยคำที่แสดงถึงความรับรู้ในสิ่งที่ได้รับ เป็นเพียงมารยาททางสังคมที่สามัญชนพึงกระทำ

แต่คำว่ารู้คุณและตอบแทนบุญคุณ เป็นเรื่องที่มีความหมายสำคัญลึกซึ้งกว่า เป็นการสำนึกในสิ่งดีงามที่เราได้รับ แล้วส่งกลับไปถึงผู้ให้ในเวลาที่เหมาะสม

แม้การทดแทนบุญคุณจะไม่ต้องรอคอยฤกษ์งามยามดี แต่ถึงอย่างนั้นถ้าได้ลงมือลงใจทำในจังหวะที่ถูกต้องและเหมาะสม ถูกที่ ถูกเวลา ผลลัพธ์จะออกมาอย่างสมบูรณ์แบบอย่างที่สุด

มิพักต้องเอ่ยถึงบุญคุณของพ่อแม่ที่ให้กำเนิด เลี้ยงดูเรามาจนเติบใหญ่ ครูอาจารย์ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้เราใช้ทำมาหากินเลี้ยงชีพจนทุก วันนี้ พี่น้องผองเพื่อนคนรักที่คอยให้กำลังใจ อยู่เคียงข้าง ช่วยเหลือทุกสิ่ง|ทุกอย่างในวันที่ชีวิตต้องเผชิญกับความยากลำบาก แม้กระทั่งศัตรูผู้มอบบทเรียนชีวิตอันล้ำค่า

คำชื่นชม คำด่า คำวิพากษ์วิจารณ์ ทุกคน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา ล้วนต้องจดจำ จารึกไว้ในหัวใจไปจนวันตาย

ดังเช่นข้าวเพียงหนึ่งคำ น้ำหนึ่งขันของชายผู้รอดชีวิต

-http://www.posttoday.com/%E0%B9%84%E0%B8%A5%E0%B8%9F%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B9%8C/%E0%B9%84%E0%B8%A5%E0%B8%9F%E0%B9%8C/110180/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A2-

.

ข้าวหนึ่งคำน้ำหนึ่งขันจดจำจนวันตาย - โพสต์ทูเดย์ ข่าวไลฟ์สไตล์

.

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2325.html#post5101766 (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2325.html#post5101766)

http://board.palungjit.com/groups/%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%86-2139-page5.html#gmessage32092 (http://board.palungjit.com/groups/%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%86-2139-page5.html#gmessage32092)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 18, 2011, 08:51:07 pm
วันนี้ นำเงินจำนวน 43,820 บาท ไปมอบให้กับคณะผู้ดำเนินการสร้างพระอานนท์เรียบร้อยแล้ว รายละเอียดผมจะแจ้งอีกครั้งครับ

และผมไ้ด้นำมวลสาร แผ่นทองเหลือง , แผ่นเงิน และแผ่นทองแดง ที่ผ่านพิธีพุทธาภิเษก (พิธีพุทธาภิเษกผ้ายันต์ครอบจักรวาล) และตะกรุดหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า(หลวงปู่ศุข ท่านจารด้วย) นำไปเพื่อหล่อองค์พระอานนท์เถระเจ้าครับ

มาโมทนาบุญร่วมกัน
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 18, 2011, 08:53:39 pm

เรื่องที่เกี่ยวข้องกับพิธีพุทธาภิเษก วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม 2550
กระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้
หลวงปู่สุภา กันตสีโล

สำเร็จลุน
พระครูโพนเสม็ด (ญาคูขี้หอม)
พระอาจารย์สีทัตถ์ วัดท่าอุเทน นครพนม

พระครูวิหารกิจจานุการ (หลวงพ่อปาน)
พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

ผ้า ยันต์ครอบจักรวาลนี้ ได้รับการอธิษฐานจิต จาก หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 5 พระองค์ ,สำเร็จลุน พระครูโพนเสม็ด (ญาคูขี้หอม) พระอาจารย์สีทัตถ์ วัดท่าอุเทน นครพนม ,พระครูวิหารกิจจานุการ(หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค) พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง) , หลวงปู่สุภา กันตสีโล

โมทนาสาธุครับ

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2329.html#post5130174 (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2329.html#post5130174)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ กันยายน 19, 2011, 03:11:01 am
 :13: อนุโมทนาครับพี่หนุ่ม
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 27, 2011, 10:05:00 pm
รูป
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 29, 2011, 10:18:19 pm
นนี้, 10:32 PM      #48632
:::เพชร:::
สมาชิก
 
:::เพชร:::
 
วันที่สมัคร: Jul 2006
อายุ: 46
ข้อความ: 8,284
พลังการให้คะแนน: 4079

   
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ TrainSSS อ่านข้อความ
ทำได้ครับ และยินดีอย่างยิ่งครับ
ต้องขอโทษที่ตอบช้าครับ เนื่องจากวันนี้ยังทำงานอยู่ ที่ทำงานเข้าเน็ตไม่ได้ครับ
ปีนี้ผมขอร่วมทำบุญจำนวน 500บาท ที่สำนักงานมูลนิธิพระดาบส ไทยพาณิชย์ สาขาเทเวศน์ เลขที่บัญชี 020-2-54900-4 ขอบOK. พรุ่งนี้เช้าจะโอนเงินได้ครับ
ขอขอบคุณ คุณเพชรที่เมตตาครับ
เทรน
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ TrainSSS
ทำสมาธิถวายพระองค์ท่านวันสิ้นปีต่อปีใหม่ ๙ นาทีก่อนสิ้นปี ต่อช่วงวันปีใหม่ ๙ นาที รวม ๑๘ นาที

ทำสมาธิถวายองค์หลวงปู่เทพโลกอุดร ใช่หรือไม่ครับ

ที่อยู่ คุณเทรน
131/52 ซ.รังสิต-นครนายก65 ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี 12130
Tel. 086-5087619

ถ้าอยู่ไม่ไกลกันมาก จะให้ผมไปรับด้วยตัวเองก็ยินดีนะครับ ถ้าตกลงตามนี้ โอนเงินทางATM แล้วผมจะแจ้งกลับอีกครั้งครับ
ขอบคุณครับ
เทรน

---------------------------------------------------------------------------------

:::เพชร:::
"พระองค์ท่าน" คือ ในหลวง รัชกาลปัจจุบันครับ ...

แต่หากจะทำสมาธิเพื่อหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ก็ทำพร้อมกันได้ครับ เอาอย่างนี้ดีกว่าครับ ใหนๆก็มีความศรัทธาเป็นที่ตั้งแล้ว ก็เพิ่มสวดพระกัณฑ์ไตรปิฎกถวายหลวงปู่ท่านด้วยเลยก็ดีครับ...

วันพรุ่งนี้ผมส่งพัสดุไปให้ครับ

สรุปว่า

1) ให้ทำบุญกับมูลนิธิพระดาบส จำนวนเท่าไหร่ก็ได้ตามแต่สะดวก 1 สลึงก็ใช้ได้แล้วครับ และไม่ต้องแจ้งจำนวนทำบุญกับผมแต่อย่างใด เอาใจเป็นที่ตั้ง..

โอนเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์ สำนักงานมูลนิธิพระดาบส ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาเทเวศน์ เลขที่บัญชี 020-2-54900-4

2) ทำสมาธิถวายหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร และในหลวง ในวันสิ้นปี( ๓๐ ธ.ค. ๒๕๕๔) ๙ นาที ก่อนสิ้นปี ต่อปีใหม่(๑ ม.ค. ๒๕๕๕) ๙ นาที (เวลา ๒๓.๕๑-๐.๐๙ น.) รวม ๑๘ นาที

3) สวดพระกัณฑ์ไตรปิฎก ๑ จบถวายหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 31, 2011, 08:22:51 pm
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทาน ส.ค.ส.ปี พ.ศ.2555 แก่ปวงชนชาวไทย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
31 ธันวาคม 2554 20:02 น.

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1829018&stc=1&d=1325338626)

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทาน ส.ค.ส.ปี พ.ศ.2555 แก่ปวงชนชาวไทย เนื่องในโอกาสวาระดิถีขึ้นปีใหม่

ส.ค.ส.พระราชทาน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในปีพุทธศักราช 2555 นี้ เป็นพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในฉลองพระองค์สากลสีเทาลายริ้วสีอ่อน ปกด้านซ้ายทรงประดับเข็มเครื่องหมายมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ มูลนิธิที่พระราชทานกำเนิดและทรงดำรงตำแหน่งพระบรมราชูปถัมภก ทรงผูกเนคไทสีแดงลวดลายสีทอง เข้าชุดกับผ้าปักพระกระเป๋า ฉลองพระองค์ชั้นในเป็นเชิ้ตขาว

ประทับบนเก้าอี้ ด้านข้างพระเก้าอี้ที่ประทับทั้งสองข้าง มีโต๊ะกลม โต๊ะด้านขวาวางแจกันขนาดเล็กปักดอกไม้หลากสี ทรงฉายร่วมกับสุนัขทรงเลี้ยง คือ คุณทองแดงที่ทรงเลี้ยงมาตั้งแต่ปี 2541 สวมเสื้อสีทอง หมอบอยู่แทบพระบาท หน้าพระเก้าอี้ด้านซ้าย

ด้านหลังพระเก้าอี้ที่ประทับตกแต่ง เป็นสวนดอกไม้ประดับ ด้านซ้ายมีระแนงไม้สีขาว ประดับอักษรชมพู ข้อความภาษาไทยว่า สวัสดีปีใหม่ และข้อความภาษาอังกฤษ ว่า Happy New Year ด้านขวามีต้นสนประดับเครื่องตกแต่ง ฉากหลัง เป็นผ้าม่านสีเทาอ่อน ด้านซ้ายบน มีตราพระมาหพิชัยมงกุฎประดับ ส่วนด้านขวามมีผอบทองประดับ

ตรงกลาง ส.ค.ส. ด้านขวา มีข้อความจากบทพระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนก ซึ่งเป็นคำตอบที่พระมหาชนกทรงตอบนางมณีเมขลาว่า "ถึงจะมองไม่เห็นฝั่ง เราก็ต้องพยายามว่าย อยู่ท่ามกลางมหาสมุทร โภคะทั้งหลาย มิได้สำเร็จด้วยเพียงคิดเท่านั้น" ทรงเตือนสติให้คนไทยทั้งหลายมีความเพียร เช่นเดียวกับพระมหาชนก ที่ทรงอดทนว่ายน้ำในมหาสมุทรด้วยความเพียร จนรอดชีวิต ประโยชน์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น ล้วนเกิดจาการกระทำ ไม่ได้เกิดจากแค่เพียงความคิด

ตรงกลาง ส.ค.ส. ด้านซ้าย มีข้อความภาษาไทยพิมพ์ด้วยสีชมพูขอบสีเหลืองว่า ขอจงมีความสุขความเจริญ ๒๕๕๕ และ ข้อความภาษาอังกฤษพิมพ์ด้วยสีแดงขอบสีเหลืองว่า Happy New Year 2012

ด้านล่างของ ส.ค.ส. มีข้อความเป็นตัวหนังสือพิมพ์ด้วยสีน้ำเงินว่า ขอจงมีความสุข ความเจริญ มุมล่างขวา มีข้อความ ก.ส. 9 ปรุง 185029 ธค.54 พิมพ์ที่โรงพิมพ์สุวรรณชาด ท.พรหมบุตร, ผู้พิมพ์โฆษณา Printed at the Suvarnnachad publishing , D Bramaputra , Publisher

กรอบของ ส.ค.ส. พระราชทานฉบับนี้ เป็นภาพใบหน้าคนเล็กๆ เรียงกันด้านละ 3 แถว ส่วนด้านบนและด้านล่างเรียงกันด้านละ 2 แถว ทุกหน้ามีแต่รอยยิ้ม


-http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9540000166818-

.



หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 31, 2011, 08:23:45 pm
.
จาก pm (Private Message)


Private Message: ขอร่วมบริจาค
วันนี้, 10:08 AM    
Nui28
สมาชิก

วันที่สมัคร: Nov 2011
ข้อความ: 0
พลังการให้คะแนน: 0


   
ขอร่วมบริจาค


เรียนคุณสิทธิพงศ์
จาก การที่ได้ติดตามอ่านเรื่องราวของหลวงปู่เทพโลกอุดร ผมมีความศรัทธาในหลวงปู่จึงขอร่วมทำบุญ ซึ่งผมอยากได้พระปิดตาพิมพ์หลวงพ่อแก้วกับพระผงวาสนาที่หลวงปู่ทั้ง 5 องค์ปลุกเสกคับ ส่วนการทำบุญผมจะทำตามที่คุณสิทธิพงศ์ได้แนะนำคุณ Trainsss ในหน้าพระวังหน้าก็ได้คับ ส่วนแต่ละที่จะให้ร่วมบริจาคเท่าไรนั้นคุณสุทธิพงศ์ช่วยระบุให้ด้วยคับ ขอขอบคุณที่ให้ความรู้คับ


--------------------------------------------------------------------------



คุณ sithiphong
.

ขอโมทนาบุญครับ



สำหรับการทำบุญ ยินดีครับ

แต่ว่า ในปัจจุบัน มีการให้เช่าพระวังหน้าด้วยจำนวนเงินที่สูงมาก บางเว็บฯยังนำพระเก๊มาให้เข่าองค์ละ 5,000 บาท ก็ยังมี

หากต้องการที่จะได้จริงๆ ผมให้ร่วมทำบุญ 6,000.- บาท โดยแบ่งการทำบุญดังนี้

1.มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ จำนวนเงิน 1,000.-บาท







2.มูลนิธิชัยพัฒนา จำนวนเงิน 1,000.-บาท
ชื่อบัญชี มูลนิธิชัยพัฒนา
บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 067-2-00011-9
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาย่อยสวนจิตรลดา
เมื่อโอนเงินร่วมทำบุญแล้ว ให้เขียนชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ให้ชัดเจนแล้วส่งไปที่เบอร์FAX 0-2282-3339
โทรศัพท์ 0-2282-4425-8 ,0-2282-3338

3.สภากาชาดไทย จำนวนเงิน 1,000.-บาท
ชื่อบัญชี : สภากาชาดไทย เพื่อการรับ
บริจาคเงินต่าง ๆ
เลข ที่ : 045-2-88000-6
ประเภท : ออมทรัพย์
ธนาคาร : ไทยพาณิชย์
สาขา : สภากาชาดไทย
หมายเหตุ :แฟกซ์ใบนำฝากพร้อมชื่อ-ที่อยู่ ที่หมายเลข 0-2256-4064
สอบถามโทร 0-2256-4068
หรือแฟ็กซ์ที่หมายเลข0-2256-4069
สอบถามโทร. 02-256-4000
ต่อ 3293 และ 3299
E-mail finance@redcross.or.th


4.ทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร 1,000.-บาท
ชื่อบัญชี "ศ. ทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร" (pratom foundation)
บัญชีออมทรัพย์ หมายเลข 348-1-23245-9
บัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาถนนวิภาวดีรังสิต (ซันทาวเวอร์ส)

5.งานบุญต่างๆจา่กกระทู้ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิจำนวนเงินร่วมทำบุญ 1,000.-บาท
บัญชีบมจ.ธ.กรุง ไทย สาขาลาดพร้าว102 บช.ออมทรัพย์เลขที่1890-13128-8 บัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ

6.ร่วมสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมบ่อเงินบ่อทอง จำนวน 1,000.-บาท
กระทู้ขอความเมตตาช่วยต่อชีวิตพระเณรบช.ออมทรัพย์ 2030-06304-5 บัญชี รร.พระปริยัติธรรมบ่อเงินบ่อทองบมจ.ธ.กรุงไทย สาขาพนมสารคาม
-http://board.palungjit.com/f179/ขอความเมตตาช่วยต่อชีวิต-พระเณร-21733-123.html-

เมื่อร่วมทำบุญแล้ว ให้โพสสลิปลงในกระทู้พระวังหน้าฯ
ในกรณีโพสสลิป ให้ขีดชื่อ - นามสกุล ,ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ของท่านออก ให้เหลือแค่รายละเอียดการโอนเงินร่วมทำบุญเท่านั้น

ผมจะจัดส่งพระสมเด็จเนื้อผงยาวาสนา ให้ 1 องค์ และพระปิดตา พิมพ์หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ให้ 1 องค์ครับ



ส่วนค่าจัดส่ง ไม่ต้อง ผมจ่ายให้เองครับ
(มีน้องของผมบางท่าน ได้ร่วมจ่ายค่าจัดส่งให้เช่นกัน)


ส่วนเรื่องของการศึกษา คงต้องใช้ความพยายามในการอ่านในกระทู้พระวังหน้าฯเท่านั้นครับ ผมไม่มีการลงในเว็บอื่นๆ แต่อาจจะมีบางเรื่องที่ผมไม่ได้ลงในกระทู้พระวังหน้าฯเว็บพลังจิต แต่ผมไปลงในเว็บใต้ร่มธรรมครับ



.



ในชีวิตผมนี้ ตั้งแต่ได้พบได้เห็นบุคคลต่างๆมากมาย

ผมยังไม่เคยเห็นใคร หรือ ท่านใด ที่ช่วยเหลือผู้คนได้มากขนาดในหลวง

สำหรับบุคคลธรรมดา ที่ไม่ใช่พระสงฆ์ ในหลวงเป็นบุคคลที่สุดยอดของโลกนี้แล้วครับ

ทำบุญร่วมกับพระองค์ท่าน ต้องดีเลิศแน่นอน

ผมรับประกันได้ครับ

ผมเองอย่างที่เคยบอกไว้ในกระทู้พระวังหน้าฯ ผมเองทำบุญเกือบทุกวัน ยกเว้นวันอาทิตย์ที่บางครั้งก็ลืมทำ ผมจะมีอยู่ 1 กล่องที่ผมทำบุญกับมูลนิธิราชประชาฯ หรือ มูลนิธิชัยพัฒนา หรือ สภากาชาดไทย ครับ

.

การร่วมทำบุญเืพื่อรับพระวังหน้าในกระทู้พระวังหน้าฯและกระทู้ที่sithiphong ได้ตั้งขึ้นเพื่องานบุญทุกๆงาน

หมายเหตุ 1 ผมไม่ถ่ายรูปพระพิมพ์ลงในเว็บครับ

หมายเหตุ พระ พิมพ์(พระเครื่อง)ที่ผมจะมอบให้เพื่อเป็นพุทธานุสติและเพื่อบูชานั้น เป็นพระพิมพ์(พระเครื่อง)ที่ไม่สามารถนำไปซื้อขายในวงการพระเครื่องไทย(วง การซื้อ-ขายพระ) ได้ หากท่านต้องการพระพิมพ์(พระเครื่องที่สามารถนำไปซื้อขายในวงการพระเครื่อง ของเมืองไทย (วงการซื้อ-ขายพระ) ก็ไม่ต้องร่วมทำบุญและรับพระพิมพ์(พระเครื่อง)ไป

แต่ พระพิมพ์(พระเครื่อง) ที่ผมมอบให้นั้น เป็นพระพิมพ์(พระเครื่อง) ที่สร้างขึ้นที่วังหน้า โดยกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ มีพระบัณฑูรให้สร้างขึ้น โดยช่างสิบหมู่แห่งวังหน้าเป็นผู้สร้าง และนำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงที่วัดบวรสถานสุทธาวาส (พระอุโบสถประจำวังหน้า) มีการอาราธนาคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) และ หรือ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และ หรือ กลุ่มหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ (เช่น หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน , หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า , หลวงปู่ภู วัดอินทรวิหาร , หลวงปู่กรมพระยาปวเรศ เป็นต้น) อธิษฐานจิต ระหว่างปี พ.ศ.2400- 2428 หรือ พระที่สร้างขึ้นที่วังหลวง นำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงที่ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว) ปี พ.ศ.2429-2434

แต่ หากจะนำไปเพื่อเป็นพุทธานุสติ และหรือการห้อยคอเพื่อคุ้มครองตนเอง และหรือการบูชาต่างๆ เพื่อเป็นการบูชาพระคุณองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามกุกุกสันโธ ,องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม สมณโคดม ,หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ,สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ( การบูชาพระคุณพระสิวลีเถระเจ้า ,พระอนุรุธเถระเจ้า ,พระอุปคุตเถระเจ้า เนื่องจากการนำเข้าพิธีพุทธาภิเษกเพิ่มเติม) ,การบูชาพระคุณองค์พระมหากษัตริย์ไทยทุกๆพระองค์ ,พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ,องค์อุปราชวังหน้า รัตนโกสินทร์ทุกๆพระองค์ และทั้งช่างสิบหมู่แห่งวังหน้า ,วังหลวง ,วังหลัง ,ช่างราษฎร์ทุกๆท่านและเทพเทวาทั้ง 16 ชั้นฟ้าและที่อยู่ในองค์พระพิมพ์(พระเครื่อง)ครับ

ซึ่ง เรื่องที่ผมได้บอกนั้น เป็นความเชื่อ ,ความเห็นของผม รวมทั้งคณะของผม ซึ่งก็แล้วแต่ท่านผู้ร่วมทำบุญและท่านผู้อ่านทุกๆท่าน จะมีความคิดเห็นอย่างไร ก็สุดแล้วแต่ครับ

โมทนาบุญทุกประการกับทุกๆท่านครับ


http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2435.html#post5517649 (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2435.html#post5517649)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 01, 2012, 11:00:14 am
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 01, 2012, 05:06:22 pm
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 01, 2012, 05:08:18 pm
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 01, 2012, 05:27:53 pm
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 01, 2012, 05:28:41 pm
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 01, 2012, 05:44:43 pm
เรียน ท่านประธานชมรมพระวังหน้า , ท่านรองประธานชมรมพระวังหน้า
ท่านผู้ช่วยเลขานุการชมรมพระวังหน้า , ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้าทุกๆท่าน , ท่านผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้าทุกท่าน และ พี่ๆเพื่อนๆน้องๆทุกๆท่าน

ขอเชิญร่วมทำบุญ ถวายพระบูชา(รัตนะ) ปางอุ้มบาตร

ผมเองตั้งใจไว้ในการถวายพระบูชา(รัตนะ) ปางอุ้มบาตร แด่พระอาจารย์รูปหนึ่ง ผมเองไม่อยากที่จะทำบุญคนเดียว แต่ต้องการที่จะให้ทุกๆท่านมีส่วนในการทำบุญนี้

การร่วมทำบุญ ไม่มีกำหนดว่า จะต้องทำบุญจำนวนเงินเท่าไหร่ แล้วแต่ศรัทธาของทุกๆท่าน

เงินที่ทุกๆท่านร่วมทำบุญมา จะแบ่งออกเป็น 4 ส่วน

ส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2 จะนำเงินเข้าชมรมพระวังหน้า

ส่วนที่ 3 ร่วมทำบุญในงานบวชพระภิกษุ ที่่จะไปปฎิบัติธรรมที่สวนทิพย์โลกอุดร (ขอสงวนสิทธิ์ไม่แจ้งบนบอร์ด ผมได้แจ้งทาง Email เรียบร้อยแล้ว)

ส่วนที่ 4 ร่วมทำบุญกับทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร

เริ่มทำบุญตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555
สิ้นสุดในวันที่ 31 มกราคม 2555

บัญชีที่ใช้ในการโอนเงินร่วมทำบุญ (ขอไม่แจ้งบนบอร์ด)

เมื่อท่านโอนเงินแล้ว รบกวนแจ้งรายชื่อของท่านมาที่ผม ผมจะรวบรวมรายชื่อถวายพระอาจารย์รูปหนึ่ง และ ทางทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร

หมายเหตุ ผมรบกวนพี่สิทธิพร ให้ลูกน้องพี่ มาัอัญเชิญไปมอบให้พี่สิทธิพร และฝากพี่เป็นตัวแทนผมและทุกๆท่านที่ร่วมทำบุญ ในการถวายพระบูชา(รัตนะ) ปางอุ้มบาตร ถวายพระอาจารย์รูปหนึ่งด้วย และแล้วแต่ท่านจะอัญเชิญไปไว้ที่ไหนสุดแล้วแต่ท่านครับ

โมทนาบุญกับทุกๆท่าน

หมายเหตุ ไม่มีพระวังหน้าแจกครับ



จาก pm ผม

Private Message: อยากเข้าชมรมครับ
วันนี้, 04:28 PM    
somdetto
สมาชิก

วันที่สมัคร: Dec 2011
ข้อความ: 0
พลังการให้คะแนน: 0


   
อยากเข้าชมรมครับ


พี่sithiphongครับ ผมอยากเข้าชมรมแต่สมัครไม่ได้สักทีครับ และผมอยากบูชาพระวังหน้าไม่รู้จะทำอย่างไงผมขอคุยกับพี่ทางโทรศัพท์ได้ไหม ครับ
ขอบคุณครับ




--------------------------------------------------

เรื่องของการสมัครเข้าชมรมพระวังหน้า ผมว่าเป็นไปไม่้ได้แล้ว ณ วันนี้ เนื่องจากชมรมพระวังหน้า มีกติกาในการรับสมัครไว้ค่อนข้างเยอะ ผู้ที่มีอำนาจในการอนุมัติการรับสมัครสมาชิกชมรมพระวังหน้า มี 3 ท่าน ก็คือ 1.ท่านประธานชมรมพระวังหน้า 2.ท่านรองประธานชมรมพระวังหน้า และ 3.เลขานุการชมรมพระวังหน้า(คือผม)

หากจะสมัครผ่านผม มีกติกาเยอะมาก ผมจะมีตารางในการให้คะแนนในแต่ละเดือน หากผ่านเกณฑ์ในส่วนของตารางการให้คะแนนแล้ว ผมยังนำเรื่องของผู้ที่สนใจสมัครสมาชิกชมรมพระวังหน้า เข้าไปขอความเห็นของสมาชิกชมรมพระวังหน้า ที่ให้ลงความเห็นรับรองผู้ที่จะสมัครสมาชิกชมรมพระวังหน้าว่า จะไ่ม่ทำผิดกฎและระเบียบต่างๆของชมรมพระวังหน้า ซึ่งจำนวนสมาชิกชมรมพระวังหน้าที่ลงความเห็นรับรองต้องมีำจำนวนความเห็นรับรองกึ่งหนึ่งของสมาชิกชมรมพระวังหน้า ในส่วนนี้ที่ผมเห็นว่ายากมาก ก็เนื่องจากว่า หากไม่มีการรู้จักกันมาพอสมควร คงไม่มีสมาชิกชมรมพระวังหน้าท่านใดลงความเห็นในเรื่องของการรับรองว่า ผู้สมัครจะไม่ทำผิดกฎและระเบียบต่างๆของชมรมพระวังหน้าได้

ส่วนเรื่องการบูชา ผมไม่มีพระวังหน้าให้บูชา แต่จะมอบให้กับผู้ร่วมทำบุญในวาระต่างๆได้ ส่วนวาระการร่วมทำบุญ ผมจะแจ้งให้ทราบเป็นระยะในกระทู้พระวังหน้าฯ ในเว็บพลังจิต และ กระทู้ชมรมพระวังหน้าเพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ ในเว็บใต้ร่มธรรม ครับ

เรียนมาเพื่อทราบ
sithiphong
1/1/2554

.

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2436.html#post5520862 (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2436.html#post5520862)

.

เรียน ท่านผู้อ่านทุกๆท่าน

วันนี้ผมได้ยินข่าวมาว่า มีร้านขายพระบางร้าน ได้บอกกับลูกค้าของร้านนั้นๆว่า วัตถุมงคลที่อยู่ในร้านเขา "อาจารย์หนุ่ม ลูกศิษย์อาจารย์ประถม เสกวัตถุมงคลให้"

ผมขอแจ้งให้ท่านผู้อ่านทุกๆท่านทราบว่า ผมเองได้ศึกษาพระวังหน้า ตามแนวทางของท่านอาจารย์ประถม และ ฆารวาสบางท่าน เท่านั้น ไม่ได้มีความสามารถในการเสกวัตถุมงคลต่างๆ ที่สำคัญ เสกไม่เป็น หรืออธิษฐานจิตไม่เป็น

ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าขายพระที่ไหนก็แล้วแต่ หรือว่าเป็นเว็บไซด์ หรือ บล็อกต่างๆ หรือว่า มีคนนำชื่อ หนุ่ม ลูกศิษย์อาจารย์ประถม (หรือ อาจารย์หนุ่ม ลูกศิษย์อาจารย์ประถม หรือ sithiphong ลูกศิษย์อาจารย์ประถม หรือ sithiphong เจ้าของกระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....) ไปแอบอ้างว่า เป็นเจ้าของพระ หรือ เสกพระเครื่องให้ หรือเสกวัตถุมงคลต่างๆให้ นั้น

ขอให้ทราบว่า เป็นการแอบอ้าง ผมไม่ได้มีส่วนรู้ ทราบ และเห็นในเรื่องของการค้าขายพระเครื่อง หรือ พระวังหน้า (ไม่ว่าจะแท้หรือเก๊) ครับ

กระทู้หลักๆของผม จะอยู่ที่เว็บพลังจิต และเว็บใต้ร่มธรรม เท่านั้น

เว็บ PaLungJit.com > ภูมิภาคและประชาสัมพันธ์ > ศูนย์ ประชาสัมพันธ์ > งานบุญอื่นๆ > พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

และเว็บ ใต้ร่มธรรม »

    Forum »
    ประชาสัมพันธ์ »
    108 โทรโข่ง »
    ประชาสัมพันธ์ทางธรรม (ผู้ดูแล: มดเอ๊กซ, ลิโพ) »
    ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ




จึงเีรียนมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

sithiphong
1/1/2555

.

-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,4172.new.html#new-

-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2436.html#post5520819-



http://www.tairomdham.net/index.php/topic,4172.new.html#new (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,4172.new.html#new)

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2436.html#post5520819 (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2436.html#post5520819)
.

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong
จาก pm ผม


.__________________ __________________.


Private Message: อยากเข้าชมรมครับ
วันนี้, 04:28 PM    
somdetto
สมาชิก

วันที่สมัคร: Dec 2011
ข้อความ: 0
พลังการให้คะแนน: 0


   
อยากเข้าชมรมครับ


พี่sithiphongครับ ผมอยากเข้าชมรมแต่สมัครไม่ได้สักทีครับ และผมอยากบูชาพระวังหน้าไม่รู้จะทำอย่างไงผมขอคุยกับพี่ทางโทรศัพท์ได้ไหม ครับ
ขอบคุณครับ

.__________________ __________________.
.__________________ __________________.
.__________________ __________________.
--------------------------------------------------

เรื่องของการสมัครเข้าชมรมพระวังหน้า ผมว่าเป็นไปไม่้ได้แล้ว ณ วันนี้ เนื่องจากชมรมพระวังหน้า มีกติกาในการรับสมัครไว้ค่อนข้างเยอะ ผู้ที่มีอำนาจในการอนุมัติการรับสมัครสมาชิกชมรมพระวังหน้า มี 3 ท่าน ก็คือ 1.ท่านประธานชมรมพระวังหน้า 2.ท่านรองประธานชมรมพระวังหน้า และ 3.เลขานุการชมรมพระวังหน้า(คือผม)

หากจะสมัครผ่านผม มีกติกาเยอะมาก ผมจะมีตารางในการให้คะแนนในแต่ละเดือน หากผ่านเกณฑ์ในส่วนของตารางการให้คะแนนแล้ว ผมยังนำเรื่องของผู้ที่สนใจสมัครสมาชิกชมรมพระวังหน้า เข้าไปขอความเห็นของสมาชิกชมรมพระวังหน้า ที่ให้ลงความเห็นรับรองผู้ที่จะสมัครสมาชิกชมรมพระวังหน้าว่า จะไ่ม่ทำผิดกฎและระเบียบต่างๆของชมรมพระวังหน้า ซึ่งจำนวนสมาชิกชมรมพระวังหน้าที่ลงความเห็นรับรองต้องมีำจำนวนความเห็น รับรองกึ่งหนึ่งของสมาชิกชมรมพระวังหน้า ในส่วนนี้ที่ผมเห็นว่ายากมาก ก็เนื่องจากว่า หากไม่มีการรู้จักกันมาพอสมควร คงไม่มีสมาชิกชมรมพระวังหน้าท่านใดลงความเห็นในเรื่องของการรับรองว่า ผู้สมัครจะไม่ทำผิดกฎและระเบียบต่างๆของชมรมพระวังหน้าได้

ส่วนเรื่องการบูชา ผมไม่มีพระวังหน้าให้บูชา แต่จะมอบให้กับผู้ร่วมทำบุญในวาระต่างๆได้ ส่วนวาระการร่วมทำบุญ ผมจะแจ้งให้ทราบเป็นระยะในกระทู้พระวังหน้าฯ ในเว็บพลังจิต และ กระทู้ชมรมพระวังหน้าเพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ ในเว็บใต้ร่มธรรม ครับ

เรียนมาเพื่อทราบ
sithiphong
1/1/2554

.__________________ __________________.
.__________________ __________________.


ส่วน "กลุ่ม พระวังหน้า" เว็บพลังจิตกลุ่มนี้ ดูแลรักษาโดย sithiphong
บรมครูพระเทพโลกอุดร
พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้...
ยินดีต้อนรับ

PaLungJit.com > กลุ่มชมรม > พระเครื่อง-วัตถุมงคล > พระวังหน้า


กลุ่มนี้ หากเป็นสมาชิกเว็บพลังจิต สามารถสมัครได้ทุกท่าน แต่ไม่เกี่ยวข้องกับ ชมรมพระวังหน้า ครับ


-http://board.palungjit.com/groups/6/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 01, 2012, 09:13:18 pm
.
จาก pm (Private Message)


Private Message: ขอร่วมบริจาค
วันนี้, 10:08 AM    
Nui28
สมาชิก

วันที่สมัคร: Nov 2011
ข้อความ: 0
พลังการให้คะแนน: 0


   
ขอร่วมบริจาค


เรียนคุณสิทธิพงศ์
จาก การที่ได้ติดตามอ่านเรื่องราวของหลวงปู่เทพโลกอุดร ผมมีความศรัทธาในหลวงปู่จึงขอร่วมทำบุญ ซึ่งผมอยากได้พระปิดตาพิมพ์หลวงพ่อแก้วกับพระผงวาสนาที่หลวงปู่ทั้ง 5 องค์ปลุกเสกคับ ส่วนการทำบุญผมจะทำตามที่คุณสิทธิพงศ์ได้แนะนำคุณ Trainsss ในหน้าพระวังหน้าก็ได้คับ ส่วนแต่ละที่จะให้ร่วมบริจาคเท่าไรนั้นคุณสุทธิพงศ์ช่วยระบุให้ด้วยคับ ขอขอบคุณที่ให้ความรู้คับ


--------------------------------------------------------------------------



คุณ sithiphong
.

ขอโมทนาบุญครับ



สำหรับการทำบุญ ยินดีครับ

แต่ว่า ในปัจจุบัน มีการให้เช่าพระวังหน้าด้วยจำนวนเงินที่สูงมาก บางเว็บฯยังนำพระเก๊มาให้เข่าองค์ละ 5,000 บาท ก็ยังมี

หากต้องการที่จะได้จริงๆ ผมให้ร่วมทำบุญ 6,000.- บาท โดยแบ่งการทำบุญดังนี้

1.มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ จำนวนเงิน 1,000.-บาท







2.มูลนิธิชัยพัฒนา จำนวนเงิน 1,000.-บาท
ชื่อบัญชี มูลนิธิชัยพัฒนา
บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 067-2-00011-9
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาย่อยสวนจิตรลดา
เมื่อโอนเงินร่วมทำบุญแล้ว ให้เขียนชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ให้ชัดเจนแล้วส่งไปที่เบอร์FAX 0-2282-3339
โทรศัพท์ 0-2282-4425-8 ,0-2282-3338

3.สภากาชาดไทย จำนวนเงิน 1,000.-บาท
ชื่อบัญชี : สภากาชาดไทย เพื่อการรับ
บริจาคเงินต่าง ๆ
เลข ที่ : 045-2-88000-6
ประเภท : ออมทรัพย์
ธนาคาร : ไทยพาณิชย์
สาขา : สภากาชาดไทย
หมายเหตุ :แฟกซ์ใบนำฝากพร้อมชื่อ-ที่อยู่ ที่หมายเลข 0-2256-4064
สอบถามโทร 0-2256-4068
หรือแฟ็กซ์ที่หมายเลข0-2256-4069
สอบถามโทร. 02-256-4000
ต่อ 3293 และ 3299
E-mail finance@redcross.or.th


4.ทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร 1,000.-บาท
ชื่อบัญชี "ศ. ทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร" (pratom foundation)
บัญชีออมทรัพย์ หมายเลข 348-1-23245-9
บัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาถนนวิภาวดีรังสิต (ซันทาวเวอร์ส)

5.งานบุญต่างๆจา่กกระทู้ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิจำนวนเงินร่วมทำบุญ 1,000.-บาท
บัญชีบมจ.ธ.กรุง ไทย สาขาลาดพร้าว102 บช.ออมทรัพย์เลขที่1890-13128-8 บัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ

6.ร่วมสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมบ่อเงินบ่อทอง จำนวน 1,000.-บาท
กระทู้ขอความเมตตาช่วยต่อชีวิตพระเณรบช.ออมทรัพย์ 2030-06304-5 บัญชี รร.พระปริยัติธรรมบ่อเงินบ่อทองบมจ.ธ.กรุงไทย สาขาพนมสารคาม
-http://board.palungjit.com/f179/ขอความเมตตาช่วยต่อชีวิต-พระเณร-21733-123.html-

เมื่อร่วมทำบุญแล้ว ให้โพสสลิปลงในกระทู้พระวังหน้าฯ
ในกรณีโพสสลิป ให้ขีดชื่อ - นามสกุล ,ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ของท่านออก ให้เหลือแค่รายละเอียดการโอนเงินร่วมทำบุญเท่านั้น

ผมจะจัดส่งพระสมเด็จเนื้อผงยาวาสนา ให้ 1 องค์ และพระปิดตา พิมพ์หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ให้ 1 องค์ครับ



ส่วนค่าจัดส่ง ไม่ต้อง ผมจ่ายให้เองครับ
(มีน้องของผมบางท่าน ได้ร่วมจ่ายค่าจัดส่งให้เช่นกัน)


ส่วนเรื่องของการศึกษา คงต้องใช้ความพยายามในการอ่านในกระทู้พระวังหน้าฯเท่านั้นครับ ผมไม่มีการลงในเว็บอื่นๆ แต่อาจจะมีบางเรื่องที่ผมไม่ได้ลงในกระทู้พระวังหน้าฯเว็บพลังจิต แต่ผมไปลงในเว็บใต้ร่มธรรมครับ



.



ในชีวิตผมนี้ ตั้งแต่ได้พบได้เห็นบุคคลต่างๆมากมาย

ผมยังไม่เคยเห็นใคร หรือ ท่านใด ที่ช่วยเหลือผู้คนได้มากขนาดในหลวง

สำหรับบุคคลธรรมดา ที่ไม่ใช่พระสงฆ์ ในหลวงเป็นบุคคลที่สุดยอดของโลกนี้แล้วครับ

ทำบุญร่วมกับพระองค์ท่าน ต้องดีเลิศแน่นอน

ผมรับประกันได้ครับ

ผมเองอย่างที่เคยบอกไว้ในกระทู้พระวังหน้าฯ ผมเองทำบุญเกือบทุกวัน ยกเว้นวันอาทิตย์ที่บางครั้งก็ลืมทำ ผมจะมีอยู่ 1 กล่องที่ผมทำบุญกับมูลนิธิราชประชาฯ หรือ มูลนิธิชัยพัฒนา หรือ สภากาชาดไทย ครับ

.

การร่วมทำบุญเืพื่อรับพระวังหน้าในกระทู้พระวังหน้าฯและกระทู้ที่sithiphong ได้ตั้งขึ้นเพื่องานบุญทุกๆงาน

หมายเหตุ 1 ผมไม่ถ่ายรูปพระพิมพ์ลงในเว็บครับ

หมายเหตุ พระ พิมพ์(พระเครื่อง)ที่ผมจะมอบให้เพื่อเป็นพุทธานุสติและเพื่อบูชานั้น เป็นพระพิมพ์(พระเครื่อง)ที่ไม่สามารถนำไปซื้อขายในวงการพระเครื่องไทย(วง การซื้อ-ขายพระ) ได้ หากท่านต้องการพระพิมพ์(พระเครื่องที่สามารถนำไปซื้อขายในวงการพระเครื่อง ของเมืองไทย (วงการซื้อ-ขายพระ) ก็ไม่ต้องร่วมทำบุญและรับพระพิมพ์(พระเครื่อง)ไป

แต่ พระพิมพ์(พระเครื่อง) ที่ผมมอบให้นั้น เป็นพระพิมพ์(พระเครื่อง) ที่สร้างขึ้นที่วังหน้า โดยกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ มีพระบัณฑูรให้สร้างขึ้น โดยช่างสิบหมู่แห่งวังหน้าเป็นผู้สร้าง และนำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงที่วัดบวรสถานสุทธาวาส (พระอุโบสถประจำวังหน้า) มีการอาราธนาคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) และ หรือ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และ หรือ กลุ่มหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ (เช่น หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน , หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า , หลวงปู่ภู วัดอินทรวิหาร , หลวงปู่กรมพระยาปวเรศ เป็นต้น) อธิษฐานจิต ระหว่างปี พ.ศ.2400- 2428 หรือ พระที่สร้างขึ้นที่วังหลวง นำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงที่ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว) ปี พ.ศ.2429-2434

แต่ หากจะนำไปเพื่อเป็นพุทธานุสติ และหรือการห้อยคอเพื่อคุ้มครองตนเอง และหรือการบูชาต่างๆ เพื่อเป็นการบูชาพระคุณองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามกุกุกสันโธ ,องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม สมณโคดม ,หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ,สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ( การบูชาพระคุณพระสิวลีเถระเจ้า ,พระอนุรุธเถระเจ้า ,พระอุปคุตเถระเจ้า เนื่องจากการนำเข้าพิธีพุทธาภิเษกเพิ่มเติม) ,การบูชาพระคุณองค์พระมหากษัตริย์ไทยทุกๆพระองค์ ,พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ,องค์อุปราชวังหน้า รัตนโกสินทร์ทุกๆพระองค์ และทั้งช่างสิบหมู่แห่งวังหน้า ,วังหลวง ,วังหลัง ,ช่างราษฎร์ทุกๆท่านและเทพเทวาทั้ง 16 ชั้นฟ้าและที่อยู่ในองค์พระพิมพ์(พระเครื่อง)ครับ

ซึ่ง เรื่องที่ผมได้บอกนั้น เป็นความเชื่อ ,ความเห็นของผม รวมทั้งคณะของผม ซึ่งก็แล้วแต่ท่านผู้ร่วมทำบุญและท่านผู้อ่านทุกๆท่าน จะมีความคิดเห็นอย่างไร ก็สุดแล้วแต่ครับ

โมทนาบุญทุกประการกับทุกๆท่านครับ


http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2435.html#post5517649 (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2435.html#post5517649)

.

ผมให้เวลาตัดสินใจจนถึงสิ้นเดือนมกราคม 2555

หลังจากนั้น หากไม่มีงานบุญที่ผมบอกในกระทู้พระวังหน้าฯนี้ ผมต้องให้ร่วมทำบุญไม่น้อยกว่า องค์ละ 10,000.-บาท

เพราะว่า ปัจจุบัน พระวังหน้าฯ ขนาดเก๊ บางเว็บฯยังขายกันองค์เป็นหมื่นก็มีครับ

แจ้งมาเพื่อทราบครับ

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2437.html#post5521570 (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2437.html#post5521570)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 15, 2012, 09:24:02 pm
วันนี้ กุ้งมังกอน , MEA , น้องรักคนดังและครอบครัว ฝากเงินมากับผมให้ทำบุญ

ผมจะดำเนินการทำบุญตามวัตถุประสงค์ให้

ต้องร่วมทำบุญให้ได้หลายๆบุญในวาระเดียวกัน

ขอเวลาคิดก่อนครับ


โมทนาบุญทุกประการ


.

สำหรับปีนี้ ผมขอให้สมาชิกชมรมพระวังหน้าทุกๆท่าน

ย้ำครับว่า ขอให้ใส่พิมพ์เ็ป็นที่รักของสามโลกเป็นหลัก

ผมบอกว่า ไม่ใช่เพียงแค่มหาเมตตา มหานิยม ที่ทำให้เป็นที่รักของสามโลกเท่านั้น ด้านอื่นๆก็มีครบเครื่องเช่นกัน

ส่วนจะใส่องค์อื่นด้วย ก็ไม่เป็นปัญหาครับ

.































หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 15, 2012, 09:24:53 pm
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong
.


วันนี้ ดีใจที่มีโอกาสได้พบกับ น้องรักคนดัง อีกทั้งได้พบกับสมาชิกชมรมพระวังหน้าหลายๆท่าน พี่เปี๊ยก , น้องฝน , คุณธวัช , กุ้งมังกอน , MEA และคุณPinkcivil

น้องรักคนดัง วันนี้รับไปเยอะครับ

สำหรับพิมพ์ พระสมเด็จ(เนื้อพระธาตุ) และ พิมพ์ 2408 พี่ฝากถวายพระภิกษุด้วยน๊ะครับ

ส่วนพิมพ์อื่นๆ พี่มอบให้น้องรักคนดัง จะนำไปทำอะไรแล้วแต่ความเห็นของน้องรักคนดังครับ


วันนี้ ผมเองก็แจกพระวังหน้าไปหลายองค์ ไม่ว่าจะเป็นพิมพ์เป็นที่รักของสามโลก , พระพุทธมหาธรรมราชา , พิมพ์ จุ๊ จุ๊ จุ๊ , พิมพ์หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง(พิมพ์ของวังหน้า) , พิมพ์หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์( พิมพ์ของวังหน้า) และพิมพ์พุทธประวัติ

แจกสนุกมือครับ

สำหรับพิมพ์เป็นที่รักของสามโลก ผมได้บอกกับพี่เปี๊ยกว่า สำหรับใครก็ตามที่ต้องการที่จะได้พิมพ์นี้ ผมให้ร่วมทำบุญองค์ละ 500,000 บาท หรือหากเป็นเจ้าภาพกฐิน หรือ ผ้าป่า ต้องมียอดเงินไม่น้อยกว่า 2,000,000 บาท ผมจะมอบพิมพ์เป็นที่รักของสามโลกให้

พี่เปี๊ยกครับ ผมขอเพิ่มอีก 1 พิมพ์ ในกติกาเดียวกันคือ พิมพ์พระพุทธมหาธรรมราชา (บุเงิน หรือ บุนาค) ครับ

ในปีหน้า 2556 จำนวนเงินที่ร่วมทำบุญเพื่อรับทั้งสองพิมพ์ ต้องสูงกว่านี้แน่นอนครับ

ยินดี และ ดีใจมาก ที่ได้มีโอกาสพบ พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่านครับ


.

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2458.html (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2458.html)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 16, 2012, 09:38:07 pm
เรียนทุกท่านที่ร่วมทำบุญ งานมหากุศลเป็นเจ้าภาพร่วมโดยเสด็จพระราชกุศลทอดกฐินตกค้างจำนวน ๘๔ วัด ใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทุกๆท่าน


ผมขอเรียนให้ทุกๆท่านทราบว่า ใบอนุโมทนาบัตร ได้มาถึงผมแล้วในวันนี้

ผมจะทยอยส่งให้ทุกๆท่านครับ

แต่มีเรื่องนึงที่ต้องแจ้งก็คือ พี่แอ๊วแจ้งผมมาว่า ในปีนี้ ทางกรมราชองค์รักษ์ไม่ได้ออกใบขอบคุณและอนุโมทนาบุญ มีเพียงใบอนุโมทนาบัตรเท่านั้น และคณะผู้ดำเนินการเป็นคนละคณะ ทหารที่นำรายชื่อไปให้ทางวัดออกใบอนุโมทนาบัตร ส่วนใหญ่ไม่ได้แจ้งว่าเป็นงานกฐิน ทางวัดหลายๆวัดจึงได้ลงมาเป็นผ้าป่า และ บางท่านมีใบอนุโมทนาับัตรมากกว่า 1 ใบ เช่นผม จะเป็นชื่อจริง 1 ใบ และ ชื่อในเว็บอีก 1 ใบ

ผมคิดว่า ทางทหารผู้ที่ไปติดต่อกับทางวัด ไม่ทราบรายละเอียด ก็เลยนำข้อมูลที่ผมส่งให้พี่แอ๊ว ไปให้ทางวัด 2 ชุดครับ และทหารจะแบ่งกันไปตามวัดต่างๆ เพื่อให้ทางวัดออกใบอนุโมทนาบัตรให้ครับ

แต่ใบอนุโมทนาบัตรนี้ สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ครับ ยกเว้นชื่อ 2 ท่าน หรือ ชื่อในเว็บพลังจิตครับ

โมทนาบุญกับทุกๆท่านครับ

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2460.html (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2460.html)

.

เรียน ท่านผู้อ่านทุกๆท่าน

วันนี้ผมได้ยินข่าวมาว่า มีร้านขายพระบางร้าน ได้บอกกับลูกค้าของร้านนั้นๆว่า วัตถุมงคลที่อยู่ในร้านเขา "อาจารย์หนุ่ม ลูกศิษย์อาจารย์ประถม เสกวัตถุมงคลให้"

ผมขอแจ้งให้ท่านผู้อ่านทุกๆท่านทราบว่า ผมเองได้ศึกษาพระวังหน้า ตามแนวทางของท่านอาจารย์ประถม และ ฆารวาสบางท่าน เท่านั้น ไม่ได้มีความสามารถในการเสกวัตถุมงคลต่างๆ ที่สำคัญ เสกไม่เป็น หรืออธิษฐานจิตไม่เป็น

ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าขายพระที่ไหนก็แล้วแต่ หรือว่าเป็นเว็บไซด์ หรือ บล็อกต่างๆ หรือว่า มีคนนำชื่อ หนุ่ม ลูกศิษย์อาจารย์ประถม (หรือ อาจารย์หนุ่ม ลูกศิษย์อาจารย์ประถม หรือ sithiphong ลูกศิษย์อาจารย์ประถม หรือ sithiphong เจ้าของกระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....) ไปแอบอ้างว่า เป็นเจ้าของพระ หรือ เสกพระเครื่องให้ หรือเสกวัตถุมงคลต่างๆให้ นั้น

ขอให้ทราบว่า เป็นการแอบอ้าง ผมไม่ได้มีส่วนรู้ ทราบ และเห็นในเรื่องของการค้าขายพระเครื่อง หรือ พระวังหน้า (ไม่ว่าจะแท้หรือเก๊) ครับ

กระทู้หลักๆของผม จะอยู่ที่เว็บพลังจิต และเว็บใต้ร่มธรรม เท่านั้น

เว็บ PaLungJit.com > ภูมิภาคและประชาสัมพันธ์ > ศูนย์ ประชาสัมพันธ์ > งานบุญอื่นๆ > พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

และเว็บ ใต้ร่มธรรม »

    Forum »
    ประชาสัมพันธ์ »
    108 โทรโข่ง »
    ประชาสัมพันธ์ทางธรรม (ผู้ดูแล: มดเอ๊กซ, ลิโพ) »
    ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ




จึงเีรียนมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

sithiphong
1/1/2555

.
จาก pm ผม


.

Private Message: สนใจพระวังหน้า
วันนี้, 11:38 AM    
art4dsd
สมาชิก

วันที่สมัคร: Dec 2009
ข้อความ: 1
พลังการให้คะแนน: 0


   
สนใจพระวังหน้า


สวัสดีครับ ผมชื่อ นายนัครินทร์ ............ ( .....Facebook ) ปัจจุบันทำงานในตำแหน่ง............ สังกัด.........................

มีความสนใจอยากศึกษาเรื่องพระสมเด็จกรมเจ้าท่า พระสมเด็จวัดพระแก้ว มาก และได้ลองค้นหาตามอินเตอร์เน็ตเลยพบ email ของคุณ เลยอยากรู้จักคุณ เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับพระเครื่องสูงสุดชุดนี้

ถ้าคุณสะดวกรบกวนแจ้งหมายเลขโทรศัพท์ของคุณ หรือ โทรหาผมได้ที่ ......................

ด้วยความนับถือ

นัครินทร์ ....................



------------------------------------------------

ผมไม่เคยแจ้งเบอร์โทรศัทพ์กับใครที่ผมไม่เคยรู้จัก

โดยส่วนตัว ผมเองได้พบ ไ้ด้เ่จอประสบการณ์ของผู้ที่เข้ามาต้องการที่จะรู้จักกับผมอย่างมากมาย

โดนแทงข้างหลังมาก็เยอะ หลังผมตอนนี้เหวะหวะมากแล้ว

พยายามรักษาแผลให้หายก่อน แต่แผลแบบนี้หายยากครับ

หากต้องการที่จะศึกษา ให้เข้าไปอ่านในกระทู้พระวังหน้าฯนี้ ผมลงองค์ความรู้ที่ผมได้รับจากครูบาอาจารย์ให้บางส่วนแล้ว อ่านแล้วก็จะพอทราบว่า องค์ความรู้เบื้่องต้นของพระวังหน้า เป็นอย่างไร

ความรู้บางเรื่อง ผมเองก็ลงในกระทู้พระวังหน้าฯนี้ไม่ได้ ก็เนื่องจากประสบการณ์ต่างๆที่ผมได้พบ ได้เห็น ได้เจอมานับตั้งแต่ที่ผมได้ตั้งกระทู้พระวังหน้าฯนี้ (23-12-2005, 06:59 AM ) ซึ่งบางคนบอกขนาดว่า นับถือผมเหมือนครูบาอาจารย์ แต่พอผิดหวังในเรื่องที่ตนเองต้องการ ก็เสียบข้างหลังผมซ๊ะเละ

ลองเข้าไปอ่านในกระทู้พระวังหน้าฯนี้ดูครับ

ต้องขอโทษที่ไม่สามารถที่จะให้เบอร์โทร.ผมได้ ผมเข็ดและกลัวที่ต้องพบประสบเหตุที่ไ้ด้พบเจอมาแล้วครับ


.
http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2436.html#post5520862 (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2436.html#post5520862)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 22, 2012, 06:37:06 pm
วันนี้ วันตรุษจีน

ขอนำสิ่งมงคลมาฝากชาวใต้ร่มธรรมครับ


โมทนา


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 23, 2012, 06:40:35 am
คำอวยพรสวัสดีปีใหม่

新正如意 新年发财 (ซินเจิ้งหรูอี้ ซินเหนียนฟาไฉ)... คิด หวังสิ่งใดขอให้สมหวังสมปรารถนาในปีใหม่นี้ มีแต่ความสุขมั่งคั่ง โชคดีร่ำรวยตลอดปี (ถ้าเป็นภาษาจีนแต้จิ๋วจะออกเสียงว่า ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้)

新年快樂 (ซินเหนียนไคว้เล่อ) ... ขอให้มีความสุขในวันปีใหม่


恭贺新年 (กงเฮ่อซินเหนียน) ... สุขสันต์วันปีใหม่


恭贺新禧 (กงเฮ่อซินสี่) ... สุขสันต์วันปีใหม่



คำอวยพรเกี่ยวกับเรื่องความร่ำรวย ประสบความสำเร็จ เจริญรุ่งเรือง

恭喜发财 (กงซีฟาไฉ) ... ขอให้ร่ำรวย

日进斗金 (ยื่อจิ้นโต้วจิน) ... ขอให้ชัยชนะ และเงินทองเข้ามาทุก ๆ วัน


大吉大利 (ต้าจี๋ต้าลี่) ... ค้าขายได้กำไร


招财进宝 (เจาไฉจิ้นเป่า) ... เงินทองไหลมาเทมา ทรัพย์สมบัติไหลเข้าบ้าน


金玉满堂 (จินอวี้หม่านถัง) ... ร่ำรวยเงินทอง ทองหยกเต็มบ้าน

日日有见财 (ยื่อยื่อโหย่วเจี้ยนไฉ) ... ทุกวันมีแต่ความร่ำรวย


黄金万两 (หวงจินว่านเหลี่ยง) ... ทองคำมากล้นทวีคูณ (ค้าขายให้มีกำไร ทรัพย์สินเงินทองมากมาย)
年年大赚钱 (เหนียนเหนียนต้าจ้วนเฉียน) ... ปีนี้ร่ำรวยมหาศาล


财源广进 (ไฉหยวนกว่างจิ้น) ... เงินทองไหลมาเทมา

年年有余 (เหนียนเหนียนโหย่วอวี๋) ... เหลือกินเหลือใช้ทุกปี

一本万利 (อี้เปิ่นว่านลี่) ... กำไรมากมาย


祝你顺利 (จู้หนี่ซุ่นลี่) ... ขอให้คุณประสบความสำเร็จ

祝您步步高升 ! (จู้หนินปู้ปู้เกาเซิง) … ขอให้ท่านเจริญก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป

福禄双全 (ฝูลวี่ซวงฉวน) ... เป็นศิริมงคล ด้วยเงินทองและวาสนา

事业发达 (ซื่อเย่ฟาต๋า) ... กิจการเจริญรุ่งเรือง

คำอวยพรเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ

福寿万万年 (ฝูโซ่วว่านว่านเหนียน) ... อายุยืนหมื่น ๆ ปี

龙马精神 (หลงหม่าจินเสิน) ... สุขภาพแข็งแรง

四季平安 (ซื่อจี้ผิงอัน) ... ปลอดภัยตลอดปี

祝你长寿 (จู้หนี่ฉางโส่ว) ... ขอให้คุณอายุยืนยาว

祝你健康 (จู้หนี่เจี้ยนคัง) ... ขอให้คุณมีสุขภาพแข็งแรง

身体健康 (เซินถีเจี้ยนคัง) ... สุขภาพแข็งแรง


คำอวยพรเกี่ยวกับเรื่องความสมปรารถนา


万事如意 (ว่านซื่อหรูอี้) … ทุกเรื่องสมปรารถนา

家好运气 (เจียห่าวยวิ่นชี่) ...ความโชคดีเข้าบ้าน

事事顺利 (ซื่อซื่อซุ่นลี่) ... ราบรื่นในทุก ๆ เรื่อง

吉祥如意 (จี๋เสียงหรูอี้) ... เป็นสิริมงคลสมดังปรารถนา

好运年年 (ห่าวยวิ่นเหนียนเหนียน) ...โชคดีตลอดไป

一帆风顺 (อี้ฝานเฟิงซุ่น) ... ทุกอย่างราบรื่น

幸福如意 (ซิ่งฝูหรูอี้) ... มีความสุขสมปรารถนา


และเนื่องในวันตรุษจีน กระปุกดอทคอม ก็ขออวยพรให้ทุกคนร่ำรวย ๆ สุขภาพแข็งแรง คิดสิ่งใดสมปรารถนานะคะ "ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้" ค่ะ



-http://hilight.kapook.com/view/19800-
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 23, 2012, 06:41:50 am
新正如意 新年发财 (ซินเจิ้งหรูอี้ ซินเหนียนฟาไฉ)... คิด หวังสิ่งใดขอให้สมหวังสมปรารถนาในปีใหม่นี้ มีแต่ความสุขมั่งคั่ง โชคดีร่ำรวยตลอดปี (ถ้าเป็นภาษาจีนแต้จิ๋วจะออกเสียงว่า ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 25, 2012, 08:37:30 am
เก๊สนิทศิษย์ส่ายหน้า

ที่ผมเคยบอกไว้เมื่อตอนที่ไปงานวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว และ ไหว้พระพุทธสิหิงค์ วันที่ 7 มกราคม 2555

บอกไว้ว่า มีพิมพ์พระพุทธมหาธรรมราชาเก๊ออกมาแล้ว

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 05, 2012, 07:17:33 am
สมาคมสหพันธ์โหร-แพทย์แผนไทย


เรียนเชิญ..ลูกศิษย์ และผู้ที่เคารพศรัทธาท่านอาจารย์ พ.อ.ชม สุคันธรัตน์ ร่วมงานพระราชทานเพลิงศพของท่านอาจารย์ พ.อ.ชม สุคันธรัตน์ ณ วัดโสมนัส นางเลิ้ง ในวันเสาร์ที่ ๑๘ ก.พ. ๒๕๕๕ เวลา ๑๖.๐๐ น. ครับ


-http://www.facebook.com/pages/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B9%8C%E0%B9%82%E0%B8%AB%E0%B8%A3-%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2/117810591643367-
------------------------------------------------------------------------



แจ้งข่าวพิธีพระราชทานเพลิงศพ อาจารย์ พอ.ชม สุคันธรัต

งานพระราชทานเพลิงศพนี้มีการแจกพระผง ด้านหน้าเป็นภาพพระอาจารย์อภิชิโต (ชาญณรงค์ ศิริสมบัติ) ด้านหลังเป็นภาพอาจารย์ชม มอบแก่ผู้เข้าร่วมงานพระราชทานเพลิงศพ ฟรี..

ในงานพระราชทานเพลิงศพน่าจะมีหนังสือแจกครับ...

ท่านเป็นศิษย์พี่ของอาจารย์ปู่ประถม พวกเราชาวพระวังหน้าสมควรไปร่วมแสดงความเคารพไว้อาลัยท่านอาจารย์ชมครับ.







-http://www.facebook.com/pages/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B9%8C%E0%B9%82%E0%B8%AB%E0%B8%A3-%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2/117810591643367-

-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2476.html-

.

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2476.html (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2476.html)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 11, 2012, 09:09:06 am
ฮือฮาพระพุทธรูปโบราณจากอัฟกานิสถานกว่า 2พันปี
วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม 2555 เวลา 16:47 น.

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=1641;image)

วันนี้ (8 มี.ค. ) ที่ศูนย์ประชุมองค์การสหประชาชาติ(ยูเอ็น) มีการจัดบรรยายวิชาการพระพุทธศาสนา  โดยเชิญนายเซมาร์ยาไล ทาร์ซี ศาสตราจารย์ด้านโบราณคดีตะวันออก มหาวิทยาลัยสตาร์บูรก์ ประเทศฝรั่งเศส ผู้ค้นพบพระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่ที่สุดในโลกที่บามิยัน ประเทศอัฟกานิสถาน ก่อนที่จะมีการถูกทำลาย  และนายริชาร์ด ซาโลมอน ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลาจารึกและคัมภีร์โบราณ ภาษาสันสกฤต ปรากฤต และคันธารี มหาวิทยาลัยวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา มาเป็นวิทยากรในการบรรยาย

พระอนิลมาน ธมฺมสากิโย รองคณบดีคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย(มมร.) กล่าวว่า การบรรยายในครั้งนี้มีการพูดถึงธรรมเจดีย์ คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา อายุกว่า 2,500 ปี ที่มีการค้นพบภายหลังที่มีการทำลายพระพุทธรูปที่บามิยัน ซึ่งทางนายริชาร์ด ยืนยันว่าข้อความในคัมภีร์พระพุทธศาสนานั้นมีรายละเอียดหลักเหมือนในพระไตรปิฎก และเป็นเครื่องยืนยันว่าพระไตรปิฎกทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นภาษาใดล้วนมีเนื้อหาหลักที่เหมือนกันจะต่างกันตรงภาษาเท่านั้น
 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การจัดงานดังกล่าวได้นำพระพุทธโบราณที่มีอายุมากกว่า 2,000 ปี มาจัดแสดงด้วย โดยนายสัณฐิภูมิ์ คันธาระคุปต์ นักสะสมของเก่า เจ้าของพระพุทธรูป กล่าวว่า พระพุทธรูปดังกล่าวเป็นศิลปะแกรนดารา ที่มีอายุมากกว่า 2,000 ปี ซึ่งศิลปะแกรนดาราถือเป็นศิลปะในยุคแรกของโลกที่เริ่มการสร้างพระพุทธรูป โดยศิลปะแนวนี้จะสร้างพระพุทธรูปในลักษณะเหมือนคนจริงๆ ต่างจากการสร้างพระพุทธรูปในปัจจุบันที่จะสร้างในลักษณะคล้ายเทพ  ในประเทศไทยมีเพียง 2 คนเท่านั้น ที่มีพระพุทธรูปลักษณะนี้ โดยพระพุทธรูปองค์นี้ตนได้พบในขณะเดินทางไปยังประเทศศรีลังกา และประเทศอัฟกานิสถาน เมื่อ 20 ปีที่แล้ว โดยระหว่างที่เดินทางไปยังช่วงรอยต่อประเทศอัฟกานิสถานและปากีสถานได้พบพระพุทธรูปนี้โดยบังเอิญเนื่องจากมีชาวมุสลิมนำมาวางขาย ตนจึงติดต่อขอซื้อมา และอัญเชิญมาประดิษฐานในพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวของตนในประเทศไทย 
 

นายสัณฐิภูมิ์ กล่าวต่อไปว่า จากการศึกษาข้อมูลศิลปะในการสร้างพระพุทธรูป วัสดุที่ใช้ และนำไปเทียบเคียงกับพระพุทธรูปที่มีการค้นพบในบริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่ที่มีการค้นพบพระพุทธรูปองค์นี้ ทำให้ยืนยันได้ว่าพระพุทธรูปองค์นี้มีอายุมากกว่า 2,000 ปี แน่นอน ทั้งนี้การที่ตนนำพระพุทธรูปองค์ดังกล่าว มาจัดแสดงภายในงานบรรยายนี้เพราะเห็นว่า เป็นงานสำคัญที่ฉลองพุทธชยันตี 2,600 ปีแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ตนนำออกมาเปิดเผยต่อสาธารณชน และเนื่องจากในปีนี้เป็นปี พุทธชยันตี หากหน่วยงานไหนต้องการที่จะอัญเชิญพระพุทธรูปองค์ดังกล่าวมาให้พุทธศาสนิกชนได้สักการะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันวิสาขบูชาที่จะมาถึงประสานตนได้

-http://www.dailynews.co.th/education/16410-

http://www.dailynews.co.th/education/16410 (http://www.dailynews.co.th/education/16410)

.






หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 11, 2012, 09:13:57 am
ธาตุเจดีย์ กับอุเทสิกเจดีย์

คอลัมน์ คติ-สัญลักษณ์
ชวพงศ์ ชำนิประศาสน์

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=1642;image)

เจดีย์ลักษณะนี้ เป็นเจดีย์ที่มีลักษณะรูปแบบพิเศษ คือมีแกนหลักเป็นธาตุเจดีย์ที่มีลักษณะสี่เหลี่ยมหรือสี่ทิศ และแต่ละทิศจะมีพระพุทธรูปคือ อุเทสิกเจดีย์ประทับอยู่

คติ สัญลักษณ์ของพระพุทธรูป ทั้งสี่ทิศ มี 2 คติ คือ

รูปแบบที่ 1 เป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า 4 พระองค์ที่ปรากฏขึ้นในภัทรกัปหรือสมัยที่โลกจะมีพระพุทธเจ้าติดต่อกัน 5 พระองค์

รูปแบบที่ 2 เป็นสัญลักษณ์ของอิริยาบถ 4 นอน นั่ง ยืน เดิน ของพระพุทธเจ้าที่ได้แสดงธรรมในอิริยาบถทั้ง 4

ในรูปแบบที่ 1 มีธาตุเจดีย์เป็นแกนหลัก มีพระพุทธรูปประจำอยู่ทั้ง 4 ทิศ ซึ่งสอด คล้องกับคติของพุทธศาสนาฝ่ายมหายานที่มีพระพุทธเจ้าในรูปแบบของสัมโภคกาย ประจำอยู่ในพุทธเกษตรทั้ง 4 ทิศ

ความหมายหรือคติสัญลักษณ์ที่แปลความรู้หรือรูปแบบของพระพุทธรูปทั้ง 4 ทิศ ก็คือ พระพุทธรูปทางทิศเหนือ ฝ่ายเถรวาทนาม กกุสันโธ ฝ่ายมหายานนาม อโมฆสิทธิ์ หมายถึงผู้มีความสำเร็จอันสมบูรณ์คือ การปฏิบัติธรรมจนพ้นไปจากโลก พ้นไปจากทุกข์ สิ้นสุดการกระทำที่จะทำให้เกิดทุกข์อีก

พระพุทธรูปทางทิศตะวันออก ฝ่ายเถรวาทนาม โกนาคม ฝ่ายมหายานนาม อักโษภยะ หมายถึง พระผู้ไม่หวั่นไหว นั่นคือ เมื่อพ้นไปจากโลกไปจากทุกข์ทั้งปวงแล้ว ก็แปลความไม่หวั่นไหวในทุกข์ไม่ปรากฏใดๆ อีกต่อไป

พระพุทธรูปทางทิศใต้ ฝ่ายเถรวาทนาม กัสสปะ ฝ่ายมหายานนาม รัตนสัมภวะ แปลว่า ผู้มีกำเนิดอันประเสริฐ ก็คือผู้พ้นไปจากทุกข์เพราะไม่มีสิ่งใดประเสริฐไปจากการพ้นทุกข์

พระพุทธรูปทางทิศตะวันตก ฝ่ายเถรวาท นาม สมณโคดม ฝ่ายมหายานนาม อมิตพุทธหรือ อมิตยุส แปลว่า ผู้มีรัศมีอันหาที่สุดมิได้ คือ มีปัญญาอันรู้แจ้ง แทงตลอดความจริงคือ อริยสัจ ย่อมพ้นไปจากโลก จากทุกข์ทั้งปวง

รูปแบบที่ 2 ที่พบเห็นกันในประเทศไทยคือ ปาง 4 อิริยาบถทั้ง 4 ที่ประดิษฐานอยู่ที่ธาตุเจดีย์ทั้ง 4 ทิศนั่น คติและสัญลักษณ์จะต่างไปจากรูปแบบที่กล่าวข้างต้น

ในรูปแบบของอุเทสิกเจดีย์ที่เป็นรูปอิริยาบถ 4 นั้น จากวัดพระสี่อิริยาบถ จ.กำแพงเพชร ซึ่งเป็นศิลปะสุโขทัย

ในปางประทับยืนนั้นเรียกว่า ปางประทานอภัย ในพระพุทธประวัติกล่าวว่า เป็นปางที่พระพุทธเจ้าประทานอภัยแก่พระเจ้าอชาตศัตรูที่ขออภัยที่ได้ส่งนายขมังธนูไปปลงพระชนม์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คติและสัญลักษณ์ก็คือการให้อภัยต่อผู้อื่นเป็นบุญกุศลอย่างยิ่ง

ปางลีลา ในพุทธประวัติกล่าวถึงพระสิริงดงามของพระพุทธเจ้าเมื่อเดินมาถึงประตูเมืองสังกัสสะนคร ที่พระสารีบุตรประทับอยู่ พระสิริงดงามของพระองค์ ครอบงำรัศมีเทวดาและพรหมทั้งปวง แต่ในอีกความหมายหมายถึง พระกรุณาคุณของพระพุทธเจ้าที่ได้เสด็จจารึกไปเผยแผ่พระธรรมแก่ผู้คนในแว่นแคว้นต่างๆ

ปางอิริยาบถนั่ง โดยทั่วไปพระพุทธรูปในอิริยาบถนั่งนี้มีมากมายหลายปาง โดยมีความหมายคติธรรมในเรื่องแตกต่างกัน เป็น ปางสมาธิ คือ ประทับนั่งพระหัตถ์ (มือ) ประสานกันบนตัก หมายถึงการเข้าสมาธิหรือการตรัสรู้ของพระ พุทธเจ้า ปางมารวิชัย ก็หมายถึงการแสดงที่หมายถึงการหลุดพ้นไปจากโลก จากมาร เป็นต้น

ส่วนปางไสยาสน์ หรือที่เรียกกันว่าพระนอน เพิ่งกล่าวถึงเมื่อสัปดาห์ก่อน

ในคติและความหมายของพระ 4 อิริยาบถนั้น จุดมุ่งหมายของผู้สร้างคงเน้นให้เห็นถึงการแสดงธรรมในโอกาสต่างๆ กันของพระพุทธเจ้า ซึ่งจะใช้พระอิริยาบถนั้นแสดงความหมายของธรรมนั้นๆ

-http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROb1lYQXdOREV4TURNMU5RPT0=&sectionid=TURNeE53PT0=&day=TWpBeE1pMHdNeTB4TVE9PQ==-

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROb1lYQXdOREV4TURNMU5RPT0=&sectionid=TURNeE53PT0=&day=TWpBeE1pMHdNeTB4TVE9PQ== (http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROb1lYQXdOREV4TURNMU5RPT0=&sectionid=TURNeE53PT0=&day=TWpBeE1pMHdNeTB4TVE9PQ==)

.



หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 11, 2012, 10:39:18 am
คำบูชาพระอานนท์เถระเจ้า

นโม. 3 จบ

อิติปิโสภะคะวา อานันโท จักรวาโล นะมามิหัง

(บทนี้ อ.วันชัย เป็นผู้บอกผมมาครับ)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ มีนาคม 12, 2012, 12:22:08 am
อนุโมทนาสาธุครับพี่หนุ่ม  :13:
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 18, 2012, 08:01:06 pm
พระสมเด็จ บางขุนพรหม พิมพ์นาคปรก


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 18, 2012, 10:12:57 pm
.

โลกอุดร กรุแรก

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 18, 2012, 10:13:31 pm
.

กรุหลัง


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 20, 2012, 06:22:19 am
โลกอุดร กรุแรก ต่อ



.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 20, 2012, 08:35:33 pm
โลกอุดร กรุแรก ต่อ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 20, 2012, 08:36:23 pm
โลกอุดร กรุแรก ต่อ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 20, 2012, 08:36:47 pm
โลกอุดร กรุแรก ต่อ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 21, 2012, 08:58:03 pm
มาต่อกันครับ


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 21, 2012, 08:59:02 pm
มาต่อกันอีกหน่อย

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 22, 2012, 06:19:25 am
มาต่อกันครับ

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 22, 2012, 06:20:15 am
มาต่อครับ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 22, 2012, 06:21:02 am
จบ

โลกอุดรกรุแกร

จบ

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 22, 2012, 09:48:02 pm
พระสมเด็จ เนื้อทองคำ

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 22, 2012, 09:48:36 pm
พระสมเด็จ เนื้อทองคำ

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 22, 2012, 09:49:17 pm
พระสมเด็จ เนื้อทองคำ


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 22, 2012, 09:50:26 pm
พระสมเด็จ เนื้อเงิน


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 22, 2012, 09:56:24 pm
.



รูปพระวังหน้าและพระวังหลวงและรูปวัตถุมงคลต่างๆที่ผมได้นำมาลงในกระทู้ ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ  เว็บใต้ร่มธรรม ทุกๆรูป  ผมสงวนลิขสิทธิ์ครับ



หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ มีนาคม 22, 2012, 11:15:33 pm
อนุโมทนาครับพี่หนุ่ม  :13:
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 23, 2012, 03:42:27 pm
หยก(รูปท่านเจ้าคุณกรมท่า)
สมเด็จเจ้าคุณกรมท่า   เจ้าพระยาภานุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุญนาค)

หยก รูปองค์กวนอู

กล่องของวังหน้า

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 23, 2012, 07:16:02 pm
องค์จตุคามรามเทพ
สร้างสมัยรัชกาลที่ 4 และ รัชกาลที่ 5

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 23, 2012, 07:18:41 pm
องค์จตุคามรามเทพ
สร้างสมัยรัชกาลที่ 4 และ รัชกาลที่ 5
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 24, 2012, 06:57:16 am
พิมพ์หลวงพ่อปาน สร้างในสมัยอยุธยาตอนปลาย หลวงปู่อิเกสาโร อธิษฐานจิต

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 24, 2012, 07:01:31 am
พิมพ์หลวงพ่อปาน เนื้อนาค

สร้างในสมัยอยุธยาตอนปลาย หลวงปู่อิเกสาโร อธิษฐานจิต

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 24, 2012, 07:02:29 am
พิมพ์หลวงพ่อปาน เนื้อนาค

สร้างในสมัยอยุธยาตอนปลาย หลวงปู่อิเกสาโร อธิษฐานจิต
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 24, 2012, 07:04:00 am
พระหินสี สมัยรัชกาลที่ 4 และ รัชกาลที่ 5


พิมพ์นี้  พระอานนท์เถระเจ้า อธิษฐานจิต


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 24, 2012, 08:37:51 pm
พระสมเด็จ

หลวงปู่อิเกสาโร และ กลุ่มหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ อธิษฐานจิต

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 24, 2012, 08:38:19 pm


หลวงปู่อิเกสาโร และ กลุ่มหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ อธิษฐานจิต

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 24, 2012, 08:38:31 pm
หลวงปู่อิเกสาโร และ กลุ่มหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ อธิษฐานจิต

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 24, 2012, 08:39:13 pm
หลวงปู่อิเกสาโร และ กลุ่มหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ อธิษฐานจิต

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 24, 2012, 08:39:55 pm
หลวงปู่อิเกสาโร และ กลุ่มหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ อธิษฐานจิต

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 24, 2012, 08:43:00 pm
พิมพ์สมเด็จโต นั่งเทศน์

แจกในวังหลวง

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 24, 2012, 08:47:23 pm
พระพิมพ์หลวงพ่อโต

เนื้อปูนสอ

หลวงปู่อิเกสาโร และ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี อธิษฐานจิต

รังสีขององค์พระ เป็นสีชมพู (เกิดจากรังสีของหลวงปู่อิเกสาโรที่เป็นสีแดง และ รังสีของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ที่เป็นสีขาวนวล  ผสมกัน)


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 24, 2012, 08:50:06 pm
นี่เป็นเหรียญที่ผมเข้าใจว่า สร้างเป็นเหรียญชุดแรกของประเทศไทย

สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี อธิษฐานจิต

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 24, 2012, 09:17:21 pm
พระขรรค์ (หัวด้ามเป็นองค์ท้าวเวสสุวรรณ)

หลวงปู่อิเกสาโร อธิษฐานจิต

ปัจจุบัน ของปลอมเยอะมาก  โปรดระวังครับ..

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 24, 2012, 09:18:44 pm
รูปนี้  ผมเรียกว่า  ไม้ครูน้อย

หลวงปู่อิเกสาโร อธิษฐานจิต
และพระฤาษีอธิษฐานจิตด้วย

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 24, 2012, 09:19:56 pm
พระสมเด็จ เนื้อปูนสอ


หลวงปู่อิเกสาโร และ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี อธิษฐานจิต

รังสีขององค์พระ เป็นสีชมพู (เกิดจากรังสีของหลวงปู่อิเกสาโรที่เป็นสีแดง และ รังสีของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ที่เป็นสีขาวนวล  ผสมกัน)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 24, 2012, 09:25:51 pm
ชุดพิเศษ

องค์พระองค์จริง อยู่กับบุคคลที่ผมเคารพเป็นผู้มีพระคุณครับ

พิมพ์หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง (สนิมแดง) อายุพระองค์นี้ประมาณ 500 ปีขึ้นไปครับ

.

สำหรับค่ำคืนนี้  ไว้เท่านี้ก่อน  พรุ่งนี้หากมีเวลา จะนำมาลงต่อครับ

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ มีนาคม 24, 2012, 09:57:08 pm

อนุโมทนาครับพี่หนุ่ม :13:
คือ..มีเรื่องสงสัยครับพี่หนุ่ม ล่าสุด เหมือนภาพองค์พระไม่ค่อยชัดเหมือนก่อน ดีหกร้อยไม่สบายหรือเปล่าครับพี่หนุ่ม
รักษาสุขภาพนะครับผม
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 25, 2012, 07:17:12 am
เป็นรูปเก่าที่มีอยู่ครับน้องบอล

ยังไม่ได้ใช้กล้องใหม่ถ่ายรูปพระ เลยครับ

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 25, 2012, 08:58:56 am
ชุดนี้พิเศษมาก

พิมพ์พระพุทธมหาธรรมราชา (องค์จริงอยู่ที่จังหวัดเพชรบูรณ์)

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1968746&d=1332640871)

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1968747&d=1332640871)

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1968748&d=1332640871)

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1968749&d=1332640871)


เป็นชุดที่บุทอง , บุเงิน และ บุนาค

มวลสารที่นำมาสร้าง เป็นมวลสารที่เหลือจากการหล่อองค์พระพุทธชินราช (วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร(วัดใหญ่)) และพระเหลือ

หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) ทั้ง 5 องค์ มาอธิษฐานจิต(ด้วยกายเนื้อ) ในพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงที่พระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส(วังหน้า)


มีหลายๆท่านที่ได้จากผมไป ปรากฎว่า มีพระธาตุขึ้นองค์พระ บางองค์พระธาตุขึ้นเต็มองค์

ขอแสดงความยินดีด้วย

โมทนา
.

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2522.html (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2522.html)
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน ที่ มีนาคม 25, 2012, 09:48:16 pm
เป็นรูปเก่าที่มีอยู่ครับน้องบอล

ยังไม่ได้ใช้กล้องใหม่ถ่ายรูปพระ เลยครับ

.

ครับพี่หนุ่ม
พระพุทธมหาธรรมราชา ภาพชัดแจ๋วเลยครับ เห็นเนื้อพิมพ์ชัดเจนครับพี่หนุ่ม ดีหกร้อยสุดยอดจริงๆเลย แฮะๆ
อนุโมทนาครับพี่หนุ่มเป็นบุญที่ได้ชมองค์จริงจากพี่หนุ่มครับ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 27, 2012, 06:16:11 am
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1968752&d=1332640871)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 27, 2012, 06:16:42 am
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1968751&d=1332640871)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 27, 2012, 06:17:09 am
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1968750&d=1332640871)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 27, 2012, 08:41:48 pm
นี่คือ พระสมเด็จ top of the top 4

สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ท่านอาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม สมณโคดม มีพระเมตตา อธิษฐานจิต ครับ

ปัจจุบัน ของปลอมเยอะมาก
ของปลอมโผล่มาประมาณเดือนพฤศจิกายน 2553 ครับ

เท่าที่พบเห็นมาตามเว็บต่างๆและตามแผงพระ เจอแต่ของปลอมทั้งนั้นเลยครับ







(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1968305&d=1332601082)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 27, 2012, 08:43:48 pm
พระบูชา สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี  เนื้อหินเขียวโขง  หน้าตัก 9"

นำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงปี 2451

คณะหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ อธิษฐานจิต

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1968308&d=1332601082)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 27, 2012, 09:37:03 pm
ขออนุญาติลง พระที่ไม่ใช่พระวังหน้าเพื่อความรู้กับ ป้า ฮับ นี่คือพระรอด พิมพ์กลางของกรุ วัดมหาวัน ฮับ ลองชมกัน หุ หุ

nongnooo

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1973526&d=1332859462)

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2527.html (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2527.html)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 28, 2012, 12:09:09 pm
เรื่องของพลังอิทธิคุณกับกรอบพลาสติกนั้น พลาสติกไม่กี่มิลลิเมตรจะปิดกั้นอำนาจของผู้ปลุกเสกได้ ผมจะยกตัวอย่างเปรียบเทียบนะครับ เช่นก้อนแร่รังสีปรมนู ถ้านำไปเก็บไว้ในที่เก็บ รังสีจะออกมาได้หรือไม่ และทำอันตรายกับผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นได้หรือไม่หรือเพียงแต่นำเอาตะกั่วแผ่นบางๆ หุ้มก้อนแร่รังสีปรมณูไว้ รังสีสามารถออกมาทำอันตรายกับสิ่งมีชีวิตรอบข้างได้หรือไม่ แต่ถ้านำออกมาวางไว้กลางแจ้ง ผู้คนที่อยู่รอบข้างจะได้รับรังสีหรือไม่ เฉกเช่นเดียวกับพลังจิตของผู้ที่ปลุกเสกพระครับ หรือเปรียบเทียบกับสายไฟฟ้าภายในบ้าน ถ้าเราเปิดไฟ กระแสไฟฟ้าก็จะวิ่งมาตามสายไฟ ซึ่งมีฉนวนหุ้มอยู่ เราสามารถจับสายไฟเส้นนั้นได้ แต่ถ้าเราลอกฉนวนออก เราก็ไม่สามารถจับสายไฟเส้นนั้นได้ ใช่ไหมครับ เรื่องของพลังจิตนั้น เป็นนามธรรม เป็นสิ่งที่ไม่สามารถจับต้องได้ แต่สามารถสัมผัสได้หากบุคคลผู้นั้น ได้ปฎิบัติธรรมมาจนถึงในระดับหนึ่งนะครับ


เรื่องของพลังอิทธิคุณ ต้องเดินทางในอากาศธาตุนะครับ เหมือนกับกระแสไฟฟ้าซึ่งต้องเดินบนตัวนำไฟฟ้า แต่จะไม่เกี่ยวข้องกับความศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ศักดิ์สิทธิ์ครับ พระพิมพ์หรือวัตถุมงคล ที่ผ่านพิธีพุทธาภิเษกมานั้น ย่อมมีความศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้น แต่ว่าจะมากน้อยนั้น อยู่ที่ผู้เสกเป็นสำคัญครับ



พระพิมพ์ที่ผมห้อยอยู่นั้น ผมเลี่ยมแล้วผมนำเข็มเย็บผ้าไปลนไฟให้ร้อนแล้วเจาะรูบริเวณด้านล่างหรือตรงกลางของกรอบพระ (จะกี่รูก็ได้)ครับ ท่านอาจารย์ประถมท่านเองเลี่ยมพระแบบเปิด คือหมายความว่า เป็นการเลี่ยมจับขอบเท่านั้น ไม่มีพลาสติกหุ้มอยู่ทั้งด้านหน้าและด้านหลังเลยครับ


ผมเองเคยมีประสบการณ์ กรอบพระสแตนเลสระเบิดออกมา พระที่กรอบสแตนเลสระเบิดเป็นหลวงปู่ม่น วัดเนินตามาก ชลบุรีครับ ถ้าเป็นทางวิทยาศาสตร์จะไม่สามารถอธิบายได้ว่า ระเบิดออกมาได้อย่างไร ก่อนวันสงกรานต์ ผมได้ไปทำความสะอาดพระ ที่กุฏิที่ผมเคยไปบวช วันนั้นผมห้อยพระไป 5 องค์ โดยองค์กลางเป็นพระธาตุพระสิวลี องค์อยู่ข้างบนต่อมาด้านซ้ายเป็นหลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ องค์ด้านขวา เป็นหลวงปู่ม่น วัดเนินตามาก ผมทำความสะอาดพระซึ่งมีเป็นจำนวนมาก ผมไปเห็นโกฏิที่ใส่กระดูกคนตาย ที่อยู่หลังพระพุทธรูปองค์ใหญ่ พี่เขยผมไม่เข้าไปยุ่ง ไม่ได้นำออกมาทำความสะอาด แต่ผมนำออกมาวางบนตู้พระไตรปิฎก ซึ่งผมลืมคิดไปว่าไม่สมควร ผมนำผ้าชุบน้ำแล้วทำความสะอาด พอทำความสะอาดเสร็จแล้ว ผมกำลังนำผ้าไปซัก เดินพ้นจากตู้พระไตรปิฎกมา 2 ก้าว ปรากฏว่าเหรียญหลวงปู่ม่นซึ่งผมเลี่ยมใส่กรอบพลาสติกและผมได้เจาะรูไว้ 3 รูนั้น ได้เกิดระเบิดขึ้น ผมเองก็ตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น ผมกลับไปมองที่โกฏินั้น ผมเห็นว่าไม่สมควรที่จะนำไปวางไว้บนตู้พระไตรปิฎก ผมจึงรีบนำโกฏิไปไว้ที่เดิม ต่อมาผมได้สอบถามเพื่อนผม เพื่อนบอกว่าหลวงปู่ม่นท่านดังในเรื่องของการไล่ผีมาก (ในตอนแรกๆ ผมไม่ค่อยศรัทธาหลวงปู่ม่นเท่าไร ท่านคงมาช่วยผมไว้และแสดงให้เห็นว่าหลวงปู่ม่น ท่านก็ไม่ธรรมดา) การที่กรอบแสตนเลสระเบิดนั้น มันเกิดจากสาเหตุอะไร ลองคิดดูกันเองนะครับ


เรื่องของการจับพลังพระพิมพ์นั้น มีปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่หลายประการ อาทิเช่น
1.พระพิมพ์บางองค์ เวลาที่กดพระพิมพ์นั้น อาจกดไปโดนฤกษ์ดอกลูกพิษ ถ้าพระพิมพ์องค์ไหน กดโดนฤกษ์ดอกลูกพิษ ไม่ว่าพระองค์ไหน ก็เสกไม่เข้าทั้งสิ้น ฤกษ์ดอกลูกพิษนั้น มีทุกวัน แต่ว่ามีเป็นช่วงๆ บางครั้งในหนึ่งวัน มีช่วงเดียว บางครั้งในหนึ่งวัน อาจมีหลายช่วงก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น
2.ในการจับพลังองค์พระพิมพ์นั้น บางวัน พระผู้เสกท่านอาจปิดกระแสขององค์พระพิมพ์ก็เป็นได้ การปิดกระแสนั้น พระผู้เสกย่อมทำได้เนื่องจากว่า ระดับของญาณหรืออภิญญาสูงกว่าผู้จับพลังองค์พระพิมพ์ มีเพื่อนผมคนหนึ่ง สามารถจับพลังขององค์พระพิมพ์ได้ มีอยู่วันหนึ่ง เพื่อนผมผู้นี้ได้นำพระพิมพ์องค์หนึ่ง ไปให้อาจารย์ของเขาตรวจพลังให้ แต่ปรากฏว่า อาจารย์ของเขาได้บอกว่า พระพิมพ์องค์นี้ ไม่มีพลัง ไม่มีอะไรเลย แต่เพื่อนผมได้นำพระพิมพ์องค์เดิมไปให้เพื่อนของเขาจับ ปรากฎว่าเพื่อนของเขาจับพลังได้ และยังบอกอีกว่า พลังขององค์พระพิมพ์นั้น แรงมากด้วย ในเรื่องนี้ ความคิดเห็นส่วนตัวผม ผมเห็นว่า พระผู้เสกท่านอาจปิดกระแสไม่ให้อาจารย์ของเพื่อนตรวจพลัง นะครับ
3.ในบางวัน พระผู้เสก ท่านอาจปิดกระแสขององค์พระพิมพ์ ก็เป็นไปได้เช่นเดียวกัน
4.และในบางวัน ผู้ที่ตรวจพลังของพระพิมพ์ เป็นวันที่เบื้องบนไม่ให้ตรวจพลังขององค์พระพิมพ์ ก็เป็นไปได้เช่นเดียวกัน
5.พิมพ์ทุกองค์นั้น เวลาที่ผ่านการปลุกเสกแล้ว จะมีเทวดารักษาองค์พระพิมพ์ทุกองค์ บางครั้งเทวดาที่รักษาองค์พระพิมพ์อาจจะปิดกระแสก็เป็นไปได้อีกเช่นกัน
6.ในบางครั้งพระปลอมก็มีพลังเช่นเดียวกัน ถ้าผู้ทำพระปลอมได้นำพระไปเข้าพิธีพุทธาภิเษก
7.หรือบางครั้งผู้ทำพระปลอมได้นำเศษพระแท้ผสมลงไป ก็สามารถมีพลังได้เหมือนกัน เพียงแต่พลังอาจจะน้อยกว่าพระแท้ครับ
8.การนำพระแท้ไปไว้ในที่ไม่สมควร เทวดาที่รักษาองค์พระพิมพ์ ท่านอาจจะไม่อยู่ครับ และทำให้พลังขององค์พระพิมพ์นั้นเสื่อมได้ครับ ตามหลัก มีเกิดได้ก็มีดับได้นะครับ
9.พระพิมพ์ที่ปลุกเสกโดยพระคณาจารย์บางองค์นั้น จะเป็นสื่อให้กับพระคณาจารย์หรือเทพเบื้องบน เวลาที่มีเหตุให้ช่วย พระคณาจารย์หรือเทพเบื้องบนบางองค์จะทราบและจะลงมาช่วยเหลือ โดยพระพิมพ์เป็นเพียงสื่อให้พระคณาจารย์หรือเทพเบื้องบนเท่านั้นครับ



ผมเอง ก่อนที่จะนำพระไปแจกให้ใครก็ตาม ผมจะนำพระไปให้ท่านอาจารย์ประถม ท่านเป็นผู้ที่ตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ท่านอาจารย์ประถมท่านเคยบอกผมว่า พระผู้เสกพระพิมพ์แต่ละองค์นั้น จะมีกระแสที่ไม่เหมือนกัน ผมเองเชื่อว่า ท่านอาจารย์ประถม ท่านรู้กระแสพระแต่ละองค์ว่า มีกระแสเป็นอย่างไร และผมยังเชื่ออีกว่า ท่านอาจารย์ประถม ท่านสามารถมองเห็นรังสีขององค์พระพิมพ์ได้ เนื่องจากท่านเองได้เล่าให้ฟังในเรื่องของรังสีของคณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรให้ฟังหลายครั้ง อีกทั้งลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถมหลายท่าน ก็สามารถตรวจสอบพลังขององค์พระพิมพ์ได้ เช่นการนั่งดูว่าใครเสก ,การนั่งดูพิธีเสก ,การจับพลังขององค์พระพิมพ์ ครับ


การตรวจสอบพลังอิทธิคุณขององค์พระพิมพ์นั้น ผมแนะนำให้ไปหาผู้ทรงฌานหรือผู้ทรงญาณ หลายๆท่าน(ควรไม่ต่ำว่า 5 ท่าน) นะครับ และผลที่ตรวจได้นั้น ต้องตรงกัน

เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผมเอง แล้วแต่ท่านผู้อ่านใช้ว่ามีคิดเห็นกันอย่างไรครับ

สุดท้ายผมขออนุโมทนาในบุญกุศลที่ทุกๆท่านได้ทำด้วยครับ

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 28, 2012, 12:13:04 pm
เรื่องของพระปิดตา

ที่เสี้ยนบอกว่า มีการสร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 โดยวังหน้าสมัยรัชกาลที่ 1 คือ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท

หรือ

ที่เสี้ยนบอกว่า มีการสร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยวังหน้าสมัยรัชกาลที่ 3 คือ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ

ในข้อมูลที่เป็นจริง ไม่มีการสร้างในทั้ง 2 รัชกาลดังกล่าว และ วังหน้าทั้งสองพระองค์ ไม่มีความเกี่ยวข้อง และ ไม่มีความเกี่ยวเนื่องกับคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) ครับ

พระปิดตา(หลายๆรุ่น หลายๆแบบ)มีการสร้างกันในสมัยรัชกาลที่ 4 และ รัชกาลที่ 5 เท่านั้นครับ

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 28, 2012, 12:18:19 pm
รูปพระปิดตาวังหน้า สองหน้า



(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1974075&d=1332903058)
รูปพระวังหน้าสองหน้าของผม




---------------------------------------

sithiphong

เนื้อจะเป็นคนละเนื้อกันด้วยครับ

เนื้อหา จากองค์ความรู้เดิมๆที่เคยบอกมาหลายครั้งหลายหนแล้วว่า

ในกรณีการตำปูนเพชร ต้องใช้เวลาตำ 4 ชั่วโมง ต่อ 1 ครก

แต่หากว่า ผู้ที่ตำ ใช้เวลาที่ต่ำกว่า 4 ชั่วโมง เนื้อหาที่ออกมา จะมีความแตกต่างกัน (โดยที่มีมวลสารเหมือนกันทั้งหมด)ครับ


หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 28, 2012, 08:50:13 pm
พิมพ์หลวงพ่อเงิน

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1968309&stc=1&thumb=1&d=1332601082)

หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน เนื้อผงอิทธะเจที่ท่านลบเอง
รุ่นนี้นำขึ้นทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 29, 2012, 06:33:33 am
พระสมเด็จ special of the top

สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ท่านได้อาราธนา สมเด็จพระพุทธสิกขีที่1 (สมเด็จองค์ปฐม) อธิษฐานจิตครับ

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1968304&stc=1&thumb=1&d=1332601082)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 29, 2012, 08:16:41 am
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong 
.


.

พระปิดตาวังหน้า สองหน้า ทั้งสององค์นี้

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1974102&d=1332904062)

เป็นพระวังหน้าที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5

หลวงปู่อิเกสาโร ท่านอธิษฐานจิต

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1974077&d=1332903238)

ส่วนพระปิดตา (พิมพ์หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์)

สาเหตุที่เรียกว่า พระปิดตาหลวงพ่อแก้ว หมายความว่า เปรียบพระปิดตาเหมือนแก้วสารพัดนึก จึงเรียกว่า พระปิดตาหลวงพ่อแก้ว

ชื่อท่านจริงๆก็คือ หลวงปู่สุข (พระสุธีธรรม) วัดเครือวัลย์

จากรูป พระปิดตาชุดนี้ หลวงปู่อิเกสาโร ท่านอธิษฐานจิต

ส่วนเรื่องหลวงพ่อแก้ว วัดปากทะเล จริงๆแล้วท่านชื่อ หลวงพ่อปลอด เป็นคนเมืองจันทบูรณ์ สร้างแต่ลูกอมโสฬส และ ลูกอมเนื้อดิน เท่านั้น

สำหรับพระปิดตาชุดนี้

 (http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1974079&d=1332903238)

องค์ผู้อธิษฐานจิตก็คือ หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า

สร้างขึ้นที่วังหน้า(ในยุครัตนโกสินทร์) นำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวง พระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส ครับ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 29, 2012, 08:40:13 am
โปรดติดตามไปเรื่อยๆ 

หากต้องการองค์ความรู้ที่ถูกต้อง ที่ผมได้เรียนรู้จาก ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร 

ซึ่งผมถือว่า ท่านเป็นบุคคลากรที่รู้เรื่องของพระวังหน้า และ พระในวงการซื้อขายมากที่สุดในประเทศไทยคนหนึ่ง  และ รู้จริง  และ รู้ลึก

ท่านสร้างพระก็เป็น  , รู้จริงในงานพิธีพุทธาภิเษก  , ท่านลบผงเป็น  ,  ท่านเป็นพิธีกรในงานพุทธาภิเษก และอีกหลายๆเรื่อง

งานเขียนของท่าน  หอสมุดแห่งชาติพระนคร  ให้การยอมรับในหนังสือของท่าน  หนังสือเล่มนั้นก็คือ  หนังสือวิเคราะห์พระสมเด็จและสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า ครับ


ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 7 ปีที่ผ่านมา  ผมไปหาท่าน  ไปขอองค์ความรู้จากท่าน  ผมได้องค์ความรู้ที่ท่านมีเมตตาสอนมาพอสมควร 

ผมเห็นท่านเป็นตัวอย่างที่ดี  ผมเองอยากดำเนินรอยตามท่าน  โดยนำองค์ความรู้ที่ผมได้เรียนรู้มา  มาเผยแพร่ต่อ เพื่อเชิดชูพระเกียติยศของวังหน้า และ เชิดชูพระวังหน้า ครับ
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 30, 2012, 09:37:07 am
พระสมเด็จ เนื้อทองคำ

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1977385&d=1333071330)

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1977386&d=1333071330)

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1977387&d=1333071330)

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1977388&d=1333071330)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 05, 2012, 11:03:38 am
นิทานเซน : คำด่าดั่งของขวัญ 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 เมษายน 2555 07:48 น.

-http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9550000042163-

ขณะอาจารย์เซนออกจาริกธรรม ระหว่างการเดินทางบังเอิญพบผู้ที่ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเซน คนผู้นั้นเอาแต่ประณามหยามเหยียดอาจารย์เซน ใช้คำพูดตำหนิหวังให้อาจารย์เซนได้อาย แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร อาจารย์เซนกลับไม่มีท่าทีสะทกสะท้าน ยังคงสงบสำรวมดังเช่นที่เป็นมา

ในที่สุดคนผู้นั้นอดรนทนไม่ได้ เอ่ยถามอาจารย์เซนด้วยความสงสัยใคร่ใจว่า "เราตำหนิประจานเจ้าถึงเพียงนี้ เหตุใดเจ้าไม่รู้สึกรู้สา อีกทั้งไม่โต้ตอบ"

ยามนั้นอาจารย์เซนไม่ตอบ แต่กลับเอ่ยถามคนผู้นั้นกลับไปว่า "หากมีผู้มอบของขวัญให้ท่านแล้วท่านปฏิเสธไม่รับ ของขวัญชิ้นนั้นนับว่าตกเป็นของผู้ใด?"

คนผู้นั้นตอบว่า "ย่อมยังเป็นของผู้มอบให้"

อาจารย์เซนจึงกล่าวว่า "นั่นก็ใช่แล้ว หากเราไม่รับคำตำหนิติด่าของท่าน เช่นนั้นมิใช่นับว่าท่านกำลังด่าประณามตนเองหรอกหรือ?"

ปัญญาเซน : เมื่อมีสรรเสริญ ต้องมีนินทา บัณฑิตผู้ฝึกตนไม่ควรยึดโลกธรรมเป็นอารมณ์



http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9550000042163 (http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9550000042163)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 06, 2012, 08:42:28 am
ผมยุติการร่วมงานบุญกับ..........

สืบเนื่องจากคณะกรรมการ...........

 

ผมได้โทรศัพท์ไปหา......(ในวันที่ 2 เมษายน 2555)  แจ้งเรื่องที่ผมขอยุติการร่วมทำบุญกับ.....ในทุกๆงานบุญ  .....สอบถามผมว่า  เกิดอะไรขึ้น  ผมเองก็ได้เล่าให้.....ฟังว่า  ตั้งแต่ก่อตั้ง......มา  จนถึงวันนี้  ผมโดนข้อหามาอยู่โดยตลอด  จนถึงวันงาน.............(วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน 2555 ที่.........)    ในงานวัน.....  ......ได้นิมนต์......และคณะพระภิกษุอีก 8 รูป  และได้นิมนต์........อีก 1 รูป  รวมพระภิกษุทั้งหมด 10 รูป

 

พอ........ท่านเดินทางมาถึงโรงหล่อ  ....ได้ตะโกนมาว่า  หนุ่ม  จัดหาอาสนะให้.........ท่านด้วย  ผมก็เลยเดินเข้าไปหา.....  ........ก็ได้แจ้งกับ.......ว่า  ให้หาอาสนะมาอีก 1 ที่  (ผมสงสัยว่า  การจัดงานที่นิมนต์พระภิกษุมาร่วมงาน  ทำไมคณะผู้ดำเนินงานถึงไม่จัดอาสนะไว้เท่ากับจำนวนพระภิกษุที่นิมนต์มา)  .......ได้ยกเก้าอี้มา  แล้วบอกว่า  ให้นั่งเหมือนแขกที่มาร่วมงาน  ผมจำไม่ได้ว่า  ......พูดอะไร  แต่.......ได้บอกว่า  ทำไมไม่มาพร้อมกัน  มาแบบนี้ไม่รู้   ช่วยอะไรไม่ได้   แล้วก็เดินไปคุยกับคนที่มาร่วมงาน

 

ผมบอก.....ตามที่ผมเล่า (ไม่ได้บอกคำพูดที่อยู่ในวงเล็บ)  แต่ผมไม่ได้บอกชื่อผู้ที่พูด  ผมบอกว่า  เรื่องต่างๆมันจบลงไปหมดแล้ว

 

ผมก็บอกต่อว่า  ในวันที่น้องปฐมเดินทางขึ้นมาจากสงขลา  ผมพาน้องปฐม ,ภรรยาน้องปฐม ,ลูกของน้องปฐม และสมาชิกชมรมบางท่านไปกราบปู่ประถม  น้องปฐมบอกผม(หลังจากวันนั้นอีกหลายวัน) ว่า  ตอนเดินเข้าไปได้ยินเสียงของ......ว่า มาทำไม ( ผมสงสัยว่า  ทาง......เป็นเจ้าของบ้านหรือ!!!!!!)  และได้ยินเสียงไอ  มีเสียงถามว่า เป็นอะไร  และเสียงที่ตอบกลับไปหาผู้ถามก็คือ “ ส้นตีนติดคอ”

 

ผมยังบอก.....ต่อไปว่า  ตั้งแต่ก่อตั้ง.....จนถึงวันนี้(1 เม.ย.2555)  ยังไม่เลิกพูดเรื่องผมอีก  เช่น  เรื่องที่มีคนที่ไปพูดกับสมาชิกชมรมพระวังหน้าบางท่านว่า  ทำไมต้องไปร่วมทำบุญกับคุณหนุ่ม  คุณหนุ่มให้ทำบุญแพง  มาทำบุญกับ.......ดีกว่า  แจกพระฟรีด้วย ทางสมาชิกชมรมพระวังหน้าท่านนั้น  ตอบกลับไปว่า  ไม่เป็นไร  หากผมมีเงินมากกว่านี้  ผมก็จะทำบุญให้มากกว่านี้   หรือ  ปู่ประถมมอบพระโลกอุดรมาให้ผู้ร่วมทำบุญกับ......  ทาง.......ได้นำรูปมาลง  พอมีกลุ่มหนุ่มไปทำบุญและขอรับพระพิมพ์นี้  ปรากฏว่า ทาง........แจ้งกลับมาว่า  ไม่ให้  จะเก็บไว้เอง  เป็นพระที่นำไปโชว์

 

.......ได้ถามว่า  ใครพูด  หลายครั้งมาก  ผมก็บอกว่า  ผมบอกขอไม่บอก  เนื่องจากเรื่องทุกอย่างจบลงไปหมดแล้ว

 

ยังมีอีกหลายๆเรื่องที่ไม่ได้บอก และผมว่าไม่จำเป็นต้องบอก เนื่องจากเรื่องได้จบลงไปหมดแล้ว  มีพี่ๆ  เพื่อนๆ  น้องๆ  หลายๆท่านเตือนผมมา  บางท่านบอกว่า  ผมเองอดทนมาในการไปร่วมงานของ.......  หากเป็นเขา  ไม่สามารถที่จะอดทนได้แบบนี้  ผมบอกว่า  ผมไปทำบุญ  ผมไม่ได้สนใจในเรื่องอื่นๆ


ส่วนเรื่องที่มีผู้ที่ไปบอกกับผู้ที่มาร่วมทำบุญกับผม  แล้วได้ไปอยู่กับ.......ในระยะต่อมา  ผมว่า  คงมีอีกเยอะ  มีอีกหลายเรื่องที่โดนแทงข้างหลังมาตลอด  นับตั้งแต่การก่อตั้ง.......ประมาณปลายปี 2550  ทั้งๆที่ในช่วงก่อนหน้าที่จะตั้ง......  .....ได้บอกเรื่องนี้กับผมและ......  และในการประชุมครั้งแรกของ..... ผมเองก็ได้เข้าร่วมประชุมด้วย


หลังจากการประชุม...... ก็ได้มีการตั้ง......ขึ้น  โดย........เป็นผู้ที่ดูฤกษ์การตั้งกระทู้และให้...........เป็นผู้ตั้งกระทู้ฯ  หลังจากนั้น  ............สั่งในเรื่องของการร่วมทำบุญโดยไม่รับพระพิมพ์ต่างๆ  ทาง...........ได้นำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นในการโจมตีผมมาโดยตลอด  อย่างเช่นในเรื่องที่มีคนที่ไปพูดกับสมาชิกชมรมพระวังหน้าบางท่านว่า  ทำไมต้องไปร่วมทำบุญกับคุณหนุ่ม  คุณหนุ่มให้ทำบุญแพง  มาทำบุญกับ.........ดีกว่า  แจกพระฟรีด้วย   ทางสมาชิกชมรมพระวังหน้าท่านนั้น  ตอบกลับไปว่า  ไม่เป็นไร  หากผมมีเงินมากกว่านี้  ผมก็จะทำบุญให้มากกว่านี้    ส่วนในเรื่องอื่นๆ  ผมคิดว่า  น่าจะมีมากกว่านี้มาก  ทั้งๆที่.......เคยบอกกับผมและ.........แล้วว่า  ให้เลิกการทะเลาะกัน  , โจมตีกัน  ผมเองก็ได้เลิกสนใจและใส่ใจ  แต่ยังคงไปทำบุญกับ.......มาโดยตลอด  เพราะถือว่า เราได้ร่วมทำบุญกับปู่ประถม  แต่ทาง.......ยังคงดำเนินเรื่องของการโจมตีผมมาโดยตลอด

......................   ........................

นำมาเล่าสู่กันฟังครับ

 

ด้วยรัก

Sithiphong

5/4/2555

------------------------------

nongnooo
แก้ไขหน่อยครับ นั่นมันตอนไปที่บ้านปู่ นานแล้ว ลืมๆไปเถอะครับ
ส่วนที่หน้าลิพฟ์นั้น เขาทำมองไม่เห็นผมก็ต่างคนต่างไปครับ


.

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 06, 2012, 08:45:30 am
ผมยุติการร่วมงานบุญกับ..........

สืบเนื่องจากคณะกรรมการ...........

 

ผมได้โทรศัพท์ไปหา......(ในวันที่ 2 เมษายน 2555)  แจ้งเรื่องที่ผมขอยุติการร่วมทำบุญกับ.....ในทุกๆงานบุญ  .....สอบถามผมว่า  เกิดอะไรขึ้น  ผมเองก็ได้เล่าให้.....ฟังว่า  ตั้งแต่ก่อตั้ง......มา  จนถึงวันนี้  ผมโดนข้อหามาอยู่โดยตลอด  จนถึงวันงาน.............(วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน 2555 ที่.........)    ในงานวัน.....  ......ได้นิมนต์......และคณะพระภิกษุอีก 8 รูป  และได้นิมนต์........อีก 1 รูป  รวมพระภิกษุทั้งหมด 10 รูป

 

พอ........ท่านเดินทางมาถึงโรงหล่อ  ....ได้ตะโกนมาว่า  หนุ่ม  จัดหาอาสนะให้.........ท่านด้วย  ผมก็เลยเดินเข้าไปหา.....  ........ก็ได้แจ้งกับ.......ว่า  ให้หาอาสนะมาอีก 1 ที่  (ผมสงสัยว่า  การจัดงานที่นิมนต์พระภิกษุมาร่วมงาน  ทำไมคณะผู้ดำเนินงานถึงไม่จัดอาสนะไว้เท่ากับจำนวนพระภิกษุที่นิมนต์มา)  .......ได้ยกเก้าอี้มา  แล้วบอกว่า  ให้นั่งเหมือนแขกที่มาร่วมงาน  ผมจำไม่ได้ว่า  ......พูดอะไร  แต่.......ได้บอกว่า  ทำไมไม่มาพร้อมกัน  มาแบบนี้ไม่รู้   ช่วยอะไรไม่ได้   แล้วก็เดินไปคุยกับคนที่มาร่วมงาน

 

ผมบอก.....ตามที่ผมเล่า (ไม่ได้บอกคำพูดที่อยู่ในวงเล็บ)  แต่ผมไม่ได้บอกชื่อผู้ที่พูด  ผมบอกว่า  เรื่องต่างๆมันจบลงไปหมดแล้ว

 

ผมก็บอกต่อว่า  ในวันที่น้องปฐมเดินทางขึ้นมาจากสงขลา  ผมพาน้องปฐม ,ภรรยาน้องปฐม ,ลูกของน้องปฐม และสมาชิกชมรมบางท่านไปกราบปู่ประถม  น้องปฐมบอกผม(หลังจากวันนั้นอีกหลายวัน) ว่า  ตอนเดินเข้าไปได้ยินเสียงของ......ว่า มาทำไม ( ผมสงสัยว่า  ทาง......เป็นเจ้าของบ้านหรือ!!!!!!)  และได้ยินเสียงไอ  มีเสียงถามว่า เป็นอะไร  และเสียงที่ตอบกลับไปหาผู้ถามก็คือ “ ส้นตีนติดคอ”

 

ผมยังบอก.....ต่อไปว่า  ตั้งแต่ก่อตั้ง.....จนถึงวันนี้(1 เม.ย.2555)  ยังไม่เลิกพูดเรื่องผมอีก  เช่น  เรื่องที่มีคนที่ไปพูดกับสมาชิกชมรมพระวังหน้าบางท่านว่า  ทำไมต้องไปร่วมทำบุญกับคุณหนุ่ม  คุณหนุ่มให้ทำบุญแพง  มาทำบุญกับ.......ดีกว่า  แจกพระฟรีด้วย ทางสมาชิกชมรมพระวังหน้าท่านนั้น  ตอบกลับไปว่า  ไม่เป็นไร  หากผมมีเงินมากกว่านี้  ผมก็จะทำบุญให้มากกว่านี้   หรือ  ปู่ประถมมอบพระโลกอุดรมาให้ผู้ร่วมทำบุญกับ......  ทาง.......ได้นำรูปมาลง  พอมีกลุ่มหนุ่มไปทำบุญและขอรับพระพิมพ์นี้  ปรากฏว่า ทาง........แจ้งกลับมาว่า  ไม่ให้  จะเก็บไว้เอง  เป็นพระที่นำไปโชว์

 

.......ได้ถามว่า  ใครพูด  หลายครั้งมาก  ผมก็บอกว่า  ผมบอกขอไม่บอก  เนื่องจากเรื่องทุกอย่างจบลงไปหมดแล้ว

 

ยังมีอีกหลายๆเรื่องที่ไม่ได้บอก และผมว่าไม่จำเป็นต้องบอก เนื่องจากเรื่องได้จบลงไปหมดแล้ว  มีพี่ๆ  เพื่อนๆ  น้องๆ  หลายๆท่านเตือนผมมา  บางท่านบอกว่า  ผมเองอดทนมาในการไปร่วมงานของ.......  หากเป็นเขา  ไม่สามารถที่จะอดทนได้แบบนี้  ผมบอกว่า  ผมไปทำบุญ  ผมไม่ได้สนใจในเรื่องอื่นๆ


ส่วนเรื่องที่มีผู้ที่ไปบอกกับผู้ที่มาร่วมทำบุญกับผม  แล้วได้ไปอยู่กับ.......ในระยะต่อมา  ผมว่า  คงมีอีกเยอะ  มีอีกหลายเรื่องที่โดนแทงข้างหลังมาตลอด  นับตั้งแต่การก่อตั้ง.......ประมาณปลายปี 2550  ทั้งๆที่ในช่วงก่อนหน้าที่จะตั้ง......  .....ได้บอกเรื่องนี้กับผมและ......  และในการประชุมครั้งแรกของ..... ผมเองก็ได้เข้าร่วมประชุมด้วย


หลังจากการประชุม...... ก็ได้มีการตั้ง......ขึ้น  โดย........เป็นผู้ที่ดูฤกษ์การตั้งกระทู้และให้...........เป็นผู้ตั้งกระทู้ฯ  หลังจากนั้น  ............สั่งในเรื่องของการร่วมทำบุญโดยไม่รับพระพิมพ์ต่างๆ  ทาง...........ได้นำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นในการโจมตีผมมาโดยตลอด  อย่างเช่นในเรื่องที่มีคนที่ไปพูดกับสมาชิกชมรมพระวังหน้าบางท่านว่า  ทำไมต้องไปร่วมทำบุญกับคุณหนุ่ม  คุณหนุ่มให้ทำบุญแพง  มาทำบุญกับ.........ดีกว่า  แจกพระฟรีด้วย   ทางสมาชิกชมรมพระวังหน้าท่านนั้น  ตอบกลับไปว่า  ไม่เป็นไร  หากผมมีเงินมากกว่านี้  ผมก็จะทำบุญให้มากกว่านี้    ส่วนในเรื่องอื่นๆ  ผมคิดว่า  น่าจะมีมากกว่านี้มาก  ทั้งๆที่.......เคยบอกกับผมและ.........แล้วว่า  ให้เลิกการทะเลาะกัน  , โจมตีกัน  ผมเองก็ได้เลิกสนใจและใส่ใจ  แต่ยังคงไปทำบุญกับ.......มาโดยตลอด  เพราะถือว่า เราได้ร่วมทำบุญกับปู่ประถม  แต่ทาง.......ยังคงดำเนินเรื่องของการโจมตีผมมาโดยตลอด

......................   ........................

นำมาเล่าสู่กันฟังครับ

 

ด้วยรัก

Sithiphong

5/4/2555

------------------------------

nongnooo
แก้ไขหน่อยครับ นั่นมันตอนไปที่บ้านปู่ นานแล้ว ลืมๆไปเถอะครับ
ส่วนที่หน้าลิพฟ์นั้น เขาทำมองไม่เห็นผมก็ต่างคนต่างไปครับ


.


ยุติในทุกๆเรื่องที่เกี่ยวเนื่องหรือเกี่ยวข้องกับ........


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 06, 2012, 07:47:59 pm
พระปิดตาวังหน้า

(ชุดผ้าป่า 11 กอง)

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1990626&d=1333716804)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 06, 2012, 07:49:21 pm
พิมพ์หลวงปู่กรมพระยาปวเรศ ฉัตร 5 ชั้น เนื้อปูนสอ

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1990666&d=1333717089)

สามารถใช้ทำน้ำมนต์ แทนพระพระกริ่งปวเรศได้เลย

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 06, 2012, 10:08:46 pm
พระปิดตา วังหน้า

หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1990627&d=1333716804)

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1990650&d=1333716902)

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1990651&d=1333716902)


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 07, 2012, 06:18:53 am
พระปิดตา 4 กร (วังหน้า)

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1990628&d=1333716804)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 07, 2012, 06:20:45 am
พิมพ์หลวงพ่อเงิน (ของวังหน้า)

หลวงพ่อเงิน  วัดบางคลาน ท่านอธิษฐานจิต

(นั่นหมายความว่า  ทันท่านครับ)

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1990654&d=1333716983)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 07, 2012, 06:22:53 am
กล่าวถึงหลวงพ่อเงิน  แล้วไม่กล่าวถึงหลวงปู่ศุขได้อย่างไร

ตะกรุด พิมพ์ประภามณฑล

หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า  อธิษฐานจิต

(ทันท่านเช่นกัน)

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1990665&d=1333717089)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 07, 2012, 06:37:41 am
พระปิดตาวังหน้า

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1990629&d=1333716804)

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1990649&d=1333716902)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 08, 2012, 08:26:31 am
ผู้โพส santisayan

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1992542&d=1333849079)

นี่ก็อีกหนึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ทั้งๆที่เป็นพระเก่า สวยงามทั้งด้านหน้า ด้านหลัง มีพลังเหลือล้น แต่คนขายพระกิน ไม่นิยม(เพราะว่าไม่มีในครอบครอง)ไม่ต้องให้ใครมารับรอง มาเช็คพลัง คุณค่าที่มีอยู่ในองค์ท่านนั้นเป็นสิ่งที่รับรององค์ท่านเอง นี่ก็เป็นเรื่องของต่างมองต่างมุม ความไม่รู้ ความเชื่อ(ที่ได้ฟังต่อๆๆมา)ปัญญาที่ไม่ได้เกิดจากการรู้จริง เห็นจริง ห รือเกิดจากการวิเคราะห์ ด้วยเหตุ ผล จืงต้องนำมาลงให้ดูกันอีกครั้ง(ตามคำขู่)

เนื่องจากผู้เขียนเป็นเพียงนักศึกษาที่ยังไม่รู้จริงยังไม่แตกฉานในพระพิมพ์ต่างๆฉนั้นการที่ผู้เขียนนำเสนอแนวคิดต่างๆที่อยู่ในกระทู้"พระวังหน้า.."นี้ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน และไม่ควรนำไปอ้างอิง (จนกว่าจะได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้อง) ด้วยเหตุผลเดียวกัน ความเข้าใจและความคิดเห็น ในความรู้พระวังหน้า วังหลวง ของผู้เขียนในอนาคต อาจจะสอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับข้อความที่ปรากฎในกระทู้ "พระวังหน้าที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก.." นี้ก็เป็นได้

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1992545&d=1333849113)

นี่เป็นด้านหลังของรูปที่แล้วไม่ต้องกลัวว่าจะโหลดไปปลอมเพราะปลอมมาแล้ว ไม่เหมือน เรื่องปลอมพระวังหน้านี้มีมานานแล้วทั้งๆรู้ว่าปลอมก็ยังไปเช่ามา การปลอมเค้ารู้ว่าจับพลังกัน เค้าก็ให้แบบเต็มๆๆโดยการจัดใหญ่จัดให้จัดหนัก เมื่อคนที่ไม่ศึกษาเรื่องเนื้อว่าเก่าจริงหรือไม่ ไม่มีความรู้ ไม่มีตัวอย่าง ไม่มีความคิดที่เป็นจริง มันก็เข้าทางคนปลอมพระขาย แหล่งใหญ่ที่ขายก็รู้ แต่ก็ยังเดินไปหาเค้าเอง แล้วโทษใคร อีกหน่อยก็คงโทษครูอาจารย์ที่ไม่บอก ไม่ได้มองที่ตัวเอง ไม่ได้คิด ไม่มีแนวทางที่เป็นไปได้ เมื่อไม่มีครูอาจารย์แล้ว จะทำอะไรเป็นไหม? อะไรถูกหรือผิด จะถามใคร ใบ้กิน พระเครื่องนี่ก็เป็นวิทยาศาสตร์ ต้องพิสูตร์ได้ ไม่ต้องมาสาบานแบบเด็กๆๆว่าจริงหรือไม่ ใช่หรือไม่ ที่สำคัญ ว่าเคยเห็นของแท้บ้างไหม? เห็นแต่ของปลอมมาตลอดก็เลยไม่รู้ว่ามีหรือไม่

เนื่องจากผู้เขียนเป็นเพียงนักศึกษาที่ยังไม่รู้จริงยังไม่แตกฉานในพระพิมพ์ต่างๆฉนั้นการที่ผู้เขียนนำเสนอแนวคิดต่างๆที่อยู่ในกระทู้"พระวังหน้า.."นี้ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน และไม่ควรนำไปอ้างอิง (จนกว่าจะได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้อง) ด้วยเหตุผลเดียวกัน ความเข้าใจและความคิดเห็น ในความรู้พระวังหน้า วังหลวง ของผู้เขียนในอนาคต อาจจะสอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับข้อความที่ปรากฎในกระทู้ "พระวังหน้าที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก.." นี้ก็เป็นได้

-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2537.html#post5967132-



http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2537.html#post5967132 (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2537.html#post5967132)


.






















หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 08, 2012, 08:32:38 am
.

โพสโดย คุณ:::เพชร:::

-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2537.html#post5967132-

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1992551&d=1333849489)


(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1992552&d=1333849489)

พิมพ์ปิดตาวังหน้า หรือพิมพ์อธิษฐานฤทธิ์ ลองพิจารณากันครับ ลักษณะของพระกร และฝ่าพระหัตถ์ที่ยกขึ้นหากเป็นปิดตา ออกจากผิดสัดส่วนธรรมชาติการยกพระกร พระหัตถ์ขึ้นในระดับนั้นไปบ้าง หากเป็นอธิษฐานฤทธิ์ก็สมสัดส่วนมากกว่า รอบๆเป็นอักขระเลขยันต์ ไม่ใช่ปรกโพอย่างแน่นอน ลุงหนุ่มน้อย ลุงไฟดูด ลุงอ.กูรูน้องนู๋มาช่วยกันพิจารณาดูหน่อย พิมพ์นี้ผมไปพบแถบท่าน้ำนนท์ ๒ องค์ สีแดง และสีดำวางคู่กัน องค์ละร้อย คนขายไม่ทราบสำนัก

เนื่องจากผู้เขียนเป็นเพียงนักศึกษาที่ยังไม่รู้จริงยังไม่แตกฉานในพระพิมพ์ต่างๆฉนั้นการที่ผู้เขียนนำเสนอแนวคิดต่างๆที่อยู่ในกระทู้"พระวังหน้า.."นี้ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน และไม่ควรนำไปอ้างอิง (จนกว่าจะได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้อง) ด้วยเหตุผลเดียวกัน ความเข้าใจและความคิดเห็น ในความรู้พระวังหน้า วังหลวง ของผู้เขียนในอนาคต อาจจะสอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับข้อความที่ปรากฎในกระทู้ "พระวังหน้าที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก.." นี้ก็เป็นได้


--------------------------------

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1992553&d=1333849489)

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1992554&d=1333849489)


เป็นความบังเอิญหรือไม่ ก็ลองพิจารณาดูครับ ยุคนี้คือยุคเผยแพร่ ผมขอแก้ไขข้อมูลของ post ที่ 50732 ที่ระบุว่า พระปิดตาวังหน้า หรือพิมพ์อธิษฐานฤทธิ์ คงต้องรอให้ลุงๆทั้ง ๓ มาช่วยกันชี้แนะอีกทีเกี่ยวกับลักษณะพระพิมพ์ครับ

ที่ผมบอกว่าแก้ไขคือ ประเด็นเรื่องวังหน้า วัดชนะสงคราม มีความรู้สึกว่าแยกกันไม่ออก ลองอ่านเรื่องราวต่อไปนี้ก่อนนะครับ..

จากแยกบางลำพู เลี้ยวมายังป้อมพระสุเมรุไปตามถนนพระอาทิตย์ วกกลับย้อนขึ้นมาเลียบเชิงสะพานพระปิ่นเกล้า กลับมายังย่านบางลำพูหน้าวัดชนะสงคราม ราชวรมหาวิหาร เป็นย่านเก่าแก่ยาวนานมาตั้งแต่ยุคก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์

การนำเสนอภาพชุมชนแห่งนี้ให้ชัดเจนที่สุด ต้องกล่าวถึงองค์ประกอบสำคัญ 3 ส่วนคือ ๑. วัดชนะสงคราม ๒. ชุมชนดั้งเดิมที่เป็นชาวมอญ และ ๓. เจ้าวังหน้า

เรื่องราวในอดีตย้อนลงไปกว่า ๒๐๐ ปีของชุมชนแห่งนี้ สามารถเชื่อมโยงร้อยเรียงเพื่อนำมาอธิบายภาพที่ปรากฏเป็นชุมชนพระอาทิตย์ในปัจจุบันได้อย่างไม่ขาดตอน เพราะทุกอย่างล้วนมีที่มาที่ไปสืบทอดต่อเนื่องกัน

ยุคต้นรัตนโกสินทร์ - - ที่ดินบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยาตรงถนนพระอาทิตย์ตั้งแต่ปากคลองบางลำพู ตรงข้างวัดสังเวชฯ จนถึงบริเวณท่าช้างวังหน้า (ใต้สะพานพระปิ่นเกล้า) เป็นที่ตั้งของชุมชนชาวมอญที่เข้ามาสวามิภักดิ์แหล่งใหญ่แห่งหนึ่ง หัวหน้าชุมชนรับราชการเป็น เจ้ามหาโยธา (ทอเรียะ) ต้นตระกูล คชเสนี โดยมีจุดศูนย์รวมจิตใจอยู่ที่ วัดตองปุ อันเป็นวัดเก่ามีมาก่อนตั้งกรุงฯ ต่อมาพระราชทานนามว่า วัดตองปุ และตั้งสมเด็จพระราชาคณะฝ่ายรามัญมาดูแล เพื่อให้เหมือนกับวัดของชุมชนมอญอาสาครั้งกรุงเก่าฯ

ละแวกดังกล่าวอยู่ใกล้เขตพระราชฐานของกรมพระราชวังบวรฯ หรือ วังหน้า ... ครั้งเมื่อ สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ชนะศึกสงครามเก้าทัพ เสด็จมาทำพิธีสรงน้ำและเปลี่ยนเครื่องทรงตามพระราชพิธีโบราณที่วัดตองปุก่อนเสด็จเข้าพระบรมมหาราชวัง จึงทรงโปรดฯ ให้บูรณะพระอารามใหม่เมื่อปี ๒๓๓๐ จากนั้นรัชกาลที่ ๑ ได้ทรงพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดชนะสงคราม” อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านยังคงเรียกชื่อ วัดตองปุเรื่อยมาจนถึงประมาณสมัยรัชกาลที่ ๕

เจ้ามหาโยธา ทอเรียะ มีบุตรรับราชการสืบต่อ นามว่า พระยาดำรงราชพลขันธ์ (จุ้ย) มีธิดาถวายตัวเป็นพระสนมเอกในรัชกาลที่ ๔ ชื่อว่า เจ้าจอมมารดากลิ่น ซึ่งให้ประสูติพระราชโอรส ทรงพระนามว่า “พระองค์เจ้าชายกฤษดาภินิหาร” ซึ่งต่อมาได้รับสถาปนาเป็น “พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์”

ตระกูล คชเสนี จึงถวายที่ดินบริเวณถนนพระอาทิตย์เพื่อเป็นวังที่ประทับของพระองค์เจ้าชายกฤษดาภินิหาร ปัจจุบันคือ 'บ้านมะลิวัลย์' ที่ตั้งของสำนักงาน องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ไม่ไกลนักกับบ้านพระอาทิตย์

ด้วยทำเลที่ตั้งและความเป็นมาเกี่ยวข้องกับชุมชนมอญ วัดชนะสงคราม จึงเกี่ยวข้องกับเจ้านายวังหน้า – ชุมชนมอญพระอาทิตย์มาตั้งแต่ต้น

ในสมัยรัชกาลที่ ๒ สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ (วังหน้า) ทรงนำไม้ที่รื้อพระพิมานดุสิตา ซึ่งเคยเป็นหอพระสร้างเสนาสนะถวาย จนมาถึงการบูรณะใหญ่อีกครั้งสมัยรัชกาลที่ ๖ พระศรีพัชรินทรา ฯ พระพันปีหลวง ทรงมอบหมายให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศรวรฤทธิ์ (หลานทวดของพระมหาโยธา ทอเรียะ ซึ่งมีวังอยู่ใกล้กับวัด ) บูรณะจนเสร็จในสมัยรัชกาลที่ ๗

รัตนโกสินทร์ยุคกลางถึงยุคปัจจุบัน - - ละแวกถนนพระอาทิตย์และวัดชนะสงคราม เป็นเขตพระราชฐานของวังหน้า จึงเป็นธรรมเนียมที่ “เจ้านายวังหน้า” ได้พระราชทานที่ดินเพื่อสร้างวัง หรือ ตำหนักประทับ ต่อเนื่องกันมาในแต่ละรัชกาล

โรงเรียนการข่าวทหารบกปัจจุบัน เคยเป็นวังของกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ วังหน้าในรัชกาลที่ ๕ ลึกเข้าไปในตรอกโรงไหม เคยเป็นที่ตั้ง วังของพระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรวุฒิอาภรณ์ พระโอรสในกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ

บ้านเจ้าพระยา ที่ทำการของ เอเอสทีวี. เดิมเป็นวังของ พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้านวรัตน์ กรมหมื่นสถิตยธำรงสวัสดิ์ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว (วังหน้า) ต่อมาสมัยรัชกาลที่ ๖ พระราชทานที่ดินและอาคารแก่พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคำรบ พระบิดาของ ม.ร.ว.เสนีย์-คึกฤทธิ์ ปราโมช

ส่วน บ้านพระอาทิตย์ นั้น เดิมเป็นบ้านของ เจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์(ม.ร.ว เย็น อิศรเสนา) เจ้านายผู้สืบเชื้อสายมาจากพระองค์เจ้าพงศ์อิศเรศร์ พระโอรสใน สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์-วังหน้าในสมัยรัชกาลที่ ๒ โดยได้สร้างขึ้นใหม่แทนวังเดิมที่ทรุดโทรมลงเมื่อพ.ศ.๒๔๗๕

เจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ มีความสัมพันธ์สืบเนื่องกับชุมชนมอญพระอาทิตย์-วัดชนะสงคราม อย่างแนบแน่น บิดาของท่านคือ ม.จ.เสาวรส อิศรเสนา สมรสกับ หม่อมมุหน่าย อิศรเสนา เชื้อสายมอญชุมชนพระอาทิตย์ เมื่อยังเด็ก เจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ ไปเรียนหนังสือกับหลวงตา (บิดาของหม่อมมุหน่าย) ซึ่งบวชจำพรรษาอยู่ที่วัดชนะสงคราม

เจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ เจ้าของบ้านพระอาทิตย์ จึงมีสายใยผูกพันกับชุมชนมอญ และ วัดชนะสงคราม อย่างแยกไม่ออก

ข้อมูลจาก http://www.manager.co.th/politics/vi...=9500000129353 (http://www.manager.co.th/politics/vi...=9500000129353)

และประวัติของวัดชนะสงคราม ให้ดูว่า มีความเกี่ยวพันกับวังหน้า ร.๑ กันยังไง

วัดชนะสงคราม เป็นวัดโบราณสร้างในสมัยอยุธยา ไม่ปรากฏหลักฐานการสร้าง เดิมเรียกว่า วัดกลางนา

เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี มีพระราชประสงค์ที่จะสร้างสิ่งก่อสร้างขึ้นให้คล้ายคลึงกับกรุงศรีอยุธยามากที่สุด วัดที่ตั้งอยู่ใกล้พระบรมมหาราชวังได้ทรงปฏิสังขรณ์ใหม่ ตลอดจนเปลี่ยนชื่อวัดให้เหมาะสม โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อวัดกลางนาเป็นวัดตองปุ และให้เป็นวัดพระสงฆ์ฝ่ายรามัญ เช่นเดียวกับวัดตองปุที่กรุงศรีอยุธยา เพื่อเทิดเกียรติทหารชาวรามัญในกองทัพสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการต่อสู้กับพม่าในสงครามเก้าทัพ เมื่อ พ.ศ. 2328 สงครามที่ท่าดินแดง และสามสบ เมื่อ พ.ศ. 2329 และสงครามที่นครลำปางป่าซาง เมื่อ พ.ศ. 2330

สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดตองปุแล้วถวายเป็นพระอารามหลวงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามใหม่ว่า วัดชนะสงคราม เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ทรงมีชัยชนะต่อพม่าในการรบทั้ง 3 ครั้ง

วัดชนะสงครามได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์มาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้ทรงเริ่มดำเนินการก่อสร้างที่บรรจุพระอัฐิเจ้านายฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคลที่เฉลียงพระอุโบสถด้านหลังตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระพันปีหลวงทรงพระราชอุทิศพระราชทรัพย์ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากฤษดาภินิหาร กรมพระนเรศร์วรฤทธิ์ดำเนินการ แต่การก่อสร้างมาแล้วเสร็จในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งพระราชทานพระราชทรัพย์ให้ราชบัณฑิตยสภาดำเนินการก่อสร้าง ขณะนั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นนายกราชบัณฑิตยสภาและสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงดำเนินการก่อสร้างจนเสร็จสิ้น ได้มีพิธีอัญเชิญพระอัฐิจากพระราชวังบวรสถานมงคลไปประดิษฐานใน พ.ศ. 2470

เรื่องสำคัญออีกเรื่องที่ผมกล่าวว่า แยกกันไม่ออกระหว่าวังหน้า และวัดชนะสงคราม และอีกประการคือ พระสงฆ์มอญ ลองตามอีกนิดครับ ใกล้จะขมวดปมแล้วครับ...

พระปริตรามัญ
โบราณประเพณีเก่าแก่ของไทยประการหนึ่ง ที่มีความสำคัญ และมีความหมายยิ่ง ต่อองค์พระมหากษัตริย์โดยตรง หากแต่ไม่ค่อยได้มีผู้ใดรู้จักเท่าใดนัก เนื่องจากเป็นพิธีที่ปฏิบัติกัน เฉพาะในหอศาสตราคม พระบรมมหาราชวัง และเป็นพิธีที่จัดทำขึ้นเฉพาะส่วนพระองค์เท่านั้น พิธีนี้มีความหมายอย่างยิ่งต่อพระราชกิจวัตรประจำวัน เนื่องจากเป็นพิธีที่สวดเพื่อทำน้ำพระพุทธมนต์ทูลเกล้า ฯ ถวาย ส่วนหนึ่งสำหรับจัดเป็นน้ำสรงพระพักตร์ และน้ำโสรจสรง อีกส่วนหนึ่ง เพื่อประพรมพระที่นั่งองค์สำคัญ ในเขตพระราชฐานชั้นใน นอกจากนี้ พิธีดังกล่าว ยังมีลักษณะพิเศษอีกประการหนึ่งคือ จะนิมนต์เฉพาะพระสงฆ์มอญเข้ามาสวดบทสวดพระปริตรมอญเท่านั้น ความสำคัญของพิธีสวดพระปริตรรามัญ เพื่อทำน้ำพระพุทธมนต์ ในพระบรมมหาราชวังนั้น ปรากฏตามพระบรมราชาธิบาย ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า

"ในพระราชนิเวศน์เวียงวัง ของพระเจ้าแผ่นดินสยาม ตามแบบแผนบุรพประเพณีสืบมา พระสงฆ์รามัญ ได้สวดพระปริตรตามแบบอย่างข้างรามัญ ถวายน้ำพระพุทธมนต์และน้ำสรงพระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน และเป็นน้ำสำหรับสรงพระพักตร์ ประพรมเป็นทักษิณาวัฏรอบขอบ ในจังหวัดพระราชมหามณเฑียรนี้ทุกวัน เป็นการพระราชพิธีมีสำหรับบรมราชตระกูลสืบมาแต่โบราณ พระสงฆ์อื่น ๆ แม้นมีฐานันดรยศปรากฏด้วยเกียรติคุณ คือ เรียนรู้พระคัมภีร์ที่เป็นพระราชาคณะเปรียญ หรือที่เป็นอาจารย์บอกภาวนาวิธี หรือพระสงฆ์ที่รู้ประกอบวิทยามนต์ดล เป็นที่นับถือของคนเป็นอันมากก็ดี ก็ไม่มีราชบัญญัติ ที่จะได้รับวาระผลัดเปลี่ยนมาสวดพระปริตรถวายน้ำพระพุทธมนต์เลย เหตุอันนี้ได้ทรงพระราชดำริว่า ชะรอยจะมีเหตุวิเศษอย่างหนึ่งแต่โบราณรัชกาล เป็นมหัศจรรย์อยู่อย่างไรแน่แท้ เพราะว่าปกติธรรมดาคนชาวภาษาใด ประเทศใด ก็ย่อมนับถือพระสงฆ์และแพทย์หมอต่าง ๆ ตามประเทศ ตามภาษาของตัว ในการสวดและการบุญต่าง ๆ แลการปริตรรักษาตนรักษาไข้ แต่การซึ่งมีนิยมเฉพาะให้พระสงฆ์รามัญพวกเดียว ประจำสวดปริตรอย่างรามัญ ในพระราชวังนี้ จะมีความยืนยันมา ในพระราชพงศาวดาร หรือจดหมายเหตุการต่อมาเป็นแน่นอนก็ไม่มี ”

อนึ่ง เมื่อมีการเสด็จพระราชดำเนินประทับแรมราตรี ณ ตำบลใดเป็นทางไกล คือเสด็จไปการสงคราม หรือแทรกโพนช้างในแผ่นดินก่อน ๆ พระสงฆ์รามัญสวดพระปริตรนี้ ก็ต้องตามเสด็จพระราชดำเนินด้วยทุกครั้ง เมื่อครั้งแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเจ้า เสด็จไปประทับอยู่กรุงลพบุรี 8 เดือน ในฤดูแล้งทุกปี ก็ได้อาราธนาพระสงฆ์รามัญวัดตองปุให้ตามเสด็จขึ้นไปตั้งอารามชื่อวัดตองปุ อยู่สวดพระปริตรถวายพระพุทธมนต์ทุกวัน อารามนั้นก็มีปรากฏจนทุกวันนี้ แลน้ำพระพุทธมนต์พระปริตรนี้ ย่อมเป็นที่เห็นว่ามีอำนาจป้องกันอุปัทวันตรายต่าง ๆ ได้จริง ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้ดำรงสิริ รัตนราไชยสวริยาธิปัตย์ เถลิงถวัลยราช ณ กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์มหินทราอยุธยานี้ ก็ได้ทรงถือน้ำพระพุทธมนต์ประปริตรที่พระสงฆ์รามัญสวดถวายนั้น เป็นน้ำสรงพระพักตร์และน้ำสรงมาทุกพระองค์ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้นิพนธ์อธิบายเพิ่มเติม ถึงราชประเพณีดังกล่าวในหนังสือ "ตำนานพระปริต" โดยแสดงให้เห็นว่า แม้ปกติจะมีการแต่งตั้งตำแหน่งพระครูปริตไทย 4 รูป และพระครูปริตมอญ 4 รูป สำหรับสวดทำน้ำพระพุทธมนต์ในงานพระราชพิธีโดยทั่วไปแล้วนั้น แต่สำหรับพิธีสวดทำน้ำพระพุทธมนต์ที่หอศาสตราคม ในพระบรมมหาราชวังนั้นมีเฉพาะพระครูปริตมอญเท่านั้นเข้ามาสวดทุกวัน ดังความว่า

"แต่การสวดพระปริตทำน้ำพระพุทธมนตร์ ถือเป็นการสำคัญในราชประเพณีอย่างหนึ่ง มีตำแหน่งพระครูพระปริตไทย 4 รูป พระครูพระปริตมอญ 4 รูป สำหรับสวดทำน้ำพระพุทธมนตร์ ในบรรดางานพระราชพิธีซึ่งมีสรงมุรธาภิเษก พระราชาคณะไทยรูป 1 มอญรูป 1 กับพระครูพระปริต 8 รูปนั้นสวดทำน้ำพระพุทธมนตร์สำหรับสรงมุรธาภิเษกทุกงาน และโดยปกติพระครูพระปริตมอญต้องเข้ามาสวดทำน้ำพระพุทธมนตร์ที่หอศาสตราคม ทุกวัน น้ำมนตร์พระปริตนั้น ส่วนหนึ่งแบ่งส่งไปสำหรับเป็นน้ำสรงพระพักตร์และโสรจสรง อีกส่วนหนึ่งในบาตร 2 ใบให้สังฆการีถือตามพระครูพระปริต 2 รูป เข้าไปเดินประพรมด้วยกำหญ้าคาที่ในพระราชวังเวลาบ่าย 14 นาฬิกา ทุกวันเป็นนิตย์มาแต่โบราณ ”
เมื่อมีการสวดพระปริตรเป็นพิธีหลวง จึงได้ทรงแต่งตั้งพระครูพระปริตรประจำพระราชวัง สำหรับการสวดพระปริตร และสวดพระพุทธมนต์สำหรับทำน้ำมนต์ และสำหรับเสกทรายโดยเฉพาะ โดยมีพระสงฆ์ฝ่ายรามัญ 4 รูป ซึ่งแต่เดิมจำพรรษาอยู่ตามวัดต่าง ๆ ที่สังกัดอยู่ในคณะรามัญนิกาย เช่น วัดบวรมงคล วัดราชคฤห์ วัดชนะสงคราม เป็นต้น ต่อมาภายหลังได้เปลี่ยนแปลง เป็นพระสงฆ์มอญจากวัดชนะสงครามเพียงอารามเดียว ทั้งนี้สาเหตุอาจเนื่องมาจากการจัดเวรหมุนเวียนพระแต่ละแห่งเกิดความไม่ สะดวก หรือเป็นเพราะหลังสงครามโลกครั้งที่สอง มีพระที่สวดพระปริตรรามัญหลบภัยสงครามไปอยู่ตามวัดในต่างจังหวัด จะเหลืออยู่ก็แต่ที่วัดชนะสงคราม จึงได้สวดวัดเดียวนับแต่นั้นมา
ตำแหน่งพระครูปริตรรามัญทั้ง 4 รูป ได้แก่

1. พระครูราชสังวร
2. พระครูสุนทรวิลา
3. พระครูราชปริต
4. พระครูสิทธิเตชะ
ตำแหน่ง พระครูปริตรามัญทั้งหมดนี้ ปัจจุบันประจำอยู่ที่วัดชนะสงคราม รับหน้าที่เข้าไปสวดพระปริตรทำน้ำพระพุทธมนต์ ในพระบรมมหาราชวังที่หอศาสตราคมเรื่อยมา จนกระทั่งถึง พ.ศ. 2489 ปรากฏว่า พระสงฆ์ที่สามารถสวดพระปริตรามัญได้นั้น มีน้อยรูปลง ไม่พอจะผลัดเปลี่ยนกัน พระครูราชสังวร (พิศ อายุวฑฺฒโก) ผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดชนะสงครามในครั้งนั้น จึงได้มีหนังสือถึงกรมการศาสนา ขอลดวันสวดลงมา เหลือสวดเฉพาะวันธรรมสวนะเท่านั้น พิธีเริ่มแต่เวลา 13 นาฬิกา พระสงฆ์ 4 รูปพร้อมด้วยพระครูปริตรผู้เป็นประธาน 1 รูป สวดพระปริตรอย่างภาษารามัญที่หอศาสตราคม เมื่อเสร็จราว 14 นาฬิกา มีเจ้าหน้าที่ถือบาตรน้ำมนต์นำพระ 2 รูป ไปประพรมน้ำพระพุทธมนต์รอบหมู่พระมหามณเฑียรเป็นเสร็จพิธี ในการสวดพระปริตรามัญที่หอศาสตราคม ในชั้นเดิม มีการหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันระหว่างพระครูปริตทั้ง 4 รูป ในการไปสวดแต่ละวันโดยแบ่งกันรับผิดชอบตามวัน-เวลา ดังนี้

1. พระครูราชสังวร รับผิดชอบวันธรรมสวนะขึ้น 8 ค่ำ
2. พระครูสุนทรวิลาส รับผิดชอบรวันธรรมสวนะขึ้น 15 ค่ำ
3. พระครูราชปริต รับผิดชอบวันธรรมสวนะแรม 8 ค่ำ
4. พระครูสิทธิเตชะ รับผิดชอบวันธรรมสวนะแรม 15 ค่ำ

โดยที่พระครูปริตทั้ง 4 รูป จะทำหน้าที่เป็นประธานในการสวดแต่ละครั้ง ซึ่งจะมีพระมอญอีก 4 รูปมาสวดร่วมด้วย รวมเป็นสวด 5 รูปในแต่ละวัน


ปัจจุบัน พระสงฆ์มอญมีจำนวนลดน้อยลงโดยลำดับ เช่นเดียวกับพระสงฆ์ไทย สืบเนื่องจากสาเหตุหลายประการ แม้แต่ในวัดชนะสงคราม ซึ่งเป็นพระอารามหลวงที่พระสงฆ์มอญ มีบทบาทโดยตรงกับราชประเพณีสำคัญดังกล่าว ก็กำลังประสบสภาพการณ์เช่นเดียวกัน

ลำดับเจ้าอาวาส
1. พระมหาสุเมธาจารย์ พ.ศ. 2325-2363
2. พระสุเมธาจารย์ 2363-2383
3. หม่อมเจ้าพระสีลวราลังการ (ม.จ.สอน) พ.ศ. 2383-2410
4. พระสุเมธาจารย์ (ศรี ป.ธ.5) พ.ศ. 2410-2455
5. พระประสิทธิศีลคุณ (พุธ) พ.ศ. 2455-2456
6. พระครูภาวนาพิจารณ์ (ลืม) รักษาการ พ.ศ. 2457-2459
7. พระพิศาลสมณกิจ (ริด ป.ธ.๖) พ.ศ. 2459 (๑ เดือน ภายหลังโดนถอด)
8. พระสุเมธมุนี (ลับ สงฺกิจโจ ป.ธ.3) พ.ศ. 2460-2485
9. พระธรรมทัศนาธร (ทองสุก สุทัสโส ป.ธ.8) พ.ศ. 2492-2508
10. สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสรมหาเถร ป.ธ.9) พ.ศ. 2509-11 มีนาคม พ.ศ. 2554(ถึงแก่มรณภาพ)

ขอบคุณข้อมูลจาก วิกีพีเดีย

อยากให้ลองไปค้นบทความ หรือพงศาวดาร หรือจดหมายเหตุ มาอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับสงคราม ๙ ทัพ สงครามครั้งสำคัญ ที่สร้างไทยให้เป็นไทยอยู่ทุกวันนี้ และคงยังไม่สายเกินไปที่จะนำกล่าวถึงในโอกาสนี้ และจะเป็นที่มาของการสร้างพระพิมพ์ของวัดชนะสงคราม ภาพพระพิมพ์ที่แสดงไว้ใน post ที่ 50732 เป็น ๑ จำนวนนั้นเท่านั้น วันนี้ผมนำพิมพ์ที่ ๒ มาให้ชมกัน การได้อ่านเรื่องราวของสงคราม ๙ ทัพนี้ จะรู้สึกถึงความสำคัญ และหวงแหนพระพิมพ์นี้ เนื่องจากพระพิมพ์นี้เรียกว่า "พระพิมพ์เล็บช้าง" ได้จัดสร้างขึ้นในโอกาสฉลองชัยสงคราม ๙ ทัพ การจัดสร้างอยู่ในช่วงปีพ.ศ. ๒๓๒๕-๒๓๖๓ โดยสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท พระมหาอุปราชวังหน้า รัชกาลที่ ๑ นั่นเอง ซึ่งก็คือช่วงเวลาที่พระมหาสุเมธาจารย์ เป็นเจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม


ความเห็นตัวผมเอง คิดว่า น่าจะเป็นปีพ.ศ.๒๓๓๐ เมื่อคราวเสร็จศึกที่นครลำปางป่าซางนั่นเอง เช่นนั้น อายุพระพิมพ์จึงมีอายุ ๒๒๕ ปี (คำนวณที่ปีพ.ศ.๒๓๓๐-๒๕๕๕)

เนื่องจากผู้เขียนเป็นเพียงนักศึกษาที่ยังไม่รู้จริงยังไม่แตกฉานในพระพิมพ์ต่างๆฉนั้นการที่ผู้เขียนนำเสนอแนวคิดต่างๆที่อยู่ในกระทู้"พระวังหน้า.."นี้ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน และไม่ควรนำไปอ้างอิง (จนกว่าจะได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้อง) ด้วยเหตุผลเดียวกัน ความเข้าใจและความคิดเห็น ในความรู้พระวังหน้า วังหลวง ของผู้เขียนในอนาคต อาจจะสอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับข้อความที่ปรากฎในกระทู้ "พระวังหน้าที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก.." นี้ก็เป็นได้

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 08, 2012, 09:48:58 am
ประวัติวังหน้า
พระราชวังบวรสถานมงคล

“วังหน้า” ที่ปรากฏในยุครัตนโกสินทร์นี้ เริ่มตั้งแต่รัชกาลที่ 1 เสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อพุทธศักราช 2325 และได้ยกเลิกตำแหน่งนี้เมื่อ “วังหน้า” พระองค์สุดท้ายคือกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ทิวงคต เมื่อพุทธศักราช 2428 ในสมัยรัชกาลที่ 5 รวมเวลาที่มีตำแหน่ง “วังหน้า” ในสมัยรัตนโกสินทร์ 103 ปี

     วังหน้า เป็นชื่อที่สามัญชนชอบ ใช้เรียกพระมหาอุปราช ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีขึ้นครั้งแรกในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ โดยตราพระราชกำหนดศักดินาพลเรือนขึ้น เมื่อพุทธศักราช 2009 ต่อมาในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้เปลี่ยนนามวังที่ประทับของพระมหาอุปราชให้สูงขึ้นเสมอพระราชวังหลวง เรียกว่า พระราชวังบวรสถานมงคล เหตุที่สามัญชนเรียก พระราชวังบวรสถานมงคลว่า วังหน้า อธิบาย ได้ 3 ประการดังนี้ ประการที่ 1 หมายถึงวังที่ตั้งอยู่ข้างหน้าของพระราชวังหลวง สมัยอยุธยา ครั้งเมื่อสมเด็จพระนเรศวรทรงเป็นพระมหาอุปราช ประกาศอิสรภาพพ้นการเป็นเมืองขึ้นของพม่าแล้ว เสด็จมาประทับในพระนครศรีอยุธยา ทรงสร้างพระราชวังขึ้นใหม่ทางด้านหน้าของพระราชวังหลวง จึงถูกกำหนดให้เป็นที่ตั้งวังที่ประทับของพระมหาอุปราช ประการที่ 2 ลักษณะการจัดขบวนทัพออกรบ ทัพของพระมหาอุปราชจะยกออกเป็นทัพหน้า เรียกว่าฝ่ายหน้า และเรียกวังที่ประทับของแม่ทัพว่า วังฝ่ายหน้า และย่อเป็นวังหน้าในที่สุด ประการสุดท้าย วังหน้าจะปรากฏเรียกเฉพาะในเวลาที่บ้านเมืองมีพระมหาอุปราชเท่านั้น สมัยธนบุรี ไม่มีตำแหน่ง พระมหาอุปราช จึงไม่ปรากฏว่ามี วังหน้าในสมัยนั้น

วังหน้า ระหว่าง ปี พ.ศ. 2325-2346

     เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อพุทธศักราช 2325 โปรดให้พระยาจิตรเสวี และพระยาธรรมธิกรณ์ เป็นแม่กองย้ายชุมชนชาวจีนไปอยู่บริเวณวัดสามปลื้มและวัดสามเพ็ง เพื่อใช้ที่ดินริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ด้านทิศใต้จากวัดโพธาราม (วัดพระเชตุพน) จรดวัดสลัก (วัดมหาธาตุ) ในการสร้างพระบรมหาราชวัง (วังหลวง) และโปรดให้สมเด็จพระอนุชาธิราช ซึ่งดำรงตำแหน่งพระมหาอุปราชยาติกรรมที่ดินบางส่วนของวัดสลักไปทางเหนือจรดคลองโรงไหม (บริเวณเชิงสะพานพระปิ่นเกล้าฝั่งพระนคร) เพื่อสร้างเป็นพระราชวังบวรสถานมงคล พระองค์ทรงเป็นพระมหาอุปราชที่มีความสามารถในการรบเป็นอย่างยิ่งเป็นที่เลื่องลือ ในบรรดานักรบต่างชาติ เช่น พม่า ในนามของพระยาสุรสีห์ หรือพระยาเสือ ทรงดำรงพระยศเป็นพระมหาอุปราช เป็นเวลา 21 ปี เสด็จสวรรคตเมื่อพุทธศักราช 2346 ในสมัยของพระองค์พื้นที่วังหน้าด้านเหนือติดกับคลองคูเมือง เป็นสำนักชี เรียกกันว่า วัดหลวงชี เพราะเป็นที่จำศีลของ นักชี มารดาของนักองค์อี ซึ่งเป็นพระชายา ปัจจุบันพื้นที่บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของวิทยาลัยนาฎศิลป

วังหน้า ระหว่างปี พ.ศ. 2349-2360

     หลังจากกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท สวรรคต ตำแหน่งพระมหาอุปราช ว่างลงเป็นเวลา 3 ปี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงแต่งตั้ง พระโอรส คือ พระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เป็นพระมหาอุปราช แต่ทรงประทับที่พระราชวังเดิม (ที่ทำการกองเรือยุทธการในปัจจุบัน) ทรงดำรงพระยศพระมหาอุปราช 3 ปี พุทธศักราช 2352 เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ พระองค์ที่ 2 ของสมัยรัตนโกสินทร์ ได้ทรงสถาปนาพระอนุชาธิราชให้ดำรงตำแหน่งพระมหาอุปราช ทรงพระนาม กรมพระราชวังบวรเสนานุรักษ์ พระองค์ได้ช่วยสมเด็จพระเชษฐาปฏิบัติราชการอย่างเข้มแข็ง ทั้งนี้เพราะพระเชษฐา คือพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงเป็นกวีและศิลปิน พระองค์สนพระทัยในเรื่องศิลปะ วรรณคดีและนาฎศิลป์เป็นอันมาก ฉะนั้น พระอนุชาจึงต้องช่วยแบ่งภาระในการบริหารราชการไปเป็นส่วนมาก ทรงดำรงพระยศพระมหาอุปราชเป็นเวลา 8 ปี เสด็จสวรรคตเมื่อพุทธศักราช 2360 ตำแหน่งพระมหาอุปราชว่างลงจนสิ้นรัชกาล

วังหน้า ระหว่างปี พ.ศ. 2367-2375

     เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ เสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อพุทธศักราช 2367 โปรดให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นมหาศักดิ์พลเสพ ดำรงพระยศพระมหาอุปราช พระองค์เป็นพระโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ โปรดให้มีการรื้อและสร้างอาคารต่าง ๆ ภายในพระราชวังบวรฯอย่างมาก โปรดให้สร้างวัดบวรสถานสุทธาวาส หรือวัดพระแก้ววังหน้าขึ้น ตรงบริเวณที่เคยเป็นสำนักชีเมื่อครั้งสมัยกรมพระราชวังบวรพระองค์แรก และรื้ออกทำเป็นสวนกระต่ายเมื่อสมัยกรมพระราชวังบวรเสนานุรักษ์ ปัจจุบันโบราณสถานแห่งนี้ยังตั้งเด่นเป็นสง่าแก่วิทยาลัยนาฎศิลป พระองค์ทรงดำรงพระยศพระมหาอุปราชเป็นเวลา 8 ปี เสด็จสวรรคตในปีพุทธศักราช 2375 จากนั้นตำแหน่งพระมหาอุปราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ว่างลงเป็นเวลา 18 ปี

วังหน้า ระหว่างปี พ.ศ. 2394-2408

     พุทธศักราช 2394 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เสด็จขึ้นครองราชย์ ได้ทรงแต่งตั้งพระอนุชา เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เป็นพระมหาอุปราช และให้มีพระเกียรติยศเทียบเท่าพระเจ้าแผ่นดิน พระราชทานบวรราชาภิเษกเป็น พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ชาวต่างประเทศเรียกว่า พระเจ้าแผ่นดินองค์ที่สอง พระองค์สนพระทัย เรื่องปืน การสร้างเรือกลไฟ เรือรบ โปรดการทหาร การกีฬาดนตรี ตลอดจนการศึกษาภาษาอังกฤษ โปรดขนบธรรมเนียมและความเป็นอยู่อย่างชาวตะวันตก ทรงปฏิสังขรณ์ต่อเติมและสร้างพระราชมณเฑียรใหม่ สิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นอีกประการหนึ่งคือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ โปรดให้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ จากพระอุโบสถวัดพระแก้ว วังหลวง กลับมาไว้ที่วังหน้าดังเดิม (ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่พระที่นั่งพุทไธศวรรย์ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ) โปรดให้ช่างวาดจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับตำนานพระพุทธสิหิงค์ และประวัติอดีตพระพุทธเจ้า 28 พระองค์ไว้ที่ผนังในพระอุโบสถและพระราชทานนามว่า วัดบวรสถานสุทธาวาส สมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ทรงดำรงราชสมบัติเป็นเวลา 15 ปี เสด็จสวรรคตเมื่อพุทธศักราช 2408 ตำแหน่งพระมหาอุปราชว่างลงอีกครั้งเป็นเวลา 3 ปี

วังหน้า ระหว่างปี พ.ศ. 2411-2428

     พุทธศักราช 2411 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เสด็จขึ้นครองราชย์ คณะเสนาบดี และพระบรมวงศานุวงศ์ได้อัญเชิญ กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ พระโอรสในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ดำรงพระยศพระมหาอุปราช ทรงมีคุณานูปการต่องานช่างทุกแขนง ทรงอุปถัมภ์ช่างฝีมือเอกรวบรวมไว้ในวังหน้า ฝีมือช่างวังหน้าจึงเป็นฝีมือชั้นสูงในงานศิลปะหลายแขนง จนได้รับการยกย่องเป็นแบบอย่าง พระองค์ทรงดำรงพระยศเป็นเวลา 17 ปี เสด็จทิวงคตในปีพุทธศักราช 2428 เป็นวังหน้าองค์สุดท้ายของประเทศไทย

     วันที่ 4 กันยายน 2428 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ โปรดให้ประกาศพระราชกฤษฎีกายกเลิกตำแหน่งพระมหาอุปราช และโปรดให้จัดเขตวังหน้าขึ้น นอกริมน้ำด้านตะวันตกเป็นโรงทหารรักษาพระองค์ ขยายเขตวังชั้นนอกด้านทิศตะวันออกเป็นท้องสนามหลวง หลังจากเสด็จกลับจากประพาสยุโรป พุทธศักราช 2440 โปรดให้ขยายส่วนของสนามหลวงขึ้นไปทางเหนือรวมทั้งรื้อป้อม และอาคารที่ชำรุดทรุดโทรม รอบ ๆ วัดบวรสถานสุทธาวาสลง คงเหลือแต่ตัวพระอุโบสถไว้ และโปรดให้ใช้พระอุโบสถเป็นพระเมรุพิมานสำหรับประดิษฐานพระบรมศพ เวลาสมโภช และทรงบำเพ็ญพระราชกุศลแทนพระเมรุใหญ่ท้องสนามหลวง และปลูกพระเมรุน้อยที่พระราชทานเพลิงต่อออกไปทางด้านเหนือ เมื่อเจ้านายวังหน้าสิ้นพระชนม์เหลืออยู่น้อยพระองค์ จึงโปรดให้เสด็จไปอยู่ในพระราชวังหลวง ส่วนพื้นที่วังหน้านอกจากบริเวณพิพิธภัณฑ์สถานนั้น โปรดให้กระทรวงกลาโหมดูแลรักษาต่อมา

     พุทธศักราช 2475 ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช เป็นระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลกำหนดการศึกษาของชาติให้คนไทยมีสิทธิขั้นพื้นฐานให้ ได้รับการศึกษา อันจะนำมาซึ่งความมั่นคงของชาติสืบไป พระบรมราชวังของสมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานทั้ง 5 พระองค์ ได้ใช้เป็นสถาบันการศึกษา และสถานที่ราชการ คือ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โรงละครแห่งชาติ และวิทยาลัยนาฎศิลป ซึ่งล้วนเป็นสถาบันที่บ่งบอกความเป็นอารยะของชาติ

(อรนุช ทัดติ 2541:5)

อรนุช ทัดติ. “ประวัติวังหน้า.” วารสารวังหน้า. 1,1 (ประจำภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2541):5.

-http://www.thaifolk.com/doc/wangnan.htm-


.

http://www.thaifolk.com/doc/wangnan.htm (http://www.thaifolk.com/doc/wangnan.htm)

.

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 08, 2012, 10:07:45 am
.

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ santisayan
นี่ก็อีกหนึ่งตัวอย่าง ที่เห็นได้ชัด ทั้งๆที่เป็นพระเก่า สวยงามทั้งด้านหน้า ด้านหลัง มีพลังเหลือล้น แต่คนขายพระกิน ไม่นิยม(เพราะว่าไม่มีในครอบครอง)ไม่ต้องให้ใครมารับรอง มาเช็คพลัง คุณค่าที่มีอยู่ในองค์ท่านนั้นเป็นสิ่งที่รับรององค์ท่านเอง นี่ก็เป็นเรื่องของต่างมองต่างมุม ความไม่รู้ ความเชื่อ(ที่ได้ฟังต่อๆๆมา)ปัญญาที่ไม่ได้เกิดจากการรู้จริง เห็นจริง ห รือเกิดจากการวิเคราะห์ ด้วยเหตุ ผล จืงต้องนำมาลงให้ดูกันอีกครั้ง(ตามคำขู่) เนื่อง จากผู้เขียนเป็นเพียงนักศึกษาที่ยังไม่รู้จริงยังไม่แตกฉานในพระพิมพ์ต่างๆ ฉนั้นการที่ผู้เขียนนำเสนอแนวคิดต่างๆที่อยู่ในกระทู้"พระวังหน้า.."นี้ผู้ อ่านควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน และไม่ควรนำไปอ้างอิง (จนกว่าจะได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้อง) ด้วยเหตุผลเดียวกัน ความเข้าใจและความคิดเห็น ในความรู้พระวังหน้า วังหลวง ของผู้เขียนในอนาคต อาจจะสอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับข้อความที่ปรากฎในกระทู้ "พระวังหน้าที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก.." นี้ก็เป็นได้


อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร:::
เรื่องของรูป และนาม ผมจะไม่พยายามพูดบ่อยจนกลายเป็นเฝือ และที่สำคัญเป็นการกล่าวอ้างอิงบุคคลผู้อื่นขึ้นมา อันนี้ผมจะไม่แตะต้อง เพราะเป็นความเชื่อ ความศรัทธาของบุคคล เป็นอจินไตยของผู้คนที่ศรัทธายึดมั่นในองค์ครู องค์อาจารย์กัน ไม่เช่นนั้นจะหาความสงบไม่ได้ และจะเป็นเหตุให้ต้องกล่าวละเมิดความเชื่อส่วนบุคคลกันในเรื่องของบุคคลที่ ตนเคารพนับถือ เป็นชนวนความขัดแย้ง หากเรา"รู้เท่าทันถึงเหตุ" เราสู้ระงับเหตุไม่ดีกว่าหรือครับ...

การกล่าวอ้างอิง แต่ตนเองยังไม่สามารถทำฌานได้ และมีญาณหยั่งรู้ด้วยอตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ โดยเฉพาะปัจจุปปันญาณ เราก็จะได้ชื่อว่า ฟังเขาเล่ามาอีกที ไม่ต่างจากการทำหน้าที่ของบุรุษไปรษณีย์ หรือ พนักงานรับส่งเอกสารตามสำนักงาน หรือวินมอเตอร์ไซด์รับส่งผู้โดยสารตามซอยลึกต่างๆ และตัวเองก็ไม่สามารถเปิดอ่านจดหมาย หรือข้อความนั้นได้ นั่นคือ ไม่สามารถต่อเข้าไปให้ถึงญาณ และฌานนั้นได้เฉกเช่นกัน

ผมเคย post เอาไว้นานมากแล้วว่า มีหลายเรื่องที่เราสงสัย และอยากทราบ แต่เมื่อค้นคว้าลึกเข้าไปๆ กลับเกิดความรู้สึกว่า ไม่อยากเผยแพร่ความรู้นั้น ทางหนึ่งเพื่อให้ผู้สนใจปมปัญหานี้ได้ลองค้นคว้าเองบ้าง เพื่อให้เข้าใจถึงแก่นแท้ของเรื่องราวนั้นๆได้เอง เพื่อความเข้าใจแบบ"ปัญญาญาณ" ที่ไม่ใช่ลักษณะของการจดจำ ท่องจำ หรือฟังมาบอกต่ออีกต่อไป ผมไม่นิยมการตลาดแบบเครือข่ายที่เน้นยอดเน้นเป้าครับ ของดีต้องว่า ดี ของแย่จะบอกว่า ดี เป็นไปไม่ได้ เมื่อถึงจุดๆหนึ่ง ไอ้ความอยากรู้ อยากถ่ายทอด อยากบอกต่อในเรื่องราวนั้นๆ มันไม่มีแล้วครับ ปล่อยให้เป็นเรื่องของวาสนา ความพยายาม บำเพ็ญวิริยบารมี ความใฝ่รู้ ใฝ่ศึกษานำพาไปดีกว่าครับ หากหยิบยื่นให้กันง่ายๆ แบบserve ถึงข้างเตียง เขาจะสามารถบำเพ็ญวิริยะบารมีได้อย่างไร การให้ก็ต้องให้เพื่อให้เขาออกไปจับปลาเองได้ จะจับผิด จับถูก จับไม่ได้มากบ้างในครั้งแรกๆ ก็เป็นเรื่องธรรมดา เป็นธรรมชาติของการบำเพ็ญวิริยบารมี ผมไม่เห็นว่า มันจะเป็นเรื่องที่ไม่จริงใจต่อกันตรงไหน

ดังนั้นเรื่องของการตรวจทาง "นาม" จะต้องทำได้ด้วยตนเอง เฉกเช่นเดียวกับการตรวจทาง "รูป" แต่เมื่อผ่านสภาวธรรมที่เหมาะกับตนเองแล้ว จะไม่เห็นทั้ง "รูป และนาม" เพราะแต่เดิมทีจิตดั้งเดิม ไม่มีรูป ไม่มีนามแต่แรกแล้วนั่นเอง แต่ที่มัน"มี" เพราะเราไปยึดว่า มันมี...

เนื่องจากผู้เขียนเป็นเพียงนักศึกษาที่ยังไม่รู้จริงยังไม่แตกฉานในพระพิมพ์ต่างๆฉนั้นการที่ผู้เขียนนำเสนอแนวคิดต่างๆที่อยู่ในกระทู้"พระวังหน้า.."นี้ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน และไม่ควรนำไปอ้างอิง (จนกว่าจะได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้อง) ด้วยเหตุผลเดียวกัน ความเข้าใจและความคิดเห็น ในความรู้พระวังหน้า วังหลวง ของผู้เขียนในอนาคต อาจจะสอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับข้อความที่ปรากฎในกระทู้ "พระวังหน้าที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก.." นี้ก็เป็นได้

::::เพชร::

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ santisayan
นี่เป็นด้านหลังของรูปที่แล้ว ไม่ ต้องกลัวว่าจะโหลดไปปลอมเพราะปลอมมาแล้ว ไม่เหมือน เรื่องปลอมพระวังหน้านี้มีมานานแล้วทั้งๆรู้ว่าปลอมก็ยังไปเช่ามา การปลอมเค้ารู้ว่าจับพลังกัน เค้าก็ให้แบบเต็มๆๆโดยการจัดใหญ่จัดให้จัดหนัก เมื่อคนที่ไม่ศึกษาเรื่องเนื้อว่าเก่าจริงหรือไม่ ไม่มีความรู้ ไม่มีตัวอย่าง ไม่มีความคิดที่เป็นจริง มันก็เข้าทางคนปลอมพระขาย แหล่งใหญ่ที่ขายก็รู้ แต่ก็ยังเดินไปหาเค้าเอง แล้วโทษใคร อีกหน่อยก็คงโทษครูอาจารย์ที่ไม่บอก ไม่ได้มองที่ตัวเอง ไม่ได้คิด ไม่มีแนวทางที่เป็นไปได้ เมื่อไม่มีครูอาจารย์แล้ว จะทำอะไรเป็นไหม? อะไรถูกหรือผิด จะถามใคร ใบ้กิน พระเครื่องนี่ก็เป็นวิทยาศาสตร์ ต้องพิสูตร์ได้ ไม่ต้องมาสาบานแบบเด็กๆๆว่าจริงหรือไม่ ใช่หรือไม่ ที่สำคัญ ว่าเคยเห็นของแท้บ้างไหม? เห็นแต่ของปลอมมาตลอดก็เลยไม่รู้ว่ามีหรือไม่เนื่อง จากผู้เขียนเป็นเพียงนักศึกษาที่ยังไม่รู้จริงยังไม่แตกฉานในพระพิมพ์ต่างๆ ฉนั้นการที่ผู้เขียนนำเสนอแนวคิดต่างๆที่อยู่ในกระทู้"พระวังหน้า.."นี้ผู้ อ่านควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน และไม่ควรนำไปอ้างอิง (จนกว่าจะได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้อง) ด้วยเหตุผลเดียวกัน ความเข้าใจและความคิดเห็น ในความรู้พระวังหน้า วังหลวง ของผู้เขียนในอนาคต อาจจะสอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับข้อความที่ปรากฎในกระทู้ "พระวังหน้าที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก.." นี้ก็เป็นได้


อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร:::
หุ...หุ..ลุงๆ ที่เห็นจะๆเลยคือ "คำพูดของผม" กำลังโดนปลอม โดน copy มาทั้งแท่ง ท่านใดแยกออกว่า คำพูดผม หรือ คำพูดลุงไฟดูดเป็นของจริง...

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ santisayan
ก็ไม่ได้""สงวนสิทธิ์""ไว้นี่ ต้องโดนปลอม กลัวปลอมหรือไม่

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร:::
พิมพ์ปิดตาวังหน้า หรือพิมพ์อธิษฐานฤทธิ์ ลองพิจารณากันครับ ลักษณะของพระกร และฝ่าพระหัตถ์ที่ยกขึ้นหากเป็นปิดตา ออกจากผิดสัดส่วนธรรมชาติการยกพระกร พระหัตถ์ขึ้นในระดับนั้นไปบ้าง หากเป็นอธิษฐานฤทธิ์ก็สมสัดส่วนมากกว่า รอบๆเป็นอักขระเลขยันต์ ไม่ใช่ปรกโพอย่างแน่นอน ลุงหนุ่มน้อย ลุงไฟดูด ลุงอ.กูรูน้องนู๋มาช่วยกันพิจารณาดูหน่อย พิมพ์นี้ผมไปพบแถบท่าน้ำนนท์ ๒ องค์ สีแดง และสีดำวางคู่กัน องค์ละร้อย คนขายไม่ทราบสำนัก

เนื่องจากผู้เขียนเป็นเพียงนักศึกษาที่ยังไม่รู้จริงยังไม่แตกฉานในพระพิมพ์ต่างๆฉนั้นการที่ผู้เขียนนำเสนอแนวคิดต่างๆที่อยู่ในกระทู้"พระวังหน้า.."นี้ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน และไม่ควรนำไปอ้างอิง (จนกว่าจะได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้อง) ด้วยเหตุผลเดียวกัน ความเข้าใจและความคิดเห็น ในความรู้พระวังหน้า วังหลวง ของผู้เขียนในอนาคต อาจจะสอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับข้อความที่ปรากฎในกระทู้ "พระวังหน้าที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก.." นี้ก็เป็นได้


-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2537.html-

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2537.html (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2537.html)
.

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 08, 2012, 10:08:04 am
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร:::
เป็นความบังเอิญหรือไม่ ก็ลองพิจารณาดูครับ ยุคนี้คือยุคเผยแพร่ ผมขอแก้ไขข้อมูลของ post ที่ 50732 ที่ระบุว่า พระปิดตาวังหน้า หรือพิมพ์อธิษฐานฤทธิ์ คงต้องรอให้ลุงๆทั้ง ๓ มาช่วยกันชี้แนะอีกทีเกี่ยวกับลักษณะพระพิมพ์ครับ

ที่ผมบอกว่าแก้ไขคือ ประเด็นเรื่องวังหน้า วัดชนะสงคราม มีความรู้สึกว่าแยกกันไม่ออก ลองอ่านเรื่องราวต่อไปนี้ก่อนนะครับ..

จากแยกบางลำพู เลี้ยวมายังป้อมพระสุเมรุไปตามถนนพระอาทิตย์ วกกลับย้อนขึ้นมาเลียบเชิงสะพานพระปิ่นเกล้า กลับมายังย่านบางลำพูหน้าวัดชนะสงคราม ราชวรมหาวิหาร เป็นย่านเก่าแก่ยาวนานมาตั้งแต่ยุคก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์

การนำเสนอภาพชุมชนแห่งนี้ให้ชัดเจนที่สุด ต้องกล่าวถึงองค์ประกอบสำคัญ 3 ส่วนคือ ๑. วัดชนะสงคราม ๒. ชุมชนดั้งเดิมที่เป็นชาวมอญ และ ๓. เจ้าวังหน้า

เรื่องราวในอดีตย้อนลงไปกว่า ๒๐๐ ปีของชุมชนแห่งนี้ สามารถเชื่อมโยงร้อยเรียงเพื่อนำมาอธิบายภาพที่ปรากฏเป็นชุมชนพระอาทิตย์ใน ปัจจุบันได้อย่างไม่ขาดตอน เพราะทุกอย่างล้วนมีที่มาที่ไปสืบทอดต่อเนื่องกัน

ยุคต้นรัตนโกสินทร์ - - ที่ดินบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยาตรงถนนพระอาทิตย์ตั้งแต่ปากคลองบางลำพู ตรงข้างวัดสังเวชฯ จนถึงบริเวณท่าช้างวังหน้า (ใต้สะพานพระปิ่นเกล้า) เป็นที่ตั้งของชุมชนชาวมอญที่เข้ามาสวามิภักดิ์แหล่งใหญ่แห่งหนึ่ง หัวหน้าชุมชนรับราชการเป็น เจ้ามหาโยธา (ทอเรียะ) ต้นตระกูล คชเสนี โดยมีจุดศูนย์รวมจิตใจอยู่ที่ วัดตองปุ อัน เป็นวัดเก่ามีมาก่อนตั้งกรุงฯ ต่อมาพระราชทานนามว่า วัดตองปุ และตั้งสมเด็จพระราชาคณะฝ่ายรามัญมาดูแล เพื่อให้เหมือนกับวัดของชุมชนมอญอาสาครั้งกรุงเก่าฯ

ละแวกดังกล่าวอยู่ใกล้เขตพระราชฐานของกรมพระราชวังบวรฯ หรือ วังหน้า ... ครั้งเมื่อ สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ชนะศึกสงครามเก้าทัพ เสด็จมาทำพิธีสรงน้ำและเปลี่ยนเครื่องทรงตามพระราชพิธีโบราณที่วัดตองปุก่อน เสด็จเข้าพระบรมมหาราชวัง จึงทรงโปรดฯ ให้บูรณะพระอารามใหม่เมื่อปี ๒๓๓๐ จากนั้นรัชกาลที่ ๑ ได้ทรงพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดชนะสงคราม” อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านยังคงเรียกชื่อ วัดตองปุเรื่อยมาจนถึงประมาณสมัยรัชกาลที่ ๕

เจ้ามหาโยธา ทอเรียะ มีบุตรรับราชการสืบต่อ นามว่า พระยาดำรงราชพลขันธ์ (จุ้ย) มีธิดาถวายตัวเป็นพระสนมเอกในรัชกาลที่ ๔ ชื่อว่า เจ้าจอมมารดากลิ่น ซึ่งให้ประสูติพระราชโอรส ทรงพระนามว่า “พระองค์เจ้าชายกฤษดาภินิหาร” ซึ่งต่อมาได้รับสถาปนาเป็น “พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์”

ตระกูล คชเสนี จึงถวายที่ดินบริเวณถนนพระอาทิตย์เพื่อเป็นวังที่ประทับของพระองค์เจ้าชายกฤษดาภินิหาร ปัจจุบันคือ 'บ้านมะลิวัลย์' ที่ตั้งของสำนักงาน องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ไม่ไกลนักกับบ้านพระอาทิตย์

ด้วยทำเลที่ตั้งและความเป็นมาเกี่ยวข้องกับชุมชนมอญ วัดชนะสงคราม จึงเกี่ยวข้องกับเจ้านายวังหน้า – ชุมชนมอญพระอาทิตย์มาตั้งแต่ต้น

ในสมัยรัชกาลที่ ๒ สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ (วังหน้า) ทรงนำไม้ที่รื้อพระพิมานดุสิตา ซึ่งเคยเป็นหอพระสร้างเสนาสนะถวาย จนมาถึงการบูรณะใหญ่อีกครั้งสมัยรัชกาลที่ ๖ พระศรีพัชรินทรา ฯ พระพันปีหลวง ทรงมอบหมายให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศรวรฤทธิ์ (หลานทวดของพระมหาโยธา ทอเรียะ ซึ่งมีวังอยู่ใกล้กับวัด ) บูรณะจนเสร็จในสมัยรัชกาลที่ ๗

รัตนโกสินทร์ยุคกลางถึงยุคปัจจุบัน - - ละแวกถนนพระอาทิตย์และวัดชนะสงคราม เป็นเขตพระราชฐานของวังหน้า จึงเป็นธรรมเนียมที่ “เจ้านายวังหน้า” ได้พระราชทานที่ดินเพื่อสร้างวัง หรือ ตำหนักประทับ ต่อเนื่องกันมาในแต่ละรัชกาล

โรงเรียนการข่าวทหารบกปัจจุบัน เคยเป็นวังของกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ วังหน้าในรัชกาลที่ ๕ ลึกเข้าไปในตรอกโรงไหม เคยเป็นที่ตั้ง วังของพระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรวุฒิอาภรณ์ พระโอรสในกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ

บ้านเจ้าพระยา ที่ทำการของ เอเอสทีวี. เดิมเป็นวังของ พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้านวรัตน์ กรมหมื่นสถิตยธำรงสวัสดิ์ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว (วังหน้า) ต่อมาสมัยรัชกาลที่ ๖ พระราชทานที่ดินและอาคารแก่พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคำรบ พระบิดาของ ม.ร.ว.เสนีย์-คึกฤทธิ์ ปราโมช

ส่วน บ้านพระอาทิตย์ นั้น เดิมเป็นบ้านของ เจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์(ม.ร.ว เย็น อิศรเสนา) เจ้านายผู้สืบเชื้อสายมาจากพระองค์เจ้าพงศ์อิศเรศร์ พระโอรสใน สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์-วังหน้าในสมัยรัชกาลที่ ๒ โดยได้สร้างขึ้นใหม่แทนวังเดิมที่ทรุดโทรมลงเมื่อพ.ศ.๒๔๗๕

เจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ มีความสัมพันธ์สืบเนื่องกับชุมชนมอญพระอาทิตย์-วัดชนะสงคราม อย่างแนบแน่น บิดาของท่านคือ ม.จ.เสาวรส อิศรเสนา สมรสกับ หม่อมมุหน่าย อิศรเสนา เชื้อสายมอญชุมชนพระอาทิตย์ เมื่อยังเด็ก เจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ ไปเรียนหนังสือกับหลวงตา (บิดาของหม่อมมุหน่าย) ซึ่งบวชจำพรรษาอยู่ที่วัดชนะสงคราม

เจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ เจ้าของบ้านพระอาทิตย์ จึงมีสายใยผูกพันกับชุมชนมอญ และ วัดชนะสงคราม อย่างแยกไม่ออก

ข้อมูลจาก http://www.manager.co.th/politics/vi...=9500000129353 (http://www.manager.co.th/politics/vi...=9500000129353)

และประวัติของวัดชนะสงคราม ให้ดูว่า มีความเกี่ยวพันกับวังหน้า ร.๑ กันยังไง

วัดชนะสงคราม เป็นวัดโบราณสร้างในสมัยอยุธยา ไม่ปรากฏหลักฐานการสร้าง เดิมเรียกว่า วัดกลางนา

เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี มีพระราชประสงค์ที่จะสร้างสิ่งก่อสร้างขึ้นให้คล้ายคลึงกับกรุงศรีอยุธยามากที่สุด วัดที่ตั้งอยู่ใกล้พระบรมมหาราชวังได้ทรงปฏิสังขรณ์ใหม่ ตลอดจนเปลี่ยนชื่อวัดให้เหมาะสม โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อวัดกลางนาเป็นวัดตองปุ และให้เป็นวัดพระสงฆ์ฝ่ายรามัญ เช่นเดียวกับวัดตองปุที่กรุงศรีอยุธยา เพื่อเทิดเกียรติทหารชาวรามัญในกองทัพสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการต่อสู้กับพม่าในสงครามเก้าทัพ เมื่อ พ.ศ. 2328 สงครามที่ท่าดินแดง และสามสบ เมื่อ พ.ศ. 2329 และสงครามที่นครลำปางป่าซาง เมื่อ พ.ศ. 2330

สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดตองปุแล้วถวายเป็น พระอารามหลวงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามใหม่ว่า วัดชนะสงคราม เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ทรงมีชัยชนะต่อพม่าในการรบทั้ง 3 ครั้ง

วัดชนะสงครามได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์มาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้ทรงเริ่มดำเนินการก่อสร้างที่บรรจุพระอัฐิเจ้านายฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคลที่เฉลียงพระอุโบสถด้านหลังตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระพันปีหลวงทรงพระราชอุทิศพระราชทรัพย์ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากฤษดาภินิหาร กรมพระนเรศร์วรฤทธิ์ดำเนินการ แต่การก่อสร้างมาแล้วเสร็จในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งพระราชทานพระราชทรัพย์ให้ราชบัณฑิตยสภาดำเนินการก่อสร้าง ขณะนั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นนายกราชบัณฑิตยสภาและสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงดำเนินการก่อสร้างจนเสร็จสิ้น ได้มีพิธีอัญเชิญพระอัฐิจากพระราชวังบวรสถานมงคลไปประดิษฐานใน พ.ศ. 2470

เรื่องสำคัญออีกเรื่องที่ผมกล่าวว่า แยกกันไม่ออกระหว่าวังหน้า และวัดชนะสงคราม และอีกประการคือ พระสงฆ์มอญ ลองตามอีกนิดครับ ใกล้จะขมวดปมแล้วครับ...

พระปริตรามัญ
โบราณประเพณีเก่าแก่ของไทยประการหนึ่ง ที่มีความสำคัญ และมีความหมายยิ่ง ต่อองค์พระมหากษัตริย์โดยตรง หากแต่ไม่ค่อยได้มีผู้ใดรู้จักเท่าใดนัก เนื่องจากเป็นพิธีที่ปฏิบัติกัน เฉพาะในหอศาสตราคม พระบรมมหาราชวัง และเป็นพิธีที่จัดทำขึ้นเฉพาะส่วนพระองค์เท่านั้น พิธีนี้มีความหมายอย่างยิ่งต่อพระราชกิจวัตรประจำวัน เนื่องจากเป็นพิธีที่สวดเพื่อทำน้ำพระพุทธมนต์ทูล เกล้า ฯ ถวาย ส่วนหนึ่งสำหรับจัดเป็นน้ำสรงพระพักตร์ และน้ำโสรจสรง อีกส่วนหนึ่ง เพื่อประพรมพระที่นั่งองค์สำคัญ ในเขตพระราชฐานชั้นใน นอกจากนี้ พิธีดังกล่าว ยังมีลักษณะพิเศษอีกประการหนึ่งคือ จะนิมนต์เฉพาะพระสงฆ์มอญเข้า มาสวดบทสวดพระปริตรมอญเท่านั้น ความสำคัญของพิธีสวดพระปริตรรามัญ เพื่อทำน้ำพระพุทธมนต์ ในพระบรมมหาราชวังนั้น ปรากฏตามพระบรมราชาธิบาย ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า

"ในพระราชนิเวศน์เวียงวัง ของพระเจ้าแผ่นดินสยาม ตามแบบแผนบุรพประเพณีสืบมา พระสงฆ์รามัญ ได้สวดพระปริตรตามแบบอย่างข้างรามัญ ถวายน้ำพระพุทธมนต์และน้ำสรงพระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน และเป็นน้ำสำหรับสรงพระพักตร์ ประพรมเป็นทักษิณาวัฏรอบ ขอบ ในจังหวัดพระราชมหามณเฑียรนี้ทุกวัน เป็นการพระราชพิธีมีสำหรับบรมราชตระกูลสืบมาแต่โบราณ พระสงฆ์อื่น ๆ แม้นมีฐานันดรยศปรากฏด้วยเกียรติคุณ คือ เรียนรู้พระคัมภีร์ที่เป็นพระราชาคณะเปรียญ หรือที่เป็นอาจารย์บอกภาวนาวิธี หรือพระสงฆ์ที่รู้ประกอบวิทยามนต์ดล เป็นที่นับถือของคนเป็นอันมากก็ดี ก็ไม่มีราชบัญญัติ ที่จะได้รับวาระผลัดเปลี่ยนมาสวดพระปริตรถวายน้ำพระพุทธมนต์เลย เหตุอันนี้ได้ทรงพระราชดำริว่า ชะรอยจะมีเหตุวิเศษอย่างหนึ่งแต่โบราณรัชกาล เป็นมหัศจรรย์อยู่อย่างไรแน่แท้ เพราะว่าปกติธรรมดาคนชาวภาษาใด ประเทศใด ก็ย่อมนับถือพระสงฆ์และแพทย์หมอต่าง ๆ ตามประเทศ ตามภาษาของตัว ในการสวดและการบุญต่าง ๆ แลการปริตรรักษาตนรักษาไข้ แต่การซึ่งมีนิยมเฉพาะให้พระสงฆ์รามัญพวกเดียว ประจำสวดปริตรอย่างรามัญ ในพระราชวังนี้ จะมีความยืนยันมา ในพระราชพงศาวดาร หรือจดหมายเหตุการต่อมาเป็นแน่นอนก็ไม่มี ”

อนึ่ง เมื่อมีการเสด็จพระราชดำเนินประทับแรมราตรี ณ ตำบลใดเป็นทางไกล คือเสด็จไปการสงคราม หรือแทรกโพนช้างใน แผ่นดินก่อน ๆ พระสงฆ์รามัญสวดพระปริตรนี้ ก็ต้องตามเสด็จพระราชดำเนินด้วยทุกครั้ง เมื่อครั้งแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเจ้า เสด็จไปประทับอยู่กรุงลพบุรี 8 เดือน ในฤดูแล้งทุกปี ก็ได้อาราธนาพระสงฆ์รามัญวัดตองปุให้ ตามเสด็จขึ้นไปตั้งอารามชื่อวัดตองปุ อยู่สวดพระปริตรถวายพระพุทธมนต์ทุกวัน อารามนั้นก็มีปรากฏจนทุกวันนี้ แลน้ำพระพุทธมนต์พระปริตรนี้ ย่อมเป็นที่เห็นว่ามีอำนาจป้องกันอุปัทวันตรายต่าง ๆ ได้จริง ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้ดำรงสิริ รัตนราไชยสวริยาธิปัตย์ เถลิงถวัลยราช ณ กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์มหินทราอยุธยานี้ ก็ได้ทรงถือน้ำพระพุทธมนต์ประปริตรที่พระสงฆ์รามัญสวดถวายนั้น เป็นน้ำสรงพระพักตร์และน้ำสรงมาทุกพระองค์ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้นิพนธ์อธิบายเพิ่มเติม ถึงราชประเพณีดังกล่าวในหนังสือ "ตำนานพระปริต" โดยแสดงให้เห็นว่า แม้ปกติจะมีการแต่งตั้งตำแหน่งพระครูปริตไทย 4 รูป และพระครูปริตมอญ 4 รูป สำหรับสวดทำน้ำพระพุทธมนต์ในงานพระราชพิธีโดยทั่วไปแล้วนั้น แต่สำหรับพิธีสวดทำน้ำพระพุทธมนต์ที่หอศาสตราคม ในพระบรมมหาราชวังนั้นมีเฉพาะพระครูปริตมอญเท่านั้นเข้ามาสวดทุกวัน ดังความว่า

"แต่การสวดพระปริตทำน้ำพระพุทธมนตร์ ถือเป็นการสำคัญในราชประเพณีอย่างหนึ่ง มีตำแหน่งพระครูพระปริตไทย 4 รูป พระครูพระปริตมอญ 4 รูป สำหรับสวดทำน้ำพระพุทธมนตร์ ในบรรดางานพระราชพิธีซึ่งมีสรงมุรธาภิเษก พระราชาคณะไทยรูป 1 มอญรูป 1 กับพระครูพระปริต 8 รูปนั้นสวดทำน้ำพระพุทธมนตร์สำหรับสรงมุรธาภิเษกทุกงาน และโดยปกติพระครูพระปริตมอญต้องเข้ามาสวดทำน้ำพระพุทธมนตร์ที่หอศาสตราคม ทุกวัน น้ำมนตร์พระปริตนั้น ส่วนหนึ่งแบ่งส่งไปสำหรับเป็นน้ำสรงพระพักตร์และโสรจสรง อีกส่วนหนึ่งในบาตร 2 ใบให้สังฆการีถือตามพระครูพระปริต 2 รูป เข้าไปเดินประพรมด้วยกำหญ้าคาที่ในพระราชวังเวลาบ่าย 14 นาฬิกา ทุกวันเป็นนิตย์มาแต่โบราณ ”
เมื่อมีการสวดพระปริตรเป็นพิธีหลวง จึงได้ทรงแต่งตั้งพระครูพระปริตรประจำพระราชวัง สำหรับการสวดพระปริตร และสวดพระพุทธมนต์สำหรับทำน้ำมนต์ และสำหรับเสกทรายโดยเฉพาะ โดยมีพระสงฆ์ฝ่ายรามัญ 4 รูป ซึ่งแต่เดิมจำพรรษาอยู่ตามวัดต่าง ๆ ที่สังกัดอยู่ในคณะรามัญนิกาย เช่น วัดบวรมงคล วัดราชคฤห์ วัดชนะสงคราม เป็นต้น ต่อมาภายหลังได้เปลี่ยนแปลง เป็นพระสงฆ์มอญจากวัดชนะสงครามเพียงอารามเดียว ทั้งนี้สาเหตุอาจเนื่องมาจากการจัดเวรหมุนเวียนพระแต่ละแห่งเกิดความไม่ สะดวก หรือเป็นเพราะหลังสงครามโลกครั้งที่สอง มีพระที่สวดพระปริตรรามัญหลบภัยสงครามไปอยู่ตามวัดในต่างจังหวัด จะเหลืออยู่ก็แต่ที่วัดชนะสงคราม จึงได้สวดวัดเดียวนับแต่นั้นมา
ตำแหน่งพระครูปริตรรามัญทั้ง 4 รูป ได้แก่

1. พระครูราชสังวร
2. พระครูสุนทรวิลา
3. พระครูราชปริต
4. พระครูสิทธิเตชะ
ตำแหน่ง พระครูปริตรามัญทั้งหมดนี้ ปัจจุบันประจำอยู่ที่วัดชนะสงคราม รับหน้าที่เข้าไปสวดพระปริตรทำน้ำพระพุทธมนต์ ในพระบรมมหาราชวังที่หอศาสตราคมเรื่อยมา จนกระทั่งถึง พ.ศ. 2489 ปรากฏว่า พระสงฆ์ที่สามารถสวดพระปริตรามัญได้นั้น มีน้อยรูปลง ไม่พอจะผลัดเปลี่ยนกัน พระครูราชสังวร (พิศ อายุวฑฺฒโก) ผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดชนะสงครามในครั้งนั้น จึงได้มีหนังสือถึงกรมการศาสนา ขอลดวันสวดลงมา เหลือสวดเฉพาะวันธรรมสวนะเท่า นั้น พิธีเริ่มแต่เวลา 13 นาฬิกา พระสงฆ์ 4 รูปพร้อมด้วยพระครูปริตรผู้เป็นประธาน 1 รูป สวดพระปริตรอย่างภาษารามัญที่หอศาสตราคม เมื่อเสร็จราว 14 นาฬิกา มีเจ้าหน้าที่ถือบาตรน้ำมนต์นำพระ 2 รูป ไปประพรมน้ำพระพุทธมนต์รอบหมู่พระมหามณเฑียรเป็นเสร็จพิธี ในการสวดพระปริตรามัญที่หอศาสตราคม ในชั้นเดิม มีการหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันระหว่างพระครูปริตทั้ง 4 รูป ในการไปสวดแต่ละวันโดยแบ่งกันรับผิดชอบตามวัน-เวลา ดังนี้

1. พระครูราชสังวร รับผิดชอบวันธรรมสวนะขึ้น 8 ค่ำ
2. พระครูสุนทรวิลาส รับผิดชอบรวันธรรมสวนะขึ้น 15 ค่ำ
3. พระครูราชปริต รับผิดชอบวันธรรมสวนะแรม 8 ค่ำ
4. พระครูสิทธิเตชะ รับผิดชอบวันธรรมสวนะแรม 15 ค่ำ

โดยที่พระครูปริตทั้ง 4 รูป จะทำหน้าที่เป็นประธานในการสวดแต่ละครั้ง ซึ่งจะมีพระมอญอีก 4 รูปมาสวดร่วมด้วย รวมเป็นสวด 5 รูปในแต่ละวัน


ปัจจุบัน พระสงฆ์มอญมีจำนวนลดน้อยลงโดยลำดับ เช่นเดียวกับพระสงฆ์ไทย สืบเนื่องจากสาเหตุหลายประการ แม้แต่ในวัดชนะสงคราม ซึ่งเป็นพระอารามหลวงที่พระสงฆ์มอญ มีบทบาทโดยตรงกับราชประเพณีสำคัญดังกล่าว ก็กำลังประสบสภาพการณ์เช่นเดียวกัน

ลำดับเจ้าอาวาส
1. พระมหาสุเมธาจารย์ พ.ศ. 2325-2363
2. พระสุเมธาจารย์ 2363-2383
3. หม่อมเจ้าพระสีลวราลังการ (ม.จ.สอน) พ.ศ. 2383-2410
4. พระสุเมธาจารย์ (ศรี ป.ธ.5) พ.ศ. 2410-2455
5. พระประสิทธิศีลคุณ (พุธ) พ.ศ. 2455-2456
6. พระครูภาวนาพิจารณ์ (ลืม) รักษาการ พ.ศ. 2457-2459
7. พระพิศาลสมณกิจ (ริด ป.ธ.๖) พ.ศ. 2459 (๑ เดือน ภายหลังโดนถอด)
8. พระสุเมธมุนี (ลับ สงฺกิจโจ ป.ธ.3) พ.ศ. 2460-2485
9. พระธรรมทัศนาธร (ทองสุก สุทัสโส ป.ธ.8) พ.ศ. 2492-2508
10.สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสรมหาเถร ป.ธ.9) พ.ศ. 2509-11 มีนาคม พ.ศ. 2554(ถึงแก่มรณภาพ)

ขอบคุณข้อมูลจาก วิกีพีเดีย

อยากให้ลองไปค้นบทความ หรือพงศาวดาร หรือจดหมายเหตุ มาอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับสงคราม ๙ ทัพ สงครามครั้งสำคัญ ที่สร้างไทยให้เป็นไทยอยู่ทุกวันนี้ และคงยังไม่สายเกินไปที่จะนำกล่าวถึงในโอกาสนี้ และจะเป็นที่มาของการสร้างพระพิมพ์ของวัดชนะสงคราม ภาพพระพิมพ์ที่แสดงไว้ใน post ที่ 50732 เป็น ๑ จำนวนนั้นเท่านั้น วันนี้ผมนำพิมพ์ที่ ๒ มาให้ชมกัน การได้อ่านเรื่องราวของสงคราม ๙ ทัพนี้ จะรู้สึกถึงความสำคัญ และหวงแหนพระพิมพ์นี้ เนื่องจากพระพิมพ์นี้เรียกว่า "พระพิมพ์เล็บช้าง" ได้จัดสร้างขึ้นในโอกาสฉลองชัยสงคราม ๙ ทัพ การจัดสร้างอยู่ในช่วงปีพ.ศ. ๒๓๒๕-๒๓๖๓ โดยสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท พระมหาอุปราชวังหน้า รัชกาลที่ ๑ นั่นเอง ซึ่งก็คือช่วงเวลาที่พระมหาสุเมธาจารย์ เป็นเจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม


ความเห็นตัวผมเอง คิดว่า น่าจะเป็นปีพ.ศ.๒๓๓๐ เมื่อคราวเสร็จศึกที่นครลำปางป่าซางนั่นเอง เช่นนั้น อายุพระพิมพ์จึงมีอายุ ๒๒๕ ปี (คำนวณที่ปีพ.ศ.๒๓๓๐-๒๕๕๕)

เนื่องจากผู้เขียนเป็นเพียงนักศึกษาที่ยังไม่รู้จริงยังไม่แตกฉานในพระพิมพ์ต่างๆฉนั้นการที่ผู้เขียนนำเสนอแนวคิดต่างๆที่อยู่ในกระทู้"พระวังหน้า.."นี้ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน และไม่ควรนำไปอ้างอิง (จนกว่าจะได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้อง) ด้วยเหตุผลเดียวกัน ความเข้าใจและความคิดเห็น ในความรู้พระวังหน้า วังหลวง ของผู้เขียนในอนาคต อาจจะสอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับข้อความที่ปรากฎในกระทู้ "พระวังหน้าที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก.." นี้ก็เป็นได้
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 08, 2012, 10:08:44 am
โดยส่วนตัวผม ผมเองมีจุดยืนในเรื่องของ พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร (คณะโสณะ-อุตระ) อธิษฐานจิตที่วังหน้า

สำหรับพระวังหน้า หรือ วัตถุมงคลต่างๆที่สร้างขึ้น 3 สมัย (สมัยของวังหน้า)

1.สมเด็จพระราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล

2.สมเด็จพระบวรราชเจ้า มหาเสนานุรักษ์ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล

3.สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ

หลวง ปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร (คณะโสณะ-อุตระ) ท่านไม่ได้มาอธิษฐานจิตให้ในพระราชพิธีหลวงต่างๆ เนื่องจากหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร (คณะโสณะ-อุตระ) ไม่มีความเกี่ยวเนื่องกับวังหน้าทั้ง 3 พระองค์

หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร (คณะโสณะ-อุตระ) มีความเกี่ยวเนื่องกับกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญเท่านั้น

ส่วน เรื่องของการตรวจสอบพลังอิทธิคุณ ผมเองเคยอธิบายไว้ในกระทู้พระวังหน้าฯนี้ บ่อยครั้งมากแล้ว สำหรับท่านผู้อ่าน ลองเข้าไปอ่านดูเอง

เรื่อง ของโพสความเห็นต่างๆของบุคคลต่างๆในกระทู้พระวังหน้าฯ เป็นสิทธิของแต่ละท่านที่จะโพสแสดงความคิดเห็น และเป็นผู้ที่รับผิดชอบในโพสของตนเอง


โมทนา
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 08, 2012, 10:36:02 am
พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....
(PaLungJit.com > ภูมิภาคและประชาสัมพันธ์ > ศูนย์ ประชาสัมพันธ์ > งานบุญอื่นๆ)
.

เรื่อง ของโพสความเห็นต่างๆของบุคคลต่างๆในกระทู้ พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้..... เป็นสิทธิของแต่ละท่านที่จะโพสแสดงความคิดเห็น และเป็นผู้ที่รับผิดชอบในโพสของตนเอง

-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445.html-

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2537.html (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2537.html)

http://board.palungjit.com/groups/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2sithiphong-3053.html (http://board.palungjit.com/groups/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2sithiphong-3053.html)

http://board.palungjit.com/groups/%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%86-2139.html (http://board.palungjit.com/groups/%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%86-2139.html)


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 08, 2012, 10:37:32 pm
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร:::
๑) ผ่านมา 2537 หน้าs ผมก็ยังไม่เห็นว่าจะมีความเห็นใดที่ไปแย้งกับความเชื่อใน"เรื่องนี้"เลยครับ หากเห็นว่าเป็น post ใดแย้งกับความเชื่อ"เรื่องนี้" ลุงหนุ่มน้อยช่วยไปหามาอ้างอิง และยืนยันชัดๆหน่อยนะครับ

๒) การที่ผมแนะนำให้ลุงหนุ่มน้อย"เผื่อใจ"ไว้บ้าง ซัก ๐.๐๐๐๑% เพื่อทางรอด เพื่อไม่นำตนเองไปเสี่ยงภัยจนเกินไป เพื่อชีวิตที่มีความสุขขึ้น เหมือนซื้อประกันชีวิตให้ตนเอง เหตุการณ์นอกเหนือความคาดหมายสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เป็นอย่างที่ลุงกูรูน้องนู๋กล่าวไว้ว่า ชีวิตคือความไม่แน่นอน สังขารไม่เที่ยง ไม่มีอะไรร้อย% เต็ม ความเชื่อที่ร้อย% เต็ม กับความเชื่อที่ ๙๙.๙๙๙๙% ไม่ต่างกันหรอกครับ เช่นผลการสอบเวชกรรมที่จะประกาศผลอีกไม่นานจากนี้ไป เขาวัดผลที่ ๖๐ % ก็ผ่านได้รับใบประกอบโรคศิลปะเวชกรรม ผู้ได้ ๖๐% กับผู้ที่ได้ ๑๐๐ % ต่างมีศักดิ์แห่งวิชาชีพเท่าเทียมกัน สอบได้ทั้งคู่ ได้ใบประกอบโรคศิลปะมาติดข้างฝาเหมือนกัน เพียงแต่ผมขอ ๔๐% เป็นสมดุลชีวิตด้านอื่นบ้าง เช่นได้ดูหนังดีๆซักเรื่อง ได้ทานอาหารค่ำพร้อมหน้าพร้อมตากันซักมื้อ ได้ไปท่องเที่ยงดูทอผ้าซักรอบกับเพื่อนผู้รู้ใจ ได้เดินตลาดดูพระปูนสอซักอาทิตย์ ได้ไปทานขาหมูเจริญแสงกับลุงกูรู ลุงไฟดูด ลุงหนุ่มน้อยซักมื้อ ฯลฯ

จริตลุงหนุ่มจะเอาร้อย% แบบนั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรที่จะพบเรื่องราวที่ไม่สบอารมณ์บ่อยๆ สำหรับผมขอ ๙๙.๙๙๙๙% อีก ๐.๐๐๐๑% ซื้อหลักประกันชีวิตสำหรับความไม่รู้ หากมีอะไรเกิดขึ้นนอกเหนือความคาดหมาย ก็ยังอยู่ในส่วน ๐.๐๐๐๑% ครับ ยังไงก็ปลอดภัยตลอดกาลครับ หุ...หุ..ตามสบายครับ สำหรับความเชื่อที่เต็มร้อย% ของลุง

ระหว่างลายแทงพระวังหน้าชิ้นนี้เป็นการจัดสร้างด้วยทองคำ ๙๙% ขึ้นไป กับ ลายแทงพระวังหน้าที่จัดสร้างด้วยทองคำ ๑๐๐%

หากระหว่างที่กำลังเททองอยู่นั้น มีอนุภาคของฝุ่นผงตกลงไปบ้าง ความบริสุทธิ์ไม่ใช่ ๑๐๐% แล้วครับ อาจจะเป็น ๙๙.๙๙๙๙%

ลุงคิดว่าความเห็นอันไหนที่ดูแล้วเสี่ยงภัยกับตนเองในฐานะผู้เผยแพร่ความรู้กว่ากัน ลุงช่วยตอบชัดๆหน่อยครับ...

๓) พระพิมพ์ซุ้มไข่ปลาวังหน้า อยุธยา ไม่เกี่ยวพันกับพระโลกอุดรหรือยังไง
หากลุงตอบว่า เกี่ยวข้อง แบบนี้แสดงว่า post ความเห็นของลุงนี้บันทึกไว้ไม่ครบถ้วน ไม่ถูกต้อง บอกไม่หมด แล้วลุงก็บอกว่า นี่ไงร้อย% ที่ลุงเชื่อ ลุงไม่คิดว่า ยังมีสิ่งที่ลุงยังไม่รู้อีกหรือครับ?? ลุงจะเอาร้อย% ลุงไม่เลือก ๙๙.๙๙๙๙%

นี่คือความหมายที่ post ข้างต้นไว้ว่า
ลุง"ไม่เผื่อใจ"ยังไงละครับ เพิ่งจะรู้ว่า ลุงเป็นแมว ๙ ชีวิต น่าจะมากมายพอที่จะเอาไว้ใช้เสี่ยงได้ตลอด...

เห็นต่างจากลุงเพียง๐.๐๐๐๑% ลุงคงไม่พาผมไปสาบานที่วัดพระแก้ววังหน้าหรอกนะ...หุ...หุ..ว่าแต่ผมเห็นต่างจากลุงตรงไหนหรือ ผมยังงงๆ

-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2538.html-

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 08, 2012, 10:38:11 pm
ผมอธิบายเพียงวังหน้ายุครัตนโกสินทร์เท่านั้นครับ

ส่วนในยุคก่อนหน้ายุครัตนโกสินทร์ ผมเองก็ทราบแค่บางช่วงเท่านั้นครับ

คณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร (คณะโสณะ-อุตระ) ท่านเดินทางมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิตั้งแต่ปี พ.ศ.235

ส่วนที่จะรู้ว่า ท่านอธิษฐานจิตพระพิมพ์ต่างๆทั้งหมด คงเป็นไปไม่ได้แน่นอน เพราะว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ.235 จนถึงปี พ.ศ.2555 ไม่รู้ว่า ท่านอธิษฐานจิตไว้กี่รุ่น กี่ครั้ง เพราะส่วนใหญ่ไม่มีการบันทึกไว้ว่า มีพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร หรือพิธีพุทธาภิเษกที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร

ถ้าจะตรวจสอบกันจริงๆ อย่างที่ผมโดนข้อหามานั่นแหละครับว่า มีหลักฐานไหมว่า มีการสร้างเมื่อไหร่ สร้างพิมพ์อะไร ใช้อะไรเป็นมวลสาร ใครเป็นผู้สร้าง ใครเป็นผู้ให้สร้าง มีพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงที่ไหน อย่างไร และหลักฐานต้องเป็นจดหมายเหตุ หรือ พงศาวดาร หรือ หนังสือที่ออกโดยราชการเท่านั้น

เพราะการตรวจพลังอิทธิคุณในบางกรณี ไม่สามารถที่จะเชื่อถือได้

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2538.html (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2538.html)
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 08, 2012, 10:38:32 pm
ผมนำมาลงให้อ่านกันใหม่อีกครั้ง จากที่ผมลงไว้หลายรอบครับ

เรื่องของพลังอิทธิคุณกับ กรอบพลาสติกนั้น พลาสติกไม่กี่มิลลิเมตรจะปิดกั้นอำนาจของผู้ปลุกเสกได้ ผมจะยกตัวอย่างเปรียบเทียบนะครับ เช่นก้อนแร่รังสีปรมนู ถ้านำไปเก็บไว้ในที่เก็บ รังสีจะออกมาได้หรือไม่ และทำอันตรายกับผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นได้หรือไม่หรือเพียงแต่นำเอาตะกั่ว แผ่นบางๆ หุ้มก้อนแร่รังสีปรมณูไว้ รังสีสามารถออกมาทำอันตรายกับสิ่งมีชีวิตรอบข้างได้หรือไม่ แต่ถ้านำออกมาวางไว้กลางแจ้ง ผู้คนที่อยู่รอบข้างจะได้รับรังสีหรือไม่ เฉกเช่นเดียวกับพลังจิตของผู้ที่ปลุกเสกพระครับ หรือเปรียบเทียบกับสายไฟฟ้าภายในบ้าน ถ้าเราเปิดไฟ กระแสไฟฟ้าก็จะวิ่งมาตามสายไฟ ซึ่งมีฉนวนหุ้มอยู่ เราสามารถจับสายไฟเส้นนั้นได้ แต่ถ้าเราลอกฉนวนออก เราก็ไม่สามารถจับสายไฟเส้นนั้นได้ ใช่ไหมครับ เรื่องของพลังจิตนั้น เป็นนามธรรม เป็นสิ่งที่ไม่สามารถจับต้องได้ แต่สามารถสัมผัสได้หากบุคคลผู้นั้น ได้ปฎิบัติธรรมมาจนถึงในระดับหนึ่งนะครับ


เรื่อง ของพลังอิทธิคุณ ต้องเดินทางในอากาศธาตุนะครับ เหมือนกับกระแสไฟฟ้าซึ่งต้องเดินบนตัวนำไฟฟ้า แต่จะไม่เกี่ยวข้องกับความศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ศักดิ์สิทธิ์ครับ พระพิมพ์หรือวัตถุมงคล ที่ผ่านพิธีพุทธาภิเษกมานั้น ย่อมมีความศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้น แต่ว่าจะมากน้อยนั้น อยู่ที่ผู้เสกเป็นสำคัญครับ



พระ พิมพ์ที่ผมห้อยอยู่นั้น ผมเลี่ยมแล้วผมนำเข็มเย็บผ้าไปลนไฟให้ร้อนแล้วเจาะรูบริเวณด้านล่างหรือตรง กลางของกรอบพระ (จะกี่รูก็ได้)ครับ ท่านอาจารย์ประถมท่านเองเลี่ยมพระแบบเปิด คือหมายความว่า เป็นการเลี่ยมจับขอบเท่านั้น ไม่มีพลาสติกหุ้มอยู่ทั้งด้านหน้าและด้านหลังเลยครับ


ผม เองเคยมีประสบการณ์ กรอบพระสแตนเลสระเบิดออกมา พระที่กรอบสแตนเลสระเบิดเป็นหลวงปู่ม่น วัดเนินตามาก ชลบุรีครับ ถ้าเป็นทางวิทยาศาสตร์จะไม่สามารถอธิบายได้ว่า ระเบิดออกมาได้อย่างไร ก่อนวันสงกรานต์ ผมได้ไปทำความสะอาดพระ ที่กุฏิที่ผมเคยไปบวช วันนั้นผมห้อยพระไป 5 องค์ โดยองค์กลางเป็นพระธาตุพระสิวลี องค์อยู่ข้างบนต่อมาด้านซ้ายเป็นหลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ องค์ด้านขวา เป็นหลวงปู่ม่น วัดเนินตามาก ผมทำความสะอาดพระซึ่งมีเป็นจำนวนมาก ผมไปเห็นโกฏิที่ใส่กระดูกคนตาย ที่อยู่หลังพระพุทธรูปองค์ใหญ่ พี่เขยผมไม่เข้าไปยุ่ง ไม่ได้นำออกมาทำความสะอาด แต่ผมนำออกมาวางบนตู้พระไตรปิฎก ซึ่งผมลืมคิดไปว่าไม่สมควร ผมนำผ้าชุบน้ำแล้วทำความสะอาด พอทำความสะอาดเสร็จแล้ว ผมกำลังนำผ้าไปซัก เดินพ้นจากตู้พระไตรปิฎกมา 2 ก้าว ปรากฏว่าเหรียญหลวงปู่ม่นซึ่งผมเลี่ยมใส่กรอบพลาสติกและผมได้เจาะรูไว้ 3 รูนั้น ได้เกิดระเบิดขึ้น ผมเองก็ตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น ผมกลับไปมองที่โกฏินั้น ผมเห็นว่าไม่สมควรที่จะนำไปวางไว้บนตู้พระไตรปิฎก ผมจึงรีบนำโกฏิไปไว้ที่เดิม ต่อมาผมได้สอบถามเพื่อนผม เพื่อนบอกว่าหลวงปู่ม่นท่านดังในเรื่องของการไล่ผีมาก (ในตอนแรกๆ ผมไม่ค่อยศรัทธาหลวงปู่ม่นเท่าไร ท่านคงมาช่วยผมไว้และแสดงให้เห็นว่าหลวงปู่ม่น ท่านก็ไม่ธรรมดา) การที่กรอบแสตนเลสระเบิดนั้น มันเกิดจากสาเหตุอะไร ลองคิดดูกันเองนะครับ


เรื่องของการจับพลังพระพิมพ์นั้น มีปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่หลายประการ อาทิเช่น
1.พระ พิมพ์บางองค์ เวลาที่กดพระพิมพ์นั้น อาจกดไปโดนฤกษ์ดอกลูกพิษ ถ้าพระพิมพ์องค์ไหน กดโดนฤกษ์ดอกลูกพิษ ไม่ว่าพระองค์ไหน ก็เสกไม่เข้าทั้งสิ้น ฤกษ์ดอกลูกพิษนั้น มีทุกวัน แต่ว่ามีเป็นช่วงๆ บางครั้งในหนึ่งวัน มีช่วงเดียว บางครั้งในหนึ่งวัน อาจมีหลายช่วงก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น
2.ใน การจับพลังองค์พระพิมพ์นั้น บางวัน พระผู้เสกท่านอาจปิดกระแสขององค์พระพิมพ์ก็เป็นได้ การปิดกระแสนั้น พระผู้เสกย่อมทำได้เนื่องจากว่า ระดับของญาณหรืออภิญญาสูงกว่าผู้จับพลังองค์พระพิมพ์ มีเพื่อนผมคนหนึ่ง สามารถจับพลังขององค์พระพิมพ์ได้ มีอยู่วันหนึ่ง เพื่อนผมผู้นี้ได้นำพระพิมพ์องค์หนึ่ง ไปให้อาจารย์ของเขาตรวจพลังให้ แต่ปรากฏว่า อาจารย์ของเขาได้บอกว่า พระพิมพ์องค์นี้ ไม่มีพลัง ไม่มีอะไรเลย แต่เพื่อนผมได้นำพระพิมพ์องค์เดิมไปให้เพื่อนของเขาจับ ปรากฎว่าเพื่อนของเขาจับพลังได้ และยังบอกอีกว่า พลังขององค์พระพิมพ์นั้น แรงมากด้วย ในเรื่องนี้ ความคิดเห็นส่วนตัวผม ผมเห็นว่า พระผู้เสกท่านอาจปิดกระแสไม่ให้อาจารย์ของเพื่อนตรวจพลัง นะครับ
3.ในบางวัน พระผู้เสก ท่านอาจปิดกระแสขององค์พระพิมพ์ ก็เป็นไปได้เช่นเดียวกัน
4.และในบางวัน ผู้ที่ตรวจพลังของพระพิมพ์ เป็นวันที่เบื้องบนไม่ให้ตรวจพลังขององค์พระพิมพ์ ก็เป็นไปได้เช่นเดียวกัน
5.พิมพ์ ทุกองค์นั้น เวลาที่ผ่านการปลุกเสกแล้ว จะมีเทวดารักษาองค์พระพิมพ์ทุกองค์ บางครั้งเทวดาที่รักษาองค์พระพิมพ์อาจจะปิดกระแสก็เป็นไปได้อีกเช่นกัน
6.ในบางครั้งพระปลอมก็มีพลังเช่นเดียวกัน ถ้าผู้ทำพระปลอมได้นำพระไปเข้าพิธีพุทธาภิเษก
7.หรือบางครั้งผู้ทำพระปลอมได้นำเศษพระแท้ผสมลงไป ก็สามารถมีพลังได้เหมือนกัน เพียงแต่พลังอาจจะน้อยกว่าพระแท้ครับ
8.การ นำพระแท้ไปไว้ในที่ไม่สมควร เทวดาที่รักษาองค์พระพิมพ์ ท่านอาจจะไม่อยู่ครับ และทำให้พลังขององค์พระพิมพ์นั้นเสื่อมได้ครับ ตามหลัก มีเกิดได้ก็มีดับได้นะครับ
9.พระ พิมพ์ที่ปลุกเสกโดยพระคณาจารย์บางองค์นั้น จะเป็นสื่อให้กับพระคณาจารย์หรือเทพเบื้องบน เวลาที่มีเหตุให้ช่วย พระคณาจารย์หรือเทพเบื้องบนบางองค์จะทราบและจะลงมาช่วยเหลือ โดยพระพิมพ์เป็นเพียงสื่อให้พระคณาจารย์หรือเทพเบื้องบนเท่านั้นครับ

การ ตรวจสอบพลังอิทธิคุณขององค์พระพิมพ์นั้น ผมแนะนำให้ไปหาผู้ทรงฌานหรือผู้ทรงญาณ หลายๆท่าน(ควรไม่ต่ำว่า 5 ท่าน) นะครับ และผลที่ตรวจได้นั้น ต้องตรงกัน

เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผมเอง แล้วแต่ท่านผู้อ่านใช้ว่ามีคิดเห็นกันอย่างไรครับ


โมทนา
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 09, 2012, 05:59:29 am
โพสโดย santisayan

นี่นะที่เค้าเรียกว่า""ทีม"" ทีมประกอบไปด้วยอะไรบ้างคงไม่ต้องพูดถึงนะทุกคนรู้อยู่แล้ว การที่มีทีมที่ดี อยู่ในบ้านหลังนี้ก็เป็นความภูมิใจของทุกคน แต่ละคนมีหน้าที่การงาน มีฐานะที่มั่นคง มีความแตกต่างทางความคิด มีความแตกต่างทางการศึกษา มีความแตกต่างทางความเชื่อ มีความแตกต่างทางปัญญา และนี่ก็ไม่ใช่ความแตกแยก เหตุ ผลที่มีก็ไม่แตกต่างกัน เหมือนเรามองเห็นเหรียญด้านหนึ่งแล้วเราบอกว่าอีกด้านนั้นไม่มี แต่จุดมุ่งหมายที่เดียวกัน คืออะไรทุกคนรู้อยู่แก่ใจดี ว่าเรากำลังทำอะไร เพื่ออะไร เพื่อใคร และได้อะไรไหม?เป็นสิ่งตอบแทน ทุกคนมีคำตอบอยู่แล้วในใจ ข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ หรือข้อมูล ของแต่ละคนล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อผู้คนที่ยังไม่ได้รับทราบ ให้ทราบ อีกทั้งได้เผยแผ่ในสิ่งที่เราตั้งใจกันไว้ว่าจะทำ เพื่อให้รุ่นหลังได้รับรู้ เข้าใจ ในสิ่งที่ใกล้ความจริงที่สุด ฉนั้นอย่าลืมแนวทางนี้ที่เราตั้งใจทำ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 09, 2012, 06:01:02 am
โพสโดย :::เพชร:::

แตกต่างไม่แตกแยก เจตนาของการเห็นต่างเพื่อแตกประเด็นในส่วนต่างๆ เพื่อไม่ให้เห็นผิด จนนำไปสู่การสรุปผลที่ผิด หากแต่เป็นการระดมสรรพคำถาม เพื่อวันหนึ่งจะต้องตอบกับผู้เกิดคำถามเหล่านี้ อย่าได้กล่าวอ้างด้วยมิจฉาทิฏฐิ แต่ให้ยกเอาหลักฐานที่ตาดูเห็น หูได้ยิน กายสัมผัสได้ด้วยกายเนื้อ ยกเอาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มาอ้างอิงได้สอดคล้องกับปัจจุบันได้อย่างที่ไม่มีผู้ใดสามารถปฏิเสธได้ ทั้งนี้เพื่อป้องกัน "ความไม่รู้" อีก ๐.๐๐๐๑% ผมไม่หวังให้ทุกท่านเชื่อถือผม แต่หวังให้ทุกท่านได้เก็บรวบรวมข้อมูลหลักฐานเพื่อพิจารณาไตร่ตรองตามความเป็นจริง เอาเหตุผลมาตีแผ่ว่ากล่าวกัน ทั้งนี้เพื่อความถูกต้องแห่งความจริง หรือใกล้เคียงความจริงมากที่สุด แม้จะไม่ครบถ้วนในรุ่นของผมก็ตามที...

ผมอยากให้ทุกท่านที่ผ่านมา แวะมา ด้วยความสงสัยว่า กระทู้นี้ทำอะไรกัน โต้เถียงอะไรกัน ไม่ลงรอยอะไรกัน ได้โปรดวางใจให้เป็นกลาง ค่อยๆพิจารณาเรื่องราวต่างๆ หากสามารถอ่าน post ที่ ๑ จนล่าสุดนี้ได้ก็จะทราบเหตุ และผลทุกประการ ถึงเหตุที่มีผู้กล่าวว่ากรมพระราชวังบวรสถานมงคล ๓ พระองค์แรกไม่มีความเกี่ยวพันกับพระโลกอุดรแต่อย่างไร และหลาย posts ก็เฝ้าย้ำอยู่อย่างนั้น ราวกับว่าเกิดมาทันสมัยนั้น และเหตุนี้จึงจะเป็นเหตุของการอ้างอิงคำกล่าว ความเชื่อของตนต่อครูบาอาจารย์มาว่ากล่าวกัน ก็จะเป็นเหตุเริ่มต้นของการทะเลาะเบาะแว้งในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องในสายตาชาวบ้านทั่วๆไป ผมจึงเพียงยกประเด็นบางประเด็นขึ้นมาเพื่อให้ผู้สนใจได้พิจารณาตามกำลังปัญญาของแต่ละท่านเท่านั้น ซึ่งยังไม่มีข้อสรุป เพราะเป็นเรื่องของความเชื่อ ต่างเกิดไม่ทัน จะเอาเป็นเอาตายกับความเชื่อทำไมหรือ?? และนี่คือ ๐.๐๐๐๑% เป็นการป้องกันความผิดพลาดจากความเชื่อที่อาจจะผิดพลาดได้เมื่อกาลเวลาผ่านไป และได้รับการพิสูจน์ในอนาคต ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดจากการเผยแพร่ความคิดในที่นี้ อาจเป็นกรรมแก่ตน และวงศ์วานตามสัจจะคำสาบานนั้นได้ ซึ่งประเด็นนี้ผมผิดพลาดได้ เพราะได้รวมอยู่ใน ๐.๐๐๐๑% นี้เอาไว้แล้ว ส่วนลุงหนุ่มน้อย ไม่สามารถผิดพลาดไปเลยจริงๆ เพราะความที่ไม่เคยเผื่อความผิดพลาดของส่วนนี้เอาไว้เลย...

ลองพิจารณาว่า ข้อมูล ๐.๐๐๐๑% นี้มีน้ำหนักที่ยกขึ้นล้างความเชื่อที่กล่าวว่า กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ๓ พระองค์แรก ไม่มีความเกี่ยวพันกับพระโลกอุดรแต่อย่างไร ได้บ้างหรือไม่ ให้ยกหลักฐานมาหักล้างด้วยครับ หากยังหักล้างไม่ได้ ก็ต้องวางเฉยทั้งทางกาย วาจา ใจ พยายามหาข้อมูลที่เป็นที่ยอมรับมาแสดงอ้างอิง เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้คน และหากกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ๓ พระองค์แรก เกิดมีความเกี่ยวพันกับพระโลกอุดร ขึ้นมาจริงๆ จะว่ายังไง? จะทำอย่างไร? ดังนั้นอย่าได้มั่นใจมากขนาด "ไม่เผื่อใจ" ให้เลยแม้เพียง ๐.๐๐๐๑% เลยครับ ไม่เช่นนั้นจะเข้าทางที่ผมกำลังขุดล่ออยู่นะ...

ประวัติกรมสรรพาวุธในอดีต ลองตามไปอ่านดูครับว่า ศาลวังหน้ามีมาตั้งแต่สมัยใด ปี พ.ศ.ใด จนเป็นศาลวังหน้าทุกวันนี้ มีหลักฐานที่ไม่ชัดแจ้ง เนื่องจากเหตุไฟไหม้ จนย้ายมาที่ถนนเศรษฐศิริ จนสถิตย์ถาวรเฉพาะที่นี่ก็ราว ๘๐ ปีที่ผ่านมาแล้ว ซึ่งหากนับถึงปีพ.ศ. ๒๔๔๕ ก็มีอายุถึง ๑๑๐ ปีแล้วเป็นอย่างน้อย นายทหารในสังกัดกระทรวงกลาโหม โดยเฉพาะกรมสรรพาวุธทหารบกล้วนมีศรัทธาต่อกรมพระราชวังบวรสถานมงคลทั้ง ๕ พระองค์ และพระโลกอุดรมาหลายชั่วคนแล้ว ดังนั้นบุคคลเหล่านี้ และวงศ์วานย่อมสามารถบอกเล่าความเป็นมาของศาลวังหน้าแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี ความชัดเจนในความสัมพันธ์ของกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ร.๔ และ ร.๕ เป็นที่ชัดแจ้งอยู่แล้วครับ แต่ที่กำลังกล่าวกันคือ ๓ พระองค์แรก หากไม่เกี่ยวข้องกันเหตุใดเจ้ากรมสรรพาวุธตั้งแต่ท่านแรกคือ พระยาสโมสรสรรพการ จนเวลานี้จึงยังแสดงพระนามของกรมพระราชวังบวรสถานมงคลทั้ง ๕ พระองค์ไว้ในที่เดียวกัน พร้อมกับประดิษฐานพระบูชาพระโลกอุดรไว้ภายในศาลวังหน้า...

-http://www.rta.mi.th/tec-div-ord/pdf/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B8%E0%B8%98%E0%B8%97%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%81.pdf-

-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2538.html-

.

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2538.html (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2538.html)

.

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 09, 2012, 06:50:13 am
หากนำศาลวังหน้ามาอธิบาย

หากเป็นสำนวน ต้องบอกว่า หลักฐานอ่อนมาก เหมือนกับการจับพลังนั่นแหละ

เพราะว่า ศาลที่ตั้งขึ้นตั้งแต่แรก ต้องมีหลักฐานการบันทึกไว้ว่า ตั้งขึ้นเพื่ออะไร ในแต่ละปี ในแต่ละช่วง มีใครเป็นผู้ดูแล ความเชื่อของผู้ดูแลแต่ละคน เชื่ออย่างไร เชื่ออะไร ยังอีกทั้งผู้ที่มาไหว้สักการะที่ศาลวังหน้าอีกว่า ผู้ที่มาไหว้ มีความเชื่ออย่างไร เชื่ออะไร ซึ่งอาจจะนำหลายๆสิ่งมาไว้ที่ศาลวังหน้า

ยังต้องมองไปถึงนิสัยของคนไทยบางประเภท หากผู้ที่มีอำนาจ นำสิ่งของหรือรูปภาพหรือวัตถุมงคลมาไว้ที่วังหน้า ผู้ที่ดูแล คงต้องยินยอมแน่นอน ในบางอย่าง ถึงแม้ไม่ใช่ผู้มีอำนาจ แต่มีความสนิทชิดเชื้อกับผู้ดูแล ก็สามารถนำมาไว้ที่ศาลวังหน้าได้

ต้องนำบันทึกและรูปถ่ายในทุกๆแง่มุม ตั้งแต่การตั้งศาลวังหน้าในวันแรก จนถึงวันนี้ว่า มีอะไรในศาลวังหน้าเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมขึ้นมาบ้าง เพิ่มขึ้นเนื่องจากสาเหตุอะไร เพิ่มขึ้นเพราะอะไร เพิ่มขึ้นเมื่อไหร่ จะได้ทราบว่า เพราะอะไร เพราะเหตุใด ทำไม ถึงมีเรื่องราวของอุปราชวังหน้า ทั้ง 5 พระองค์ในสมัยรัตนโกสินทร์ และ เรื่องราวของหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร มาอยู่รวมกันในสถานที่แห่งนี้

เป็นไปได้หรือไม่ จะมีผู้รู้(ถึงแม้จะรู้มากหรือรู้น้อยก็ตาม)นำรูปหลวงปู่อิเกสาโร มาไว้ที่วังหน้า เนื่องจากเป็นพระอาจารย์ของกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ?????

แตกต่างไม่แตกแยก

โมทนา
sithiphong
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 09, 2012, 06:50:38 am
เรียน ท่านผู้อ่าน

ไม่ว่าจะเป็นข้อความของผมก็ดี ของคุณเพชรก็ดี ของคุณnongnoooก็ดี หรือพี่สันติก็ดี

ที่มีการถกเถียงกัน ถึงแม้ในบางครั้งดูเหมือนเถียงกันมาก

อยากให้ท่านผู้อ่านรับทราบไว้ว่า เราชาวชมรมพระวังหน้า ไม่ได้ทะเลาะกันเอง

เพียงนำเสนอข้อมูลให้อ่าน แล้วต้องรู้จักการวิเคราะห์ในข้อมูลต่างๆ

จะเชื่อหรือไม่ เชื่ออย่างไร หรือจะไม่เชื่อ เป็นสิทธิของตัวท่านผู้อ่านเอง

เรื่องนึงที่ผมเองก็ย้ำมาโดยตลอด "ของจริงต้องพิสูจน์ได้"

แต่จะพิสูจน์ได้อย่างไร ได้เมื่อไหร่ ได้เพราะอะไร ได้ด้วยวิธีใด ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลเองครับ

โมทนา
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 09, 2012, 07:03:59 am
หากนำศาลวังหน้ามาอธิบาย

หากเป็นสำนวน ต้องบอกว่า หลักฐานอ่อนมาก เหมือนกับการจับพลังนั่นแหละ

เพราะว่า ศาลที่ตั้งขึ้นตั้งแต่แรก ต้องมีหลักฐานการบันทึกไว้ว่า ตั้งขึ้นเพื่ออะไร ในแต่ละปี ในแต่ละช่วง มีใครเป็นผู้ดูแล ความเชื่อของผู้ดูแลแต่ละคน เชื่ออย่างไร เชื่ออะไร ยังอีกทั้งผู้ที่มาไหว้สักการะที่ศาลวังหน้าอีกว่า ผู้ที่มาไหว้ มีความเชื่ออย่างไร เชื่ออะไร ซึ่งอาจจะนำหลายๆสิ่งมาไว้ที่ศาลวังหน้า

ยังต้องมองไปถึงนิสัยของคนไทยบางประเภท หากผู้ที่มีอำนาจ นำสิ่งของหรือรูปภาพหรือวัตถุมงคลมาไว้ที่วังหน้า ผู้ที่ดูแล คงต้องยินยอมแน่นอน ในบางอย่าง ถึงแม้ไม่ใช่ผู้มีอำนาจ แต่มีความสนิทชิดเชื้อกับผู้ดูแล ก็สามารถนำมาไว้ที่ศาลวังหน้าได้

ต้องนำบันทึกและรูปถ่ายในทุกๆแง่มุม ตั้งแต่การตั้งศาลวังหน้าในวันแรก จนถึงวันนี้ว่า มีอะไรในศาลวังหน้าเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมขึ้นมาบ้าง เพิ่มขึ้นเนื่องจากสาเหตุอะไร เพิ่มขึ้นเพราะอะไร เพิ่มขึ้นเมื่อไหร่ จะได้ทราบว่า เพราะอะไร เพราะเหตุใด ทำไม ถึงมีเรื่องราวของอุปราชวังหน้า ทั้ง 5 พระองค์ในสมัยรัตนโกสินทร์ และ เรื่องราวของหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร มาอยู่รวมกันในสถานที่แห่งนี้

เป็นไปได้หรือไม่ จะมีผู้รู้(ถึงแม้จะรู้มากหรือรู้น้อยก็ตาม)นำรูปหลวงปู่อิเกสาโร มาไว้ที่วังหน้า เนื่องจากเป็นพระอาจารย์ของกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ?????

แตกต่างไม่แตกแยก

โมทนา
sithiphong
.


ตามคำโพสของผม "เป็นไปได้หรือไม่ จะมีผู้รู้(ถึงแม้จะรู้มากหรือรู้น้อยก็ตาม)นำรูปหลวงปู่อิเกสาโร มาไว้ที่วังหน้า เนื่องจากเป็นพระอาจารย์ของกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ?????"

หรืออาจจะมีผู้ที่เข้าใจผิดว่า เป็นพระอาจารย์ของวังหน้า(สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ)

และทำไมมีแค่รูปองค์หลวงปู่อิเกสาโร  ทำไมไม่มีรูปหลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า และหรือ หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า ด้วย !!!!!

.

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 09, 2012, 01:59:59 pm
โพสโดย คุณ:::เพชร:::

พื้นที่ของศาลวังหน้าเดิมตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นในของกรมพระราชวังบวรสถานมงคล(ปัจจุบันคือที่ตั้งของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) ความตามเอกสารแนบข้างต้นครับ ผมเพียงนำข้อความบางตอนที่กล่าวถึงศาลเทพารักษ์ กรมพระราชวังบวรฯ สถานมงคล(ศาลเดิม) มากล่าวไว้เท่านั้น การสืบค้นของผมทำได้เพียงเท่านี้ ความผิดพลาดจากความไม่รู้ได้ถูกกำหนดให้ยอมรับความผิดพลาดได้ในระดับ ๐.๐๐๐๑% ...

พ.ศ.๒๔๗๙ ได้มีพระราชบัญญัติโอนที่ดินเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน บริเวณคลังแสง ตำบล ท่าพระจันทร์ อำเภอพระนคร จังหวัดพระนคร ลงวันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ.๒๔๗๙ ให้แก่มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ และการเมือง ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา ๑๓๖๓ เล่มที่ ๕๓ ตอนที่ ๖๑ ลงวันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ.๒๔๗๙ เนื่องจากในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรด ฯ ให้ที่ดิน บริเวณ ที่ตั้งของคลังแสงในบริเวณพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ซึ่ งมีเนื ้อที่ประมาณ ๗ ไร่ ๑ งาน เป็น สาธารณสมบัติของแผ่นดิน 55 (คลังแสงดังกล่าวเคยเป็นคลังเก็บอาวุธของกรมแสงสรรพาวุธ ตั้งแต่ปี ๒๔๔๕)

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1994468&d=1333955708)

ต่อมา พลตรีหลวงประกิตยุทธสมบัติ ( ปลิก ขิตตะสังคะ) ขอเคลื่อนย้ายศาลเทพารักษ์ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณเขตพระราชฐานของกรมพระราชวังบวรฯมาตั้งไว้ในบริเวณหน่วยงานคลังแสงทหารบก ปัจจุบันเป็นกองคลังยุทโธปกรณ์สรรพาวุธ กรมสรรพาวุธทหารบก ถนนเศรษฐศิริ กรุงเทพฯ โดยมี พลตรี หลวงประกิจ ยุทธสมบัติ เป็นเจ้าพิธี อาจารย์บุญมี เผือกเสน่ห์ เจ้าพนักงานภูษามาลา เป็นผู้กระทำพิธีอัญเชิญ และยังคงตั้งอยู่จนทุกวันนี้


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 09, 2012, 02:00:49 pm
โพสโดย คุณnongnooo

อ่า ...เหนื่อยหนักเมื่อคืนกลับมาพัก เลยอดมาหนุกๆกับลุงๆ เลยฮับ บอกมากไปพูดหลายครั้งก็ไม่ใช่วิสัยครับ เรากำลังคุยกันเรื่องการเผื่อใจสำหรับข้อมูลต่างๆไว้บ้างครับ ใครไม่เคยเจอไม่เคยพบปัญหาก็คงไม่มีประสบการณ์ก็คงยากเรื่องเหล่านี้ครับ เมื่อวานผมก็ได้คุยกับ ลุง อ.เพชร เช่น ทำไมตั้งแต่ ผมผ่าน อายุ20ปีมา หลังจากนั้นผมซื้อประกัน รถยนต์ชั้นหนึ่งมาโดย ตลอด จนถึงปัจจุบัน จ่ายเบี้ยปีล่ะกว่า 3หมื่นบาท แม้จะใช้เพียง เสาร์อาทิตย์ ลองคิดดูครับจนถึงปัจจุบัน ผมเสีย ค่าเบี้ย ต้องมีเกือบล้านบาท คำตอบมันอยู่ที่ประสบการณ์ คุณเคยเจอมั้ย การเผื่อทั้งใจและกาย เหมือนมีผู้ใหญ่แนะนำสั่งสอนไว้ คิดเผื่อในแง่ที่เลวร้ายไว้ที่สุด ถ้ามันเกิดเราจะเตรียมตัวรับได้และแก้ไขได้ทัน หากไม่เกิดมันย่อมมีผลดีกับเรา เช่นกันหลักฐานที่เราพบ ประวัติศาสตร์ที่เราได้อ่าน หรือที่เราเรียน แต่ยังเด็ก โตขึ้นมา มาบางครั้งเรายังต้องเปลี่ยนเนื่องจากพบหลักฐานใหม่ๆมาหัก ล้างกัน ผมยกตัวอย่างที่ยังถกเถียงกันไม่จบ เช่นเด็กๆเรามักจดจำว่า พระนเรศวรมมหาราช ได้ชนช้างกับพระมหาอุปราชา และได้สร้างอนุสรณ์ไว้ที่ บริเวณ หนองสาหร่าย จ.สุพรรณบุรี ซึ่งมีเจดีย์ยุทธหัตถี ประดิษฐ์ฐานอยู่ ถึงปัจจุบัน แต่เมื่อเร็วๆนี้กลับพบหลักฐานบางอย่างว่า อาจจะไม่ใช่นะมีนักโบราณคดี บางท่านได้พบหลักฐานว่า อาจจะเป็นที่ อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรีมากกว่า นี่เป็นตัวอย่างเล็กๆครับ หรืออย่างประวัติศาสตร์ของไทย ที่เราเรียนมา ว่าเรารักสงบถูกพม่ารุกราน แต่กลับกันเหมือนลุงป๋าว่า เหรียญมีสองด้าน ประวัติศาสตร์ของพม่ากลับบอก เราไทยเป็นฝ่ายรุกราน เขาก่อนครับ สรุปคือมันไม่มีอะไรที่แน่นอนและถูกต้อง 100% หรอกครับ มันแค่ถูกใช้อ้าอิง ณ. เวลาหนึ่งเท่านั้นครับ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 09, 2012, 02:02:47 pm
โพสโดย คุณsantisayan

เอาไว้สงกรานต์ปีนี้ อาจจะบอกวิธีการสะเดาะเคราะห์ฉบับของหลวงปู่ทวดท่านให้ทราบกัน ยังไม่มีที่ไหนเผยแพร่ เป็นอะไรที่ธรรมดา และง่ายๆ ที่หลวงปู่ทวดท่านถือเอาความง่ายเข้าไว้ และสบายๆ แต่ถูกต้องตามหลักการ ที่บอกว่าอาจจะบอกในวันสงกรานต์ ก็เพราะเป็นวันคล้ายวันเกิดของหลวงปู่ทวดท่าน ขอดูเหตุการณ์กันไปก่อน..

ให้สังเกตุว่า พระพิมพ์นี้กับพระบูชาหลวงปู่ทวดที่วัดแคองค์นี้มีความคล้ายคลึงกันยังไง ภาพพระบูชาองค์นี้ ผมตั้งจิตขอขมาหลวงปู่ท่าน แล้วขอถ่ายภาพเอาไว้ แล้วนำไปพิมพ์เป็นภาพถ่ายขนาด4P มอบให้ญาณลาภีหลวงปู่ได้แจกจ่ายแก่ลูกศิษย์ลูกหากัน เมื่อครั้งที่"หลวงปู่"ท่านเสด็จไปที่วัด ก็เพราะมีนิมิตให้นำกลับมาซ่อมแซม แถมยังบอกน้ำหนักของพระบูชาองค์นี้ได้เป๊ะชนิดไม่คลาดเคลื่อนว่ากี่กิโลกี่ขีด(สั่งให้นำตาชั่งมาชั่งให้ดู) ..

และพิเศษกว่านั้น..พระบูชาองค์นี้ หลวงปู่ท่านก็ได้อนุญาตให้ยกขึ้นบนศีรษะแล้วให้อธิษฐานจิตด้วย...หุ..หุ..เป็นยังไงน้องปฐม..

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1994466&d=1333955708)

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1994467&stc=1&d=1333955708)

มีท่านใดที่แจ้งไว้ว่าจะทำอะไร เมื่อไหร่ วันไหน นี่ก็ใกล้วันแล้วนะ รู้นะว่าไม่ลืม บอกวิธีทำบุญให้คนอื่นนะได้บุญ อิ่มบุญ ชิมิ ชิมิ


หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 09, 2012, 02:04:01 pm
โพสโดย คุณ:::เพชร:::

ครั้งนั้นพลตรี หลวงประกิจ ยุทธสมบัติ เป็นเจ้าพิธี อาจารย์บุญมี เผือกเสน่ห์ เจ้าพนักงานภูษามาลา เป็นผู้กระทำพิธีอัญเชิญดวงพระวิญญาณของสมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ยุครัตนโกสินทร์ทั้ง ๕ พระองค์เสด็จสถิตย์ยังศาลเทพารักษ์แห่งนี้ การเข้าไปทำกิจอันใดรวมทั้งการนำรูปหล่อใดๆไปตั้งภายในศาลเทพารักษ์ซึ่งเป็นของหลวง อย่าเข้าใจว่าสามารถจะกระทำแบบสุ่ม๔สุ่ม๕กันได้ง่ายๆ ขอบอก คำขอใดเกี่ยวกับการขออนุญาตนำรูปหล่อไปประดิษฐานภายในคงต้องไปสอบถามกับเจ้ากรมสรรพาวุธเพื่อขอดูหลักฐานย้อนหลังกันนะครับ เหล่านี้ก็อยู่ใน ๐.๐๐๐๑% แล้วเช่นกัน ผมไม่จำเป็นต้องไปพิสูจน์อะไรเพิ่มเติม เพราะอะไร เพราะผมได้ทำเต็มที่ นำหลักฐานมาให้ชมกันเต็มที่แล้ว และเผื่อความผิดพลาดเอาไว้แล้วเช่นกันในการเผยแพร่ความรู้นี้ เป็นหน้าที่ของผู้รับรองผล ๑๐๐% ที่เผยแพร่ต่อสาธารณะที่ต้องพิสูจน์ครับ เพราะไม่ได้เผื่อความผิดพลาดเอาไว้นั่นเอง...


นอกเหนือจากนี้เป็นหลักฐานจากบันทึกของพระอริยะเจ้าองค์สำคัญ ที่ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ของเรื่องที่เรากำลังมีวิวาทะต่อกันนี้ แต่ยังไม่ถึงเวลาที่จะเปิดเผยให้ทราบในกระทู้พระวังหน้า...นี้เท่านั้นครับ

เนื่องจากผู้เขียนเป็นเพียงนักศึกษาที่ยังไม่รู้จริงยังไม่แตกฉานในพระพิมพ์ต่างๆ รวมทั้งเรื่องราวความสัมพันธ์ของสมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคลทั้ง ๕ พระองค์กับพระโลกอุดร ฉนั้นการที่ผู้เขียนนำเสนอแนวคิดต่างๆที่อยู่ในกระทู้"พระวังหน้า.."นี้ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน และไม่ควรนำไปอ้างอิง (จนกว่าจะได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้อง) ด้วยเหตุผลเดียวกัน ความเข้าใจ และความคิดเห็นในความรู้พระวังหน้า วังหลวง เรื่องราวความสัมพันธ์ของสมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคลทั้ง ๕ พระองค์กับพระโลกอุดร ของผู้เขียนในอนาคต อาจจะสอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับข้อความที่ปรากฎในกระทู้ "พระวังหน้าที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก.." นี้ก็เป็นได้
:::เพชร:::

ผู้อ่านลองพิจารณาข้อความอ้างอิง ๒ ข้อความนี้เอานะครับ ว่าต่างกันอย่างไร

post นี้มีความจำเป็นต้องให้ทุกท่านที่ผ่านเข้ามาด้วยบังเอิญ หรือเจตนาก็ดี ได้เห็นว่า ข้อความที่ผม post ไว้เลขที่ 50741 และข้อความที่ลุงหนุ่มน้อย post เอาไว้ที่ 50742 มีข้อผิดพลาดของการอ้างอิงเอาไว้อยู่ ๑ แห่งครับ

๑) post ที่ 50741 ผมได้บันทึกเอาไว้เมื่อวันที่ 8 เมษยายน 2555 เวลา 10.36 PM และไม่มีการแก้ไขใดๆหลังเวลานี้อีกแล้ว

ส่วนข้อความ post ที่ 50742 ของลุงหนุ่มได้อ้างอิงข้อความเดิมของผมก่อนหน้าที่ที่ผมลบออก เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2555 เวลา 11.13 PM เนื่องจากผมได้กลับไปอ่านทบทวนดูพบว่า มีข้อผิดพลาดในข้อ ๓) เนื่องจากลุงหนุ่มได้บอกขอบเขตเอาไว้เพียง "ยุครัตนโกสินทร์" แล้ว ผมจึงจำเป็นต้องเข้าไปแก้ไขประหนึ่งทำใหม่ โดยยกเลิกของเดิมออก ดังนั้นลุงหนุ่มจึงได้อ้างอิงของเดิมที่ผมลบข้อความทิ้งไป

๒) ผมก็ได้ให้เวลาพอสมควรแล้วกับลุงหนุ่มมากกว่า 12 ช.ม. ในการที่ลุงหนุ่มจะเข้าไปแก้ไขข้อความอ้างอิงของลุงหนุ่มเองใน post ที่ 50742 ให้เป็นไปตาม post ที่ 50741 ของผม ที่มีเพียง ๒ ประเด็น แต่ลุงยกมา ๓ ประเด็น และยิ่งลุงไปกดอ้างอิงหลายๆครั้ง ความผิดพลาดเหล่านี้ ก็ยิ่งเกิดมากขึ้นๆ วันหนึ่งความจริงปรากฎขึ้นมาว่าไม่ได้เป็นตามที่ลุงให้ความเห็นเอาไว้ ลุงอาจจะต้องใช้เวลาทั้งปี หรือทั้งชีวิตในการเดินทางไปแก้ไขข้อความที่ผิดพลาดทั้งหมด ตามสัจจธรรมที่ว่า ทำมาก ผิดมาก ไม่ทำไม่ผิดเลย....

และนี่เป็นเพียงประเด็นหนึ่งของ ๐.๐๐๐๑% ที่ลุงได้กระทำลงไปด้วยความไม่รอบคอบยังไงละครับ ในเมื่อลุงจะเอา ๑๐๐% ก็จะขอดูว่า ลุงจะหาความสุขได้ยังไง

มาดูกันครับว่าผมยอมเสีย ๐.๐๐๐๑% แลกกับความสุข ได้กินอิ่ม+นอนหลับ+ดูหนัง+ฟังเพลง+พูดคุย+อ่านหนังสือ+ปิดโอกาสเผยแพร่ความรู้ผิดๆอย่างแน่นอน ๙๙.๙๙๙๙% หากผิดพลาดก็บอกแล้วไง ๐.๐๐๐๑%

แต่หากจะเอาร้อย% ผิดพลาดไม่ได้ครับ ขอบอก!!!
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 09, 2012, 02:05:10 pm
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ santisayan อ่านข้อความ
เอาไว้สงกรานต์ปีนี้ อาจจะบอกวิธีการสะเดาะเคราะห์ฉบับของหลวงปู่ทวดท่านให้ทราบกัน ยังไม่มีที่ไหนเผยแพร่ เป็นอะไรที่ธรรมดา และง่ายๆ ที่หลวงปู่ทวดท่านถือเอาความง่ายเข้าไว้ และสบายๆ แต่ถูกต้องตามหลักการ ที่บอกว่าอาจจะบอกในวันสงกรานต์ ก็เพราะเป็นวันคล้ายวันเกิดของหลวงปู่ทวดท่าน ขอดูเหตุการณ์กันไปก่อน..

ให้สังเกตุว่า พระพิมพ์นี้กับพระบูชาหลวงปู่ทวดที่วัดแคองค์นี้มีความคล้ายคลึงกันยังไง ภาพพระบูชาองค์นี้ ผมตั้งจิตขอขมาหลวงปู่ท่าน แล้วขอถ่ายภาพเอาไว้ แล้วนำไปพิมพ์เป็นภาพถ่ายขนาด4P มอบให้ญาณลาภีหลวงปู่ได้แจกจ่ายแก่ลูกศิษย์ลูกหากัน เมื่อครั้งที่"หลวงปู่"ท่านเสด็จไปที่วัด ก็เพราะมีนิมิตให้นำกลับมาซ่อมแซม แถมยังบอกน้ำหนักของพระบูชาองค์นี้ได้เป๊ะชนิดไม่คลาดเคลื่อนว่ากี่กิโลกี่ขีด(สั่งให้นำตาชั่งมาชั่งให้ดู) ..

และพิเศษกว่านั้น..พระบูชาองค์นี้ หลวงปู่ท่านก็ได้อนุญาตให้ยกขึ้นบนศีรษะแล้วให้อธิษฐานจิตด้วย...หุ..หุ..เป็นยังไงน้องปฐม...



โพสโดย คุณ:::เพชร:::

post นี้เป็น post เดิมของผมเมื่อหลายเดือนก่อน ผม post เอาไว้ว่า ....

สงกรานต์ปีนี้ อาจจะบอกวิธีการสะเดาะเคราะห์ฉบับของหลวงปู่ทวดท่านให้ทราบกัน ยังไม่มีที่ไหนเผยแพร่

ข้อความเดิม ผมจำได้ว่า ผม highlight สีแดง เอาไว้ด้วย ไม่ได้ไปแก้ไขอะไรในภายหลัง ให้ดูประหนึ่งว่า จะสามารถนำมาใช้อ้างอิงได้อย่างลงตัวในวันนี้ ศิลปะการเขียนต้องเขียนให้ตัวเองไม่รู้สึกผูกพันกับตัวเองมากจนเกินไป ไม่ทำให้ตนเองทำอะไรไม่สะดวก หรืออึดอัด เช่นอาจจะอยู่ในสภาวการณ์ความไม่พร้อมของอารมณ์ แต่ก็ยังคงความรู้ ความจริงใจในแบบของตนเอาไว้ หากวันสงกรานต์ปีนี้มาถึงในอีกไม่กี่วันนี้ ผมไม่เผยแพร่ หรือบอกวิธีสะเดาะเคราะห์ฉบับของหลวงปู่ทวดให้ ผมก็ไม่ผิดครับ เพราะผมเพียงพูดว่า "อาจจะ" ไม่ได้เขียนว่า "จะ" แบบนี้ผูกพันครับ ไม่ post ก็ถือว่าผิดสัจจะ ผิดสัญญา ..

น่าจะเป็นไปตามวาระที่จะไม่ได้ post ครับอย่างแน่นอนในวันสงกรานต์ปีนี้ บอกกันล่วงหน้า เพราะสงกรานต์ปีนี้ติดธุระที่ต่างจังหวัด หากไม่มีคำว่า"อาจจะ" นี่ผมคงแย่แน่ๆ อาจจะต้องดิ้นรน เสียเงิน เสียเวลาหาร้านเนตเข้ามา post ความรู้นี้ อีกอย่างผมไม่มีอารมณ์ที่อยากจะบอกในปีนี้แล้วครับ..หุ..หุ...

เพราะคำว่า "อาจจะ" คือ ๐.๐๐๐๑% ยังไงละครับ

-----------

ผมมีความจำเป็นต้องเห็นต่างจากลุงหนุ่มน้อยในบางประเด็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง การรับรองแบบ ๑๐๐(ร้อย)% สาเหตุเพราะ

๑) "ใบไม้กำมือเดียว" ใบไม้ในกำมือ เปรียบเสมือนความรู้ในตัวเรา เมื่อเปรียบเทียบกับป่าไม้ทั้งโลก เปรียบเสมือนองค์ความรู้ทั้งหมดที่ควรจะเป็น จะมี จะพึงมี จะพึงเป็น..ยังมีอีกมากที่เรายังไม่รู้ ไอ้ที่รู้อาจจะเพียง๐.๐๐๐๑% ไอ้ที่ไม่รู้กลับเป็น ๙๙.๙๙๙๙%

๒) หากการยึดคำรับรองที่ ๑๐๐% มีอัตตาถือมั่นมากจนเกินไป เกินกว่าที่บุคคลทั่วไปจะยอมรับได้ เมื่อยอมรับกันไม่ได้ก็เกิดวิวาทะ บุคคลอื่นๆที่ควรจะมีโอกาสเข้ามาศึกษาหาความรู้ในกระทู้"พระวังหน้าที่ พระโลกอุดรเสก..." ก็ไม่สามารถจะเข้ามาได้ หรือไม่อยากเข้ามา เพราะพูดอะไรที่กระทบกระเทือนใจเจ้าของกระทู้ไปบ้าง เจ้าของกระทู้มักจะชวนท้าสาบาน และล่วงเกินปรามาสไปยังครูบาอาจารย์ของผู้อื่น เราเคารพครูบาอาจารย์ของเราอย่างไร ผู้อื่นเขาก็เคารพในครูบาอาจารย์ของเขาเช่นนั้น ไม่ต่างกันหรอกครับ ไม่ใช่เราอยากกินขี้แล้วไปเข้าใจเอาเองว่า ผู้อื่นก็คงอยากกินขี้เหมือนกันเช่นเรา หรือหากไม่เชื่อฉัน วิธีการคือ ฉันชวนท้าสาบานดีกว่า อย่างนี้มันง่ายเกินไป..

เรื่องการท้าสาบานให้ต้องคำสัตย์สาบานนี้ ผมมีวิธีการที่ดีกว่านี้เห็นผลใน ๑๕ วัน ไม่ต้องให้ทั้ง ๒ ฝ่าย หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรอคอยนานจนเกินไป หรือนานจนเกินกว่าอายุขัยตนเอง และไปพิสูจน์ด้วยลำพังตนเดียวในยมโลก หรือมีอันเป็นไปตามคำสัจ หรือผูกอาฆาตพยาบาทไปภพแล้วภพเล่าอันเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ว่า

น หิ เวเรน เวรานิ
สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ
อเวเรน จ สมฺมนฺติ
เอส ธมฺโม สนนฺตโน ฯ

แปลว่า "ในกาลไหน ๆ ในโลกนี้ เวรไม่มีระงับด้วยการจองเวร มีแต่เวรระงับด้วยการไม่จองเวร" ยังไงละครับ หากสนใจก็บอกกล่าวกัน ผมบอกกล่าวกับผู้คนจำนวนมากเรื่องของการสาบานในลักษณะความเชื่อที่ต่างกันนี้ไปมากมาย แต่ไม่เคยเห็นมีผู้ใดซักคนสามารถตอบรับเงื่อนไขของผมได้เลยแม้แต่เพียงผู้เดียว วิธีนี้ไม่เจ็บตัวทั้ง ๒ ฝ่าย ฝ่ายใดทำไม่ได้ก็กลับไปฝึกใหม่ เอาจนได้ และมั่นใจ แล้วนัดพบกันใหม่ ผมเปิดให้โอกาสท้าพิสูจน์ได้ทุกเวลา และตลอดเวลา

ผมคบหาดูใจกับลุงหนุ่มน้อยมาเป็นเวลาร่วม ๖ ปีแล้ว ทุกครั้งผม"เหลือบดู"ด้วยความเป็นห่วง ไม่เคยเห็นด้วย อย่าว่าแต่จะกดอนุโมทนาเลย นี่ก็เป็นการโชคดีที่ไม่มีปุ่มให้กดอนุโมทนา หรือเผยรายชื่อว่ามีผู้ใดเข้ามาดูกระทู้นี้อยู่บ้าง เป็นอิสระกว่าเก่ามากจริงๆ เราจะเอาตัวเราเองไปผูกพันกับกรรมของชาวบ้านทำไม?? อันนี้ไม่เข้าใจครับ ผมใช้คำว่าเตือนสติ ๓ ครั้งจะดีกว่า มากกว่านั้นเลิกกัน ตามสบายครับ กรรมใครกรรมมัน
:::เพชร:::
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 09, 2012, 02:06:00 pm
ในบางเรื่องที่มั่นใจ ก็กล้าบอกให้ทราบ

แต่ในบางเรื่องที่ไม่มั่นใจ เวลาที่บอก จะบอกเฉพาะข้อมูลที่ทราบเท่านั้น

ผมคำนึงในเรื่องของการที่บอกเรื่องราวต่างๆ หากบอกไปผิด กรรมในส่วนนั้น ก็กลับมาหาผม หากยิ่งบอกไปผิดมากเท่าไหร่ กรรมที่จะกลับมา จะมากตาม

ผมกลัว ไม่อยากทำบุญแล้วแถมบาป

ผมกลัวที่จะโง่ในอนาคต หรือในชาติต่อๆไปครับ

แต่ผมก็ยังภูมิใจที่มีกัลยาณมิตรที่ดี คอยเตือนเมื่อเพื่อนพลาด คอยประคองตอนเพื่อนจะล้ม คอยพยุงตอนเพื่อนล้ม

โมทนา

ตอนนี้เบื่อที่จะถือไว้เยอะแล้ว

หนักมือ เมื่อยแขนจังเลย

ผมจะทยอยวางในสิ่งที่ถือไว้เยอะๆแล้วครับ

โมทนา
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 11, 2012, 08:18:36 am
สวัสดีปีใหม่ไทย 2555

ขอให้มีสุขภาพแข็งแรงตลอดไป


(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1997336&d=1334107727)

พระสมเด็จกลักไม้ขีด รุ่นแรก
สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี อธิษฐานจิต

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1997337&d=1334107727)

พิมพ์อรหันกลาง บุเงิน
คณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) ทั้ง 5 พระองค์อธิษฐานจิต

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1997338&d=1334107727)

พิมพ์หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง
หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง อธิษฐานจิต

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1997339&d=1334107727)

พิมพ์อรหัง
หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า (หลวงปู่อิเกสาโร) อธิษฐานจิต




.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 11, 2012, 08:24:37 am
.

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1997340&d=1334107727)

พระสมเด็จ เนื้อปูนสอ อัศนี

หลวงปู่อิเกสาโร และ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี อธิษฐานจิต

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1997341&d=1334107727)

พระสมเด็จ
สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี อธิษฐานจิต

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1997342&d=1334107727)

พิมพ์ประทานพร (รุ่นเป็นที่รักของสามโลก)
หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า อธิษฐานจิต

.

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 13, 2012, 10:13:35 am
ในวาระวันขึ้นปีใหม่(ของไทย)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=1792;image)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=1794;image)

ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จงโปรดบันดาลให้สมาชิกและทีมงานเว็บใต้ร่มธรรมทุกๆท่าน ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง

โมทนา
sithiphong
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 20, 2012, 11:13:37 am
วาระงานบุญที่ 4 ปี 2555

เนื่องด้วยผมเองมีความศรัทธาในสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถระ) วัดเทพศิรินทราวาส และศรัทธาในวิธีการไหว้ 5 ครั้ง

ผมจึงขอเชิญชวนท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า , ท่านผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้า , ท่านที่เคยร่วมทำบุญกับผม และ ท่านที่มีความศรัทธาในสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถระ) วัดเทพศิรินทราวาส และศรัทธาในวิธีการไหว้ 5 ครั้ง มาร่วมกันทำบุญ ดังนี้
1.จัดพิมพ์รูปสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถระ) วัดเทพศิรินทราวาส
2.พิมพ์บทไหว้ 5 ครั้ง และ ประวัติสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถระ) วัดเทพศิรินทราวาส(โดยย่อ)

ส่วนจำนวนที่จะจัดพิมพ์รูป , บทไหว้ 5 ครั้งและประวัติฯนั้น ขอปรึกษากับพี่สิทธิพรก่อน เมื่อได้ข้อสรุปแล้วจะมาแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

การเริ่มต้นในวาระบุญที่ 4
เริ่มต้นในวันที่ 20 เมษายน 2555
สิ้นสุดในวันที่ 31 พฤษภาคม 2555 เวลา 18.00น.

บัญชีที่ใช้ในการโอนเงินร่วมทำบุญ บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 878-0-11250-1
ชื่อบัญชี นายสิทธิพงศ์ สงวนศักดิ์
บมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาเดอะมอลล์ท่าพระ

หมายเหตุ สำหรับท่านใดที่โอนเงินร่วมทำบุญ ขอให้แจ้งชื่อ – นามสกุล มาให้ผมทาง PM (สำหรับสมาชิกเว็บพลังจิต) หรือ ทาง Email(สำหรับสมาชิกชมรมพระวังหน้า , ผู้สนับสนุนชมรมฯ และ คณะพี่สิทธิพร) ด้วย หากท่านใดไม่แจ้งมา ผมจะลงในบัญชีว่า ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม ครับ

หมายเหตุ สำหรับท่านใดที่ไม่แน่ใจว่า ผมจะนำเงินไปทำบุญ หรือ มีการยักยอก หรือ มีการกินส่วนต่างในงานบุญ ก็ไม่ต้องร่วมทำบุญ

หมายเหตุ ผมไม่ต้องการเงินที่ผู้ร่วมทำบุญมีจิตใจที่เป็นอกุศล , ไม่ต้องการเงินที่ได้มาโดยไม่บริสุทธิ์ , ไม่ต้องการเงินของคนที่ปากอย่าง ใจอย่าง , ไม่ต้องการเงินของคนที่คิดไม่ดีในงานบุญของผม และ ผมรังเกียจเงินและคนเหล่านี้

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2010042&d=1334889005)

โมทนาบุญทุกประการ
sithiphong
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 20, 2012, 07:31:34 pm
.

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong

วาระงานบุญที่ 4 ปี 2555


เมื่อผมได้ข้อสรุปจากพี่สิทธิพรแล้ว

ผมอาจจะปิดรับการร่วมทำบุญก่อนกำหนด (สิ้นสุดในวันที่ 31 พฤษภาคม 2555 เวลา 18.00น.)

เมื่อปิดการร่วมทำบุญ ผมจะปิดบัญชีนี้ทันทีครับ

แจ้งมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
sithiphong

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2548.html (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2548.html)
.
rung847
สมาชิก
 
วันที่สมัคร: Jul 2011
ข้อความ: 81
พลังการให้คะแนน: 18
rung847 is on a distinguished road
   
ขอร่วมบุญด้วย
ขอร่วมบุญด้วย 200 บาท (จะโอนคืนนี้ครับ)
ขออนุโมทนาบุญด้วยทุกประการครับ

.



หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 22, 2012, 08:01:20 pm
พระปิดตาวังหน้า
หลวงปู่อิเกสาโร อธิษฐานจิต

สำหรับพิมพ์นี้ และ รุ่นนี้ เป็นต้นแบบที่หลวงปู่ครีพ วัดสมถะ นำไปสร้างครับ

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1990655&d=1333716983)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 22, 2012, 08:02:16 pm
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ake7440 อ่านข้อความ
ขอร่วมบุญด้วยครับ เดี๋ยวโอนเงินเรียบร้อยจะแจ้งอีกครั้งครับ
อนุโมทนาครับ

-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2549.html-

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2549.html (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2549.html)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 22, 2012, 08:03:33 pm
พระปิดตาวังหน้า
หลวงปู่อิเกสาโร อธิษฐานจิต

สำหรับพิมพ์นี้เป็นต้นแบบ พระปิดตาห้าเหลี่ยม หลวงปู่เฮียง วัดป่า (ชลบุรี)

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1990632&d=1333716804)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 26, 2012, 10:44:52 pm
วันนี้, 09:47 PM    
Nui28
สมาชิก
 
Nui28's Avatar
 
วันที่สมัคร: Nov 2011
ข้อความ: 39
พลังการให้คะแนน: 0
Nui28 is on a distinguished road
   
ร่วมทำบุญครับพี่หนุ่ม
วันนี้ช่วง 17.15 น. ผมกิตติพงศ์ และคุณณิชพักตร์ได้ร่วมทำบุญวาระ 4 จำนวน 100 บ.
ขออนุโมทนาบุญทุกประการครับ

จาก pm ในเว็บพลังจิต

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 28, 2012, 10:48:05 am

เรียน ท่านประธานชมรมพระวังหน้า
ท่านรองประธานชมรมพระวังหน้า
ท่านผู้ช่วยเลขานุการชมรมพระวังหน้า
ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้าทุกๆท่าน

ผมได้เปิดประชุมชมรมพระวังหน้า และส่งให้ทุกๆท่านทาง Email เรียบร้อยแล้ว

ผมรบกวนทุกๆท่าน ส่งความเห็นมาให้ผม และ เรียนท่านประธานชมรมพระวังหน้า และ ท่านรองประธานชมรมพระวังหน้า แจ้งมตินี้มาให้ผมภายในวันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม 2555 เวลา 18.00 น.ครับ


ขอแสดงความนับถือ
sithiphong


----------------------------------------

ผมขอแจ้งเพิ่มเติมในการร่วมทำบุญ

ผมขอปิดการร่วมทำบุญก่อนกำหนด (เดิมสิ้นสุดในวันที่ 31 พฤษภาคม 2555 เวลา 18.00น.)

ผมขอปิดการร่วมทำบุญในวันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม 2555 เวลา 18.00 น.


จาก การสอบถาม หนังสือจะพิมพ์เป็นขาวดำ ปก จะเป็นปกอ่อน ราคาจะอยู่ประมาณ เล่มละ 60 - 70 บาท ส่วนรูป จะมีค่าเพลท ประมาณ 4 - 5,000 บาท ส่วนค่าพิมพ์รูป ไม่เท่าไหร่

ผมประมาณการค่าใช้จ่ายอยู่ตามนี้

1.หนังสือ 500 เล่มๆละ 70 บาท รวมเงิน 35,000 บาท
2.ค่ารูป (เพลทประมาณ 5,000 บาท) รวมเงิน 10,000 บาท
3.ส่วนค่าพิมพ์ต้นฉบับที่ผมจ้างพิมพ์ ผมจ่ายเงินในส่วนนี้เอง

รวมจำนวนเงินประมาณ 45,000 บาท

ปัจจุบันมีผู้ร่วมทำบุญมา 10,300 บาท

ในส่วนที่เหลือ(จากที่มีผู้ร่วมทำบุญมา) ผมจะร่วมทำบุญเองทั้งหมด

งานบุญนี้ เป็นงานบุญที่ผมตั้งใจมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว ตั้งใจว่าจะทำงานบุญนี้ เพื่อเผยแพร่ประวัติของ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวร) และ บทไหว้ 5 ครั้ง ให้ผู้คนที่สนใจได้ปฎิบัติ หากใครที่ไหว้ 5 ครั้งได้ทุกวัน สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวร) ท่านบอกว่า จะเจริญเหมือนชื่อของท่าน

โมทนา
sithiphong
28/4/2555

-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2552.html#post6064238-

.

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2552.html#post6064238 (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2552.html#post6064238)
.

http://board.palungjit.com/groups/%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%86-2139-page10.html?pp=30 (http://board.palungjit.com/groups/%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%86-2139-page10.html?pp=30)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 01, 2012, 11:00:32 am
ใช้วิจารณญาณในการชมครับ


http://www.youtube.com/watch?v=nnZvJS0vZuw&feature=related (ftp://www.youtube.com/watch?v=nnZvJS0vZuw&feature=related)


วีดีโอตัดเหล็กไหลยืด (น้ำหนึ่ีง) (http://www.youtube.com/watch?v=nnZvJS0vZuw#noexternalembed)

.

-http://www.youtube.com/watch?v=nnZvJS0vZuw&feature=related-

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 03, 2012, 06:05:43 am
.

เมื่อวานนี้, 09:41 PM     
#51065

train@sss
สมาชิก

 
วันที่สมัคร: Jan 2012
ข้อความ: 129
พลังการให้คะแนน: 17
train@sss
   
พี่หนุ่มครับ...ร่วมบุญวาระ4 ด้วย 200บาทครับ
โอนแล้ว 2/5/2555 เวลา 20.29น.

-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2554.html-

.

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2554.html (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2554.html)

.









หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 07, 2012, 08:55:12 am

เรียน ท่านประธานชมรมพระวังหน้า
ท่านรองประธานชมรมพระวังหน้า
ท่านผู้ช่วยเลขานุการชมรมพระวังหน้า
ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้าทุกๆท่าน

ผมได้เปิดประชุมชมรมพระวังหน้า และส่งให้ทุกๆท่านทาง Email เรียบร้อยแล้ว

ผมรบกวนทุกๆท่าน ส่งความเห็นมาให้ผม และ เรียนท่านประธานชมรมพระวังหน้า และ ท่านรองประธานชมรมพระวังหน้า แจ้งมตินี้มาให้ผมภายในวันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม 2555 เวลา 18.00 น.ครับ


ขอแสดงความนับถือ
sithiphong


----------------------------------------

ผมขอแจ้งเพิ่มเติมในการร่วมทำบุญ

ผมขอปิดการร่วมทำบุญก่อนกำหนด (เดิมสิ้นสุดในวันที่ 31 พฤษภาคม 2555 เวลา 18.00น.)

ผมขอปิดการร่วมทำบุญในวันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม 2555 เวลา 18.00 น.


จาก การสอบถาม หนังสือจะพิมพ์เป็นขาวดำ ปก จะเป็นปกอ่อน ราคาจะอยู่ประมาณ เล่มละ 60 - 70 บาท ส่วนรูป จะมีค่าเพลท ประมาณ 4 - 5,000 บาท ส่วนค่าพิมพ์รูป ไม่เท่าไหร่

ผมประมาณการค่าใช้จ่ายอยู่ตามนี้

1.หนังสือ 500 เล่มๆละ 70 บาท รวมเงิน 35,000 บาท
2.ค่ารูป (เพลทประมาณ 5,000 บาท) รวมเงิน 10,000 บาท
3.ส่วนค่าพิมพ์ต้นฉบับที่ผมจ้างพิมพ์ ผมจ่ายเงินในส่วนนี้เอง

รวมจำนวนเงินประมาณ 45,000 บาท

ปัจจุบันมีผู้ร่วมทำบุญมา 10,300 บาท

ในส่วนที่เหลือ(จากที่มีผู้ร่วมทำบุญมา) ผมจะร่วมทำบุญเองทั้งหมด

งานบุญนี้ เป็นงานบุญที่ผมตั้งใจมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว ตั้งใจว่าจะทำงานบุญนี้ เพื่อเผยแพร่ประวัติของ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวร) และ บทไหว้ 5 ครั้ง ให้ผู้คนที่สนใจได้ปฎิบัติ หากใครที่ไหว้ 5 ครั้งได้ทุกวัน สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวร) ท่านบอกว่า จะเจริญเหมือนชื่อของท่าน

โมทนา
sithiphong
28/4/2555

-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2552.html#post6064238-

.

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2552.html#post6064238 (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2552.html#post6064238)
.

http://board.palungjit.com/groups/%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%86-2139-page10.html?pp=30 (http://board.palungjit.com/groups/%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%86-2139-page10.html?pp=30)

.


จากเดิมที่ผมแจ้งการปิดการร่วมทำบุญ

ผมขอปิดการร่วมทำบุญในวันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม 2555 เวลา 18.00 น.


ผมขอเปลี่ยนแปลงการปิดการร่วมทำบุญดังนี้

ผมขอปิดการร่วมทำบุญในวันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม 2555 เวลา 18.00 น.


โมทนา
sithiphong

-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2555.html-
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 07, 2012, 09:09:24 am
Private Message: Re : ขอสอบถามครับ 03-05-2012, 09:05 AM
minute
สมาชิก

วันที่สมัคร: Jan 2011
ข้อความ: 48
พลังการให้คะแนน: 0


Re : ขอสอบถามครับ


เรียน คุณ Sithiphong, ครับ

ไม่ทราบว่า ยังมีพระกรุวังหน้า พิมพ์ปี 2408 ให้ร่วมทำบุญอยู่หรือไม่ หากยังมีอยู่จะต้องโอนเงินร่วมทำบุญเข้าบัญชีไหนครับ และจะต้องร่วมบุญเท่าไรครับ

อนุโมทนา สาธุครับ




ผมตอบไปว่า

ผมขอไปตอบในกระทู้พระวังหน้าฯครับ

โมทนา

-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2555.html#post6100923-
.


หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 07, 2012, 09:11:29 am
Private Message: Re : ขอสอบถามครับ 03-05-2012, 09:05 AM
minute
สมาชิก

วันที่สมัคร: Jan 2011
ข้อความ: 48
พลังการให้คะแนน: 0


Re : ขอสอบถามครับ


เรียน คุณ Sithiphong, ครับ

ไม่ทราบว่า ยังมีพระกรุวังหน้า พิมพ์ปี 2408 ให้ร่วมทำบุญอยู่หรือไม่ หากยังมีอยู่จะต้องโอนเงินร่วมทำบุญเข้าบัญชีไหนครับ และจะต้องร่วมบุญเท่าไรครับ

อนุโมทนา สาธุครับ




ผมตอบไปว่า

ผมขอไปตอบในกระทู้พระวังหน้าฯครับ

โมทนา

-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2555.html#post6100923-
.

สำหรับพิมพ์ 2408 ที่ต้องการที่จะได้ ผมมีอยู่ 4 พิมพ์นี้ที่มอบให้ผู้ร่วมทำบุญครับ

ผมให้ร่วมทำบุญองค์ละ 5,999 บาท

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2035403&d=1336357870)

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2035404&d=1336357870)

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2035405&d=1336357870)

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2035406&d=1336357870)


โดยร่วมทำบุญในวาระงานบุญ วาระบุญที่ 4 ปี 2555
วาระงานบุญที่ 4 ปี 2555

-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2555.html#post6100923-

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 08, 2012, 05:22:16 am
พระปิดตา  ของ  พระวังหน้า

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1990631&d=1333716804)

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1990633&d=1333716804)

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1990634&d=1333716804)

.

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 08, 2012, 05:26:07 am
พิมพ์ฝีพระหัตถ์พระปิ่นเกล้า ชุด 2408 ( 8 พิมพ์)

ที่นำมาลงให้ชม  4 พิมพ์

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2035396&d=1336356544)

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2035397&d=1336356544)

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2035398&d=1336356544)

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2035399&d=1336356544)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 11, 2012, 04:31:25 pm
 เมื่อวานนี้, 09:24 PM    #51093 
tawatd
สมาชิก
 

วันที่สมัคร: Feb 2006
ข้อความ: 376
พลังการให้คะแนน: 238
 ผมจึงขอเชิญชวนท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า , ท่านผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้า , ท่านที่เคยร่วมทำบุญกับผม และ ท่านที่มีความศรัทธาในสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถระ) วัดเทพศิรินทราวาส และศรัทธาในวิธีการไหว้ 5 ครั้ง มาร่วมกันทำบุญ ดังนี้
1.จัดพิมพ์รูปสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถระ) วัดเทพศิรินทราวาส
2.พิมพ์บทไหว้ 5 ครั้ง และ ประวัติสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถระ) วัดเทพศิรินทราวาส(โดยย่อ)

การเริ่มต้นในวาระบุญที่ 4
เริ่มต้นในวันที่ 20 เมษายน 2555
สิ้นสุดวันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม 2555 เวลา 18.00 น.

--------------------------------------------------------------

ผมขอร่วมทำบุญเพิ่มเติมอีก 1000 บาทและไม่ขอรับพระครับ

ปล.เจอเวปพระอาจารย์สาย ลป.โลกอุดรที่ ลป.ท่านยืนยันว่าได้สร้างพระวังหน้าไว้จำนวน 84000 องค์ ที่ สภ.อ.กุดบาก จว.สกลนคร ::: และเมื่อช่วงสงกรานต์ 55 ได้ไปกราบพระอาจารย์ที่วัดป่าด่านม้า บ้านโคกสง่า อำเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนคร เจอพระวังหน้าเก่า(ดมไม่มีกลิ่น)ขนาดใหญ่เกือบเท่าฝ่ามือจำนวนมากประดับไว้ที่ฝาผนังศาลาของวัดครับ

--------------------------------------------------------------------------------
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย tawatd : เมื่อวานนี้ เมื่อ 09:48 PM เหตุผล: เพิ่มเติม 

-http://board.palungjit.com/f179/พระวังหน้า-ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้-22445-2555.html-

.

http://board.palungjit.com/f179/ (http://board.palungjit.com/f179/)พระวังหน้า-ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้-22445-2555.html
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 13, 2012, 05:55:43 pm
จาก pm ผม

.

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ พิศดู
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ พิศดู
สวัสดี ครับคุณหนุ่มวันนี้ผมโอนเงินเข้าบัญชีคุณหนุ่มเพื่อร่วมทำบุญด้วยคนครับ ผมเคยเจอกลับคุณหน่มกับพี่อีกคนที่มากับคุณหนุ่มที่บ้านปู่ประถม เมื่อปลายปลายปีที่แล้วที่คุณหนุ่มให้ดูพระพิมพิ์ที่รักสามโลก,พระกรุพิมพ์ ไทรย้อย,เบี้ยแก้และพระหลวงปู่อีกหลายๆพิมพ์ครับ ที่ผมเคยถามขอบูชาพระพิมพ์ที่รักสามโลกไงครับ คุณหนุมพอมีให้ผมบูชาสักองค์มั๊ยครับ ขอบคุณครับ

สวัสดีครับคุณหนุ่มโทษทีเมื่อวานลืมบอกยอดโอนเงินครับ 6,000 บาทครับ

------------------------------------------------------------------------
------------------------------------------------------------------------

โมทนาบุญทุกประการ

เรื่องพิมพ์เป็นที่รักของสามโลก ปัจจุบันผมเองให้ร่วมทำบุญด้วยจำนวนเงินที่สูงมาก(500,000บาท) เนื่องจากพระพิมพ์นี้มีน้อย และ หาได้ยากมาก

หากว่า เรื่องพิมพ์ที่เมตตาสูงมากๆ ยังมีพิมพ์อื่นอีก(เช่น พิมพ์อรหันกลาง กรุเก่า เป็นต้น) เพียงแต่ผมเชื่อว่า สุดยอดของเมตตามหานิยม เป็นพิมพ์เป็นที่รักของสามโลกครับ

ความแตกต่างและความเหมือนระหว่างพิมพ์อรหันกลางกรุเก่า และ พิมพ์เป็นที่รักของสามโลก เท่าที่ทราบ ณ ปัจจุบัน

1.องค์ผู้อธิษฐานจิต เป็นองค์เดียวกัน
2.มวลสารที่ใช้สร้าง จะเป็นคนละประเภทกัน
3.ฤกษ์ในการสร้าง ก็แตกต่างกัน
4.ฤกษ์ในการอธิษฐานจิต ก็แตกต่างกัน
5.พระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวง ก็แตกต่างกัน

ความแตกต่างนี้ จะมีผลโดยตรงกับพลังอิทธิคุณของพระพิมพ์เป็นที่รักของสามโลก และ พิมพ์อรหันกลาง กรุเก่า ครับ


------------------------------------------------------------------------
------------------------------------------------------------------------

ผมส่งพิมพ์ 2408 (พิมพ์ฝีพระหัตถ์พระปิ่นเกล้าฯ) ให้นะครับ

เลือกพิมพ์ไหน แจ้งผมมาได้ครับ


-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2555.html-

.

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2555.html (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2555.html)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 13, 2012, 05:58:02 pm
นำมาให้ชมต่อ สำหรับพระวังหน้า

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1990635&d=1333716804)

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1990644&d=1333716902)

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1990645&d=1333716902)


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 29, 2012, 08:14:15 pm
นำมาให้ชม พระสมเด็จ(วังหน้า)

สอบถามท่านน้องปฐมว่า  ในชุดนี้มีเนื้อปูนสอกี่องค์ และ องค์ไหน

เป็นตามรูปไหนเอ่ย

1.  :14:

2.  :17:

3.  :37:

4. :25:

5. :03:

6. :10:

7. :16:

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2069876&d=1338255941)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 29, 2012, 08:15:09 pm
พิมพ์พุทธประวัติ

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2069877&d=1338255941)

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2069877&d=1338255941)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 29, 2012, 08:16:42 pm
.

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2056943&d=1337494258)

รูปนี้ชอบมาก

.

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ปฐม ที่ พฤษภาคม 30, 2012, 08:47:14 am
นำมาให้ชม พระสมเด็จ(วังหน้า)

สอบถามท่านน้องปฐมว่า  ในชุดนี้มีเนื้อปูนสอกี่องค์ และ องค์ไหน

เป็นตามรูปไหนเอ่ย

1.  :14:

2.  :17:

3.  :37:

4. :25:

5. :03:

6. :10:

7. :16:

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2069876&d=1338255941)

.

งามทุกองค์เลยนะครับผม   แต่ถ้าจะถามผมนะครับตาผมมันไม่แหลมคมเท่าตาของพี่ท่าน  ที่แหลมคมดุจเหยี่ยวตอบไปก็เกรงจะเสียชื่อครูอาจารย์ที่คอยชี้แนะ   ที่พูดมาไม่ใช่อะไรหรอกครับกลัวตอบผิด
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 30, 2012, 07:25:29 pm
นำมาให้ชม พระสมเด็จ(วังหน้า)

สอบถามท่านน้องปฐมว่า  ในชุดนี้มีเนื้อปูนสอกี่องค์ และ องค์ไหน

เป็นตามรูปไหนเอ่ย

1.  :14:

2.  :17:

3.  :37:

4. :25:

5. :03:

6. :10:

7. :16:

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2069876&d=1338255941)

.

งามทุกองค์เลยนะครับผม   แต่ถ้าจะถามผมนะครับตาผมมันไม่แหลมคมเท่าตาของพี่ท่าน  ที่แหลมคมดุจเหยี่ยวตอบไปก็เกรงจะเสียชื่อครูอาจารย์ที่คอยชี้แนะ   ที่พูดมาไม่ใช่อะไรหรอกครับกลัวตอบผิด

ไว้เฉลยทางโทรศัพท์ก็แล้วกันครับ

.

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 31, 2012, 06:31:28 am
มาต่อกันครับ พระปิดตา วังหน้า ชุดผ้าป่า 11 กอง

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1990657&d=1333716983)

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1990656&d=1333716983)

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1990655&d=1333716983)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 31, 2012, 09:18:13 pm
มาต่อกันครับ

พระปิดตา ชุดผ้าป่า 11 กอง

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1990652&d=1333716902)

ส่วนองค์ต่อไป  เป็นพิมพ์โลกอุดร
พิมพ์ปิดตาสี่กร

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1990653&d=1333716902)


ชุดต่อไปเป็นพิมพ์หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ครับ

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1990654&d=1333716983)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 04, 2012, 08:34:03 pm
วันนี้ ผมจะอัญเชิญพระบูชา พระอานนท์เถระเจ้า ไปให้ท่านประธานชมรมพระวังหน้า เพื่อที่จะให้ท่านประธานชมรมพระวังหน้า เป็นตัวแทนในการถวายพระบูชา พระอานนท์เถระเจ้า ที่วัด(ต่างจังหวัด เข้าใจว่า น่าจะเป็นวัดที่จังหวัดเลย)

โมทนาบุญทุกประการ

.
(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2079391&d=1338812900)


ผมได้ดำเนินการอัญเชิญพระบูชาองค์พระอานนท์เถระเจ้า ไปมอบให้กับท่านประธานชมรมพระวังหน้าเรียบร้อยแล้ว

ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่านครับ

.

-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2559.html-

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2559.html (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2559.html)
.

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 24, 2012, 12:10:52 pm
มาแจ้งความคืบหน้าเรื่องของการจัดทำหนังสือการไหว้ 5 ครั้งและประวัติสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(เจริญ)  และพิมพ์รูปสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(เจริญ)

ผมได้จัดส่งเรื่องของประวัติและการพิมพ์รูปไปให้ที่ร้านเจริญสวัสดิ์การพิมพ์เรียบร้อยแล้ว

สรุปค่าใช้จ่ายดังนี้

1.หนังสือเล่มละ 17 บาท จัดพิมพ์ 1,000 เล่ม รวมจำนวนเงิน 17,000.-บาท
2.พิมพ์รูปใบละ 8 บาท จัดพิมพ์ 2,000 ใบ  รวมจำนวนเงิน 16,000.-บาท (รูปที่จัดพิมพ์จะเคลือบ UV ให้ด้วย)

รวมจำนวนเงินทั้งสิ้น 33,000.-บาท

หมายเหตุ การพิมพ์รูป  หากพิมพ์ 1,000 ใบ ทางร้านคิดราคารูปละ 12 บาท

คาดว่า  ไม่น่าจะเกิน 2 อาทิตย์ก็จะได้แล้วครับ

เงินส่วนต่างจากที่มีผู้ร่วมทำบุญ  ท่านประธานชมรมพระวังหน้า และ ผม  จะเป็นผู้ที่ร่วมทำบุญทั้งหมดครับ

ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วย

sithiphong

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 24, 2012, 12:20:45 pm
มีเรื่องเล่าให้ฟัง

ร้านที่ผมไปสั่งพิมพ์หนังสือ  เจ้าของร้านนับถือศาสนาอิสลาม 

หลังจากคุยเรื่องงาน  ก็คุยเรื่องอื่นๆ  ผมเองก็เล่าให้ฟังว่า  สมัยก่อนตอนที่ผมอยู่ ป.7  ที่บ้านเลี้ยงหมาไว้  หมาได้ออกลูกมาหลายตัว  มีอยู่ตัวหนึ่ง  มีความผิดปกติ  และดูแล้ว อ่อนแอมาก  ไม่น่ารอด  พอลูกหมาพอคลานได้คล่อง (ลูกหมาตัวอื่นเริ่มวิ่งเล่นกันแล้ว)  ผมก็นำนมไปให้กิน  หลังจากนั้นก็ขุดหลุม  ตีหัว  พอลูกหมาตายก็ฝัง   ตอนนี้ผมมีอาการปวดหัวอยู่บ่อยๆ  แล้วผมก็คุยเรื่องอื่นๆต่อ

ผมเองก็เดินทางมาที่ทำงาน  เจ้าของร้านก็โทร.มาหาผม  พอรับสาย ทางเจ้าของร้าน(เป็นอิสลาม)  บอกว่า  เวลาทำบุญให้ผมอุทิศบุญให้กับอาการที่ผมปวดหัว และ เจ้ากรรมนายเวร  ทางเจ้าของร้านบอกว่า ผมอ่านจากหนังสือที่ลูกค้านำมาถ่ายเอกสาร

ที่นำมาเล่าให้ฟังก็เนื่องจาก  คนที่นับถือศาสนาอิสลามแท้ๆ  ยังมีความเข้าใจในความรู้ทางพุทธศาสนา  มากกว่าคนที่บอกว่า นับถือศาสนาพุทธ  อีกมาก

เหตุการพึ่งเกิดมาสดๆร้อนๆ  ผมไปร้านตอนประมาณ 10 โมงเช้า  ตอนที่เจ้าของร้านโทร.มาหาผมเวลาประมาณ 11.47 น.ครับ

นำมาเล่าสู่กันฟัง

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 02, 2012, 08:02:34 am
มีเรื่องเล่าให้ฟัง

ร้านที่ผมไปสั่งพิมพ์หนังสือ  เจ้าของร้านนับถือศาสนาอิสลาม 

หลังจากคุยเรื่องงาน  ก็คุยเรื่องอื่นๆ  ผมเองก็เล่าให้ฟังว่า  สมัยก่อนตอนที่ผมอยู่ ป.7  ที่บ้านเลี้ยงหมาไว้  หมาได้ออกลูกมาหลายตัว  มีอยู่ตัวหนึ่ง  มีความผิดปกติ  และดูแล้ว อ่อนแอมาก  ไม่น่ารอด  พอลูกหมาพอคลานได้คล่อง (ลูกหมาตัวอื่นเริ่มวิ่งเล่นกันแล้ว)  ผมก็นำนมไปให้กิน  หลังจากนั้นก็ขุดหลุม  ตีหัว  พอลูกหมาตายก็ฝัง   ตอนนี้ผมมีอาการปวดหัวอยู่บ่อยๆ  แล้วผมก็คุยเรื่องอื่นๆต่อ

ผมเองก็เดินทางมาที่ทำงาน  เจ้าของร้านก็โทร.มาหาผม  พอรับสาย ทางเจ้าของร้าน(เป็นอิสลาม)  บอกว่า  เวลาทำบุญให้ผมอุทิศบุญให้กับอาการที่ผมปวดหัว และ เจ้ากรรมนายเวร  ทางเจ้าของร้านบอกว่า ผมอ่านจากหนังสือที่ลูกค้านำมาถ่ายเอกสาร

ที่นำมาเล่าให้ฟังก็เนื่องจาก  คนที่นับถือศาสนาอิสลามแท้ๆ  ยังมีความเข้าใจในความรู้ทางพุทธศาสนา  มากกว่าคนที่บอกว่า นับถือศาสนาพุทธ  อีกมาก

เหตุการพึ่งเกิดมาสดๆร้อนๆ  ผมไปร้านตอนประมาณ 10 โมงเช้า  ตอนที่เจ้าของร้านโทร.มาหาผมเวลาประมาณ 11.47 น.ครับ

นำมาเล่าสู่กันฟัง

.


เมื่อวานตอนเย็น ผมไปรับรูปและหนังสือมาเรียบร้อยแล้ว

ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่าน ทุกๆประการครับ

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2124414&d=1341190918)

.

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: rain.... ที่ กรกฎาคม 02, 2012, 06:17:08 pm
ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่าน ทุกๆประการคร๊าฟ
:07: :07: :07: :07:
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 08, 2012, 12:44:33 pm
เมื่อวานนี้ ผมได้นำหนังสือฯไปมอบให้กับพี่ใหญ่ จำนวน 100 เล่ม และ รูป จำนวน 200 ใบ แล้วแต่พี่ใหญ่จะแจก ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่านทุกๆประการครับ

พี่ใหญ่ได้มอบล็อกเก็ต(พระอานนท์เถระเจ้า) มาให้ผม 6 องค์ บอกผมว่า ให้ผมไปแจก แต่เนื่องจากมีผู้ที่ร่วมทำบุญหลายท่านมาก ดังนั้นผมจึงตั้งกติกาไว้ดังนี้

สำหรับท่านที่ร่วมทำบุญการสร้างพระอานนท์เถระเจ้า กับ ชมรมพระวังหน้า โดยการโอนเงินร่วมทำบุญเข้าบัญชีผม ผมให้ท่านแจ้งความประสงค์ขอรับล็อกเก็ต 1 องค์ต่อ 1 ท่านที่ร่วมทำบุญ ให้PM ความประสงค์ขอรับล็อกเก็ต(และแจ้งชื่อ - นามสกุล และที่อยู่)มาที่ผม 6 ท่านแรก ผมจะมอบล็อกเก็ตให้

ระยะเวลา เริ่มตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม 2555 สิ้นสุดวันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม 2555 (เวลา 18.00 น. เวลาในเว็บพลังจิต)

หากหลังจากวันสิ้นสุด มีผู้ขอรับล็อกเก็ตไม่ถึง 6 องค์ หรือ ไม่มีผู้รับล็อกเก็ตเลย ผมขอใช้ดุลยพินิจของผมในการจัดสรรล็อกเก็ตนี้ต่อไปเองครับ

ขอขอบคุณพี่เปี๊ยก และ พี่สิทธิพร ที่ให้คำแนะนำ

โมทนาครับ

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2559.html (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2559.html)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 08, 2012, 12:45:01 pm
วันพรุ่งนี้ คิดว่าจะไปที่สำนักสงฆ์บ่อเงินบ่อทอง พนมสารคาม

ไปกราบหลวงพ่อแผน ผมว่าจะนำพระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า (ทั้งลงชาด(รักแดง) และ รักสมุ(รักสีน้ำเงิน) ประมาณ 200 องค์ ไปถวายหลวงพ่อแผน เพื่อมอบให้ผู้ที่ร่วมทำบุญในงานบุญต่างๆของ สนส.บ่อเงินบ่อทอง ผู้ที่ร่วมทำบุญ 5,000 บาท มอบให้ 1 องค์

ผมจะถ่ายรูปบรรยากาศที่ สนส.บ่อเงินบ่อทองมาให้ชมกันครับ

โมทนาครับ

-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%93%E0%B8%A3-21733-126.html-

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 09, 2012, 05:58:35 pm
หนังสือการไหว้ 5 ครั้งและประวัติ และรูปสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(เจริญ) วัดเทพศิรินทราวาส

มอบหนังสือให้พี่ใหญ่ จำนวน 100 เล่ม และรูป จำนวน 200 ใบ

ถวายหนังสือหลวงพ่อแผน วัดบ่อเงินบ่อทอง จำนวน 100 เล่ม  และ รูปจำนวน 335 ใบ

โมทนาบุญกับทุกๆท่านทุกๆประการครับ

-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7474.0.html-

-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2560.html-

-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%93%E0%B8%A3-21733-126.html-

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 09, 2012, 05:59:20 pm
วันพรุ่งนี้ คิดว่าจะไปที่สำนักสงฆ์บ่อเงินบ่อทอง พนมสารคาม

ไปกราบหลวงพ่อแผน ผมว่าจะนำพระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า (ทั้งลงชาด(รักแดง) และ รักสมุ(รักสีน้ำเงิน) ประมาณ 200 องค์ ไปถวายหลวงพ่อแผน เพื่อมอบให้ผู้ที่ร่วมทำบุญในงานบุญต่างๆของ สนส.บ่อเงินบ่อทอง ผู้ที่ร่วมทำบุญ 5,000 บาท มอบให้ 1 องค์

ผมจะถ่ายรูปบรรยากาศที่ สนส.บ่อเงินบ่อทองมาให้ชมกันครับ

โมทนาครับ

-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%93%E0%B8%A3-21733-126.html-

.

ติดตามได้ในกระทู้ ขอเชิญร่วมสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมบ่อเงินบ่อทอง อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา

-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7474.0.html-

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7474.0.html (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7474.0.html)

.

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 09, 2012, 06:04:57 pm
ตอนที่ไปเจอหน้าหลวงพ่อแผน  ท่านบอกกับผมว่า  ท่านคิดถึงผมมาประมาณครึ่งเดือนได้แล้ว  ท่านบอกว่า คิดถึงผม ผมไปช่วยบอกบุญตั้งแต่เริ่มแรก  ทั้งงานบุญหลายๆงาน เช่น ขุดบ่อน้ำบาดาล , กุฎิดิน และโรงเรียนพระปริยัติธรรม(หลังแรก)  พอเริ่มหลังที่สองที่จะรองรับกับจำนวนสามเณรที่มากขึ้นได้ อีกทั้งเป็นที่ปฎิบัติธรรมสำหรับอุบาสกและอุบาสิกาในอนาคต

ผมเองก็คิดถึงหลวงพ่อแผน  ก็เลยต้องไปกราบท่าน

มาเล่าสู่กันฟังครับ

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 06, 2012, 10:07:28 pm
.

สุขสันต์วันเกิดครับคุณชวภณ

ขอให้มีสุขภาพที่แข็งแรงตลอดไป

ด้วยรัก
sithiphong

.


หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 26, 2012, 02:13:35 pm
เมื่อวันอังคารที่ 21 สิงหาคม 2555 คุณชวภณ ได้มาหาผม ผมได้มอบพระวังหน้าให้กับคุณชวภณ เพื่อเป็นตัวแทนผม นำพระวังหน้าไปถวายเจ้าอาวาสวัดไทรย้อย ต.ไทรย้อย อ.เด่นชัย จ.แพร่ และ เจ้าอาวาสวัดแพะร่องหิน ต.แม่จั๊ว อ.เด่นชัย จ.แพร่ มอบให้ผู้ร่วมทำบุญในเรื่องของศาสนาพุทธทุกประการ หากท่านใดทำบุญ 5,000 บาท มอบให้ 1 องค์

ผมได้ถวายพระสมเด็จ Tott1 และ พระสมเด็จ Tott 4 และพิมพ์เป็นที่รักของสามโลกแด่เจ้าอาวาสทั้งสองวัดด้วย หากท่านใดมีความประสงค์ต้องการที่จะได้ ผมให้ร่วมทำบุญองค์ละ 500,000 บาท ผมจะจัดส่งให้คุณชวภณ เพื่อมอบให้ท่านที่ร่วมทำบุญและต้องการที่จะได้พระทั้งสามพิมพ์ครับ

ขอโมทนาบุญกับคุณชวภณ ที่มีส่วนในงานบุญนี้ทุกๆบุญครับ

วัดไทรย้อย ต.ไทรย้อย อ.เด่นชัย จ.แพร่

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2215057&d=1345965292)

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2215058&d=1345965292)

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2215061&d=1345965292)

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2215062&d=1345965292)

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2215063&d=1345965292)

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2215065&d=1345965292)

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2215072&d=1345965502)

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2215073&d=1345965502)

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2215074&d=1345965502)

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2215075&d=1345965502)

วัดแพะร่องหิน ต.แม่จั๊ว อ.เด่นชัย จ.แพร่

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2215077&d=1345965502)

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2215078&d=1345965502)

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2215079&d=1345965502)

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2215080&d=1345965502)

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2215081&d=1345965502)

-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2562.html-

.

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2562.html (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2562.html)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 08, 2012, 05:01:56 pm

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong อ่านข้อความ
วันนี้ผมพักร้อน หลังจากไปที่ สคบ.แล้ว ก็เลยว่าจะนำพระวังหน้า ไปส่งให้กับน้องปฐมก่อน

ส่วนรูปพระอานนท์เถระเจ้า , รูปสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(เจริญ) วัดเทพศิรินทราวาส และ หนังสือไหว้ 5 ครั้ง หากมีเวลาก็จะไปส่งที่ไปรษณีย์ให้อีกครั้ง

ไปส่งพร้อมกันไม่ไหว 4 กล่องใหญ่ และ 1 กล่องเล็ก หิ้วขึ้นสถานีรถไฟฟ้าไม่ไหวครับ


โมทนาบุญกับทุกๆท่านครับ

.-------------------------------------------------------


วันนี้ ไปส่งหนังสือไหว้ 5 ครั้งให้น้องปฐมแล้ว (2กล่อง)

หนักน๊ะครับน้องปฐม กล่องละประมาณ 11 กก.ครับ

ส่วนอีกกล่องเป็นถุงซิบครับ

ค่าจัดส่ง พี่จ่ายให้เองน๊ะครับ

โมทนาบุญกับทุกๆท่านครับ

-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2562.html#post6664522-

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 08, 2012, 05:03:39 pm
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong
สภากาชาดไทย

-http://www.redcross.or.th/home/-

โรงพยาบาลสงฆ์

-http://www.priest-hospital.go.th/donate/#-

มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์
-http://www.rajaprajanugroh.org/intro.aspx-


.

| Welcome to The Thai Red Cross Society

หน้าหลัก
.


ขอเชิญร่วมโมทนาบุญกับผม , ผบทบ.ผม และเพื่อนผมกันครับ

เงินที่เทสโก้โลตัสได้มอบค่าสินไหมให้กับผบทบ.ผม จำนวน 2,500 บาท ผมได้ทำบุญเรียบร้อยแล้ว และผมได้นำเงินที่ผมทำบุญ(ทุกวัน) ทำบุญเพิ่มเติมอีก

และเพื่อนผมร่วมทำบุญด้วยครับ
ขอโมทนาบุญกับ ผบทบ.ผม และ เพื่อนผมด้วยครับ

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2235888&d=1347029786)

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2235889&d=1347029786)

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2235890&d=1347029786)

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2235891&d=1347029786)

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2235892&d=1347029786)

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2235893&d=1347029786)

ขอเชิญร่วมโมทนาบุญกับ ผบทบ.ผม , เพื่อนผม และ ผม กันครับ

-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2562.html#post6664522-
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 19, 2012, 03:47:39 am
.
จาก pm ผม
-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2562.html-

--------------------------------------------

Private Message: อยากบูชาหลวงปู่เทพโลกอุดรครับ
vitoon-dtk
สมาชิก
ไม่ทราบว่ายังมีพระหลวงปู่เทพโลกอุดร รุ่นที่สามารถดูดสารพิษ มีให้บูชาไหมครับ เผอิญผมอยากบูชามาให้ลูกเล็กและครอบครัวได้มีไว้ป้องกันภัยครับ รบกวนติดต่อกลับที่08xxxxxxxx

สอบถามครับ
พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสกไว้ (มีการจัดสร้างในสมัยรัชกาลที่ 4 ,รัชกาลที่ 5) ไม่ทราบว่ายังมีพระรุ่นนี้อยู่ไหมครับผมอยากได้มาบูชาให้ลูกชาครับ 08xxxxxxxxวิทูรย์


--------------------------------------------

สำหรับรุ่นที่สามารถดูดสารพิษได้ ไม่มีครับ

เรื่องของการดูดสารพิษ หรือการรักษาเรื่องสารพิษ ต้องเป็นไปตามหลักการแพทย์ครับ อย่าไปหลงเชื่อเรื่องที่มีวัตถุมงคลที่สามารถดูดสารพิษได้ ปัจจุบันไม่สามารถไปหาได้ ในสมัยโบราณจะมีเฉพาะบางเรื่องเท่านั้นและเป็นเรื่องที่ไม่ร้ายแรงครับ

ส่วนเรื่องพระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ)อธิษฐานจิตในสมัยรัชกาลที่ 4 , รัชกาลที่ 5 คุณสามารถไปบูชาได้ที่ วัดบ่อเงินบ่อทอง (จ.ฉะเชิงเทรา) หรือ วัดไทรย้อย ต.ไทรย้อย อ.เด่นชัย จ.แพร่ หรือ วัดแพะร่องหิน ต.แม่จั๊ว อ.เด่นชัย จ.แพร่ ด้วยการร่วมทำบุญ ณ สถานที่ดังกล่าว ทำบุญ 5,000 บาท รับพระวังหน้า 1 องค์ครับ

โมทนาครับ
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 20, 2012, 08:30:40 pm
วันนี้ผมโทร.ไปหาน้องปฐม บอกว่าผมได้ส่งพระพุทธมหาธรรมราชา(ลอยองค์) บุนาค (มวลสารในการสร้างพระชุดนี้ เป็นมวลสารที่เหลือจากการหล่อองค์พระพุทธชินราชที่พิษณุโลก) ไปให้น้องปฐม 3 องค์ เพื่อถวายพระภิกษุผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบทางภาคใต้ 3 รูป

ผมได้ส่งให้แล้วตอนสายของวันนี้ ส่วนค่าจัดส่งผมออกเอง

ฝากน้องปฐมถวายแทนพี่ด้วย ขอโมทนาบุญทุกประการครับ

มาร่วมโมทนาบุญกับผม , ผบทบ.ผม ในการถวายพระพุทธมหาธรรมราชา(ลอยองค์) บุนาค (มวลสารในการสร้างพระชุดนี้ เป็นมวลสารที่เหลือจากการหล่อองค์พระพุทธชินราชที่พิษณุโลก) และค่าจัดส่ง และโมทนาบุญกับน้องปฐมที่ได้เป็นธุระให้ในงานบุญนี้กันครับ

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 02, 2012, 08:38:55 pm
สืบตำนาน “อุ้มพระดำน้ำ” สู่ประเพณีดีงามเมืองมะขามหวาน
-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000120933-


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   2 ตุลาคม 2555 17:05 น


(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2275992&d=1349175682)
พระพุทธมหาธรรมราชา พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเพชรบูรณ์


ในแต่ละจังหวัดของประเทศไทยมักจะมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองอันเป็นสิ่งเคารพบูชาของชาวเมืองและประชาชนทั่วไป อีกทั้งพระพุทธรูปแต่ละองค์ก็มักมีเรื่องเล่าถึงตำนานความเชื่อและอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อันปรากฏแก่ชาวเมือง และได้เล่าขานสืบต่อจากรุ่นสู่รุ่น จนกลายมาเป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาจนปัจจุบัน

ดังเช่น “พระพุทธมหาธรรมราชา” พระพุทธรูปศักสิทธิ์ของจังหวัดเพชรบูรณ์ ที่มีตำนานเล่าขานถึงความอัศจรรย์กลางลุ่มน้ำป่าสัก โดยองค์พระพุทธมหาธรรมราชาเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ไม่ปรากฎหลักฐานแน่ชัดว่าสร้างขึ้นเมื่อใด แต่รูปแบบศิลปะขององค์พระพุทธรูปเป็นแบบขอม การพบพระพุทธรูปองค์นี้เล่ากันว่า ชาวประมงคนหนึ่งได้ทอดแหหาปลาบริเวณคุ้งมะขามแฟบ ในแม่น้ำป่าสัก ในเวลานั้นมีลมพายุฝนฟ้าคะนองและกระแสน้ำวนเกิดขึ้น แต่เพียงชั่วครู่ก็เงียบหายไป น้ำที่ไหลเชียวก็หยุดนิ่ง และปรากฏเป็นพระพุทธรูปลอยน้ำขึ้นมา สร้างความอัศจรรย์ให้แก่ชาวบ้านที่พบเห็น หลังจากนั้นชาวเมืองจึงได้อัญเชิญพระพุทธรูปมาประดิษฐานที่วัดไตรภูมิ และถวายนามว่าพระพุทธมหาธรรมราชา เนื่องจากพระวรกายสวมใส่เครื่องประดับของกษัตริย์นักรบสมัยขอมโบราณ


(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2275993&d=1349175682)
ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ขณะประกอบพิธีอุ้มพระดำน้ำ

ตำนานพระพุทธรูปลอยน้ำมีมากมาย แต่เรื่องราวขององค์พระพุทธมหาธรรมราชามีความอัศจรรย์ยิ่งกว่านั้น เพราะเมื่อถึงวันสารทไทย หรือวันแรม 15 ค่ำ เดือนสิบ องค์พระก็ได้หายไปจากวัดอย่างไร้ร่องรอย และหลังจากการตามหาของชาวบ้านจึงได้พบองค์พระลอยอยู่ในแม่น้ำป่าสัก บริเวณเดียวกับที่พบพระพุทธรูปเป็นครั้งแรก

หลังจากนั้นเป็นต้นมา ทุกๆ วันแรม 15 ค่ำ เดือนสิบ เพื่อมิให้องค์พระต้องไปลอยอยู่ในแม่น้ำด้วยตัวเองอีกชาวบ้านจึงร่วมกันอัญเชิญพระพุทธมหาธรรมราชาไปประกอบพิธีดำน้ำ และได้กระทำสืบทอดกันมาด้วยความเชื่อและแรงศรัทธา จนทำให้เกิดเป็น “ประเพณีอุ้มพระดำน้ำ” ของทางจังหวัดเพชรบูรณ์สืบต่อมา

สำหรับผู้ที่จะอุ้มองค์พระดำน้ำนั้นก็คือเจ้าเมืองหรือพ่อเมือง หรือในสมัยปัจจุบันก็คือผู้ว่าราชการจังหวัด โดยจะประกอบพิธีพราหมณ์เพื่อเสี่ยงทายทิศทางในการอุ้มพระดำน้ำ นอกจากนั้นก็ยังจะทำพิธีคัดเลือกบุคคล 4 คน ซึ่งเป็นประชาชนธรรมดาจากหลากหลายอาชีพเพื่อเป็นตัวแทนของ เวียง วัง คลัง นา หรือกรมการปกครองทั้งสี่ในอดีต มาดำน้ำพร้อมผู้ว่าฯ ในตำแหน่งสี่ทิศด้านข้างท่านผู้ว่าฯ และจะดำน้ำพร้อมกันทั้งหมด 6 ครั้ง ตามประเพณีที่สืบต่อกันมา ในขณะทำพิธีชาวเมืองเพชรบูรณ์จะมาร่วมแรงร่วมใจกันอธิษฐานให้บ้านเมืองมีความสุขสงบร่มเย็น


(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2275994&d=1349175682)
พระพุทธมหาธรรมราชาองค์ใหญ่ ณ พุทธอุทยานเพชบุระ

ปัจจุบัน พระพุทธมหาธรรมราชาประดิษฐานอยู่ในมณฑปของวัดไตรภูมิ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ เฉพาะในช่วงเทศกาลสารทไทยของทุกปีที่จะถูกอัญเชิญไปประกอบพิธีอุ้มพระดำน้ำ นอกจากนั้น ชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ยังได้ร่วมกันสร้างพระพุทธมหาธรรมราชาองค์ใหญ่เพื่อเฉลิมพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสที่ทรงมีพระชนมายุครบ 84 พรรษา เมื่อปี 2554 โดยพระพุทธมหาธรรมราชาองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่ที่พุทธอุทยานเพชบุระ ใน อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์

สำหรับคำร่ำลือถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธมหาธรรมราชาองค์ใหญ่ที่ชาวบ้านได้พบนั้น นางจำนงค์สุข วีรพันธุ์ และนางสุรินทร์ มีเนตร แม่บ้านประจำพุทธอุทยานเพชบุระ ได้เล่าให้ฟังว่า หากใครปรารถนาเรื่องสุขภาพและหน้าที่การงาน ถ้ามาขอกับองค์พระก็จะสำเร็จกันทุกคน และมักจะแก้บนด้วยผลไม้ 9 อย่าง และหากวันไหนมีฝนตกหนักในยามค่ำ ชาวบ้านก็จะเห็นแสงที่ด้านหลังเศียรพระ เชื่อว่าอาจจะเป็นเพราะองค์ท่านจะชอบน้ำ เมื่อฝนมาจึงได้เกิดความอัศจรรย์ให้คนได้เห็นอยู่บ่อยครั้ง

สำหรับในปีนี้หากใครสนใจอยากมาร่วมงานประเพณีอุ้มพระดำน้ำ ก็สามารถมาได้ตั้งแต่วันที่ 13-17 ตุลาคมนี้ ณ บริเวณริมแม่น้ำป่าสัก วัดโบสชนะมาร ซึ่งนอกจากจะได้มาเห็นประเพณีแห่งความศรัทธาแล้ว ก็ยังจะได้มากราบสักการะขอพรพระพุทธมหาธรรมราชาองค์ใหญ่ และเป็นโอกาสดีที่จะได้ท่องเที่ยวในจังหวัดเพชรบูรณ์อีกด้วย

----------------------------------------------------

พระสมเด็จเบญจรงค์
-http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMU5UTXlORGc0TUE9PQ==&sectionid=-

เปิดตลับพระใหม่

(http://www.khaosod.co.th/view_resizing_images.php?filename=online/2012/12/13553248801355324894l.jpg&width=260&height=260)

พระเครื่องชุดเบญจภาคี เป็นพระในฝันที่บรรดาเซียนพระและนักสะสมนิยมพระเครื่อง ต่างเสาะแสวงหามาไว้ในครอบครอง โดยเฉพาะพระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม

ทั้งนี้พระสมเด็จเบญจรงค์ ถือเป็นพระเครื่องในตระกูลพระสมเด็จ ที่หาได้ยากยิ่งในปัจจุบัน และเป็นที่ปรารถนาครอบครองของนักสะสมนิยมพระเครื่องเป็นอย่างยิ่ง

พระครูสังฆรักษ์ประสิทธิ์ สิทธิโก หรือ พระอาจารย์ประสิทธิ์ เจ้าอาวาสวัดเพลง (อุโบสถสีชมพู) ต.ไทรม้า อ.เมือง จ.นนทบุรี ได้รับมาจากนายนพภรณ์ น้าวัฒนถาวร และครอบครัว ซึ่งเป็นนักสะสมพระเครื่องมายาวนานกว่า 50 ปี ถวายให้ท่าน เพื่อให้นำไปมอบให้ผู้ที่สนใจเช่าบูชา นำรายได้สมทบทุนบูรณะอุโบสถสีชมพู ที่ชำรุดทรุดโทรมในขณะนี้

พระสมเด็จเบญจรงค์มีเนื้อมวลสารกังไสและเนื้อมวลสารปูนสอ คล้ายพระสมเด็จวัดระฆังฯ แต่มีลักษณะที่แตกต่างจากการสร้างพระสมเด็จหลายประการ ทั้งพุทธลักษณะ พิมพ์แม่แบบ และเนื้อมวลสาร ซึ่งพระแต่ละองค์จะมีสีขาว เหลือง น้ำตาล ดำ เบญจสิริ และสีสิริมงคล ได้แก่ สีแดง สีเหลือง สีชมพู สีเขียว สีส้ม สีฟ้า สีม่วง สีขาว สีดำ ที่สำคัญใช้แร่มวลสารที่เป็นมงคลในตัวเองและหายาก เป็นส่วนผสมประกอบด้วย ผงทองนพคุณ ผงแร่รัตนชาติ ผงแร่เหล็กไหล ทำให้เป็นพระที่มากด้วยพุทธคุณ

"พุทธคุณ ซึ่งถือว่าผู้ที่มีไว้บูชาจะเป็นผู้ที่ มีบารมี อำนาจ วาสนา มีเมตตามหานิยมแก่ทุกคนทั่วไป ค้าขายประกอบธุรกิจดีมีกำไร แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ และพุทธคุณท่านจะมีพลานุภาพได้ บุคคลที่มีไว้บูชา จะต้องเป็นผู้ที่ยึดมั่นถือมั่น และกระทำแต่ความดี" พระอาจารย์ประสิทธิ์กล่าว

วัดเพลง (อุโบสถสีชมพู) สร้างมานานกว่า 20 ปี โดยพระอาจารย์ประสิทธิ์ เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน ซึ่งก่อนหน้านี้อดีตเจ้าอาวาสได้มรณภาพไป จึงไม่ได้มีการพัฒนาบูรณวัดเพลง (อุโบสถสีชมพู) อย่างต่อเนื่อง ทำให้ถาวรวัตถุภายในวัดชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา พระอาจารย์ประสิทธิ์ได้จัดหาปัจจัยเข้ามาเร่งบูรณะ

พระอาจารย์ประสิทธิ์เปิดเผยว่า อาตมา ได้เข้ามาดูแลและสร้างถาวรวัตถุให้กับทางพระพุทธศาสนา ญาติโยมเห็นถึงความตั้งใจจริง จึงได้ถวายพระสมเด็จเบญจรงค์ ซึ่งถือว่าหาได้ยาก เพื่อให้ญาติโยมได้ร่วมทำบุญเช่าบูชาสมเด็จเบญจรงค์กับวัด เพื่อให้นำปัจจัยจากการเช่าบูชาทั้งหมด ร่วมสมทบทุนบูรณะอุโบสถสีชมพู ให้กลับมาสง่างาม คู่กับพระบารมีสมเด็จพระพุทธ เจ้าหลวงบรมราชธิราช (ร.5) ต่อไป

หากท่านใดสนใจบูชาสมเด็จเบญจรงค์ ซึ่งวัดมีจำนวนจำกัด สามารถหาบูชาได้ที่วัดเพลง (อุโบสถสีชมพู) ต.ไทรม้า อ.เมือง จ.นนทบุรี

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 02, 2012, 08:39:36 pm
.
พระพุทธมหาธรรมราชา วัดไตรภูมิ จ.เพชรบูรณ์

คอลัมน์ เดินสายไหว้พระพุทธ
มานิต นีรคุปต์ / อารีย์ สีแก้ว
ที่มาหนังสือพิมพ์ข่าวสด

พระพุทธรูป พระพุทธมหาธรรมราชา เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดเพชรบูรณ์ เคียงคู่กับหลวงพ่อเพชรมีชัย พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดมหาธาตุ พระอารามหลวง จ.เพชรบูรณ์

พระพุทธมหาธรรมราชา วัดไตรภูมิ จ เพชรบูรณ์ เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะลพบุรีทรงเครื่อง สร้างด้วยเนื้อทองสำริด หน้าตักกว้าง 13 นิ้ว สูง 18 นิ้ว ไม่มีฐาน

มีพุทธลักษณะ พระพักตร์กว้าง พระโอษฐ์แบะ พระกรรณยาวย้อยจรดพระอังสะ พระเศียรทรงชฎาเทริด หรือมีกะบังหน้า ทรงสร้อยพระศอพาหุรัด ทรงประคดเป็นลายสวยงาม

สาเหตุที่พระพุทธรูปองค์นี้ มีนามว่า พระพุทธมหาธรรมราชา เนื่องจากพระวรกายสวมใส่เครื่องประดับของกษัตริย์นักรบสมัยโบราณ ชาวบ้านจึงพากันเรียกขานว่า "พระพุทธมหาธรรมราชา"

สันนิษฐานว่า พระพุทธมหาธรรมราชา สร้างในราวปี พ.ศ.1600 สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 6 กษัตริย์แห่งอาณาจักรขอม ในระหว่างที่สร้างนั้นก็ได้นิมนต์พระภิกษุที่เป็นพระเกจิอาจารย์มาปลุกเสกด้วย และยังมีเรื่องเล่ากันว่าพระเกจิอาจารย์บางรูปสามารถรู้ภาษาสัตว์ได้ หลังจากสร้างเสร็จแล้วก็มีการฉลองสมโภช 9 คืน 9 วัน

ครั้นเมื่อพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ครองราชสมบัติต่อจากกษัตริย์องค์ก่อน ก็ได้พระราชทานพระพุทธมหาธรรมราชาให้กับพ่อขุนผาเมือง เพื่อเป็นการเจริญสัมพันธไมตรี นอกจากนี้ ยังได้มอบพระราชธิดา พระนามว่า นางสุขรมหาเทวี และพระราชโอรสพระนามว่า กมรเตงอัญศรีทราทิตย์ หรือ ศรีอินทราทิตย์ ต่อมาพ่อขุนผาเมืองกับพ่อขุนบางกลางหาว ได้กอบกู้กรุงสุโขทัยคืนจากขอมสมาดโขลญได้แล้วพ่อขุนผาเมือง จึงได้สถาปนาให้พ่อขุนบางกลางหาว เป็นกษัตริย์ปกครองกรุงสุโขทัย
ทำให้นางสุขรมหาเทวีไม่พอพระทัย จึงได้โยน พระพุทธมหาธรรมราชา ลงแม่น้ำป่าสัก และพระนางก็ได้กระโดดน้ำตาย เวลาผ่านไป ได้มีชาวประมงได้ไปหาปลาเวียงแห แต่แล้วก็ได้พระพุทธมหาธรรมราชา สถานที่พบนั้น คือ วัดโบสถ์ชนะมาร (ซึ่งวัดโบสถ์ชนะมารในสมัยนั้นยังไม่ได้สร้าง) ซึ่งอยู่ในเขต อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ ชาวบ้านเห็นเป็นที่อัศจรรย์ คิดว่าพระพุทธรูปองค์นี้ คงเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ จึงช่วยกันนำขึ้นมาจากแม่น้ำป่าสัก หลังจากนั้น ได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่วัดไตรภูมิ พอถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ซึ่งตรงกับวันสารทไทย ปรากฏว่า พระพุทธมหาธรรมราชา ได้หายไปจากวัดไตรภูมิ

ทำให้เจ้าอาวาส พระลูกวัด และชาวบ้านต่างพากันค้นหา ในที่สุดก็พบ พระพุทธมหาธรรมราชา ดำผุดดำว่ายอยู่บริเวณที่พบครั้งแรก จากนั้นเป็นต้นมา เมื่อถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 จึงมีการแห่พระพุทธมหาธรรมราชาไปรอบเมือง จนถึงบริเวณหน้าวัดไตรภูมิ จากนั้นผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งเป็นตัวแทนของชาวเพชรบูรณ์ จะเป็นผู้อุ้มพระพุทธมหาธรรมราชา ลงดำน้ำทั้ง 4 ทิศ ซึ่งถือว่าเป็นสิริมงคลแก่จังหวัด จนกลายเป็นประเพณีอุ้มพระดำน้ำของจังหวัดเพชรบูรณ์ จนถึงทุกวันนี้

ชาวเมืองเพชรบูรณ์ มีความเชื่อว่า ประเพณีอุ้มพระดำน้ำ จะทำให้ข้าวกล้าในท้องนา พืชผลทางการเกษตร เจริญงอกงาม ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล จนกลายเป็นประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อใน การอัญเชิญพระพุทธมหาธรรมราชาดำน้ำ ผู้ที่อัญเชิญจะต้องเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเท่านั้น ทั้งนี้ ด้วยตำแหน่งดังกล่าว เทียบได้กับเจ้าเมืองในสมัยโบราณ ซึ่งเป็นใหญ่ที่สุดในเมือง ความเสียสละของผู้เป็นใหญ่ ในนครที่มีความห่วงใยในทุกข์สุขของราษฎรและได้ชื่อว่าเป็นผู้ทะนุบำรุงพุทธศาสนาให้มั่นคงสืบไป พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์องค์นี้ จะให้ผู้อื่นที่ไม่ใช่เจ้าเมืองอัญเชิญไปดำน้ำแทนไม่ได้ หากปีใดไม่มีการอัญเชิญพระพุทธรูปองค์ดังกล่าวไปดำน้ำ ชาวเพชรบูรณ์ เชื่อกันว่าปีนั้นบ้านเมืองจะเกิดความแห้งแล้ง ข้าวยากหมากแพง และพระพุทธรูปองค์นี้จะหายไปด้วย

ประเพณีอุ้มพระดำน้ำ ยังสะท้อนให้เห็นความร่วมมือเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของชาวเพชรบูรณ์ ที่ต้องการสืบทอดและรักษามรดกทางวัฒนธรรมอันนี้ไว้ อย่างทรงคุณค่าตลอดกาลนาน ปัจจุบัน พระพุทธมหาธรรมราชา วัดไตรภูมิ ประดิษฐานในมณฑปวัดไตรภูมิ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ เฉพาะในช่วงเทศกาลสารทไทยของทุกปี ที่จะถูกอัญเชิญไปประกอบพิธีอุ้มพระดำน้ำ

ส่วนวันปกติประดิษฐานไว้ในมณฑป เพื่อให้ประชาชนได้บูชาสัก การะอธิษฐานจิตขอพร ปรากฏเป็นที่เลื่องลือว่า ใครได้มากราบไหว้บูชาพระพุทธมหาธรรมราชา จะเกิดความสบายใจ ประสบความสำเร็จสมหวังในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ

คอลัมน์ เดินสายไหว้พระพุทธ
มานิต นีรคุปต์ / อารีย์ สีแก้ว
ที่มาหนังสือพิมพ์ข่าวสด
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 02, 2012, 09:20:40 pm
ประวัติของพระพุทธ มหาธรรมราชา

 สำหรับ  "พระพุทธมหาธรรมราชา" นั้นเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะสมัยลพบุรี  หล่อด้วยเนื้อทอง สัมฤทธิ์หน้าตักกว้าง 13 นิ้วสูง 18 นิ้ว ไม่มีฐาน  มีพุทธลักษณะ พระพักตร์กว้าง พระโอษฐ์แบะ  พระกรรณยาวย้อย จนจรดพระอังสาที่พระเศียรทรงชฎาเทริดหรือมีกระบังหน้า ทรงสร้อยพระศอพาหุรัด และประคตเป็นลวดลาย งดงามอีกทั้งแลดูน่าเกรงขามอย่างยิ่ง 
ส่วนประวัติการสร้างนั้นไม่ปรากฏเด่นชัด แต่ชาวเพชรบูรณ์มีความเชื่อว่าพ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราด (อ.หล่มสัก) ได้รับพระราชทานจาก พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 กษัตริย์แห่งนครธม ให้นำไปประดิษฐานเป็นพระคู่บ้านคู่เมือง  หลังจากทรงอภิเษกสมรสกับ พระนางสิงขรมหาเทวี แต่หลังจากพ่อขุนผาเมืองร่วมกับพ่อขุนบางกลางท่าว เจ้าเมืองบางยาง (อ.นครไทย) พระสหาย กอบกู้อิสรภาพ ให้กับคนไทย ทำให้พระนางสิงขรมหาเทวี แค้นเคืองถึงกับเผาเมืองราดจนย่อยยับจากนั้นตัดสินใจกระโดด แม่น้ำป่าสักฆ่าตัวตาย ทำให้ไพร่พลเสนาอำมาตย์ ต้องอัญเชิญพระพุทธมหาธรรมราชาลงแพล่องไปตามแม่น้ำป่าสัก เพื่อหลบหนีไฟ แต่ปรากฎว่าแม่น้ำป่าสักมีความคดเคี้ยว และกระแสน้ำไหลเชี่ยวกราก ทำให้แพที่อัญเชิญ พระพุทธมหาธรรมราชาแตก จนองค์พระจมดิ่งลงสู้ก้นแม่น้ำหายไป กระทั่งต่อมาชาวประมงได้ไปพบ จนก่อให้เกิด ตำนานมหัศจรรย์และ "ประเพณีอุ้มพระดำน้ำ" ขึ้น

-https://sites.google.com/site/praphenixumphradana/prawati-khxng-phraphuthth-mha-thrrm-racha-


https://sites.google.com/site/praphenixumphradana/prawati-khxng-phraphuthth-mha-thrrm-racha
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 07, 2012, 08:08:54 am
มีเรื่องเล่าให้ฟัง  สดๆร้อนๆ  เมื่อคืนนี้
จากที่ผบทบ.ผม ดูรายการย้อนหลัง  รายการคนอวดผี
-http://www.fdlite.com/sc/04/%E0%B8%95%E0%B8%84-55-%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%9C%E0%B8%B5-3-%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1-2555/-

จาก สำรอง Part 1
(khonaudphee20121003001)

ดูรายการตอนที่มีผู้หญิงนอนเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่โรงพยาบาล  พอดูจบตอน  ก็กดหยุด(pause)  ไปอาบน้ำ  ผบทบ.ไปอาบน้ำห้องน้ำชั้นบน  ผมอาบน้ำห้องน้ำชั้นล่าง

ตอนที่ผมอาบน้ำเสร็จ  กำลังจะออกมา  ได้ยินเสียงจากเครื่องคอมฯ เป็นการกดการเล่นต่อ  ทั้งๆที่ ผบทบ.ผมอยู่ชั้นบน  ผมพึ่งออกมาจากห้องน้ำ

มาเล่าสู่กันฟังครับ

-http://www.fdlite.com/sc/04/%E0%B8%95%E0%B8%84-55-%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%9C%E0%B8%B5-3-%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1-2555/-

-http://www.dailymotion.com/video/xu28l7_khonaudphee20121003001_shortfilms?start=4

.

http://www.fdlite.com/sc/04/%E0%B8%95%E0%B8%84-55-%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%9C%E0%B8%B5-3-%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1-2555/ (http://www.fdlite.com/sc/04/%E0%B8%95%E0%B8%84-55-%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%9C%E0%B8%B5-3-%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1-2555/)


khonaudphee20121003001 (http://www.dailymotion.com/video/xu28l7)

.




หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 20, 2012, 09:27:10 am
.

25-09-2012, 07:59 PM     
#51237

ประวัติ หลวงปู่ม่น ธัมมจิณโณ วัดเนินตามาก

-http://www.itti-patihan.com/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%99-%E0%B8%98%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%93%E0%B9%82%E0%B8%93-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81.html-

พระครูสุจิณธรรมวิมล หรือ หลวงปู่ม่น ธัมมจิณโณ อดีตพระเกจิอาจารย์ชื่อ ดังวัดเนินตามาก ต.โคกเพลาะ อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี นามเดิม นายม่น นามสกุล วิญญาณ เกิดเมื่อวันเสาร์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 5 ปีจอ ตรงกับวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2453 โยมบิดาชื่อ มา โยมมารดาชื่อ แดง มีพี่น้องรวมกัน 3 คน คือ 1.นางเทียม เอมเปีย 2.หลวงปู่ม่น 3.นางย้อย โบราณ

ในวัยเยาว์ โยมบิดามารดา นำไปฝากเรียนกับพระที่วัดใกล้บ้าน ศึกษาอักขระสมัย เนื่องจากท่านเป็นผู้มีจิตใจอ่อน โยน โอบอ้อมอารี สนใจใฝ่เรียน มีความพยายามและอดทนเป็นเยี่ยม ทำให้พระอาจารย์ได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้อย่างเต็มกำลัง จนมีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น ด้านอักษร การแพทย์แผนโบราณ และการช่าง

เนื่องจากท่านเป็นบุตรชายคนเดียว จึงถือเป็นหลักของครอบครัว ขยันขันแข็ง ประกอบสัมมาอาชีพช่วยเหลือโยมบิดามารดาทำให้ครอบครัวมีฐานะมั่นคงในเวลาต่อมา มีที่นาทำกินเป็นของตนเองจำนวนพอสมควร

จนกระทั่งอายุได้ 29 ปี ท่านจึงได้ขอบรรพชาอุปสมบท ในวันเสาร์ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 5 ตรงกับวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2481 ณ พัทธสีมาวัดโคกเพลาะ ต.โคกเพลาะ อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี

มี พระครูสังวรศีลาจารย์ วัดหลวงพรหมาวาส ต.วัดหลวง อ.พนัสนิคม เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูพิพัฒน์ธรรมคุณ วัดโบสถ์ ต.วัดโบสถ์ อ.พนัสนิคม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระครูอาจารสุนทร วัดโคกเพลาะ ต.โคกเพลาะ อ.พนัส นิคม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาทางธรรมว่า "ธัมมจิณโณ"

เมื่อได้อุปสมบทแล้ว ได้พำนักที่วัดโคกเพลาะระยะหนึ่ง จึงได้ย้ายไปจำพรรษา ที่วัดเนินตามาก เริ่มศึกษาเล่าเรียนคันธุระและวิปัสสนาธุระอย่างจริงจัง เคร่งครัด ประกอบคุณงามความดีตามความเหมาะสมของเพศสมณะ ท่านเป็นพระที่เคร่งครัดในธรรมวินัยตั้งแต่เริ่มอุปสมบท ศึกษาปริยัติธรรม เข้าสอบนักธรรมชั้นตรี ชั้นโท ตามลำดับ มีความสามารถในการจำและสวดพระปาฏิโมกข์ได้ จนมาทำการค้นคว้าด้วยตนเอง ฝึกการปฏิบัติจิตและกัมมัฏฐาน

เพื่อหลุดพ้นอย่างจริงจังเมื่ออุปสมบทได้ 5 พรรษา จึงได้ออกธุดงค์เพื่อหาประสบการณ์ไปตามสถานที่ต่างๆ เช่น พระพุทธบาท สระบุรี วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เป็นต้น

ท่านเล่าว่า ไปศึกษาวิชาธรรมกายกับ หลวงพ่อสด วัดปาก น้ำ (สมัยที่หลวงพ่อสดยังมีชีวิตอยู่) แต่เมื่อปฏิบัติได้ 7 วัน ท่านบอกว่าไม่ถูกกับจริต เลยขอลาไปที่อื่นต่อมาภายหลังท่านได้ฝากตนเป็นศิษย์ พระสมุห์บุญยิ่ง วิริโย ที่วัดเขาบางพระ อ.ศรีราชา รับคำแนะนำสั่งสอนในการปฏิบัติอันเป็นไปด้วยธาตุและจริตเป็นหนึ่งเดียวกัน

นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาด้านเวชกรรมจากพระสมุห์บุญยิ่งเพิ่มเติมจนมีความเชี่ยวชาญ ต่อมา พระสมุห์บุญยิ่ง ได้ชักชวนหลวงปู่ม่น ออกธุดงค์หาสถานที่ปฏิบัติวิเวก เป็นสัปปายะ จนได้พบถ้ำจักรพงศ์ บนเกาะสีชัง ทั้งอาจารย์และศิษย์จึงได้พำนักอยู่ ณ ที่นี้ จนหลวงปู่ม่นเกิดความก้าวหน้าทางจิตเป็นอย่างมาก

ปี 2490 พระอธิการกี่ เจ้าอาวาสวัดเนินตามาก ได้ลาสิกขา ทางคณะสงฆ์ และอุบาสก อุบาสิกาได้มาอาราธนานิมนต์หลวงปู่ม่น กลับไปเป็นเจ้าอาวาสปกครองวัด สั่งสอนภิกษุ สามเณร และ อุบาสก อุบาสิกาสืบต่อไป เมื่อหลวงปู่ม่นเป็นเจ้าอาวาส ได้ปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นอย่างดี ทำนุบำรุงวัดเนินตามากให้เจริญรุ่งเรือง สร้างถาวรวัตถุ เช่น อุโบสถ ศาลาการเปรียญ กุฏิ วิหาร ฯลฯ

นอกจากนี้ ยังช่วยพัฒนาท้องถิ่น ทำถนน ไฟฟ้า สร้างโรงเรียน ตั้งกองทุนมูลนิธิต่างๆ ให้การศึกษาแก่พระภิกษุ สามเณร สอนนักธรรม พระนวกะ ส่งเข้าสอบนักธรรมสนามหลวงทุกปี หลวงปู่ม่นเป็นที่เคารพศรัทธาของบรรดาศิษย์ เสียสละ สร้างคุณงามความดี ให้แก่พระพุทธศาสนาและท้องถิ่น เป็นที่ยอมรับของสาธุชนทั่วไป ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดหลวงปู่ม่นมากที่สุด คือ พลเอกเชษฐา ฐานะจาโร ส่วนเหรียญที่มีประสบการณ์มากที่สุด คือ "รุ่นเจริญพร" ซึ่งเป็นรุ่นที่นายทหารชั้นผู้ใหญ่บูชาติดตัวมากที่สุด

ปี 2529 คณะสงฆ์ได้พิจารณาขอพระครูชั้นโทที่ พระครูสุจิณธรรมวิมล ปี 2523 หลวงปู่ม่นได้อาพาธด้วยโรคอัมพฤกษ์ เข้า รับการรักษาที่โรงพยาบาลพนัสนิคม เกือบหายเป็นปกติ จึงกลับมาพักฟื้นที่วัด จนกระทั่งปี 2537 ท่านอาพาธหนักอีกครั้ง เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสมิติเวช กรุงเทพฯ เป็นเวลาถึง 8 เดือน จึงสามารถกลับมาอยู่วัด

หลังจากนั้น ท่านก็อาพาธเป็นๆ หายๆ เข้าออกโรงพยาบาลสมิติเวช กระทั่งมรณภาพด้วยอาการสงบ ณ โรงพยาบาลสมิติเวช เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 ต.ค.2541 เวลา 18.00 น. สิริอายุได้ 88 ปี 5 เดือน 24 วัน พรรษา 60

ประวัติ หลวงปู่ม่น ธัมมจิณโณ วัดเนินตามาก
-http://www.itti-patihan.com/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%99-%E0%B8%98%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%93%E0%B9%82%E0%B8%93-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81.html-

http://www.itti-patihan.com/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%99-%E0%B8%98%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%93%E0%B9%82%E0%B8%93-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81.html (http://www.itti-patihan.com/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%99-%E0%B8%98%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%93%E0%B9%82%E0%B8%93-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81.html)
.----------------------------------


-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2562.html-

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2562.html (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2562.html)

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 29, 2012, 08:45:47 pm
มีงานบุญมาแจ้งให้ทราบในเบื้องต้น 2 งานบุญ

งานบุญแรก เป็นงานที่ชาวชมรมพระวังหน้า และ พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ในคณะ รวมทั้งสมาชิกเว็บพลังจิต ได้ร่วมบุญกันมาแล้ว นั่นก็คือ "งานมหากฐินของวัดใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้" ส่วนเงินที่ร่วมทำบุญ คงเป็นบัญชีส่วนตัวของผม(ผมจะไปเปิดบัญชีใหม่ เพื่องานบุญนี้โดยเฉพาะ หากว่าท่านใดไม่แน่ใจ สงสัย ลังเล ไม่เชื่อใจในตัวผม ก็ไม่ต้องร่วมทำบุญ) รายละเอียดผมจะมาแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

งานที่สอง เป็นงานที่ท่านเจ้าอาวาสวัดห้วยมงคล จัดงานขึ้นประมาณวันที่ 2 - 10 ธันวาคม 2555 รายละเอียดผมจะมาแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

รายละเอียดงานบุญทั้งสองงาน ผมรอรายละเอียดจากพี่แอ๊วอยู่ครับ

โมทนา
sithiphong

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 29, 2012, 08:46:20 pm
เรียนท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้าทุกๆท่าน

ผมจะเปิดประชุมเรื่องวาระงานบุญนี้ หลังจากที่ผมได้รับทราบรายละเอียดจากพี่แอ๊วแล้ว

ตอนนี้รบกวนคิดกันไปก่อนว่า ชมรมพระวังหน้า จะร่วมทำบุญในวาระงานบุญนี้หรือไม่ และหากร่วมทำบุญ จะทำบุญด้วยจำนวนเงินเท่าไหร่ครับ

ขอบคุณครับ
sithiphong

ส่วนพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่าน หากท่านจะร่วมทำบุญ โปรดแจ้งให้ผมทราบด้วยครับ

-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2566.html-
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 01, 2012, 09:33:38 pm
สำหรับสาเหตุที่ผมไปพิพิธภัณฑ์เครื่องเบญจรงค์ ต.ดอนไก่ดี อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร ก็เนื่องจากผมไปซื้อเครื่องเบญจรงค์ ไปบรรจุพระวังหน้า นำไปบรรจุที่วัดป่าโพธิ์ชัยวนาราม (ประเทศไทย > ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ > จ.ชัยภูมิ > อ.แก้งคร้อ > ต.หลุบคา)

ท่านน้องปฐมและครอบครัว , คุณธวัชและครอบครัว , คุณเฉลิมพลและครอบครัว , ผมและครอบครัว ได้ร่วมทำบุญบรรจุพระวังหน้าที่พระเจดีย์ของวัดป่าโพธิ์ชัยวนาราม , ถวายพระวังหน้าแก่พระภิกษุสงฆ์ และ สามเณรที่วัด และ มอบให้ท่านที่ร่วมบุญสร้างพระเจดีย์และงานบุญต่างๆของวัด

ผมได้ให้ท่านประธานชมรมพระวังหน้า เป็นผู้ที่นำพระวังหน้าไปถวายพระภิกษุที่วัดป่าโพธิ์ชัยวนาราม ขอโมทนาบุญกับท่านประธานชมรมพระวังหน้าด้วยครับ

มาร่วมโมทนาบุญกับ ท่านน้องปฐมและครอบครัว , คุณธวัชและครอบครัว , คุณเฉลิมพลและครอบครัว , ผมและครอบครัว กันครับ

-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2566.html#post6926889-

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2566.html#post6926889 (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2566.html#post6926889)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 03, 2012, 09:37:20 pm
สำหรับสาเหตุที่ผมไปพิพิธภัณฑ์เครื่องเบญจรงค์ ต.ดอนไก่ดี อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร ก็เนื่องจากผมไปซื้อเครื่องเบญจรงค์ ไปบรรจุพระวังหน้า นำไปบรรจุที่วัดป่าโพธิ์ชัยวนาราม (ประเทศไทย > ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ > จ.ชัยภูมิ > อ.แก้งคร้อ > ต.หลุบคา)

ท่านน้องปฐมและครอบครัว , คุณธวัชและครอบครัว , คุณเฉลิมพลและครอบครัว , ผมและครอบครัว ได้ร่วมทำบุญบรรจุพระวังหน้าที่พระเจดีย์ของวัดป่าโพธิ์ชัยวนาราม , ถวายพระวังหน้าแก่พระภิกษุสงฆ์ และ สามเณรที่วัด และ มอบให้ท่านที่ร่วมบุญสร้างพระเจดีย์และงานบุญต่างๆของวัด

ผมได้ให้ท่านประธานชมรมพระวังหน้า เป็นผู้ที่นำพระวังหน้าไปถวายพระภิกษุที่วัดป่าโพธิ์ชัยวนาราม ขอโมทนาบุญกับท่านประธานชมรมพระวังหน้าด้วยครับ

มาร่วมโมทนาบุญกับ ท่านน้องปฐมและครอบครัว , คุณธวัชและครอบครัว , คุณเฉลิมพลและครอบครัว , ผมและครอบครัว กันครับ

-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2566.html#post6926889-

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2566.html#post6926889 (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2566.html#post6926889)

.

09:30 PM

ท่านประธานชมรมพระวังหน้า พึ่งถึงวัดเมื่อกี้นี้เองครับ

โมทนาบุญกับท่านประธานชมรมพระวังหน้าด้วยครับ


http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2566.html#post6935968 (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2566.html#post6935968)

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 04, 2012, 02:54:50 pm
งานกฐินที่จะนำไปทอดที่วัดใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

ผมรอรายละเอียดจากพี่แอ๊วอยู่

กำหนดการทอดกฐิน ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2555

ส่วนบัญชีที่ใช้โอนเงินร่วมทำบุญ  ผมไปเปิดบัญชีมาแล้ว

บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 878-0-14368-7
ชื่อบัญชีนายสิทธิพงศ์ สงวนศักดิ์
บมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาเดอะมอลล์ ท่าพระ

กติกาในการร่วมทำบุญและขอรับใบอนุโมทนาบัตร

1.เมื่อโอนเงินเข้าบัญชี  ขอให้ท่านแจ้งชื่อ - นามสกุล และที่อยู่มาให้ผมทาง PM (ข้อความส่วนตัว)

2.แจ้งจำนวนเงินที่ร่วมทำบุญ

เมื่องานบุญมหากฐินในครั้งนี้เรียบร้อยแล้ว  พี่แอ๊วจะเป็นผู้ที่จัดส่งใบอนุโมทนาบัตรให้ทุกๆท่านที่ร่วมทำบุญมหากฐินในครั้งนี้

หากท่านไม่แจ้งชื่อ - นามสกุล และที่อยู่มาให้ผมทาง PM ผมขอสงวนสิทธิ์ในการจัดส่งใบอนุโมทนาบัตรให้กับท่าน

3.การร่วมทำบุญ  จะมีการร่วมทำบุญกับวัด และหรือ สำนักสงฆ์ และหรือ ที่พักสงฆ์  ซึ่งใบอนุโมทนาบัตรที่ท่านขอไว้  ทางคณะผู้ดำเนินการอาจจะนำไปให้กับทางสำนักสงฆ์ และหรือ ที่พักสงฆ์เป็นผู้ออกใบอนุโมทนาบัตรให้  จะทำให้ท่านไม่สามารถนำใบอนุโมทนาบัตรที่ทางสำนักสงฆ์ และหรือ ที่พักสงฆ์เป็นผู้ออกใบอนุโมทนาบัตรให้นั้น นำไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้ประจำปี  แต่หากใบอนุโมทนาบัตรที่ออกโดยวัด  ท่านสามารถที่จะนำไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้ประจำปีได้

ในการดำเนินการไปขอใบอนุโมทนาบัตรนั้น  ทางหน่วยทหารในพื้นที่จะเป็นผู้ที่นำรายชื่อไปให้กับทางวัด และหรือ สำนักสงฆ์ และหรือ ที่พักสงฆ์ เป็นผู้ที่ออกใบอนุโมทนาบัตร

เงินที่ทุกๆท่านร่วมทำบุญ  พี่แอ๊วแจ้งว่า  จะนำเงินที่ทุกๆท่านที่ร่วมทำบุญเฉลี่ยทำบุญในทุกๆวัด  แต่การขอใบอนุโมทนาบัตร  จะออกเป็นยอดเงินที่ท่านร่วมทำบุญ (ในการดำเนินการไปขอใบอนุโมทนาบัตรนั้น  ทางหน่วยทหารในพื้นที่จะเป็นผู้ที่นำรายชื่อไปให้กับทางวัด และหรือ สำนักสงฆ์ และหรือ ที่พักสงฆ์ เป็นผู้ที่ออกใบอนุโมทนาบัตร  ซึ่งท่านจะได้ใบอนุโมทนาบัตรเพียงวัดเดียว และหรือ สำนักสงฆ์แห่งเดียว และหรือ ที่พักสงฆ์แห่งเดียว)

เมื่องานบุญมหากฐินนี้เสร็จสิ้นลง  ผมจะปิดบัญชีนี้ครับ

ระยะเวลาในการร่วมทำบุญ  ตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน 2555  สิ้นสุดวันที่ 19 พฤศจิกายน 2555

ขอให้ท่านอ่านรายละเอียดด้วยครับ

รายชื่อผู้ร่วมทำบุญในครั้งนี้
1.คุณสิทธิพงศ์ สงวนศักดิ์และครอบครัว 500 บาท
2.คุณปฐม สุขใส และครอบครัว 350 บาท
3.คุณเฉลิมพล อินทพัฒน์ และครอบครัว 350 บาท
4.คุณธวัช ดุลย์พิจารย์ และครอบครัว 150 บาท

โมทนา
sithiphong
4/11/2555

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 04, 2012, 03:49:39 pm
กฐินตกค้าง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปี 2554

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong
เรียน ท่านประธานชมรมพระวังหน้า , ท่านรองประธานชมรมพระวังหน้า ,ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า , ท่านผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้า และท่านผู้ที่เคยร่วมทำบุญกับผมทุกๆท่าน

ผมขอแจ้งวาระงานบุญ กฐินตกค้าง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปี 2554

จากจดหมายของพี่แอ๊วส่งมาให้ผมและคุณPinkcivil

เรียนคุณหนุ่ม และ คุณPinkcivilค่ะ


พี่ ส่งรายละเอียดงานบุญใหญ่มาให้ค่ะ ต้องขอโทษด้วยที่ล่าช้า ตามสภาพค่ะตอนนี้ ต้องคอยเช็คสถานการณ์น้ำเป็นระยะๆ เพราะบ้านอยู่ในเขตเสี่ยงเช่นกัน

ปี นี้ผู้คนลำบากกันมาก พระสงฆ์ก็ยิ่งลำบากใหญ่ แต่ถึงฤดูกาลกฐิน จะมากจะน้อยอย่างไรก็คงต้องดำรงคงไว้ในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชนนะคะ เราก็เลือกทำบุญที่มีอานิสงส์มากก็แล้วกันค่ะ


ปี นี้มีมหากฐินโดยเสด็จพระราชกุศลมาให้พวกเราได้ร่วมบุญกันเหมือนปีที่แล้วค่ะ คือกฐินที่ไม่มีเจ้าภาพจองใน 3 จว.ชต. และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถท่านได้เป็นองค์อุปถัมภ์อยู่


ถือ ว่าเราได้ทำบุญอันยิ่งใหญ่กันนะคะ ปีนี้มีวัดตกค้างอยู่ 84 วัด ( เท่าพระชนมายุของในหลวงพอดีเลยนะคะ ) วัดทั้งหมดมีพระจำพรรษาครบ 5 รูป และพระสงฆ์อยู่ครบไตรมาส ถือว่าถวายกฐิน


เป็น การสืบต่องานพระพุทธศาสนาตามพระธรรมวินัยนะคะ พระที่ท่านจำพรรษาอยู่ใน 3 จว.ชต. นี้ถือว่าท่านต้องมีกำลังใจสูงมาก เพราะเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อชีวิต และขาดแคลนไปทุกสิ่งทุกอย่าง


เพราะ คนเข้าไปทำบุญได้ยาก ปีหนึ่งก็คงมีโอกาสที่จะได้รับปัจจัยไทยธรรมสักครั้งให้สมบูรณ์แบบ เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์เป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าภัตตาหารตลอดทั้งปี รวมทั้งค่ายารักษาโรคด้วย


พี่ ขอรบกวนคุณหนุ่ม ในการบอกกล่าวข่าวบุญนี้ไปยังพี่ๆ น้องๆ เพื่อนๆ ทั้งหลายนะคะ เหลือเวลาร่วมบุญแค่ประมาณ 10 วันเท่านั้นเองค่ะ !!!!


กราบอนุโมทนา สาธุนะคะ

------------------------------------------------------------

ขอเชิญร่วมมหากุศลเป็นเจ้าภาพร่วมโดยเสด็จพระราชกุศลทอดกฐินตกค้างจำนวน ๘๔ วัด ใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้

ด้วย ในกาลกฐินประจำปีพุทธศักราช ๒๕๕๔ นี้ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้ทรงมอบหมายให้กรมราชองครักษ์ดำเนินการสำรวจวัดที่ยังไม่มีเจ้าภาพจองทอด กฐิน ใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ซึ่งพบว่ามีวัดจำนวนทั้งสิ้น ๘๔ วัดยังไม่มีเจ้าภาพจองทอดกฐินในปีนี้ อันเป็นผลกระทบจากการก่อความไม่สงบในพื้นที่ดังกล่าว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐิน จำนวน ๘๔ ไตร พร้อมพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวนหนึ่ง ให้กรมราชองครักษ์ คณะทำงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และพุทธศาสนิกชนผู้มีจิตศรัทธาในบวรพุทธศาสนา อัญเชิญไปถวายวัดทั้ง ๘๔ วัด ซึ่งมีพระสงฆ์จำพรรษาครบจำนวน ๕ รูป และอยู่ครบถ้วนไตรมาส


ใน การนี้พระครูปภัสสรวรพินิจ เจ้าอาวาสวัดห้วยมงคล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และพระธวัชชัย ชาครธัมโม ( พระอาจารย์นิล ) ได้รับเป็นเจ้าภาพร่วมในการอัญเชิญผ้าพระกฐินพระราชทาน และการจัดจตุปัจจัยไทยธรรมถวายแด่วัดทั้ง ๘๔ วัด เพื่อร่วมโดยเสด็จพระราชกุศลในครั้งนี้ด้วย


จึง ขอเรียนเชิญท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายร่วมเป็นเจ้าภาพมหากุศลครั้งนี้ โดยผู้รับเป็นเจ้าภาพสามารถรับเป็นเจ้าภาพได้ทั้ง ๘๔ วัด โดยร่วมบุญตามกำลังศรัทธา หรือ รับเป็นเจ้าภาพกองกฐินกองละ ๓,๐๐๐ บาท จำนวน ๕๐๐ กอง โดยในเบื้องต้น ทางวัดห้วยมงคลจะได้จัดปัจจัยถวายแต่ละวัด วัดละ ๑๐,๐๐๐ บาท พร้อมผ้าไตรจีวร หากมีผู้ทำบุญมาเกินกว่าจำนวนที่ได้ตั้งไว้ ทางวัดจะจัดปัจจัยเฉลี่ยเท่าๆกันถวายแด่วัดทั้งหมดจำนวน ๘๔ วัด ทั้งนี้เจ้าภาพสามารถร่วมทำบุญโดยเสด็จพระราชกุศลในการร่วมถวายผ้าพระกฐิน พระราชทาน และถวายผ้ากฐินสำหรับทุกวัดด้วย


สำหรับรายละเอียดและกำหนดการทอดกฐินมหากุศลในครั้งนี้ มีดังนี้


1. วันอาทิตย์ที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๔
เวลา ๐๙.๓๐ น. ถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดวังโต้ อ. นาทวี จ. สงขลา จำนวน ๒๐ วัด
เวลา ๑๓.๐๐ น. ถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดมุจลินทร์ จ. ปัตตานี จำนวน ๓๐ วัด


2. วันจันทร์ที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๔
เวลา ๐๙.๓๐ น. ถวายผ้าพระกฐินที่วัดเขากง จ. นราธิวาส จำนวน ๓๔ วัด

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1730249&d=1319085881)

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1730250&d=1319085881)

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1730251&d=1319085881)

รายชื่อวัด (ตามไฟล์แนบ ผมได้มาเพียง 80 วัดครับ)

-http://board.palungjit.com/f104/%E0%B8%81%E0%B8%90%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87-3-%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89-%E0%B8%9B%E0%B8%B5-2554-a-311583.html-

-http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2347.html#post5260322-
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 04, 2012, 03:50:54 pm
ความหมายของกฐินและทอดกฐิน


ตำนานกฐิน


โดย หลวงวิจิตรวาทการ
ที่มา http://wangnoi.net/krathin/thamnankrathin.htm (http://wangnoi.net/krathin/thamnankrathin.htm)
**********
๑. ความหมายของคำต่าง ๆ ที่ใช้ในเรื่องกฐิน

คำว่า “กฐิน” แปลตามศัพท์ว่ากรอบไม้สำหรับขึงผ้าเย็บจีวรของพระภิกษุ กรอบไม้ชนิดนี้ไทยเราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “สะดึง” การเย็บจีวรต้องตัดผ้าออกเป็นชิ้น ๆ แล้วเอามาเย็บประสานกันเข้า ให้มีรูปเหมือนเนื้อที่ในนาปลูกข้าว ในการเย็บประสานเช่นนั้น ในครั้งกระโน้นเมื่อช่างเย็บยังไม่ชำนาญพอ และไม่มีเครื่องจักรจะใช้ได้อย่างเวลานี้ ก็ต้องขึงผ้าลงบนกรอบไม้ก่อนแล้วจึงเย็บ กรอบไม้หรือสะดึงนี้ คำบาลีเรียกว่า “กฐิน”

การที่ผู้มีศรัทธาเอาผ้าไปถวายพระภิกษุในภายหลังวันออกพรรษา ซึ่งเรียกกันว่า “ทอดกฐิน” นั้น ตามหลักการ พระภิกษุจะต้องเอาผ้านั้นมาตัดเย็บย้อมให้เสร็จภายในวันเดียวกัน การที่ต้องเย็บย้อมจีวรผืนใหญ่ให้เสร็จในวันเดียวนั้น เป็นงานหนักมาก และในครั้งกระโน้นเป็นการจำเป็นที่สุด ที่ต้องใช้ไม้สะดึงขึงผ้าในเวลาเย็บ ฉะนั้นพิธีการถวายผ้าอย่างนี้จึงเรียกว่า “กฐิน”

พิธีการของกฐินมี ๒ ขั้น
ขั้นที่ ๑ ผู้มีศรัทธานำเอาผ้าไปถวายพระภิกษุ ในระหว่างวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ คือภายหลังวันออกพรรษา จนถึงวันเพ็ญเดือน ๑๒ เรียกว่า “ทอดกฐิน”

ขั้นที่ ๒ ในวันเดียวกันนั้น พระภิกษุนำเอาผ้า ซึ่งมีผู้ถวายนั้นไปตัดเป็นจีวร หรือเครื่องนุ่งห่มอย่างใดอย่างหนึ่ง เย็บย้อมให้เสร็จภายในวันเดียว แล้วทำพิธีอนุโมทนาเรียกว่า “กรานกฐิน”

ในการทอด “กฐิน” นั้น ผู้หนึ่งผู้ใดจะทอดในวัดใด ตามธรรมดาต้องบอกกล่าวให้พระภิกษุในวัดนั้นทราบล่วงหน้าเพื่อมิให้คนอื่นมาทอดซ้ำ พิธีบอกล่วงหน้าเช่นนี้ เรียกว่า “จองกฐิน” ถ้าไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า ไปทอดเฉยๆ เรียก “กฐินจร” หรือ “กฐินโจร”


การทอดกฐินมี ๒ อย่าง คือ
๑. การทำอย่างง่าย คือเอาผ้าที่สำเร็จแล้วไปถวายพระ อย่างที่ทำกันอยู่ในบัดนี้ เรียกว่า “มหากฐิน”

๒. การทำอย่างยาก คือเก็บฝ้ายมา ปั่น กรอ สาง ทำเป็นเส้นด้าย ทอเป็นผ้า ตัด เย็บ ย้อม ให้เสร็จภายในวันเดียว เรียกว่า “จุลกฐิน”

พิธีทอดกฐิน ตามหลักการให้ถวายผ้าแก่ภิกษุรูปเดียว ฉะนั้นเมื่อเวลาเอาไปถวายภิกษุรูปหนึ่งต้องเสนอนามภิกษุผู้ใหญ่ ที่คณะสงฆ์จะเลือกให้เป็นผู้รับผ้านั้นเพื่อทำพิธีกรานกฐินต่อไป การเสนอนามเช่นนี้เรียกว่า “อปโลกนกรรม”

เมื่อเสนอนามแล้ว และไม่มีผู้คัดค้าน พระภิกษุสงฆ์ ๒ รูป ต้องมาสวดประกาศออกนามภิกษุที่จะให้เป็นผู้รับ เพื่อเสนอขออนุมัติที่ประชุมสงฆ์ให้เป็นผู้รับ และกรานกฐิน พิธีสวดประกาศเช่นนี้เรียกว่า “ญัตติกรรม” คือการเสนอญัตติให้พิจารณาเป็นวาระที่ ๑

เมื่อได้เสนอญัตติให้พิจารณาเป็นวาระที่ ๑ แล้ว ไม่มีผู้คัดค้าน พระภิกษุ ๒ รูป ก็สวดประกาศซ้ำ มีข้อความคล้ายคลึงกันกับที่สวดในวาระแรก การสวดประกาศซ้ำนี้เรียกว่า “ญัตติทุติยกรรม” คือ เสนอญัตติให้พิจารณาเป็นวาระที่ ๒ และเมื่อไม่มีผู้ใดคัดค้านก็เป็นอันให้พระภิกษุรูปที่ได้รับเสนอนามนั้นเป็นผู้รับผ้าไป และพิธีทอดกฐินก็หมดลงเพียงนั้น ต่อไปเป็นพิธีกรานกฐิน

พิธีกรานกฐิน เป็น “สังฆกรรม” คือเป็นกิจของสงฆ์โดยเฉพาะ คฤหัสถ์ไม่เกี่ยวข้อง พิธีกรานกฐินต้องทำอย่างไร จะกล่าวโดยพิสดารต่อไปข้างหน้า

เมื่อได้ทำพิธีกรานกฐินโดยถูกต้องแล้ว ก็ถือว่าเป็นความดีความชอบอันหนึ่งในทางศาสนา และเป็นความดีความชอบของพระสงฆ์เอง (เหตุไรจึงถือเป็นความดีความชอบจะได้อธิบายภายหลัง) เพื่อตอบแทนความดีความชอบอันนี้ พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงบัญญัติว่า พระสงฆ์หมู่ใดได้กรานกฐินแล้ว ทำผิดวินัยบางข้อไม่มีโทษ การที่พระภิกษุสงฆ์ได้รับความยกเว้นพิเศษในทางวินัย เพราะเหตุที่ได้กรานกฐินแล้วเช่นนี้ เรียกว่า “อานิสงส์กฐิน”

อานิสงส์กฐิน คือการที่ได้รับยกเว้นความผิดวินัยบางข้อดังกล่าวมาข้างต้นนั้น มีกำหนดให้เพียง ๔ เดือน พัน ๔ เดือนไปแล้วก็หมดเขตอานิสงส์ คือไม่ได้รับความยกเว้นต่อไปอีก

แต่ภายในเวลา ๔ เดือนนั้นอาจมีเหตุบางอย่าง (ซึ่งจะกล่าวโดยพิศดารในภายหลัง) มาทำให้หมดเขตอานิสงส์ คือ หมดเขตที่จะได้รับความยกเว้นในความผิดวินัยก่อนครบกำหนด ๔ เดือนได้ การที่มีเหตุใดเหตุหนึ่งมากระทำให้เขตอานิสงส์หมดอายุลงเช่นนี้ เรียกว่า “กฐินเดาะ”

๒. ประวัติของกฐิน
ประวัติของกฐินนั้นมีอยู่ว่า ครั้งหนึ่งภิกษุชาวเมืองปาฐา ประมาณ ๓๐ รูป มีความประสงค์จะไปเฝ้าพระพุทะเจ้า ณ เมืองสาวัตถี จึงพากันเดินทางจากเมืองปาฐาไปสาวัตถี แต่พอไปถึงเมืองสาเกต ซึ่งอยู่ในระยะทางอีก ๖ โยชน์จะถึงสาวัตถี ก็เผอิญถึงวันเข้าพรรษาภิกษุเหล่านั้นจะเดินทางต่อไปไม่ได้ จึงจำพรรษาอยู่ในเมืองสาเกต ในระหว่างจำพรรษามีความร้อนรนอยากเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยเร็ว พอออกพรรษาก็ออกเดินทางจากเมืองสาเกต ในเวลานั้นฝนยังตกมากอยู่ ทางเดินก็เป็นโคลนตมเปรอะเปื้อน เมื่อมาถึงเมืองสาวัตถีได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงทราบความลำบากของพระภิกษุเหล่านั้น จึงทรงอนุญาตให้พระภิกษุทำพิธีกรานกฐิน ในระยะเวลาภายหลังวันออกพรรษาแล้วไป ๑ เดือน ภิกษุที่ได้ทำพิธีกรานกฐินแล้ว ย่อมได้รับอานิสงส์ คือความยกเว้นในการผิดวินัย ๕ ประการ เป็นเวลา ๔ เดือน (หมดเขตในวันเพ็ญเดือนสี่) อานิสงส์หรือความยกเว้นทั้ง ๕ ประการนั้น คือ

๑. เข้าบ้านได้โดยไม่ต้องลาภิกษุด้วยกัน
๒. เดินทางโดยไม่ต้องเอาไตรจีวรไปด้วย
๓. ฉันอาหารโดยล้อมวงกันได้
๔. เก็บอาหารที่ยังไม่ต้องการใช้ ไว้ได้
๕. ลาภที่เกิดขึ้น ให้เป็นของภิกษุผู้จำพรรษาในวัดนั้น ซึ่งได้กรานกฐินแล้ว

ที่กล่าวนี้เป็นประวัติของกฐิน ซึ่งเก็บความจากพระบาลี แต่ข้อความที่กล่าวข้างต้นนี้ยังเข้าใจยาก และไม่แลเห็นว่าเหตุผลเนื่องถึงกันอย่างไร ฉะนั้นจึงต้องอธิบายขยายความสักเล็กน้อย

ตามหลักวินัย ภิกษุจะเข้าบ้านต้องบอกลากัน จะเดินทางต้องเอาไตรจีวรไปให้ครบชุดเวลาฉันอาหารต้องนั่งเรียงกัน จะล้อมวงกันไม่ได้ จึงที่เหลือใช้เก็บไว้ได้เพียง ๑๐ วัน ลาภที่เกิดขึ้นต้องให้แก่ภิกษุผู้มีอาวุโส คือที่บวชนานที่สุด ข้อบังคับเหล่านี้ ย่อมเป็นความลำบากแก่ภิกษุทั้งหลายเป็นอันมาก เช่นการเข้าบ้านต้องบอกลากันเสมอไปนั้น ถ้าเผอิญอยู่คนเดียว ไม่มีใครจะรับลา ก็เข้าบ้านไม่ได้ การเดินทางต้องเอาไตรจีวรไปให้ครบ หมายความว่าต้องเอาผ้านุ่งห่มไปให้ครบชุด คือ สบง (ผ้านุ่ง) จีวร (ผ้าห่ม) สังฆาฏิ (ผ้าซ้อนผ้าห่ม) ในครั้งก่อน ภิกษุไม่มีโอกาสได้ผ้าบางเนื้อละเอียดอย่างสมัยนี้เสมอไป ถ้าไปได้ผ้าเปลือกไม้หรือผ้าอะไรชนิดหนา การที่จะนำเอาไปด้วยนั้นไม่เป็นการง่าย ภิกษุ ๓๐ รูปที่เดินทางมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ก็ได้รับความลำบากในเรื่องนี้มาแล้ว การห้ามฉันอาหารล้อมวง และบังคับให้นั่งเรียงกันฉันอาหารนั้น ถ้ามีอาหารน้อยก็ทำความลำบาก เราทราบอยู่แล้วว่าการรับประทานแยกกันย่อมปลีกอาหารมากกว่าการรับประทานรวมกัน เรื่องนี้ภิกษุ ๓๐ รูป ที่เดินทางมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ก็คงได้รับประสบความลำบากเรื่องนี้มา ในระหว่างทางเหมือนกัน เรื่องจีวรที่ไม่ต้องการใช้นั้น ในชั้นเดิมเป็นความมุ่งหมายของพระพุทธเจ้า ที่จะไม่ให้พระภิกษุเก็บสะสมทรัพย์สมบัติ ถ้ามีอะไรเหลือใช้ จะเก็บไว้ไม่ได้ ต้องให้คนอื่นเสีย โดยเฉพาะเรื่องจีวรนี้มีบัญญัติว่า ถ้ามีจีวรเหลือใช้เก็บไว้ได้เพียง ๑๐ วัน พัน ๑๐ วันไปแล้วต้องสละให้คนอื่นไป ถ้าจะไม่สละต้องทำพิธี ๒ อย่าง อย่างหนึ่งเรียกว่า “วิกัป” คือไปทำความตกลงกับภิกษุอีกรูปหนึ่งให้เป็นเจ้าของจีวรด้วยกัน แล้วมอบให้ตนเก็บไว้ อีกอย่างหนึ่งเรียกว่า “อธิษฐาน” คือถ้าจีวรที่เหลือใช้นั้นใหม่กว่าของที่ใช้อยู่ ก็เอามาใช้เสีย แล้วสละของเก่าให้คนอื่นไป การห้ามกวดขันไม่ให้เก็บผ้าจีวรไว้เกินต้องการเช่นนี้ ในบางครั้งก็เกิดความลำบากเช่น ถูกขโมยลักจีวร ซึ่งเคยถูกกันมามากในครั้งพุทธกาล หรือมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งที่ทำให้จีวรนั้นใช้ไม่ได้ ก็ไม่มีสำรองเสียเลย ในเรื่องลาภที่เกิดขึ้นในวัดนั้น มีข้อบังคับกวดขันว่าให้ได้แก่ภิกษุที่มีพรรษายุกาลมากที่สุด คือที่บวชก่อนคนอื่น ในเรื่องนี้ทำความเดือดร้อนหลายครั้ง เช่นภิกษุอยู่ในวัดเดียวกัน อดอยากมาด้วยกัน มีผู้เอาของมาถวาย และในวันที่มีผู้เอาของมาถวายนั้น เผอิญมีภิกษุจรมาพักอยู่ในวัดนั้นด้วย และภิกษุจรมีพรรษายุกาลมากกว่าภิกษุที่อยู่ในวัด ลาภนั้นก็ต้องตกเป็นของภิกษุที่จรมา ส่วนภิกษุที่อยู่ในวัดก็ไม่มีส่วนได้

ความขัดข้องลำบากเกิดจากทางวินัยอย่างนี้ พระพุทธเจ้าได้ทรงเห็นมานานแล้ว แต่วินัยของพระพุทธเจ้าไม่เหมือนกฎหมาย คือกฎหมายที่บัญญัติไว้แล้ว ถ้ารู้สึกว่าไม่ดีก็ประกาศเลิก และบัญญัติใหม่ ส่วนวินัยของพระพุทธเจ้าประกาศเลิกไม่ได้ ได้แต่งดชั่วคราว หรือมีข้อยกเว้นพิเศษให้ เมื่อได้ทรงเห็นความลำบากของภิกษุที่มาเฝ้า ทรงเห็นชัดว่าควรให้ความยกเว้นในเรื่องหอบหิ้วเอาไตรจีวรมา และทรงยกเว้นในข้อนี้ ก็เลยทรงประทานข้อยกเว้นอื่น ๆ ที่ทรงดำริมาแล้วแต่ก่อนด้วย จึงเกิดมีข้อยกเว้นขึ้น ๕ ข้อดังกล่าวมาข้างต้น

แต่การที่งดใช้วินัยชั่วคราว หรือให้ความยกเว้นเป็นพิเศษนั้น จะให้กันเฉยๆ ไม่ได้ พระภิกษุต้องได้ทำความดีอันใดอันหนึ่ง จึงจะได้รับความยกเว้น ฉะนั้นการที่จะให้ภิกษุได้รับความยกเว้นในข้อนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติให้มีพิธีกรานกฐิน พิธีกรานกฐินต้องถือเป็นความดีความชอบอย่างหนึ่ง เพราะการทำจีวรในสมัยนั้นไม่ใช่ของง่าย ๆ ตามปกติเวลามีการทำจีวร ภิกษุย่อมได้รับความยกเว้นในวินัยหลายข้ออยู่แล้ว เมื่อต้องมาทำจีวรโดยรีบร้อนให้เสร็จในวันเดียว และตกเป็นสมบัติของคณะสงฆ์อีกเช่นนี้ ก็ควรเป็นความชอบที่พึงได้รับความยกเว้นในวินัย

ประเพณีทอดกฐิน : ตำนาน ความหมาย และอานิสงส์
หลังจากวันออกพรรษาเป็นเวลา ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ จนถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ หรือจำง่ายๆ ว่า ตั้งแต่วันตักบาตรเทโวจนถึงวันลอยกระทง เป็นช่วงเวลาที่เรียกว่า "เทศกาลกฐิน" . . .

ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันที่ ๑๙ ตุลาคม -๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ เมื่อพูดถึง “กฐิน” คนส่วนใหญ่คงคุ้นเคยกับซองทำบุญที่ได้รับในช่วงนี้ แต่เรื่องราวเกี่ยวกับ กฐิน ว่ามีตำนาน ความหมาย อย่างไร เชื่อว่าคงรู้กันไม่มากนัก ดังนั้น กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอนำมาเสนอให้ได้ทราบ ดังต่อไปนี้


ตำนานความเป็นมา
มีตำนานเล่าว่าในครั้งพุทธกาล ครั้งหนึ่งภิกษุชาวเมืองปาฐา ประมาณ ๓๐ รูป ถือธุงดงควัตรอย่างยิ่งยวด มีความประสงค์จะเฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งขณะนั้นประทับอยู่กรุงสาวัตถี จึงพากันเดินทางไป พอไปถึงเมืองสาเกตก็เป็นวันเข้าพรรษาพอดี จึงต้องจำพรรษาอยู่ที่นั่นตามพระวินัย ครั้นออกพรรษาปวารณาแล้วก็รีบเดินทางไปเฝ้า ระหว่างทางฝนตก หนทางเป็นโคลนตม ต้องบุกลุยไปจนถึงกรุงสาวัตถี ได้รับความลำบากมาก ครั้งได้เฝ้าฯ พระพุทธองค์ทรงมีปฏิสันถารถึงเรื่องจำพรรษาและการเดินทาง ภิกษุเหล่านั้นก็ได้ทูลถึงความตั้งใจที่จะมาเฝ้า และความยากลำบากในการเดินทางให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าจึงทรงมีพระพุทธานุญาตให้พระภิกษุผู้จำพรรษาครบถ้วนแล้วกรานกฐินได้ และจะได้รับอานิสงส์จากพระวินัยบางข้อ (กรานกฐิน เป็นพิธีฝ่ายภิกษุที่ได้รับมอบผ้ากฐิน แล้วนำผ้าที่ได้ไปตัดเย็บย้อมทำเป็นจีวรผืนใดผืนหนึ่ง)

ความหมาย
คำว่า "กฐิน" มีความหมายเกี่ยวเนื่องถึง ๔ ประการ คือ
๑. เป็นชื่อของกรอบไม้ อันเป็นแม่แบบสำหรับทำจีวร ที่อาจเรียกว่า "สะดึง" เนื่องจากสมัยพุทธกาล การทำจีวรให้มีลักษณะตามกำหนดกระทำได้โดยยาก จึงต้องทำกรอบไม้สำเร็จรูปไว้ให้เป็นอุปกรณ์ในการทำผ้านุ่ง/ผ้าห่ม/ผ้าห่มซ้อนที่รวมเรียกว่า จีวร ผืนใดผืนหนึ่งก็ได้ (ผ้านุ่งพระ เรียกสบง /ผ้าห่ม เรียกจีวร /ผ้าห่มซ้อน เรียกสังฆาฎิ) โดยพระสงฆ์จะช่วยกันทำโดยอาศัยแม่แบบนี้ เมื่อทำเสร็จและพ้นกำหนดกาลแล้วก็จะรื้อไม้แม่แบบเก็บไว้ใช้ในปีต่อๆ ไป การรื้อไม้แม่แบบเพื่อเก็บไว้ใช้ในโอกาสหน้านี้เรียกว่า "เดาะ" หรือ "กฐินเดาะ" (เดาะกฐินก็เรียก)
๒. เป็นชื่อของผ้า ที่ถวายแก่สงฆ์เพื่อทำจีวรตามแบบหรือกรอบไม้นั้น และต้องถวายตามกำหนดเวลา ๑ เดือนดังกล่าว ซึ่งผ้านี้จะเป็นผ้าใหม่ ผ้าเก่าฟอกสะอาดหรือผ้าบังสุกุล (ผ้าที่เขาทิ้งแล้ว) ก็ได้ ผู้ถวายจะเป็นคฤหัสถ์หรือภิกษุ สามเณรก็ได้ ถวายแก่สงฆ์แล้วเป็นอันใช้ได้
๓. เป็นชื่อของบุญกิริยา คือ การทำบุญถวายผ้ากฐินเพื่อให้สงฆ์ทำเป็นจีวร ซึ่งต้องเป็นพระสงฆ์ผู้จำพรรษาอยู่ในวัดใดวัดหนึ่งครบ ๓ เดือน ทั้งนี้ เพื่อสงเคราะห์ผู้ประพฤติชอบให้มีผ้านุ่งหรือผ้าใหม่ผลัดเปลี่ยนของเก่าที่จะขาดหรือชำรุด การทำบุญถวายผ้ากฐินหรือที่เรียกกันติดปากว่า "ทอดกฐิน" ก็คือการทอดหรือวางผ้าลงไป แล้วกล่าวคำถวายในท่ามกลางสงฆ์ และต้องทำในเวลาที่กำหนด ๑ เดือนที่ว่า ถ้าทำก่อนหรือหลังไม่ถือว่าเป็นกฐิน
๔. เป็นชื่อของสังฆกรรม คือ กิจกรรมของสงฆ์ที่จะต้องมีการสวดประกาศขอรับความเห็นชอบจากที่ประชุมสงฆ์ในการมอบผ้ากฐินให้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง


ประเภทของกฐิน
แยกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ คือ ๑. กฐินหลวง ๒. กฐินราษฎร์
๑. กฐินหลวง มีประวัติว่าเมื่อพระพุทธศาสนาได้แพร่หลายมาประดิษฐานในประเทศไทย และประชาชนชาวไทยได้นับถือพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ การทอดกฐินก็ได้กลายเป็นประเพณีของบ้านเมืองมาโดยลำดับ และพระเจ้าแผ่นดินผู้ปกครองบ้านเมืองก็ได้ทรงรับเรื่องกฐินเป็นพระราชพิธี อย่างหนึ่ง การที่พระเจ้าแผ่นดินทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเกี่ยวกับกฐินเป็นพระราชพิธีดังกล่าว เป็นเหตุให้เรียกกันว่า กฐินหลวง ดังนั้น วัดใดก็ตามไม่ว่าวัดหลวงหรือวัดราษฎร์ที่พระเจ้าแผ่นดินเสด็จพระราชดำเนินไปทรงถวายผ้าพระกฐินแล้ว ก็เรียกว่า กฐินหลวงทั้งสิ้น แต่สมัยต่อมากฐินหลวงได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามภาวะการณ์ของบ้านเมือง เช่น ประชาชนมีศรัทธา เจริญรอยตามพระราชศรัทธาของพระเจ้าแผ่นดินและได้รับพระกรุณาให้ถวายผ้าพระกฐินตามควรแก่ฐานะ กฐินหลวงปัจจุบันจึงได้แบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้
๑.๑ กฐินที่กำหนดเป็นพระราชพิธี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินไปถวายผ้าพระกฐินด้วยพระองค์เอง หรือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ หรือองคมนตรีเป็นผู้แทนพระองค์ไปถวายเป็นประจำ ณ วัดสำคัญๆ ปัจจุบันมี ๑๖ วัด เช่น วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ วัดสุทัศน์เทพวราราม วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นต้น
๑.๒ กฐินต้น หมายถึง กฐินที่พระเจ้าแผ่นดินเสด็จพระราชดำเนินไปถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดที่มิใช่วัดหลวงและมิได้เสด็จไปอย่างเป็นทางการหรืออย่างเป็นพระราชพิธีแต่เป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลส่วนพระองค์
๑.๓ กฐินพระราชทาน เป็นกฐินที่พระเจ้าแผ่นดินพระราชทานผ้าของหลวงแก่ผู้ที่กราบบังคมทูลขอพระราชทานไปถวายยังวัดหลวง ที่นอกเหนือไปจากวัดสำคัญ ๑๖ วัดที่กำหนดไว้ เหตุที่มีกฐินพระราชทาน ก็เพราะปัจจุบันวัดหลวงมีจำนวนมาก จึงเปิดโอกาสให้กระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ตลอดจนคณะบุคคลต่างๆ ที่สมควรขอพระราชทานผ้าพระกฐินไปถวายได้ ซึ่งกฐินดังกล่าวส่วนใหญ่ก็คือกฐินที่หน่วยงานราชการต่างๆ นำไปถวายนั่นเอง ทั้งนี้ ผู้ที่จะรับพระราชทานผ้ากฐินไปถวาย ณ วัดหลวงวัดใดต้องติดต่อไปยังกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ตามระเบียบเพื่อเป็นการจองไว้ก่อนด้วย

๒. กฐินราษฎร์ หมายถึง กฐินที่ราษฎรหรือประชาชนผู้มีศรัทธานำผ้ากฐินของตนไปถวายตามวัดต่างๆ ยกเว้นวัดหลวง ๑๖ วัดที่กล่าวไว้แล้ว ซึ่งจะมีชื่อเรียกต่างๆ ตามลักษณะของการทอด คือ
๒.๑ กฐินหรือมหากฐิน เป็นกฐินที่ราษฎรนำไปทอด ณ วัดใดวัดหนึ่งที่ตนศรัทธาเป็นการเฉพาะ ผ้าที่เป็นองค์กฐินจะเป็นผืนเดียวหรือหลายผืนก็ได้ จะเย็บแล้วหรือไม่ก็ได้ แต่ปัจจุบันส่วนใหญ่จะเป็นผ้าสำเร็จรูปแล้ว และนิยมถวายของอื่นๆ ที่เรียกว่า บริวารกฐิน ไปพร้อมกับองค์กฐินด้วย เช่น เครื่องอุปโภค บริโภคของพระภิกษุสงฆ์ อย่างหมอน โอ่งน้ำ เตา ไม้กวาด จอบ เสียบ อาหาร ยาต่างๆ เป็นต้น
๒.๒ จุลกฐิน เป็นกฐินที่ต้องทำด้วยความรีบเร่ง เดิมเรียกแบบไทยๆ ว่า กฐินแล่น เจ้าภาพที่จะทอดกฐินเช่นนี้ได้ต้องมีพวกและกำลังมาก เพราะต้องเริ่มตั้งแต่ปั่นฝ้ายเป็นด้าย ทอด้ายให้เป็นผ้า ตัดผ้าและเย็บผ้าเป็นจีวร ย้อมสี และต้องทอดภายในวันนั้น และพระสงฆ์ก็ต้องกรานและอนุโมทนาในวันนั้นๆ ด้วย เรียกว่าเป็นกฐินที่ต้องทำทุกอย่างให้เสร็จภายในวันเดียว
๒.๓ กฐินสามัคคี เป็นกฐินที่มีเจ้าภาพหลายคนร่วมกัน ไม่จำเป็นว่าใครบริจาคมากน้อย แต่มักตั้งเป็นคณะทำงานขึ้นมาดำเนินการและมีหนังสือบอกบุญไปยังผู้อื่น เมื่อได้ปัจจัยมาเท่าไรก็จัดผ้าอันเป็นองค์กฐิน รวมทั้งบริวารไปทอด ณ วัดใดวัดหนึ่งที่จองไว้ ซึ่งกฐินชนิดนี้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เพราะนอกจากทำบุญกฐินแล้ว ยังนำปัจจัยที่เหลือไปช่วยทำนุบำรุงวัด เช่น ก่อสร้างศาสนสถาน บูรณะปฎิสังขรณ์โบสถ์ เจดีย์ เป็นต้น
๒.๔ กฐินตกค้าง หรือ กฐินโจร กล่าวคือในท้องถิ่นที่มีวัดมากๆ อาจจะมีวัดตกค้างไม่มีใครไปทอด จึงมีผู้มีจิตศรัทธาเสาะหาวัดอย่างนี้ แล้วนำกฐินไปทอด ซึ่งมักจะเป็นวันใกล้สิ้นเทศกาลกฐินหรือวันสุดท้าย จึงเรียกว่า กฐินตกค้าง หรืออาจเรียกว่า กฐินโจร เพราะกิริยาอาการที่ไปทอดอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว จู่ๆ ก็ไปทอด ไม่บอกกล่าวล่วงหน้าให้วัดรู้เพื่อเตรียมตัวคล้ายโจรบุก ซึ่งกฐินแบบนี้ต่างกับกฐินอื่นคือ ไม่มีการจองล่วงหน้า และจะทอดเฉพาะวัดที่ยังไม่มีใครทอด จะทอดหลายวัดก็ได้ และสามารถเอาของไทยธรรมที่เหลือจากวัดที่ไม่ได้ทอด (กรณีไปหลายวัด) ไปจัดเป็นผ้าป่า เรียกว่า "ผ้าป่าแถมกฐิน" ก็ได้


อานิสงส์หรือผลดีของการทอดกฐิน
การทอดกฐิน ถือเป็นการทำบุญพิเศษที่ทำได้เพียงปีละครั้ง และต้องอยู่ภายในกำหนดเวลาหนึ่งเดือนตามพุทธบัญญัติ ดังนั้น อานิสงส์หรือผลดีจึงมีหลายประการ กล่าวคือ ได้สงเคราะห์พระสงฆ์ผู้จำพรรษาให้ได้ผ้านุ่งห่มใหม่ ได้ชื่อว่าทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา สร้างกุศลจิตแก่ผู้ทำบุญเพราะทำด้วยความเลื่อมใสศรัทธา อีกทั้งการทอดกฐินยังก่อให้เกิดความสามัคคี เป็นการร่วมมือกันทำคุณงามความดี และหากการถวายกฐินนั้น มีส่วนในการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม ก็จะได้ชื่อว่ามีส่วนช่วยรักษาศาสนสถานและศาสนวัตถุให้ยั่งยืนต่อไป



-ความหมายของกฐินที่เกี่ยวข้องกันดังนี้@:-


-กฐินที่เป็นชื่อของกรอบไม้กรอบไม้แม่แบบสำหรับทำจีวร ซึ่งอาจเรียกว่าสะดึงก็ได้เนื่องจากในครั้งพุทธกาลการทำจีวรให้มีรูปลักษณะตามที่กำหนดกระทำได้โดยยากจึงต้องทำกรอบไม้สำเร็จรูปไว้เพื่อเป็นอุปกรณ์สำคัญในการทำเป็นผ้านุ่งหรือผ้าห่มหรือผ้าห่มซ้อนที่เรียกว่าจีวรเป็นส่วนรวม ผืนใดผืนหนึ่งก็ได้ในภาษาไทยนิยมเรียก ผ้านุ่ง ว่า สบง, ผ้าห่ม ว่า จีวร และ ผ้าห่มซ้อน ว่าสังฆาฏิ

-กฐินที่เป็นชื่อของผ้าหมายถึงผ้าที่ถวายให้เป็นกฐินภายในกำหนดกาล 1 เดือน นับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ผ้าที่จะถวายนั้นจะเป็นผ้าใหม่หรือผ้าเทียมใหม่ เช่น ผ้าฟอกสะอาด หรือผ้าเก่า หรือผ้าบังสุกุลคือผ้าที่เขาทิ้งแล้วและเป็นผ้าเปื้อนฝุ่นหรือผ้าที่มีผู้ถวายจะเป็นคฤหัสถ์ก็ได้เป็นภิกษุหรือสามเณรก็ได้ ถวายแก่สงฆ์แล้วก็เป็นอันใช้ได้

-กฐินที่เป็นชื่อของบุญกิริยาคือการทำบุญคือการถวายผ้ากฐินเป็นทานแก่พระสงฆ์ผู้จำพรรษาอยู่ในวัดใดวัดหนึ่งครบไตรมาสเพื่อสงเคราะห์ผู้ประพฤติปฏิบัติชอบให้มีผ้านุ่งหรือผ้าห่มใหม่จะได้ใช้ผลัดเปลี่ยนของเก่าที่จะขาดหรือชำรุด การทำบุญถวายผ้ากฐินหรือที่เรียกว่า ทอดกฐินคือทอดหรือวางผ้าลงไปแล้วกล่าวคำว่าถวายในท่ามกลางสงฆ์ เรียกได้ว่าเป็นกาลทาน คือการถวายก่อนหน้านั้น หรือหลังจากนั้นไม่เป็นกฐินท่านจึงถือโอกาสทำได้ยาก

-กฐินที่เป็นชื่อของสังฆกรรมคือกิจกรรมของสงฆ์ก็จะต้องมีการสวดประกาศขอรับความเห็นชอบจากที่ประชุมสงฆ์ในการมอบผ้ากฐินให้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเมื่อทำจีวรสำเร็จแล้วด้วยความร่วมมือของภิกษุทั้งหลายก็จะได้เป็นโอกาสให้ได้ช่วยกันทำจีวรของภิกษุรูปอื่น ขยายเวลาทำจีวรได้อีก 4 เดือนทั้งนี้เพราะในสมัยพุทธกาลการหาผ้า การทำจีวรทำได้โดยยากไม่ทรงอนุญาตให้เก็บสะสมผ้าไว้เกิน ๑๐ วันแต่เมื่อได้ช่วยกันทำสังฆกรรมเรื่องกฐินแล้วอนุญาตให้แสวงหาผ้าและเก็บไว้ทำเป็นจีวรได้จนตลอดฤดูหนาว คือจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 4


- ที่มาของประเพณีทอดกฐิน @:-


ในสมัยพุทธกาล ภิกษุชาวเมืองปาไฐยรัฐจำนวน ๓๐ รูป เดินทางมาเฝ้าพระศาสดา แต่ไม่ทันวันเข้าพรรษา จึงจำพรรษา ณ เมืองสาเกตุในระหว่างทาง พอออกพรรษาฝนยังตกชุกอยู่ ภิกษุเหล่านั้นก็เดินทางมาเข้าเฝ้าพระศาสดาด้วยความลำบาก
ระยะนั้นมีฝนตกชุก หนทางที่เดินชุ่มไปด้วยน้ำ เป็นโคลนเป็นตม ต้องบุกต้องลุยมาจนกระทั่งถึงกรุงสาวัตถีพระศาสดาตรัสถามถึงความเป็นอยู่และการเดินทางภิกษุเหล่านั้นจึงกราบทูลให้ทรงทราบจากนั้นพระพุทธองค์ทรงมีพุทธานุญาตให้มีการถวายผ้ากฐินแก่ภิกษุทั้งหลายผู้จำพรรษาครบถ้วนไตรมาสโดยกำหนดระยะเวลา คือ นับจากวันออกพรรษาตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เป็นระยะเวลา 1 ดือน กฐินจึงได้ชื่อว่าเป็นกาลทาน





- ความพิเศษของกฐินทาน @:-



ในปีหนึ่ง แต่ละวัดสามารถรับกฐินได้เพียงครั้งเดียว นอกจานั้นแล้วกฐินทานก็มีความพิเศษแตกต่างจากทานอย่างอื่น ได้แก่


1. จำกัดประเภททาน คือ ต้องถวายเป็นสังฆทานเท่านั้น จะถวายเฉพาะเจาะจงภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเหมือนทานอย่างอื่นไม่ได้
2. จำกัดเวลา คือ ต้องถวายภายในระยะเวลา 1 เดือน นับแต่วันออกพรรษาเป็นต้นไป
3. จำกัดงาน คือ พระภิกษุที่กรานกฐินต้องตัด เย็บ ย้อม และครองให้เสร็จภายในวันที่กรานกฐิน
4. จำกัดไทยธรรม คือ ผ้าที่ถวายต้องถูกต้องตามลักษณะที่สงฆ์กำหนดไว้
5. จำกัดผู้รับ คือ พระภิกษุผู้รับกฐิน ต้องเป็นผู้ที่จำพรรษาในวัดนั้นโดยไม่ขาดพรรษา และมีจำนวนไม่น้อยกว่า 5 รูป
6. จำกัดคราว คือ วัดๆ หนึ่งรับกฐินได้เพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น
7. เป็นพระบรมพุทธานุญาตทานอย่างอื่นทายกทูลขอให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตเช่นมหาอุบาสิกาวิสาขาทูลขออนุญาตถวายผ้าอาบน้ำฝนแต่ผ้ากฐินนี้พระองค์ทรงอนุญาตเอง นับเป็นพระพุทธประสงค์โดยตรง






- อานิสงส์จากการทำบุญทอดกฐิน @:-


1. ทำให้เกิดมาในตระกูลที่ดี มีสัมมาทิฐิ
2. ทำให้ได้ลักษณะที่งดงามสมส่วน
3. ทำให้มีผิวพรรณงดงาม
4. ทำให้มีทรัพย์สมบัติมาก ไม่ลำบากในการแสวงหาทรัพย์
5. เมื่อละโลกแล้วย่อมไปบังเกิดในสวรรค์


-http://www.suttivari.8k.com/katin.htm-

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 04, 2012, 03:51:35 pm
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๘ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘
ปริวาร
กฐินเภท

ว่าด้วยกฐินไม่เป็นอันกรานเป็นต้น

[๑๑๒๔] กฐินใครไม่ได้กราน? กฐินใครได้กราน? กฐินไม่เป็นอันกรานด้วยอาการอย่างไร? กฐินเป็นอันกรานด้วยอาการอย่างไร?



กฐินไม่เป็นอันกราน

[๑๑๒๕] คำว่า กฐินใครไม่ได้กราน นั้น ความว่า กฐิน บุคคล ๒ พวก คือภิกษุผู้ไม่ได้กราน ๑ ภิกษุผู้ไม่อนุโมทนา ๑ ไม่เป็นอันกรานกฐิน บุคคล ๒ พวกนี้ ไม่เป็น อันกราน.



กฐินเป็นอันกราน

[๑๑๒๖] คำว่า กฐินใครได้กราน นั้น ความว่า กฐิน บุคคล ๒ พวกนี้ คือภิกษุผู้กราน ๑ ภิกษุผู้อนุโมทนา ๑ เป็นอันกราน กฐิน บุคคล ๒ พวกนี้ เป็นอันกราน.



เหตุที่กฐินไม่เป็นอันกราน

[๑๑๒๗] คำว่า กฐินไม่เป็นอันกรานด้วยอาการอย่างไร นั้น คือ กฐินไม่เป็นอันกรานด้วยอาการ ๒๔ คือ:-
๑. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงขีดรอย
๒. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงซักผ้า
๓. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงกะผ้า
๔. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงตัดผ้า
๕. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงเนาผ้า
๖. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงเย็บด้น
๗. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงทำลูกดุม
๘. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงทำรังดุมให้มั่น
๙. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงประกอบผ้าอนุวาต
๑๐. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงประกอบผ้าอนุวาตด้านหน้า
๑๑. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงดามผ้า
๑๒. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงย้อมเป็นสีหม่น
๑๓. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงผ้าที่ทำนิมิตได้มา
๑๔. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยผ้าที่พูดเลียบเคียงได้มา
๑๕. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยผ้าที่ยืมเขามา
๑๖. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยผ้าที่เก็บไว้ค้างคืน
๑๗. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยผ้าที่เป็นนิสสัคคิยะ
๑๘. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยผ้าที่มิได้ทำกัปปะพินทุ
๑๙. กฐินไม่เป็นอันกราน เว้นผ้าสังฆาฏิ
๒๐. กฐินไม่เป็นอันกราน เว้นผ้าอุตราสงค์
๒๑. กฐินไม่เป็นอันกราน เว้นผ้าอันตรวาสก
๒๒. กฐินไม่เป็นอันกราน เว้นจีวรมีขันธ์ ๕ หรือเกินกว่า ๕ ซึ่งตัดดีแล้ว ทำให้มีมณฑล เสร็จในวันนั้น
๒๓. กฐินไม่เป็นอันกราน นอกจากบุคคลกราน
๒๔. กฐินไม่เป็นอันกรานโดยชอบ ถ้าภิกษุผู้อยู่นอกสีมา อนุโมทนากฐินนั้นกฐินไม่เป็นอันกราน แม้ด้วยอาการอย่างนี้.



อธิบายเหตุที่ไม่ได้กรานบางข้อ

[๑๑๒๘] ที่ชื่อว่า ทำนิมิต คือ ภิกษุทำนิมิตว่า เราจักกรานกฐินด้วยผ้าผืนนี้.ที่ชื่อว่า พูดเลียบเคียง คือ ภิกษุพูดเลียบเคียงด้วยคิดว่า จักยังผ้ากฐินให้เกิดด้วย การพูดเลียบเคียงนี้.
ผ้าที่ทายกไม่ได้หยิบยกให้ เรียกว่าผ้ายืมเขามา.
ที่ชื่อว่า ผ้าเก็บไว้ค้างคืน มี ๒ อย่าง คือ ผ้าทำค้างคืน ๑ ผ้าเก็บไว้ค้างคืน ๑.
ที่ชื่อว่า ผ้าเป็นนิสสัคคิยะ คือ ภิกษุกำลังทำอยู่ อรุณขึ้นมา.
กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการ ๒๔ อย่างนี้.



เหตุที่กฐินเป็นอันกราน

[๑๑๒๙] คำว่า กฐินเป็นอันกราน ด้วยอาการอย่างไร นั้น ความว่า กฐินย่อมเป็นอันกรานด้วยอาการ ๑๗ อย่าง ดังต่อไปนี้
๑. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าใหม่
๒. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าเทียมใหม่
๓. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าเก่า
๔. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าบังสุกุล
๕. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าตกตามร้าน
๖. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าที่ไม่ได้ทำนิมิตได้มา
๗. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าที่ไม่ได้พูดเลียบเคียงได้มา
๘. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าที่ไม่ได้ยืมเขามา
๙. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าที่มิได้เก็บไว้ค้างคืน
๑๐. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าที่มิได้เป็นนิสสัคคิยะ
๑๑. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าทำกัปปะพินทุแล้ว
๑๒. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าสังฆาฏิ
๑๓. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าอุตราสงค์
๑๔. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าอันตรวาสก
๑๕. กฐินเป็นอันกราน ด้วยจีวรมีขันธ์ ๕ หรือเกินกว่า ซึ่งตัดดีแล้วทำให้มีมณฑลเสร็จในวันนั้น
๑๖. กฐินเป็นอันกราน เพราะบุคคลกราน
๑๗. กฐินเป็นอันกรานโดยชอบ ถ้าภิกษุผู้อยู่ในสีมา อนุโมทนากฐินนั้น
กฐินเป็นอันกราน แม้ด้วยอาการอย่างนี้ กฐินเป็นอันกราน ด้วยอาการ ๑๗ อย่างนี้.



ธรรมที่เกิดพร้อมกัน

[๑๑๓๐] ถามว่า ธรรมเท่าไร ย่อมเกิดพร้อมกับการกรานกฐิน?
ตอบว่า ธรรม ๑๕ อย่าง ย่อมเกิดพร้อมกับการกรานกฐิน คือ มาติกา ๘ ปลิโพธ ๒ อานิสงส์ ๕ ธรรม ๑๕ อย่างนี้ ย่อมเกิดพร้อมกับการกรานกฐิน.


เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๘ บรรทัดที่ ๑๐๑๐๐ - ๑๐๑๗๓. หน้าที่ ๓๘๗ - ๓๙๐.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka1/v.php?B=8&A=10100&Z=10173&pagebreak=0 (http://www.84000.org/tipitaka/pitaka1/v.php?B=8&A=10100&Z=10173&pagebreak=0)
สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๘
http://www.84000.org/tipitaka/read/? (http://www.84000.org/tipitaka/read/?)สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่_๘
http://www.84000.org/tipitaka/read/?index_8 (http://www.84000.org/tipitaka/read/?index_8)



-http://watkaokrailas.igetweb.com/index.php?mo=3&art=41907064-

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 04, 2012, 03:53:03 pm
บุญกฐิน
รวบรวมและเรียบเรียงโดย :
พระมหา ดร.วรัญญู วรญฺญู
ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ กทม.
คำว่า “กฐิน” เป็นคำที่คุ้นหูในสังคมไทย เป็นชื่อของประเพณีบุญที่นิยมกันในระยะเวลา ๑ เดือน โดยเริ่มต้นที่วันถัดจากวันออกพรรษาไปถึงวันลอยกระทง ถือเป็นประเพณีบุญที่สำคัญของสังคมไทยมาแต่โบราณ
แต่อย่างไรก็ตาม ชีวิตและสังคมที่เร่งรีบในปัจจุบัน ได้ส่งผลกระทบมาถึงประเพณีการทอดกฐิน ให้กลายเป็นประเพณีที่เร่งรีบ และทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไปจากความประสงค์ที่แท้จริงของประเพณีดังกล่าว ทั้งอาจจะทำให้ไม่ได้บุญจากการทอดกฐินเลยก็ได้ แล้วทำอย่างไรให้ได้บุญจากการทอดกฐิน นั่นคือประเด็นที่มุ่งหมายของบทความนี้

ความหมาย
คำว่า กฐิน คำนี้ มาจากภาษาบาลีแปลว่า "ไม้สะดึง" หรือ "กรอบไม้ที่ใช้สำหรับขึงผ้าให้ตึง เพื่อประโยชน์ในการตัดเย็บ"

ในทางพระพุทธศาสนา คำว่า กฐิน ใช้ใน ๒ ความหมาย คือ
๑. เป็นชื่อผ้า และสังฆกรรม หรือ พิธีกรรมของสงฆ์
๒. เป็นชื่อการทำบุญของชาวพุทธ โดยมีผ้าเป็นสื่อกลาง

มีอรรถาธิบายเพื่อความเข้าใจเพิ่มเติม ในทั้งสองกรณี ดังนี้
กรณีแรก กฐิน เป็นชื่อของผ้าที่ถวายพระสงฆ์ให้เป็นกฐิน ภายในกำหนดกาล ๑ เดือน นับตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒
ผ้าที่จะถวายนั้นจะเป็นผ้าใหม่ ผ้าฟอกสะอาด ผ้าเก่า ผ้าบังสุกุล (ผ้าที่เขาทิ้งแล้ว) หรือผ้าที่ขายตามท้องตลาดก็ได้ ผู้ถวายจะเป็นคฤหัสถ์หรือเป็นพระภิกษุสามเณรก็ได้ ถวายแก่พระสงฆ์แล้วก็เป็นอันใช้ได้ จากนั้น พระสงฆ์จะต้องทำสังฆกรรม หรือขั้นตอนพิธีทางสงฆ์ มีการสวดประกาศขอรับความเห็นชอบจากที่ประชุมสงฆ์ ในการมอบผ้ากฐินให้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง และอนุโมทนากฐินเป็นขั้นตอนสุดท้าย
กรณีที่สอง กฐิน เป็นชื่อของบุญกิริยา หรือ การทำบุญ ด้วยการถวายผ้ากฐินเป็นทานแก่พระสงฆ์ผู้จำพรรษาอยู่ในวัดใดวัดหนึ่งครบ ๓ เดือน เพื่อสงเคราะห์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบให้มีผ้านุ่งหรือผ้าห่มใหม่ จะได้ใช้ผลัดเปลี่ยนของเก่าที่ขาดหรือจะขาด
การทำบุญถวายผ้ากฐิน นิยมเรียกกันว่า ทอดกฐิน หมายถึง ทอดหรือวางผ้าลงไปแล้วกล่าวคำถวายในท่ามกลางสงฆ์
เมื่อกล่าวคำถวายจบแล้ว พระสงฆ์ก็รับว่า "สาธุ" พร้อมกัน เจ้าภาพจะต้องนำผ้ากฐินไปวางไว้ต่อหน้าพระสงฆ์เฉยๆ ไม่ประเคนด้วยมืออีก ดังนั้น กิริยาที่นำผ้าไปวางไว้นั้น จึงนิยมเรียกกันสืบๆ มาว่า ทอดกฐิน
การทอดกฐิน เป็น กาลทาน มีเวลาจำกัด คือ การถวายก่อนหน้านั้น หรือหลังจากนั้นไม่เป็นกฐิน มีเงื่อนไขที่ต้องให้ความสำคัญทุกขั้นตอน จึงถือว่าหาโอกาสทำได้ยาก

ความเป็นมา
ในคัมภีร์พระวินัยปิฎก มหาวรรค กฐินขันธกะได้ กล่าวถึงความเป็นมาว่า ในสมัยที่พระบรมศาสดายังทรงพระชนม์ชีพอยู่นั้น ครั้งหนึ่งพระภิกษุชาวเมืองปาฐา ประมาณ ๓๐ รูป ซึ่งถือธุดงควัตรอย่างยิ่งยวด มีความประสงค์จะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งขณะนั้นประทับอยู่กรุงสาวัตถี แคว้นโกศล
จึงพากันเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองนั้น พอถึงเมืองสาเกต ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงสาวัตถีประมาณ ๖ โยชน์ ก็เป็นวันเข้าพรรษาพอดี เดินทางต่อไปมิได้ ต้องจำพรรษาอยู่ที่เมืองสาเกตตามพระวินัยบัญญัติ ขณะที่จำพรรษาอยู่ ณ เมืองสาเกต เกิดความกระวนกระวายใจ อยากเฝ้าพระพุทธเจ้าเป็นกำลัง ดังนั้น พอถึงวันออกพรรษาปวารณาแล้ว จึงรีบเดินทาง แต่ระยะนั้นมีฝนตกมากหนทางที่เดินชุ่มไปด้วยน้ำ เป็นโคลนเป็นตม พื้นดินเต็มไปด้วยหล่มเลน ต้องบุกต้องฝ่าหล่มฝ่าเลนมาจนกระทั่งถึงกรุงสาวัตถีได้เข้าเฝ้าสมความประสงค์
พระพุทธองค์ทรงมีปฏิสันถารกับพระภิกษุเหล่านั้นเรื่องการจำพรรษาอยู่ ณ เมืองสาเกตและการเดินทาง พระภิกษุเหล่านั้นจึงกราบทูลถึงความตั้งใจ ความร้อนรนกระวนกระวายใจและการเดินทางที่ลำบากให้ทรงทราบทุกประการ
พระพุทธองค์ทรงทราบและเห็นความลำบากของพระภิกษุ จึงทรงยกเป็นเหตุและมีพระพุทธานุญาตให้พระภิกษุผู้จำพรรษาครบถ้วนแล้ว กรานกฐิน“ขึง” หรือ “ทำให้ตึง”
กฐิน เป็นภาษาบาลี แปลว่า “ไม้สะดึง” กรานกฐิน ก็คือ “ขึงผ้าที่จะเย็บเป็นจีวรเข้าที่ไม้สะดึง โดยมีกำหนด ๑ เดือน ดังกล่าวคือ ให้เอาผ้าที่จะเย็บเป็นจีวรเข้าขึงที่ไม้สะดึง เย็บเสร็จแล้วบอกแก่พระภิกษุทั้งหลายผู้ร่วมใจกันทำจีวรนั้น ยกผ้าให้พระภิกษุผู้ฉลาดรูปหนึ่งในนามของสงฆ์ เพื่อจะได้อนุโมทนาร่วมกัน ภิกษุผู้เย็บจีวรเช่นนั้นเรียกว่า "ผู้กรานกฐิน" (กราน เป็นภาษาเขมร แปลว่า หลักการ)
การที่พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ภิกษุสงฆ์ผู้อยู่จำพรรษาแล้ว ได้กรานกฐินนี้ ทำให้ภิกษุสงฆ์ต้องอยู่ประจำอาวาสอย่างน้อยเป็นเวลา ๑ เดือนหลังจากออกพรรษา ซึ่งเป็นช่วงปลายฤดูฝน ยังมีฝนตกอยู่ และทางสัญจรเต็มไปด้วยหล่มเลน หลังจาก ๑ เดือนผ่านไปแล้ว ถ้าภิกษุสงฆ์ประสงค์ ก็สามารถจะหลีกจาริกไปได้โดยสะดวก ในเวลาไม่มีฝนตก และพื้นดินไม่เป็นหล่มเลน

พระพุทธองค์ทรงมีพระพุทธานุญาตผ้ากฐิน ด้วยมีพุทธประสงค์

    จะผ่อนผัน ให้ความสะดวกในพระธรรมวินัยแก่พระสงฆ์ผู้จำพรรษาอยู่ในวัดใดวัดหนึ่งครบ ๓ เดือน

    เพื่อสงเคราะห์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบให้มีผ้านุ่งหรือผ้าห่มใหม่ จะได้ใช้ผลัดเปลี่ยนของเก่าที่จะขาดหรือชำรุด

โดยในเบื้องต้นทรงมีพระพุทธานุญาตพร้อมกับทรงแสดงอานิสงส์ไว้ ๕ ประการ ดังนี้
“ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาแล้ว กรานกฐิน ภิกษุทั้งหลายผู้กรานกฐินแล้วจะได้อานิสงส์ ๕ อย่าง คือ
๑. เที่ยวไปไม่ต้องบอกลา
๒. ไม่ต้องถือไตรจีวรไปครบสำรับ
๓. ฉันคณะโภชนะได้
๔. ทรงอติเรกจีวรไว้ได้ตามความต้องการ
๕. พวกเธอจะได้จีวรที่เกิดขึ้นในที่นั้น
ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอผู้กรานกฐินแล้วย่อมได้อานิสงส์ ๕ อย่างนี้แล”
จากนั้น ได้ทรงชี้แจง วิธีกรานกฐินและขั้นตอนการขอความเห็นชอบจากคณะสงฆ์ ที่เรียกว่า "ญัตติทุติย" กรรมวาจา คือ การตั้งเรื่องหรือญัตติขึ้น จากนั้นก็ลงความเห็นรับรู้ร่วมกัน โดยมีพระเถระที่ฉลาดเป็นผู้ดำเนินการประชุม หรือ ภาษาพระเรียกว่า "สวดกรรมวาจา" ๑ ครั้ง หากไม่มีภิกษุรูปใดทักท้วงก็เป็นการลงมติเห็นชอบร่วมกัน เป็นอำนาจของสงฆ์ ที่พระทุกรูปต้องถือปฏิบัติ
ต่อไปนี้เป็นคำประกาศที่พระพุทธเจ้าทรงประทานแนวทางไว้
“ท่านผู้เจริญ ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ผ้ากฐินนี้เกิดแล้วแก่สงฆ์ ถ้าสงฆ์พร้อมกันแล้ว พึงให้กรานกฐินแก่ภิกษุชื่อนี้เพื่อกรานกฐินนี่เป็นญัตติ
นี้เพื่อกรานกฐิน ท่านรูปใดเห็นด้วยกับการให้ผ้ากฐินนี้แก่ภิกษุชื่อนี้ เพื่อกรานกฐิน ท่านรูปนั้นพึงนิ่ง ท่านรูปใดไม่เห็นด้วย ท่านรูปนั้นพึงทักท้วง
ผ้ากฐินนี้อันสงฆ์ให้แล้วแก่ภิกษุนี้เพื่อกรานกฐิน สงฆ์เห็นด้วย เพราะเหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าขอถือความนิ่งนั้นเป็นมติอย่างนี้”
ลำดับเหตุการณ์หรือขั้นตอนต่อจากนั้น ในพระไตรปิฎกได้กล่าวถึงพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงลักษณะต่างๆ ที่จัดเป็นกฐิน แล้วได้รับอานิสงส์ข้างต้น และลักษณะใด ที่ทำให้กฐินเดาะหรือไม่สำเร็จประโยชน์ คือ ไม่ได้อานิสงส์ ในหนังสือนี้จะขอไม่กล่าวถึงเรื่องดังกล่าว เพราะมีข้อปลีกย่อยมาก

คุณสมบัติของพระที่จะรับกฐิน
คุณสมบัติของพระภิกษุรูปที่สมควรจะรับผ้ากฐินได้ มี ๘ ประการ คือ
๑. รู้จักบุพพกรณ์ คือ หน้าที่ๆ จะต้องทำในเบื้องต้นแห่งการกรานกฐิน ๗ อย่าง คือ
๑) ซักผ้า ๒) กะผ้า
๓) ตัดผ้า ๔) เนาหรือด้นผ้าที่ตัดแล้ว
๕) เย็บเป็นจีวร ๖) ย้อมจีวรที่เย็บแล้ว
๗) ทำกัปปะ คือ พินทุ (แต้มให้เปื้อน)
๒. รู้จักถอนไตรจีวร
๓. รู้จักอธิษฐานไตรจีวร
๔. รู้จักการกราน
๕. รู้จักมาติกา หรือ หัวข้อแห่งการเดาะกฐิน
๖. รู้จักปลิโพธกังวลเป็นเหตุยังไม่เดาะกฐิน
๗. รู้จักการเดาะกฐิน
๘. รู้จักอานิสงส์กฐิน
ในบุพพกรณ์ ๗ ประการนั้น ข้อแรกต้องทำให้เสร็จในวันนั้น แต่ในปัจจุบัน นิยมใช้ผ้าสำเร็จรูป จึงไม่ต้องทำการซัก, กะ, ตัด, เนา, เย็บ, ย้อม เพียงแต่ทำ "กัปปะ" คือ พินทุ เท่านั้น
พระภิกษุผู้ได้รับผ้ากฐิน ต้องถอนจีวรสำรับเดิม อธิษฐานจีวรสำรับใหม่ แล้วกล่าวคำกรานกฐิน ด้วยผ้าผืนใดผืนหนึ่ง จะเป็นจีวร, สังฆาฏิ, หรือสบง ก็ได้เพียงผืนเดียว ด้วยคำว่า
“ข้าพเจ้ากรานกฐินด้วยผ้าสังฆาฏิ (หรือ จีวร หรือ สบง)นี้”

จากนั้นท่านจะออกไปครองผ้า แล้วกลับเข้ามาในมณฑลพิธีสงฆ์ แล้วกล่าวคำอาราธนาให้สงฆ์อนุโมทนากฐินว่า

“อตฺถตํ ภนฺเต สงฺฆสฺส กฐินํ, ธมฺมิโก กฐินตฺถาโร อนุโมทถ”
แปลว่า “ท่านเจ้าข้า กฐินของสงฆ์กรานแล้ว การกรานกฐินชอบธรรม ขอท่านทั้งหลายอนุโมทนาเถิด”
ขั้นตอนสุดท้าย พระสงฆ์จะกล่าวคำอนุโมทนากฐิน โดยให้ผู้มีอายุพรรษาแก่กว่าพระภิกษุรูปที่ครองผ้ากฐิน กล่าวก่อนว่า

“อตฺถตํ อาวุโส สงฺฆสฺส กฐินํ, ธมฺมิโก กฐินตฺถาโร อนุโมทาม”
แปลว่า “ผู้มีอายุ กฐินของสงฆ์กรานแล้ว การกรานกฐินชอบธรรม เราทั้งหลายขออนุโมทนา”

จากนั้นจึงให้พระภิกษุที่มีอายุพรรษาน้อยกว่ากล่าวคำอนุโมทนาว่า

“อตฺถตํ ภนฺเต สงฺฆสฺส กฐินํ, ธมฺมิโก กฐินตฺถาโร อนุโมทาม”
แปลว่า “ท่านผู้เจริญ กฐินของสงฆ์กรานแล้ว การกรานกฐินชอบธรรม เราทั้งหลายขออนุโมทนา”

เป็นอันเสร็จพิธีกฐินของพระสงฆ์ และด้วยอาศัยพระพุทธบัญญัติมีมาฉะนี้ จึงได้ถือเป็นประเพณีทำกันมาจนกระทั่งทุกวันนี้

กฐินมีอานิสงส์ทั้งแก่ผู้รับและผู้ให้สำหรับผู้รับ หรือ พระสงฆ์
หากพระสงฆ์ ได้ปฏิบัติตามพระพุทธานุญาตทุกประการ ก็ย่อมได้รับอานิสงส์ ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ทุกประการ ขอขยายความเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นนี้ การที่พระภิกษุจะรับกฐินได้นั้น มิใช่รูปใดจะรับกันได้ ดังที่กล่าวว่ากฐินมีเงื่อนไข ทุกขั้นตอน และทำได้ยาก กฐินจะเป็นกฐินหรือไม่ มีองค์ประกอบที่พึงให้ความสนใจ ๖ ประการ คือที่ต้องให้ความสำคัญ
๑.พระสงฆ์อยู่จำพรรษาในวัดนั้นครบ ๓ เดือน ไม่พรรษาขาด
๒.ในวัดนั้นต้องมีพระที่มีคุณสมบัติตามข้อ ๑ อย่างน้อย ๕ รูป จำนวนพระที่ต่ำกว่านี้รับกฐินไม่ได้ แม้ไปนิมนต์พระวัดอื่นมาให้ครบจำนวน ๕ รูปก็ไม่จัดเป็นกฐินตามพระพุทธานุญาต
๓.พระในวัดนั้น จะไปชักชวนให้เขามาถวายผ้ากฐินในวัดของตนเองไม่ได้
๔.ต้องดำเนินการเรื่องผ้ากฐินให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดเท่านั้น
๕.พระภิกษุรูปที่ครองกฐินต้องรู้จักและเข้าใจขั้นตอนและวิธีปฏิบัติต่อผ้ากฐิน
๖.พระสงฆ์ในวัดนั้น ต้องพร้อมเพรียงกัน

อานิสงส์ จากการรับผ้ากฐิน และการปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระบรมพุทธานุญาต ทำให้ได้รับการผ่อนปรนหรือไม่ต้องอาบัติ หรือโทษ ใน ๕ เรื่อง คือ :
๑. อนามันตะจาโร เที่ยวสัญจรไปโดยไม่ต้องบอกลาภิกษุที่มีอยู่ในที่นั้น ไม่ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ไม่ถือว่าล่วงละเมิดจาริตตสิกขาบทที่ ๖ แห่งอเจลกวรรค
๒. สมาทานะจาโร จะเดินทางไปที่ไหน ไม่ต้องถือไตรจีวรไปครบสำรับ จะฝากหรือเก็บไว้ในที่เหมาะสมแห่งใดแห่งหนึ่งก็ได้ ไม่ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ไม่ถือว่าล่วงละเมิดอุทโทสิตสิกขาบที่ ๒ แห่งจีวรวรรค
๓. คณะโภชนัง ฉันคณะโภชนะได้ คือ แม้จะมี ๔ รูป หรือมากกว่า ก็สามารถรับนิมนต์ไปรับประเคนฉันพร้อมกันได้ หรือออกปากขอภัตตาหารมาฉันพร้อมกันได้ ไม่ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะฉันคณะโภชนะ คือเพราะฉันโภชนะที่เป็นของคณะ ซึ่งคณะได้มา ไม่ถือว่าล่วงละเมิดคณะโภชนสิกขาบทที่ ๒ แห่งโภชนวรรค
๔. ยาวะทัตถะจีวะรัง เก็บอดิเรกจีวรไว้ได้ตามต้องการ คือ สามารถเก็บผ้านอกเหนือจากผ้าที่ตนอธิษฐานและวิกัปไว้ได้ แม้จะเกินกำหนด ๑๐ วัน ก็ไม่ต้องอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์เพราะเก็บอติเรกจีวร ไม่ถือว่าล่วงละเมิดกฐินสิกขาบทที่ ๑ แห่งจีวรวรรค
๕. โย จะ ตัตถะ จีวะรุปปาโท โส เนสัง ภวิสสะติ จีวรลาภอันใด ที่เกิดขึ้นมีขึ้นในสีมาที่กรานกฐินนั้น จีวรลาภนั้น จักเป็นสิทธิ์ของภิกษุทั้งหลายผู้ได้กรานกฐินแล้วนั้น
อานิสงส์ ทั้ง ๕ ประการนี้ พระภิกษุผู้ได้กรานกฐินแล้ว จะได้รับตลอดเขตอานิสงส์กฐิน ๕ เดือน คือ ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ของปีถัดไป

สำหรับผู้ให้ หรือผู้ถวาย
ก่อนอื่นพึงทราบว่า กฐินเป็นพระบรมพุทธานุญาตโดยตรง การถวายทานอย่างอื่นมีทายกเป็นผู้ทูลขอให้พระพุทธเจ้าทรงอนุญาต เช่น มหาอุบาสิกาวิสาขาทูลขออนุญาตถวายผ้าอาบน้ำฝน แต่ผ้ากฐินนี้พระพุทธองค์ทรงอนุญาตเอง นับเป็นพระพุทธประสงค์โดยตรง
เกี่ยวกับอานิสงส์ของการถวายผ้ากฐินนั้น ในปัจจุบันมีปรากฏในคัมภีร์และตำราหลายเล่ม บางตำรา กล่าวว่า มีอานิสงส์ถึง ๖๓ ประการ ขอยกตัวอย่างสัก ๔ ประการ ดังนี้
๑. ชื่อว่า : ได้ช่วยกันจรรโลงพระพุทธศาสนาให้เจริญวัฒนาดำรงเสถียรภาพอยู่ตลอดกาลนาน
๒. ชื่อว่า : ได้เพิ่มกำลังกาย กำลังใจ ให้แก่พระภิกษุสงฆ์ผู้เป็นศาสนทายาท สืบอายุพระพุทธศาสนาต่อๆ ไป
๓. ชื่อว่า : ได้ถวายอุปการะ อุปถัมภ์พระภิกษุสามเณร เป็นมหากุศลอันสำคัญ อย่างยิ่ง
๔. ชื่อว่า : เป็นผู้ไม่ประมาทต่อมหากุศลของตน ฯลฯ
แต่ในวรรณกรรมโบราณทางพระพุทธศาสนา ก็ได้ปรากฏการยกย่องกฐินทาน และพรรณนาอานิสงส์ของกฐินทานไว้เป็นพิเศษ ดังนี้

อานิสงส์ของผู้ถวายกฐินเอง
ในชาดก ซึ่งเป็นเรื่องเล่า ถึงการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าในอดีตชาติ ทำให้เราเห็นภาพความสำคัญของบุญกฐินอย่างน่าอัศจรรย์
โดยกล่าวว่า อำนาจบุญกุศลที่ได้ถวายผ้ากฐิน เป็นกุศลผลบุญที่ใหญ่หลวง ผู้ถวายจะปรารถนาความสำเร็จใด ๆ ในภพชาติใหม่ ก็จะให้สำเร็จได้ดังมโนรถความปรารถนา หรือถ้าจะปรารถนาพุทธภูมิก็ดี ปัจเจกภูมิก็ดี สาวกภูมิก็ดี สาวิกาภูมิก็ดี เมื่อมีวาสนาบารมีแก่กล้าแล้วก็จะได้สำเร็จดังมโนปณิธาน หรือความปรารถนาที่ตั้งไว้
ในอติเทวราชชาดก ได้เล่าเรื่องพระเจ้าจิตรราชบรมโพธิสัตว์เจ้า ทรงถวายคู่แห่งผ้าเพื่อกฐินแก่พระภิกษุสงฆ์ มีองค์พระโกณฑัญญพุทธเจ้าเป็นประธาน แล้วทรงเปล่งพระดำรัสว่า “ข้าพเจ้าขอถวายผ้ากฐินแด่พระภิกษุสงฆ์”
ดังนี้ เมื่อเสร็จจากพิธีถวายผ้ากฐินแล้ว ก็ทรงประทับอยู่ ณ บนราชอาสน์อันสมควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วจึงทรงประเคนอาหารถวายพระภิกษุสงฆ์ มีองค์พระโกณฑัญญพุทธเจ้าเป็นประธาน ด้วยภัตตาหารมีรสเลิศต่าง ๆ มีข้าวยาคู เป็นต้น
ในลำดับนั้น สมเด็จพระโกณฑัญญสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เสด็จประทับ ณ ท่ามกลางแห่งพระภิกษุสงฆ์ ฝ่ายพระเถรเจ้าผู้เป็นธรรมเสนาบดีชื่อว่า พระภัททานิกรรมก็ได้กรานกฐินนั้น ครั้นเสร็จจากการกรานกฐินแล้ว พระโกณฑัญญพุทธเจ้าก็เสด็จประทับในท่ามกลางพุทธบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
ส่วนสมเด็จพระเจ้าจิตรราชบรมจักรพรรดินั้น ก็ได้เสด็จเข้าไปสู่ที่ใกล้พระโกณฑัญญพุทธเจ้า ถวายบังคมด้วยพระเบญจางคประดิษฐ์ แล้วได้ทรงตั้งพระราชปณิธานความปรารถนาขึ้นว่า

อิมินา กฐินทาเนน พุทฺโธ โหมิ อนาคเต
ยทา สพฺพญฺญุตปตฺโต ตารยิสฺสามิ ปาณินํ
แปลว่า “ด้วย อำนาจกฐินทานนี้ ขอให้ข้าพเจ้าได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ในอนาคตกาลโน้นเถิด ข้าพเจ้าได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูญุตญาณเจ้าแล้วในกาลใด ก็จะรื้อขนสัตว์ให้พ้นจากสังสารวัฏฎ์ในกาลนั้น”
ครั้นจบคำอธิษฐานลง พระโกณฑัญญพุทธเจ้า จึงทรงพิจารณาดูไปในอนาคตกาล ก็ได้ทรงทราบด้วยพุทธจักษุญาณว่า ความปรารถนาของบรมกษัตริย์องค์นี้จักสำเร็จสมพระประสงค์ จึงได้ทรงพยากรณ์ว่า ในที่สุดแห่ง ๓ อสงไขยแสนกัลป์ นับแต่กัลป์นั้น พระเจ้าจิตรราชบรมจักรพรรดินี้ จักได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า “โคดม” ได้แก่ พระพุทธเจ้าของเราทั้งหลายในบัดนี้
ขณะเดียวกัน ผู้ที่ถวายผ้ากฐินแล้วบังเกิดความปีติ ความสุขใจ แม้มิได้อธิษฐานคุมวงบุญไว้ ก็ได้รับอานิสงส์ไปเกิดเป็นเทวดาและอานิสงส์ที่จะต่อเนื่องไปในภพหน้า ดังคำประกาศบุพพกุศลของท้าวสักก เทวราช ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ว่า
“คราวหนึ่ง เราเกิดเป็นกุฎุมพีผู้มีทรัพย์อยู่ ณ เมืองพาราณสี ได้ถวายผ้าพระกฐินจีวร (แก่พระปทุมุตรสัมพุทธเจ้า) เราจุติจากอัตตภาพเป็นมนุษย์แล้ว ได้เกิดเป็นภูมิเทวดามีศักดาเดชอยู่ ณ ภูเขาคันธมาทน์ เสวยทิพยสมบัติอยู่นาน ครั้นจุติจากอัตตภาพเป็นภูมิเทวดาแล้ว ได้เกิดเป็นสักกเทวราช ผู้มเหศราธิบดีแห่งเทวดาทั้งหลาย ครั้นจุติจากอัตตภาพแห่งสักกเทวราชแล้ว จักเกิดเป็นจักรพรรดิ มีกำลังเดชานุภาพมากในทวีปทั้งสี่ และจักเสวยมนุษย์และเทวสมบัติสิ้นแสนกัลป์ ด้วยอำนาจผลแห่งกฐินทาน ด้วยประการฉะนี้”

ผู้มีส่วนร่วมในกฐินย่อมได้อานิสงส์
ในสมัยพระศาสนาของพระกัสสปสัมพุทธเจ้า บุรุษชาวเมืองพาราณสีคนหนึ่ง เป็นคนเข็ญใจไร้ที่พึ่ง ไปอาศัยเศรษฐีสิริธรรมผู้มั่งคั่งด้วยทรัพย์ โดยยอมตนเป็นคนรับใช้ มีหน้าที่ดูแลรักษาหญ้า จึงได้ชื่อว่า "ติณบาล" แปลว่า ผู้ดูแลรักษาหญ้า ตั้งแต่บัดนั้น
วันหนึ่งเขาคิดว่า “ตัวเรานี้เป็นคนยากจนเช่นนี้ เพราะไม่เคยทำบุญอันใดไว้ในชาติก่อนเลย มาชาตินี้จึงตกอยู่ในฐานะผู้รับใช้คนอื่น ไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีสมบัติติดตัวแม้แต่น้อย” เมื่อคิดดังนี้แล้วเขาได้แบ่งอาหารที่ท่านเศรษฐีให้ ออกเป็น ๒ ส่วน
ส่วนหนึ่งถวายแก่พระสงฆ์ที่มาบิณฑบาต อีกส่วนหนึ่งเอาไว้สำหรับตนเองรับประทาน ด้วยเดชกุศลผลบุญอันนั้น ทำให้ท่านเศรษฐีเกิดสงสารเขา แล้วให้อาหารเพิ่มอีกเป็น ๒ ส่วน เขาได้แบ่งอาหารเป็น ๓ ส่วน ถวายแก่พระสงฆ์ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งให้แก่คนจนทั้งหลาย ส่วนที่สามเอาไว้บริโภคสำหรับตนเอง เขาทำอยู่อย่างนี้เป็นเวลาช้านาน
ต่อมาเป็นวันออกพรรษา เหล่าชนผู้มีศรัทธาต่างพากันทำบุญกฐินเป็นการใหญ่ แม้ท่านเศรษฐีสิริธรรมก็เตรียมจะถวายกฐิน จึงประกาศให้ประชาชนทั้งหลายทราบโดยทั่วกัน เมื่อนายติณบาลได้ยินก็เกิดความเลื่อมใสขึ้นในใจทันที จึงเข้าไปหาท่านเศรษฐีถามอานิสงส์ของกฐิน เศรษฐีตอบว่า “มีอานิสงส์มากมายหนักหนา สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตรัสยกย่องสรรเสริญว่าเป็นทานอันประเสริฐ”
เมื่อเขาได้ทราบดังนี้แล้ว ก็มีความโสมนัสปลาบปลื้มเป็นอันมาก แสดงความประสงค์ที่จะร่วมอนุโมทนาในการบำเพ็ญทานครั้งนี้ด้วย จึงได้กลับไปที่อยู่ของตน แล้วเกิคความคิดขึ้นว่า “เรา ไม่มีอะไรเลย แม้แต่ผ้าดีๆ สักผืน เราจะทำบุญร่วมกับท่านเศรษฐีได้อย่างไร” เขาครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน หาสิ่งที่จะร่วมอนุโมทนากฐินกับท่านเศรษฐีไม่ได้ ในที่สุดเขาได้เปลื้องผ้านุ่งของตนออกพับให้ดี แล้วเย็บใบไม้นุ่งแทน เอาผ้านั้นไปเร่ขายในตลาด

ชาวตลาดทั้งหลายเห็นอาการเช่นนั้น ก็พากันหัวเราะกันลั่น เขาชูมือขึ้นแถลงว่า "ท่านทั้งหลายหยุดก่อน อย่าหัวเราะข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้ายากจนไม่มีผ้าจะนุ่ง จะขอนุ่งใบไม้แต่ในชาตินี้เท่านั้น ชาติหน้าจะนุ่งผ้าทิพย์"
ครั้นพูดชี้แจงแก่ประชาชนชาวตลาดดังนี้แล้ว เขาได้ออกเดินเร่ขายเรื่อยไป ในที่สุดเขาได้ขายผ้านั้นในราคา ๕ มาสก (๑ บาท) แล้วนำไปมอบให้ท่านเศรษฐี เศรษฐีได้ใช้เงินนั้นซื้อด้ายสำหรับเย็บไตรจีวร
ในกาลครั้งนั้น ได้เกิดโกลาหลทั่วไปในหมู่ชน ตลอดถึงเทวดาในสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้นฟ้า และล่วงรู้ไปถึงพระกรรณของพระเจ้าพาราณสี จึงรับสั่งให้นำนายติณบาลเข้าเฝ้า แต่เขาไม่ยอมเข้าเฝ้าเพราะละอาย จึงได้ตรัสถามความเป็นไปของเขาโดยตลอดแล้ว ทรงให้ราชบุรุษนำผ้าสาฎกราคาแสนตำลึงไปพระราชทานแก่เขา
นอกจากนั้นได้พระราชทาน บ้านเรือนและทรัพย์สมบัติ เป็นอันมาก แล้วโปรดให้ดำรงตำแหน่งเศรษฐีในเมืองพาราณสี มีชื่อว่า "ท่านติณบาลเศรษฐี" เมื่อเขาดำรงชีวิตอยู่พอสมควรแก่อายุขัยแล้ว ก็ตายไปเกิดเป็นเทพบุตรในดาวดึงส์พิภพ เสวยสมบัติทิพย์อยู่ในวิมานแก้ว สูงได้ ๕ โยชน์ มีนางเทพอัปสรหนึ่งหมื่นเป็นบริวาร ส่วนเศรษฐีสิริธรรม ครั้นตายจากโลกมนุษย์แล้วได้ไปเกิดในดาวดึงส์สวรรค์ มีนางฟ้าเป็นบริวาร เช่นเดียวกันกับท่านติณบาลเศรษฐี

ผู้ชักชวนให้ทอดกฐินก็ได้อานิสงส์
กฐิน มิได้มีอานิสงส์เฉพาะเจ้าของกฐินเท่านั้น แม้ผู้ชักชวนให้ผู้อื่นทอดกฐิน ถ้ารู้จักวิธีในการอธิษฐานบุญ ก็ย่อมได้รับอานิสงส์เหมือนกัน
ดังในนรชีวกฐินทานชาดก ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญญาสชาดก ได้เล่าเรื่องที่พระพุทธองค์เมื่อครั้งเสวยพระชาติเกิดเป็นนายนรชีวะ อยู่ในครอบครัวยากจน แต่เป็นลูกกตัญญูเลี้ยงดูมารดา ได้ชักชวนเศรษฐีที่มีความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าพระนามว่า "ปทุมุตตร" ชวนให้เศรษฐีมีศรัทธาถวายผ้ากฐินแก่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน เศรษฐีมีความยินดีได้จัดกฐินไปถวายพระภิกษุสงฆ์ จึงได้ทูลถามพระพุทธเจ้าถึงผลหรืออานิสงส์แห่งการถวายผ้ากฐิน พระปทุมุตตรสัมพุทธเจ้าได้ตรัสว่า

เย ชนา สุขมิจฺฉนฺตา ทตฺวาน กฐินจีวรํ
เตปิ ทุกฺขา ปมุญฺจเร เทวมนุสฺเสสุ ปตฺวา
นรกาทิมฺหิ น ชายนฺติ กฐินทานสฺสิทํ ผลํ
แปลว่า “บุคคลเหล่าใด ปรารถนาหาความสุขนั้น ได้ถวายผ้ากฐินจีวรไว้ บุคคลเหล่านั้นจะพ้นจากความทุกข์ เมื่อละโลกนี้ไปแล้ว ก็ย่อมจะถึงความสุขในหมู่เทวดาและมนุษย์ และจะไม่ไปเกิดในอบายภูมิมีนรกเป็นต้น นี้เป็นผลแห่งกฐินทาน”
เมื่อเศรษฐี ได้ฟังอานิสงส์กฐินทานเช่นนั้น ก็มีใจชื่นบานยิ่งนัก ส่วนนายนรชีวะ ผู้เป็นพระโพธิสัตว์ได้หมอบกราบแทบพระบาทของพระพุทธเจ้า ได้กราบทูลถึงเหตุที่ตนเป็นผู้ชักชวนให้เศรษฐีมาทำบุญสำเร็จด้วยกายวาจาใจ จึงขอตั้งวาจาธิษฐานว่า

อิมินา ภนฺเต ปุญฺเญน ปโพธิโต กฐินํ เทมิ
อนาคเต พุทฺโธ โหมิ ยาว พุทฺธตํ นานุปตฺโต
มา ทลิทฺโท ภวามหํ
แปลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยกุศลผลบุญที่ข้าพระองค์ได้ชักนำกุฎุมพี (เศรษฐี) ให้ถวายผ้ากฐินนี้ ขอให้ข้าพระองค์เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในกาลภายหน้า แม้ข้าพระองค์ยังไม่ไปถึงความเป็นพระพุทธเจ้าตราบใด ชื่อว่าความเข็ญใจอย่าได้มีแก่ข้าพระองค์เลย พระเจ้าข้า”
พระปทุมุตตรสัมพุทธเจ้า ได้ทรงพยากรณ์ว่า ด้วยผลแห่งกฐินทานนั้น นายนรชีวะจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าศากยมุนีในอนาคตกาล ก็คือพระพุทธเจ้าของเราทั้งหลายในบัดนี้

ขั้นตอนทำบุญกฐิน

การทำบุญทอดกฐินในประเทศไทยเรา ซึ่งนิยมปฏิบัติกันอยู่ในขณะนี้ มีอยู่ ๒ ประเภท คือ
๑. กฐินหลวง หมายถึง กฐินที่มีพระราชพิธีเป็นทางการในพระอารามหลวง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปถวายผ้าพระกฐินด้วยพระองค์เอง ที่เรียกว่า “พระกฐินหลวง”
แต่ในกรณีที่เสด็จฯ ไปถวายผ้าพระกฐินเป็นการส่วนพระองค์ ในวัดต่างจังหวัด จะเรียกว่า “พระกฐินต้น”
ส่วนกฐินที่พระราชทานให้พระบรมวงศานุวงศ์ ผู้แทนพระองค์กระทรวง ทบวง กรม กองต่าง ๆ ไปถวายผ้าพระกฐินแทนพระองค์ เรียกว่า “พระกฐินพระราชทาน”
๒. กฐินราษฎร์ หมายถึง กฐินที่จัดขึ้นในวัดราษฎร์โดยชาวบ้านจัดการทอดกันเอง หรือบางทีก็ร่วมกันทอด ซึ่งเรียกว่า “กฐินสามัคคี”

ในบทความนี้จะไม่กล่าวถึงกฐินประเภทที่ ๑ จะกล่าวเฉพาะกฐินประเภทที่ ๒ เท่านั้น

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 04, 2012, 03:53:17 pm
ใครควรจะถวายผ้ากฐิน
ทายกผู้ทอดกฐินนั้น จะเป็นเทวดาหรือมนุษย์ คฤหัสถ์หรือบรรพชิต เป็นพระภิกษุหรือสามเณร ก็เป็นเจ้าภาพถวายผ้ากฐิน หรือทอดกฐินได้ทั้งนั้น จะทอดคนเดียว หรือรวมกันหลายคนเป็น “กฐินสามัคคี” ก็ได้ มีพระพุทธานุญาตไว้
แต่มีข้อพึงระวัง ในกรณีที่ผู้ทอดกฐินเป็นพระภิกษุ เมื่อถวายผ้ากฐินในอุโบสถแล้ว พระสงฆ์ในวัดนั้นจะเริ่มสวดญัตติทุติยกรรมวาจา ต้องอาราธนาให้พระภิกษุที่เป็นเจ้าภาพนั้น ออกไปอยู่นอกเขตสีมาก่อน หรือ มิฉะนั้นก็นิมนต์ให้เข้าไปนั่งร่วมภายในหัตถบาสกับพระสงฆ์ที่จะสวดนั้น ก็เป็นอันใช้ได้ ไม่เสียพิธี

ต้องจองกฐินก่อน
เมื่อสาธุชนผู้มีกุศลจิต ประสงค์จะนำกฐินไปทอด ณ วัดใดวัดหนึ่ง ซึ่งตนมีศรัทธาเป็นการเฉพาะ ต้องจองกฐินที่วัดนั้นล่วงหน้าเสียก่อน การจองมี ๒ วิธี คือ
๑. จองด้วยปาก ได้แก่ แจ้งด้วยวาจาแก่เจ้าอาวาส หรือ ประกาศในที่ประชุมสงฆ์ของวัด ให้ทราบว่า ตนจะนำกฐินมาทอดที่วัดนั้น
๒. จองด้วยหนังสือ ได้แก่ เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร ชื่อที่อยู่ของตนและความ จำนงที่จะนำกฐินมาทอดในวันนั้นวันนี้ แล้วนำไปติดประกาศในที่เห็นได้ง่าย เช่นศาลาการเปรียญ ศาลาหน้าวัด หรือมอบให้กับเจ้าอาวาส ไว้
และก่อนที่จะทอดกฐินนั้น ก็ควรปิดป้ายไว้หน้าวัด หรือที่ศาลาการเปรียญ ซึ่งป้ายปิดประกาศนี้ นิยมปิดไว้ตั้งแต่ในพรรษา เพื่อจะให้ผู้ที่ผ่านไปมาได้พบเห็น แล้วจะได้มาเข้าร่วมทำบุญด้วย

องค์กฐิน
เมื่อถึงเวลากำหนดก็นำผ้ากฐิน บางครั้งเรียกว่า "ผ้าที่เป็นองค์กฐิน" ซึ่งจะเป็นผืนเดียวก็ได้ หลายผืนก็ได้ ถ้าเป็นผ้าขาวซึ่งยังมิได้ตัด ก็ตัดออกเป็นชิ้นๆ พอที่จะเย็บประกอบเข้าเป็นจีวรผืนใดผืนหนึ่งก็ได้ ทำเสร็จแล้วยังมิได้ย้อมหรือย้อมแล้วก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่ง จัดเป็นองค์กฐิน นำไปทอด ณ วัดที่ได้จองไว้นั้น
แต่ในปัจจุบันเจ้าภาพนิยมซื้อผ้าไตรจีวรสำเร็จรูปมาจากร้านจำหน่ายเครื่องสังฆภัณฑ์ เนื่องจากสะดวกและประหยัดเวลา ก็เป็นอันใช้ได้เหมือนกัน
นอกจากองค์กฐินแล้ว เจ้าภาพบางรายอาจศรัทธาถวายของอื่นๆ ไปพร้อมกับองค์กฐินเรียกว่า "บริวารกฐิน"
ตามที่นิยมกัน ประกอบด้วยปัจจัย ๔ คือ เครื่องอาศัยของพระภิกษุสามเณร มีไตรจีวร บริขารอื่นๆ ที่จำเป็น เครื่องใช้ประจำปี มีมุ้ง หมอน กลด เตียง ตั่ง โต๊ะ เก้าอี้ โอ่งน้ำ กระถาง กระทะ กระโถน เตา ภาชนะสำหรับใส่อาหารคาวหวาน
เครื่องซ่อมเสนาสนะ มีมีด ขวาน สิ่ว เลื่อย ไม้กวาด จอบ เสียม เครื่องคิลานเภสัช มียารักษาโรค ยาสีฟัน แปรงสีฟัน อุปกรณ์ซักล้าง เป็นต้น หรือจะมีสิ่งอื่นนอกจากที่กล่าวมานี้ก็ได้ ขอให้เป็นของที่สมควรแก่ พระภิกษุ สามเณร จะใช้อุปโภคบริโภคเท่านั้น หากจะมีของที่ระลึกสำหรับแจกจ่ายแก่คนที่อยู่ในวัดหรือคนที่มาร่วมงานกฐิน ด้วยก็ได้สุดแต่กำลังศรัทธาและอัธยาศัยไมตรีของเจ้าภาพ
นอกจากนั้น ยังมีธรรมเนียมที่เจ้าภาพผู้ทอดกฐิน จะต้องมีผ้าห่มพระประธานอีกหนึ่งผืน เทียนสำหรับจุด ในเวลาที่พระภิกษุสวดปาติโมกข์ ที่เรียกสั้นๆ ว่า "เทียนปาติโมกข์" จำนวน ๒๔ เล่ม และมีธงผ้ารูปจระเข้ หรือสัตว์น้ำอย่างอื่น เช่น ปลา นางเงือก สำหรับปักหน้าวัด เมื่อทอดกฐินเสร็จแล้ว การปักธงนี้เป็นเครื่องหมายให้ทราบว่าวัดนั้นๆ ได้รับกฐินแล้ว และให้อนุโมทนากฐินร่วมกัน

การถวายผ้ากฐิน
เมื่อเจ้าภาพมาถึงวัดที่จะทอดกฐิน ต้องกำหนดดูว่า วัดนั้นๆ จะให้ทำพิธีทอดกฐิน ณ สถานที่ใด โดยมากนิยมทำในอุโบสถ เพราะพระสงฆ์สามารถจะสวดญัตติทุติยกรรมวาจา ให้เสร็จในคราวเดียวไปเลย แต่บางวัดอาจให้ทำพิธีถวายที่ศาลาการเปรียญในเบื้องต้นก่อน แล้วพระสงฆ์จะพากันไปสวดญัตติทุติยกรรมวาจาในอุโบสถในภายหลัง
หากเป็นสมัยโบราณ เมื่อภิกษุซึ่งจำพรรษาครบสามเดือนในวัดเดียวกัน (ต้องมีจำนวน ๕ รูปขึ้นไป) ประชุมกันในอุโบสถ พร้อมใจกันยกผ้ากฐินให้แก่ภิกษุรูปหนึ่งในหมู่พวกเธอ ภิกษุรูปนั้นทำกิจ ตั้งแต่ ซัก กะ ตัด เย็บ ย้อมให้เสร็จในวันนั้น ทำพินทุกัปปะอธิษฐานเป็นจีวรครองผืนใดผืนหนึ่งในไตรจีวร แล้วบอกแก่ภิกษุสงฆ์ผู้ยกผ้าให้เพื่ออนุโมทนา และภิกษุนั้นอนุโมทนาแล้ว ที่เรียกว่า "กรานกฐิน" ก็เป็นการสำเร็จประโยชน์
แต่ถ้าผ้ากฐินเป็นจีวรสำเร็จรูป กิจที่จะต้อง ซัก กะ ตัด เย็บ ย้อม ก็ไม่มี ให้ภิกษุรูปนั้นทำพินทุกัปปะอธิษฐานเป็นจีวรครองผืนใดผืนหนึ่งในไตรจีวร แล้วบอกแก่ภิกษุสงฆ์ผู้ยกผ้าให้เพื่ออนุโมทนา เมื่อภิกษุสงฆ์พาอนุโมทนาแล้ว ก็เป็นการสำเร็จประโยชน์เหมือนกัน
ในปัจจุบัน เมื่อเจ้าภาพได้ตระเตรียมพร้อมแล้ว พระสงฆ์พร้อมแล้ว ก่อนถวายกฐิน ให้อาราธนาศีล รับศีล เมื่อรับแล้ว ทายกประกาศให้รู้พร้อมกัน ประธานผู้ทอดกฐินหันหน้าไปทางพระพุทธรูป ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วหันหน้ามาทางพระสงฆ์ กล่าวถวายเป็นภาษาบาลี ภาษาไทย หรือทั้งสองภาษาก็ได้ ว่าคนเดียวหรือว่านำแล้วคนทั้งหลายว่าตามพร้อมกันก็ได้ การกล่าวคำถวายจะกล่าวเป็นคำๆ หรือจะกล่าวรวมกันเป็นวรรคๆ แล้วแต่ความสะดวกของผู้กล่าวนำและผู้กล่าวตาม คำถวายมีดังนี้
“อิ มัง ภันเต สะปะริวารัง กะฐินะทุสสัง สังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุ โน ภันเต สังโฆ อิมัง สะปะริวารัง กะฐินะทุสสัง ปะฏิคคัณหาตุ ปะฏิคคะเหตตะวา จะ อิมินา ทุสเสนะ กะฐินัง อัตถะระตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ”
แปลว่า “ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวาย ซึ่งผ้ากฐินกับทั้งผ้าบริวารทั้งหลายเหล่านี้ แก่พระสงฆ์ ขอพระสงฆ์จงรับ ซึ่งผ้ากฐินกับทั้งผ้าบริวารทั้งหลายเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย ครั้นรับแล้ว จงกรานกฐินด้วยผ้านี้ เพื่อประโยชน์และความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนานเทอญ ฯ”
เมื่อจบคำถวายแล้ว พระสงฆ์รับสาธุพร้อมกัน องค์กฐินพร้อมทั้งบริวารนั้น ถ้าเจ้าภาพปรารถนาถวายเป็นของสงฆ์ทั้งหมด ก็ไม่ต้องประเคน แต่ถ้าจะประเคน ก็อย่าประเคนแก่สมภาร หรือองค์ที่รู้ว่าจะต้องครอง ให้ประเคนองค์อื่น องค์ที่เหมาะสม ก็คือองค์รองลงมา เฉพาะองค์กฐินนั้นไม่จำเป็นต้องประเคน จากนั้นประธานผู้ทอดกฐินกลับเข้าประจำที่นั่งของตน
ขั้นตอนจากนี้พระสงฆ์จะทำพิธีอปโลกน์ คือ การแจ้งให้ทราบ หรือ การขอความเห็นชอบ มีลำดับขั้นตอนดังนี้

พระรูปที่ ๑ จะกล่าวว่า
“ผ้ากฐินทานกับทั้งผ้าอานิสังสบริวารทั้งปวงนี้ เป็นของ ....(ระบุชื่อเจ้าภาพ)...พร้อมด้วยญาติมิตรและสัมพันธชน ผู้ประกอบด้วยศรัทธา อุตสาหะพร้อมเพรียงกันนำมาถวาย แด่พระภิกษุสงฆ์ผู้อยู่จำพรรษาถ้วนไตรมาสในอาวาสนี้
ก็แลผ้ากฐินทานนี้ เป็นของบริสุทธิ์ ดุจเลื่อนลอยมาโดยนภากาศแล้ว แลตกลงในที่ประชุมสงฆ์ จะได้จำเพาะเจาจงลงว่าเป็นของพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งก็หามิได้ มีพระบรมพุทธานุญาตไว้ว่า ให้พระสงฆ์ทั้งปวงยอมอนุญาตให้แก่ภิกษุรูปหนึ่ง เพื่อจะทำซึ่งกฐินนัตถารกิจ ตามพระบรมพุทธานุญาต และมีคำพระอรรถกถาจารย์ ผู้รู้พระบรมพุทธาธิบายสังวรรณนาไว้ว่า ภิกษุรูปใดประกอบด้วยศีลสุตาธิคุณ มีสติปัญญาสามารถ รู้ธรรม ๘ ประการ มีบุพพกิจ เป็นต้น ภิกษุรูปนั้นจึงสมควร เพื่อจะกระทำกฐินนัตถารกิจ ตามพระบรมพุทธานุญาตได้
บัดนี้ พระสงฆ์ทั้งปวง จะเห็นสมควรแก่ภิกษรูปใด จงพร้อมกันยอมอนุญาตให้แก่ภิกษุรูปนั้น เทอญฯ”

ในลำดับนี้ พระสงฆ์ทั้งหมดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง พระรูปที่ ๒ จะกล่าวต่อไปว่า
“ผ้ากฐินทาน กับทั้งผ้าอานิสังสบริวารทั้งปวงนี้ ข้าพเจ้าพิจารณาเห็นสมควรแก่...(ระบุชื่อผู้ที่จะเป็นองค์ครองกฐิน)... เป็นผู้มีสติปัญญาสามารถ เพื่อกระทำกฐินัตถารกิจให้ถูกต้องตามพระบรมพุทธานุญาตได้ ถ้าพระภิกษุรูปใดเห็นไม่สมควร จงทักท้วงขึ้นในท่ามกลางระหว่างสงฆ์ (หยุดนิดหนึ่ง) ถ้าเห็นสมควรแล้วไซร้ จงให้สัททสัญญาสาธุการขึ้นให้พร้อมกัน เทอญฯ”
พระสงฆ์ทั้งหมดรับว่า สาธุ พร้อมกัน
เมื่อพระสงฆ์ทำพิธีเบื้องต้นของท่านเสร็จ ในตอนนี้เจ้าภาพจะประเคนบริวารกฐินก็ได้ จากนั้นพระสงฆ์อนุโมทนา เจ้าภาพทั้งหมดตั้งใจฟังคำอนุโมทนา และกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล
เพียงเท่านั้น ก็เสร็จพิธีถวายกฐินสำหรับทายกผู้มีศรัทธา ต่อจากนั้นเป็นหน้าที่ของพระสงฆ์จะได้ดำเนินการในเรื่องกรานกฐินต่อไป
ประเพณีการทอดกฐินนี้ ยังมีอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งเราเรียกว่า “จุลกฐิน” และได้นิยมกันมาแต่โบราณกาล ถือกันว่า ถ้าผู้ใดมีความสามารถทอด “จุลกฐิน” นี้ได้ จะเป็นผู้ได้รับอานิสงส์มาก
วิธีทอด “จุลกฐิน” นี้ ต้องทำอย่างนี้ คือ ต้องไปเก็บเอาฝ้ายมาปั่นเป็นด้ายแล้วทอให้เป็นผืนผ้ากฐินให้เสร็จในวันเดียว แต่การทอด “จุลกฐิน” นี้ ต้องช่วยหลายคนจึงจะเสร็จในวันเดียวได้ จะต้องให้ทันกับเวลาอีกด้วย คือต้องช่วยกันหลายๆ แรง แบ่งหน้าที่กันทำอย่างชุลมุนวุ่นวาย เมื่อทำเสร็จ พอที่จะทำเป็นผ้ากฐินได้ ก็รีบนำไปทอด คงจะเป็นเพราะเหตุนี้เอง จึงได้เรียกว่า “จุลกฐิน”
"จุลกฐิน" คือ เป็นผ้าที่สำเร็จขึ้นได้ด้วยการช่วยเหลือกันคนละไม้คนละมือ เช่น เมื่อเก็บฝ้ายแล้วก็เอาฝ้ายนั้นมาปั่น มากรอ มาสาง เมื่อเสร็จเป็นเส้นด้ายแล้ว ก็เอามาทอเป็นผ้า แล้วเอามาตัด มาเย็บ มาย้อม ให้เสร็จเรียบร้อยวันเดียวกันนั้น ทุกสิ่งทุกอย่าง

-http://watkaokrailas.igetweb.com/index.php?mo=3&art=41907064-

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 04, 2012, 03:53:46 pm
กฐินตกค้าง
กฐินประเภทนี้ มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "กฐินตก" " กฐินโจร" ศาสตราจารย์พระยาอนุมานราชธน ได้กล่าวถึงเหตุผลที่เกิดกฐินชนิดนี้ ตลอดจนชื่อเรียกที่ต่างกันออกไปว่า (จากเรื่องเทศกาลออกพรรษา)
“..... แต่ที่ทำกันเช่นนี้ ทำกันอยู่ในท้องถิ่นที่มีวัดตกค้าง ไม่มีใครทอดก็ได้ จึงมักมีผู้ศรัทธาไปสืบเสาะหาวัดอย่างนี้ เพื่อทอดกฐินตามปกติในวันใกล้ๆ จะสิ้นหน้าทอดกฐิน หรือในวันสุดท้ายของกาลกฐิน (คือวันก่อนวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒)
การทอดกฐินอย่างนี้เรียกว่า "กฐินตกค้าง" หรือเรียกว่า "กฐินตก" บางถิ่นก็เรียก "กฐินโจร" เพราะกิริยาอาการที่ไปทอดอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว จู่ๆ ก็ไปทอด ไม่บอกกล่าวเล่าสิบล่วงหน้าให้วัดรู้ เพื่อเตรียมตัวกันได้พร้อมและเรียบร้อย
การทอดกฐินตก ถือว่าได้บุญอานิสงส์แรงกว่าทอดกฐินตามธรรมดา บางคนเตรียมข้าวของไปทอดกฐินหลายๆ วัด แต่ได้ทอดน้อยวัด เครื่องไทยธรรมที่ตระเตรียมเอาไปทอดยังมีเหลืออยู่ หรือบางวัดทอดไม่ได้ (อาจเป็นที่ไม่ครบองค์สงฆ์) ก็เอาเครื่องไทยธรรมเหล่านั้นจัดทำเป็นผ้าป่า เรียกกันว่า ผ้าป่าแถมกฐิน”
กฐินประเภทนี้ เรื่ององค์กฐิน บริวารกฐิน ยังคงเป็นเช่นเดียวกับกฐินอื่นๆ ที่กล่าวมาแล้ว ส่วนข้อแตกต่างที่ชัดเจนคือ ไม่มีการจองวัดล่วงหน้า การทอดก็ทอดได้เฉพาะวัดที่ยังไม่มีใครทอด และเจ้าภาพเดียวอาจจะทอดหลายวัดก็ได้ ตลอดจนสามารถนำเอาของไทยธรรมที่เหลือทำเป็นการบุญชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ผ้าป่าแถมกฐินหรือบางท่านเรียกว่า “ผ้าป่าหางกฐิน” นั่นเอง

ปริศนาธรรม
ในประเพณีทอดกฐิน บรรพบุรุษไทยได้แฝงภูมิปัญญาและปริศนาธรรมไว้กับธงรูปจระเข้และธงรูปนาง มัจฉา ที่มองเห็นกันดาษดื่นในเทศกาลกฐิน เบื้องหลังธง ๒ ผืนนี้ มีวิสัชนา ๓ นัย คือ :
๑.วิสัชนาตามแนวนิทานพื้นบ้าน
๒. วิสัชนาตามแนวหลักธรรม
๓. วิสัชนาตามแนวภูมิปัญญาไทย
ตามแนวแรก มีนิทานพื้นบ้านที่เล่าต่อๆ กันมาว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่ง เป็นคนตระหนี่อย่างเหนียวแน่น ไม่เคยทำบุญกุศลใด เมื่อเวลาที่มีชีวิตอยู่เลย มุ่งแต่เก็บสะสมทรัพย์สินเงินทองซ่อนไว้มิให้ใครรู้ สถานที่ซ่อนทรัพย์สินดังกล่าวอยู่ที่หัวสะพานท่าน้ำหน้าบ้านตน
ครั้นต่อมาเศรษฐีได้สิ้นชีวิตลง ขณะที่จิตใจเป็นห่วงถึงทรัพย์ที่ซ่อนไว้ ทำให้ไปเกิดเป็นจระเข้เฝ้าสมบัติ จระเข้อดีตเศรษฐีระลึกชาติเก่าของตนได้ รู้สึกทรมานกับชีวิตที่ไปเกิดเป็น สัตว์เดรัจฉาน ได้ไปเข้าฝันภรรยาและลูกให้ไปขุดสมบัติเอาไปทำบุญ ภรรยาและลูกได้ไปขุดสมบัติ จัดเป็นองค์กฐินเพื่อจะนำไปถวายวัดในฤดูทอดกฐิน
ฝ่ายจระเข้อดีตเศรษฐีก็ดีใจ ว่ายน้ำตามขบวนเรือแห่กฐิน แต่เนื่องจากวัดอยู่ไกล จระเข้หมดแรงว่ายน้ำต่อไปไม่ไหว ภรรยาและลูกจึงให้ช่างวาดรูปจระเข้ใส่ธงไปแทน เมื่อทอดกฐินเสร็จ ภรรยาก็อุทิศส่วนกุศลให้ว่า "บัดนี้เศรษฐีผู้ล่วงลับได้เอาทรัพย์มาทอดกฐินถวายพระแล้ว"
ขณะนั้นจระเข้ก็จะโผล่หัวขึ้นมาจากน้ำ พอทอดกฐินเสร็จ พระอนุโมทนาให้พรจบ จระเข้นั้นก็มุดน้ำหายไปเลย ทุกวันนี้ก็เลยมีธรรมเนียมอันนั้นขึ้นมา จระเข้คาบดอกบัวได้กลายเป็นสัญลักษณ์ในการทอดกฐิน ส่วนรูปนางสุวรรณมัจฉา พบแต่เพียงเล่าว่า ใช้ประดับเพื่อนำทางเบิกทางในทางน้ำ และเรียกผู้คนให้มาร่วมงานกัน
ตามแนวที่สอง มีผู้อธิบายโดยอิงหลักธรรมว่า เป็นปริศนาจากธรรมของพระพุทธเจ้าที่ท่านกล่าวถึง ภัยของภิกษุใหม่ โดยยกอุปมากับสิ่ง ๔ ชนิด คือ :
๑. วังวน ๒. คลื่นลม
๓. จระเข้ ๔. ปลาร้าย
ที่จะทำให้ภิกษุทั้งหลายไม่สามารถตั้งอยู่ในพรหมจรรย์ได้
วังวน คือ กามคุณ ๕ ความยินดีในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
คลื่นลม คือ คำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ ถ้าทนคำสั่งสอนไม่ได้ก็เหมือนกับเรือที่ล่มลงกลางทะเล วัฏสงสาร
จระเข้ คือ ความเห็นแก่กิน เห็นแก่นอน ไม่ปฏิบัติธรรม
ปลาร้าย หมายถึง เพศตรงข้าม ที่จะมาเอาไปกินเสียก่อนที่จะบรรลุมรรคผล เขาก็เลยสร้างรูปนางมัจฉาขึ้น
นางมัจฉา เป็นตัวแทนของปลาร้าย ในขณะเดียวกัน บางทีก็มีรูปคลื่นอยู่ข้างล่าง บางทีก็มีน้ำวนอยู่ด้วย เมื่อรวม ๆ กันแล้วให้มันตรงกับภัยของภิกษุใหม่ หากพูดกันตามความเป็นจริง ภัย ๔ อย่างนี้ ไม่ว่าพระใหม่หรือพระเก่าเจอเข้าก็เดี้ยงเหมือนกัน สำคัญตรงที่ว่า มีสติสัมปชัญญะที่จะต่อสู้สักแค่ไหน
หากกล่าวถึง ตามแนวภูมิปัญญาไทย อาจกล่าวได้ว่า ในโบราณสมัย การจะเดินทางต้องอาศัยดาว ช่วยประกอบ เหมือนเช่นการยกทัพเคลื่อนขบวนในตอนจวนจะสว่าง จะต้องอาศัยดาวจระเข้ เพราะดาวจระเข้นี้ ขึ้นในตอนจวนจะสว่าง การทอดกฐินมีภาระมาก บางทีต้องไปทอด ณ วัดซึ่งอยู่ไกลบ้าน
ฉะนั้น การดูเวลาจึงต้องอาศัยดาว พอดาวจระเข้ขึ้น ก็เคลื่อนองค์กฐินไปสว่างเอาที่วัดพอดี และต่อมาก็คงมีผู้คิดทำธงในงานกฐิน ในชั้นต้นก็คงทำธงทิวประดับประดาให้สวยงามทั้งที่องค์กฐิน ทั้งที่บริเวณวัด
และภายหลังคงหวังจะให้เป็นเครื่องหมายเนื่องด้วยการกฐิน ดังนั้น จึงคิดทำธงรูปจระเข้ เสมือนประกาศให้รู้ว่าวัดนั้นวัดนี้ทอดกฐินแล้ว ผู้ที่ประสงค์จะทอดกฐินตกค้างจะได้ไปหาวัดอื่นๆ
แต่ว่าพอมารุ่นหลัง เนื้อหามันเปลี่ยน เรื่องของธงกฐินตอนแรก เกิดจากเรื่องเศรษฐีตระหนี่ พอตอนหลัง เนื้อหามันเปลี่ยนไป คนตีความไปอีกอย่าง ก็เลยมีธงนางมัจฉาเพิ่ม
มาระยะหลัง ๆ นี้ ก็มีครูบาอาจารย์เอาธงมาลงอักขระ เลขยันต์คาถาอาคม เอาไว้สำหรับการค้าขาย เพราะฉะนั้นสมัยหลัง ๆ ธงกฐินไม่ค่อยได้อยู่ติดวัดแล้ว พอทอดกฐินเสร็จชาวบ้านก็ล้มเสาที่ประดับธง เอาธงไปให้หลวงปู่หลวงพ่อท่านเจิม เจิมเสร็จก็เอาไปติดบ้านเป็นสิริมงคล ให้ค้าขายดี เป็นอนุสรณ์ไว้ตรึก ระลึกนึกถึงบุญกฐินที่ได้ไปบำเพ็ญมา

ส่งท้าย
บุญกฐินมีความพิเศษแตกต่างจากทานอย่างอื่นตรงที่มีข้อจำกัดมาก พอสรุปได้ ๗ ประการ คือ :
๑. จำกัดประเภททาน คือ ต้องถวายเป็นสังฆทานเท่านั้น จะถวายเฉพาะเจาะจงภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง
เหมือนทานอย่างอื่นไม่ได้
๒. จำกัดเวลา คือ ต้องถวายภายในระยะเวลา ๑ เดือน นับแต่วันออกพรรษาเป็นต้นไป
๓. จำกัดงาน คือ พระภิกษุที่กรานกฐินต้องตัด เย็บ ย้อม และครองให้เสร็จภายในวันที่กรานกฐิน
๔. จำกัดไทยธรรม คือ ผ้าที่ถวายต้องถูกต้องตามลักษณะที่สงฆ์กำหนดไว้
๕. จำกัดผู้รับ คือ พระภิกษุผู้รับกฐิน ต้องเป็นผู้ที่จำพรรษาในวัดนั้นโดยไม่ขาดพรรษา
และจำนวนไม่น้อยกว่า ๕ รูป
๖. จำกัดคราว คือ วัด ๆ หนึ่งรับกฐินได้เพียงปีละ ๑ ครั้งเท่านั้น
๗. จำกัดสถานที่ คือ เมื่อเวลาพระสงฆ์จะสวดญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าด้วยเรื่องกฐิน จะต้องทำในเขตสีมาเท่านั้นด้วยเหตุจำกัดทั้งหมดนี้ บุญกฐิน จึงมีอานิสงส์มาก



แหล่งข้อมูลอ้างอิง
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙.
มหามกุฏราชวิทยาลัย, พระไตรปิฎกพร้อมอรรถกถาแปล ชุด ๙๑ เล่ม. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์
มหามกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๓๔.
กรมศิลปากร, ปัญญาสชาดก ฉบับ หอสมุดแห่งชาติ. พระนคร : โรงพิมพ์อักษรบริการ,
๒๔๙๙.
พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ.๙), กฐิน ผ้าป่า อานิสงส์. พิมพ์ครั้งที่ ๒,
กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖.
สำนักพระราชวัง, รวมเรื่องและข้อปฏิบัติเกี่ยวกับราชสำนัก. พิมพ์ครั้งที่ ๑๔, กรุงเทพฯ :
ห้างหุ้นส่วนจำกัด โรงพิมพ์เรือนแก้วการพิมพ์, ๒๕๔๗.

BUDSIR-VI: พระไตรปิฎก ประมวลคัมภีร์และแหล่งค้นพุทธศาสตร์ ฉบับคอมพิวเตอร์
http://www.mahachula.com/main.php?url=news_view&id=6 (http://www.mahachula.com/main.php?url=news_view&id=6)
http://palungjit.com (http://palungjit.com)
http://www.akefuture.com/product_view.asp?pid=249 (http://www.akefuture.com/product_view.asp?pid=249)
http://www.isangate.com/local/katin_04.html (http://www.isangate.com/local/katin_04.html)



(แก้ไขแล้ว รดา)



-http://watkaokrailas.igetweb.com/index.php?mo=3&art=41907064-
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 04, 2012, 04:02:42 pm
มหากฐิน ตกค้างของวัดใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปี 2553

พระวังหน้า,ชมรมรักษ์พระวังหน้า และกองทุนหาพระถวายวัด - ใต้ร่มธรรม
-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,646.195.html-
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong อ่านข้อความ
มาแจ้งข่าวบุญด่วนมาก

เมื่อสักพักนี้ พี่แอ๊วได้โทร.มาแจ้งผมเรื่อง "กฐินตกค้าง วัดที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้"

มาแจ้งเรื่อง คร่าวๆก่อน พรุ่งนี้พี่แอ๊วจะส่งรายละเอียดมาแจ้งให้ผมทราบอีกครั้ง

วัดที่สามจังหวัดชายแดนภาคใ้ต้ จำนวน 119 วัด ยังไม่มีเจ้าภาพกฐิน สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระองค์ท่านดูแลเรื่องนี้อยู่
ได้มีรับสั่งกับท่านเจ้าอาวาสวัดห้วยมงคล ในเรื่องนี้

ท่านเ้จ้าอาวาสวัดห้วยมงคล ท่านรับเรื่องกฐินมาจำนวน 64 วัด แต่มีวัดจำนวน 34 วัด ซึ่งได้มีเ้จ้าภาพแล้ว ยังคงเหลืออีก 30 วัด

การทอดกฐินในครั้งนี้ จะทอดกฐินในวันที่ 31 ตุลาคม 2553 ที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์

ผมเองได้จองผ้าไตรไว้ 5 ชุด โดย 3 ชุดมีเจ้าภาพก็คือ

1.ชมรมรักษ์พระวังหน้า
2.คณะกองทุนหาพระถวายวัด
3.ผม,ผบทบ.และครอบครัว

ส่วนผ้าไตรชุดที่ 4 และ ที่ 5 ยังไม่มีเจ้าภาพ (หากไม่มีเจ้าภาพ ผมจะแยกโดย ชุดที่ 4 จะเป็นครอบครัวผม และชุดที่ 5 จะเป็นครอบครัวผบทบ.ผม)

ผ้าไตรครบชุด ประมาณ 2,000 - 2,500 บาท

กฐินอีก 30 วัด พี่แอ๊วได้โทร.มาบอกว่า อยากได้จำนวนเงินกฐินกองละ 3,000 บาท หรือมากกว่านั้น
โดยเงินที่ร่วมทำบุญจะกระจายไปในกองกฐินทุกๆกอง

ผมให้ร่วมทำบุญเฉพาะสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า , คณะพระวังหน้า , คณะกองทุนหาพระถวายวัด เท่านั้น เนื่องจากเงินที่ร่วมทำบุญ
จะโอนเข้าบัญชีส่วนตัวผม รายละเอียดบัญชีที่ผมจะให้โอนเงิน ผมจะแจ้งให้ทราบทาง Email เท่านั้นครับ

ซึ่งสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า , สมาชิกคณะพระวังหน้า และ สมาชิกกองทุนหาพระถวายวัด ผมได้แจ้งรายชื่อแล้วว่า ท่านอยู่ในส่วนไหนครับ

การทอดกฐินในครั้งนี้ จะทอดกฐินในวันที่ 31 ตุลาคม 2553 ที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ ดังนั้น การโอนเงินร่วมทำบุญ ต้องโอนเงินภายในวันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม 2553 นี้เท่านั้น

ผมรอรายละเอียดทั้งหมดจากพี่แอ๊ว ในวันพรุ่งนี้ครับ

โมทนาบุญทุกประการ

-----------------------------------------------

.
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Pinkcivil อ่านข้อความ
ผมกับแฟนร่วมทำถวายผ้าไตร 1 ชุดครับ

ส่วนเรื่องกฐินทราบจากลุงต้อย(สถาพร) เหมือนกัน แต่ยังไม่ทราบรายละเอียดอ่ะครับ

-----------------------------------------------

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong อ่านข้อความ
สำหรับชุดผ้าไตร และ เงินร่วมทำบุญ

เรื่องนี้ ผมขออนุญาต ถอนเงินของชมรมรักษ์พระวังหน้า มาจำนวน 10,000 บาท เพื่อมาร่วมในงานบุญนี้
และผมจะแจ้งและขอโทษท่านสมาชิกชมรมรักษ์พระัวังหน้าทุกๆท่านทราบทาง Email ในการที่ผมตัดสินใจโดยพละการครับ

.
สำหรับชุดผ้าไตร ยังเหลืออีก 1 ชุด ครับ


.
ส่วนคุณธวัช และ คุณปฐม ที่ได้โอนเงินมาให้ผม และบอกผมว่า แล้วแต่ผมจะนำไปทำบุญอะไรสุดแล้วแต่ผม ผมจะนำเงินของคุณธวัช และ คุณปฐม ทั้งหมด
ทำบุญในงานมหากฐินในงานนี้นะครับ

บุญใหญ่มากครับงานนี้

เป็นงานกฐินตกค้าง และ วัดก็อยู่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยครับ


อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong
เรียนคุณหนุ่มค่ะ

พี่ขอแก้ไขรายละเอียดเรื่องตัวเลขตามที่ได้โทร.เรียนคุณหนุ่มไว้นะคะ
พี่พิมพ์รีบๆ เลยผิดพลาดไป ต้องขออภัยด้วยค่ะ ตัวเลขที่ถูกต้องคือ กฐินกองละ
3,000 บาท จำนวน 100 กอง ก็จะได้ยอดเงิน 300,000 บาท
สำหรับจัดสรรให้วัดละ10,000 บาท จำนวน 30 วัด
แต่ถ้ามีผู้ร่วมทำบุญเกินกว่าที่ตั้งไว้ ก็จะได้ร่วมทำบุญไปกับทุกวัด
ถือเป็นมหาสังฆทานเลยนะคะ ที่มีโอกาสได้ร่วมถวายกฐินพร้อมกันทีเดียว 119 วัด
มีพระภิกษุสงฆ์มาชุมนุมร่วมกันถึง 595 รูป ( วัดละ 5 รูป )

กำหนดการคร่าวๆ คือทางในวังจะจัดเลี้ยงภัตตาหารเพลพระที่นิมนต์มาทั้งหมด
หลังจากนั้นจะเป็นการถวายผ้าพระกฐินและผ้ากฐินพร้อมกันทุกวัด
ให้แล้วเสร็จภายในเวลาบ่ายโมง เพราะหน่วยทหารจะต้องส่งพระกลับวัดก่อนค่ำ
แล้วผู้ที่เดินทางไปทำบุญก็ต้องรีบเดินทางออกจากพื้นที่พร้อมๆกัน
เพื่อความปลอดภัย ซึ่งพี่จะร่วมเดินทางไปกับคณะของท่านเจ้าอาวาสวัดห้วยมงคลด้วยค่ะ

การได้ร่วมทำบุญในมหากฐินครั้งนี้
พี่คิดว่ามีอานิสงส์มากเพราะนอกจากจะได้อานิสงส์ของกฐินแล้ว
ถือว่าได้ร่วมทำบุญโดยเสด็จพระราชกุศล
และได้ช่วยงานของพระศาสนาให้ยั่งยืนด้วย เพราะพระภิกษุสงฆ์ที่จำพรรษาอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อยู่อย่างยากลำบาก
และเสียสละเพื่อเจริญศรัทธาของชาวพุทธ ณ ที่นั้น
ปัจจัยที่ทำบุญเมื่อเทียบกับว่าแต่ละวัดต้องใช้ซ่อมแซมเสนาสนะภายในวัดและ เป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่นค่าอาหารพระ ค่าน้ำ ค่าไฟ ฯลฯ
ยังคิดว่าน้อยไปที่จะต้องใช้ประโยชน์ภายใน 1 ปี เพราะไม่มีใครกล้าเข้าไปทำบุญ ขนาดถึงกาลกฐินแล้วยังไม่มีเจ้าภาพ
แม้แต่ชาวบ้านในท้องถิ่นเลย สงสารพระที่ท่านจำพรรษามาจนครบไตรมาสด้วย ท่านจะได้มีกำลังใจในการที่จะเจริญศรัทธาญาติโยมต่อไป

พี่ขอกราบอนุโมทนาบุญกับคุณหนุ่มด้วยนะคะ
ที่เป็นกำลังของพระศาสนาอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง ปีนี้
สนส.ผาผึ้งไม่ได้รับกฐิน เพราะมีพระจำพรรษาเพียง 3 รูป คือ พระอาจารย์นิล
พระอาจารย์ตุ้ย และพระอีก 1 รูป
จึงถือเป็นโอกาสที่ดีที่คุณหนุ่มได้นำหมู่คณะร่วมเป็นเจ้าภาพมหากฐินครั้งนี้
เมื่อแล้วเสร็จจากงานกฐินก็คงต้องจัดผ้าป่าปิดงานพระเจดีย์อีกครั้ง
รวมทั้งผ้าป่าระบบประปาและห้องน้ำของ สนส.ผาผึ้ง แต่ค่อยว่ากันอีกทีนะคะ

พี่ขอรบกวนคุณหนุ่มช่วยรวบรวมปัจจัย และรายชื่อเจ้าภาพทั้งหมด ในนามชมรมทั้ง
2 ชมรมด้วยนะคะเพื่อจะได้ออกใบอนุโมทนาบัตรให้สำหรับผู้ที่ต้องการ
และหากมีผู้ประสงค์จะร่วมทำบุญโดยที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของชมรมเลย

**พี่ขอแจ้งบัญชีธนาคารไว้เป็นสาธารณะได้
โดยขอให้แจ้งหน้าเว็บว่าร่วมทำบุญจำนวนเท่าไหร่ พี่จะได้จัดการได้ถูกต้อง
บัญชีของพี่นะคะ : ธนาคารกรุงไทย สาขาถนนเพชรบุรีตัดใหม่ เลขที่บัญชี
.................ชื่อบัญชี ..................ค่ะ**

จากพี่แอ๊ว แจ้งมาให้ผมทราบทาง Email ครับ

---------------------------------------------

เรื่อง เลขที่บัญชีของพี่แอ๊ว สำหรับท่านใดที่ไม่ได้เป็นสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า , สมาชิกกองทุนหาพระถวายวัด
และ สมาชิกคณะพระวังหน้า ที่ผมได้แจ้งให้ทราบทาง Email แล้วนั้น มีความประสงค์ทึ่จะร่วมทำบุญ ผมจะ pm หมายเลขบัญชีให้ท่านทราบครับ

sithiphong


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 17, 2012, 04:09:50 pm
"อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร"ผู้ทำนาย 14 ตุลามหาวิปโยค และ สมัคร จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี
-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1353052819&grpid=01&catid=&subcatid=-

ส.สีมา  ศิลปวัฒนธรรม พ.ย. ๒๕๕๕

 


“เวทย์มนต์ย่อมเป็นที่สักการะของชนชาวไทยมาแต่ครั้งบรรพกาล จนเป็นที่เชื่อถือและฝังแน่นอยู่ในสายเลือดของคนไทยแทบทุกคนจนกระทั่งปัจจุบันนี้
แต่ปรากฏว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่มีความข้องใจในเคล็ดบางประการที่ใช้เป็นหลักในเวทย์มนต์คาถา ซึ่งจะหาศึกษาเล่าเรียนจากตำหรับต่างๆ ก็หาไม่ได้”

เทพย์ สาริกบุตร

จากหนังสือเคล็ดลับไสยศาสตร์
 
ชื่อ “เทพย์” เป็นนามมงคล หลวงวิศาลดรุณกร ผู้เป็นอาตั้งให้ ซึ่งมีความหมายว่าสูงส่งในความรู้ ความสามารถ ส่วนนามสกุล “สาริกบุตร” (Sarikaputra)
เป็นนามสกุลพระราชทานลำดับที่ ๑๒๔๗ โดยในหลวงรัชกาลที่ ๖ พระราชทานแก่ขุนพิทักษ์นาวา (ขุนทอง) ผู้เป็นต้นตระกูล “สาริกบุตร”

 

อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร เป็นนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญสายไสยศาสตร์และพุทธาคม ระดับต้นๆ ของเมืองไทย
รวมทั้งเป็นนักโหราศาสตร์ชั้นเยี่ยมที่หาตัวจับได้ยากคนหนึ่ง เป็นชาวกรุงเทพฯ เกิดเมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๒
และตายเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๖ รวมอายุ ๗๔ ปี วงการศึกษาไสยศาสตร์ พุทธาคม
และโหราศาสตร์ถือว่าได้สูญเสียบุคคลสำคัญที่หาใครทดแทนได้ยาก
เพราะตลอดชีวิตของท่านได้ทุ่มเทให้กับการศึกษาค้นคว้าศาสตร์ดังกล่าวอย่างเต็มที่

 

มีบางคนเปรียบเทียบท่านกับ คาร์ล กุสตาฟ จุง  จิตแพทย์ชาวสวิสที่อุทิศเวลาทั้งหมดให้กับการศึกษาค้นคว้าอนาไลติกไซโคโลยี (Analytic Psychology)
หรือวิชาจิตวิทยาวิเคราะห์อย่างจริงจัง สาเหตุเสริมส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะ อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร มีเศรษฐานะดี
ตระกูลขุนนาง มีเงินทองสมบูรณ์ ไม่ต้องปลีกเวลาส่วนหนึ่งไปประกอบการงานหาเลี้ยงชีพ

 

บิดาของอาจารย์เทพย์ สาริกบุตร รับราชการ แม้มิได้ระบุนาม สายงาน และบรรดาศักดิ์ ก็เชื่อว่ามีตำแหน่งค่อนข้างใหญ่
โดยรับราชการทั้งในกรุงเทพฯ และในส่วนภูมิภาค มีประวัติว่า บิดาเป็นศิษย์หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท
กับเป็นศิษย์หลวงปู่สี วัดมณีชลขัณฑ์ จังหวัดลพบุรี อีกด้วย

 

ฝ่ายมารดาของอาจารย์เทพย์ สาริกบุตรเอง ก็เป็นญาติสนิทกับ พันเอก หลวงธรณีนิติญาณ ผู้ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไสยศาสตร์และดาราศาสตร์เช่นกัน

 

ส่วนอาคือ หลวงวิศาลดรุณกร (อั้น สาริกบุตร) เคยเป็นอดีตอาจารย์คนแรกของโรงเรียนพลศึกษาก่อนจะมา
ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการปกครองโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย หลวงวิศาลฯ ผู้นี้เป็นผู้เชี่ยวชาญโหราศาสตร์ พุทธาคม
กับวิชากรรมฐานแห่งสำนักวัดสิทธาราม ซึ่งมีพระสังวราราม (ชุ่ม) เป็นเจ้าสำนัก
พระอาจารย์ชุ่มองค์นี้เป็นผู้เชี่ยวชาญวิปัสสนากรรมฐานอย่างยิ่งองค์หนึ่งในสมัยนั้น

 

จึงเห็นได้ว่า อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร เติบโตมาจากสภาพแวดล้อมแห่งพุทธาคม ไสยศาสตร์ และโหราศาสตร์มาตั้งแต่ต้น
ชวนให้เข้าใจว่าท่านได้ถูกจูงใจหล่อหลอมอย่างสำคัญให้สนใจศึกษาอย่างลึกซึ้งในด้านนี้

 

เพราะฉะนั้นคราวหนึ่งเมื่อบิดาย้ายไปรับราชการในต่างจังหวัด อาจารย์เทพย์ก็มิได้ติดตามบิดาไปด้วย คือยังคงอยู่ในกรุงเทพฯ
ศึกษาแสวงหาวิชาที่อาจเรียกรวมๆ ว่าไสยเวทพุทธาคม อันเป็นความรู้ชั้นยอดทั้งทางพราหมณ์และทางพุทธ ตามสำนักและวัดต่างๆ ในเบื้องต้น
เช่น วัดสามปลื้ม วัดปทุมคงคา และวัดสามจีน เป็นต้น สามวัดนี้มีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญวิชาไสยเวทพุทธาคม เชี่ยวชาญการสัก-สักยันต์
ผู้มีชื่อเสียงอันเป็นที่นิยมมากในสมัยนั้นหลายท่านอีกด้วย

 

จากนั้นจึงไปศึกษาในสำนักพระมหาโต๊ะ วัดราชบูรณะ ด้านการสักยันต์และวิชากรรมฐาน และกับท่านพระครูใบฎีกาเทพย์ สิงหรักษ์ วัดระฆัง
ก่อนจะศึกษาไสยศาสตร์กับท่านเจ้าคุณศรี วัดสุทัศน์ ศึกษาวิชาพระยันต์ ๑๐๘, นะ ๑๔ ตำรับพระพนรัต วัดป่าแก้ว
รวมทั้งวิชาหล่อพระชัยวัฒน์และพระกริ่งด้วย ทำให้อาจารย์เทพย์เชี่ยวชาญการหล่อพระกริ่งในเวลาต่อมา
ที่รู้จักกันดีก็คือ พระกริ่งปวเรศน้อย ที่กระทำการหล่อขึ้นครั้งอุปสมบทที่วัดสีหไกรสร (วัดช่องลม) เขตบางกอกน้อย
การอุปสมบทของท่านครั้งนั้นนัยว่ามีปัญหาการให้ฤกษ์กับคณะรัฐประหารคณะหนึ่ง ต่อเมื่อปัญหาได้รับการคลี่คลายแล้วจึงได้ลาสิกขา

 

หลังจากศึกษาวิชาในสำนักต่างๆ เขตกรุงเทพฯ ธนบุรี ระยะหนึ่ง จึงได้ศึกษาต่อสำนักต่างๆ ในส่วนภูมิภาค
เช่น สำนักอาจารย์สี วัดมณีชลขัณฑ์ จังหวัดลพบุรี สำนักหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว สำนักวัดประดู่โรงธรรม
สำนักหลวงปู่เทียม วัดกษัตราธิราช และสำนักหลวงพ่ออั๋น วัดพระญาติ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ทั้งนี้รวมทั้งสำนักหลวงปู่รอด วัดบางน้ำวน วัดน้อยทองอยู่กับวัดภุมรินทร์ราชปักษา (วัดทั้งสองวัดนี้ได้ร้างไปแล้วเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ ๒)

 

เมื่ออาจารย์เทพย์ได้ไปศึกษาวิชาจากสำนักต่างๆ ที่ลพบุรีและอยุธยาแล้วระยะหนึ่ง ก็กลับมาศึกษาต่อกับสำนักต่างๆ ในกรุงเทพมหานครอีก
เช่น กับพระครูสมุห์โต๊ด วัดชนะสงคราม และอาจารย์พรหม สำนักวัดพระเชตุพน เป็นต้น

 

แท้จริงแล้วอาจารย์เทพย์จะเดินสายศึกษาวิชาไสยเวทพุทธาคมระหว่างกรุงเทพฯ อยุธยา และลพบุรี จนเกือบตลอดชีวิต
สำหรับผลงานของอาจารย์เทพย์พอที่จะจำแนกได้ มีดังต่อไปนี้ ยกเว้นความเชี่ยวชาญเรื่องไสยศาสตร์ ซึ่งจะพูดถึงในตอนต่อไป คือ

 

เรื่องการสร้างพระกริ่ง มีพระกริ่งหลายชนิดอันเป็นที่นิยมที่อาจารย์เทพย์ได้จัดทำขึ้น เช่น พระกริ่งปวเรศน้อย พระกริ่งจอมสุรินทร์
พระกริ่งเอกาทศรถ พระกริ่งจิตคุโต พระกริ่งดาวเจ็ดดวง และพระกริ่งนวโกฏิ

 

เครื่องรางของขลัง ตะกรุด และยันต์ในตะกรุด เช่น ตะกรุดมหาจักรพรรดิ ตะกรุดคงกระพัน ตะกรุดดวงพิชัยสงคราม และตะกรุดคู่ชีวิต
ทั้งนี้รวมทั้งการลงยันต์และการทำผง เช่น ผงปถมัง อิทธิเจ ตรีนิสิงเห หัวใจ ๑๐๘ และมหาราชาด้วย
เป็นเจ้าพิธีสำคัญ เช่น พิธีมหาจักรพรรดิกษัตราธิราช

 

ความสามารถในการแกะไม้โพธิ์ พุทธมนต์ปางห้ามญาติ แกะไม้โพธิ์นิพพาน กับการแกะไม้ภควัมบดีจากไม้รักซ้อนและไม้หิ่งหายผี
สร้างเสื้อยันต์ผ้ายันต์ เชือกคาดเอว ซึ่งนิยมมากสมัยสงครามอินโดจีน เป็นเครื่องรางยอดนิยมอย่างหนึ่ง
นอกจากนี้ยังทำประคำเจ้าตรึงไตรภพ มีดเทพศาสตร์ (ขณะประกอบพิธีมีฟ้าผ่าลงมาเป็นที่อัศจรรย์)
นอกจากนั้นยังทำสีผึ้งเสน่หา และพิธีทำสีผึ้งสามไฟ ซึ่งดีทางเมตตามหานิยม มีคารมคมคายน่าเชื่อถือ
พิธีสุดท้ายทำที่วัดเสน่หา นอกจากนั้นมีการทำเหรียญนารายณ์แปลงรูป และเหรียญพุทธนิมิต

 

แต่ความขลังที่อาจารย์เทพย์ถูกกล่าวขานอยู่เสมอก็คือ ความสามารถในการสะเดาะกุญแจ
ความสามารถในการเสกดอกจำปาให้เป็นแมลงภู่
และเสกสีผึ้งเสน่หาให้คนเมตตารักใคร่

 

ความสามารถของอาจารย์เทพย์ตั้งแต่พิธีทำพระกริ่ง จนถึงสีผึ้งเสน่หานั้น ย่อมต้องเป็นผู้ผ่านการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
การเจริญกสิน และเจริญพุทธมนต์บทต่างๆ มาอย่างยาวนานและอย่างแคล่วคล่อง ช่ำชอง

 

สำหรับความเชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์ อาจารย์เทพย์ย่อมอยู่ในแถวหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย จะเห็นได้จากปฏิทินโหราศาสตร์ที่อาจารย์จัดทำขึ้น
มีความละเอียดประณีตอย่างยิ่ง และเป็นปฏิทินที่สัมพันธ์กับปฏิทินดาราศาสตร์สากลด้วย (ท่านที่สนใจ ศึกษาได้ที่หอสมุดแห่งชาติ แผนกปรัชญาและศาสนา)

 

ความเชี่ยวชาญทางโหราศาสตร์ของอาจารย์เทพย์น่าจะได้รับแรงจูงใจส่วนหนึ่งมาจากหลวงวิศาลดรุณกร (อั้น สาริกบุตร) ผู้เป็นอา
ซึ่งเป็นผู้แต่งคัมภีร์โหราศาสตร์ไทย ที่ถือกันว่าเป็นตำราชั้นครูในหมู่โหรเล่มหนึ่ง

 

 

อนึ่งหลวงวิศาลดรุณกร เคยเป็นครูมวยและเป็นอาจารย์คนแรกของโรงเรียนพลศึกษากลางก่อนจะไปเป็นอาจารย์ปกครองของโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
ครูมวยทั้งหลายย่อมสัมพันธ์กับคาถาอาคมและเวทมนตร์อยู่แล้ว เช่น วิษณุเวทย์ (วิชาพระนารายณ์ปราบหมู่พาล)
เป็นที่แน่นอนว่าเวทมนตร์คาถาเหล่านี้ย่อมส่งต่อถึงอาจารย์เทพย์ด้วยเช่นกัน

 

จากคำบอกเล่าของลูกสาวอาจารย์เทพย์คือ คุณพรทิพย์ สาริกบุตร ที่ให้สัมภาษณ์ คุณชัยวัฒน์ ตรีวิทยา เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๒
ได้ความว่า อาจารย์เทพย์เคยพยากรณ์ จอมพลสฤษฎิ์ ธนะรัชต์ ครั้งมียศเป็นเพียงพันตรี เป็นนายทหารจนๆ บ้านนอก จะได้เป็นใหญ่ในบ้านเมือง
ซึ่งคงจะเป็นที่ถูกใจท่านจอมพล หลังจากท่านจอมพลได้กระทำรัฐประหารสำเร็จเมื่อปี ๒๕๐๒
อันน่าจะส่งผลให้อาจารย์เทพย์ได้เป็น ส.ส. ประเภท ๒ ในทันที ขณะนั้นอายุ ๔๐ ปี

 

ก่อนหน้านั้น เคยมีข่าวว่า ครั้งหนึ่งอาจารย์เทพย์เคยมีปัญหาเรื่องการให้ฤกษ์ยามแก่คณะรัฐประหารคณะหนึ่งจนต้องไปบวชอาศัยร่มเงาสมณเพศ
ณ วัดสีหไกรสร บางกอกน้อยนั้นและจำพรรษาอยู่ที่นั่นนานพอควร จนสถานการณ์บ้านเมืองเป็นปกติจึงลาสิกขาในที่สุด
(คณะรัฐประหารคณะนั้น อาจเป็นคณะเมื่อปี ๒๔๙๒ ซึ่งอาจารย์เทพย์มีอายุโดยประมาณ ๓๐ ปีเท่านั้น)

 

คำให้สัมภาษณ์ของคุณพรทิพย์อีกเช่นกันที่บอกว่า อาจารย์เทพย์เคยทำนายเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖ ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างสำคัญ
กับเคยทำนายว่า นายสมัคร สุนทรเวช จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี จากนั้นไม่นานนายสมัครก็ได้เป็นผู้ว่าฯ กทม.
ซึ่งเป็นตำแหน่งบริหารที่ใหญ่มาก น้องๆ นายกรัฐมนตรีเหมือนกัน ถือว่าทำนายได้ใกล้เคียง เสียดายที่อาจารย์เทพย์ตายก่อน
หาไม่ก็จะได้รู้ว่านายสมัครผู้นั้นได้เป็นนายกรัฐมนตรีจริงๆ ในอีกหลายปีต่อมา

 

 

อาจารย์เทพย์เสียชีวิตเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๓๖ ด้วยโรคเบาหวาน ต้องตัดขาทั้ง ๒ ข้าง แต่อาจารย์ก็มีกำลังใจดีเป็นเลิศ
ด้วยมีธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ได้รับพระราชเพลิงที่วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน
 

ผู้เขียนขอขอบพระคุณ ดร. สันติพงศ์ บริบาล แห่งคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่กรุณาให้ข้อมูล

-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1353052819&grpid=01&catid=&subcatid=-
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 30, 2012, 09:13:49 pm
เซียนสู พรหมเชยธีระ


(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2377490&stc=1&d=1354281011)
ท่านอาจารย์เชย

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2377491&stc=1&d=1354281126)
อาจารย์สู พรหมเชยธีระ



อาจารย์สู พรหมเชยธีระ เกิดในบ้านตระกูลชื้อ ที่ตำบลโปชั้งเฮี้ยว อำเภอเก็กเอี๊ยว จังหวัดแต้จิ๋ว มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน
เมื่อปีมะแม เดือนสี่ วันที่สิบสองของจีน ซึ่งตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๔๕๐ มีชื่อเดิมว่า สูเชียง แซ่ชื้อ

อาจารย์สู ได้จากบ้านเดิมมาเมื่อยังหนุ่ม เพื่อแสวงหาความรู้ทางธรรมและหมอโบราณตามสำนักเต๋าขงจื๊อและศาสนาพุทธ
จากประเทศจีนได้เดินทางต่อมาในอินโดจีน ท่องเที่ยวหาความรู้ไปในประเทศเวียตนามและเขมร
สุดท้ายได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยเมื่ออายุได้ ๒๑ ปี โดยใช้ชื่อว่า นายเสียง แซ่ชื้อ
ได้มาพำนักที่วัดจีนแห่งหนึ่งในจังหวัดฉะเชิงเทรา ต่อมาได้บวชเป็นเณร มีฉายาว่า “เสี่ยงลก”
ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการสวดมนต์ ภาวนา มานานนักได้ย้ายมาอยู่ที่วัดเซียนฮุดยี่ จังหวัดชลบุรี

เมื่อมาอยู่เมืองไทยได้ ๓ ปี ก็เดินทางไปสิงคโปร์และสึกที่นั่น ท่องเที่ยวอยู่พักหนึ่ง ก็เดินทางกลับประเทศจีน อยู่ได้เดือนกว่า
ก็เดินทางกลับมาเมืองไทยอีก โดยมอบสมบัติทั้งหมดให้น้องชายช่วยดูแลแม่ให้ดี เมื่อเข้ามาอยู่ในเมืองไทย
ได้ไปทำงานอยู่กับคนขายก๋วยเตี๋ยวที่หัวหิน ได้ค่าจ้างเดือนละ ๑๕ บาท พอเก็บเงินได้ ๕๐ บาท
ก็เข้าหุ้นกับคนจีนไหหลำคนหนึ่ง ทำขนมปังขาย โดยในขณะเดียวกัน ก็รับจ้างทำงานกับคนขายก๋วยเตี๋ยวไปด้วย
ทำงานอยู่หัวหินได้ ๖ – ๗ เดือน ก็มอบกิจการทำขนมปังให้เพื่อนร่วมงานทั้งหมด แล้วเดินทางมาจังหวัดชลบุรี
และอยู่ที่นี่ จวบจนบั้นปลายของชีวิต ท่านอาจารย์ได้ประกอบอาชีพทอดปาท่องโก๋และขายขนปังเป็นอาชีพหลัก
ในบางครั้ง ก็เดินทางไปค้าขายตามภาคเหนือ แถวจังหวัดสุโขทัย พิษณุโลก
เมื่ออายุ 34 ปี ได้แต่งงานกับ คุณสุนันท์ บุญประเวศ จึงได้ภรรยามาแบ่งเบาภาระ ทำให้ท่านมีเวลาฝึกกรรมฐาน
และช่วยเหลือผู้อื่นได้เต็มที่



ครั้นท่านมีอายุ 41 ปีก็ได้พบพระรูปหนึ่งอยู่วัดราษฏร์บำรุง ชื่ออาจารย์เชย ซึ่งมากำกับท่านขณะนั่งกรรมฐานในนิมิตอยู่เสมอมิเคยขาด
เมื่ออาจารย์สูได้พบกับท่านอาจารย์เชยที่ตรงกับที่ท่านฝันเห็นในนิมิต จึงเกิดความเลื่อมใสได้เข้ามอบตัวเป็นศิษย์แต่นั้นมา

พระอาจารย์เชยมีวัตรปฏิบัติแปลกกว่าภิกษุอื่นๆ ปกติ ท่านไม่ค่อยพูด ในบางครั้งขุดดินอยู่ใต้พื้นดินขังตัวเอง
ทำแต่ปล่องอากาศสำหรับหายใจเหมือนเรือดำน้ำ ท่านจะครองแต่จีวรเก่าๆ
จำวัดอยู่ในโกดังเก็บศพและชอบนอนในโลงศพเป็นนิจศีล บางทีก็ออกไปนั่งอยู่กลางทุ่งนา ฝนจะตก แดดจะออกขนาดไหน
ท่านก็นั่งเฉยอยู่อย่างนั้น วันหนึ่งเด็กเลี้ยงควายไปเห็นพื้นที่ที่อาจารย์นั่งอยู่ท่ามกลางแสงแดดกลับร่มเป็นวงกลมคล้ายมีกลดมาบัง
ครั้นถึงคราวฝนตกเด็กก็ไปเห็นฝนไม่ตกเฉพาะพื้นที่ที่พระอาจารย์เชยนั่ง เด็กๆจึงโวยวายเอาไปเล่าให้ผู้ใหญ่ฟัง
เลยมีผู้คนแห่ไปขอหวยเป็นการใหญ่ จนโดนท่านด่าเปิงไปตามๆกัน

เมื่อท่านอาจารย์สูไปขอมอบตัวเป็นศิษย์นั้น พระอาจารย์เชยสั่งให้นำดอกไม้ 5 ชนิดไปถวาย
แล้วท่านได้สอนวิชากำหนดลมหายใจเข้าออก หรืออานาปานสติ แล้วไล่ให้อาจารย์สูไปปฏิบัติเอง

ท่านอาจารย์สูเคยเล่าว่า พระอาจารย์เชยชอบทำอะไรแผลงๆ เช่น คราวหนึ่งท่านปืนขึ้นไปบนยอดตาลแล้วเอาใบตาลเสียบแขน 2 ข้าง
เป็นปีกกระพือขึ้นลง พลางตะโกนว่า "กูจะเหาะแล้วโว้ย ! กูจะเหาะแล้วโว้ย!"

ทันใดนั้นก็กระโดลงมาจากยอดตาลถึงพื้นดินเดินขึ้นกุฏิหน้าตาเฉย ถ้าเป็นคนธรรมดาขาคงหักป่นปี้กองอยู่ตรงนั้น

มีอยู่อีกคราวหนึ่งอาจารย์สูไปเห็นพระอาจารย์เชยนั่งตกปลาอยู่ พอได้ปลาก็เอาขึ้นมาทุบหัว เลือดสาดกระจาย
แล้วขอดเกล็ดหั่นลงหม้อทั้งๆ ที่ปลายังดิ้นกระแด่วๆอยู่ พอแกงสุกก็ตักฉัน ปากก็บอกว่า "อร่อยๆ" แล้วเรียกอาจารย์สูให้ไปกิน
อาจารย์สูชิมดูรู้สึกมีรสฝาด พอพระอาจารย์เชยไปแล้วจึงเข้าไปเปิดฝาหม้อดู เห็นมีแต่ใบไม้ลอยเต็มไปหมด!

วันหนึ่งอาจารย์สูเที่ยวตามหาอาจารย์เชยทั่ววัดก็ไม่พบ ไปเจอท่านกำลังยืนพิงเจดีย์ หัวเราะอยู่คนเดียว
อาจารย์สูเข้าไปถามว่ามาทำอะไรอยู่ที่นี่ พระอาจารย์ตอบว่ากำลังดูละครสนุก สนุก
อาจารย์สูสงสัยถามว่าละครที่ไหน ท่านบอกว่าละครที่กรุงเทพฯ อยากดูไหม

ว่าแล้วพระอาจารย์ก็ชี้ให้อาจารย์สูดูที่กำแพง ปรากฏว่าท่านยกละครมาทั้งโรงมาแสดงให้ดูจริงๆ
เป็นภาพปรากฏออกมาเหมือนเขาถ่าย ทีวีกระนั้น

ครั้งท่านอาจารย์สูไปค้างกับพระอาจารย์เชยบนเขาปากแรดนั้น ท่านเล่าว่าเมื่อพระอาจารย์เชยฉันข้าวเสร็จ
ท่านจะเอาข้าวสุกกองไว้กลางแจ้งปากก็เรียก "หนูจ๋า มากินข้าว" สักครู่เห็นหนูนับร้อยๆตัวออกมาแย่งกินข้าวกันให้เจี๊ยวจ๊าวไปหมด
พระอาจารย์เชยเห็นดังนั้นก็สั่ง "เข้าแถวเรียงหนึ่งกินทีละตัว" พวกหนูก็จะเข้าแถวกินทีละตัวจนอิ่ม ฯลฯ

เมื่ออาจารย์สูปฏิบัติอานาปานสติสำเร็จแล้ว เช้าวันหนึ่งพระอาจารย์เชยก็เรียกเข้าไปหาแล้วบอกว่า "ภารกิจของอาตมาเสร็จสิ้นแล้ว"
พลางชูนิ้ว 3 นิ้วให้ดู

ท่านอาจารย์สูได้ฟังดังนั้นก็ก้มลงกราบ แล้วรีบลงจากภูเขาเป็นการด่วน เที่ยวไปซื้อจีวรครองทั้งชุดมาเปลี่ยนให้พระอาจารย์ของตน
พอครบ 3 วันตามที่ท่านบอก พระอาจารย์เชยก็ถึงแก่มรณภาพในท่านั่งสมาธิ ป่าทั้งป่าที่เคยมีสัตว์ร้องวุ่นวายไปทั้งดงก็เงียบกริบ
เหมือนไม่มีสิ่งที่มีชีวิตอาศัยอยู่ แม้แต่ใบไม้ก็ไม่ไหวติง

หลังจากเผาศพท่านแล้ว อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุหมด มีอยู่ชิ้นหนึ่งเป็นสามกษัตริย์ คือ เงิน นาค ทองทั้งแท่ง

เมื่ออาจารย์สูฝากตัวเป็นศิษย์กับพระอาจารย์เชยแล้ว ท่านก็หมั่นกระทำความเพียรโดยมานะ ครั้นมีอายุ 44 ปี
ก็เริ่มปฏิบัติอย่างจริงจัง ด้วยการแยกที่นอนกับภรรยาอย่างเด็ดขาด เพื่อประพฤติพรหมจรรย์แต่นั้นมา

ต่อมาท่านอายุได้ประมาณ 50 ปีเศษ หลังจากระอาจารย์เชยมรณภาพไม่นานนัก อาจารย์สูได้พาครอบครัวย้ายมาอยู่บ้านที่สร้างขึ้นใหม่
ในที่ดินที่เช่าจากวัดกำแพง ทั้งเลิกประกอบอาชีพทำขนมปัง และเริ่มให้การรักษาโรคแก่คนทั่วไปตามตำรายาจีน
ซึ่งถ่ายทอดมาจากตระกูล ประกอบกับการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตนเอง
นอกจากนั้นยังได้สอนธรรมะและวิธีปฏิบัติกรรมฐานแก่ผู้ที่สนใจ ทั้งยังแนะนำช่วยเหลือผู้อื่นที่แบกทุกข์มาหาท่าน
นับเป็นที่พึ่งแก่คนทั้งปวงแต่บัดนั้น

ซึ่งเรื่องนี้ คุณวิมล ศิริไพบูลย์ เจ้าของนามปากกา "ทมยันตี" ได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า

"อาเตีย" เป็นอาจารย์คนแรกที่สอนอี๊ดให้ปฏิบัติในทางที่ถูกต้อง เพราะเดิมอี๊ดชอบเล่นกสิณ
แต่อาเตียสอนให้อี๊ดจับลมหายใจเข้าออก อันเป็นแบบอานาปานสติกำหนดจิตดูลมหายใจของตนเอง"

คำว่า "อาเตีย" นี้เป็นสรรพนามที่คุณวิมลเรียกท่านอาจารย์สูด้วยความเคารพรักอย่างลึกซึ้ง
ทั้งนี้เพราะในบั้นปลายชีวิตของท่านอาจารย์สูได้ใช้เวลาอบรมสั่งสอนลูกหลาน และบรรดาศิษย์เป็นส่วนใหญ่
และในบรรดาศิษย์ทั้งหมดนั้น คุณวิมลเป็นศิษย์ที่ท่านยอมรับเป็นลูกสาวของท่านเพียงคนเดียวเท่านั้น

คุณวิมลได้เล่าให้ฟังว่า ท่านอาจารย์สูได้สงเคราะห์ความช่วยเหลือแก่ผู้อื่นด้วยดีเสมอมา
โดยไม่ต้องการชื่อเสียงเกียรติยศหรืออามิสใดๆ ท่านปฏิบัติเช่นนี้จนกระทั่งท่านจากไป

"ทมยันตี"ได้เล่าถึงเรื่องของเธอที่อาจารย์สูเคยช่วยเหลือว่า วันหนึ่ง ติ๊ก ลูกสาวคนเล็กของท่าน
นั่งสมาธิตรวจอาการปวดศีรษะของเธอซึ่งเป็นมานาน แล้วก็หันไปพูดกับท่านด้วยภาษาจีนอยู่นาน
พอจับใจความได้ว่าเธอกำลังเป็นเนื้องอกในสมอง

ครั้นท่านอาจารย์สูทราบจากลูกสาวแล้วก็เรียก "ทมยันตี" ให้ออกไปกลางแจ้งกับท่านเพียง 2 คน สั่งให้เธอนั่งคุกเข่า
ตัวท่านอาจารย์เองยืนเพ่งดวงอาทิตย์จนนัยน์ตาแดงดังนกกรดแล้วก้มลงใช้สายตาของท่านเพ่งที่หน้าผากของเธอครู่ใหญ่
เสร็จแล้วบอกว่าท่านช่วยได้แต่เพียงแค่นี้ คือหมายถึงเนื้องงอกที่กำลังจะเป็นในสมองไม่มีโอกาสจะงอกอีก
หากทว่าโรคปวดศีรษะยังคงมีต่อไป แต่ไม่มากเหมือนก่อน
"ทุกวันนี้อี๊ดปวดหัวเกือบทุกวัน แต่ไม่ค่อยรุนแรงพอทนได้" เธอบอก

ท่านอาจารย์สูได้ให้ความรักและความเมตตาแก่ "ทมยันตี" เหมือนลูกในไส้ ขนาดถ่ายทอดวิชาให้แก่เธอ
แต่มีข้อแม้ว่า ถึงจะมีใครมาปลุกในเวลาตี 1 ตี 2 เพื่อขอความช่วยเหลือก็จะต้องตื่นไปช่วยเหลือเขา

"อี๊ดตื่นไม่ไหวจ๊ะ เลยไม่ขอรับวิชานั้น แต่ท่านก็ให้วิชาแก่อื๊ดมาพอสมควร"

ด้วยความเคารพรักอย่างสุดใจที่"ทมยันตี"มีต่อ "อาเตีย" ของเธอนั้น ทำให้เธอทนดูสภาวการณ์บางอย่างไม่ไหว

เพราะผู้ที่ไปพึ่งท่านอาจารย์สูนั้น ไม่เคยคิดเลยว่าท่านต้องการจะพักผ่อนบ้าง
โดยเฉพาะต้องรับประทานอาหารเช่นเดียวกับมนุษย์ทั้งหลาย ฉะนั้น ท่านอาจารย์จึงต้องรับแขกตั้งเช้าจนถึงบ่าย
โดยไม่มีข้าวตกถึงท้องสักเม็ด ในขณะที่แขกหมุนเวียนเปลี่ยนกับไปออกหาอาหารรับประทานกันได้ตลอดเวลา

เมื่อ "ทมยันตี" เห็นเหตุการณ์เกิดขึ้นเช่นนี้อยู่เนื่องๆ วันหนึ่งเธอหมดความอดทน จึงเดินขึ้นบันไดปังๆไปหา"อาเตีย"ของเธอ
แล้วบอกด้วยสำเนียงที่เฉียบขาดว่า

"อาเตีย ไปทานข้าว! ตั้งแต่เข้าจนถึงบ่าย อาเตียไม่ได้หยุดเลย แต่พวกคุณๆ ผลัดกันลงไปทานกันทุกคน ฉะนั้นขอหยุดให้อาเตียได้พักผ่อนบ้าง"

แขกทุกคนที่นั่งอยู่ถึงแก่ตะลึง ส่วน"อาเตีย" ก็ยอมลุกเดินตาม "ทมยันตี" ไปรับประทานข้าวแต่โดยดี

และแล้ววันหนึ่งหัวใจของ"ทมยันตี" นักเขียนสตรีนามอุโฆษก็แทบจะแตกสลาย
เมื่อทราบว่า "อาเตีย" ที่เคารพรักประดุจบิดาบังเกิดเกล้าของเธอ ถึงแก่กรรมด้วยการนั่งสมาธิแล้วถอดจิตออกจากสังขาร
เช่นเดียวกับท่ามรณภาพของพระอาจารย์ท่าน ในคืนวันที่ 17 เมษายน 2522 เวลาประมาณ 20.45 น.

โดยมีคำกลอนที่เขียนบนกระดาษชิ้นน้อยติดไว้ใต้เสื่อที่ท่านนั่งเพียง 4 ประโยคว่า
ละครปิดฉาก
ลงเรือข้ามฟาก
ที่นี่เรียบเรียบ
ฝากให้รู้ข่าว
สู พรหมเชยธีระ



ที่มา -http://forums.apinya.com/อภิญญา/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0
%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0
%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0
%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87/372-อภิญญา-%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B9-%E0%B8%9E%
E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%A2%E0%B8%98%E0%
B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%B0.html-

เซียนสู พรหมเชยธีระ - อภิญญา อภิญญาใหญ่ คณะตามรอยพระพุทธบาทแก้วมณีโชติ
คณะพระธาตุแก้วมณีโชติ พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา - อภิญญา.คอม : Apinya.com (http://forums.apinya.com/อภิญญา/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%
E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%
E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%
E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87/372-อภิญญา-%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B9-%E0%B8%
9E%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%A2%E0%B8%98%E0%B8%
B5%E0%B8%A3%E0%B8%B0.html)

.

หากไม่เห็นรูป  ไปดูรูปตามลิงค์ด้านบน หรือ ผมลงไว้ตามลิงค์นี้ -http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2569.html-

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2569.html (http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2569.html)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 05, 2012, 10:37:21 am
[SIZE="1"].[/SIZE]

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2384857&stc=1&d=1354678610)

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
เหล่าข้าพระพุทธเจ้า ชมรมพระวังหน้า
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 13, 2012, 10:46:27 pm
กรมศิลป์ขุดพระราชวังหน้า พบกำแพง-โบราณวัตถุอายุ 230 ปี
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    13 ธันวาคม 2555 18:15 น.

(http://pics.manager.co.th/Images/555000015957701.JPEG)

   ‘กรมศิลป์’ ขุดพระราชวังหน้าครั้งแรก ตลึงพบแนวกำแพงโบราณ-โบราณวัตถุอายุกว่า 230 ปีต้นรัตนโกสินทร์ เร่งเก็บข้อมูลเปรียบเทียบหลักฐานเดิม
       
       นายสหวัฒน์ แน่นหนา อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า ได้รับรายงานความคืบหน้าโครงการอนุรักษ์และพัฒนาพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) บริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร โรงละครแห่งชาติ โรงละครหอศิลป์วังหน้า และสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ (สบศ.) ซึ่งเป็นโครงการอนุรักษ์ พัฒนาและฟื้นฟูพื้นที่พระราชวังบวรสถานมงคล ให้เหมาะสมกับความสำคัญการเป็นวังหน้าในอดีต จึงต้องรวบรวมและเก็บกู้หลักฐานทางโบราณคดี ข้อมูลทางโบราณคดี ประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม รวมถึงความเปลี่ยนแปลงในการใช้พื้นที่บริเวณวังหน้า ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันใหม่อีกครั้ง เนื่องจากพื้นที่วังหน้า คือพระราชวังที่ประทับของพระมหาอุปราช เรียกทางการว่า พระราชวังบวรสถานมงคล ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่ง


       ทั้งนี้ จากการขุดค้นในระยะที่ 1 พื้นที่ด้านทิศใต้หมู่พระวิมาน ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร จำนวน 2 หลุม ขนาดพื้นที่ 330 ตารางเมตร พบแนวอิฐส่วนฐานรากอาคารก่ออิฐถือปูน ตั้งอยู่ด้านหน้าพระที่นั่งทักษิณาภิมุข ซึ่งสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นอาคารยุคแรกๆ ของวังหน้า และพบเป็นแนวกำแพงล้อมพระที่นั่งอิศราวินิจฉัยด้านทิศใต้ รวมถึงพบร่องรอบธรณีประตูจากแผ่นหินดาดปูด้านข้างด้วย ที่สำคัญยังพบโบราณวัตถุในดินจำนวนหนึ่งเป็นวัตถุประเภทเศษภาชนะ เครื่องใช้ในครัวเรือน เครื่องประกอบสถาปัตยกรรมและเครื่องอาวุธปืน เครื่องประกอบเครื่องแต่งกายทหาร ทั้งนี้ได้ตรวจสอบข้อมูลของโบราณวัตถุจำนวนดังกล่าวคาดว่าน่าจะอยู่ในรัชสมัยรัชกาลที่ 1-5 มีอายุตั้งแต่ 150-230 ปี เนื่องจากสถานที่ดังกล่าวเคยเป๋นพระราชวังมาก่อน แต่ละรัชสมัยได้มีการรื้อถอนและปรับโครงสร้างของพระราชวังจึงทำให้โบราณวัตถุถูกฝังไว้ในดิน อย่างไรก็ตาม การขุดค้นทางโบราณคดีในพื้นที่ดังกล่าวถือว่าเป็นครั้งแรก เพราะที่ผ่านมามีการขุดค้นเฉพาะพื้นที่บริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) และสนามหลวงเท่านั้น
       
       นายสหวัฒน์กล่าวว่า หลังจากขุดแล้วจะต้องนำหลักฐานและข้อมูลที่ได้จากการขุดค้นทั้งหมดกลับไปวิเคราะห์และเปรียบเทียบกับข้อมูลทางประวัติศาสตร์ว่าเป็นโบราณสถานในรัชสมัยใดของกรุงรัตนโกสินทร์ ที่สำคัญต้องศึกษารายละเอียดว่าเป็นไปตามบันทึกเอกสารประวัติศาสตร์ของแต่ยุคแต่ละสมัยว่าตรงกันหรือไม่ หากเห็นตรงกับหลักฐานที่จารึกไว้ก็จะมีการบันทึกจัดทำเป็นรายละเอียดความเป็นมาให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น แต่ถ้าไม่ตรงก็ต้องหาข้อมูลเพิ่มเพื่อนำไปบันทึกให้ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ในระยะที่ 2 ยังต้องดำเนินการต่อไปโดยจะดำเนินการขุดค้นในบริเวณด้านหน้าโรงราชรถ โรงละครแห่งชาติ โรงละครหอศิลป์วังหน้า และ สบศ.ต่อด้วย

(http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=2398862&stc=1&d=1355413562)

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9550000151465-
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 29, 2012, 10:50:35 pm
เรียน ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า , พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่าน

ผมได้แจ้งเรื่องท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ท่านเสียชิวิตแล้วเมื่อวานนี้ (28 ธ.ค.2555) เวลา 18.32 น. ให้ทุกๆท่านทราบทางEmail แล้ว

วันนี้ผม , สมาชิกชมรมพระวังหน้า และ พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ หลายๆท่าน ได้ไปร่วมในงานศพ

ผมเองก็ได้สั่งพวงหรีดมา 2 พวง พวงแรกในนามของคณะลูกศิษย์พระอาจารย์นิล พวงที่สองในนามของชมรมพระวังหน้า โดยผมและคุณแด๋นได้ร่วมกันจ่ายเงินไป

ส่วนในงานศพฯ ผมกับคุณแด๋น ได้ไปซื้อชุดผ้าไตร มา 1 ชุด และ เครื่องไทยธรรมมาเพื่อถวายพระภิกษุที่ท่านมาสวดในงานสวดพระอภิธรรม และคุณแด๋นได้เช่าพระพุทธรูปทรงเครื่อง หน้าตัก 5 นิ้ว จำนวน 1 องค์มาถวายพระภิกษุที่มาสวดพระอภิธรรมด้วย

ขอโมทนาบุญกับคุณแด๋นทุกประการ

มาร่วมโมทนาบุญกับคุณแด๋นและผมและทุกๆท่านที่ร่วมทำบุญทุกๆบุญกันครับ

สาธุครับ

sithiphong
29/12/2555
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 31, 2012, 09:10:00 am
การพิจารณาโทษของพระยายม
-http://board.palungjit.com/f23/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%A9%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A1-408764.html#post7202393
-

หลวงพ่อเล่าเรื่อง...การพิจารณาโทษของพระยายม

โพสต์ในเว็บ พลังจิต เว็บ พระพุทธศาสนา ธรรมะ พระไตรปิฎก ลึกลับ อภิญญา วิทยาศาสตร์ทางจิต Buddhism Buddhist


"........ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย และพระคุณเจ้าที่เคารพ เมื่อวันพุธก่อน กระผมได้นำท่านพุทธศาสนิกชนและบรรดาพระคุณเจ้าที่เคารพ ไปนั่งพักอยู่ที่ สำนักของพระยายม แล้วก็กำลังนั่งที่เก้าอี้แก้วมณี



อันนี้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าอาจจะสงสัยว่า "สำนักของพระยายม" สำนักนี้ ถ้าเราอ่านตามหนังสือไตรภูมิจะรู้สึกว่า เป็นสำนักที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายทารุณ มีแต่บุคคลที่น่ากลัว หน้าตาถมึงทึงด้วยประการทั้งปวง

แม้แต่พระยายมเองก็เหมือนกัน นักแสดงโทรทัศน์ทำเขาให้พระยายมเสียสองเขา แสดงว่าพระยายมมีเขาและมีสภาพดุร้าย


สำหรับคนของพระยายมก็เหมือนกัน ที่เรียกกันว่า ยมทูต อันนี้ เขามีสัญญลักษณ์ มีหัวกะโหลกไขว้ และมีหัวกะโหลกเป็นสัญญลักษณ์ อันไม่จริง ความจริงคนที่เขียนอย่างนั้น เป็นการวาดภาพเอาเอง

คล้าย ๆ กับว่าการเขียนรูปของโจร โจรผู้ร้ายเขามักจะเขียนหน้าตาถมึงทึงน่ากลัว มีหนวดเครารุงรัง แต่โดยที่แท้แล้ว โจรจริง ๆ มีรูปร่างหน้าตาสะสวยยิ่งกว่าเราเสียอีก


นี่แหละบรรดาท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย และบรรดาพระคุณเจ้าที่เคารพที่รักฟัง ความจริงไม่ตรงกัน คือ ถ้าหากมาฟังจากพระที่ท่านท่องเที่ยวในเมืองนรกได้ ท่านบอกว่า จะมีอาการเป็น ๒ อย่างด้วยกัน การเห็นในระยะแรกถ้ากำลังฌานของเราดี แต่ว่าวิปัสสนาญาณไม่ดี จะเห็นคนในที่นั้น หน้าตาไม่สะสวยไม่งดงาม มีหน้าตาน่ากลัว


แต่มาถึงขั้นวิปัสสนาญาณดีแล้ว เรียกว่า "วิปัสสนาญาณเข้าขั้น" เข้าระดับที่ไม่ถอยหลังลงมา มีอารมณ์แจ่มใจตัดอุปาทานได้เด็ดขาด อันนี้จะเห็นสำนักของ พระยายม อีกสภาพหนึ่ง คือ เป็นสภาพที่เต็มไปด้วยความสวยสดงดงาม


นี่..เรื่องของตาก็มีความสำคัญมาก ถ้าคุณตามัวเห็นของสวยก็มัวไปด้วย ส่วนคนเห็นตาดีก็เห็นได้ตามความเป็นจริง นี่ว่ากันถึงตาเนื้อ ตาเนื้อมีสภาพฉันใด ตาใจก็เหมือนกันนะ พระคุณเจ้าที่เคารพ ตาใจนี่มีความสำคัญมาก โดยมากมักจะยึดตาฌาน ตาเนื้อหรือความรู้สึก คือ มีความนึกคิดไว้ก่อนว่า สภาพของสวรรค์ เป็นยังงั้น นี่ความตรงกันระหว่างตากับความเป็นจริงมันมีอยู่ แล้วอารมณ์ของจิตก็เหมือนกัน ถ้าจิตของบุคคลใดมีอุปาทานอยู่ อันนั้นจะเห็นของจริงไม่ได้ เอาละ เรื่องนี้ขอผ่านไป เพราะเป็นหลักวิชาน่าเบื่อ


เป็นอันว่า เวลานี้ท่านพุทธศาสนิกชน และพระคุณเจ้าที่กำลังติดตามรายการทัศนาจรนรก กำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้แก้วมณี เห็นหรือไม่เห็น? เห็นหรือยัง? ถ้าไม่เห็นก็นึกเห็นเอาก็แล้วกัน เพราะความจริงไม่ได้พาไปจริง ๆ เป็นการเล่าสู่กันฟัง


ท่านทั้งหลายฟังไว้ แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติถึงแล้วจะได้ไม่สงสัยว่า สภาพของสำนักของพระยายมเป็นยังไง เวลาที่เราได้ฌานโลกีย์อย่างต่ำ หรือว่าฌานโลกีย์อย่างสูง เราเห็นสภาพเป็นยังไง มัว ๆ เหมือนกับบ้านธรรมดา หน้าตาในสำนักนั้นเหมือนคนธรรมดา


ตานี้ พระที่ท่านได้อภิญญาด้วย แล้วก็ได้อรหัตผลว่ากันยังงี้ก็แล้วกัน ได้อรหัตผลด้วย แล้วก็ทรงอภิญญาด้วย บอกว่าไม่ใช่ยังงั้น ความจริง พระยายมมีความสวยสดงดงาม มีวิมานเป็นที่อยู่ บางท่านย่องเขียนเอาไว้ว่า พระยายมเป็น "เวมานิกเปรต" เป็นเปรตจำพวกหนึ่งที่อยู่วิมาน ว่าเข้าไปนั่น นี่ไม่ใช่พระอรหันต์ว่านะ คนกินเหล้าเขียนหนังสือให้ชาวบ้านอ่าน เขาเขียนยังงั้น เขาเลยเอาอารมณ์เหล้ามาเขียน


สภาพสำนักพระยายม


เป็นอันว่า เวลานี้ท่านนั่งอยู่ใน "สำนักของพระยายม" แล้วมองดูไปข้างหน้า หันหน้าไป ทางทิศตะวันตก นะ เรานั่งทางด้านทิศตะวันออก บริเวณอาคารหลังใหญ่ ภายในเป็นห้องโถงใหญ่ มองเห็นหรือไม่เห็น ไม่เห็นก็นึกตามไปก็แล้วกัน เป็นห้องโถงใหญ่ มีทางเข้าอีกด้านหนึ่ง ทางเดียวกับที่พามา


แต่ว่าเป็นประตูที่ ๒ เข้ามาทางพื้นราบเรียบ แล้วในบริเวณนั้นตอนกลาง ๆ ตรงประตูเข้า เข้ามาพอดี มีบัลลังก์สำหรับนั่ง มีพระยายมนั่งคอยพิพากษาโทษสัตว์ คำว่า สัตว์ในที่นี้ ก็หมายถึง คนที่ลงไปในนรก ที่เขามาเชิญตัวไป มีบัลลังก์ตั้งอยู่ตรงกลาง


ด้านหน้าของพระยายม เบื้องขวามีเทวดาท่านหนึ่งนั่งอยู่ มีเครื่องทรงพื้นสีแดง เครื่องทรงประดับไปด้วยแก้วมณีแพรวพราว สวยงาม หน้าตาสดชื่น โต๊ะอีกโต๊ะหนึ่ง อยู่เบื้องซ้ายของพระยายม มีนายบัญชีใหญ่นั่งอยู่ ถือบัญชี แต่งเครื่องทรงมีพื้นเป็นสีเหลืองแล้วก็เครื่องทรง ที่เสื้อกางเกงก็ประดับไปด้วยแก้วมณี


พระยายมเองก็เหมือนกัน มีเครื่องทรงเป็นพื้นสีเหลืองเป็นทอง แล้วก็มีเครื่องประดับไปด้วยแก้วมณี ความจริง พระยายม ก็ดี เทวดา คนที่เป็นหัวหน้าใหญ่ฝ่ายติดตามคนที่ตายก็ดี นายบัญชีก็ดี มีความสวยสดงดงามหน้าตาอิ่มเอิบ สวยงาม มีอารมณ์ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่มีใครหน้าบึ้งขึงจอ ไม่มีอาการดุร้าย ความโหดร้ายใด ๆ ไม่ปรากฏเลยในริ้วรอยของหน้าท่าน


อันนี้เรามาดูกันต่อไป ว่าพระยายมท่านจะทำยังไง โน่น..บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน สำนักนี้ไม่มีเวลาว่างในการชำระความ เห็นไหม ข้างหน้านั่นใครตัวใหญ่ ๆ ในมือถืออาวุธ นำคนเข้ามาประมาณสัก ๕ - ๖ คน ทุกคนที่เดินติดตามเข้ามาหน้าซีดเซียว คล้าย ๆ กับว่าจะถูกพิพากษาลงโทษอย่างหนักเพราะกฎของกรรม


เมื่อเข้ามาถึงภายในแล้ว ทุกคนก็นั่งแสดงความเคารพแด่พระยายม พระยายมท่านก็หันไปถามนายบัญชีว่า คนนี้มีโทษอะไรบ้างในการทำความผิดในสมัยที่เป็นมนุษย์ นายบัญชีก็เปิดบัญชีดู แล้วก็รายงานความผิด คือ การทำความชั่วในสมัยที่เป็นมนุษย์ของคนนั้น แล้วพระยายมก็ถามเขาว่าทำความชั่วอย่างนั้นจริงไหม

เรื่องของเมืองผี เวลาเขาชำระคดี ไม่ต้องหาพยาน ผีไม่สับปลับเหมือนคน คนเรานี่หน้าตาดี ๆ นะ แต่ความจริง ความจริงใจนี่นะอาจจะหาไม่ได้สำหรับคนที่มีหน้าตาสวยแล้วก็มีฐานะดี แต่ เมืองผีไม่เป็นยังงั้น เมืองผีไม่มีอะไรโกหกกัน เมืองผีไม่มีอะไรปกปิดกัน สิ่งใดจริงเขาก็รับว่าจริง สิ่งใดไม่จริงเขาก็รับว่าไม่จริง

สมมติว่า ท่านพระยายมถามถึงความโหดร้ายต่าง ๆ ต้องรับทุกอย่าง เรื่องนั้นจริงเจ้าค่ะ เรื่องจริง จริงขอรับ รับจริงหมดทุกข้อ เรียกว่า ความผิดที่ปรากฎในบัญชีนี่รับหมดทุกข้อ ไม่มีการปฏิเสธ แล้วคราวนี้พระยายมจะทำยังไง เมื่อจำเลยสารภาพโทษ ก็สั่งจำคุกลดกึ่งหนึ่งตามอำนาจของศาลในเมืองมนุษย์ยังงั้นรึ?


ความจริงยังก่อน ท่านพุทธศานิกชน ท่านจะเห็นน้ำใจของพระยายมกันตอนนี้ ฟังให้ดีนะ ฟังกันไว้ แล้วก็จำกันไว้ รู้ตามความเป็นจริง ในเมื่อคนใดก็ตามที่เข้าไปในสำนักของพระยายม เมื่อนายบัญชีกล่าวโทษโจทย์ความผิดที่แล้วมา เมื่อจบลงไปแล้ว แล้วก็สัตว์นรก คือ คนที่ตายไปแล้วรับไปตามความเป็นจริง ตอนนี้พระยายมยังไม่สั่งตัดสิน ยังไม่ลงโทษตามกฎของนรก กลับย้อนถามถึงความดี ว่าท่านเคยอยู่ในเมืองมนุษย์น่ะ

1. เคยให้ทานไหม?
2. เคยรักษาศีลไหม?
3. เคยไปฟังเทศน์ไหม?
4. เคยเจริญสมถกรรมฐานบ้างไหม?
5. ความจริงท่านถามยาว ถามทีละข้อ ๆ


สมมติว่า เคยให้ทานแก่สัตว์เดียรัจฉานบ้างไหม? เคยให้ทานแก่คนยากจนเข็ญใจบ้างไหม? เคยช่วงสงเคราะห์ทำกิจการงานต่าง ๆ กับเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงบ้างไหม? เคยทำงานเป็นส่วนสาธารณประโยชน์บ้างไหม? เคยช่วยเขาสร้างวัดวาอารามบ้างไหม? ใครเขาบอกบุญเรี่ยไร เคยทำบุญมาบ้างไหม? เคยรักษาศีลบ้างไหม? เคยฟังเทศน์ไหม? เคยเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน เคยบูชาพระ เคยไหว้พระ เคยไหว้พ่อไหว้แม่ด้วยความเคารพบ้างไหม? อย่างนี้เป็นต้น


เรียกว่า ความดีทุกอย่างที่จัดว่าเป็นบุญที่พระพุทธเจ้าทรงสอน พระยายมนำหัวข้อมาถามนำ ถ้าถามแล้ว คนที่ตายไปนั้น เรียกว่า สัตว์นรก เขายังไม่ตอบ เขายังนิ่งอยู่ ท่านก็ปล่อยให้คิดสักประเดี๋ยวหนึ่ง แล้วก็ย้อนถามขึ้นต้นใหม่


รวมความว่า ถามกัน ๓ รอบ ค่อย ๆ ถามจี้จุดทีละจุด แต่ว่าท่านคนใดที่ถูกสอบสวนปรากฏไม่มีเลย นึกไม่ออก เมื่อนึกไม่ออกแล้ว ท่านก็จะบอกว่า นี่..เสียใจเหลือเกินนะ ที่ความดีที่ทำไว้นึกไม่ถึง จิตของเธอเวลาจะตาย เวลาจะมาที่นี่ จิตน้อมไปส่วนอกุศลมาก ก็เห็นจะต้องเป็นไปตามกฎของกรรม ท่านว่าอย่างนั้น ท่านก็บอกว่า


เอ้า..ถ้ายังงั้น ถ้านึกถึงความดีที่ทำไม่ได้ละก้อ ก็เป็นไปตามกฎของกรรม แล้วต่อจากนั้นไปนายนิริยบาล (ผีรักษานรก) ก็นำลงนรกไป ไปที่ทะเลเพลิง ไปตามอำนาจของความผิด นี่ดูจริยาของพระยายม


แล้วบรรดาท่านพุทธศานิกชนที่มาด้วย นั่งฟังแล้วก็นั่งดู ดูหน้าของพระยายม ดูหน้าของเทวดาฝ่ายติดตามคน คือ หัวหน้าใหญ่นะ ดูหน้าของนายบัญชี ทุกคนมีแต่อารมณ์ยิ้มระรื่นชื่นใจ น่าชื่นใจ รูปร่างหน้าตาก็อิ่มเอิบสวยสดงดงาม มีผิวเนื้อละเอียดค่อนข้างเหลือง นี่..เราจะเห็นถึงความดุร้ายได้ยังไง


ตานี้ สมมติว่าบังเอิญที่เขาถามถึงความผิด สัตว์นรกรับหมด แต่ว่ามาถามถึงความดี พอถามถึงความดีเข้า บังเอิญสัตว์นรกคนใดคนหนึ่งก็ตาม นึกถึงความดีอย่างใดอย่างหนึ่งได้


สมมติว่าเขาถามถึงว่า เคยปล่อยสัตว์ที่มันจะถึงแก่ความตายบ้างไหม? ให้มันรอดจากความตาย ถ้าคนนั้นนึกขึ้นมาได้ว่า เคยปล่อย คำเดียวเท่านี้แหละ โทษกรรมใหญ่ ๆ ที่เคยทำมาแล้วทั้งหมด พระยายมบอกว่า งดไว้ก่อน ขอให้งดไว้ก่อน นี่ ความดีของเขายังมีอยู่ ให้ไปรับผลของความดีก่อน


เห็นไหม..น้ำใจของพระยายม น้ำใจของเจ้าหน้าที่ในสำนักของพระยายม ไม่ใช่น้ำใจของสัตว์นรก เป็นน้ำใจของพรหม พระยายมก็ดี นายบัญชีก็ดี เทวดาผู้เป็นหัวหน้าติดตามคนก็ตาม มีน้ำใจเต็มไปด้วยพรหมวิหารสี่


ฉะนั้น สำนักของพระยายมนี้จึงไม่มีใครรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว คนที่ทรงพรหมวิหารสี่ มีเมตตาเป็นปุเรจาริก คือ หน้าคอยยิ้มเสมอ อารมณ์สดชื่น แล้วน้ำใจก็สดชื่น แล้วจะมีอะไรเป็นที่น่าเกลียดน่ากลัวไม่มี หนังสือเขาเขียนผิดไปเองต่างหาก เขาเข้าใจพลาดไป คิดว่าสำนักของพระยายมมีแต่คนโหดร้าย

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 31, 2012, 09:11:02 am
สวัสดีปีใหม่ 2556

ขอให้ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า , พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่าน มีสุขภาพแข็งแรงกันทุกๆท่านครับ

ด้วยรัก
sithiphong
31/12/2555
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 06, 2013, 10:32:31 am
พระกริ่งหนองแส
-http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdOakEyTURFMU5nPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE15MHdNUzB3Tmc9PQ==-


(http://www.khaosod.co.th/view_resizing_images.php?filename=news-photo/khaosod/2013/01/bud06060156p1.jpg&width=360&height=360)

คอลัมน์ ชมรมพระเครื่อง

ด้วยความจริงใจ แทน ท่าพระจันทร์

สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน ไหนๆ เราก็คุยกันถึงพระกริ่งนอกมาแล้วหนึ่งองค์คือพระกริ่งใหญ่(จีน) เราก็มาคุยกันต่อถึงพระกริ่งนอกกันต่อไปเลยดีกว่านะครับ
พระกริ่งนอกอีกองค์ที่จะคุยกันก็คือพระกริ่งหนองแสครับ ซึ่งเป็นพระกริ่งเก่าแก่ที่หายากเช่นกันครับ



พระกริ่งหนองแสมีต้นกำเนิดที่ "หนองแส" หรือ "เมืองแส" แห่งอาณาจักรน่านเจ้า เมื่อครั้งอดีต ปัจจุบันคือมณฑลฮุนหนำ ในประเทศจีน
สันนิษฐานว่าอยู่ในช่วง ของราชวงศ์หนองแสหลวง ซึ่งในระยะ นั้นอาณาจักรน่านเจ้าเจริญรุ่งเรืองและแข็งแกร่ง ตรงกับสมัยพระเจ้าพีล่อโก๊ะ หรือขุนบรม
ประมาณปีพ.ศ.1272-1290 ได้ปกครองอยู่ และได้มีสัมพันธไมตรี กับจีนและทิเบต มีการติดต่อค้าขายซึ่งกัน และกัน



พระกริ่งหนองแสนี้ มีการพบที่หนองแสเองก่อนมานานแล้วและต่อมาก็พบที่เขาพนมบาเก็งในประเทศกัมพูชาด้วย
ซึ่งในขณะนั้นทางอาณาจักรน่านเจ้าก็มีสัมพันธไมตรีกับขอมเช่นกัน จึงอาจจะมีการนำพระกริ่งหนองแสมาบรรจุไว้ที่เขาพนมบาเก็งด้วย



พระกริ่งหนองแสนั้นจัดอยู่ในประเภท พระกริ่ง แต่องค์พระกริ่งหนองแสเองไม่พบที่มีการบรรจุเม็ดกริ่งเลย พระกริ่งหนองแสที่พบมีทั้งที่เป็นแบบก้นตัน
และมีทั้งที่เป็นแบบก้นกลวงอย่างพระบูชา พุทธลักษณะที่เอกลักษณ์ของพระกริ่งหนองแสก็คือองค์พระจะเอนลู่ไปทางด้านหลังมากไม่เหมือนกับพระกริ่งใดๆ
และจากการเอนไปทางด้านหลังมากนี่เองฐานบัวของพระกริ่งหนองแสจึงมีขนาดเขื่องกว่าลำพระองค์ เพื่อถ่วง น้ำหนักไม่ให้องค์พระล้มเวลาตั้ง
นับว่าเป็นความชาญฉลาดของช่างที่ออกแบบสร้างหุ่นพระกริ่งหนองแส พระกริ่งหนองแสนี้ถ้าเราสังเกตศิลปะของพระกริ่งแล้ว
จะเห็นว่าได้รับอิทธิพลศิลปะของทิเบตเข้ามาผสมผสาน เช่นฐานบัวทำเป็นแบบเม็ดไข่ปลาเรียงรายสองชั้น ซึ่งเป็นศิลปะแบบทิเบต
สำหรับพระศกตอนบนทำเป็นแบบรัดเกล้าตามแบบฉบับลัทธิมหายาน ซึ่งขอม นิยมทำมาก ต่างจากพระกริ่งแบบอื่นๆ พระเนตรหลุบต่ำ คิ้วไม่ชี้ขึ้นแบบ พระกริ่งจีน



เนื้อของพระกริ่งหนองแส ทำด้วยทองสัมฤทธิ์แก่ทอง เนื้อในกระแสออกเหลืองแบบทองดอกบวบ ผิวกลับสีน้ำตาลแก่เช่นเดียวกับพระกริ่งใหญ่
พระกริ่งหนองแสมีพบมากที่สุดที่หนองแสนี่แหละ จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกพระนามของพระกริ่งแบบนี้



พระกริ่งหนองแสพุทธคุณเป็นเลิศในทุกๆ ทาง เช่นเดียวกับพระกริ่งใหญ่ และกริ่งบาเก็ง ปัจจุบันพระกริ่งหนองแสหาได้ยากยิ่งเช่นกันครับ
และเป็นพระกริ่งนอกยอดนิยมอีกพิมพ์หนึ่งเช่นกันครับ ใน วันนี้ผมก็ได้นำรูปพระกริ่งหนองแสองค์สวยสมบูรณ์มาให้ชมกันเช่นเคยครับ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 27, 2013, 10:00:02 pm
เรื่องหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร

ไม่แน่ใจว่า มีการขออนุญาตเจ้าของรูปหรือไม่

ส่วนเนื้อหา  ให้ใช้วิจารณญาณการรับชม

ตามรอยตำนาน 31-7-54 1/4

-http://www.youtube.com/watch?v=uLRjwOtjstg-

ตามรอยตำนาน 31-7-54 2/4

-http://www.youtube.com/watch?v=E4RYnOU6T-s-

ตามรอยตำนาน 31-7-54 3/4

-http://www.youtube.com/watch?v=8tOmOAWpg_k-

ตามรอยตำนาน 31-7-54 4/4

-http://www.youtube.com/watch?v=pYg4EmncMgU-

เรื่องอื่นไม่ออกความเห็น ใช้วิจารณญาณในการรับชมเองครับ

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 01, 2013, 07:40:38 pm
แม่ชีทศพร - กรรมกับพระสมเด็จ
-http://www.youtube.com/watch?v=QMbtGTlQhW4-

แม่ชีทศพร - กรรมกับพระสมเด็จ ฯ.flv - YouTube (http://www.youtube.com/watch?v=QMbtGTlQhW4#)

แม่ชีทศพร - กรรมกับพระสมเด็จ ฯ.flv - YouTube (http://www.youtube.com/watch?v=QMbtGTlQhW4#)

.

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 19, 2013, 09:09:29 pm
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
-http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C_%28%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87_%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%29-

(http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B9%8C:CHOUNG_B2.JPG)
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์
เกิด    23 ธันวาคม พ.ศ. 2351
เสียชีวิต    19 มกราคม พ.ศ. 2425 (74 ปี)
บิดา    สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์ (ดิศ บุนนาค)
มารดา    ท่านผู้หญิงจันทร์
ภรรยา    ท่านผู้หญิงกลิ่น ท่านพัน ท่านหยาด


สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) (พ.ศ. 2351 – พ.ศ. 2425) ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ ผู้มีบทบาทสำคัญในการเมืองการปกครองของไทย โดยเริ่มเข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งนับเป็นผู้ที่ดำรงตำแหน่ง "สมเด็จเจ้าพระยา" เป็นคนสุดท้าย นอกจากนี้ ท่านยังมีบทบาทในการอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นครองสิริราชสมบัติและได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2411 - พ.ศ. 2416 ด้วย

นอกจากด้านการปกครองแล้ว ท่านยังมีบทบาทสำคัญในด้านวรรณกรรม การละคร และดนตรี รวมถึงเป็นแม่กองในการก่อสร้าง บูรณะ ซ่อมแซม สถานที่ต่าง ๆ มากมาย เช่น พระนครคีรี พระอภิเนาว์นิเวศน์ คลองผดุงกรุงเกษม เป็นต้น

สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์มีชีวิตยืนยาวถึง 5 รัชกาล ตั้งแต่เกิดในปลายรัชกาลที่ 1 และถึงแก่พิราลัยด้วยโรคลมขณะที่กำลังเดินทางกลับจากราชบุรี เมื่อ พ.ศ. 2425 ในสมัยต้นรัชกาลที่ 5 โดยมีอายุยืนยาวถึง 74 ปี


(http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B9%8C:%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C.jpg)
ตราผู้สำเร็จราชการของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาสุริยวงศ์


(http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B9%8C:Lanchakon_-_028.jpg)
ตรามหาสุริยมณฑล สำหรับประกอบอิสริยยศสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ภายหลังได้ใช้เป็นตรากระทรวงการคลังก่อนจะเปลี่ยนเป็นตราปักษาวายุภักษ์ในปัจจุบัน)


ประวัติ
ชีวิตส่วนตัว

สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ มีนามเดิมว่า “ช่วง” เป็นบุตรชายคนใหญ่ของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) กับท่านผู้หญิงจันทร์ เกิดปีมะโรง วันศุกร์ เดือนยี่ ขึ้น 7 ค่ำ ตรงกับวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2351 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดารวม 9 คน แต่มีชีวิตจนเติบใหญ่มาพร้อมกับท่านเพียง 4 คน ได้แก่ เจ้าคุณหญิงแข (เจ้าคุณตำหนักใหม่), เจ้าคุณหญิงปุก (เจ้าคุณกลาง), เจ้าคุณหรุ่น (เจ้าคุณน้อย) และพระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชุ่ม บุนนาค) [1] การศึกษาในวัยเยาว์ของท่านนั้น คงเล่าเรียนที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร เนื่องจากการเล่าเรียนของผู้ดีสมัยก่อนนั้นมักจะเรียนกันที่วัด เมื่อเติบใหญ่จึงเล่าเรียนวิชาที่บ้านจากบุคคลในตระกูลของท่านเอง โดยสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์ บิดาของท่านนั้นดำรงตำแหน่งเป็นพระยาพระคลังเสนาบดีว่าการต่างประเทศและได้ว่าการปกครองหัวเมืองชายทะเลฝ่ายตะวันออก ดังนั้น ท่านจึงได้ศึกษาราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการต่างประเทศและการปกครองมาจากบิดาของท่านเอง[2]

ท่านสมรสกับท่านผู้หญิงกลิ่น มีบุตรธิดา 4 คน เป็นบุตรชาย 1 คน ได้แก่ เจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) สมุหพระกลาโหมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นบิดาของเจ้าคุณพระประยูรวงศ์และเจ้าจอมมารดาโหมด บุนนาค เจ้าจอมมารดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนธิดาอีก 3 คน ได้แก่ คุณหญิงกลาง ภรรยาพระยาสีหราชฤทธิไกร (แย้ม บุณยรัตพันธุ์) คุณหญิงเล็ก และคุณหญิงปิ๋ว[3] นอกจากนี้ ท่านยังสมรสกับ ท่านพันและท่านหยาด บุตรีพระยาวิชยาธิบดี (เมือง บุนนาค) แต่ไม่มีบุตรด้วยกัน[4]
การรับราชการ
บิดาได้นำท่านเข้าถวายตัวเป็นมหาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ชื่อว่า มหาดเล็กช่วง โดยช่วยบิดาทำงานด้านการคลังและกรมท่า รวมทั้งติดต่อกับต่างประเทศด้วย[5]

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มหาดเล็กช่วงได้เลื่อนเป็น นายไชยขรรค์ มหาดเล็กหุ้มแพร ซึ่งท่านเป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวตั้งแต่วัยเยาว์[6][7] และได้เลื่อนเป็น หลวงสิทธิ์ นายเวรมหาดเล็ก เรียกกันทั่วไปว่า หลวงนายสิทธิ์ ตามลำดับ หลวงนายสิทธิ์ได้ชื่อว่าเป็นพวก “หัวใหม่” ในสมัยนั้น เป็นผู้สนใจศึกษาวิชาการของชาวตะวันตก เนื่องจากอังกฤษและฝรั่งเศสเริ่มแผ่อิทธิพลเข้าสู่โลกตะวันออกและประชิดเขตแดนสยามมากขึ้น หากไม่ปรับตัวให้รู้เท่าทันฝรั่ง สยามอาจถูกยึดครองเป็นอาณานิคมได้

ในช่วงเดียวกันนี้ก็มีผู้เล็งเห็นการณ์ไกลในแนวเดียวกัน ได้แก่ วชิรญาณภิกขุ (พระนามขณะนั้น) สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ (พระยศขณะนั้น) กรมหลวงวงศาธิราชสนิท และท่าน ซึ่งท่านสนใจที่จะศึกษาในวิชาการต่อเรือกำปั่นเป็นพิเศษและได้ศึกษาภาษาอังกฤษพอประมาณ[2] ในรัชสมัยรัชกาลที่ 3 นี้ หลวงนายสิทธิ์ได้รับการเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น จมื่นไวยวรนาถ หัวหมื่นมหาดเล็ก และในปี พ.ศ. 2384 จึงมีการเพิ่มสร้อยนามของท่านเป็น จมื่นไวยวรนาถภักดีศรีสุริยวงศ์ เมื่อปี พ.ศ. 2393 ในปลายรัชกาลที่ 3 นั้น ท่านได้รับการเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น พระยาศรีสุริยวงศ์ จางวางมหาดเล็ก[5]

หลังจากบิดาได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้ง พระยาศรีสุริยวงศ์ จางวางมหาดเล็ก ขึ้นเป็น เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ว่าที่สมุหพระกลาโหม และเนื่องจากสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ยังคงถือตราคชสีห์สำหรับตำแหน่งสมุหพระกลาโหมอยู่ตามตำแหน่ง ดังนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงสร้าง "ตราศรพระขรรค์" สำหรับพระราชทานแก่เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ต่อมา เมื่อท่านดำรงตำแหน่งสมุหกลาโหมเต็มตำแหน่งแล้ว ท่านก็ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ใช้ทั้งตราคชสีห์และตราศรพระขรรค์สำหรับตำแหน่งสมุหพระกลาโหม[8] ในการเข้ามารับตำแหน่งนี้ทำให้ท่านมีบทบาทสำคัญในการปกครองประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงแก่พิราลัยและสวรรคต ตามลำดับ อำนาจของท่านมีมากจนสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวเปรียบเทียบไว้ว่า[8]

“ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 เป็นเสมือนแม่ทัพแล้ว สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ก็เป็นเสมือนเสนาธิการ ช่วยกันทำงานมาตลอดรัชกาลที่ 4”

ภายหลังการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทเวศร์วัชรินทร์ ได้เสนอสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองสิริราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี ซึ่งที่ประชุมนั้นมีความเห็นพ้องเป็นเอกฉันท์[9] แต่เนื่องจากพระองค์ยังทรงพระเยาว์ ดังนั้น เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ จึงได้รับเลือกจากที่ประชุมเสนาบดีและพระบรมวงศานุวงศ์ให้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ผู้มีอำนาจสิทธิ์ขาดในราชการแผ่นดินทั่วราชอาณาจักรระหว่าง พ.ศ. 2411-2416 หลังจากท่านพ้นจากการเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแล้ว ก็ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็น สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ มีสร้อยสมญาภิไธยนามตามจารึกในสุพรรณบัตรว่า[6]

“สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ สมันตพงศ์พิสุทธิ มหาบุรุษยรัตโนดม บรมราชุตมรรคมหาเสนาบดี มหาสุริยมัณฑลีมุรธาธร จักรรัตนสหจรสุรศรขรรค์ วรลัญจธานินทร์ ปริมินทรมหาราชวรานุกูล สรรพกิจจานุกิจมูลประสาท ปรมามาตยกูลประยูรวงศ์วิวัฒน์ สกลรัชวรณาจักโรประสดัมภ์ วรยุติธรรมอาชวาธยาศัยศรีรัตนตรัยคุณาภรณ์ภูษิต อเนกบุยฤทธิประธิสรรค์ มหันตวรเดชานุภาพบพิตร”

โดยมีอำนาจบรมอิสริยยศบรรดาศักดิ์ 30,000 ไร่ ยิ่งกว่าจตุสดมภ์มนตรี 3 เท่า ดำรงตรามหาสุริยมณฑล ได้บังคับบัญชาสิทธิขาดราชการแผ่นดินในกรุงนอกกรุงทั่วพระราชอาณาจักร และสำเร็จสรรพอาญาสิทธิประหารชีวิตคนที่ถึงอุกฤษฏโทษมหันตโทษได้[10] สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์นับเป็นบุคคลที่ดำรงบรรดาศักดิ์ ระดับ "สมเด็จเจ้าพระยา" เป็นคนสุดท้ายของประวัติศาสตร์ไทย[11]

บั้นปลายชีวิต

หลังพ้นหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ท่านก็ชอบออกไปตรวจราชการตามหัวเมืองต่าง ๆ และพำนักอยู่ที่เมืองราชบุรีเป็นส่วนใหญ่ นับเป็นเวลา 9 ปี ในวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2425 ท่านถึงแก่พิราลัยด้วยโรคลมขณะที่กำลังเดินทางกลับจากราชบุรี รวมสิริอายุได้ 74 ปี 27 วัน[3] โดยเหตุการณ์ในวันถึงพิราลัยของท่านนั้น มีบันทึกไว้ในจดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ดังต่อไปนี้[12]

“วันเสาร์ ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 2 ปีมะเมีย จัตวาศก จุลศักราช 1244 เวลาย่ำรุ่ง ท้าวราชกิจวรภัตร เข้ามากราบบังคมทูลพระกรุณาว่า สมเด็จเจ้าพระยาเมื่อป่วยหนักออกไปอยู่ที่ราชบุรีแล้ว ครั้งเมื่อจะไปฉลองศาลาที่ท่านสร้างไว้ที่มะขามเตี้ยไปถึงกลอนโต ขึ้นไปเก็บมะขามป้อมบนบก หามไปกลางแดดเวลาเที่ยง ไม่ให้ไปก็ไม่ฟัง ครั้งไปถึงต้นมะขามป้อมก็ไปนอนหลับตาซึมอยู่ กลับมาถึงเรือตัวร้อนอาการมาก จึงปรึกษาพร้อมกัน เอากลับมาเรือนราชบุรี มานอนท่าพระแท่นดงรังครึ่งคืน แล้วล่องลงมาถึงเมืองราชบุรี เวลาบ่ายโมงเศษหามขึ้นบก พอถึงต้นมะขามหน้าบ้านก็เป็นลมคอพับ จึงหามเข้าไปแก้ไขกันอยู่ในเรือน เวลานั้นลมก็จัดเอาลับแลเข้าบังไว้ ครั้งเจ้าพระยาสุรวงศ์และญาติ ซึ่งตามมาภายหลังมาถึง จึงพร้อมกันพาท่านลงเรือมาเวลาบ่าย 5 โมงเศษวานนี้ เรือไฟจูงมาพ้นคลองดำเนินสะดวกมาแล้ว จะเข้าคลองภาษีเจริญติดน้ำ ๆ แห้ง จึงไปรอน้ำอยู่ปากคลองกระทุ่มแบน ถึงปากคลองเวลา 5 ทุ่มเศษ ชักเยื้องไหล่หน่อยหนึ่ง ก็ถึงแก่พิราลัยที่ปากคลองกระทุ่นแบนนั้น ครั้งน้ำขึ้นจึงรีบเอาศพเข้ามาถึงจวนเวลากรู่ ๆ"

ภายหลังการถึงแก่พิราลัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรดน้ำศพพระราชทาน พร้อมทั้งพระราชทานโกศกุดั่นน้อยประกอบลองใน ตั้งบนแว่นฟ้า พร้อมทั้งโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ไว้ทุกข์เป็นระยะเวลา 7 วัน นอกจากนี้ ในวันชักศพเข้าเมรุ ณ วัดบุปผารามวรวิหารนั้น พระองค์โปรดฯ ให้เจ้าหมื่นไวยวรนารถ (ยศขณะนั้น) จัดทหารจำนวน 100 คนไปแห่ศพ พร้อมทั้งพระราชทานเปลี่ยนโกศประกอบลองในเป็นโกศกุดั่นใหญ่เพื่อเป็นเกียรติยศ และเสด็จพระราชทานเพลิงศพ[13]

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 19, 2013, 09:10:11 pm
บทบาทความรับผิดชอบในชีวิตราชการ

สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เริ่มเข้ารับราชการในตำแหน่งต่าง ๆ มาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จนถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านจึงมีบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบต่าง ๆ มากมาย ในเรื่องบทบาท การเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์จงรักภักดีและรักษาความยุติธรรมอันแน่วแน่ จนเซอร์จอห์น เบาริ่งบันทึกไว้ว่า "เป็นคนมีความรู้สุขุมดีกว่าผู้ใดที่พวกเราได้พบ มีกิริยามรรยาทละมุนละม่อมเป็นผู้ดี พูดจาก็เหมาะสม พูดอย่างง่าย ๆ ถ้อยคำของเขาสมกับเป็นผู้ที่รักชาติอย่างยิ่ง"[14] กับฐานะผู้สำเร็จราชการและพระเจ้าอยู่หัวที่ยังทรงพระเยาว์ ก็เป็นของธรรมดาที่โต้แย้งกันบ้าง แต่ก็ผ่านไปโดยเรียบร้อย แต่อย่างไรก็ตาม 18 ปีหลังจากที่มีพระราชอำนาจเต็มที่ รัชกาลที่ 5 จำต้องทรงรับว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับผู้สำเร็จราชการนั้น บางเวลาก็ลำบากอยู่บ้าง[15]

สำหรับบทบาทความรับผิดชอบในชีวิตราชการ พอสรุปได้ดังต่อไปนี้
บทบาทก่อนเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
การให้ความอุปถัมภ์ชาวต่างประเทศ

สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เป็นคน “หัวก้าวหน้า” รวมทั้ง ชอบคบหาสมาคมกับชาวต่างประเทศและรับความเจริญมาจากชาติตะวันตก[16] ท่านจึงมองเห็นถึงความสำคัญของวิชาความรู้ วิทยาการ และวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เช่น การแพทย์ การพิมพ์ และการรักษาพยาบาลที่ทันสมัยของหมอสอนศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะมิชชันนารีชาวอเมริกันนั้นเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ แต่คนเหล่านี้มักถูกรังเกียจจากเจ้านายและขุนนางหัวเก่า จึงมักได้รับความยากลำบากในการหาที่อยู่อาศัย ที่ทำงาน และการทำงาน ท่านได้ให้ความอุปการะอำนวยความสะดวกแก่หมอสอนศาสนาเหล่านี้ และคอยติดต่อเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา ดังลักษณะที่เรียกกันในปัจจุบัน ว่า “การถ่ายทอดเทคโนโลยี” ซึ่งท่านหมั่นเพียรเรียนรู้วิชาการตะวันตกกับชาวต่างประเทศมาตั้งแต่อยู่ในวัยหนุ่ม ทำให้ท่านสามารถต่อ "เรือกำปั่น" ได้เอง และนับเป็นนายช่างไทยคนแรกที่สามารถต่อเรือแบบฝรั่งได้[5]
การติดต่อกับต่างประเทศ

สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์มีบทบาทสำคัญในการติดต่อและต้อนรับชาวต่างประเทศและคณะทูต ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ไปรับคณะทูตนำโดยเซอร์จอห์น เบาริงที่ปากน้ำ นำคณะทูตเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2398 และร่วมเป็นหนึ่งในคณะผู้แทนสยาม 5 คน ได้แก่ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัต บุนนาค) เจ้าพระยารวิวงศ์มหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค) และท่าน[17] เจรจาแก้ไขสนธิสัญญาทางการค้าที่นาย “หันแตร บารนี” หรือเฮนรี เบอร์นีเข้ามาทำไว้ในสมัยรัชกาลที่ 3 คือ สนธิสัญญาเบอร์นี แม้การเจรจาจะมีความยุ่งยากติดขัดในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งพิกัดอัตราภาษี ด้วยการประสานงานของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ที่เข้าใจขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวตะวันตก การเจรจาระหว่างทูตอังกฤษกับสมเด็จเจ้าพระยาอีกสองท่านในคณะผู้แทนฯ การเจรจาจึงสำเร็จลงด้วยความรวดเร็วและเรียบร้อย มีการลงนามสนธิสัญญาไมตรีและพาณิชย์ฉบับใหม่ เมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2398 ที่เรียกว่าสนธิสัญญาเบาริง หรือเรียกกันย่อ ๆ ในสมัยนั้นว่า “สัญญาเบาริง”[18]

การทหาร

สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ทำงานด้านการทหารมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระองค์มีพระราชดำริให้จัดกรมทหารแบบยุโรปขึ้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ท่านควบคุมบังคับบัญชาจัดตั้งขึ้น เรียกว่า “ทหารอย่างยุโรป” โดยมีโรงทหารตั้งอยู่ที่บ้านพระยาศรีสุริยวงศ์และมีสนามฝึกหัดอยู่ข้างวัดบุปผาราม[6] ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ได้รับมอบหมายให้จัดเลกหมู่ทหารฝึกหัดยุทธวิธีแบบตะวันตกเพิ่มขึ้น

เมื่อครั้งเป็นหลวงสิทธิ์ นายเวรในสมัยรัชกาลที่ 3 ก็ได้ช่วยบิดาด้านทหารเรือ โดยที่เป็นผู้มีความสนใจเรียนรู้ในวิทยาการใหม่ๆ กับชาวตะวันตก จึงเรียนวิธีต่อกำปั่นแบบใหม่และเป็นนายช่างไทยที่สามารถต่อเรือฝรั่งแบบฝรั่งสำเร็จเป็นคนแรก ท่านได้น้อมเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยได้รับพระราชทานชื่อว่า "เรือแกล้วกลางสมุทร" ต่อมา ในรัชสมัยรัชกาลที่ 4 ได้ต่อเรือกลไฟเป็นเรือรบและเรือพาหนะของหลวงจำนวนหลายลำ เช่น เรือระบิลบัวแก้ว เรือแคลิโดเนีย[5] ท่านได้รับการยกย่องจากกองทัพเรือเป็นผู้บัญชาการทหารเรือวังหลวงท่านแรกระหว่าง พ.ศ. 2394 - พ.ศ. 2412 พร้อมๆ กับพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้บัญชาการทหารเรือวังหน้า (พ.ศ. 2394 - พ.ศ. 2408) [19]
การอัญเชิญเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ขึ้นครองราชย์

ในช่วงปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์และสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติต่างถึงแก่พิราลัย และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ก็เสด็จสวรรคตลง ตามลำดับ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็มิได้โปรดแต่งตั้งผู้ใดที่กรมพระราชวังบวรสถานมงคลขึ้นแทน ในขณะนั้นพระองค์มีพระชนม์พรรษา 60 พรรษา และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ก็ยังทรงพระเยาว์ แต่พระองค์ก็ทรงแต่งตั้งขึ้นเป็น "สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ" เมื่อปี พ.ศ. 2410 โดยทรงกำกับราชการกรมมหาดเล็ก กรมพระคลังมหาสมบัติ และกรมทหารบกวังหน้า[20] จากการที่บ้านเมืองสูญเสียบุคคลสำคัญต่าง ๆ ในช่วงระยะเวลานี้ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์จึงมีอำนาจยิ่งใหญ่ในราชการแผ่นดิน เพราะราชการทั้งปวงก็สิทธิ์ขาดอยู่แก่ท่านคนเดียว[21]

แม้จะยังไม่มีธรรมเนียมในการตั้งรัชทายาทขึ้นสืบราชบัลลังก์ แต่ก็เป็นที่รู้กันอยู่ว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงฝึกเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ให้ปฏิบัติราชการอย่างกวดขันและใกล้ชิด ให้อยู่ปฏิบัติประจำพระองค์ ให้ทรงรับฟังพระบรมราโชวาทและพระบรมราโชบายในกิจการบ้านเมือง ทรงมักมอบหมายให้เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์เป็นผู้อัญเชิญพระกระแสรับสั่งแจ้งพระราชประสงค์และข้อหารือราชการไปยังสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ทุกเช้า เพื่อเป็นการฝึกราชการและเพื่อให้มีความสนิทสนมกันและเพื่อได้รับการสนับสนุนจากสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ซึ่งเป็นขุนนางผู้มีอำนาจมากที่สุดในขณะนั้นต่อไปในภายหน้า

พระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งปวงทราบดีว่า หากพระเจ้าอยู่หัวสวรรคตในขณะที่เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ยังทรงพระเยาว์นั้น ผู้ที่จะได้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินคงไม่พ้นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ซึ่งมีอำนาจมากเกินไปอาจเป็นอันตราย จึงกราบทูลว่าไม่ควรไว้วางพระราชหฤทัย แต่พระองค์ก็ไม่ทรงปักใจเชื่อ และปฏิบัติพระองค์เป็นปกติกับสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เสมอมา เพื่อมิให้กระทบกระเทือนจิตใจฝ่ายขุนนาง เนื่องจากท่านเหล่านั้นกุมอำนาจในตำแหน่งที่สำคัญ ๆ อยู่[21]

เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2411 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเริ่มประชวรและมีพระอาการหนักขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมทั้งเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ก็ประชวรด้วยเช่นกัน สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์จึงเรียกประชุมเสนาบดีทั้งปวงให้เตรียมพร้อมไม่อยู่ในความประมาท สั่งการให้ตั้งกองทหารล้อมพระตำหนักที่ประทับของเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์หรือกรมขุนพินิตประชานาถไว้ด้วย

เช้าวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสสั่งให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ และเจ้าพระยาภูธราภัยเข้าเฝ้า และมีพระราชดำรัสว่า "ท่านทั้ง 3 กับพระองค์ได้ทำนุบำรุงประคับประคองกันมา บัดนี้กาละจะถึงพระองค์แล้ว ขอลาท่านทั้งหลายในวันนี้ ขอฝากพระราชโอรสธิดาอย่าให้มีภัยอันตราย หรือเป็นที่กีดขวางในการแผ่นดิน ถ้ามีผิดสิ่งไรเป็นข้อใหญ่ ขอแต่ชีวิตไว้ให้เป็นแต่โทษเนรเทศ ขอให้ท่านทั้ง 3 จงเป็นที่พึ่งแก่พระราชโอรสธิดาต่อไปด้วยเถิด" พร้อมทั้งตรัสขอให้ผู้ใหญ่ทั้งสามท่านได้ช่วยกันดูแลบ้านเมืองต่อไป ให้ทูลพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่เอาธุระรับฎีกาของราษฎรผู้มีทุกข์ร้อนดังที่พระองค์เคยปฏิบัติมา โดยไม่ทรงเอ่ยว่าจะให้ผู้ใดขึ้นครองราชย์แทนพระองค์[22][23][24]

หลังจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตแล้ว ที่ประชุมเสนาบดีและพระบรมวงศานุวงศ์ได้อัญเชิญเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ขึ้นเป็น "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5" และให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ผู้มีอำนาจเต็ม โดยมีสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนบำราบปรปักษ์ช่วยในส่วนการพระราชนิเวศน์ รวมทั้งเชิญกรมหมื่นบวรวิไชยชาญขึ้นดำรงตำแหน่งที่กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ถึงแม้ว่าพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปราโมช กรมขุนวรจักรธรานุภาพ จะตรัสว่า "ผู้ที่จะเป็นตำแหน่งพระราชโองการมีอยู่แล้ว ตำแหน่งพระมหาอุปราชควรแล้วแต่พระราชโองการจะทรงตั้ง เห็นมิใช่กิจของที่ประชุม ที่จะเลือกพระมหาอุปราช" อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมเสนาบดีและพระบรมวงศานุวงศ์ก็ได้แต่งตั้งให้กรมหมื่นบวรวิไชยชาญขึ้นดำรงตำแหน่งที่กรมพระราชวังบวรสถานมงคล[22][23][24]


บทบาทเมื่อเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน

การจัดระเบียบราชการและพระราชานุกิจ

การทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินเมื่อพระเจ้าแผ่นดินยังทรงพระเยาว์ของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ในครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ ในประวัติศาสตร์ แต่ก่อนนั้นพระเจ้าแผ่นดินทรงปรึกษาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแล้วจึงเสด็จออกท้องพระโรงแล้วมีรับสั่งเอง แต่การทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ในครั้งนี้อำนาจเด็จขาดทั้งหมดอยู่ที่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์จึงต้องคิดวิธีว่าราชการบ้านเมืองในหน้าที่ของผู้สำเร็จราชการแผ่นดินขึ้นเพื่อใช้เป็นหลักในการปฏิบัติสืบต่อไป ดังนั้น ในการจัดระเบียบราชการครั้งนี้จึงอาศัยแนวคิด 2 ประการ คือ ประการแรก การบังคับบัญชาข้าราชการบ้านเมืองนั้น ไม่ได้เอาอำนาจไว้แต่ในตัวผู้สำเร็จราชการแผ่นดินเท่านั้น แต่เป็นไปด้วยการปรึกษาหารือพร้อมเพรียงกันของข้าราชการผู้ชั้นผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายพลเรือนและทหารซึ่งจะมีการประชุมกัน ณ หอวรสภาภิรมย์ ภายในพระบรมมหาราชวัง ประการที่สอง คือ การฝึกหัดให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสามารถว่าราชการบ้านเมืองได้เอง[25][26]

ในการจัดพระราชานุกิจของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนบำราบปรปักษ์ (พระบรมวงศานุวงศ์อาวุโสสูงสุด) และกรมพระสุดารัตนราชประยูร (ผู้ดูแลอภิบาลเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์มาแต่ทรงพระเยาว์) ร่วมกันจัดระเบียบถวายด้านการศึกษา ขนบธรรมเนียมประเพณี การออกว่าราชการ การเสด็จออกรับฎีกา การเสด็จประพาสในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งพระจริยาวัตรอื่น ๆ เพื่อเตรียมพระองค์ให้ทรงพร้อมที่จะปกครองแผ่นดิน ในการนี้หากมีปัญหาใด ๆ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์จะเป็นผู้มีอำนาจเด็ดขาดในการตัดสิน
การก่อสร้างและการบำรุงการคมนาคม
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ได้สร้างประภาคารที่มีพระราชดำริมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 โดยบริจาคทรัพย์ส่วนตัวและควบคุมการก่อสร้างด้วยตัวท่านเอง ประภาคารแห่งนี้ตั้งอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ เริ่มสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2413 แล้วเสร็จในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2417 และท่านได้ยกประภาคารแห่งนี้ให้เป็นสมบัติของแผ่นดิน ประภาคารนี้มีชื่อในภาษาอังกฤษที่ตั้งโดยพวกฝรั่งว่า "รีเยนท์ไลท์เฮาส์" (Regent Lighthouse) ซึ่งมีความหมายว่า ประภาคารของผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน[27] และมีชื่อภาษาไทยว่า "ประภาคารสันดอนปากน้ำเจ้าพระยา" หรือคนทั่วไปเรียกว่า “กระโจมไฟสันดอน” ประภาคารแห่งนี้เป็นประโยชน์อย่างมากในด้านการเดินเรือ แต่ได้ใช้มาจนถึงวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2472 จึงได้เลิกใช้ เนื่องจากมีความชำรุดทรุดโทรมมาก[28]

นอกจากนี้ ท่านก็ยังได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นแม่กองในการก่อสร้างและบูรณะสถานที่ต่าง ๆ เช่น พระนครคีรี จังหวัดเพชรบุรี[29] พระนารายณ์ราชนิเวศน์ จังหวัดลพบุรี[30] พระอภิเนาว์นิเวศน์ ภายในพระบรมมหาราชวัง[9] รวมทั้ง เป็นแม่กองในการขุดคลองและก่อสร้างถนนต่าง ๆ เพื่อการคมนาคม ได้แก่ คลองผดุงกรุงเกษม คลองดำเนินสะดวก[31] ถนนเจริญกรุง ถนนตรง และถนนสีลม[32] เป็นต้น

กฎหมายและขนบธรรมเนียมประเพณี

ได้มีการออกพระราชบัญญัติต่าง ๆ ให้การพิจารณาคดีในศาลรวดเร็วขึ้น เช่น กฎหมายลงทะเบียนที่ดิน การขายฝิ่น ฯลฯ โดยร่วมกับคณะเสนาบดีร่างถวายทรงทราบเพื่อลงพระปรมาภิไธย ด้านขนบธรรมเนียมประเพณีได้ริเริ่มประเพณีทำบุญวันเกิดเป็นครั้งแรกเมื่ออายุครบ 50 ปี คงเริ่มมาจากคำแนะนำของชาวจีน ต่อมา ประเพณีนี้ก็ได้แพร่หลายไปในหมู่พระบรมวงศานุวงศ์และขุนนาง[33]
การบำรุงวรรณกรรม การละครและดนตรี

สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์มีความสนใจและมีบทบาทในการทะนุบำรุงและเผยแพร่วรรณกรรม โดยเฉพาะงานวรรณกรรมจีนซึ่งเป็นที่นิยมกันมาตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์ เนื่องจากมีคติสอนใจมากโดยเฉพาะเรื่องการปกครอง เช่น สามก๊ก สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์มักจัดให้มีนักปราชญ์จีนมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เพื่อแปลพงศาวดารจีนออกเป็นภาษาไทย โดยงานที่ท่านจัดให้มีการแปลมีทั้งหมด 19 เรื่อง เช่น ไซจิ๋น ตั้งจิ๋น น่ำซ้อง ซ้องกั๋ง หนำอิดซือ และเม่งฮวดเชงฌ้อ[34]

นอกจากวรรณกรรมจีนแล้ว สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ยังได้จัดพิมพ์วรรณกรรมไทย เช่น พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเรื่อง อิเหนา และเรื่องอื่น ๆ เผยแพร่ให้สามัญชนทั่วไปได้อ่านกันมากขึ้น

สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เป็นผู้ชอบดูละครและฟังดนตรี ท่านจึงได้ส่งเสริมโดยการหาครูละครและดนตรีมาฝึกคณะละครของท่านจนได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสมัยนั้น ท่านได้ให้ พระประดิษฐ์ไพเราะ (มี ดุริยางกูร) หรือครูมีแขก แต่งเพลงขึ้นใหม่ ซึ่งปรับปรุงมาจากเพลงเต่ากินผักบุ้ง พร้อมทั้งสอดแทรกทำนองมอญเข้าไปในเพลง ทำให้เกิดความไพเราะยิ่งขึ้น ท่านจึงโปรดปรานเพลงนี้มาก และตั้งชื่อเพลงนี้ว่า "พระอาทิตย์ชิงดวง” ตามสร้อยราชทินนามและตราสุริมณฑลซึ่งเป็นตราประจำตำแหน่งของท่าน[34]
การรักษาความสงบภายในประเทศ

สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ได้ใช้ความสามารถและความเด็ดขาดระงับและตัดไฟต้นลมในเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่มักวุ่นวายขึ้นในช่วงผลัดแผ่นดินซึ่งมักเกิดขึ้นเป็นประจำ(ช่วงผลัดแผ่นดินร.4ถึง ร.5) โดยเฉพาะเมื่อคราวประมาณ พ.ศ. 2411 ที่นายเฮนรี อะลาบัสเตอร์ ผู้รักษาการณ์กงสุลอังกฤษกล่าวว่า สยามไม่ปฏิบัติตามสนธิสัญญาถึงขนาดลดธงชาติอังกฤษลงครึ่งเสาเป็นการแสดงว่าได้ตัดพระราชไมตรีกับไทย สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ได้ความเฉียบแหลมและเด็ดขาดระงับเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้รวดเร็วไม่ลุกลามทำให้ต่างชาติใช้เป็นเหตุอ้างเพื่อเข้าแทรกแซง[25][26]


-http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C_%28%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87_%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%29-
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 19, 2013, 09:10:31 pm
เกียรติยศ

บรรดาศักดิ์

สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เริ่มเข้ารับราชการตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โดยเริ่มต้นจากการเป็นมหาดเล็ก และท่านก็ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เรื่อยมา จนได้ดำรงตำแหน่งที่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ซึ่งนับเป็นบุคคลที่ดำรงตำแหน่งนี้เป็นคนสุดท้าย โดยท่านได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นลำดับ ดังต่อไปนี้[1]

    พ.ศ. 2369 อายุได้ 18 ปี เป็นนายไชยขรรค์ มหาดเล็กหุ้มแพร
    พ.ศ. 2376 อายุได้ 25 ปี เป็นหลวงสิทธิ์ นายเวรมหาดเล็ก ซึ่งเรียกกันโดยทั่วไปว่า หลวงนายสิทธิ์
    พ.ศ. 2384 อายุได้ 33 ปี เป็นจมื่นไวยวรนาถ หัวหมื่นมหาดเล็ก
    พ.ศ. 2385 อายุได้ 34 ปี รัชกาลที่ 3 ทรงเพิ่มสร้อยนามพระราชทานว่า “จมื่นไวยวรนาถ ภักดีศรีสุริยวงศ์”
    พ.ศ. 2393 อายุได้ 42 ปี เป็นพระยาศรีสุริยวงศ์ วางจางมหาดเล็ก
    พ.ศ. 2394 อายุได้ 43 ปี เป็นเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ สมันพงศพิสุทธิ มหาบุรุษรัตโนดม ว่าที่สมุหพระกลาโหม
    พ.ศ. 2398 อายุได้ 47 ปี เป็นเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ อัครมหาเสนาบดีที่สมุหพระกลาโหมเต็มตำแหน่ง
    พ.ศ. 2412 อายุได้ 61 ปี เลื่อนยศเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ และเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
    พ.ศ. 2416 อายุได้ 65 ปี เป็นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์

เครื่องยศ

เมื่อท่านได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์นั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานเครื่องยศให้ท่านเทียบเท่าเจ้าต่างกรมชั้นกรมหลวง ซึ่งประกอบด้วย[34]

    มาลาเครื่องยศ
    เสื้อทรงประพาส
    ดาบฝักทอง
    พานหมากทองคำ

   

    คนโททองคำ
    กระโถนทองคำ
    หีบไม้แดงลงยา (หีบหมากทองคำลงยา)
    ที่ยาทองคำ

นอกจากเครื่องยศที่ท่านได้รับพระราชทานแล้ว คำสั่งของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์นั้น ยังเรียกว่า "พระประศาสน์" ดังนั้น ท่านจึงมีสมญานามที่ใช้เรียกแทนตัวว่า "พระประศาสน์" หรือ "สมเด็จพระประศาสน์" ด้วย[35]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์

สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างๆเป็นลำดับ ดังต่อไปนี้[36][3]

    Order of the Nine Gems.JPG -เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ (พ.ศ. 2412)
    Order of Chula Chom Klao - 1st Class (Thailand) ribbon.png - เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นที่ 1 ปฐมจุลจอมเกล้า (พ.ศ. 2416)
    Order of the White Elephant - 1st Class (Thailand) ribbon.png - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นที่ 1 มหาวราภรณ์ (ระหว่าง พ.ศ. 2412 - พ.ศ. 2416)
    Order of the Crown of Thailand - 1st Class (Thailand) ribbon.png - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎสยาม ชั้นที่ 1 มหาสุราภรณ์ (พ.ศ. 2419)

ดวงตราประจำตัว

สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ยังมีตราประจำตัว ได้แก่ ตราสุริยมณฑล ซึ่งมีลักษณะเป็นตราเทพบุตรชักรถ ภายหลังท่านได้นำตรานี้มาดัดแปลงเป็นรูปพระอาทิตย์แบบฝรั่ง เลียนแบบตราพระอาทิตย์จากพระราชวังแวร์ซายส์ ประเทศฝรั่งเศส ตราสุริยมณฑลนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อพระราชทานให้แก่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ ในขณะที่ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินทั่วพระราชอาณาจักร (คู่กับตราจันทรมณฑล ของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัต บุนนาค) ผู้สำเร็จราชการในพระนคร (และกรมพระคลังสินค้า) ซึ่งเป็นน้องชายของท่าน) แต่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ยังคงถือตราพระคชสีห์สำหรับตำแหน่งสมุหพระกลาโหม (กรมกลาโหม) และตราบัวแก้วสำหรับตำแหน่งเจ้าพระยาพระคลัง (กรมท่า) ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้พระราชทานตราสุริยมณฑลให้แก่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ดังนั้น ท่านจึงใช้ตราสุริยมณฑลเป็นตราประจำตัวตั้งแต่นั้นมา โดยท่านจะใช้ตรานี้ประทับกำกับไว้ที่หนังสือราชการ สิ่งของเครื่องใช้ หรือสถานที่ต่างๆ ที่ท่านสร้างไว้[34]


เกียรติคุณและอนุสรณ์
มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ถือกำเนิดจาก โรงเรียนราชวิทยาลัย หรือที่ชาวบ้านนิยมเรียกว่า โรงเรียนบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ซึ่งจัดการเรียนการสอนตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2439 โดยใช้จวนของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นสถานที่ตั้งของโรงเรียน ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทางราชการได้ตั้งโรงเรียนมัธยมขึ้น ณ จวนสมเด็จเจ้าพระยาขึ้นใหม่ เรียกว่า "โรงเรียนมัธยมบ้านสมเด็จเจ้าพระยา" เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2458 โดยมีตราประจำโรงเรียน คือ รูปเสมาสุริยมณฑล เพื่อเป็นเกียรติแด่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ และสัญลักษณ์ดังกล่าวยังเป็นรากฐานสำคัญของสถาบันมาจนถึงปัจจุบัน หลังจากนั้น ได้มีการจัดตั้ง "โรงเรียนฝึกหัดครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา" ขึ้นอีกแผนก ภายหลังจึงยกระดับเป็น วิทยาลัยครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น สถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา และปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่ออีกครั้งมาเป็น มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ส่วนโรงเรียนมัธยมศึกษาบ้านสมเด็จเจ้าพระยาได้เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนสาธิตวิทยาลัยครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา หรือ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ในปัจจุบัน[37]

ชาวมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เรียกตัวเองว่า ลูกสุริยะ สืบเนื่องมาจากการที่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ได้รับพระราชทานตราสุริยมณฑลเป็นตราประจำตัว โดยทางสถาบันได้จัดพิธีรำลึกถึงท่านในวันที่ 19 มกราคม ของทุกปี โดยเรียกว่า วันคล้ายวันพิราลัยสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์[38] นอกจากนี้ ภายในบริเวณมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยายังมีอนุสาวรีย์สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ตั้งอยู่ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดอนุสาวรีย์ เมื่อ 10 เมษายน พ.ศ. 2523 และบริเวณใกล้เคียงยังมีศาลสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ [39]

แสตมป์

เนื่องในวาระครบรอบ 200 ปี ชาตกาล สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) มูลนิธิสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ร่วมกับบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด จัดทำดวงตราไปรษณียากรที่ระลึก 200 ปี สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ "มหาบุรุษรัตโนดมแห่งกรุงรัตนโกสินทร์" ออกเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2551 อีกทั้งในงานนี้ยังได้จัดพิมพ์หนังสือที่ระลึก เพื่อเผยแพร่ประวัติและเกียรติคุณของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ [40]
อ้างอิง

    ↑ 1.0 1.1 สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ จาก เว็บไซต์ วัดบุปผารามวรวิหาร หน้า 1
    ↑ 2.0 2.1 เพชรพระมหามงกุฎ ตอน สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ จาก pantip.com
    ↑ 3.0 3.1 3.2 สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) พ.ศ. 2351-2425 จาก เว็บไซต์ ชมรมสายสกุลบุนนาค หน้า 4
    ↑ สำนักศิลปวัฒนธรรม, พิพิธภัณฑ์บ้านสมเด็จเจ้าพระยา กรุงเทพฯ : สำนักศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฎบ้านสมเด็จเจ้าพระยา, ม.ป.ป.
    ↑ 5.0 5.1 5.2 5.3 สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) พ.ศ. 2351-2425 จาก เว็บไซต์ ชมรมสายสกุลบุนนาค หน้า 1
    ↑ 6.0 6.1 6.2 ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ วิทยาลัยครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา, เอกสารประกอบนิทรรศการ “บ้านสมเด็จเจ้าพระยา”, วันที่ ๑๓-๑๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๒ จาก เว็บไซต์ วัดบุปผารามวรวิหาร
    ↑ จุลลดา ภักดีภูมินทร์, สมเด็จพระศรีสุลาลัย, นิตยสารสกุลไทย, ฉบับที่ 2376, ปีที่ 46, ประจำวันอังคารที่ 2 พฤษภาคม 2543
    ↑ 8.0 8.1 สายเจ้าคุณพระราชพันธุ์นวลชั้นที่ 3 สายสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) จาก เว็บไซต์ชมรมสายสกุล บุนนาค
    ↑ 9.0 9.1 แน่งน้อย ศักดิ์ศรี, หม่อมราชวงศ์, พระอภิเนาว์นิเวศน์ พระราชนิเวศน์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, สำนักพิมพ์มติชน, 2549 ISBN 974-323-641-4
    ↑ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธุ์, เรื่องตั้งเจ้าพระยาในกรุงรัตนโกสินทร์, โรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจ, พ.ศ. 2461, หน้า 63
    ↑ สายเจ้าคุณพระราชพันธุ์นวลชั้นที่ 3 สายสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) จาก เว็บไซต์ชมรมสายสกุล บุนนาค
    ↑ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ จาก เว็บไซต์วัดบุปผารามวรวิหาร หน้า 2
    ↑ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ จาก เว็บไซต์วัดบุปผารามวรวิหาร หน้า 3
    ↑ Sir John Bowling: "The Kingdom and People of Siam" page 282, London, 1857, Vol, II.
    ↑ เจ้าชีวิต, หน้า 444
    ↑ ประวัติสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) พ.ศ. 2351 - 2425 จากเว็บไซต์ ฐานข้อมูลท้องถิ่น สำนักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยราชภัฎ
    ↑ จุลลดา ภักดีภูมินทร์, สนธิสัญญาเบาริ่ง, ฉบับที่ 2686, ปีที่ 52, ประจำวันอังคารที่ 11 เมษายน 2549
    ↑ ปถพีรดี, วันนี้ในอดีต ๓๐ กันยายน ๒๔๑๐ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง เซอร์จอห์น เบาริ่ง เป็นอัครราชทูตพิเศษไทยประจำกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ, สกุลไทย, ฉบับที่ 2666, ปีที่ 52, ประจำวันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน 2548
    ↑ รายพระนามและรายนามผู้บัญชาการทหารเรือ
    ↑ วุฒิชัย มูลศิลป์ และคณะ, พระมหากษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์, อัลฟ่า มิเล็นเนียม, ISBN 974-91048-5-4
    ↑ 21.0 21.1 "กรณีลอบปลงพระชนม์" ในรัชกาลที่ ๔ จากเว็บไซต์ โบราณคดีไทย
    ↑ 22.0 22.1 พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระราชสกุล จาก พันทิปดอตคอม
    ↑ 23.0 23.1 จดหมายเหตุ ปลายรัชชกาลที่ 4 และต้นรัชชกาลที่ 5, พระนคร, โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, 2478
    ↑ 24.0 24.1 มหินทรศักดิ์ธำรง, เจ้าพระยา, จดหมายเหตุ เรื่องพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประชวร, พระนคร, โรงพิมพ์พระจันทร์, 2490
    ↑ 25.0 25.1 เพชรพระมหามงกุฎ ตอน สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (พระราชหัตถ์ซ้าย) ตอน ๒ จากพันทิปดอตคอม
    ↑ 26.0 26.1 กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, ความทรงจำ, โรงพิมพ์ของสมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, มกราคม 2506
    ↑ สถานที่ต่าง ๆ ที่เสนาบดีในสกุลบุนนาคเป็นแม่กองสร้าง จาก เว็บไซต์ชมรมสายสกุลบุนนาค หน้า 6
    ↑ ประภาคาร จาก พิพิธภัณฑ์กองทัพเรือ
    ↑ สถานที่ต่าง ๆ ที่เสนาบดีในสกุลบุนนาคเป็นแม่กองสร้าง จาก เว็บไซต์ชมรมสายสกุลบุนนาค หน้า 2
    ↑ สถานที่ต่าง ๆ ที่เสนาบดีในสกุลบุนนาคเป็นแม่กองสร้าง จาก เว็บไซต์ชมรมสายสกุลบุนนาค หน้า 1
    ↑ สถานที่ต่าง ๆ ที่เสนาบดีในสกุลบุนนาคเป็นแม่กองสร้าง จาก เว็บไซต์ชมรมสายสกุลบุนนาค หน้า 4
    ↑ สถานที่ต่าง ๆ ที่เสนาบดีในสกุลบุนนาคเป็นแม่กองสร้าง จาก เว็บไซต์ชมรมสายสกุลบุนนาค หน้า 5
    ↑ เอนก นาวิกมูล, เที่ยวท่องครรลองไทย 1 : The Path Through Thai Life : ตอนที่ 11 ฉลองวันเกิด, กรุงเทพฯ, สายธาร, 2548
    ↑ 34.0 34.1 34.2 34.3 วีณา ศรีธัญรัตน์, พรพิมล พุทธมาตย์และสุววรรณา สัจจวีวรรณ, ผลงานด้านวัฒนธรรมของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) กรุงเทพฯ : วิทยาลัยครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา, 2526
    ↑ สาราณียะของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ กรุงเทพฯ : การพิมพ์พระนคร, 2543
    ↑ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, ตำนานเครื่องราชอิศริยาภรณ์สยาม, พระนคร, โสภณพิพรรฒธนากร, 2468.
    ↑ ประวัติมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เว็บไซต์มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
    ↑ ประวัติสถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
    ↑ นามพระราชทานสถาบันราชภัฎแห่ง "สมเด็จเจ้าพระยา"
    ↑ "ลูกสุริยะ"คืนถิ่น "200ปีสมเด็จเจ้าพระยาฯ" เว็บไซต์ข่าวสด

หนังสือ

    ปิยนาถ บุนนาค, สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์, สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม 26 พ.ศ. 2549
    จุลจักรพงษ์, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า, เจ้าชีวิต : สยามก่อนยุคประชาธิปไตย.--กรุงเทพฯ : บริษัท สำนักพิมพ์ริเวอร์ บุ๊คส์ จำกัด (ISBN 9748358844)

แหล่งข้อมูลอื่น

    ชมรมสายสกุลบุนนาค

-http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C_%28%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87_%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%29-
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 11, 2013, 11:15:27 pm
    PaLungJit.org > ภูมิภาคและประชาสัมพันธ์ > ศูนย์ ประชาสัมพันธ์ > งานบุญอื่นๆ

พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

-http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445.html-

http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445.html (http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445.html)


PaLungJit.org > ภูมิภาคและประชาสัมพันธ์ > ศูนย์ ประชาสัมพันธ์ > พระพุทธรูป - วิหารทาน - สิ่งก่อสร้าง

ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ

-http://board.palungjit.org/f105/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87-%E0%B8%93-%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%86%E0%B9%8C%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87-%E0%B8%AD-%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%88-%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4-68899.html-

http://board.palungjit.org/f105/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87-%E0%B8%93-%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%86%E0%B9%8C%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87-%E0%B8%AD-%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%88-%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4-68899.html (http://board.palungjit.org/f105/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87-%E0%B8%93-%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%86%E0%B9%8C%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87-%E0%B8%AD-%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%88-%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4-68899.html)


PaLungJit.org > ภูมิภาคและประชาสัมพันธ์ > ศูนย์ ประชาสัมพันธ์ > งานบุญอื่นๆ

ขอความเมตตาช่วยต่อชีวิต พระเณร

-http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%93%E0%B8%A3-21733.html-


http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%93%E0%B8%A3-21733.html (http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%93%E0%B8%A3-21733.html)
.



ขอเก็บลิงค์ไว้ครับ

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 04, 2013, 08:04:28 pm
.

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=2275)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=2277)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=2279)

ข้าพระพุทธเจ้า ขอถวายพระพรองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้า ชมรมพระวังหน้า
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 05, 2013, 08:40:37 am
ทำไมดอกพุทธรักษา จึงเป็นดอกไม้ประจำวันพ่อ

-http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2_%E0%B8%88%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD/-


ชื่อวิทยาศาสตร์:  Canna spp. and hybrid

ชื่อวงศ์:  Cannaceae

ชื่อสามัญ:  Indian shot, Canna

ชื่อพื้นเมือง:  พุทธศร  ดอกบัวละวง

(http://guru.sanook.com/picfront/pedia/resize_274203__04122013031801.jpg)

ลักษณะทั่วไป:
    ต้น  เป็นพรรณไม้ล้มลุก เนื้ออ่อน อวบน้ำ ลำต้นมีความสูงประมาณ 1-2 เมตร มีลำต้นอยู่ใต้ดินเรียกว่า เหง้า มีการเจริญเติบโตโดยแตกหน่อเป็นกอคล้ายกับกล้วย ลักษณะหน่อที่เจริญเป็นต้นเหนือพื้นดินนั้นมีลักษณะกลมแบนสีเขียวขนาดลำต้นโตประมาณ 2-4 เซนติเมตร
    ใบ  ใบมีขนาดใหญ่สีเขียวโคนใบและปลายใบรีแหลม ขอบใบเรียบ กลางใบเป็นเส้นนูนเห็นได้ชัดโคนใบมีก้านใบซึ่งยาวเป็นกาบใบหุ้มลำต้นซ้อนสลับกัน ขนาดใบกว้างประมาณ 10-15 เซนติเมตรยาวประมาณ 25-35 เซนติเมตร
    ดอก  สีแดง แสด เหลือง ชมพู ขาว ออกดอกเป็นช่อแบบช่อกระจะที่ปลายกิ่ง ทยอยบานทีละ 1-3 ดอก ช่อดอกยาว 15- 20 เซนติเมตร  ช่อละ 8-10 ดอก กลีบเลี้ยง 3 กลีบ ขนาดเล็กสีเขียวอ่อน กลีบดอก 3 กลีบ   ดอกบานเต็มที่กว้าง 8-9  เซนติเมตร มีเกสรตัวผู้ซึ่งเปลี่ยนรูปร่างไปเหมือนกลีบดอกมีขนาดใหญ่
    ฝัก/ผล  ผลแห้งแตก ทรงกลม
    เมล็ด  เมล็ดทรงกลม ขนาด 2-6 เซนติเมตร ผิวขรุขระ จำนวนหลายเมล็ด

ฤดูกาลออกดอก:  ตลอดปี
การปลูก:  ปลูกในแปลงปลูก และปลูกในกระถาง
การดูแลรักษา:  ชอบแสงรำไร หรือแสงแดดจัดกลางแจ้ง ชอบดินเหนียวชุ่มชื้นและมีอินทรียวัตถุสูง หรือที่ระดับน้ำ 10-20 เซนติเมตร
การขยายพันธุ์:  เพาะเมล็ด แยกหน่อ แยกเหง้า

การใช้ประโยชน์:
    -    ไม้ประดับ
    -    สมุนไพร
สรรพคุณทางยา:
    -    ดอก ตำพอกห้ามเลือด รักษาแผลหนอง
    -    ใบ แก้อาการจุกเสียด แก้ท้องเสีย แก้อาเจียน

    “พุทธรักษา”
            หมายถึง พระพุทธเจ้าทรงปกป้องคุ้มครอง ให้มีแต่ความสงบสุขร่มเย็น ซึ่งเรียกกันมากว่า 200 ปี และสีเหลืองอันเป็นสีประจำวันพระราชสมภพขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ของปวงชนชาวไทยการมอบดอกพุทธรักษาให้กับพ่อ จึงเหมือนกับการบอกถึง ความรักและเคารพบูชาพ่อ ผู้สร้างความสงบสุขร่มเย็นให้แก่ครอบครัว คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นพุทธรักษาไว้ประจำบ้านจะช่วยปกป้องคุ้มครอง ไม่ให้มีเหตุร้ายหรืออันตรายเกิดแก่บ้านและผู้อาศัย เพราะพุทธรักษาเป็นพรรณไม้ที่เชื่อกันว่า มีพระเจ้าคุ้มครองรักษาให้มีความสงบสุข คือเป็นไม้มงคลนามนั่นเอง
       วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันพ่อแห่งชาติ กำหนดขึ้นครั้งแรก ในปี 2523 และกำหนดให้ ดอกพุทธรักษาสีเหลือง เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ประจำวันพ่อ


รูปภาพจาก : bcnnv.ac.th
ข้อมูลจาก : tlcthai.com
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 05, 2013, 11:45:19 am
พระราชดำรัส “ในหลวง“ ขอให้คนไทยตระหนักทำหน้าที่เพื่อชาติ

-http://news.sanook.com/1352619/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%94%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%AA-%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87/-

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกท้องพระโรง ศาลาราชประชาสมาคม วังไกลกังวล จ.ประจวบคีรีขันธ์ เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ครบรอบ 86 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม 2556

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชดำรัสตอบ พระบรมวงศานุวงศ์ คณะรัฐมนตรี ข้าราชการ ทหารทุกหมู่เหล่า และประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จ ความว่า

ขอขอบพระทัย และขอบใจท่านทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง ที่มีไมตรีจิตพรั่งพร้อมกันมาให้พร รวมทั้งให้คำมั่นสัญญาด้วยประการต่างๆ ข้าพเจ้าขอแสดงสนองพรและไมตรีจิตทั้งนั้นด้วยใจจริงเช่นกัน

บ้านเมืองของเราเป็นสุขสืบมาช้านาน เพราะเรามีความเป็นปึกแผนในชาติ และต่างบำเพ็ญกรณียกิจตามหน้าที่ให้สอดคล้องเกื้อกูลกัน เพื่อประโยชน์ของชาติ คนไทยทุกคนจึงควรตระหนักในข้อนี้ให้มาก และตั้งใจประพฤติตัวปฎิบัติงานให้สมฐานะและหน้าที่ เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ส่วนรวมคือความมั่นคงปลอดภัยของชาติบ้านเมืองไทย

ขออำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองรักษาท่านทุกคนให้มีแต่ความสุขความเจริญตลอดไป
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 05, 2013, 07:50:44 pm
พระราชดำรัส “ในหลวง“ ขอให้คนไทยตระหนักทำหน้าที่เพื่อชาติ

-http://news.sanook.com/1352619/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%94%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%AA-%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87/-

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกท้องพระโรง ศาลาราชประชาสมาคม วังไกลกังวล จ.ประจวบคีรีขันธ์ เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ครบรอบ 86 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม 2556

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชดำรัสตอบ พระบรมวงศานุวงศ์ คณะรัฐมนตรี ข้าราชการ ทหารทุกหมู่เหล่า และประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จ ความว่า

ขอขอบพระทัย และขอบใจท่านทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง ที่มีไมตรีจิตพรั่งพร้อมกันมาให้พร รวมทั้งให้คำมั่นสัญญาด้วยประการต่างๆ ข้าพเจ้าขอแสดงสนองพรและไมตรีจิตทั้งนั้นด้วยใจจริงเช่นกัน

บ้านเมืองของเราเป็นสุขสืบมาช้านาน เพราะเรามีความเป็นปึกแผนในชาติ และต่างบำเพ็ญกรณียกิจตามหน้าที่ให้สอดคล้องเกื้อกูลกัน เพื่อประโยชน์ของชาติ คนไทยทุกคนจึงควรตระหนักในข้อนี้ให้มาก และตั้งใจประพฤติตัวปฎิบัติงานให้สมฐานะและหน้าที่ เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ส่วนรวมคือความมั่นคงปลอดภัยของชาติบ้านเมืองไทย

ขออำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองรักษาท่านทุกคนให้มีแต่ความสุขความเจริญตลอดไป

โอบามา ส่งสานส์ถวายพระพรชัยมงคลแด่ในหลวง

-http://news.sanook.com/1352497/%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B2-%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B9%8C%E0%B8%96%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87/-

(http://pe1.isanook.com/ns/0/ud/270/1352497/b797ce1e8ddddabd87d5eca4532.jpg)

ประธานาธิบดีบารัค โอบามาของสหรัฐฯ ได้ส่งสานส์ถวายพระพร เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค. 56 โดยใจความในสานส์ระบุว่า ในนามของพสกนิกรชาวอเมริกัน ข้าพระพุทธเจ้าปลื้มปิติและน้อมถวายพระพรแด่พระองค์ เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวามหาราช ดั่งที่ข้าพระพุทธเจ้าได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเมื่อปีที่แล้ว และสำนึกว่าประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศไทยเป็นมหามิตรที่ดีต่อกัน โดยในปีนี้สหรัฐฯ และไทยได้เฉลิมฉลอง 180 ปีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เนื่องในโอกาสครบรอบการลงนามในสนธิสัญญาไมตรีและการพาณิชย์ เมื่อปีพุทธศักราช 2376 โดยในสนธิสัญญาฉบับดังกล่าว ในอารัมภบทได้ระบุไว้ว่า มิตรภาพระหว่างสหรัฐฯ และไทย จะมีอำนาจควบคุมความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศชั่วฟ้าดินสลาย และเจตนารมณ์เช่นนั้นจะคอยชี้นำความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ และไทย ซึ่งมีความลึกซึ้งและไม่มีการสั่นคลอน

ในการนี้ สหรัฐฯ และไทยจะกระชับความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องทั้งในด้านความมั่นคง การค้า และการลงทุน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยข้าพระพุทธเจ้าเชื่อว่า อนาคตของทั้งสหรัฐฯ และไทยจะโชติช่วงและเจิดจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายพระพรชัยมงคลแด่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท และอำนวยพรให้แก่ปวงชนชาวไทย เนื่องในวโรกาสสำคัญเช่นนี้

-http://www.springnewstv.tv/home-

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 12, 2013, 07:40:40 pm
“ลูกปัดอู่ทอง” ยอดของดีแห่งสยาม ความงามเหนือกาลเวลา/ปิ่น บุตรี
โดย ปิ่น บุตรี    12 ธันวาคม 2556 16:49 น.

-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000152657-


    โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)

“ลูกปัดอู่ทอง” ยอดของดีแห่งสยาม ความงามเหนือกาลเวลา/ปิ่น บุตรี

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000015967501.JPEG)
ลูกปัดอู่ทองหนึ่งในศิลปวัตถุล้ำค่าแห่งสยามประเทศ
       “...ข้าพเจ้าไม่เคยพบบรรดาลูกปัดที่มีสีเฉพาะถิ่นในที่อื่นๆ มากมายเท่าในเขตปริมณฑลของเมืองอู่ทอง...”
       
       บางส่วนจากบทความ “อู่ทอง กับลูกปัดอู่ทอง สองที่สุดของเมืองไทย” ในหนังสือ “อู่ทองหลักฐานพระพุทธศาสนาแรกเริ่มและรอยลูกปัด” โดย รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม นักโบราณคดีนามอุโฆษ ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงคุณค่าและความสำคัญของ “ลูกปัดอู่ทอง” ที่ถือเป็นหนึ่งในศิลปวัตถุอันทรงคุณค่าแห่งสยามประเทศ

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000015967502.JPEG)
ลูกปัดคือหนึ่งในหลักฐานสำคัญที่ยืนยันความเป็นเมืองท่าโบราณของอู่ทอง

       ย้อนรอยลูกปัดอู่ทอง
       
       “เมืองโบราณอู่ทอง” ที่ปัจจุบันอยู่ใน อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ถือเป็นเมืองสำคัญแห่งดินแดนสุวรรณภูมิ ทั้งการเป็นเมืองท่า เมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจการค้า การคมนาคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุค“ทวารวดี”(ราวพุทธศตวรรษที่ 12-16) เมืองอู่ทองเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก
       
       สำหรับโบราณวัตถุที่เป็นหลักฐานสำคัญยืนยันความเป็นเมืองท่าโบราณของอู่ทองที่มีการสร้างความสัมพันธ์ ติดต่อ เชื่อมโยง กับอาณาจักรสำคัญภายนอก เช่น อินเดีย โรมัน อาหรับ ก็คือ “ลูกปัด”ชนิดต่างๆที่มีการค้นพบเป็นจำนวนมากในเมืองอู่ทองและบริเวณใกล้เคียง
       
       ลูกปัดโบราณเหล่านั้นเดินทางผ่านมาทางชาวต่างชาติที่เข้ามาติดต่อค้าขายกับอู่ทอง ก่อนจะเดินทางผ่านกาลเวลากลายเป็นลูกปัดอู่ทองมรดกทรงคุณค่าของเมืองไทย โดยหลังมีการขุดค้นพบลูกปัดอู่ทอง(จากการบุกเบิกของอ.ชิน อยู่ดี)และถูกเปิดตัวให้โลกรู้จัก ชื่อเสียงของลูกปัดอู่ทองก็โด่งดังไปไกล โดยเฉพาะในช่วงประมาณ พ.ศ. 2510 หรือ เกือบ 50 ปีที่แล้ว
       
       ยุคนั้นในพื้นที่อำเภออู่ทองมีการพบลูกปัดเยอะมากและสามารถพบได้ไม่ยาก บางจุดแค่ฝนตกชะหน้าดินก็สามารถพบลูกปัดได้แล้ว นั่นจึงทำให้เกิดปรากฏการณ์ตื่นลูกปัดขึ้นในอู่ทอง ทั้งชาวบ้านในพื้นที่และคนต่างถิ่นต่างแห่กันขุดค้นหาลูกปัดกันเป็นจำนวนมากอย่างกับมีเทศกาลสำคัญ

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000015967503.JPEG)
ความหลากหลายของลูกปัดอู่ทอง

       มนต์เสน่ห์แห่งลูกปัดอู่ทอง
       
       นพ.บัญชา พงษ์พานิช เลขานุการมูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาสอินทปัญโญ ผู้เชี่ยวชาญด้านลูกปัดในเมืองไทย ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับลูกปัดอู่ทองผ่านบทความ “ลูกปัดอู่ทอง(เท่าที่สืบค้นได้ใน พ.ศ.นี้)กับข้อเสนอเพื่อการพัฒนาที่อู่ทอง”ในหนังสือ “อู่ทองหลักฐานพระพุทธศาสนาแรกเริ่มและรอยลูกปัด” สรุปความได้ว่า
       
       ...ลูกปัดอู่ทอง เป็นลูกปัดเก่าแก่ที่ถูกค้นพบในเมืองโบราณอู่ทองและปริมณฑลราว 20-30 กิโลเมตร มีการสืบเนื่องต่อกันมาอย่างน้อย 3 ยุค คือ ยุคเหล็ก ฟูนัน และทวารวดี กินระยะเวลาประมาณ 1,500 - 2,000 ปี ตั้งแต่ต้นพุทธกาลเมื่อประมาณ 2,500 ปีที่แล้ว โดยลูกปัดอู่ทอง แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลักๆได้แก่
       
       1. ลูกปัดที่ทำจากดินเผา กระดูกสัตว์ และเปลือกหอย เช่น หอยมือเสือ หอยสังข์ ลูกปัดกลุ่มนี้พบเห็นได้น้อยมาก

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000015967504.JPEG)
ลูกปัดชวาวุ้น

       2. ลูกปัดที่ทำจากหินชนิดต่างๆ มีทั้งหินสีมีค่า อาทิ คาร์เนเลียน อะเกต หินแก้วผลึก หินเขี้ยวหนุมาน(ควอตซ์) และลูกปัดที่ทำจากหินสีเขียวชนิดต่างๆหรือที่นิยมเรียกว่าหยก ลูกปัดกลุ่มนี้มีหลายรูปทรง มีทั้งแบบเรียบ สีเดียว และผสมสี รวมไปถึงลูกปัดหินเนื้อใสที่เรียกว่า “ลูกปัดทวารวดีวุ้น” หรือ “ลูกปัดชวาวุ้น”
       
       3. ลูกปัดที่ทำจากแก้ว มีทั้งลูกปัดแก้วสีเดียวหรือที่นิยมเรียกกันว่า“ลูกปัดอินโดแปซิฟิก” ลูกปัดแก้วอำพัน ลูกปัดแก้วหลายสี ลูกปัดแก้วลายแถบหรือที่นิยมเรียกว่า “สแลน” เป็นต้น
       
       4. ลูกปัดที่ทำจากโลหะ ส่วนใหญ่เป็นลูกปัดที่ทำจากทองคำ...

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000015967505.JPEG)
ลูกปัดอู่ทองหลากหลายรูปแบบ

       นอกจากนี้ลูกปัดอู่ทองยังได้ชื่อว่าเป็นยอดของลูกปัดในเมืองไทย ซึ่งหนึ่งในผู้หลงใหลลูกปัดอู่ทองและได้เก็บสะสมลูกปัดไว้เป็นจำนวนมากอย่าง “กัลยารัตน์ ศักดิ์ขจรภพ” หรือเจ๊กัลยา แห่งร้านกัลยาในตลาดอู่ทองได้พูดถึงจุดเด่นและเสน่ห์ของลูกปัดอู่ทองว่า ลูกปัดอู่ทองมีความสวยงามแตกต่างจากที่อื่นๆ เพราะมันดูมีน้ำมีนวล มีความเลื่อม มันวาว อีกทั้งยังมีความเหนียวไม่แตกง่าย จึงเป็นที่ต้องการของนักสะสม นักเล่นของเก่า นักเล่นลูกปัด นั่นจึงทำให้ลูกปัดอู่ทองมีราคาสูงกว่าที่อื่นๆตั้งแต่ 3 -10 เท่าเลยทีเดียว


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000015967506.JPEG)
เจ๊กัลยา แห่งร้านกัลยาในตลาดอู่ทอง

       สำหรับจุดหลักในการชมลูกปัดอู่ทองของนักท่องเที่ยวและผู้สนใจทั่วไปในอำเภออู่ทองนั้นก็คือที่ ”พิพิธภัณฑถานแห่งชาติ อู่ทอง” ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งรวบรวมลูกปัดแห่งใหญ่ของเมืองไทยนับเป็นร้อยๆเส้น ลูกปัดที่นี่เป็นลูกปัดอู่ทองที่ได้มาจากการขุดค้นพบ การขุดแต่งทางโบราณคดี การบริจาค และการรับซื้อจากชาวบ้าน นักสะสม มีทั้งที่เป็น หิน แก้ว หิน จัดแบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000015967507.JPEG)
ส่วนจัดแสดงลูกปัดในพิพิธภัณฑ์อู่ทอง

       -ลูกปัดหินคาร์เนเลียน อะเกต สมัยก่อนประวัติศาสตร์ราว 3,000 - 3,500 ปีที่แล้ว เช่น สร้อยลูกปัดหินคาร์เนเลียนสีส้มแดง สร้อยลูกปัดหินอะเกตรูปทรงต่างๆ
       
       -ลูกปัดหินสีมีค่าและลูกปัดแก้ว ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ – ทวารวดี มีอายุราว 1,500 – 2,500 ที่แล้ว เช่น ลูกปัดหินแก้วผลึก ลูกปัดควอตซ์ ลูกปัดหินคาร์เนเลียนกับโกเมน


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000015967508.JPEG)
ลูกปัดหลากหลายที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์อู่ทอง

       -ลูกปัดแก้วอินโดแปซิฟิก สมัยทวารวดี อายุราว 1,400 – 1,500 ปีที่แล้ว เช่น ลูกปัดแก้วอินโดแปซิฟิกสีฟ้า น้ำเงิน มีสองเส้นทรงหลอดยาวเรียกว่า “ก้านผักบุ้ง” สร้อยลูกปัดแก้วสีเดียว เป็นต้น
       
       -ลูกปัดทองคำ ลูกปัดหิน และเครื่องประดับ เช่น สายสร้อย จี้ แหวน ที่ทำจากโลหะต่างๆ โดยมีไฮไลท์ที่ทางพิพิธภัณฑ์ภูมิใจนำเสนอ คือ ลูกปัดทองคำพร้อมจี้ทองคำฝังพลอยอันเหลืองอร่ามสวยงาม

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000015967509.JPEG)
ลูกปัดทองคำ

       นอกจากนี้ที่นี่ยังมีประติมากรรมที่เกี่ยวเนื่องกับลูกปัด เช่น หัวเสาโบราณแกะสลักเป็นรูปสร้อยสังวาลร้อยลูกปัด รูปบุคคลที่มีสายสร้อย ต่างหูลูกปัดประดับตกแต่ง ซึ่งผู้สนใจสามารถไปชมได้ที่พิพิธภัณฑ์ฯอู่ทองที่ถือเป็นอีกหนึ่งแหลงรวมศิลปวัตถุอันทรงคุณค่าที่น่าสนใจยิ่งของเมืองไทย


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000015967510.JPEG)
รูปบุคคลที่มีสายสร้อยแสดงถึงการนิยมในลูกปัดของคนโบราณ

       วิถีลูกปัด วิถีอู่ทอง
       
       ลูกปัดในความรับรู้ของคนทั่วไปคือเครื่องประดับอันสวยงาม แต่คนสมัยโบราณยังให้คุณค่าและความหมายของลูกปัดที่กว้างไกลกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็น เครื่องรางของขลัง, สิ่งของที่ใช้ในพิธีกรรม,เป็นของมีค่าใช้แลกเปลี่ยนเสมือนเงินตรา,เป็นสินค้าของสะสม, เป็นเครื่องหมายบอกอำนาจ-ใครมีลูกปัดมากมีอำนาจมาก เป็นเครื่องประดับแสดงฐานะ ชนชั้นทางสังคม-ลูกปัดมีการแบ่งระดับของมันในตัวจากความหายากและความสวยงามของวัสดุ


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000015967511.JPEG)
ลูกปัดนอกจากเป็นเครื่องประดับแล้วยังมีคุณค่าในอีกหลากหลายด้าน

       สำหรับลูกปัดอู่ทองนั้นถือว่ามีความผูกพันกับชาวเมืองอูทองไม่น้อย ซึ่ง “นิธิศักดิ์(สมศักดิ์)-จิราพัทธ์ อภินันท์ธนากร” สองสามี-ภรรยา แห่ง“ร้านเจนภักดี”ร้านทำลูกปัดเจ้าดังบนถนนปากทางเข้าเขาพระ เล่าให้ฟังว่า คนอู่ทองสมัยก่อนจะนิยมสวมลูกปัดเป็นเครื่องประดับกันเป็นจำนวนมาก ทั้งสายสร้อย กำไล


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000015967512.JPEG)
จิราพัทธ์ อภินันท์ธนากร กับลูกปัดที่สะสม

       “มาวันนี้แม้จะไม่เป็นที่นิยมเท่าเมื่อก่อน แต่คนอู่ทองส่วนหนึ่งก็ยังนิยมกันอยู่ คนรุ่นใหม่ วัยรุ่นก็ยังใส่กันอยู่ ดูได้จากคนในอู่ทองที่มาให้ทางร้าน(เจนภักดี)ทำลูกปัด ซึ่งมีทั้งคนที่มาซื้อลูกปัดที่ร้าน หรือนำลูกปัดที่เก็บสะสมมาให้ทางร้านออกแบบตกแต่งให้ใหม่”
       
       นิธิศักดิ์ช่างทำทอง ทำลูกปัดมือดีแห่งอู่ทองเล่าให้ฟัง พร้อมกับเชิญชวนให้ดูลูกปัดสีอำพันทองอันสวยงาม ซึ่งเขาบอกว่า มีเพียงหนึ่งเดียวในสุพรรณ


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000015967513.JPEG)
ลูกปัดอู่ทองผูกพันกับวิถีชาวอู่ทองมาแต่ช้านาน

       ขณะที่จิราพัทธ์ที่สวมใส่ลูกปัดสีสวยอยู่บนคอกล่าวว่า ชาวอู่ทองหลายคนมีความเชื่อว่าถ้าสวมลูกปัดอู่ทองจะช่วยเพิ่มความโชคดี ความเป็นสิริมงคลให้กับชีวิต แต่เรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็สุดแท้แต่
       
       ลูกปัดอู่ทอง เชื่อมอดีต-ปัจจุบัน
       
       ด้วยคุณค่าและความสำคัญของลูกปัดอู่ทอง ทาง “องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน” หรือ อพท. ที่ได้คัดสรรเมืองโบราณอู่ทองเป็นหนึ่งในพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ด้วยแนวคิด “เมืองสร้างสรรค์การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตดั้งเดิม” ได้จัดทำหนังสือ “อู่ทองหลักฐานพระพุทธศาสนาแรกเริ่มและรอยลูกปัด” เพื่อเป็นที่แหล่งอ้างอิงข้อมูลและเป็นคู่มือสำหรับผู้สนใจ


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000015967514.JPEG)
ลูกปัดสีอำพันทองที่หาไม่ได้ง่ายๆในเมืองไทย

       นอกจากนี้ทางอพท.ยังได้นำเรื่องราวของลูกปัดมาผนวกเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมการท่องเที่ยว เรียนรู้ เพื่อให้เกิดการมอง“ย้อนอดีต” เชื่อมโยงสู่ “ปัจจุบัน” พร้อมให้ชุมชนได้ตระหนักถึงความสำคัญอดีตอันรุ่งโรจน์ของอู่ทอง เพื่อนำไปสู่การอนุรักษ์ ฟื้นฟู และพัฒนาเมืองเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน อีกทั้งยังชูลูกปัดเป็นผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่แสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของเมืองโบราณอู่ทอง เพื่อให้คนในพื้นที่นำไปต่อยอดพัฒนาเป็นสินค้าของที่ระลึกต่อไป
       
       และนี่ก็คือเสน่ห์มนต์ขลังของศิลปวัตถุที่อยู่เหนือกาลเวลานามว่า “ลูกปัดอู่ทอง”
       
       สิ่งเล็กๆที่มีคุณค่ามากมายเกินตัว


-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000152657-

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 31, 2013, 08:23:18 pm
.


(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=2285;image)


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 31, 2013, 09:56:26 pm
"ในหลวง" พระราชทาน ส.ค.ส. ปี 2557 แก่ประชาชนชาวไทย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    31 ธันวาคม 2556 20:20 น.

-http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9560000160118-

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=2287;image)

 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทาน ส.ค.ส. ปีพุทธศักราช 2557 แก่ประชาชนชาวไทย เนื่องในโอกาสวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ทรงพิมพ์ข้อความ "ขอจงมีความสุขความเจริญ Happy New Year 2014"

ส.ค.ส.พระราชทาน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2557 นี้ เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์สากลสีน้ำเงินเข้ม ทรงผูกเนกไทสีเขียวอ่อน มีลวดลายเข้าชุดกับผ้าปักพระกระเป๋า ฉลองพระองค์ชั้นในเป็นเชิ้ตขาว ฉลองพระบาทสีดำ
       
       พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับพระเก้าอี้สีขาว หน้าพระแกล หรือหน้าต่าง ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล หัวหิน ทรงฉายกับคุณทองแดง สุนัขที่ทรงเลี้ยงมาตั้งแต่ปี 2541 สวมเสื้อสีเหลือง หมอบอยู่แทบพระบาทด้านขวา
       
       ด้านขวาบน มีตราพระมหาพิชัยมงกุฎประดับ ส่วนด้านซ้าย มีผอบทองประดับ ด้านล่างของผอบทอง มีตัวอักษรสีเหลือง ข้อความว่า "ส.ค.ส.2557" และตัวอักษรสีส้ม ข้อความว่า "สวัสดีปีใหม่"
       
       ด้านขวา ใต้ตราพระมหาพิชัยมงกุฎ มีข้อความภาษาไทยพิมพ์ด้วยตัวอักษรสีฟ้า ว่า "ขอจงมีความสุขความเจริญ" และข้อความภาษาอังกฤษ พิมพ์ด้วยตัวอักษรสีเขียวเข้ม ว่า "HAPPY NEW YEAR 2014"
       
       ด้านล่างของ ส.ค.ส.มีแถบสีเขียวเข้ม มุมล่างขวามีข้อความ "ก.ส.9 ปรุง 060931 ธ.ค.56 พิมพ์ที่โรงพิมพ์สุวรรณชาด ท.พรหมบุตร ผู้พิมพ์โฆษณา Printed at the Suvannachad publishing, D Bromaputra. Publisher"
       
       กรอบของ ส.ค.ส. พระราชทานฉบับนี้ เป็นภาพใบหน้าคนเล็กๆ เรียงกันด้านละ 3 แถว ส่วนด้านบนและด้านล่างเรียงกันด้านละ 2 แถว ทุกหน้ามีแต่รอยยิ้ม
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 01, 2014, 09:16:59 pm
พื้นที่ชีวิต - รอยธรรมสุวรรณภูมิ 30May12

พื้นที่ชีวิต - รอยธรรมสุวรรณภูมิ 30May12 (http://www.youtube.com/watch?v=MMkKxSCH_d0#)

พื้นที่ชีวิต - รอยธรรมสุวรรณภูมิ 30May12 (http://www.youtube.com/watch?v=MMkKxSCH_d0#)

-http://www.youtube.com/watch?v=MMkKxSCH_d0-

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 04, 2014, 10:05:46 pm
เที่ยวกรุงส่งท้ายปี
โดย ลลิล สรรทราย

-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1388468700&grpid=&catid=09&subcatid=0901-

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=2295;image)

เทศกาลส่งความสุข... ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ เป็นช่วงเวลาที่หลายคนตั้งตารอคอย เพราะจะได้หยุดยาว นอนอยู่บ้านหลายวันโดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกดุ

ส่วนอีกหลายคน ยังต้องใช้ชีวิตในเมืองกรุงเพื่อทำงานแทนคนที่หยุดไป เวลาของการเที่ยวท่อง พักผ่อนให้หายเครียดจึงมีน้อยกว่าคนอื่นๆ

... แต่การเที่ยวกรุงช่วงปีใหม่นี้มีข้อดีอย่างหนึ่ง คือ รถราที่น้อยว่าปกติ (นิดหนึ่ง)

เริ่มต้นวันส่งท้ายปีเก่าด้วยกิจกรรม "นบพระนวรัฐพระปฏิมา 9 แผ่นดิน"

เป็นกิจกรรมพิเศษที่กรมศิลปากรจัดขึ้นเพื่อสร้างความเป็นสิริมงคลในช่วงปีใหม่ อัญเชิญพระพุทธรูปวังหน้ามาให้ประชาชนได้สักการะตั้งแต่วันคริสต์มาสที่ผ่านมาไปจนถึงวันที่ 26 มกราคม 2557 ที่พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

พระพุทธรูปทั้ง 9 องค์ ประกอบด้วย "พระพุทธรูปแสดงธรรม" ศิลปะลังกาสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 11-12 เหมือนได้ขอพรพระเจ้า, "พระพุทธรูปประทานธรรม" นำความเจริญรุ่งเรืองสและสิริมงคลแก่ชีวิต, "พระธยานิพุทธไวโรจนพุทธ" ศิลปะศรีวิชัย เกิดปัญญาและทางสว่างแก่ชีวิต, "พระไภษัชยคุรุ" กำจัดและพ้นโรคภัยทั้งทางกายและทางใจ, "พระหายโศก" หมดทุกข์หมดโศก, "พระพุทธสิหิงค์" ปกป้องสิ่งไม่ดีทั้งปวง, "พระชัยเมืองนครราชสีมา" ขจัดอุปสรรคและอำนวยให้ประสบความสำเร็จ, "พระพุทธรูปมารวิชัย" ผู้บูชาจะมีชัยชนะด้วยพระบารมี และ "พระหยกรัสเซีย" ทำให้มีโชคลาภ



ใครที่ไม่คุ้นชินกับเส้นทาง แนะให้นั่งรถเมล์มาลงป้าย "สนามหลวง" เดินข้ามมาฝั่ง มธ.ท่าพระจันทร์ แล้วเดินต่อไปไม่ถึง 100 เมตรก็ถึง

อ่อ ลืมบอก ที่นี่เขาปิดวันที่ 3 และ 11 ม.ค. ส่วนวันที่ 7 ม.ค. 2557 นั้นเปิดครึ่งวัน

ใครกลัวจะหิวแนะให้หาอะไรรองท้องย่านท่าพระจันทร์ เพราะร้านอาหารแถวนี้หาอร่อยๆ ง่าย เคยคิดเอาเอง ว่าถ้าไม่อร่อยคงอยู่ไม่ได้เป็นแน่

หรือจะไป "ตลาดน้ำตลิ่งชัน" ตลาดน้ำที่ยังคงวิถีชีวิตริมคลอง ตั้งอยู่ริมคลองละแวกสำนักงานเขตตลิ่งชัน

บรรดาพ่อค้าแม่ขายจะพายเรือออกจากบ้าน นำผลิตผลจากเรือกสวนไร่นามาขายแก่บรรดานักท่องเที่ยว บางส่วนตั้งร้านขายในโป๊ะในคลองบางกอกน้อย นอกจากนี้ยังมีร้านขายไม้ดอกไม้ประดับ ของตกแต่งบ้านและสวน

โดยจะเปิดช่วงวันหยุดราชการและเสาร์อาทิตย์ตั้งแต่ 8 โมงเช้ายัน 5 โมงเย็น

ใครอยากลิ้มรสของอร่อย เคล้าลมเย็นๆ ท่ามกลางบรรยากาศแสนจะเป็นกันเอง เชิญมา

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=2297;image)

ริมคลองสายเดียวกัน ยังเป็นที่ตั้งของสถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และศิลปะ "พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี" ซึ่งจัดแสดงเรือพระราชพิธี 8 ลำที่ใช้ในกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค

ได้แก่ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 เรือครุฑเหินเห็จ เรือกระบี่ปราบเมืองมาร เรืออสุรวายุภักษ์ และเรือเอกไชยเหินหาว

นอกจากนี้ยังมีเครื่องใช้และเครื่องประกอบที่ใช้ในพระราชพิธีจัดแสดงอยู่ด้วย ทั้งเรือพายชนิดต่างๆ เครื่องแต่งกายของฝีพาย รวมถึงบัลลังก์บุษบก บัลลังก์กัญญา

ใครที่นำรถส่วนตัวมาเองคงจะลำบากสักหน่อย แนะให้นั่งเรือไปลงที่ท่าปิ่นเกล้า จากนั้นเดินลัดเลาะไปในย่านชุมชนโดยไม่ต้องกลัวหลง เพราะมีป้ายบอกทาง หรือจะถามชาวบ้านแถวนั้นก็ได้ เพราะเขาเป็นมิตรสุดสุด

หากมองว่าพิพิธภัณฑ์ดังกล่าวไร้ชีวิตชีวา แนะให้ไป "มิวเซียมสยาม" พิพิธภัณฑ์มีชีวิตภายใต้การสนับสนุนของสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ

จุดขายของที่นี่ คือการสร้างประสบการณ์สดใหม่ในการชมพิพิธภัณฑ์ โดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่ต้องการให้ลูกหลานเกิดจิตสำนึกในการรู้จักตนเอง เพื่อนบ้าน และเพื่อนร่วมโลก ผ่านนิทรรศการถาวร "เรียงความประเทศไทย", นิทรรศการหมุนเวียน และกิจกรรมการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์

ซึ่งในช่วงเทศกาลปีใหม่ "มิวเซียมสยาม" เปิดให้บริการตามปกติ และในวันที่ 31 ธันวาคม 2556 ถึง วันที่ 1 มกราคม 2557 มิวเซียมสยามเปิดให้ "เข้าชมฟรี" เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่แด่ทุกท่าน (ปิดวันจันทร์ตามปกติ)

ถือเป็น "ของขวัญ" ที่เรามอบให้กับตัวเองได้ง่ายๆ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 04, 2014, 10:07:35 pm
วันนี้ ไปกราบพระพุทธสิหิงค์ ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ ร่วมโมทนาบุญกันครับ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 01, 2014, 09:48:37 am
ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างไรให้ได้ผล

-http://horoscope.sanook.com/1396332/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%9C%E0%B8%A5/-



สำหรับชาวสนุก!ดูดวง คนไหนที่ชอบการทำบุญไหว้พระ ขอพรเสริมดวง แต่การขอพรนั้นย่อมมีองค์ประกอบที่หลากหลาย โดยการเริ่มต้นบูชาขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะให้ได้ผลนั้น ต้องทำจิตให้บริสุทธิ์ ผ่องใส และมีสมาธิตั้งจิตให้แน่วแน่และทำร่างกายให้บริสุทธิ์โดยการชำระร่างกายให้สะอาด มีความเชื่ออย่างแรงกล้าต่อสิ่งที่ขอไว้ จึงจะได้ผลตามที่ปรารถนาไว้ ซึ่งมีองค์ประกอบ ดังนี้

1. การตั้งจิตให้มีสมาธิ มีพลังแข็งแกร่งตั้งมั่นด้วยแรงศรัทธาอธิษฐานอย่างแรงกล้าในสิ่งที่ปรารถนาไว้ จะส่งผลให้มีพลังมหาศาลทำให้ได้ผลตามที่มุ่งหวัง เนื่องจากจิตใจที่ตั้งมั่นจะเป็นแรงส่งหรือเชื่อมกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นพลังขั้นแรกในการส่งไปขอพร ขออำนาจบุญบารมีจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์

พลังจิตเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ของแต่ละบุคคล จะมีมากหรือน้อยจะส่งผลกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ขอไว้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและเคร่งครัด และฐานกำลังจิตที่มาจากกรรมดี ที่เคยทำมาในอดีตชาติ หรือมีกรรมร่วมกันมากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นหรือไม่ การทำสมาธิที่เป็นการตั้งจิตให้แน่วแน่และมีความปลอดภัยที่สุดคือการทำสมาธิแบบ "อานาปานสติ" โดยการกำหนดลมหายใจเข้าออก โดยการภาวนาตามลมหายใจ เมื่อจิตนิ่งไม่วอกแวกคิดเรื่องอื่น จิตก็มีความบริสุทธิ์

2. การทำร่างกายให้บริสุทธิ์ ผู้บูชาต้องเป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้อยู่ในทาน ศีลและภาวนา นึกถึงบุญคุณความดีที่ได้กระทำมา ถึงจะเริ่มจะบูชาหรือสวดคาถาบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หากไม่มีบุญของตัวเองเป็นที่ตั้ง บุญจากที่อื่นก็ไม่สามารถช่วยได้ ควรต้องรักษาศีลอย่างน้อยสุดคือศีล 5 และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเรื่องของกรรมวาจา ซึ่งหมายถึง ต้องเป็นคนที่พูดจาเป็นมงคล เพราะการพูดมงคลนั้นเป็นการนำสิ่งที่ดีเข้าใส่ตัว แต่การพูดไม่ดีนั้นจะขัดแย้งกับมนต์คาถาศักดิ์สิทธิ์ที่เปล่งออกมา

การเบียดเบียนผู้อื่นเป็นสิ่งที่ต้องไม่ทำอย่างเด็ดขาด เพราะกรรมนั้นจะขัดแย้งกันกับสิ่งที่เราปรารถนาจะได้มา การขอพรต้องขออย่างมีสติ ต้องรู้ตัวเองก่อนว่าเรา มีศีลอะไรบ้าง มีความดีอะไรบ้าง เมื่อปฏิบัติดีอยู่ในศีลด้วยความดี ตั้งใจมั่นศรัทธา ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นกับเรา

3. เหตุจากกรรมของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นกรรมเก่าหรือกรรมใหม่ สิ่งที่จะต้องทำก่อนคือ ต้องสร้างกรรมดีขึ้นมาใหม่ ต้องทำให้สม่ำเสมอมากพอและนานพอ เป็นบุญใหม่เพื่อนำไปชดเชยหรือลดกรรมเก่าเพราะถ้าหากมีกรรมเก่ามากและเป็นวิบากกรรมหนักนั้นจะส่งผลต่อชีวิตในปัจจุบัน ทำให้การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งมงคล ส่งผลกับแรงอธิษฐานได้น้อยมาก

จึงจะต้องขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรเสียก่อน ทำให้เจ้ากรรมนายเวรนั้นยกโทษให้ และมาอนุโมทนาส่วนบุญกุศลนี้ไปให้เจ้ากรรมนายเวรก่อน เพื่อคลายวิบากกรรมไม่ดีออกไป เมื่อรู้จักการบูชาอนุโมทนาน้อมนำพระคุณของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว พลังอำนาจเหล่านั้นก็จะหลั่งไหลรวมกันเข้าหาตัว ทำให้เกิดโชคลาภโดยเร็ว

4. การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกต้อง การที่จะขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านจะช่วยดลบันดาลให้มีอานุภาพสูงสุดนั้น จะต้องรู้จักวิธีการบูชาที่ถูกต้องเสียก่อน เพราะดวงจิตวิญญาณที่สถิตย์หรือรักษาสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น มีเจตจำนงในความต้องการแตกต่างกัน แล้วแต่พลังจิตวิญญาณนั้นๆ ว่าท่านอยู่ในระดับชั้นใด แต่ที่เหมือนกันก็คือท่านทรงไว้ด้วยคุณความดีและมีพลังบุญ บางองค์นั้นท่านเป็นพระโพธิสัตว์ พระอรหันต์ พรหมเทพเทวา หรือ เทพเจ้าต่างๆ วิญญาณบรรพบุรุษ หรือผู้ที่เคยมีพระคุณยิ่งใหญ่ต่อแผ่นดิน

ก่อนการบูชาต้องจัดวางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในตำแหน่งที่เหมาะสม อยู่ในทิศทางที่เป็นมงคลถูกต้อง การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์บางครั้ง การถือศีล หรือเจริญภาวนา ทำสมาธิ ก็เพียงพอในการส่งบุญบารมี แต่ในบางครั้ง อาจจะต้องมีเครื่องเซ่นไหว้บูชาประกอบด้วย

ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเครื่องเซ่นไหว้ใด ก็จะต้องเป็นสิ่งของที่บริสุทธิ์ ซื้อมาจากเงินที่บริสุทธิ์ ไม่เบียดเบียนผู้อื่นและจัดเตรียมเครื่องเซ่นไหว้ด้วยจิตใจที่พากเพียรน้อมนำในการจัดหา ในเวลาที่กำลังขอพรอยู่นั้นจะต้องรวมจิตให้แน่วแน่กับสิ่งที่ขอพรเพื่อให้มีพลังเชื่อมบุญกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ให้รับรู้ในสิ่งที่ปรารถนาซึ่งจะส่งผลให้ประสบผลสำเร็จมากยิ่งขึ้น

5. อำนาจบารมีของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในแต่ละท่านแต่ละองค์มีความศักดิ์สิทธิ์ในด้านต่างๆ กัน จึงไม่สามารถช่วยบันดาลสิ่งที่ขอพรได้ในทุกด้าน จึงควรระลึกถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ที่มีกำลังสูงเป็นพิเศษในด้านที่ขอ แต่สิ่งที่มีพลังอานุภาพสูงสุดในภูมิโลกนี้ ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นใด เกินคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์

จึงควรตั้งนะโมฯ ขอกำลังคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ให้เป็นองค์ประธานในการอธิษฐานจิตขอพรใดๆ แล้วจึงต่อด้วยการขอบารมีพระสยามเทวาธิราช เทพพรหมเทวดาครูบาอาจารย์ทั้งหมดทั่วสากลโลกที่เป็นที่พึ่งที่ระลึกให้ระลึกถึงอานุภาพพระคุณของท่านทั้งหลาย

6. สิ่งที่ขอ การที่จะขอพรให้ศักดิ์สิทธิ์นั้น จะต้องเป็นเรื่องที่ดีไม่เบียดเบียนหรือเป็นเรื่องที่เอาเปรียบใคร กุศลกรรมดีที่ทำไว้จะหนุนนำให้เกิดผลโดยเร็ววัน หากขอในช่วงเวลาที่เหมาะสมและดวงขึ้นก็จะส่งผลให้พรประสบผลสำเร็จได้ง่ายและเร็วขึ้น หากขอพรในสิ่งใดต้องขยันทำกรรมดีในเรื่องนั้นๆ ด้วย และการอธิษฐานในด้านกิจธุระต่างๆ ถ้าทำในจังหวะเวลาที่คนหมู่มากร่วมด้วย ก็จะยิ่งบังเกิดผลสำเร็จได้ง่าย

7. อธิษฐานเผื่อแผ่ แรงอธิษฐานที่ยิ่งใหญ่นั้นไม่ใช่มุ่งเน้นประโยชน์ความต้องการของตนเองเพียงอย่างเดียว เมื่อได้ในสิ่งที่ตนเองปรารถนาแล้วควรจะแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้กับคนอื่นไปด้วยเพื่อให้คนที่เรารักและมีความปรารถนาดีมีความสุขไปพร้อมๆ กัน เรียกว่าเป็นพรหมวิหารธรรม คือ เมตตา ปรารถนาจะให้ผู้อื่นมีความสุขเหมือนกับที่ตนได้รับการอธิษฐานเพื่อหวังผลประโยชน์สุขของผู้อื่นด้วยจะยังก่อให้เกิดความสุขที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างแท้จริงด้วย

ดังนั้นผู้หวังผลเลิศจากการอธิษฐาน จึงควรชำระจิตใจตนเองให้บริสุทธิ์ ดังนี้

ทานบารมี : ก่อนอธิษฐานจิตควรให้ทานแบบไม่หวังผลตอบแทน
ศีลบารมี : ก่อนอธิษฐานจิต สำหรับฆราวาสควรสมาทานศีล 8 แบบ 3 ชั้นคือจะไม่ทำลายศีล 8 ด้วยตนเอง ไม่ยุยงให้ผู้อื่นทำลายศีล และไม่ยินดีที่ผู้อื่นได้ทำลายศีลของเขาแล้ว
เนกขัมมะบารมี เมตตาบารมี : ก่อนอธิษฐานจิตควรขจัดนิวรณ์ 5 ประการออกจากใจ โดยการสวดมนต์ แผ่เมตตาไม่มีประมาณ เพื่อให้เป็นจิตของผู้ถือบวชที่เรียกว่าเนกขัมมะ
ปัญญาบารมี : ก่อนอธิษฐานจิตควรพิจารณาปลดสังโยชน์ให้ได้อย่างน้อย 3 ข้อ เพื่อให้จิตบริสุทธิ์เทียบเคียงพระโสดาบันคือ

- คิดว่าวันนี้เราอาจจะต้องตาย ตายเมื่อไรก็ช่างมัน เราขอไปนิพพานจุดเดียว (ตัดสักกายทิฏฐิ)
- คิดว่าวันนี้ ก่อนที่จะตาย เราขอเคารพจริงใจในคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ไม่ยอมปล่อย (ตัดวิจิกิจฉา)
- คิดว่าวันนี้ ก่อนที่จะตาย เราจะยอมตัวตายดีกว่าศีลขาด (ตัดสีลัพพตปรามาส)

วิริยะบารมี : ให้ตั้งใจว่าเราจะเพียรคิดดี พูดดี ทำดี ทรงอารมณ์พระโสดาบันให้ได้เต็มความสามารถที่เรามี
ขันติบารมี : ให้ตั้งใจว่า อะไรที่จะมาขวางให้เราทรงอารมณ์พระโสดาบันไม่ได้ เราจับไล่อารมณ์นั้นออกไปอย่างเต็มความสามารถที่เรามี
สัจจะบารมี : ให้ตั้งใจว่า เราจะไม่ยอมให้จิตละไปจากอารมณ์พระโสดาบันเด็ดขาด
อธิษฐานบารมี อุเบกขาบารมี : ให้ตั้งใจว่า ถ้าเราตายเมื่อไรก็ขอไปพระนิพพาน


ขอบคุณข้อมูลจาก FW Mail


หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 01, 2014, 09:51:48 am
ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างไรให้ได้ผล

-http://horoscope.sanook.com/1396332/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%9C%E0%B8%A5/-



สำหรับชาวสนุก!ดูดวง คนไหนที่ชอบการทำบุญไหว้พระ ขอพรเสริมดวง แต่การขอพรนั้นย่อมมีองค์ประกอบที่หลากหลาย โดยการเริ่มต้นบูชาขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะให้ได้ผลนั้น ต้องทำจิตให้บริสุทธิ์ ผ่องใส และมีสมาธิตั้งจิตให้แน่วแน่และทำร่างกายให้บริสุทธิ์โดยการชำระร่างกายให้สะอาด มีความเชื่ออย่างแรงกล้าต่อสิ่งที่ขอไว้ จึงจะได้ผลตามที่ปรารถนาไว้ ซึ่งมีองค์ประกอบ ดังนี้

1. การตั้งจิตให้มีสมาธิ มีพลังแข็งแกร่งตั้งมั่นด้วยแรงศรัทธาอธิษฐานอย่างแรงกล้าในสิ่งที่ปรารถนาไว้ จะส่งผลให้มีพลังมหาศาลทำให้ได้ผลตามที่มุ่งหวัง เนื่องจากจิตใจที่ตั้งมั่นจะเป็นแรงส่งหรือเชื่อมกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นพลังขั้นแรกในการส่งไปขอพร ขออำนาจบุญบารมีจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์

พลังจิตเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ของแต่ละบุคคล จะมีมากหรือน้อยจะส่งผลกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ขอไว้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและเคร่งครัด และฐานกำลังจิตที่มาจากกรรมดี ที่เคยทำมาในอดีตชาติ หรือมีกรรมร่วมกันมากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นหรือไม่ การทำสมาธิที่เป็นการตั้งจิตให้แน่วแน่และมีความปลอดภัยที่สุดคือการทำสมาธิแบบ "อานาปานสติ" โดยการกำหนดลมหายใจเข้าออก โดยการภาวนาตามลมหายใจ เมื่อจิตนิ่งไม่วอกแวกคิดเรื่องอื่น จิตก็มีความบริสุทธิ์

2. การทำร่างกายให้บริสุทธิ์ ผู้บูชาต้องเป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้อยู่ในทาน ศีลและภาวนา นึกถึงบุญคุณความดีที่ได้กระทำมา ถึงจะเริ่มจะบูชาหรือสวดคาถาบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หากไม่มีบุญของตัวเองเป็นที่ตั้ง บุญจากที่อื่นก็ไม่สามารถช่วยได้ ควรต้องรักษาศีลอย่างน้อยสุดคือศีล 5 และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเรื่องของกรรมวาจา ซึ่งหมายถึง ต้องเป็นคนที่พูดจาเป็นมงคล เพราะการพูดมงคลนั้นเป็นการนำสิ่งที่ดีเข้าใส่ตัว แต่การพูดไม่ดีนั้นจะขัดแย้งกับมนต์คาถาศักดิ์สิทธิ์ที่เปล่งออกมา

การเบียดเบียนผู้อื่นเป็นสิ่งที่ต้องไม่ทำอย่างเด็ดขาด เพราะกรรมนั้นจะขัดแย้งกันกับสิ่งที่เราปรารถนาจะได้มา การขอพรต้องขออย่างมีสติ ต้องรู้ตัวเองก่อนว่าเรา มีศีลอะไรบ้าง มีความดีอะไรบ้าง เมื่อปฏิบัติดีอยู่ในศีลด้วยความดี ตั้งใจมั่นศรัทธา ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นกับเรา

3. เหตุจากกรรมของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นกรรมเก่าหรือกรรมใหม่ สิ่งที่จะต้องทำก่อนคือ ต้องสร้างกรรมดีขึ้นมาใหม่ ต้องทำให้สม่ำเสมอมากพอและนานพอ เป็นบุญใหม่เพื่อนำไปชดเชยหรือลดกรรมเก่าเพราะถ้าหากมีกรรมเก่ามากและเป็นวิบากกรรมหนักนั้นจะส่งผลต่อชีวิตในปัจจุบัน ทำให้การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งมงคล ส่งผลกับแรงอธิษฐานได้น้อยมาก

จึงจะต้องขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรเสียก่อน ทำให้เจ้ากรรมนายเวรนั้นยกโทษให้ และมาอนุโมทนาส่วนบุญกุศลนี้ไปให้เจ้ากรรมนายเวรก่อน เพื่อคลายวิบากกรรมไม่ดีออกไป เมื่อรู้จักการบูชาอนุโมทนาน้อมนำพระคุณของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว พลังอำนาจเหล่านั้นก็จะหลั่งไหลรวมกันเข้าหาตัว ทำให้เกิดโชคลาภโดยเร็ว

4. การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกต้อง การที่จะขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านจะช่วยดลบันดาลให้มีอานุภาพสูงสุดนั้น จะต้องรู้จักวิธีการบูชาที่ถูกต้องเสียก่อน เพราะดวงจิตวิญญาณที่สถิตย์หรือรักษาสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น มีเจตจำนงในความต้องการแตกต่างกัน แล้วแต่พลังจิตวิญญาณนั้นๆ ว่าท่านอยู่ในระดับชั้นใด แต่ที่เหมือนกันก็คือท่านทรงไว้ด้วยคุณความดีและมีพลังบุญ บางองค์นั้นท่านเป็นพระโพธิสัตว์ พระอรหันต์ พรหมเทพเทวา หรือ เทพเจ้าต่างๆ วิญญาณบรรพบุรุษ หรือผู้ที่เคยมีพระคุณยิ่งใหญ่ต่อแผ่นดิน

ก่อนการบูชาต้องจัดวางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในตำแหน่งที่เหมาะสม อยู่ในทิศทางที่เป็นมงคลถูกต้อง การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์บางครั้ง การถือศีล หรือเจริญภาวนา ทำสมาธิ ก็เพียงพอในการส่งบุญบารมี แต่ในบางครั้ง อาจจะต้องมีเครื่องเซ่นไหว้บูชาประกอบด้วย

ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเครื่องเซ่นไหว้ใด ก็จะต้องเป็นสิ่งของที่บริสุทธิ์ ซื้อมาจากเงินที่บริสุทธิ์ ไม่เบียดเบียนผู้อื่นและจัดเตรียมเครื่องเซ่นไหว้ด้วยจิตใจที่พากเพียรน้อมนำในการจัดหา ในเวลาที่กำลังขอพรอยู่นั้นจะต้องรวมจิตให้แน่วแน่กับสิ่งที่ขอพรเพื่อให้มีพลังเชื่อมบุญกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ให้รับรู้ในสิ่งที่ปรารถนาซึ่งจะส่งผลให้ประสบผลสำเร็จมากยิ่งขึ้น

5. อำนาจบารมีของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในแต่ละท่านแต่ละองค์มีความศักดิ์สิทธิ์ในด้านต่างๆ กัน จึงไม่สามารถช่วยบันดาลสิ่งที่ขอพรได้ในทุกด้าน จึงควรระลึกถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ที่มีกำลังสูงเป็นพิเศษในด้านที่ขอ แต่สิ่งที่มีพลังอานุภาพสูงสุดในภูมิโลกนี้ ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นใด เกินคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์

จึงควรตั้งนะโมฯ ขอกำลังคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ให้เป็นองค์ประธานในการอธิษฐานจิตขอพรใดๆ แล้วจึงต่อด้วยการขอบารมีพระสยามเทวาธิราช เทพพรหมเทวดาครูบาอาจารย์ทั้งหมดทั่วสากลโลกที่เป็นที่พึ่งที่ระลึกให้ระลึกถึงอานุภาพพระคุณของท่านทั้งหลาย

6. สิ่งที่ขอ การที่จะขอพรให้ศักดิ์สิทธิ์นั้น จะต้องเป็นเรื่องที่ดีไม่เบียดเบียนหรือเป็นเรื่องที่เอาเปรียบใคร กุศลกรรมดีที่ทำไว้จะหนุนนำให้เกิดผลโดยเร็ววัน หากขอในช่วงเวลาที่เหมาะสมและดวงขึ้นก็จะส่งผลให้พรประสบผลสำเร็จได้ง่ายและเร็วขึ้น หากขอพรในสิ่งใดต้องขยันทำกรรมดีในเรื่องนั้นๆ ด้วย และการอธิษฐานในด้านกิจธุระต่างๆ ถ้าทำในจังหวะเวลาที่คนหมู่มากร่วมด้วย ก็จะยิ่งบังเกิดผลสำเร็จได้ง่าย

7. อธิษฐานเผื่อแผ่ แรงอธิษฐานที่ยิ่งใหญ่นั้นไม่ใช่มุ่งเน้นประโยชน์ความต้องการของตนเองเพียงอย่างเดียว เมื่อได้ในสิ่งที่ตนเองปรารถนาแล้วควรจะแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้กับคนอื่นไปด้วยเพื่อให้คนที่เรารักและมีความปรารถนาดีมีความสุขไปพร้อมๆ กัน เรียกว่าเป็นพรหมวิหารธรรม คือ เมตตา ปรารถนาจะให้ผู้อื่นมีความสุขเหมือนกับที่ตนได้รับการอธิษฐานเพื่อหวังผลประโยชน์สุขของผู้อื่นด้วยจะยังก่อให้เกิดความสุขที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างแท้จริงด้วย

ดังนั้นผู้หวังผลเลิศจากการอธิษฐาน จึงควรชำระจิตใจตนเองให้บริสุทธิ์ ดังนี้

ทานบารมี : ก่อนอธิษฐานจิตควรให้ทานแบบไม่หวังผลตอบแทน
ศีลบารมี : ก่อนอธิษฐานจิต สำหรับฆราวาสควรสมาทานศีล 8 แบบ 3 ชั้นคือจะไม่ทำลายศีล 8 ด้วยตนเอง ไม่ยุยงให้ผู้อื่นทำลายศีล และไม่ยินดีที่ผู้อื่นได้ทำลายศีลของเขาแล้ว
เนกขัมมะบารมี เมตตาบารมี : ก่อนอธิษฐานจิตควรขจัดนิวรณ์ 5 ประการออกจากใจ โดยการสวดมนต์ แผ่เมตตาไม่มีประมาณ เพื่อให้เป็นจิตของผู้ถือบวชที่เรียกว่าเนกขัมมะ
ปัญญาบารมี : ก่อนอธิษฐานจิตควรพิจารณาปลดสังโยชน์ให้ได้อย่างน้อย 3 ข้อ เพื่อให้จิตบริสุทธิ์เทียบเคียงพระโสดาบันคือ

- คิดว่าวันนี้เราอาจจะต้องตาย ตายเมื่อไรก็ช่างมัน เราขอไปนิพพานจุดเดียว (ตัดสักกายทิฏฐิ)
- คิดว่าวันนี้ ก่อนที่จะตาย เราขอเคารพจริงใจในคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ไม่ยอมปล่อย (ตัดวิจิกิจฉา)
- คิดว่าวันนี้ ก่อนที่จะตาย เราจะยอมตัวตายดีกว่าศีลขาด (ตัดสีลัพพตปรามาส)

วิริยะบารมี : ให้ตั้งใจว่าเราจะเพียรคิดดี พูดดี ทำดี ทรงอารมณ์พระโสดาบันให้ได้เต็มความสามารถที่เรามี
ขันติบารมี : ให้ตั้งใจว่า อะไรที่จะมาขวางให้เราทรงอารมณ์พระโสดาบันไม่ได้ เราจับไล่อารมณ์นั้นออกไปอย่างเต็มความสามารถที่เรามี
สัจจะบารมี : ให้ตั้งใจว่า เราจะไม่ยอมให้จิตละไปจากอารมณ์พระโสดาบันเด็ดขาด
อธิษฐานบารมี อุเบกขาบารมี : ให้ตั้งใจว่า ถ้าเราตายเมื่อไรก็ขอไปพระนิพพาน


ขอบคุณข้อมูลจาก FW Mail



ขอเพิ่ม ผมว่า สำคัญที่สุด

ถ้าไม่ใช่ของเรา ถ้าไม่เคยทำ ก็ไม่ได้

ถ้าใช่ของเรา ถ้าเคยทำไว้ ก็ได้รับ




.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2014, 02:16:49 am
.

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=2370;image)


(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=2372;image)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 13, 2014, 10:11:00 pm
.


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 13, 2014, 10:11:31 pm
.


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 14, 2014, 08:56:52 pm
เตือนถูกหลอกเช่า “พระเครื่อง” ด้วยใบตรวจอายุคาร์บอนปลอม
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    14 กุมภาพันธ์ 2557 08:42 น.

-http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9570000017700-


(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000001832002.JPEG)

(http://mpics.manager.co.th/pics/Images/557000001832003.JPEG)


สทน.เตือนผู้นิยมพระเครื่อง เสี่ยงถูกหลอกขายพระ อ้างส่งสถาบันตรวจคาร์บอน-14 วัดอายุว่า “เก่าจริง” แต่ความจริงไม่ได้ส่ง และแสดงใบตรวจปลอม
       
       สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (สทน.) กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เตือน ผู้นิยมเช่าพระเครื่อง หรือ ผู้สนใจพระเก่าระวังถูกหลอกขายพระราคาแพง โดยอ้างว่า นำมาตรวจอายุกับสถาบันแล้วเก่าจริง พร้อมทั้งแสดงใบรับรองปลอมหรือตัดต่อใหม่ เพื่อหลอกขายพระแก่ผู้ซื้อในราคาเกินจริง
       
       ดร.สมพร จองคำ ผู้อำนวยการ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ หรือ สทน.เปิดเผยว่า สทน.ให้บริการตรวจสอบอายุโบราณวัตถุ โดยใช้เทคนิคเชิงนิวเคลียร์ที่เรียกว่า การวัดอายุคาร์บอน (Carbon Dating) ซึ่งเป็นการวัดปริมาณการสลายตัวของธาตุคาร์บอน -14 ในวัตถุที่เป็นส่วนประกอบของโบราณวัตถุชิ้นนั้นๆ เพื่อกำหนดอายุ และออกใบรับรองให้
       
       นอกจากกรมศิลปากรที่นำตัวอย่างโบราณวัตถุมาให้ สทน.ในการหาค่าอายุแล้ว ดร.สมพร ระบุว่า ยังมีกลุ่มบุคคลที่เป็นเจ้าของพระเครื่อง หรือเป็นเจ้าของโบราณวัตถุชนิดต่างๆ มักนำโบราณวัตถุจำนวนมากมาตรวจ เพื่อให้ได้ใบรับรองอายุ หลังจากนั้นก็นำกลับไปขายให้ผู้สนใจในราคาสูง
       
       “ปัจจุบันมีผู้สนใจเช่าพระแต่ดูพระไม่เป็นจำนวนมากกว่า ที่ถูกหลอกหรือเสียเงินไปแต่ได้พระที่ไม่สมกับเงินที่เสียไป ยิ่งปัจจุบันมีคนหัวใสนำพระเครื่องมาตรวจหาอายุ เพื่อให้ สทน.ออกเอกสารรับรองให้ และเดือนที่ผ่านมามีผู้นำไบรับรองของ สทน.ไปปลอมแปลง หรือทำสำเนา เพื่อประโยชน์ในการให้เช่าพระหลายราย จึงอยากเตือนผู้ที่ไม่มีความรู้เรื่องพระเครื่อง แต่ต้องการเช่า หรือเชื่อในเอกสารปลอม ท่านอาจจะได้พระปลอมไปโดยไม่รู้ตัว จากมูลค่าของตลาดพระที่แต่ละปีมีเงินหมุนเวียนกว่า 20,000 ล้านบาท ผมเชื่อว่าอาจจะมีผู้ให้เช่าบางรายดำเนินการในลักษณะนี้บ้าง” ดร.สมพรกล่าว
       
       ด้าน น.ส.นิภาวรรณ ปรมาธิกุล ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยและพัฒนานิวเคลียร์ สทน. ผู้ดูแลการออกใบรับรอง เผยถึงขั้นตอนการให้บริการหาค่าอายุโบราณวัตถุว่า สทน.จะรับตรวจวัตถุที่เชื่อว่าจะมีอายุมากกว่า 200 ปี เพราะหากต่ำกว่าเทคนิคนี้จะใช้ไม่ได้ผล
       
       “ผู้ที่มารับบริการต้องยอมให้ สทน.ทำลายตัวอย่างนั้น เพราะขั้นตอนคือ ต้องบดวัตถุให้ละเอียดจนเป็นผง แล้วไปผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อนำไปวัดค่าการสลายตัวของธาตุคาร์บอน-14 ผลการรับรองที่ปรากฏในเอกสารที่ส่งกับไปให้ผู้บริการ คือ ค่าอายุของเนื้อวัสดุที่นำมาทำเป็นพระ ไม่ใช่อายุพระ และเป็นเวลาของการสลายตัวของคาร์บอน-14 ไม่ใช่ปีปฏิทิน” น.ส.นิภาวรรณกล่าว
       
       น.ส.นิภาวรรณ อธิบายอีกว่า ใบรับรองดังกล่าวจะเป็นการรับรองตัวอย่างที่นำมาตรวจเท่านั้น ซึ่งได้ถูกทำลายไปในขั้นตอนการตรวจเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นผู้เห็นใบรับรองที่ออกจาก สทน.อาจต้องใช้วิจารณญาณ ในการเช่าพระเครื่อง เพื่อจะไม่เสียเงินจำนวนมากโดยไม่จำเป็น ในส่วนใบรับรองที่มีผู้นำไปปลอมแปลงขึ้น สทน.จะปรับปรุงให้ใบรองรองมีรูปแบบเฉพาะมากขึ้น เพื่อให้ยากต่อการปลอมแปลงหรือนำไปตัดต่อ
       
       หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการตรวจอายุโบราณวัตถุ พระเครื่อง หรือสงสัยว่าเอกสารที่รับรองเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ สามารถติดต่อที่ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) 02 401 9885 ได้ทุกวันเวลาทำการ จันทร์-ศุกร์ 8.30-16.30 น.


หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 16, 2014, 10:35:21 am
ตามรอย′สยามวงศ์′ ไทย-ศรีลังกา วัดธรรมาราม

-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1392374575&grpid=&catid=08&subcatid=0804-

โดย ตวงศักดิ์ ชื่นสินธุ และกฤตยา เชื่อมวราศาสตร์


(http://www.matichon.co.th/news-photo/matichon/2014/02/pra02140257p1.jpg)

หอไตรที่พระอุบาลีมหาเถระจำพรรษา


(http://www.matichon.co.th/online/2014/02/13923745751392374632.jpg)

(ซ้าย) ประตูพระวิหารขนาดใหญ่ (ขวา) หน้าต่างหอไตร


(http://www.matichon.co.th/news-photo/matichon/2014/02/pra02140257p3.jpg)

พระอุบาลีมหาเถระ



วัดธรรมาราม ต.บ้านป้อม อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา แต่เดิมชื่อ วัดสนามไชย หากจะเทียบกับวัดแห่งอื่นในจังหวัด วัดนี้เป็นเพียงวัดเล็กๆ บนเนื้อที่ 25 ไร่ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงข้าม อนุสาวรีย์ศรีสุริโยทัย

แต่ประวัติศาสตร์ของวัดธรรมารามนั้นไม่ธรรมดา

สมัยกรุงศรีอยุธยา กองทัพพม่าจะมาตั้งค่ายบริเวณวัดธรรมาราม เพื่อล้อมกรุงทุกครั้ง เพราะอยู่ตรงข้ามพระราชวังโบราณ ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญทั้งยังสามารถควบคุมการสัญจรทางน้ำของอยุธยาได้

ปัจจุบัน หากขับรถเข้ามายังวัดซึ่งในอดีตเป็นเพียงทางเกวียนเล็กๆ จะเห็นว่าถนนคั่นกลางระหว่าง เขตสังฆาวาส ซึ่งติดแม่น้ำ ประกอบด้วยหอไตร หอระฆัง เรือนหมู่กุฏิ และพิพิธภัณฑ์พระอุบาลีเถระ และ เขตพุทธาวาส ล้อมรอบด้วยระเบียงแก้วสมัยอยุธยา อันประกอบด้วยวิหารสมัยอยุธยาที่เครื่องหลังคาและหน้าบันเป็นไม้ทั้งหมด ด้านในประดิษฐานพระพุทธรูปของพระพุทธเจ้า 4 องค์ คือ พระกกุสันธพุทธเจ้า, พระโกนาคมพุทธเจ้า, พระกัสสปพุทธเจ้า และพระโคตมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) และอุโบสถด้านในประดิษฐานพระพุทธรูปพี่น้อง ปางมารวิชัย ศิลปะสมัยอยุธยาตอนปลาย ซึ่งพระพักตร์เหมือนกันมาก เจดีย์ประธาน และหน่อจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ จากประเทศศรีลังกา

ทั้งสองพื้นที่ล้วนถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ร่มครึ้มไปด้วยร่มเงาของไม้ยืนต้นอายุกว่าร้อยปี อาทิ ต้นตะเคียนคู่ในเขตสังฆาวาส และต้นเขยตายซึ่งดั้งเดิมใช้ทำปลัดขิกในเขตพุทธาวาส ใกล้กับโบสถ์หลังเก่าสมัยอยุธยา และถูกขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน

แม้เป็นวัดเล็กๆ ของกรุงศรีอยุธยา แต่เป็นส่วนหนึ่งซึ่งสะท้อนว่า พุทธศาสนาในแผ่นดินสยาม เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด

หากย้อนหลังไปราว 700 ปีในสมัยกรุงสุโขทัย พุทธศาสนาในแดนลังกา เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด เช่นกัน มีพระธรรมทูตเดินทางมาเผยแผ่ศาสนาในสยาม จน ศาสนาพุทธแบบเถรวาท นิกายลังกาวงศ์หยั่งรากลึกในสยาม

ทว่าในยุคอาณานิคม แผ่นดินซึ่งมีรูปร่างเสมือนหยดน้ำของอินเดียแห่งนี้ถูกปกครองทั้งจากโปรตุเกส อังกฤษ และฮอลันดา พุทธศาสนาจึง "หายไป"

เมื่อศรีลังกาได้รับเอกราช พระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะ กษัตริย์ลังกา จึงส่งราชทูตมาเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เพื่อขอนิมนต์สงฆ์ไทยไปฟื้นฟูศาสนา ณ ศรีลังกา ทราบความดังนั้นกษัตริย์สยามจึงส่ง พระอุบาลีมหาเถระ พระราชาคณะฝ่ายอรัญวาสี ผู้เชี่ยวชาญพระไตรปิฎกทั้งฝ่ายปริยัติและปฏิบัติ ซึ่ง พระอธิการประสาทเขมะปุญโญ เจ้าอาวาสวัดธรรมารามบอกว่า ตำแหน่งเทียบเท่านายกรัฐมนตรีของสงฆ์ในสมัยนั้น

พระอุบาลีมหาเถระ รอนแรมไปกลางทะเลกับเรือสินค้าสัญชาติดัตช์นานกว่า 5 เดือน เมื่อถึงศรีลังกาจึงเป็นพระอุปัชฌาย์ อุปสมบทพระ 700 และบรรพชาสามเณร 2,300 รูป พระพุทธรูปในศรีลังกาจึงเจริญรุ่งเรืองกระทั่งปัจจุบันรวม 260 ปี และให้เกียรติตั้งชื่อว่า นิกายสยามวงศ์ หรือ อุบาลีวงศ์

พระอธิการประสาทเขมะปุญโญเล่าว่า อุปสมบทและจำพรรษาที่วัดธรรมารามมา 25 ปีแล้ว อยากคงความดั้งเดิมและเรียบง่ายของวัดไว้ แต่เนื่องในวาระครบรอบ 260 ปีสยามวงศ์ รัฐบาลไทยและศรีลังกาจึงร่วมกันก่อสร้างพิพิธภัณฑ์พระอุบาลีเถระ เปิดเมื่อธันวาคม 2556 โดยใช้ศาลาการเปรียญหลังเก่า ใช้งบประมาณ 10 ล้านบาท จากสำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ประดิษฐานรูปจำลองของพระอุบาลีมหาเถระขนาดเท่าองค์จริง ด้านในพิพิธภัณฑ์มีรูปจำลองของพระอุบาลีมหาเถระอีกองค์ เป็นไม้มะฮอกกานีแกะสลักปิดทอง ที่รัฐบาลศรีลังกามอบให้

"บอกเล่าเรื่องราว ความสัมพันธ์ทางศาสนาระหว่างนิกายลังกาวงศ์ในไทย และนิกายสยามวงศ์ในศรีลังกา"

สถานที่หนึ่งที่บอกเล่าตัวตนของพระอุบาลีเถระ คือ "หอไตรและหอระฆัง" ที่ปัจจุบันเป็นอาคารสีขาวหลังกะทัดรัด ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

"จากประวัติศาสตร์และตำนานที่เล่าขานกันมา หอไตรเป็นสถานที่ที่พระอุบาลีจำพรรษาและปรึกษากับ พระอริยมุนี ถึงการเดินทางไป "ปักหลัก" พุทธศาสนา ณ ศรีลังกา แม้ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการบูรณะครั้งใหญ่ หลักฐานหนึ่งคือตราสัญลักษณ์ประจำรัชกาลที่หน้าประตูทางเข้า แต่บานประตูและหน้าต่างไม้แกะสลักลวดลายวิจิตรยังเป็นของเดิมสมัยกรุงศรี ส่วนจิตรกรรมฝาผนังเลือนรางเกือบหมด" เจ้าอาวาสกล่าว

สหภูมิ ภูมิธฤติรัฐ ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 3 พระนครศรีอยุธยา เล่าว่า วัดธรรมารามมีการบูรณะเรื่อยมา ล่าสุดเป็นการบูรณะโบสถ์และวิหารเมื่อ 2555 เมื่อดูจากรูปแบบสถาปัตยกรรมของตัวพระอุโบสถจะมีลักษณะโค้งเหมือนท้องสำเภา เป็นสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาตอนปลาย ส่วนหอไตรบูรณะในสมัยรัชกาลที่ 5 เพราะมีจิตรกรรม มีพระบรมสาทิสลักษณ์ (รูปวาด) ของรัชกาลที่ 5 ปรากฏอยู่

จากวัตรปฏิบัติของสงฆ์ไทยในอดีต ศรีลังกาจึงมีศาสนาพุทธหยั่งรากอีกครั้งในชื่อ "นิกายสยามวงศ์"

พระอุบาลีมหาเถระ

เป็นพระธรรมทูตในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแห่งกรุงศรีอยุธยา ที่เดินทางไปยังประเทศศรีลังกาตามคำร้องของฝ่ายศรีลังกาในการเป็นพระอุปัชฌาย์ อุปสมบทแก่ สามเณรสรณังกร ชาวสิงหล เพื่อสืบทอดพุทธศาสนาในศรีลังกา

ได้รับการจดจำในเรื่องความกล้าหาญของท่านที่ได้ข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังศรีลังกา และได้มรณภาพที่นั่นหลังจากปักหลักเผยแผ่ศาสนานาน 2 ปี 9 เดือน นับเป็นพระธรรมทูตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย

พระอุบาลีมหาเถระ เมื่อแรกได้พำนักอยู่ที่วัดธรรมาราม ซึ่งเป็นวัดเล็กๆ มีอาณาเขตทิศเหนืออยู่ติดกับวัดท่าการ้อง ทิศใต้อยู่ติดกับวัดกษัตราธิราช ทิศตะวันออกอยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ทิศตะวันตกอยู่ติดกับถนนบางบาล ตั้งอยู่ที่ ต.บ้านป้อม อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา

พระอุบาลีมรณภาพด้วยโรคหูอักเสบ ภายในกุฏิวัดบุปผาราม (มัลวัตตวิหาร) เมืองแคนดี เมื่อปี พ.ศ.2299 พระเจ้าแผ่นดินศรีลังกาให้จัดพิธีถวายเพลิงศพอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ โดยจัดขึ้นที่สุสานหลวงนามว่าอาดาหะนะมะลุวะ ปัจจุบันคือวัดอัศคิริยะเคดิเควิหาร เมืองกัณฏี

ปัจจุบันได้ก่ออิฐล้อมสถานที่เผาศพท่านไว้ หลังเสร็จสิ้นพิธีถวายเพลิงศพแล้ว ทรงมีรับสั่งให้สร้างเจดีย์บนยอดเขาใกล้วัดอัสคีริยะบรรจุอัฐิเพื่อสักการบูชาซึ่งมีปรากฏอยู่จนถึงปัจจุบัน กุฏิท่านพระอุบาลีและห้องพักของท่านได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี แม้จะเป็นเพียงห้องเล็กๆ มีเพียงเตียงเก่าๆ และโต๊ะเก้าอี้อีกหนึ่งชุดเท่านั้น บริขารและสิ่งของที่ท่านเคยใช้สอยที่ยังเหลืออยู่

ชาวศรีลังกาก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ควรเคารพเช่นกันและได้เก็บรักษาไว้จนทุกวันนี้

 


หน้า 21 มติชนรายวัน ฉบับวันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2557






หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 03, 2014, 10:31:03 pm
บรมครูพระเทพโลกอุดร มีจริงหรือเป็นนิยาย
โดย ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร (สงวนลิขสิทธิ์)

   เรื่องราวเกี่ยวกับพระเทพโลกอุดร มีมาช้านานแล้ว เริ่มต้นในยุคสมัยสุวรรณภูมิ หริภุญไชย สุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ หลักฐานที่ปรากฏชัดแต่ขาดการค้นคว้าอย่างจริงจัง รู้ในชนกลุ่มน้อยทางเจโตบ้าง เช่น พระอริยคุณาธาร (ปุสโสเส็ง) และหลวงปู่คำคะนิง ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า คณะพระเทพโลกอุดร เคยมาพำนัก ณ ถ้ำดอยเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวไปก็ไม่มีผู้ใดเห็นอย่างท่าน บางท่านที่มีวาสนาก็พบเห็นท่านและยืนยัน ครั้งจะเอาเข้าจริงก็ไม่สามารถพบเห็นท่าน คล้ายคนหนึ่งเคยเห็นผี แต่หลายคนอยากเห็นบ้างก็ไม่เห็น จนเกือบจะเป็นเรื่องอจิณไตย (คือเรื่องที่ไม่ควรนึกคิด) แต่ก็ไม่ใช่นิยาย ท่านมักอยู่ไม่เป็นหลักแหล่งสามารถปรากฏได้ในสถานที่ต่าง ๆ ไม่จำกัด ทั้งผู้ที่พบเห็นก็ยังปราศจากความรู้ว่าเป็นพระเทพโลกอุดรองค์ใดกันแน่ เพราะมีอยู่ด้วยกันถึง 5 พระองค์ และอาจมาในรูปต่าง ๆ ไม่ซ้ำกัน หรือปรากฏรูปเดิม แต่ที่มีวาสนาบารมีสูงส่งก็คือ คุณดอน นนทะศรีวิไล คนลาวไปประกอบอาชีพที่ประเทศแคนาดา ท่านผู้นี้ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด ถือเอกามังสะวิรัติมานานกว่าสิบปี ซึ่งบรมครูพระเทพโลกอุดรโปรดปรานมาก คุณดอนและครอบครัวนับถือบรมครูพระเทพโลกอุดรมาก และเล่าให้ฟังว่าได้พบเห็นบรมครูพระเทพโลกอุดรด้วยตาเนื้อ 2 ครั้ง

   ครั้งแรกหลังจากเสร็จจากการนั่งสมาธิประจำวัน เป็นเวลาทางประเทศแคนาดา 0.02 น. ปรากฏพระภิกษุชรารูปหนึ่งเดินเข้ามาในบ้าน คุณดอนทราบทางจิตว่าเป็นบรมครูพระเทพโลกอุดรแน่ จึงก้มลงกราบและเรียบถามท่านว่า “หลวงปู่คือพระเทพโลกอุดรใช่ไหม” ท่านตอบว่า “ใช่” คุณดอนไม่ทันได้เตรียมตัวและไม่ได้ถามถึงข้อปฏิบัติธรรม จึงถามว่า “พระพิมพ์ที่อาจารย์ประถมฝากมาให้เป็นของหลวงปู่อธิษฐานจิตจริงหรือเปล่า” ท่านตอบว่า “จริง” ต่อจากนั้นคุณดอนก็ตื่นเต้นไม่ทราบจะถามอะไรอีกต่อไป ครั้นแล้วหลวงปู่ก็หายไป การที่ท่านปรากฏเช่นนั้นเรียกว่าปรากฏกายธรรม สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อและสัมผัสได้ จึงเกิดปัญหาถกเถียงกันสำหรับผู้มีภูมิปัญญาไม่ถึงขั้น ไม่รู้จักคำว่า กายทิพย์ กายธรรม

   ครั้งที่สอง เป็นการนั่งทำสมาธิทั้งคณะประมาณ 5 คนด้วยกัน หลวงปู่โลกอุดรมาปรากฏอีก  ท่านยืน ไม่ได้เตรียมอาสนะไว้ต้อนรับ ท่านแสดงธรรมย่อ และว่าคณะปฏิบัติธรรมพอจะทราบอะไรบ้างแล้วพอสมควร ต่อไปท่านอาจจะไม่มาอีก จะให้ของไว้เป็นเครื่องระลึก แล้วท่านก็มองไปยังแก้วน้ำปรากฏเป็นแสงสีเขียวพุ่งออกจากดวงตาข้างหนึ่ง ทันใดนั้นน้ำในแก้วได้จับตัวแข็งเป็นก้อนเล็ก ๆ หลายก้อนด้วยกัน ท่านบอกว่าให้แบ่งกันเก็บเอาไว้เป็นของดี มีอะไรคุณดอนก็เล่าสู่กันฟัง เป็นที่เชื่อถือได้ และมีตัวตนจริง

หลวงปู่โง่น โสรโย แห่งสำนักสงฆ์เขารวก จังหวัดพิจิตร บอกว่าหลวงปู่โลกอุดรมีสภาวะแห่ง      อทิสมานกาย คือ ไม่มีตัวตน หลวงปู่โง่นเองเดินทางไปพบท่านที่ประเทศนอร์เวย์ครั้งหนึ่ง และที่ประเทศเนปาลครั้งหนึ่ง เป็นการพบแบบกายธรรม ส่วนกายทิพย์พบกันอยู่เสมอ

   หลวงพ่อจรัล วัดอัมพวัน สิงห์บุรี เคยได้พบท่านโดยที่ไม่ทราบว่าเป็นบรมครูพระเทพโลกอุดร พบที่โคนต้นไทรใหญ่ โดยได้รับการบอกเล่าจากเจ้าของที่ดินว่า ถึงปีหลวงปู่จะมาปักกลดอยู่ชั่วระยะหนึ่ง เจ้าของที่เล่าว่าตั้งแต่จำความได้จนถึงอายุได้ 80 ปีเศษ หลวงปู่ก็ยังคงทรงลักษณะเดิมไม่แปรเปลี่ยน หลวงพ่อจรัล เรียกท่านว่า “หลวงพ่อดำ” ได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานจากท่านพอสมควร บางทีคนมีวาสนาได้พบท่านแล้วไม่รู้จักว่าท่านเป็นใครมีอยู่มาก คณะพระโลกอุดร เป็นชาวเนปาล อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นคนไทย การที่ท่านพูดภาษาไทยได้ก็เนื่องจากบรรลุปฏิสัมภิทาญาณ สามารถรู้ภาษาคนและสัตว์ได้ ท่านชอบปรากฏองค์ทางป่าเมืองกาญจนบุรี เช่น อำเภอไทรโยค อำเภอทองผาภูมิ ครั้งล่าสุดท่านปรากฏองค์ที่เขาใหญ่ ท่านอภิชิ-โต ภิกขุ และท่านพันเอกชม สุคันธรัต ไปเฝ้าท่านอยู่นานวัน และท่านอภิชิโต ภิกขุ ได้มรณภาพได้ไม่นาน เรื่องราวบางตอนได้อาศัยท่านอภิชิโต ภิกขุ เป็นผู้บอกเล่า มิได้เป็นนวนิยายเลื่อนลอย ไม่จำเป็นต้องรอการพิสูจน์ และโปรดเข้าใจด้วยว่าภาพพระโลกอุดรที่ใช้บูชากันอยู่ในปัจจุบันนั้นมิใช่องค์บรมครูพระเทพโลกอุดร เพียงแต่เป็นพระเทพโลกอุดรองค์ที่สาม นามว่า “พระอิเกสาโร หรือหลวงปู่โพรงโพ” การปรากฏกายธรรมในปัจจุบัน ส่วนมากมักจะเป็นพระโลกอุดรองค์ที่สาม และแทรกซ้อนด้วยหลวงปู่แจ้งญาณ ซึ่งเป็นศิษย์เอกคู่กับกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ท่านทั้งสอง ท่านอภิชิโต เรียกว่า “ครูฝึก” ปกติหลวงปู่ไม่ได้ลงมือสอนวิชาด้วยตนเอง ให้ศึกษากับครูฝึก เมื่อจบขั้นแล้วท่านจึงจะทำการทดสอบทุกครั้งไป
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 03, 2014, 10:31:54 pm
วิเคราะห์คำอรหันต์

   พระอรหันต์ขีณาสพ หมายถึง ผู้ละสังโยชน์ 10 ประการ โดยไม่มีการเวียนกลับ บรรลุเต-วิชโชวิชาสามบ้าง ฉฬภิญโญวิชาหกบ้าง สุกขวิปัสสโกบ้าง เป็นผู้สิ้นอาสวะกิเลส และจบกิจไม่ข้องแวะต่อโลก ยังมีอีกคำหนึ่งเรียกว่า “อรหัน” หมายถึง ผู้สำเร็จอภิญญาโลกีย์ หรืออภิญญาห้า ไม่สามารถทำอาสวะให้สิ้นทุกอย่าง มีอิทธิวิธีแบบพระอรหันต์ขีณาสพทั้งสิ้น พิจารณาอย่างเรา ๆ ปุถุชนมองไม่ออก ประเภทนี้การกระทำตนแบบโพธิสัตว์ เช่น โป๊ยเซียนโจ๊วซือทั้ง 8 พระแม่กวนอิม ฯลฯ และประเทศลาวก็มี สำเร็จลุน (ไม่ใช่สมเด็จลุน ท่านมิได้เป็นพระราชาคณะ) สามเณรคำ “อรหัน” จึงแปลว่าผู้วิเศษ ตามคำนิยามในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน อรหันทองคำ จั๊บโป้ยล่อฮั่น ตั๊กม้อ โจ๊วซือ ก็ประเภท “อรหัน” นี่แหละ

   ผมไม่กล้าที่จะวิเคราะห์ครูอาจารย์ให้เกินเหตุ เพียงแต่ว่าจะชี้แนะตามหลักวิชาให้หูตาสว่าง ตามประวัติกล่าวว่าพระโสณ พระอุตร เป็นพระอรหันต์ พระโลกอุดรมาจากคำอุตร แปลว่าผู้เหนือโลก พระโสณ บรรลุธรรมก่อนพระอุตร ซึ่งเป็นพี่ชายร่วมสายโลหิต จึงเรียกว่า “พระโสณ อุตร” ไม่เรียก “อุตร โสณ” คำหลวงปู่ใหญ่ หมายถึง “พระอุตร เถรเจ้า” เป็นพระอรหันต์ยังไม่จบกิจแบบพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ ยังค้ำจุนพระศาสนาไปจนกว่าจะสิ้นพุทธธันดร (พ.ศ.5000) ถ้าจบกิจแล้วท่านก็หมดหน้าที่ เพียงแต่ท่านไม่ต้องสร้างบารมีต่อแบบอีกสององค์ คือ หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หลวงปู่หน้าปาน ซึ่งยังต้องบำเพ็ญเพียรสร้างบารมีต่อ ท่านมิได้ประกาศตนแจ้งชัด เพียงแสดงปริศนาธรรม เช่นหลวงปู่ขรัวขี้เถ้า ซึ่งมีอายุมากกว่าหลวงปู่ใหญ่ด้วยซ้ำไป มาในรูปหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา บ้านหมี่ ลพบุรี แสดงปริศนาธรรม ขรัวขี้เถ้าเผาแหลก มีอะไรเผาจนหมดจนกลายเป็นขี้เถ้า ให้รู้ว่าแม้แต่ตัวเราต่อไปก็ไม่พ้นการเป็นขี้เถ้า หลวงปู่ขรัวหน้าปาน ท่านก็บอกอยู่โต้ง ๆ แล้วว่า ท่านเป็นพระสำเร็จ (อรหัน) มาอาศัยร่างท่านมหาชวน เพื่อบำเพ็ญบารมีต่อ ท่านอภิชิโต ภิกขุ กล่าวกับผมว่า นับตั้งแต่เป็นศิษย์หลวงปู่ใหญ่ครั้งยังบรรพชาเป็นสามเณร จนอายุได้ 70 ปี ยังศึกษาไม่จบ ท่านเป็นอาจารย์ที่ผมรักและเคารพมาก ผมไม่อยากให้คนมีจิตฟุ้งติดฤทธิ์มากนัก เพียงอยากให้เป็นความรู้ในด้านสารคดี อรรถคดีพอสมควร มิฉะนั้นเรื่องจะยาวเกินควร
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 03, 2014, 10:32:45 pm
ปณามกถา

      นะโมตัสสะภะคะวะโต อะระหะโต   สัมมาสัมพุทธัสสะ ฯลฯ
   โย อะริโย มะหาเถโร            อะระหัง อะภิญญาธะโร
   ปะฏิสัมภิทัปปัตโต            เตวิชโช พุทธะสาวะโก
   พะหู เมตตาทิวาสะโน            มะหาเถรา นุสาสะโก
   อะมะตัญเญวะ สุชีวะ            อภินันที คุหาวะนัง
   โส โลกุตตะโร นาโม            อัมเหหิ อะภิปูชิโต
   อิฐะ ฐานูปะมาคัมมะ            กุสะเล โน นิโยชะเย
   ปุตตะเมวะ ปิยัง เทสิ            มัคคะผะลัง วะ เทสสะติ
   ปะระมะสาริกะธาตุ            วะชิรัญจา ปิวานิตัง
   โส โลเก จะ อุปปันโน            เอเกเนวะ หิตังกะโร
   อะยัง โน โข ปุญญะลาโภ            อัปปะมัตโต ภะเวตัพโพ
   สาธุกันตัง อะนุกะริสสามะ         ยัง เวเรนะ สุภาสิตัง
   โลกุตตะโร จะ มหาเถโร            เทวะตา นะระปูชิโต
   โลกุตตะระคุณัง เอตัง            อะหัง วันทามิ ตัง สะทา
   มะหาเถรา นุภาเวนะ            สุขัง โสตถี ภะวันตุ เม


สวดย่อ

โลกุตตะโร ปัญจะ มะหาเถโร อะหัง วันทามิ ตัง สะทา

อาราธนาพระพิมพ์

โลกุตตะโร ปัญจะมหาเถโร นะโมพุทธายะ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 03, 2014, 10:33:31 pm
ปริเฉทหนึ่ง
คณะพระธรรมทูตมาเผยแพร่พระพุทธศาสนายังแคว้นสุวรรณภูมิ

   กล่าวย้อนไปถึงอดีตกาล พุทธศักราชผ่านพันไป 303 ปี (ตามหลักฐานบันทึกในหนังสือมหาวงศ์ พงศาวดารลังกา คำบรรยายของหลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ อดีตภัณฑารักษ์เอก กรมศิลปกร) และตามหลักฐานของวัดเพชรพลี (บันทึกอักษรเทวนาครี ขุดค้นพบ ณ ซากศิลาวัดคูบัว ตำบลคูบัว จังหวัดราชบุรี) ว่าพระพุทธศาสนาได้เริ่มแพร่เข้าสู่แคว้นสุวรรณภูมิ ในปีพุทธศักราช 235 ซึ่งมีระยะเวลาห่างกัน 68 ปี

   พระเจ้าอโศกมหาราช ได้ทราบกระทำตติยสังคายนาพระไตรปิฎก คือ การชำระพระไตรปิฎกขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ครั้งแล้วจึงอาราธนาพระโมคคลีบุตร ติสสเถระ องค์อรหันต์เป็นประธานคัดเลือกบรรดาพระอรหันต์เถระ ออกทำการเผยแพร่พระพุทธศาสนายังนานาประเทศ ในหนังสือมหาวงศ์พงศาวดารลังกา กล่าวถึงนามพระอรหันต์ที่แยกย้ายออกทำการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในประเทศต่าง ๆ ดังนี้:-
   1.พระมัชฌันติกเถระ ไปยังกัสสมิรและคันธารประเทศ (คือ ประเทศแคชเมียร์ และอัฟกานิสถาน ในปัจจุบัน) แห่งหนึ่ง
   2.พระมหาเทวะเถระ ไปยังมหิสมมณฑล (คือ แว่นแคว้นทางใต้ ลำน้ำโคทาวดี อันเป็นประเทศ     ไมสอปัจจุบัน) แห่งหนึ่ง
   3.พระรักขิตเถระ ไปยังวนวาสีประเทศ (คือ แว่นแคว้นกะนาราเหนือ อันเป็นเขตเมืองบอมเบย์ปัจจุบัน) แห่งหนึ่ง
   4.พระธรรมรักขิตเถระ ไปยังปรันตกโยนประเทศ (คือ แว่นแคว้นตอนชายทะเลด้านเหนือเมือง    บอมเบย์ปัจจุบัน) แห่งหนึ่ง
   5.พระมหาธรรมรักขิตเถระ ไปยังมหารัฐประเทศ (คือ แว่นแคว้นตอนเหนือของลำน้ำโคทาวารี) แห่งหนึ่ง
   6.พระมหารักขิตเถระ ไปยังโยนโลกประเทศ (คือ บรรดาหัวเมืองต่าง ๆ ที่พวกโยนกได้ครองความเป็นใหญ่ในดินแดนประเทศเปอร์เซียปัจจุบัน) แห่งหนึ่ง
   7.พระมัชฌิมเถระ ไปยังหิมวันตประเทศ (คือ มณฑลซึ่งตั้งอยู่เชิงเขาหิมาลัย มีเนปาลราช เป็นต้น) แห่งหนึ่ง
   8.พระโสณเถระ กับ พระอุตรเถระ ไปยังสุวรรณภูมิประเทศ (ข้อถกเถียงเรื่องสุวรรณภูมิเป็นมา    ช้านาน ฝ่ายไทยอ้างนครปฐมเป็นราชธานีของสุวรรณภูมิ พม่าอ้างเมืองสะเทิมอันเป็นมอญฝ่ายใต้เป็นสุวรรณภูมิ เขมรและลาวต่างก็อ้างว่าประเทศของตนคือสุวรรณภูมิ แต่ใครจะอ้างอย่างไรก็ล้วนมีส่วนถูกด้วยกันทั้งสิ้น คือ ท่านศาสตราจารย์เดวิดส์ อธิบายว่า เริ่มแต่รามัญประเทศไปจรดเมืองญวน และตั้งแต่พม่าไปจรดแหลมมลายู หรือที่เรียกว่าอินโดจีน เป็นสุวรรณภูมิทั้งนั้น สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงรับสั่งว่า คำที่เรียกสุวรรณภูมิประเทศนั้น จะหมายรวมดินแดนที่มีเป็นประเทศมอญและไทยภายหลังทั้งหมด เหมือนอย่างที่เราเรียกว่าอินเดีย เป็นชมพูทวีปก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นใครในแหลมอินโดจีนจะอ้างว่าประเทศของตนเป็นสุวรรณภูมิ จึงเป็นการถูกต้องด้วยกันทั้งนั้นไม่มีปัญหา ที่ไทยอ้างเอานครปฐมเป็นราชธานีนั้น ก็เพราะจังหวัดนครปฐมมีเนื้อที่ภูมิประเทศกว้างขวาง และมีโบราณสถานโบราณวัตถุสร้างไว้มาก แต่จะเรียกชื่อเมืองหลวงว่ากระไรในครั้งกระนั้น ได้แค่สันนิษฐาน เห็นจะเรียกสุวรรณภูมินั่นเอง ชื่อนี้จึงได้แต่เป็นที่รู้กันแพร่หลายไปถึงอินเดียและลังกา จนเป็นเหตุให้ใช้ชื่อนี้ในหนังสือมหาวงศ์ฯ ว่า พระโสณ กับ พระอุตร ได้อัญเชิญพระพุทธศาสนามาประดิษฐ์สถานที่เมืองสุวรรณภูมิ และเป็นเหตุให้เรียกชื่อมหาสถูปที่เมืองนั้นว่า “พระปฐมเจดีย์” หมายความว่า เป็นพระเจดีย์องค์แรกที่ได้สร้างขึ้นในแถบประเทศตะวันออกนี้)

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 03, 2014, 10:34:01 pm
   ส่วนคำจารึกอักขรเทวนาครีฉบับวัดเพชรพลี ปรากฏข้อความที่พิสดารยิ่งขึ้น โดยกล่าวถึงคณะพระธรรมทูตได้เดินทางมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาโดยทางเรือ ประกอบด้วยพระโสณเถระ พระอุตรเถระ พระฌานียะ พระภูริยะ พระมูนิยะ สามเณรอิสิจน์ สามเณรคุณะ สามเณรนิตตย เขมกะอุบาสก อนีฆาอุบาสิกา อดุลยอำมาตย์ และคุณหญิงอดุลยา พราหมณ์ และนางพราหมณี ผู้คนอีก 38 คน ได้มาพักที่ วัดช้างค่อม (นครศรีธรรมราช เมื่อวันขึ้น 14 ค่ำ เดือนอ้าย พ.ศ.235 ออกบิณฑบาต วันขึ้น 15 ค่ำ แล้วเทศนาพรหมชาลสูตร และได้วางวิธีอุปสมบทญัตติจตุตถกรรมวาจา โดยใช้อุทกเขปเสมาหรือเสมาน้ำ และได้วางเพศชีไทย โดยถือแบบเหล่าพระสากิยานีซึ่งเป็นต้นของพระภิกษุณี โดยบวชหรือบรรพชาไม่มีเรือน ออกจากเรือน (อาคารสมา อนคาริย ปพพชชา) ได้วางวิธีสวดปาติโมกข์หรืออุโบสถกรรม ปวารณากรรม เมื่อพระเจ้าโลกละว้า (เจ้าผู้ครองแคว้นสุวรรณภูมิ) รับสั่งให้มนขอมพิสนุ ขอมเฉย ขอมสอน ขอมเมือง สร้างวัดมหาธาตุ ท่านได้วางวิธีกำหนดนิมิตผูกขันธ์สีมา พ.ศ.238 เดือน 5 ขึ้น 15 ค่ำ

   ขณะอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ท่านได้สอนพระบวชใหม่ให้ท่องพระปาติโมกข์จบหลายองค์ แล้วจึงวางวิธีสวด สาธยายโดยฝึกซ้อมให้คล่อง เมื่อคล่องแล้วจึงจะสัชฌายกันจริง ๆ ท่านให้มนขอม ปั้นพระพุทธรูปด้วยปูนขาวเป็นพระประธานในโรงพิธี เมื่อเรียบร้อยแล้วท่านวางวิธีกราบ สวดมนต์ไหว้พระเห็นดีแล้วจึงให้สร้างพระพุทธรูปประจำพระอุโบสถ จึงเป็นธรรมเนียมสืบต่อมา ท่านได้วางวิธีกฐินและธุดงค์ คือ เที่ยวจาริกไปในเมืองต่าง ๆ

   การสร้างพระพุทธรูปในสมัยดังกล่าวนี้ ก็ล้วนเป็นสิ่งสมมติ มีพระพุทธรูปเป็นองค์สมมติ พระสงฆ์ก็เป็นเพียงสมมติสงฆ์ ส่วนพระธรรมนั้นเป็นเพียงเสียงสวด ท่านจึงใช้วงล้อเกวียนประดิษฐ์เป็นธรรมจักรแทนพระธรรม กับมีมิค (มิ-คะ) คือ สัตว์ประเภทกวาง ฟานหรือเก้ง เป็นเครื่องหมายในสมัยสุวรรณภูมิ

   พระพุทธรูปที่มีกวางกับธรรมจักรกลับไม่มีการสร้างหรือออกแบบในสมัยนั้น มีอยู่สี่ลักษณะด้วยกัน คือ ประสูติ ตรัสรู้ แสดงธรรมจักร ปรินิพพาน มีอักษรเทวนาครีจารึกระบุพระนามว่า โลกกน แบบประภามณฑล มี 3 วง ซึ่งเป็นเครื่องหมายพระนามว่า “โลก” คือ วัฎฎ 3 แบบ โปรดสหายพระยศ ส่วนปางมารวิชัยและปางสมาธิมีมาทุกสมัย

   ต่อมาในปี พ.ศ.239 พระโสณกับพระเจ้าโลกละว้าราชา ได้ส่งพระภิกษุไทย 10 รูป มีพระญาณจรณะ (ทองดี) เป็นหัวหน้า พร้อมด้วยสามเณร 3 รูป อุบาสก อุบาสิกา ไปเรียนและศึกษา ณ กรุงปาตลีบุตร แคว้นมคธ นับเป็นเวลา 5 ปี (พระญาณจรณะ (ทองดี) ท่านนี้ ปรากฏหลักฐานเพียงรูปของพระพิมพ์มีลักษณะอวบอ้วนคล้ายพระมหากัจจายนะเถระเจ้า ด้านหลังมีรูปพระ 9 องค์เป็นอนุจร หรือบวชทีหลัง คนเรียกกันมานานนับพัน ๆ ปี ศัพท์สังขจายไม่มีคำนิยามในพจนานุกรม พุทธสาวกทุกพระองค์จะมีนามเป็นภาษาบาลีทั้งสิ้น ไม่มีนามเป็นภาษาไทย พระญาณจรณะ (ทองดี) บรรลุอรหันต์และจบกิจ นานนับพันปีแล้ว ปัญหาเช่นดังกล่าวนี้ หากนำพระปิดตาขึ้นมาพิจารณาก็ยากที่จะตัดสินว่าเป็นพุทธสาวกองค์ใดกันแน่ อาจจะเป็นพระมหากัจจายนะเถระเจ้า ปางเนรมิตวรกายก็ได้ อาจจะเป็นพระควัมปติก็ได้ เป็นพุทธสาวกทรงเอตทัคคะด้วยกัน แต่เป็นคนละองค์ คำพระควัมบดี ไม่มี)

   ลุปี พ.ศ.245 พระเจ้าโลกละว้าสิ้นพระชนม์ ตะวันทับฟ้า ราชบุตรขึ้นครองราชย์ นามตะวันอธิราชเจ้า ถึงปี พ.ศ.264 พระโสณใกล้นิพพาน พระโสณเถระอยู่ ณ แดนสุวรรณภูมิ วางรากฐานะกรรมวินัยในพระบวรพุทธศาสนา เป็นระยะเวลา 29 ปี และท่านนิพพานในปีนั้น

   หลักฐานต่าง ๆ ตามที่กล่าวจารึกด้วยอักษรเทวนาครี ขุดพบที่โคกประดับอิฐ ตำบลคูบัว จังหวัดราชบุรี พบรูปปั้นลอยองค์ ลักษณะนั่งห้อยเท้า มีลีลาแบบปฐมเทศนา มีเศียรโล้น ด้านหนึ่งจารึกว่าโสณเถร ด้านล่างอุตตรเถร ด้านล่างสุด สุวรรณภูมิมีอยู่ด้วยกัน 5 องค์ ผู้ค้นพบทุบเล่น 3 องค์เหลือเพียง 2 องค์ ตกเป็นสมบัติของวัดเพชรพลี ส่วนครบชุด 5 องค์ คือ พระโสณเถระ พระอุตรเถระ พระฌานียเถระ พระมูนียะเถระ พระภูริยะเถระ ในท่านั่งแสดงธรรม สมัยต่อมาในรัชกาลที่ 4 ที่ 5 มีการสร้างแบบพระสมเด็จขึ้น แล้วเห็นเป็นพระสมเด็จผิดพิมพ์อีกด้วย จึงเป็นการสับสนสำหรับผู้ที่ไม่รู้จริง
   จะเห็นได้ว่าตามหลักฐานบันทึก กล่าวเพียงพระโสณเถระ ไม่ได้กล่าวถึงพระอุตรเถระ (อุตร ก็คือ อุดร) เป็นปัญหาว่าหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดรเป็นองค์ใดกันแน่ เพราะในสมัยปัจจุบันกล่าวถึงบรมครูพระเทพโลกอุดร ไม่มีใครรู้จักพระโสณเถระ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 03, 2014, 10:34:51 pm
ข้อเท็จจริง ท่านทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิต องค์พี่ คือ พระอุตรมีร่างกายสันทัด องค์น้องมีร่างกายสูงใหญ่ มีฉายาว่าขรัวตีนโต ถ้านำพระธาตุมาตรวจนิมิตจะบอกว่า โสณ-อุตร ไม่แยกจากกัน องค์น้องบรรลุอรหันต์ก่อนองค์พี่ แต่มีความเคารพองค์พี่มากต้องกราบองค์พี่ ถือว่าเป็นภันเต แต่เหตุที่บรรลุธรรมก่อนพี่ชาย จึงเรียก “โสณ-อุตร” ไม่เรียก “อุตร-โสณ” ฉะนั้นหลวงปู่ใหญ่ก็คือพระอุตรนั่นเอง เจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี กล่าวพระนามขององค์ท่านว่า พระโสณอุดร พระโลกอุดร ด้วยเหตุนี้ทำให้ผมเกิดความคิดจัดกลุ่มพระเทพโลกอุดรขึ้น และเขียนเรื่องลงในวารสารพระเครื่อง โดยแบ่งกลุ่มออก ดังนี้:-
      กลุ่มที่ 1 มีพระโสณ
      กลุ่มที่ 2 พระมูนียะ หรือหลวงปู่โพรงโพ เป็นเอกเทศ
      กลุ่มที่ 3 พระฌานียะ (หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) พระภูริยะ (หลวงปู่หน้าปาน)
รวมเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน แต่ไม่เป็นการถูกต้องตามข้อเท็จจริง ได้เกิดนิมิตครั้งแรกพบเพียงพระอุตรเถระเจ้า ปรากฏกายเพียงครึ่งท่อน (สอบแล้วตรงกับคนใต้ท่านหนึ่ง) ท่านบินเข้าสู่โดยลักษณะการที่รวดเร็วยิ่ง ตรงเข้ากอดรัดด้วยความเมตตา ผมทักท่านว่า “หลวงปู่ใหญ่” ท่านยิ้มแล้วบอกกับผมว่า “ปู่ชื่อเปลี่ยนนะลูก” ขอให้ลูกจงหลุดจาดการยึดมั่นถือมั่น ท่านสอนธรรมง่าย ๆ แต่มันลึกและเป็นขั้นสูงไม่ธรรมดา ท่านมาองค์เดียว ท่านอภิชิโตภิกขุก็เคยเล่าให้ฟังว่าหลวงปู่อยู่องค์เดียว นอกนั้นก็เป็นเพียงศิษย์ในสำนัก เรื่องนี้ผมไม่ได้คุยให้ใครฟังมาก นักเกรงจะไม่เชื่อ คนที่มาหาก็ชอบแต่ส่องพระด้วยแว่น ไม่ส่องด้วยจิต และผมจะดีใจในเมื่อพบคนส่องพระทางจิตคุยกันถูกคอ

   อยู่มาวันหนึ่งท่านอาจารย์บุญส่ง สามผ่องบุญ โรงเรียนทวีธาภิเศก ได้มาเยือนผมถึงบ้านพัก ท่านมาด้วยกันหลายคนพร้อมภรรยา แต่ทิ้งไว้ในรถยนต์ ท่านเล่าว่าที่มานี้ก็เพราะได้รับประสบการณ์ คือ มีพรรคพวกของท่านคนหนึ่งแขวนพระพิมพ์โลกอุดรรุ่นเทิดพระเกียรติวังหน้าพิมพ์ปิดตาสี่กร เกิดไปปะทะกับรถยนต์บรรทุกสิบล้อเข้าอย่างจัง แต่หาอันตรายมิได้ พระพิมพ์วิเศษชนิดนี้หากเอาพระสมเด็จวัดระฆังที่เขานิยมกันองค์ละ 3 ล้าน 3 องค์ มาแลกอย่าได้เอา แล้วท่านก็แนะนำตนเองว่าได้ฝึกฝนในด้านสมาธิมานานจบธรรมกายอรหันต์ละเอียดแล้ว ไปศึกษาพุทโธสาย ท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ละเลิกการติดฤทธิ์แล้ว ตัวท่านเองรู้จักกับพระภิกษุและวัดต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ มากมาย แต่น่าอัศจรรย์ใจ คือ มีบุคคลท่านหนึ่งประสงค์จะอุปสมบท และขอร้องให้ท่านช่วยไปหาสำนักที่ดี ๆ ให้ด้วย ท่านพาดุ่มไปยังวัดหนึ่ง ไม่เคยรู้จักกับสมภารเจ้าอาวาสวัดนั้นมาก่อน เป็นสมภารหนุ่มเรียนจบขั้นปริญญาโทจากต่างประเทศ และมีภาพพระเทพโลกอุดรขนาดใหญ่ตั้งบูชาอยู่ ท่านอาจารย์บุญส่งก็ถามว่า “อาจารย์ก็นับถือหลวงปู่เทพโลกอุดรเหมือนกันหรือ” ท่านอาจารย์บุญส่งตอบว่า “ท่านสอนให้สิ้นการยึดมั่นถือมั่น ผมจึงสิ้นฤทธิ์ไม่ติดฤทธิ์ต่อไป” ผมจึงตอบท่านอาจารย์บุญส่งว่า “ใช่ครับเป็นคำสอนของหลวงปู่ใหญ่ ผมขอรับรอง ไม่ใช่คำพูดของเจ้าอาวาส” ตัวผมเองไม่ได้ฌานได้ญาณอะไรกับเขาหรอก ท่านอาจารย์บุญส่งไม่เรียกผม อาจารย์ขอเรียกพี่ ครั้งแล้วท่านอาจารย์บุญส่งก็เล่นงานผมเข้าให้บ้าง แผล็บเดียวก็คุกเข่าลงกราบ ผมถามว่า “อาจารย์ทำไมทำเช่นนี้” อาจารย์บุญส่งไม่ตอบ เรียกคนในรถทุกคนให้ขึ้นบ้าน บอกว่าเข้ามากราบได้สนิท ผมก็ยิ่งสงสัยว่านี่มันอะไรกัน ท่านอาจารย์บุญส่งจึงไขข้อปัญหาว่า “พี่ก็เป็นอย่างเดียวกันท่านเจ้าอาวาสนั่นแหละ เพียงแต่ว่ารังสีไม่เฉิดฉายเท่ากับท่านเจ้าอาวาส เพราะท่านเป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ แสดงว่าพี่เป็นคนของหลวงปู่ และสิ้นการสงสัย” ต่อจากนั้นท่านก็ทำนายทายทักว่าผมจะเจ็บป่วยอีกครั้งและกำหนดระยะเวลาให้ ซึ่งผมก็ต้องเข้าโรงพยาบาลรามาธิบดี ทำการผ่าตัดนิ่วถุงน้ำดี และพักอยู่นานวัน ท่านสงสารในสุขภาพของผม ท่านบอกว่าเรามาถ่ายทอดพลังปราณกันเถอะ แล้วเราก็เอามือทั้งสองยันกันทำสมาธิถ่ายทอดพลังลมปราณสู่กัน ท่านถ่ายทอดพลังเย็น คือ อาโปธาตุสู่ตัวผม ผมเองก็ถ่ายไปตามเรื่อง ท่านบอกว่าของผมเป็นเตโชพลังร้อน ซึ่งก็เป็นความจริง ก่อนที่ท่านจะลากลับ ผมแจกพระพิมพ์โลกอุดรเป็นที่ระลึกให้กับท่านและผู้ติดตาม และเห็นท่านเดินไปทางหลังบ้านคิดว่าจะเข้าห้องน้ำ ภายหลังปรากฏความจริงว่าท่านได้มอบเงินจำนวนหนึ่งให้กับลูกสาวผมไว้ โดยที่ลูกสาวไม่รู้เรื่องและปฏิเสธ ท่านพยายามยัดเยียดเงินให้แล้วรีบเดินทางกลับ หลังจากนั้นเราไม่ได้พบกันอีก ท่านเป็นคนดีมากคนหนึ่ง
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 03, 2014, 10:35:33 pm
คำสอนของหลวงปู่เป็นตัวสุดท้ายในมหาสติปัฏฐานสี่ กาย เวทนา จิต ธรรม สักแต่ว่า... ไม่ใช่สัตว์ บุคคลตัวตนเราเขา อย่างที่เขาสอนกัน กายในกาย จิตในจิต ไม่ติดมันก็หลุด ก็ไม่รู้จะหลุดอย่างไร ตามความเข้าใจของผม ธรรมตัวนี้ก็คือสภาวธรรม มันแปรเปลี่ยนไม่คงที่ คือ ทุกข์การทนอยู่ไม่ได้ในสิ่งที่มีชีวิต และปราศจากชีวิตมันเสื่อมสิ้นไปตามสภาวธรรมไม่ยืนยงคนที่ หลวงปู่จึงให้ปริศนาว่า “ปู่ชื่อเปลี่ยนนะลูก” เมื่อมันไม่ดำรงคงที่ มันก็ไม่เที่ยงนะซิ มันทุกข์ อนิจจัง ก็เมื่อมันไร้สาระเช่นนี้ จะไปยึดถือเป็นตัวเป็นตนทำไม อนัตตา สัพเพธัมมาทุกขา สัพเพธัมมาอนิจจา สัพเพธัมมาอนัตตา ติ ถ้าจะตัดรูปนาม ปล่อยเวทนา สัญญา ไว้ ละเพียงสังขารเครื่องปรุงแต่งจิตอันเป็นตัวอุปทาน ตัดตัวนี้เปรียบเหมือนการตัดคั๊ดเอาท์สวิทไฟฟ้า ไฟฟ้าดวงอื่นพากันดับหมด เป็นสูญญตนิพพาน ท่านอาจารย์วิชัย แห่งสำนักสงฆ์ถ้ำผาจม เชียงราย เคยนำมาแสดงธรรมในรายการธัมมะทาง TV ผมฟังแล้วถึงกับก้มลงกราบเพราะความถูกใจ ไปเรียนให้มากทำไม ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ฌาณวรเถระ) อบรมสั่งสอนสานุศิษย์ให้ไหว้ 5 ครั้ง ให้มีศีลบริบูรณ์ ไหว้พระเสร็จให้ทำสมาธิ ก่อนตายให้พิจารณาถึงสัพเพธัมมาอนัตตา จะไม่กลับมาเกิดอีก จึงว่าหลวงปู่ท่านสอนตามขั้นภูมิธรรมปัญญา ฟังดูง่าย ๆ แต่ทำยาก

   นิมิตครั้งที่ 2 พบกับพระโสณเถระเจ้า ท่านมากับพระอิเกสาโร จิตผมทราบทันทีว่าเป็นหลวงปู่องค์ที่สอง รูปกายท่านสูงใหญ่เกศายาวประมาณ 1 องคุลี ผมคิดอยู่ภายในใจว่าอยากจะได้เกศาของท่านไว้บูชา หลวงปู่เรียกผมเข้าไปใกล้ ผมก้มลงกราบท่าน ๆ ยิ้มด้วยความปราณี ยกมือลูบศีรษะของผมพลางเรียกชื่อ ท่านมิได้กล่าวธรรมอันใด ส่วนองค์ที่นั่งถัดไปประมาณ 4 ว่า ปรากฏเกศายาวคลุมด้านหลังห่มจีวรสีกรัก แสดงว่าเป็นพระอิเกสาโร (เกศา แปลว่า ผม) มิได้กล่าวธรรมใดเช่นกัน แสดงชัดว่าพระอิเกสาโร เป็นสานุศิษย์พระโสณ ภาพนิมิตเลือนหายไป ปรากฏเห็นพระภิกษุชรารูปหนึ่งร่างกายสูงใหญ่ ยืนเทียบแล้วยังสูงไม่พ้นไหล่ท่าน มีขนตายาวพิเศษประกอบอารมณ์ขัน ท่านยกมือลูบศีรษะของผมพลางกล่าวว่า “ลงศีรษะมามากจริง” ทันใดนั่นท่านก็หัวเราะก๊ากผลักผมกระเด็นไปประมาณ 2 วา แล้วกล่าวว่า “โอ้โฮมีพระมากจัง” แล้วท่านก็พาเดิน ผมก็ตามหลังท่านไป ในจิตรู้ว่าท่านคือ หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า จนที่สุดไปพบกลุ่มพระภิกษุและฆราวาสกลุ่มหนึ่ง มีฆราวาสท่านหนึ่งอุ้มขันสำริดเดินอยู่ในกลุ่ม ท่านชี้มือไปยังบุคคลผู้นั้นแล้วกล่าวว่า “ท่านผู้นี้เป็นสามี” ทำให้ผมต้องตีปัญหาพักใหญ่ ขันนั้นน่าจะหมายถึงขันธ์ห้า คำว่าสามีแปลได้หลายอย่าง เจ้าของ ผัว ตำแหน่งพระสังฆราช บัณฑิต น่าจะเป็นบัณฑิตนั่นเอง ท่านผู้นี้จิตบอกว่าเป็นหลวงปู่ขรัวหน้าปาน องค์ที่ห้า เป็นอันว่าผมได้เห็นหน้าพระเทพโลกอุดรครบทุกพระองค์

   9.พระมหินทรเถระ เป็นพระราชบุตรของพระเจ้าอโศกมหาราช พร้อมด้วยพระภิกษุหลายรูป ไปลังกาทวีปแห่งหนึ่ง
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 03, 2014, 10:36:12 pm
ปริเฉทสอง
พระอุตรเถระเจ้าอวตารเป็นพระอุทุมพรมหาสวามี

   พระอุตรเถระเจ้า อวตารเป็นพระอุทุมพรมหาสวามี ในสมัยพระเจ้าลิไท แห่งราชวงศ์สุโขทัย ปี พ.ศ.1900 ห่างจากระยะแรกประมาณ 1,600 ปี มีบางท่านกล่าวว่าในสมัยหริภุญไชย ท่านมาเกิดเป็นครูบาบุญทา แต่เป็นเรื่องของความฝัน ไม่ปรากฏหลักฐานแจ้งชัด และมีผู้เล่าให้ฟังว่าในครั้งกระนั้นผมเป็นสามเณรอาศัยอยู่กับท่าน มีชื่อว่า “น้อยคำอ้าย” เป็นสล่า คือ ช่างปั้นพระ คนเล่าเป็นพนักงานออมสิน สำนักงานใหญ่ โดยการผ่านร่างแต่ไม่ถึงกับประทับทรง จึงเกิดปัญหาว่า คนฝันกับคนที่เป็นร่างผ่านให้ข้อความไม่ตรงกัน จึงตัดออก เอาแต่เรื่องที่มีหลักฐานมากล่าวและมีบันทึก คณะพระเทพโลกอุดร มีหน้าที่ดูแลทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาไปจนกว่าจะสิ้นพุทธธันดร (พ.ศ.5000) คราใดที่พระพุทธศาสนาอ่อนแอลง ท่านมักจะมาโปรด ท่านเป็นพระธรรมทูตเดินทางมาจากประเทศลังกาสู่ประเทศมอญ ความว่าในสมัยนั้นมีพระอาจารย์ชาวลังกาท่านหนึ่ง นามว่า “พระมติมา” เป็นศิษย์ในสำนักพระอุทุมพรมหาสวามีสังฆราช ซึ่งมีวัตรปฏิบัติเคร่งครัดที่สุดในประเทศลังกา มาตั้งสำนักที่เมืองนครพัน หรือเมืองเมาะตะมะของมอญ ในสมัยพระสุตโสมเป็นพ่อเมือง พระเถระทางกรุงสุโขทัยได้ทราบข่าว เกิดความศรัทธาปสาทะ จึงพากันมาขออุปสมบทใหม่ในสำนักพระมติมา และข่าวได้แพร่ไปถึงพระเจ้าลิไท แห่งกรุงสุโขทัย จึงจัดส่งสมณทูตอาราธนาพระมติมามาอยู่ ณ กรุงสุโขทัย แล้วพระองค์ได้ทรงผนวชในสำนักพระมติมา ประกาศปรารถนาพุทธภูมิแล้วลาสิกขาบท เพื่อบำเพ็ญพระราชกรณียกิจตามเม แต่งตั้งพระมติมาให้เป็นที่พระสวามี (ตำแหน่งพระสังฆราชาของลังกา) พระมติมาได้พยากรณ์ไว้ว่า พระพุทธศาสนาจะไม่ตั้งมั่นในมอญ แต่จะตั้งมั่นในไทย จนถึง พ.ศ.5000 (เป็นอันแสดงว่าพระสังฆราชรูปนี้เป็นชาวลังกา) บางท่านยังอ้างข้อความบางตอนในศิลาจารึกกล่าวความเคร่งครัดของท่านว่า มีจริยาวัตรเยี่ยงพระอรหันต์

   แต่หลักฐานในหนังสือชินกาลบาลีปกรณ์ ระบุความตอนหนึ่งว่า พระสังฆราชรูปนี้ความจริงเป็นชาวสุโขทัย ชื่อ พระสุมนเถระ เดิมได้ศึกษาเล่าเรียนธรรมจากสำนักต่าง ๆ หลายสำนัก จากเมืองอโยชฌปุระ (อยุธยา) จนความรู้แตกฉาน แล้วกลับมาอยู่ที่เมืองสุโขทัยตามเดิม ครั้งต่อมาได้ทราบข่าวว่าพระมหาสวามีองค์เถระชาวลังกาผู้ทรงคุณอันเลิศในทางธรรม ชื่อว่า “อุทุมพร” ได้จาริกจากลังกามาอยู่ที่รัมนะประเทศ (ในพงศาวดารโยนก เรียกชื่อว่า เมืองเมาะตะมา ในศิลาจารึก เรียกนครพัน) พระสุมนเถระจึงชักชวนพระภิกษุซึ่งเป็นสหายทางธรรมจำนวนหนึ่ง พากันเดินทางจากกรุงสุโขทัย ไปนมัสการพระมหาสวามีอุทุมพร แล้วอยู่ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมกับพระมหาสวามีอุทุมพร นั้น

   กาลต่อมา ความทราบถึงพระกรรณพระมหาธรรมราชาแห่งกรุงสุโขทัย (คือ พระยาศรีสูรยพงศ์ราม มหาธรรมราชาธิราช พระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์สุโขทัย ซึ่งก็คือ พระเจ้าลิไท แต่คำในลายสือไท อ่านยาก มิได้จารึกคำว่า “ลิไท” โดยตรง มีพระนามก่อนเสวยราชย์ว่า พญาฤาไท อ่านอย่างภาษามคธว่า       “ลิไท” “ลิเทยย” คำว่า พระยาศรีสูรยพงศ์ เป็นพระนามเดียวกับพระราชบิดา เพียงแต่เติมคำว่าบุตรต่อท้ายคำ) ว่าพระมหาสวามีอุทุมพรจาริกมาจากเมืองลังกา มาอยู่ที่เมืองรัมมประเทศ ก็ทรงมีพระราชประสงค์ใคร่จัดได้พระภิกษุสงฆ์ผู้สามารถคงแก่เรียน กระทำสังฆกรรมได้ครบถ้วนมาประจำที่สำนักเมืองสุโขทัย จึงจัดส่งสมณทูตไปนมัสการพระมหาสวามีอุทุมพร เพื่อขอพระภิกษุผู้ทรงคุณธรรมดังกล่าว พระมหาสวามีอุทุมพรจึงได้ส่งพระสุมนเถระ พร้อมด้วยคณะที่มาด้วยกัน ให้แก่พระมหาธรรมราชามาประจำกรุงสุโขทัย พระมหาธรรมราชาทรงดีพระทัยยิ่งนัก โปรดเกล้าให้สร้าง “วัดอัมพวนาราม” (คือ ว่าป่ามะม่วง ในปัจจุบัน) แล้วนิมนต์พระสุมนเถระให้อยู่ที่วัดนั้น (ในศิลาจารึกไม่มีคำว่าวัด มีแต่อาวาส สุมม่วง สุม คือ ซุ้ม หมายถึง ซุ้มมะม่วง ป่าม่วง ปรากฏว่าเป็นสถานที่เดียวกัน)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 03, 2014, 10:36:38 pm
ปัญหาที่เคยสงสัยกันว่า ถ้าพระมหาสวามีสังฆราชเป็นภิกษุชาวลังกาจริงแล้ว ได้ทำการเผยแพร่ธรรมแก่ชาวบ้าน เป็นการยากที่จะทำความเข้าใจได้ง่าย ๆ (ความคิดเช่นนี้ยังไม่ลึกซึ้งพอ ไม่ได้ศึกษาในเรื่องปฏิสัมภิทาญาณสี่ จะเข้าใจผิดกันไปใหญ่ และก็เมื่อตอนที่คณะพระธรรมทูตชุดแรกที่มาเผยแพร่พระพุทธศาสนายังแคว้นสุวรรณภูมิเล่า ท่านจะทำประการใด ท่านก็เทศน์โปรดตามภาษาพื้นบ้านนั่นเอง และในการตรวจพระพิมพ์โลกอุดร โดยพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่ง ท่านไม่มีความรู้เรื่องพระโลกอุดร จึงใช้จิตถาม พระพิมพ์ตอบว่า ข้าคือบรมครูศรีสัชนาลัย ซ้ำอยู่ 2 ครั้ง ซึ่งหมดภูมิปัญญาของผู้ตรวจ จึงได้รับคำอธิบายจากตัวกระผมผู้เขียนเรื่องว่า ถูกแล้วเพียงศิษย์ท่านยังเป็นถึงพระสังฆราช องค์ท่านจะเป็นอะไรดี เลิกเรียกพระครูโลกอุดรกันเสียทีเถอะ) และการที่พระสุมนเถระ เพียงถวายพระธรรมคำสอนแก่พระมหาธรรมราชาช่วงระยะพรรษาเดียว ก็ทรงบรรลุภูมิธรรมแตกฉาน ก็คือ ภาษาไทยนี้เอง ต่อมาได้ทรงสถาปนา พระสุมนเถระ ขึ้นดำรงตำแหน่ง “พระสวามีสุมนเถระ”

   อนึ่ง พิจารณาแผ่นศิลาจารึกของวัดป่ามะม่วง เป็นศิลาจารึกลายสือไท หลักที่ 27 ได้กล่าวถึง พระยาศรีสูรยพงศ์รามมหาธรรมราชา ทรงผนวช แต่อักษรจารึกด้านที่ 1 และด้านที่ 2 ชำรุดอ่านไม่ได้ความ คงเหลือเพียงด้านที่ 2 และด้านที่ 4 ตัดเฉพาะด้านที่ 2 ถอดความเป็นภาษาไทยปัจจุบัน ดังนี้:-
   “...อั (น)...นี้ ในกลางสุมม่วงให้ประดิษฐานกุฎี พิหาร แถลงเมื่อพระนิรพาน ทางกุสินารนคร แลลงฝูงขสินาสรพนั่งบริพาร แถลงทั้งพระอารยกัสสป มาทูลฝ่าตีนพระเจ้าอันชำแรกจากโลงทอง แถลงทั้งขุนมัลลราชสี่คนมากระทำบูชา ประดิษฐานทั้งปฏิมากะลาอุโบสถ แลเสมานั้นโสดเทียน ญ่อมฝูงสงฆ์อันคง...ปรัชญา...ร...อันมีสังฆราชา...พระไตรปิฏกอันหด้...บวชแต่...ไ...ฝูงมหาสมณลังกาทวีป น...มานั้น...นั้น ที่พระยาศรีสูรยพงศ์ธรรมราชาธิราชออกผนวชแลแผ่นดินป่าม่วงนี้ไหว...มหาสมณทั้งอัน...เลิก...น ปลายพ ...ปาลย...น นำให้ฝูง...ทั้งหลายเห็น”

   ซึ่งผมขอถอดและขยายความดังนี้:- ภายในบริเวณศูนย์กลางของอาวาสสุมม่วงหรือวัดป่ามะม่วง มีการก่อสร้างเป็นกุฎี วิหาร ปรากฏภาพเขียนภายในผนังพระวิหาร แสดงภาพพระอรหันต์ขีณาสพ มาประชุมกันหนาแน่นดุจกำแพงกั้นน้ำ เพื่อเตรียมถวายเพลิงพระบรมศพพระผู้เป็นเจ้าซึ่งดับขันธปรินิพพาน แสดงภาพพระมหากัสสปเถระเจ้า ก้มถวายบังคมเบื้องพระยุคลบาท ซึ่งยื่นจากโลกทองบรรจุพระบรมศพ แสดงภาพขุนมัลลราช คือ มัลลกษัตริย์ทั้งสี่ (ทรงเชียวชาญในวิชามวยปล้ำ) กำลังถวายสักการะ ภายในพระวิหารมีพระประธานประกอบด้วยพระอัครสกวกซ้ายขวา มีตู้พระไตรปิฏก รอบ ๆ พระวิหารประกอบด้วยพัทธเสมา แสดงภาพพระภิกษุสงฆ์ผู้คงแก่เรียน อันได้แก่พระสุมนสวามีสังฆราช ฝูงมหาณแห่งลังกาทวีป คือ คณะของพระอุทุมพรสวามีสังฆราช (บรมครูพระเทพโลกอุดร) ปรากฏในศิลาจารึกเนินปราศาท ด้านที่ 2 บรรทัดที่ 17 – 18 “เมื่อได้สมเด็จพระมหาเถระกับพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายมา”

   พระยาศรีสูรยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราช มีพระบัญชาให้ราชบัณฑิตไปอาราธนาพระมหาสวามีอุทุมพร จากเมืองนครพัน ทราบว่าท่านรับการอาราธนา และเดินทางมาได้ครึ่งทางแล้ว (ทราบทางจิต) พระยาศรีสูรยพงษ์มหาธรรมราชาธิราช ทรงจัดให้หมู่อำมาตย์มุขมนตรี และบรรดาราชตระกูลไปเตรียมการต้อนรับทำการสักการบูชาพระมหาสวามีอุทุมพรสังฆราชตามหัวเมืองต่าง ๆ ที่ทรงจาริกผ่าน เริ่มจัดเครื่องสักการะบูชา ตั้งแต่เมืองเชียงของ เมืองบางจันทร์ เมืองบางพาร ตลอดมาจนถึงเมืองสุโขทัย นับว่าเป็นการต้อนรับเป็นพิธีการอันยิ่งใหญ่ของเมืองสุโขทัย

   วันทรงผนวช ขณะที่พระยาศรีสูรยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราช รับผ้าไตรจากพระอุปัชฌาย์ แล้ว ทรงอธิษฐานจิตปรารถนาพุทธภูมิ ได้บังเกิดแผ่นดินไหวไปทั่วทุกสารทิศในบริเวณอาวาสสมุม่วง เป็นที่ประจักษ์แก่ฝูงชนทั้งหลายทั่วกัน พระองค์ได้รับพระฉายาในสมณะเพศว่า “ปัลละวะราชา” (ปลลุวราชา) แปลว่า พระราชาผู้เป็นหน่อเนื้อพุทธางกูร

   สันนิษฐานว่า พระอุทุมพรมหาสวามีสังฆราช พร้อมคณะ น่าจะพำนัก ณ อาวสสุมม่วง ชั่วระยะหนึ่ง โดยธรรมเนียมพระมหากษัตริย์ในสมัยโบราณมักนิยมสร้างพระพุทธรูป พระพิมพ์ พระเครื่อง เพื่อหวังอานิสงค์ แลบรรจุกรุเจดีย์ไว้สืบพระพุทธศาสนา จึงมีการสร้าระพิมพ์เนื้อดินขึ้นชุดหนึ่ง นิยมเรียกกันว่าพระพิมพ์วัดป่ามะม่วง สมัยสุโขทัย หลวงพ่อโอภาสี แห่งอาศรมบางมด ยืนยันว่าวิเศษกว่าพระสมเด็จวัดระฆังฯ มากมาย สิ่งนี้เป็นข้อยีนยันสำหรับปริเฉทสอง
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 03, 2014, 10:37:12 pm
ปริเฉทสาม
พระอุตรเถระเจ้าอวตารเป็นพระครูเทพผู้วิเศษ

   พระอุตรเถระเจ้า อวตารเป็นพระครูเทพ ผู้วิเศษในสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้า ประมาณปี พ.ศ.2127 ระยะเวลาห่างจากสมัยสุโขทัยประมาณ 227 ปี คันคว้าจากตำราไสยศาสตร์ ประกอบความรู้อันบังเกิดจากญาณหรือสิ่งบันดาลใจ จากคำที่ว่าตอนที่สร้างกำแพงเมืองลพบุรี ข้ายังได้เห็น หมายถึง สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มิใช่สมัยลพบุรี (ขอม) และยังมีคำว่า “เทพ” (มาจากคำเทพโลกอุดร) ท่านผู้อ่านอาจสงสัยว่า นับจากแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราชถึงแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินถึง 9 รัชกาลด้วยกัน แต่ปรากฏตามหลักฐานประวัติศาสตร์คำนวณอายุได้ประมาณ 53 ปี เท่านั้น กล่าวคือ
      พระเอกาทศรถ         16 ปี
      พระศรีเสาวภาคย์      ไม่ถึงปี
      พระเจ้าทรงธรรม      8 ปี
      พระเชษฐาธิราช         3 ปี
      พระอาทิตย์วงศ์         37 วัน
      พระเจ้าปราสาททอง      25 ปี
      เจ้าฟ้าลั่น         1 ปี
      พระศรีสุธรรมราชา      3 เดือน
      พระนารายณ์มหาราช      32 ปี (คิดเพียงด้านรัชกาลขณะสร้างกำแพงเมืองให้เวลา 3 ปี)
   รวมรัชกาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช คงไม่ถึง 100 ปี และองค์พระครูเทพ ผู้วิเศษน่าจะมีอายุยืนยาวเป็นกรณีพิเศษ

   มีบันทึกว่าพระครูเทพ ผู้วิเศษเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้างพระโพ ปางยืนห้ามสมุทร (โพ เป็นชื่อต้นไม้ โพธิ แปลว่า ตรัสรู้ ไม่ใช่เรียกชื่อต้นไม้) และพระควัมปติ (ไม่ใช่พระควัมบดี) แต่จะเป็นพระควัมปติ หรือพระมหากัจจายนะเถระเจ้าปางยกหัตถ์ปิดพระพักตร์อธิษฐานวรกาย ยังเป็นปัญหา เพราะเป็นคนละองค์ตามรายพระนามสาวกผู้ทรงเอกะทัคคะ 80 รูป แต่เมื่อสร้างเป็นพระพิมพ์แล้วมีลักษณะอย่างเดียวกัน จงเข้าใจเสียใหม่ว่าพระควัมปติกับพระมหากัจจายนะเถระเจ้า เป็นคนละองค์แน่นอน และพระพิมพ์โลกอุดรส่วนใหญ่มักจะสร้างเป็นรูปพระปิดตา (ยกหัตถ์ปิดพระพักตร์)

เจดีย์บรรจุพระองค์เดียว

   พระครูเทพ ผู้วิเศษ ได้สร้างพระพิมพ์ไว้เพียงองค์เดียว บรรจุเจดีย์ไว้ที่วัดพุทไธศวรรค์ จังหวัดอยุธยา สมัยสงครามมหาบูรพาเอเชีย พระเจดีย์เกิดเอนทำท่าจะล้มมิล้มแหล่ คาดคะเนกันว่าจ่าจะมีทองคำบรรจุอยู่ ครั้งเจาะที่คอระฆังพบเพียงพระพิมพ์องเดียว บรรจุใส่ผอบไว้ สร้างเป็นรูปพระมหากัจจายนะเถระเจ้า เนื้อผงมหาราชล้วน ๆ ผสมตัวยาสีออกเทาไม่ผสมปูน เนื้อจึงค่อนข้างอ่อน ขนาดแท่งผง ครั้งนำพระออกแล้วเจดีย์กลับตั้งตรงตามเดิม พระอาจารย์ช้อย วัดบ้านแป้ง จังหวัดอยุธยาเป็นนักนิยมพระเครื่องท่านหนึ่ง ยินดีนำพระบูชาสมัยสุโขทัยขนาดหน้าตัก 9 นิ้ว แลกไว้เป็นพระสุดยอดทางเมตตา และมหานิยม ตามอานุภาพของผงมหาราช ศิษย์ท่านอาจารย์ช้อยขอยืมไปใช้ แล้วขูดผงใส่ให้หญิงสาวกินได้เป็นภรรยา ยังกำเริบขูดใส่แม่ยายคิดจะเทครัว อาจารย์ช้อยโกรธมากเรียกพระคืนมาเก็บรักษาไว้ หวงแหนที่สุด รักษาได้เพียง 9 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2484 ถึง 2493 ต้องเดินทางจากจังหวัดอยุธยาไปถึงอำเภอท่าอุเทน โดยที่ไม่เคยรู้จักกับผมมาก่อน ได้รับการแนะนำโดย คุณหมอเฉลียว ภู่มาลา ชาวจังหวัดอยุธยา ไปเปิดคลินิกที่อำเภอท่าอุเทน ผลที่สุดพระองค์นั่นก็ตกเป็นสมบัติของผม ปรากฏในด้านโชคลาภดีมาก ไม่เคยให้อาจารย์ประจำตัวตรวจอานุภาพ ปี พ.ศ.2500 ย้ายมาอยู่อำเภอบ้านนา ทำการตรวจสองทางใน 2 ครั้ง อาจารย์ท่าน แรกเห็นนิมิตปรากฏชัดเจน กลุ่มปืนกลเงียบเสียง นิมิตเห็นพระพุทธองค์กำลังประชุมแสดงพระโอวาทะปาฏิโมกข์ ในวันจาตุรงคสันนิบาต กล่าวว่ามหานิยมขนาดสมัครผู้แทนทีเดียว ขอชมบารมีเพียงสองด้าน และนิมิตบอกว่า      ผู้ไม่มีศีลห้ารับรองรักษาไม่ได้เด็ดขาด จากท่าอุเทนได้ 7 ปี อาจารย์ช้อยเที่ยวตามหาทั่วประเทศ มาพบผมที่อำเภอบ้านนา บอกว่าตั้งแต่หมดพระองค์นี้แล้วตกมากแทบไม่มีคนจองกฐิน ขอขูดผงไปใช้ก็ยังดี ผมก็ยอมให้ขูด เรื่องการตรวจพระคราวที่แล้วก็เพียงพิสูจน์ว่าองค์ใดเป็นเลิศในปฐพี มีพระพิมพ์โลกอุดร 3 องค์ พระสมเด็จวัดระฆัง 1 องค์ ผมยังไม่ทราบว่าเป็นพระโลกอุดร รู้จักแต่พระวังหน้า พระหลวงปู่ดำ ครั้นให้อาจารย์ท่านหนึ่งตรวจท่านว่ารังสีทอง ก็ยังไม่รู้ประสาอีก ท่านว่านิมิตเห็นพระพุทธรูปทองคำลอยลงมาจากฟากฟ้า มีพระยาช้างเผือกเชือกหนึ่งคุกเข่าใช้งวงรับแล้วบรรจุลงในพระเจดีย์ ท่านว่าพระนี้มีองค์เดียวในโลก อาจารย์ท่านนี้ชอบดูการสร้างพระ ไม่ค่อยชอบดูการเสกพระ ซึ่งเป็นการเข้าใจผิด จะไม่เจริญในการศึกษาเรื่องพระเครื่องเด็ดขาด ท่านเห็นพระภิกษุผู้เฒ่ารูปหนึ่งกำลังนอกเสกพระและเป็นพระองค์เดียว มีอะไรที่วิเศษท่านนำมาผสมหมด เขาว่าสมบัติผลัดกันชมหลวงปู่คง เปลี่ยนเวรมาให้ผมลองรักษาดูบ้าง ผมก็รักษาได้โดยตลอดมา เพียงไม่เลี่ยมแขวนคอ เพราะรู้สึกว่าเป็นพระเนื้ออ่อนตามที่ได้อธิบายมาแล้วในตอนต้น อยู่มาวันหนึ่งบุตรชายซึ่งเป็นนายตำรวจ อยากได้พระดีที่สุดในโลกไปใช้ ปรากฏว่าอาทิตย์เดียวจบ ซักไซ้ก็ไม่ได้ความ คือ เขาไม่มีศีล อยู่ได้ 7 วัน ก็บุญแล้ว ผมเสียดายมากแปลว่าผมหมดบุญ แต่ผมก็มีพระโลกอุดรหลายยุคสมัยที่คนหาไม่ได้หลายองค์เกินพอ หลวงปู่พระครูเทพผู้วิเศษ อยู่ที่วัดพุทไธศวรรย์นี่เองครับ พระวิเศษองค์ดังกล่าวนี้ไม่ทราบไปตกกับผู้ใด ผมสู้ราคาไม่อั้นหากพบเห็น
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 03, 2014, 10:38:15 pm
ปริเฉทสี่
คณะพระธรรมฑูต

   เริ่มสมัยรัตนโกสินทร์ ในรัชกาลที่ 4 ประมาณปี พ.ศ.2395 ในขณะที่พระองค์เจ้ายอด หรือพระองค์เจ้ายอดยศบวรราโชราสราชกุมาร ประสูติ ณ วันพฤหัสบดี เดือน 10 แรม 2 ค่ำ ปีจอ สัมฤทธิศก จุลศักราช 1200 พุทธศักราช 2381 ในรัชกาลที่ 3 เป็นพระเจ้าลูกยาเธอ นับเป็นพระราชโอรสองค์ต้นในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระชนมายุได้ 14 พรรษา ปี 2395  เป็นการปรากฏทั้งคณะพระธรรมทูต มี
   1.พระอุตรเถระ เรียกกันว่า พระครูโลกอุดร หลวงปู่ใหญ่ หลวงพ่อดำ เจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี เรียกท่านว่า “พระโลกอุดร”
   2.พระโสณเถระ เรียกกันว่า พระครูโลกอุดร เช่นกัน ฉายานามขรัวตีนโต เจ้าประคุณสมเด็จฯ เรียกท่านว่า “พระโสอุดร”
   3.พระมูนียะ เรียกกันว่า หลวงปู่โพรงโพ ท่านอิเกสาโร หลวงปู่เดินหน
   4.พระฌานียะ เรียกกันว่า หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า
   5.พระภูมิยะ เรียกกันว่า หลวงปู่หน้าปาน

   ทราบโดยญาณของผมเอง พระอิเกสาโร เป็นศิษย์พระโสณเถระ ส่วนอีกสองท่านจะเป็นศิษย์พระอุตรเถระ หรือพระโสณเถระ ยังไม่แจ้งชัด เพียงอาจารย์ผมบอกว่า ท่านฌานียะยังมีอายุแก่กว่าพระอุตรเถระด้วยซ้ำไป หลวงปู่ขรัวขี้เถ้ากับหลวงปู่หน้าปาน จะจบกิจเป็นพระอรหันต์หรือยังมิอาจทราบได้ เพียงท่านหายไป ตอนแรกอาจเป็นเพียงอรหันต์ (ตามคำวิเคราะห์ศัพท์ในตอนต้น) จึงต้องมาสร้างบารมีเพิ่ม ในรูปของหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ก็คือท่านขรัวขี้เถ้าเผาแหลก มีอะไรท่านเผาหมด เป็นปริศนาธรรมอันหนึ่งว่า “ตูนี่แหละคือครัวขี้เถ้า”  ท่านแปรธาตุแบบสำนักโลกอุดร เสกใบมะม่วงเป็นกบเลี้ยงลูกศิษย์ จึงมีฉายาว่าหลวงพ่อกบ กล่าวกันว่าเมื่อท่านมรณภาพแล้วนำใส่โลงศพ ได้เกิดหายไปไม่มีร่องรอย ก็ท่านตามจริงเสียเมื่อไร ที่เห็นนั่นเป็นเพียงกายธรรมเท่านั้น ส่วนอีกท่านหนึ่งมาในนามของหลวงพ่อโอภาสี หรือมหาชวนแห่งอาศรมบางมด ท่านก็บอกว่ามหาชวนตายไปแล้ว ท่านเป็นพระสำเร็จมาอาศัยร่างเพื่อสร้างบารมีต่อ ปริศนาธรรมของท่านก็คือ มีพระบรมสาทิสลักษณ์ของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 คนก็ตีความไปต่าง ๆ นา ๆ ว่าท่านนับถือรัชกาลที่ 5 บ้าง รัชกาลที่ 5 มาเกิดบ้าง ก็รัชกาลที่ 5 สวรรคตในปี พ.ศ.2453 ท่านมหาชวนเกิดก่อนแล้ว ความจริงก็คือ “ตูนี่แหละพระโลกอุดรองค์ที่ 5”  ก็เท่านั้น

   พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศฯ น่าจะสร้างบารมีต่อเนื่องมาแต่ปางบรรพ์ ทรงมีธรรมาพิสมัยแต่ครั้งยังเยาว์วัย นอกจากจะทรงสนพระทัยในวิทยาการทางอักษรศาสตร์ รัฐศาสตร์ การช่าง ช่างฝีมือ ยุทธศาสตร์ จนถึงวิชาการฟ้อนรำ ทรงสนพระทัยในวิปัสสนากรรมฐานแต่เยาว์วัย ขณะที่พระชนมายุเพียง 14 พรรษา ฝึกฝนจนอินทรีย์พละแก่กล้าพอควร บรมครูพระเทพโลกอุดร (พระอุตรเถระ) เห็นว่า เจ้าชายท่านนี้เคยเป็นศิษย์ในความอุปการะกันมา จึงมาเข้านิมิตสอนธรรมกรรมฐาน โดยต่อเนื่องในสภาพกายทิพย์ (มองเห็นได้ด้วยตาใน) จนเห็นว่าบรรลุขั้นทิพยจักษุแล้ว จึงปรากฏเป็นกายธรรม มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อและสามารถผัสสะจับต้องได้ โดยที่ผู้ศึกษาไม่ถึงจะตู่ว่าเป็นองค์จริงแทบร้อยทั้งร้อย นั่นคือความไม่รู้จริงแล้วคิดว่ารู้ สำหรับเรื่องนี้พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว มหาอุปราชแห่งพระราชวังหน้า ก็มิได้ทราบความจริงเท่าใดนัก เพียงแต่กล่าวกันกว่าพระองค์เจ้ายอดยิ่งยศมักจะหายไปจากพระราชวังหน้าบ่อยครั้งในระยะหลัง ก็ไม่ทราบว่าเสด็จไปทางไหน และมิได้บอกกล่าวให้ผู้ใดทราบ หายไปคราวหนึ่ง ๆ ประมาณ 15 – 20 วัน คงมีแต่เจ้าจอมมารดาเอม ซึ่งเป็นพระชนนีที่ทราบความเป็นไปและในการที่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ เสด็จทิวงคตด้วยโรควักกะ (ไต) พิการในปี พ.ศ.2428 นั่นมิได้ทิวงคตจริง แต่บรมครูพระเทพโลกอุดร หรือหลวงปู่ดำ พาไปอยู่ด้วย และเสกใบพลูแทนตัวไว้ เรื่องออกจะเหลือเชื่อ แต่ก็น่าเชื่อเพราะปรากฏหลักฐานยืนยันจากท่านอาจารย์ชาญณรงค์ ศิริสมบัติ หรือท่านอภิชิโตภิกขุ ได้ไปพบท่านวังหน้าที่สำนักโลกอุดร แต่ไม่ใช่ถ้ำวัวแดง อย่างที่เล่าลือกัน ท่านวังหน้ากับท่านอาจารย์แจ้งฌาน 2 รูป เป็นพี่เลี้ยงถ่ายทอดวิชาให้ ท่านอภิชิโต มักเรียกว่า “ครูฝึก” โดยปกติหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรมิได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้โดยตรง ต่อเมื่อเรียนจบขั้นหนึ่ง ๆ แล้วท่านจะต้องทดสอบความรู้และรับรองให้เรียนขั้นสูงต่อไป ปัจจุบันท่านวังหน้ายังดำรงชีวิตอยู่ ประมาณ 150 ปีเศษ ท่านรู้จักผมดี เรียกว่า “โยมประถม” ท่านอภิชิโตได้ให้ช่างวาดภาพท่านวังหน้าด้วยถ่านเครยองมองเห็นครั้งแรกเกิดความสนใจคิดว่าเป็นภาพหลวงปู่ใหญ่ เพราะเป็นภาพของบรรชิต แต่กลับเป็นภาพของท่านวังหน้า ส่วนภาพที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้เป็นเพียงภาพของพระอิเกสาโร หรือหลวงปู่โพรงโพ พระโลกอุดรองค์ที่ 3 เคยมีผู้นำภาพถ่ายขนาดเล็กมาให้ชม ท่านเขียนเป็นภาษาขอมว่า “ไตรโลกอุดร” หมายความถึงพระโลกอุดรองค์ที่สาม ผมเคยเรียนถามหลวงปู่ว่าในขณะที่อธิษฐานจิตพระพิมพ์โลกอุดรกรุแรก ซึ่งบรรจุในเจดีย์วัดบวรสถานสุทธาวาส หลวงปู่เสด็จมาในสภาพกายทิพย์หรือกายธรรม ท่านตอบว่ามาในรูปแห่งกายธรรม ถามท่านว่าปัจจุบันเหตุใดจึงไม่เสด็จมาในรูปกายธรรมในการอธิษฐานจิตอีก ท่านหัวเราะตอบว่า คนเราในสมัยปัจจุบันไม่เหมือนกับคนในสมัยก่อน
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 03, 2014, 10:39:16 pm
บุคลิกภาพและจริตแห่งพระโลกอุดร

   พระโลกอุดรทั้ง 5 พระองค์ ท่านไม่ใช่คนไทย เป็นชาวเนปาล แต่ละองค์มีจริตและบุคลิกภาพแตกต่างกัน ผู้ที่อวดรู้อวดเห็นยากที่จะเข้าใจได้ว่าเป็นพระโลกอุดรองค์ไหน ดีไม่ดีไปพบหลวงปู่แจ้งฌานว่าที่พระโลกอุดรเข้าก็อาจเป็นได้ หลวงปู่ท่านนี้ได้อภิญญาโลกีย์ และเป็นพระสำเร็จชอบท่องเที่ยวไปทุกหนทุกแห่ง นอกจากท่านอภิชิโตภิกขุแล้ว ยากที่ผู้อื่นจะดูออก ท่านอภิชิโตมักจะสัพยอกครูฝึกว่า “นี่คนหรือผีกันแน่ เห็นมากี่สิบปีร่างกายก็คงเดิมไม่แปรเปลี่ยน”  สมัยยังมีการใช้รถราง บางครั้งก็จ๊ะเอ๋กันในรถก็ยังเคย เคยถามท่านอภิชิโตว่า ตามที่เขาลือกันว่า หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า และหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ซึ่งเป็นสานุศิษย์สายโลกอุดร ไม่มรณภาพจริง อาจารย์เคยพบบ้างไหม ท่านตอบว่าไม่เคยพบ เป็นอันแสดงว่าสายของพระโลกอุดร มีอยู่หลายสายด้วยกัน และยังแยกออกเป็นสายในดงและสายนอกดง สายในดง คือ ไปศึกษาความรู้จากองค์ท่าน สายนอกดงนำมาสอนกันสืบต่อไปอาจจะเป็นทั้งฆราวาสและบรรชิต เช่น อาจารย์พัว แก้วพลอย อาจารย์ฉลอง เมืองแก้ว อาจารย์ชม สุคันธรัต เป็นต้น พยายามศึกษาให้แตกฉานนะครับ อย่าเขียนเรื่องเรื่อยเปื่อยจะเป็นบาป หลวงปู่ท่านเคยตำหนิ บ่นว่ามีชายแก่นำชื่อท่านไปขาย ถามว่าเป็นตัวผมหรือเปล่าท่านว่าไม่ใช่ ที่ผมทำไปนั้นถูกต้องแล้ว

   องค์ที่หนึ่ง พระอุตรเถระ หรือ หลวงปู่ใหญ่ คือ บรมครูเทพโลกอุดร ลักษณะรูปร่างสันทัด ผิวกายค่อนข้างดำคล้ำ จึงมีฉายาว่า “หลวงพ่อดำ” มีจิตเยี่ยงพระโพธิสัตว์เจ้า บรรลุอภิญญาหก แต่ในบทสวดกล่าวว่าเตวิชโช คือวิชาสาม ซึ่งไม่น่าจะเกี่ยวกับปฏิสัมภิทาญาณ แต่ในบทสวดก็กล่าวว่าท่านบรรลุซึ่งปฏิสัมภิทาฌาน เช่นกัน ท่านวางหลักสูตรในการฝึกสมาธิซึ่งเรียกว่า “วิทยาศาสตร์ทางใจ” มิใช่วิชาไสยศาสตร์ และมิใช่มายากล ศิษย์ในดงนอกดง สามารถแปรธาตุได้ เช่น หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน หลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า อภิชิโตภิกขุ อาจารย์พัว แก้วพลอย อาจารย์ฉลอง เมืองแก้ว หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง ฯลฯ เป็นต้น ท่านเชี่ยวชาญในวิชาแพทย์และเภสัชกรรม ใจดีประกอบด้วยเมตตา มีอารมณ์ขัน หากจะกล่าวถึงหัวหน้าคณะพระธรรมทูต ซึ่งเดินทางมาเผยแพร่พระพุทธศาสนายังสุวรรณภูมิ แหลมทอง คงได้แก่ พระโสณเถระ ซึ่งเป็นน้องชายพระอุตร แต่บรรลุอรหันต์ก่อนพี่ชาย บทบาทของพระอุตรเถระ จึงไม่ค่อยมีปรากฏ และพระโสณเถระก็บรรลุปฏิสัมภิทาญาณ เช่นกัน มิฉะนั้นจะสอนศาสนาแก่คนต่างชาติได้อย่างไร ปฏิสัมภิทาณสี่มี ดังนี้:-
   1.อัตถปฏิสัมภิทา คือ ความแตกฉานในอรรถ เข้าใจอธิบายอรรถแห่งภาษิตให้พิศดาร และเข้าใจคาดคะเนล่วงหน้าถึงผลอันจักมี เข้าใจผล
   2.รามปฏิสัมภิทา คือ ความแตกฉานในธรรม เข้าใจถือเอาใจความแห่งอธิบายนั้น ๆ ตั้งเป็นกระทู้ หรือหัวข้อขึ้นได้ สาวเหตุในหนหลังให้เข้าใจเหตุ
   3.นิรุตติปฏิสัมภิทา คือ ความแตกฉานในภาษา และรู้จักใช้ถ้อยคำ ตลอดจนรู้ถึงภาษาต่างประเทศ
   4.ปฏิภาณสัมภิทา ความแตกฉานในปฏิภาณ มีไหวพริบเข้าใจทำให้สบเหมาะในทันที หรือในเมื่อเหตุเกิดขึ้นโดยฉุกเฉิน หรือกล่าวตอบโตได้ทันท่วงที

   ท่านมีสภาวะจิตที่รวดเร็วมาก เพียงนึกถึงท่าน ท่านจะบอกให้นิมิต “เมื่อเจ้าต้องการพบเรา เราก็มา เรามาจากทางไกลด้วยความรวดเร็วยิ่ง”

   ในการตรวจพระพิมพ์ของท่าน ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าท่านเป็นบรมครูพระเทพโลกอุดร ท่านอภิชิโตภิกขุมอบให้เป็นสมบัติ บอกว่าอาจารย์ท่านคือ หลวงปู่ดำเสกให้ เคยทดลองให้ท่านอาจารย์วิเชียร คำไสสว่าง ชีประขาวผู้ทรงคุณ กำหนดจิตดู ท่านอาจารย์บอกว่า พระนี้ว่องไวและรวดเร็วยิ่ง ต่อมาเพื่อเป็นการพิสูจน์ทดสอบ ได้นำพระพิมพ์ที่ว่านำไปตรวจสอบกับพระพิมพ์โลกอุดรกรุวังหน้า ปรากฏว่าเหมือนกันทุกประการ

   องค์ที่สอง พระโสณเถระ หรือหลวงปู่ตีนโต รูปกายสูงใหญ่ผิวดำ ทรงคุณสมบัติเช่นองค์ที่หนึ่ง เว้นวิชาแพทย์ ใจดีเยือกเย็น ประกอบด้วยเมตตาธรรม ชอบผาดโผนเหินฟ้านภาลัย โขดเขินเนินไศลเป็นที่สัญจร

องค์ที่สาม พระมูนียะ หรือ พระอิเกสาโร หลวงปู่โพรงโพ หลวงปู่เดินหน ล้วนเป็นองค์เดียวกัน มีบุคลิกภาพอันสง่างาม ปรากฏตามภาพซึ่งใช้บูชากันอยู่ในปัจจุบัน เชี่ยวชาญในวิชาแปรธาตุ เป็นผู้คงแก่เรียน ชอบเจริญอสุภกรรมฐาน 10 มักสร้างรูปบูชาเป็นโครงกระดูก พูดน้อย ค่อนข้างเคร่งขรึมคล้ายดุ แต่ก็ไม่ดุ เป็นอาจารย์หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ห่มจีวรสีหมองคล้ำ หากปรากฏภาพในนิมิตมักจะปรากฏเส้นเกศายาวจรดเอวทีเดียว แสดงว่า “อิเกสาโร” (เกศา แปลงว่า เส้นผม) ท่านมีบทบาทไม่น้อย ตามความรู้สึกน่าจะมีบทบาทมากกว่าองค์อื่น ๆ ด้วยซ้ำไป

   องค์ที่สี่ พระฌานียะ ฉายาหลวงปู่ขรัวขี้เถ้า เป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง จังหวัดนครปฐม รูปกายค่อนข้างสูงใหญ่ ขนตาดกยาวแปลกกว่าองค์อื่น มีอำนาจ แต่ขี้เล่น ใจดี นิมิตไม่แน่นอน อาจเป็นรูปพระภิกษุชราถือไม้เท้า อาจเป็นพระภิกษุในวัยกลางคน เคยมาโปรดในร่างของหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา อำเภอบางหมี่ จังหวัดลพบุรี ท่านจะชื่ออะไรไม่ทราบ แต่แปรธาตุเสกใบมะม่วงเป็นกบนำมาพร่ายำเลี้ยงสานุศิษย์  เลยเรียกกันว่าหลวงพ่อกบ ท่านมาสร้างบารมีต่อ ปริศนาธรรม คือ ขรัวขี้เถ้าเผาแหลกมีอะไรเผาหมด แบบเฒ่าสู่เถ้า ผลคลีดินสู่ผงคลีดิน จะใหญ่สักปานใดมันก็ไม่พ้นจากความเป็นขี้เถ้าหรอก ที่สุดก็มรณภาพ และศิษย์นำใส่โลกศพรอวันเผา หลวงปู่เกิดหายไปไร้ร่องรอย เลยไม่มีการฌาปนกิจศพ

   องค์ที่ห้า พระภูริยะ หลวงปู่หน้าปาน บางคนก็เรียกท่านว่าหลวงปู่แก้วแดง เคยเรียนถามท่านอภิชิโตภิกขุ ท่านบอกว่าขรัวหน้าปานองค์นี้สำเร็จปรอท ล่องหนย่นทางเก่ง ถ้าท่านเอาลูกปรอทอมทางซีกซ้าย สหธรรมิกกับหลวงปู่ขรัวขี้เถ้า มาสร้างเสริมบารมีในระยะเวลาเดียวกัน โดยอาศัยร่างท่านมหาชวน หรือ หลวงพ่อโอภาสี แห่งอาศรมบางมด ท่านเป็นภิกษุทรงศีล เมื่อมีผู้ซักถามท่านก็บอกตามตรงว่า พระมหาชวนได้ตายไปแล้ว อาตมาเป็นพระสำเร็จมาอาศัยร่างสร้างบารมีต่อ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 09, 2014, 11:33:56 am
คำบูชาพระบรมสารีริกธาตุ
นโม   ๓   จบ

อะหัง   วันทามิ   อะธะ   ปะติฏฐิตา   พุทธะธาตุโย   ตัสสานุภาเวนะ   สะทา   โสตถี   ภะวันตุ   เม.

   ข้าพเจ้า   ขอนอบน้อมนมัสการกราบไหว้   พระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า   ที่ประดิษฐานอยู่   ณ   ที่นี้   ด้วยอานุภาพแห่งกุศลผลบุญนี้   ขอให้ข้าพเจ้าประสพแต่ความสุขสวัสดีตลอดกาลทุกเมื่อเทอญ
คาถาบูชาพระปัจเจกพุทธเจ้า
สัพเพ ปัจเจกะสัมพุทธา นิโรธะฌานะโกวิทา นิราละยา นิราสังกา อัปปะเมยยา มะเหสะโย  ทูเรปิ วิเนยเย ทิสสะวา สัมปัตตา ตังขะเณนะ เต สันทิฏฐิกะผะเล กัตตะวา สะทา สันติง กะโรนตุ โน

การทำบุญประจำวัน

1.ให้อธิษฐานเลยว่าเดือนนี้จะทำ  30  บาท ตั้งเป็นสัจจะเอาไว้เลย

2.นำเหรียญ 1 หรือ 5 หรือ เหรียญ 10 ยกขึ้นมาอธิษฐาน ว่าข้าพเจ้าขอนำเงินที่ได้มาเหนื่อยยากนี้ เพื่อทำบุญ


1.ทำบุญที่เกี่ยวกับพระสงฆ์ในทุกกรณี

2..ทำบุญกับมูลนิธิที่เกี่ยวข้องกับในหลวงหรือพระเทพฯ

3.ชำระหนี้สงฆ์

4.ทำบุญเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และสัตว์ 


แล้วสวดต่อด้วย

“คาถาเรียกทรัพย์”   (หลวงพ่อปาน  วัดบางนมโค  อยุธยา)

พุทธะ มะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม"

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 15, 2014, 08:28:49 pm
.

คนเราทุกวันนี้
ดีแต่ส่องกระจกด้านหน้า
แต่เพียงด้านเดียว
ให้เอากระจกหกด้าน
มาส่องเสียบ้าง แล้วจะเห็นเอง

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)




.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 23, 2014, 07:24:56 pm
ผมขออาราธนาพระรูป พระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 5 พระองค์ , พระธาตุพระอรหันต์(ที่อยู่ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม สมณโคดม) พระบรมสารีริกธาตุ พระปัจเจกพุทธเจ้า (ไม่ทราบพระนาม), ธาตุ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี มาให้ได้กราบและชมพระบารมี

นำมาให้ชมพระบารมีบางส่วนครับ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 03, 2014, 10:30:10 pm

ศีลข้อที่ 2 อทินนาทานาเวรมณี เว้นจากการลักทรัพย์ ด้วยตนเองหรือผู้อื่นลัก

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า อทินนา อันบุคคลเสพแล้วเจริญ แล้วกระทำให้มากแล้วย่อมยังสัตว์ให้ไปเกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานในเปรตวิสัย วิบากแห่งอทินนาทานอย่างเบาที่สุด ย่อมยังความพินาศและโภคะให้เป็นไปแก่ผู้เกิดเป็นมนุษย์มีสมบัติต้องพินาศเมื่อเกิดเป็นมนุษย์อีกจะได้รับผล 6 ประการ

1. เป็นคนด้อยทรัพย์
2. เป็นคนยากจน
3. เป็นคนอดอยาก
4. ไม่ได้สมบัติที่ตนต้องการ
5. ต้องพินาศในการค้า
6. ทรัพย์พินาศเพราะภัยต่าง ๆ เช่น อัคคีภัย อุทกภัย วาตภัย ราชภัย โจรภัย เป็นต้น

รักษาศีลข้อที่ 2 แล้วได้อะไร

1. ได้รับผลในปฏิสนธิกาล คือ ได้เกิดเป็น มนุษย์ หรือ เทวดา เรียกว่า กามสุคติภูมิ
2. ได้รับผลในปวัตติกาล คือหลังจากเกิดเป็นมนุษย์แล้วจะได้รับผลอีก 11 ประการ

อานิสงส์ของการรักษาศีลข้อที่ 2 มี 11 ประการ

1. จะเป็นผู้มีทรัพย์มาก
2. มีข้าวของและอาหารมาก
3. หาโภคทรัพย์ได้ไม่สิ้นสุด
4. โภคทรัพย์ที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น
5. หาสิ่งที่ปรารถนาได้รวดเร็ว
6. สมบัติไม่กระจายด้วยภัยต่าง ๆ
7. หาทรัพย์ได้โดยไม่ถูกแบ่งแยก
8. ได้โลกุตตรทรัพย์คือนิพพาน
9. อยู่ที่ไหนก็เป็นสุข
10. ไม่รู้ไม่เคยได้ยินคำว่าไม่มี

-http://www.missladyboys.com/webboard/index.php?showtopic=625-


------------------------------------------------------------------

กรรมจากการโกง การลักทรัพย์


ผู้ที่มีอำนาจ แต่ใช้อำนาจในทางมิชอบ ใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ตนเอง

และไปโกงลูกน้อง

มันต้องชดใช้กรรม

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 04, 2014, 10:16:47 pm
เรื่องของกฎแห่งกรรม

-http://www.duangnam.com/karma_cycle.php-

1. กรรมที่ไม่มีลูก
กรรมจาก การทำร้ายลูกของสัตว์อื่น พรากสัตว์อื่นจากพ่อแม่หรือเคยข่มเหงลูกคนอื่น
ลดกรรม ด้วยการงดกินเนื้อสัตว์ทุกๆ 7 วัน ในทุกๆเดือนทำบุญปล่อยปลาลงน้ำ ปล่อยนกปล่อยกา ทำบุญบริจาคทานที่มูลนิธิสัตว์หรือ มูลนิธิเด็กอ่อน

2. เจ็บป่วยบ่อย หรือเป็นโรคร้าย
กรรมจาก เคยทำทารุณกรรมต่อสัตว์
ลดกรรม ด้วยการทำบุญทำทานกับสัตว์อนาถา ให้อาหารให้ความเมตตา ซื้อยาหรือบริจาคเงินที่โรงพยาบาลสงฆ์ ทำบุญปล่อยเต่า งดกินเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต

3. ตาบอดหรือเป็นโรคตา
กรรมจาก เคยทำร้ายสัตว์ที่ดวงตา หรือไม่เคยทำบุญเติมน้ำมันตะเกียงในชาติก่อน หรือเคยทำลายไฟฟ้าของวัด ของที่สารธารณะ
ลดกรรม ซื้อโคมไฟ หลอดไฟถวายวัด ถวายเทียนห่อใหญ่ ถวายไฟฉาย เติมน้ำมันตะเกียงทุกวันพร! ะ บริจาคเงินในกล่อง ซื้อน้ำมันเติมตะเกียงที่วัด

4. ถูกรถเฉี่ยวชน ถูกลูกหลง ถูกสัตว์กัดต่อย
กรรมจาก จากเคยเป็นคนพาลเกะกะเกเร หาเรื่องเดือดร้อนให้ผู้อื่น มักรังแกและสาปแช่งผู้อื่นอยู่เสมอ
ลดกรรม หมั่นพูดดี มีวาจาไพเราะ

5. สูญเสียคนใกล้ชิด
กรรมจาก เคยยิงนกตกปลา
ลดกรรม ทำบุญไถ่ชีวิตโค กระบือ งดกินเนื้อสัตว์อย่างน้อยสัก 1 อย่างชั่วชีวิต หรือกินเจทุกๆ 3 เดือน ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา

6.ถูกนินทา ถูกให้ร้าย
กรรมจาก เคยพูดจาให้เป็นเหตุให้คนอื่นเป็นทุกข์หรือเดือดร้อน
ลดกรรม พิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี พูดดี พูดให้คนอื่นเกิดประโยชน์ พูดให้ผู้อื่นมีความสุข

7. มักเดือดร้อนเพราะไฟ ไฟไหม้บ้าน ไฟดูด
กรรมจาก เคยลบหลู่พระสงฆ์ และศาสนา
ลดกรรม ตักบาตรทุกวันพระ ทำบุญถวายสังฆทานทุกเดือน ฟังเทศน์ฟังธรรมทุกวันพระ หรือทุกๆเดือนในวันพระ ร่วมพิมพ์หนังสือ ธรรมะแจกจ่ายฟรี

8. ขาดบารมี ไร้ญาติขาดมิตร
กรรมจาก ไม่เคยไปร่วมงานบุญงานศพ
ลดกรรม ร่วมทำบุญงานศพ บริจาคเงิน หรือร่วมด้วยแรงกายช่วยงานอื่นๆในงานศพ เช่นทำอาหาร จัดดอกไม้

9. ตั้งหลักปักฐานไม่ได้ โยกย้ายบ่อย
กรรมจาก ไม่เคยร่วมทำบุญสร้างโบสถ์สร้างวิหาร แก่วัดวาอารามต่างๆ
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างหลังคาวิหาร ร่วมทำบุญฝังลูกนิมิต หมั่นไปไหว้ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ณ เมืองที่ตนอยู่อาศัย

10. มักถูกรังแก ถูกเบียดเบียน
กรรมจาก ไม่เคยบวช หรือทำบุญงานบวช
ลดกรรม บวช ด้วยจิตศรัทธาปวารถาอย่างบริสุทธิ์ไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝงจะบวช 7 วัน หรือ 15 วัน 1 เดือน 1 พรรษา แล้วแต่จิตศรัทธา ถ้าเป็นสตรีจะบวชชีพราหมณ์ หรือถือศีล 8 ตามเวลาที่สะดวกและตั้งจิตศรัทธา หรือร่วมทำบุญงานบวชอย่าง สม่ำเสมอเท่าที่จะทำได้

11.ไม่มีคนชื่นชมเอ็นดู ชาดเสน่ห์
กรรมจาก ไม่เคยถวายของหอม
ลดกรรม หมั่นทำบุญไหว้พระทุกวันพระ ถวายธูปหอม เทียน ดอกไม้สด พวงมาลัย ทองคำเปลว ประน้ำอบน้ำปรุง ประพฤติดี ปฏิบัติชอบต่อผู้อื่น คิดดี ทำดี พูดดี ให้ผู้อื่นได้ดี มิให้ร้ายผู้ใด

12. เป็นที่รังเกียจ มีกลิ่นปาก กลิ่นตัว
กรรมจาก ทำติเตียนดูแคลน ผู้ที่ชอบทำบุญทำทาน
ลดกรรม หมั่นทำบุญทำทานอย่างสม่ำเสมอ ฟังเทศน์มหาชาติทุกๆปี ชักชวนผู้อื่นให้ร่วมทำบุญหรือบริจาคทานเป็นการบอกบุญผู้อื่น พิมพ์หนังสือธรรมะจ่ายแจกฟรี

13. ไปไหนมาไหนลำบาก มีแต่อุปสรรค
กรรมจาก เคยทำลายหนทางสัญจรของวัด หรือของชาวบ้าน หรือทำให้ทางสัญจรสาธารณะได้รับความไม่สะดวก
ลดกรรม บริจาคทรัพย์หรือแรงกายช่วงสร้างสะพาน สร้างทางอันเป็นประโยชน์แก่วัด หรือชุมชนเล็กๆ ช่วยผู้คนยากไร้ให้ ได้มียวดยานพาหนะหรือทางสัญจรที่สะดวก

14. เป็นคนรับใช้เขาร่ำไป
กรรมจาก เคยเนรคุณผู้ที่เคยมีพระคุณแก่ตน
ลดกรรม ตอบแทนผู้มีคุณด้วยความกตัญญู ร่วมทำบุญสร้างพระพุทธรูป พระประธาน ทำทานทั้งกับคนและสัตว์

15. ขัดสน อดมื้อกินมื้อ
กรรมจาก เคยละเว้นการใส่บาตร ละเว้นการให้ทาน เมื่อมีคนยากไร้มาขอทานอาหารและน้ำ
ลดกรรม แบ่งปันอาหาร น้ำ เสื้อผ้า แก่คนยากไร้อนาถา แม้ไม่มีเงินก็แบ่งปันสิ่งของตามที่มี ตักบาตรทุกเช้าหรือทุกวันพระ

16. อาภัพคู่ ร้างคู่
กรรมจาก เคยผิดลูกผิดเมียเขา
ลดกรรม บวชพระ หรือบวชชีพราหมณ์ ร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพงานแต่งงานคู่บ่าวสาวที่ยากจน ถวายของเป็นคู่ เช่น แจกันคู่ เชิงเทียนคู่ หมอนคู่ เป็นต้น

17. ได้คู่ที่เลวร้าย ทำร้ายตนหรือทำให้เป็นทุกข์
กรรมจาก เคยข่มขืนเขาในชาติก่อน เคยทุบตีทำร้ายคู่
ลดกรรม บวชพระ หรือบวชชีพราหมณ์ ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา

18. อยู่โดดเดี่ยวยามบั้นปลาย
กรรมจาก เคยจับสัตว์ขัง
ลดกรรม ทำบุญปล่อยปลาลงน้ำ ปล่อยนกปล่อยกา ทำบุญทำทานแก่เด็กอนาถาและสัตว์อนาถา

19. รูปร่างหน้าไม่งดงาม
กรรมจาก ไม่เคยถวายดอกไม้ของหอม
ลดกรรม ถวายพวงมาลัยดอกไม้สด ดอกไม้หอม ทำบุญบริจาคดวงตา บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล

20. มักถูกโกง ถูกเบี้ยวเงิน
กรรมจาก เคยคดโกงผู้อื่น!
ลดกรรม สละทรัพย์บริจาคร่วมการกุศลต่างๆ ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน อุทิศส่วนกุศลแก่เจ้ากรรมนายเวรทุกๆเดือน

21. พิการ ร่างกายไม่สมประกอบ
กรรมจาก เคยทุบตีพ่อแม่ ด่าพ่อแม่ หรือทำร้ายพ่อแม่
ลดกรรม หมั่นทำบุญไหว้พระ ปล่อยนกปล่อยปลา ถือศีล 5 ศีล 8 เจริญภาวนา นั่งวิปัสสนากรรมฐาน

22. มีคดีความ
กรรมจาก เคยพบคนทุกข์ร้อนแล้วไม่ช่วยหรือพยายามหาทางช่วยเหลือ
ลดกรรม หมั่นทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา นั่งสมาธิ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ถือศีล 8 ทุกๆ 3 เดือนๆละ 7 วัน

23. ไร้ที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
กรรมจาก ไม่สงเคราะห์คนอนาถา ที่มาขออาหาร ขอชายคาหลบฝน ไม่มีน้ำใจช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก
ลดกรรม ร่วมทำบุญซื้อกระเบี้องหลังคาโบสถ์ หมั่นไปกราบไหว้บู! ชาศาลหลักเมือง ทำบุญทำทานแก่สัตว์พิการหรือสัตว์จรจัด

24. จิตใจขุ่นมัว ดุดัน ขี้โมโห
กรรมจาก มักตะหนี่ในการทำบุญ
ลดกรรม สวดมนต์ไหว้พระ ทุกวันพระ ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ถือศีล 5 หรือศีล 8 ทุกๆ 3 เดือน บริจาคทาน แบ่งปันเงินทองหรือ สิ่งของแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก หรือร่วมทำบุญบริจาคทานกับมูลนิธิสถานสงเคราะห์ และวัดวาอารามต่างๆ

25. ไม่มีชื่อเสียง
กรรมจาก เคยติฉินนินทาทำให้ผู้อื่นเสียหาย
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างหอระฆัง ร่วมทำบุญหล่อเทียนพรรษา ทำทานกับคนยากไร้ และสัตว์อนาถา

26. ไม่มีวาสนาบารมี
กรรมจาก ไม่เคยนับถือชื่นชมผู้นับถือธรรมมะ
ลดกรรม ทำบุญสร้างพระพุทธรูป ทำทานกับคน

27. มีลูกหลานไม่ดี เกเร ไม่เชื่อฟัง
กรรมจาก ทำแท้ง เคยทำร้ายคนใกล้ชิดมาก่อน และทำร้ายจิตใจครอบครัวในชาติก่อน
ลดกรรม บวชเณร โดยให้ลูกบวชหรือไปร่วมบวช จะทำให้กรรมน้อยลง ปฏิบัติธรรม อุทิศให้ลูกตนเอง

28. เจอแต่คนเอาเปรียบ
กรรมจาก เคยเบียดเบียนเงินพ่อแม่ไว้ในอดีตชาติ เคยโกงคนไว้ในอดีตชาติ ขโมยเงินครอบครัวมาใช้
ลดกรรม หมั่นยึดถือศีล 5 ให้มั่น ไม่ดื่มเหล้า ทำให้ขาดสติ โดนโกงง่าย หมั่นสวดมนต์ อธิษฐานบารมีด้านขอพรให้พบเจอคนดีๆเข้ามาในชีวิต

29. เกิดในสกุลต้อยต่ำ
กรรมจาก โอหัง อวดดี จิตใจคับแคบ
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างวัด สร้างพระประธาน ทำบุญทำทานกับคนยากไร้ และสัตว์อนาถา พิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี

30. ไร้สง่าราศี ขาดวาสนา
กรรมจาก เคยเมาสุระอาละวาด ระรานผู้อื่น!
ลดกรรม นั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน ทำทานกับคนอนาถา และสัตว์อนาถา ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี

31. ไม่เจริญก้าวหน้า จิตใจเป็นทุกข์
กรรมจาก เคยชักจูงคนทำชั่ว
ลดกรรม ถือศีล 8 เป็นเวลา 7 วัน ทุกๆ 3 เดือน หมั่นทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน

32. จิตใจฟุ้งซ่าน เป็นทุกข์
กรรมจาก เคยริษยาผู้อื่น
ลดกรรม ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน ปล่อยปลาลงน้ำ นั่งสมาธิ สวดมนต์บทคาถาพระชินบัญชร

33. ชีวิตตกต่ำ ทำสิ่งใดไม่เจริญ
กรรมจาก เคยทำแท้ง
ลดกรรม ปล่อยปลาลงน้ำทุกๆเดือน จนครบ 9 เดือน หรือ 1 ปีเต็ม ถวายสังฆทาน ทำบุญใส่บาตรเสมอ

34. เป็นเมียน้อย เมียเก็บ
กรรมจาก เคยผิดลูกผิดเมียเขามาก่อน ขืนใจเขาโดยไม่ยินยอม เคยอธิษฐานจิตร่วมกันมาว่ากี่ภพก็ขอให้ได้ใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน
ลดกรรม ถวายธงคู่ ธูปคู่ เชิงเทียนคู่ หมอนคู่ อย่างใดก็ได้ อธิษฐานจิตขอให้ชีวิตคู่ที่ดีขึ้น บวชชีพราหมณ์ ปีละ 1 ครั้ง 3 วัน อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยล่วงเกินให้ได้รับกุศลและเปิดทางให้ชีวิตคู่ดี ขึ้น ร่วมเป็นเจ้าภาพงานแต่ง เพื่อชีวิตตนจะดีขึ้นและสมหวัง สวดมนต์ขอพรทุกวันเกิดด้านความรักให้สมหวังต่อไป ทำบุญสังฆทานสด ในวันเกิดตนเอง เดือนละครั้ง เพื่ออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติปัจจุบันชาติและวิญญาณที่ตามมาให้ได้ รับกุศลและอโหสิกรรม

35. เป็นทุกข์เพราะคนในครอบครัว
กรรมจาก เคยลำเอียง ไร้คุณธรรมในด้านครอบครัวไว้ก่อน เคยเอารัดเอาเปรียบคนในครอบครัวและคนใกล้ชิดไว้ในชาติอดีตและชาติปัจจุบัน เคยทำให้ครอบครัวเขาแตกแยกในอดีตชาติ
ลดกรรม ต้องบวชชีพราหมณ์ เพราะเมื่อเกิดอีกภพชีวิตจะได้ดีมีชีวิตที่ดีขึ้น เพราะกุศลของการบวช ปฏิบัติธรรมทำให้เจ้ากรรมนายเวร อโหสิกรรม และตนเองได้พบสิ่งที่มีกุศลมากขึ้น ยึดพรหมวิหาร 4 มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา จะทำให้ชีวิตมีความเมตตา และไม่ลำเอียงเอารัดเอาเปรียบคนใกล้ชิด ทำให้วิถีชีวิตมีคนนับถือและพ้นจากความทุกข์ในเรื่องญาติพี่น้องยุ่งเกี่ยว ได้ นำพระคู่บ้านคู่เมืองเข้าสักการะที่บ้าน และสวดมนต์ขอพรให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข

36. เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต
กรรมจาก ฆ่าสัตว์ ทรมานสัตว์ ทำร้ายคนไว้ในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ
ลดกรรม ตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติปัจจุบันชาติ รวมถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ได้กุศลและอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ปล่อยสัตว์ลงน้ำในวันเกิดตนเอง กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรได้รับและอโหสิกรรม ถวายยาเข้าวัด หรือช่วยเหลือคนป่วย

37. เป็นมะเร็ง
กรรมจาก รู้เห็นเป็นใจกับการทำแท้ง การทารุณสัตว์ หรือการทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่น
ลดกรรม ทำบุญใหญ่อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และบวชชีพราหมณ์ 1 เดือน เพื่อส่งกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม ทำบุญสร้างพระพุทธรูป สร้างโบสถ์หรือสร้างศาลาวัด ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี หมั่นนั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน

38. ค้าขายขาดทุน ทำงานไม่ก้าวหน้า
กรรมจาก เคยลบหลู่เจ้าที่เจ้าทาง
ลดกรรม หมั่นทำบุญใส่บาตร ถวายสังฆทาน ถวายเครื่องเซ่นสังเวย เจ้าที่-เจ้าทาง หมั่นสวดมนต์บทคาถาพระชินบัญชร

39. ด้อยปัญญา
กรรมจาก ฝักใฝ่อบายมุขในชาติก่อน หรือชักชวนคนไปทำชั่ว ดูแคลนหลักธรรมมะ
ลดกรรม พิมพ์หนังสือธรรมะจ่ายแจก ทำบุญทำทานกับโรงเรียนของเด็กพิการหรือตามมูลนิธิต่างๆ

40. ตกงาน
กรรมจาก เคยกลั่นแกล้งผู้อื่นในเรื่องงาน หรือแย่งงานผู้อื่น
ลดกรรม หมั่นทำบุญทำทาน ร่วมงานบุญต่างๆ ปล่อยนกปล่อยปลา

41. ไม่มีโชคลาภ
กรรมจาก ไม่เคยสวดมนต์ไหว้พระ
ลดกรรม หมั่นทำบุญสวดมนต์ไหว้พระ ถวายธูป เทียน ดอกไม้สด พวงมาลัย และทองคำเปลว

42. เรียนไม่จบ การเรียนมีอุปสรรค
กรรมจาก ชาติก่อนปฏิเสธการฟังเทศน์ฟังธรรม
ลดกรรม หมั่นเข้าวัด ร่วมงานบุญต่างๆ ฟังเทศน์ อ่านหนังสือธรรมะ

43. มีอาชีพต้อยต่ำที่ผู้คนดูแคลน
กรรมจาก ชาติก่อนเคยบวชด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ ไร้ความศรัทธา อาศัยผ้าเหลืองหากิน
ลดกรรม ถือศีล 5 ศีล 8 นั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน ถวายสังฆทานทุกเดือน หรือทุก 3 เดือน

44. ครอบครัวยากจน
กรรมจาก ชาติก่อนไม่เคยบริจาคทาน
ลดกรรม หมั่นทำบุญด้วยการบริจาคทาน ถ้ามีเงินไม่มากก็บริจาคเป็นสิ่งของ แรงกาย หรือน้ำใจ ต่อผู้ตกทุกข์ได้ยาก เช่น ไปช่วยอ่านหนังสือให้มูลนิธิคนตาบอด

45. เป็นทุกข์เพราะความรัก
กรรมจาก ชาติก่อนเจ้าชู้ หลอกผู้อื่นให้อกหัก
ลดกรรม ประพฤติดีปฏิบัติดีทั้งความคิด กาย วาจา ใจ ร่วมทำบุญงานแต่งงาน ทำสิ่งดีๆให้คนอื่นได้สมรักสม


กฏแห่งกรรม

1. เหตุใดคุณมีเสื้อผ้าแพรพรรณอันงดงามสวมใส่มากมาย
เพราะชาติก่อนคุณเคยถวายจีวรแด่พระสงฆ์

2. เหตุใดชาตินี้คุณมีอาหารดีดีรับประทานอยู่เสมอ
เพราะชาติก่อนคุณเคยทำทานอาหารแก่คนยากจนในชาติก่อน

3. เหตุใดชาตินี้คุณอดอยากยากจน ไม่มีเสื้อผ้าดีดีสวมใส่
เพราะคุณตระหนี่ขี้เหนียวไม่ยอมทำทานคนจน ในชาติก่อน

4. เหตุใดชาตินี้คุณมีบ้านเรือนใหญ่โต
เพราะคุณเคยถวายข้าวสารเข้าวัดในชาติก่อน

5. เหตุใดชาตินี้คุณมีความเจริญรุ่งเรืองและมีความสุขมาก
เพราะคุณเคยถวายเงินสร้างวัดในชาติก่อน

6. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนสวย และรูปงาม
เพราะคุณเคยถวายดอกไม้สดบูชาพระด้วยความเคารพในชาติก่อน

7. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องมีปัญญาดี
เพราะคุณเคยเป็นพุทธมามกะและทานมังสวิรัติในชาติก่อน

8. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นที่รักของทุกๆ คนและมีเพื่อนมากมาย
เพราะคุณเคยสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อทุกคนในชาติก่อน

9. เหตุใดชาตินี้คุณมีพ่อ แม่อยู่พร้อมหน้า
เพราะคุณเคารพและให้ความช่วยเหลือ ไม่ดูแคลนคนไร้ญาติในชาติก่อน

10. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นเด็กกำพร้า
เพราะคุณเคยยิงนก ตกปลา และพรากสัตว์ในชาติก่อน

11. เหตุใดชาตินี้คุณมีอายุยืนแข็งแรง
เพราะคุณเคยปล่อยนก ปล่อยปลา สิ่งมีชีวิตในชาติก่อน

12. เหตุใดชาตินี้คุณอายุสั้น
เพราะชาติก่อนคุณเคยฆ่าสัตว์มากมาย

13. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนรับใช้
เพราะชาติก่อนคุณเคยดูถูกเหยียดหยามคนจน

14. เหตุใดชาตินี้คุณมีดวงตาสดใส
เพราะชาติก่อนคุณเคยเติมน้ำมันตะเกียงและจุดไฟบูชาพระ

15. เหตุใดชาตินี้คุณโง่ปัญญาอ่อนและหูหนวก
เพราะชาติก่อนคุณเคยด่าว่าและหยาบคายต่อหน้าพ่อแม่

16. เหตุใดชาตินี้คุณต้องตายเพราะยาพิษ
เพราะชาติก่อนคุณเจตนาวางยาในต้นน้ำลำธารให้เป็นพิษ

17. เหตุใดชาตินี้คุณจึงแขวนคอตาย
เพราะชาติก่อนคุณใช้ตาข่ายล่าและดักสัตว์

18. ถ้าชาตินี้คุณฆ่าเขา
ชาติหน้าเขาก็จะฆ่าคุณ และจะฆ่ากันไปมาไม่มีสิ้นสุด

19. ถ้าชาตินี้คุณบอกเล่ากฏแห่งกรรม
คุณจะเป็นที่เคารพนับถือมากมายในชาติหน้า
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 06, 2014, 08:15:23 am
ผมจะมีงานบุญมาฝาก เป็นงานบุญที่เกี่ยวเนื่องกับงานบุญสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง  เป็นงานบุญสุดท้ายของพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ต.ตลาดแร้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ 

งานบุญเรื่องการทำไฟรอบพระเจดีย์ฯ  โดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์  รายละเอียดผมกำลังรอรายละเอียดจากพี่แอ๊วอยู่ 

โปรดติดตาม  เร็วๆนี้

สาธุ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 06, 2014, 08:19:56 am
ผมจะมีงานบุญมาฝาก เป็นงานบุญที่เกี่ยวเนื่องกับงานบุญสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง  เป็นงานบุญสุดท้ายของพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ต.ตลาดแร้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ 

งานบุญเรื่องการทำไฟรอบพระเจดีย์ฯ  โดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์  รายละเอียดผมกำลังรอรายละเอียดจากพี่แอ๊วอยู่ 

โปรดติดตาม  เร็วๆนี้

สาธุ

ผมจะจัดเตรียมพระวังหน้า มอบให้ทุกๆท่าน ที่ร่วมทำบุญ (รายละเอียดว่าจะเป็นรุ่นไหน ผมจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง)

สำหรับท่านที่ร่วมทำบุญผ่านกระทู้ ทั้งสองกระทู้

1.กระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้..... -http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2559.html#post8916588-


2.กระทู้ ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ -http://www.tairomdham.net/index.php/topic,4172.330.html-

สาธุ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 20, 2014, 07:56:44 am
.

ขอเชิญร่วมมหากุศลเป็นเจ้าภาพผ้าป่ามหาพุทธบูชา “วิสาขปุรณมี”
จำนวน 1,500 กอง กองละ 1,000 บาท หรือร่วมบุญตามกำลังศรัทธา

ทอดถวาย ณ พระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง สำนักสงฆ์ผาผึ้ง ต.ตลาดแร้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ

ตามที่สำนักสงฆ์ผาผึ้ง ร่วมกับท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ดำเนินการจัดสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง จนแล้วเสร็จ และได้มีการจัดสมโภชเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2554 นั้น
ในการนี้ ประธานการสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง (พระอาจารย์นิล) ได้ปรารภการติดตั้งระบบไฟส่องสว่างจากพลังงานแสงอาทิตย์ โดยรอบองค์พระเจดีย์ และอาณาบริเวณโดยรอบ

จึงขอเชิญชวนท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ได้ร่วมเป็นเจ้าภาพในมหางานบุญมหากุศลครั้งนี้ เพื่อน้อมถวายอานิสงค์ทั้งหมดเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
กำหนดการ วันที่ 13 พฤษภาคม 2557 เวลา 10.00 น. ถวายระบบดวงประทีปส่องสว่าง และถวายปัจจัยทอดผ้าป่าสามัคคี




กำหนดการ “ งานวิสาขปุรณมีมหาพุทธบูชา “
น้อมถวายระบบดวงประทีปส่องสว่างจากพลังงานแสงอาทิตย์เป็นมหาพุทธบูชา
ณ พระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง อำเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ

วันอังคารที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ( วันวิสาขบูชา )

๐๗.๐๐ น. พิธีบวงสรวง
๐๗.๔๕ น. พระสงฆ์บิณฑบาต
๐๘.๓๐ น. ถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์
๑๐.๐๐ น. พุทธบริษัทพร้อมกัน ณ ลานธรรมหน้าพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง
 ประธานในพิธีจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย
 เจ้าหน้าที่อาราธนาศีล / ประธานสงฆ์ให้ศีล
 พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์
 พิธีทอดผ้าป่าถวายปัจจัยในการจัดสร้างระบบไฟส่องสว่าง
 พิธีถวายระบบไฟส่องสว่างพลังงานแสงอาทิตย์ พร้อมด้วยสิ่งก่อสร้างทั้งหมด ไว้ในพระพุทธศาสนา โดยมีพระครูสุวิมลภาวนาคุณ ( หลวงปู่จื่อ พันธมุตโต ) วัดเขาตาเงาะอุดมพร เป็นประธานคณะสงฆ์ ในการรับมอบวิหารทานทั้งหมด
 คณะเจ้าภาพถวายจตุปัจจัยไทยธรรม
 พระสงฆ์อนุโมทนา / กรวดน้ำ / รับพร
 พิธีเวียนเทียนรอบองค์พระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง
 เสร็จพิธี
หมายเหตุ : กำหนดการนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม

ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ
บมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว102
บช.ออมทรัพย์เลขที่1890-13128-8
ชื่อบัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ

"สิ้นสุดการร่วมทำบุญในวันที่ 12 พฤษภาคม 2557"


พระพิมพ์หรือพระเครื่องของวังหน้า ผมจะนำมาลงให้ทราบกันอีกครั้งว่า จะร่วมทำบุญด้วยจำนวนเงินเท่าไหร่ ผมจะมาแจ้งให้ทุกๆท่านทราบอีกครั้ง

การร่วมทำบุญ

1.การทำบุญด้วยตนเอง
รายละเอียดจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง
2.การทำบุญด้วยตนเองและได้ชักชวนผู้อื่นมาร่วมทำบุญ (โดยการโอนเงินทั้งหมดมาร่วมทำบุญในครั้งเดียว)
รายละเอียดจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

หมายเหตุ พระ พิมพ์(พระเครื่อง)และธนบัตร(โภคทรัพย์และนำโชค)ที่ผมจะมอบให้เพื่อเป็นพุทธานุสติและเพื่อบูชานั้น เป็นพระพิมพ์(พระเครื่อง)ที่ไม่สามารถนำไปซื้อขายในวงการพระเครื่องไทย(วง การซื้อ-ขายพระ) ได้ หากท่านต้องการพระพิมพ์(พระเครื่องที่สามารถนำไปซื้อขายในวงการพระเครื่องของเมืองไทย (วงการซื้อ-ขายพระ) ก็ไม่ต้องร่วมทำบุญและรับพระพิมพ์(พระเครื่อง) )และธนบัตร(โภคทรัพย์และนำโชค)ไป

แต่ พระพิมพ์(พระเครื่อง) ที่ผมมอบให้นั้น เป็นพระพิมพ์(พระเครื่อง) ที่สร้างขึ้นที่วังหน้า โดยกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ มีพระบัณฑูรให้สร้างขึ้น โดยช่างสิบหมู่แห่งวังหน้าเป็นผู้สร้าง และนำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงที่วัดบวรสถานสุทธาวาส (พระอุโบสถประจำวังหน้า) มีการอาราธนาคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) และ หรือ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และ หรือ กลุ่มหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ (เช่น หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน , หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า , หลวงปู่ภู วัดอินทรวิหาร , หลวงปู่กรมพระยาปวเรศ เป็นต้น) อธิษฐานจิต ระหว่างปี พ.ศ.2400- 2428 หรือ พระที่สร้างขึ้นที่วังหลวง นำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงที่ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว) ปี พ.ศ.2429-2434 ,ธนบัตรโภคทรัพย์ ผมได้ขอความเมตตาพระอาจารย์นิล ไปขอพระเมตตาจากหลวงปู่สุภา อธิษฐานจิตเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2554 และและธนบัตรนำโชค ผมได้ไปกราบขอพระเมตตาจากหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน และ หลวงปู่เยี่ยม วัดประดู่ทรงธรรม อธิษฐานจิตเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2553

แต่ หากจะนำไปเพื่อเป็นพุทธานุสติ และหรือการห้อยคอเพื่อคุ้มครองตนเอง และหรือการบูชาต่างๆ เพื่อเป็นการบูชาพระคุณองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามกุกุกสันโธ ,องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม สมณโคดม ,หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ,สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ( การบูชาพระคุณพระสิวลีเถระเจ้า ,พระอนุรุธเถระเจ้า ,พระอุปคุตเถระเจ้า เนื่องจากการนำเข้าพิธีพุทธาภิเษกเพิ่มเติม) , หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน , หลวงปู่เยี่ยม วัดประดู่ทรงธรรม , หลวงปู่สุภา กันตสีโล ,การบูชาพระคุณองค์พระมหากษัตริย์ไทยทุกๆพระองค์ ,พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ,องค์อุปราชวังหน้า รัตนโกสินทร์ทุกๆพระองค์ และทั้งช่างสิบหมู่แห่งวังหน้า ,วังหลวง ,วังหลัง ,ช่างราษฎร์ทุกๆท่านและเทพเทวาทั้ง 16 ชั้นฟ้าและที่อยู่ในองค์พระพิมพ์(พระเครื่อง)ครับ

ซึ่ง เรื่องที่ผมได้บอกนั้น เป็นความเชื่อ ,ความเห็นของผม รวมทั้งคณะของผม ซึ่งก็แล้วแต่ท่านผู้ร่วมทำบุญและท่านผู้อ่านทุกๆท่าน จะมีความคิดเห็นอย่างไร ก็สุดแล้วแต่ครับ

โมทนาบุญทุกประการกับทุกๆท่านครับ

-http://www.tairomdham.net/index.php?topic=4172.new#new-

-http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2559.html#post8944204-
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 20, 2014, 08:05:49 am
ผมขอเก็บไว้ลงไลน์



ขอเชิญร่วมมหากุศลเป็นเจ้าภาพผ้าป่ามหาพุทธบูชา “วิสาขปุรณมี”
จำนวน 1,500 กอง กองละ 1,000 บาท หรือร่วมบุญตามกำลังศรัทธา
วันอังคารที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ (วันวิสาขบูชา)
การร่วมทำบุญ บช.เลขที่189-0-13128-8
ชื่อบัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ
บมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว102

สามารถติดตามดูตามลิงค์

ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ  เว็บใต้ร่มธรรม

-http://www.tairomdham.net/index.php?topic=4172.new#new-

พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้..... เว็บพลังจิต

-http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2559.html#post8944204-

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 20, 2014, 08:13:36 am
ขอเชิญร่วมมหากุศลเป็นเจ้าภาพผ้าป่ามหาพุทธบูชา “วิสาขปุรณมี”
จำนวน 1,500 กอง กองละ 1,000 บาท หรือร่วมบุญตามกำลังศรัทธา
วันอังคารที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ (วันวิสาขบูชา)
การร่วมทำบุญ บช.เลขที่189-0-13128-8
ชื่อบัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ
บมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว102
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 20, 2014, 08:14:41 am
ขอเชิญร่วมมหากุศลเป็นเจ้าภาพผ้าป่ามหาพุทธบูชา “วิสาขปุรณมี”
จำนวน 1,500 กอง กองละ 1,000 บาท หรือร่วมบุญตามกำลังศรัทธา
วันอังคารที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ (วันวิสาขบูชา)
การร่วมทำบุญ บช.เลขที่189-0-13128-8
ชื่อบัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ
บมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว102
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 20, 2014, 08:23:56 am
เมื่อท่านร่วมทำบุญและประสงค์ที่จะรับพระพิมพ์ และหรือ วัตถุมงคลต่างๆ(ที่ผมได้แจ้งไว้)

สำหรับท่านที่แจ้งในเว็บใต้ร่มธรรม  ให้ท่านแจ้ง ชื่อ - นามสกุล และที่อยู่ มาให้ผมในกระทู้ ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ หรือแจ้งผ่านข้อความส่วนตัวของผม  ของเว็บใต้ร่มธรรม

สำหรับท่านที่แจ้งในเว็บพลังจิต  ให้ท่านแจ้ง ชื่อ - นามสกุล และที่อยู่ มาให้ผมในกระทู้ พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้..... หรือแจ้งผ่านข้อความส่วนตัวของผม  ของเว็บพลังจิต

ผมจะดำเนินการจัดส่งให้  ค่าจัดส่งไม่ต้องโอนมาให้ผม หรือ โอนไปบัญชีที่ใช้ในการร่วมทำบุญ  เพราะว่า ผมไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวในบัญชีดังกล่าวได้  ค่าจัดส่ง ผมจะเป็นผู้ออกให้เอง

โมทนา  สาธุ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 20, 2014, 08:51:39 am
ขอเชิญร่วมมหากุศลเป็นเจ้าภาพผ้าป่ามหาพุทธบูชา “วิสาขปุรณมี”
จำนวน 1,500 กอง กองละ 1,000 บาท หรือร่วมบุญตามกำลังศรัทธา
วันอังคารที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ (วันวิสาขบูชา)
การร่วมทำบุญ บช.เลขที่189-0-13128-8
ชื่อบัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ
บมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว102

สามารถติดตามดูตามลิงค์

ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
ใต้ร่มธรรม » Forum » ประชาสัมพันธ์ » 108 โทรโข่ง » ประชาสัมพันธ์ทางธรรม

-http://www.tairomdham.net/index.php?topic=4172.new#new-



พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....
PaLungJit.org > ภูมิภาคและประชาสัมพันธ์ > ศูนย์ ประชาสัมพันธ์ > งานบุญอื่นๆ

-http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2559.html#post8944204-




ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ
PaLungJit.org > ภูมิภาคและประชาสัมพันธ์ > ศูนย์ ประชาสัมพันธ์ > พระพุทธรูป - วิหารทาน - สิ่งก่อสร้าง

-http://board.palungjit.org/f105/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87-%E0%B8%93-%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%86%E0%B9%8C%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87-%E0%B8%AD-%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%88-%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4-68899-108.html-
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 20, 2014, 12:15:27 pm
ธนบัตร "โภคทรัพย์" หลวงปู่สุภา กันตสีโล(มรณภาพแล้ว) อธิษฐานจิต

ธนบัตร 20 บาท ให้ร่วมทำบุญ 2,000 บาท

ธนบัตร 100 บาท  ให้ร่วมทำบุญ 10,000 บาท

ธนบัตร 500 บาท  ใหร่วมทำบุญ 50,000 บาท

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 20, 2014, 12:16:10 pm
ธนบัตร "นำโชค" หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน และ หลวงปู่เยี่ยม(มรณภาพแล้ว) วัดประดู่ทรงธรรม อธิษฐานจิต

ธนบัตร 10 บาท และ ธนบัตร 20 บาท  ให้ร่วมทำบุญ 2,000 บาท
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 20, 2014, 12:18:12 pm

พระสมเด็จ ให้ร่วมทำบุญองค์ละ 5,000 บาท

พระพิมพ์ หลวงปู่กรมพระยาปวเรศ (ท่านอธิษฐานจิตเอง และ สร้างก่อนปี พ.ศ.2434) ให้ร่วมทำบุญองค์ละ 10,000 บาท


ขอเชิญร่วมมหากุศลเป็นเจ้าภาพผ้าป่ามหาพุทธบูชา “วิสาขปุรณมี”
จำนวน 1,500 กอง กองละ 1,000 บาท หรือร่วมบุญตามกำลังศรัทธา
วันอังคารที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ (วันวิสาขบูชา)
การร่วมทำบุญ บช.เลขที่189-0-13128-8
ชื่อบัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ
บมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว10
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 20, 2014, 12:19:50 pm
พระพิมพ์ ตามรูป(ด้านล่าง)  ผมให้ร่วมทำบุญ 2,000 บาท  ผมมอบให้ 1 องค์

ขอเชิญร่วมมหากุศลเป็นเจ้าภาพผ้าป่ามหาพุทธบูชา “วิสาขปุรณมี”
จำนวน 1,500 กอง กองละ 1,000 บาท หรือร่วมบุญตามกำลังศรัทธา
วันอังคารที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ (วันวิสาขบูชา)
การร่วมทำบุญ บช.เลขที่189-0-13128-8
ชื่อบัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ
บมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว10
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 20, 2014, 12:20:42 pm
พระพิมพ์ ตามรูป(ด้านล่าง)  ผมให้ร่วมทำบุญ 2,000 บาท  ผมมอบให้ 1 องค์

ขอเชิญร่วมมหากุศลเป็นเจ้าภาพผ้าป่ามหาพุทธบูชา “วิสาขปุรณมี”
จำนวน 1,500 กอง กองละ 1,000 บาท หรือร่วมบุญตามกำลังศรัทธา
วันอังคารที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ (วันวิสาขบูชา)
การร่วมทำบุญ บช.เลขที่189-0-13128-8
ชื่อบัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ
บมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว10
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 20, 2014, 12:25:05 pm
.

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=2482;image)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=2484;image)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 20, 2014, 01:02:11 pm
เมื่อท่านร่วมทำบุญและประสงค์ที่จะรับพระพิมพ์ และหรือ วัตถุมงคลต่างๆ(ที่ผมได้แจ้งไว้)

สำหรับท่านที่แจ้งในเว็บใต้ร่มธรรม ให้ท่านแจ้ง ชื่อ - นามสกุล และที่อยู่ มาให้ผมในกระทู้ ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ หรือแจ้งผ่านข้อความส่วนตัวของผม ของเว็บใต้ร่มธรรม

สำหรับท่านที่แจ้งในเว็บพลังจิต ให้ท่านแจ้ง ชื่อ - นามสกุล และที่อยู่ มาให้ผมในกระทู้ พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้..... หรือแจ้งผ่านข้อความส่วนตัวของผม ของเว็บพลังจิต

ผมจะดำเนินการจัดส่งให้ ค่าจัดส่งไม่ต้องโอนมาให้ผม หรือ โอนไปบัญชีที่ใช้ในการร่วมทำบุญ เพราะว่า ผมไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวในบัญชีดังกล่าวได้ ค่าจัดส่ง ผมจะเป็นผู้ออกให้เอง

โมทนา สาธุ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 20, 2014, 07:13:27 pm
พระพิมพ์ ตามรูป(ด้านล่าง) 

พระสมเด็จ (ขนาดจิ๋ว) บุทอง ผมให้ร่วมทำบุญ 10,000 บาท  ผมมอบให้ 1 องค์

พระสมเด็จ (ขนาดจิ๋ว) บุเงิน ผมให้ร่วมทำบุญ 5,000 บาท  ผมมอบให้ 1 องค์

ขอเชิญร่วมมหากุศลเป็นเจ้าภาพผ้าป่ามหาพุทธบูชา “วิสาขปุรณมี”
จำนวน 1,500 กอง กองละ 1,000 บาท หรือร่วมบุญตามกำลังศรัทธา
วันอังคารที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ (วันวิสาขบูชา)
การร่วมทำบุญ บช.เลขที่189-0-13128-8
ชื่อบัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ
บมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว10
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 20, 2014, 07:14:40 pm
พระพิมพ์ ตามรูป(ด้านล่าง)

พิมพ์แม่นางกวัก (ขนาดจิ๋ว) บุนาค ผมให้ร่วมทำบุญ 7,000 บาท  ผมมอบให้ 1 องค์

พระสมเด็จ (ขนาดจิ๋ว) บุเงิน ผมให้ร่วมทำบุญ 5,000 บาท  ผมมอบให้ 1 องค์

ขอเชิญร่วมมหากุศลเป็นเจ้าภาพผ้าป่ามหาพุทธบูชา “วิสาขปุรณมี”
จำนวน 1,500 กอง กองละ 1,000 บาท หรือร่วมบุญตามกำลังศรัทธา
วันอังคารที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ (วันวิสาขบูชา)
การร่วมทำบุญ บช.เลขที่189-0-13128-8
ชื่อบัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ
บมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว10
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 20, 2014, 07:16:05 pm
พระพิมพ์ ตามรูป(ด้านล่าง) พิมพ์ไตรโลกอุดร เนื้อปัญจสิริ ผมให้ร่วมทำบุญ 2,000 บาท  ผมมอบให้ 1 องค์


ขอเชิญร่วมมหากุศลเป็นเจ้าภาพผ้าป่ามหาพุทธบูชา “วิสาขปุรณมี”
จำนวน 1,500 กอง กองละ 1,000 บาท หรือร่วมบุญตามกำลังศรัทธา
วันอังคารที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ (วันวิสาขบูชา)
การร่วมทำบุญ บช.เลขที่189-0-13128-8
ชื่อบัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ
บมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว10
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 20, 2014, 07:16:46 pm
พระพิมพ์ ตามรูป(ด้านล่าง) ผมให้ร่วมทำบุญ 3,000 บาท  ผมมอบให้ 1 องค์


ขอเชิญร่วมมหากุศลเป็นเจ้าภาพผ้าป่ามหาพุทธบูชา “วิสาขปุรณมี”
จำนวน 1,500 กอง กองละ 1,000 บาท หรือร่วมบุญตามกำลังศรัทธา
วันอังคารที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ (วันวิสาขบูชา)
การร่วมทำบุญ บช.เลขที่189-0-13128-8
ชื่อบัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ
บมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว10
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 20, 2014, 07:17:22 pm
พระพิมพ์ ตามรูป(ด้านล่าง) ผมให้ร่วมทำบุญ 2,000 บาท  ผมมอบให้ 1 องค์


ขอเชิญร่วมมหากุศลเป็นเจ้าภาพผ้าป่ามหาพุทธบูชา “วิสาขปุรณมี”
จำนวน 1,500 กอง กองละ 1,000 บาท หรือร่วมบุญตามกำลังศรัทธา
วันอังคารที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ (วันวิสาขบูชา)
การร่วมทำบุญ บช.เลขที่189-0-13128-8
ชื่อบัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ
บมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว10
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 20, 2014, 07:20:13 pm
.

สำหรับท่านใดที่ร่วมทำบุญและแจ้งรับพระแล้ว 
ผมจะแจ้งองค์ผู้อธิษฐานจิตสำหรับพระพิมพ์ที่ท่านแจ้งขอรับพระพิมพ์องค์นั้นๆให้ครับ

เพราะว่า ในแต่รุ่น องค์ผู้อธิษฐานจิตไม่เหมือนกัน  มีทั้งที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร 5 องค์ และ/หรือ หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร 1 องค์ และ/หรือ  สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี อธิษฐานจิต และ/หรือ องค์อื่นๆ




.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 22, 2014, 12:17:42 am
(http://i98.photobucket.com/albums/l244/noom_s/paphung/pp01_zps6f2589a0.jpg)



(http://i98.photobucket.com/albums/l244/noom_s/paphung/pp11_zps4ec197cc.png)



(http://i98.photobucket.com/albums/l244/noom_s/paphung/ppp01_zps2445f655.png)



(http://i98.photobucket.com/albums/l244/noom_s/paphung/a01_zpsdb662bb4.png)



(http://i98.photobucket.com/albums/l244/noom_s/paphung/a02_zpse0277243.png)



(http://i98.photobucket.com/albums/l244/noom_s/paphung/a03_zps566c936c.png)



(http://i98.photobucket.com/albums/l244/noom_s/paphung/a04_zps6e36b711.png)



(http://i98.photobucket.com/albums/l244/noom_s/paphung/a05_zpsee637a84.png)



(http://i98.photobucket.com/albums/l244/noom_s/paphung/a06_zps1fc938ba.png)



(http://i98.photobucket.com/albums/l244/noom_s/paphung/a07_zpsfdb5d74b.png)



(http://i98.photobucket.com/albums/l244/noom_s/paphung/a08_zps9160b0dc.png)



(http://i98.photobucket.com/albums/l244/noom_s/paphung/a09_zps6b8a1f87.png)



(http://i98.photobucket.com/albums/l244/noom_s/paphung/a10_zps0f2f44d2.png)



(http://i98.photobucket.com/albums/l244/noom_s/paphung/a11_zps1a7acaf5.png)



(http://i98.photobucket.com/albums/l244/noom_s/paphung/a12_zpsd5cddb39.png)


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 22, 2014, 12:32:53 am
ท่านที่ร่วมทำบุญและประสงค์ที่จะรับพระพิมพ์และวัตถุมงคลต่างๆ  ผมรบกวนให้แจ้งจำนวนเงินที่โอนร่วมทำบุญ , วันที่โอนเงิน และ เวลาที่โอนเงินให้ผมทราบด้วย อีกทั้งให้ท่านแจ้ง ชื่อ - นามสกุล และที่อยู่ให้ผมทราบ เมื่อผมตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ผมจะดำเนินการจัดส่งพระพิมพ์และวัตถุมงคลต่างๆที่จะต้องการที่จะรับไปให้  ส่วนค่าจัดส่ง  ไม่ต้องจ่าย ผมออกให้เองครับ

โมทนาบุญทุกประการ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 27, 2014, 12:06:03 pm
อานิสงส์การทำบุญด้วยแสงไฟ (พระอนุรุทธ)

โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง


นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ)

อัตตา หิ อัตตโน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สิยา

อัตตา หิ สุทันเตนะ นาถัง ลภติ ทุลลภัง ตีติ


 
ณ โอกาสบัดนี้ อาตมาจะแสดงพระสัทธรรมเทศนา ในความเป็นมาของพระอนุรุทธ เพื่อเป็นเครื่องโสรจสรงองค์ศรัทธาบารมี แก่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ที่มาบำเพ็ญกุศลในวันนี้

สำหรับวันนี้ ตรงกับวันที่ 14 กรกฎาคม 2535 เป็นวันอังคาร ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 เราก็เรียกกันว่าวันจะเข้าพรรษา บางวัดก็เข้าพรรษาวันนี้ บางวัดก็เข้าพรรษาวันพรุ่งนี้ แต่สำหรับวัดท่าซุงเข้าพรรษาวันนี้ เป็นอันว่าวันนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ทำบุญมีอานิสงส์ 2 ประการด้วยกัน คือ

1. ถวายเทียนเข้าพรรษา

2. ถวายผ้าไตร หรือผ้าวัสสิกสา แก่บรรดาพระสงฆ์

ทั้งสองอย่างนี้มีอานิสงส์ไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่างแรก ถวายเทียนเข้าพรรษาจะเทศน์วันนี้ สำหรับอานิสงส์ถวายผ้าไตรจะเทศน์วันพรุ่งนี้ ถ้าวันนี้ไม่จบ

พระอนุรุทธ

เป็นอันว่าเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงปรารภพระอนุรุทธ ความจริงพระอนุรุทธนี่เป็นพระอนุชาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อนุชานะไม่ใช่อาชานะ อนุชานี่เขาแปลว่าน้อง อาชาแปลว่าม้า เป็นน้องพระพุทธเจ้า คือว่าเป็นลูกของอา ในตระกูลมีอยู่ 2 คน คือ ท่านมหานาม 1 สอง พระอนุรุทธ

ในสมัยเมื่อพระพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ท่านท้าวมหานามก็ปรารภกับน้องชายว่า เวลานั้นท้าวมหานามเป็นพระมหากษัตริย์ ตระกูลอื่นเขาก็มีคนบวชกันหมดแล้ว ตระกูลของเรายังไม่มีใครบวช ถ้ายังงั้นขอให้น้องเป็นพระราชาต่อไป พี่จะบวช พระอนุรุทธก็บอกว่า การเป็นพระราชาทำยังไง เวลานั้นพระราชาต้องทำนาเหมือนกัน ก็ต้องเลี้ยงทหาร เขาบอกว่า ตอนต้นปีก็ไถนาแล้วก็หว่าน พอปลายปีก็เกี่ยวข้าวเอาเข้าฉาง ต้นปีไถนาแล้วก็หว่าน ปลายปีเกี่ยวข้าวเข้าฉาง แบบนี้เรื่อยไปตลอดชีวิต พระอนุรุทธถามว่า ไอ้การทำนานี่ไม่มีการเลิกรึ ท่านมหานามบอก เลิกไม่ได้ พระอนุรุทธก็บอกว่า ถ้ายังงั้นพี่อยู่เถอะฉันบวชเอง ก็ไปชวนเพื่อนอีก 4 คนบวช


เป็นผู้เลิศในทิพจักขุญาณ

เมื่อบวชเข้ามาแล้วก็ปรากฎว่า พระอนุรุทธเจริญพระกรรมฐานไม่ช้าไม่นานนัก วันเข้าพรรษาวันนี้ก็ได้บรรลุอรหัตถผลพร้อมไปด้วยทิพจักขุญาณ เป็นพระวิชชาสาม ต่อมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตั้งพระอนุรุทธเป็นผู้เลิศในทิพจักขุญาณ นั่นหมายความว่า พระอรหันต์นี่มี 4 ขั้น ตัดกิเลสได้เหมือนกัน แต่ความสามารถไม่เท่ากัน คือ

1. สุกขวิปัสสโก ตัดกิเลสได้ แต่ไม่มีจิตเป็นทิพย์ ไม่สามารถเห็นผี นรก สวรรค์ ได้

2. เตวิชโช อย่างนี้สามารถมีจิตเป็นทิพย์ เห็นสวรรค์ได้ นรกได้ เปรตได้ อสุรกายได้ เห็นอะไรก็ได้ และสามารถระลึกชาติได้

3. ฉฬภิญโญ สำหรับหมวดนี้เหาะเหินเดินอากาศได้ แปลงได้ เนรมิตได้

4. ปฏิสัมภิทัปปัตโต ปฏิสัมภิทาญาณ มีความฉลาดมาก

ฉะนั้น สำหรับพระอนุรุทธเป็นพระอรหันต์ขั้นวิชชาสาม แต่ความจริงพระอรหันต์ขั้นวิชชาสามนี่ความจริงต้องอ่อนกว่าทุกอย่าง อ่อนกว่าฉฬภิญโญ ฉฬภิญโญก็คืออภิญญาหก แต่ว่านี่ท่านเข้มแข็งในด้านทิพจักขุญาณ จะพิสูจน์ในสมัยองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้านิพพานเวลานั้น เวลาที่พระพุทธเจ้านิพพาน พระอนุรุทธเข้าฌานตาม พระอรหันต์ตั้งสองแสนองค์ ไม่สามารถจะเข้าฌานตามได้ ไม่รู้จิตใจของพระพุทธเจ้าว่าเวลานี้อยู่ที่ไหน แต่สำหรับพระอนุรุทธติดตามได้

พระอานนท์เข้าไปสะกิดถาม หลวงพี่ เวลานี้พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ไปนิพพานหรือยัง ในขณะที่ท่านจะเข้านิพพานท่านเข้าสมาธิเต็มที่ ไอ้การเข้าสมาธิเต็มที่นี่ บรรดาพุทธบริษัทบางทีเขานึกว่าหัวใจหยุดเต้น ความจริงไม่หยุด มันเต้นเบาลมหายใจน้อย บางคนคิดว่าไม่มีลมหายใจ ท่านก็บอกว่า เวลาที่พระพุทธเจ้าอยู่ที่ฌาน 1 บ้าง ฌาน 2 บ้าง ฌาน 3 บ้าง ฌาน 4 บ้าง ในอรูปฌานบ้าง แล้วเลื่อนมาในฌาน 4 ของรูปฌาน นิพพานตอนนั้น

นี่จะเห็นว่าพระอนุรุทธชื่อว่าเป็นผู้เลิศในทิพจักขุญาณ เลิศจริง ๆ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดากล่าวว่า กล่าวถึงประวัตินะ ตอนนี้ยังไม่นิพพาน ท่านบอกว่า พระอนุรุทธนี่ในสมัยชาติก่อนชอบทำบุญด้วยแสงไฟ

ก็อย่างที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย บูชาเทียนเข้าพรรษานี่แหละ บูชาเทียนเข้าพรรษาบ้าง ช่วยค่ากระแสไฟฟ้าบ้าง ช่วยน้ำมันตะเกียงบ้าง อย่างนี้เป็นต้น เป็นเรื่องให้เกิดแสงไฟ ให้เกิดแสงสว่างขึ้น พระอนุรุทธชอบทำอย่างนี้ ทุกวาระถึงปีถึงเวลาเข้าพรรษาก็นำเทียนเข้าพรรษาถวายตามวัด วันละหลาย ๆ วัด เป็นการบูชาให้แสงสว่าง ฉะนั้น มาชาติหลังสุด อานิสงส์ถวายเทียนเข้าพรรษา แสงไฟ จึงได้ทิพจักขุญาณเป็นเลิศกว่าพระอรหันต์ทุกองค์ นี่เป็นประวัติตอนท้ายนะ ประวัติของพระอนุรุทธนี่มีหลายตอน จะขอตัดเป็นตอน ๆ

ขอขอบคุณ

-http://www.jetovimut.com/index.php/anisong/123-light.html-

popja ที่มา : -http://www.lomchakclub.com/v9/index.php?topic=396.0-

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 27, 2014, 01:04:31 pm
พี่ท่านนึง  ได้ให้ธาตุสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี กับผม

ตอนที่อัญเชิญมาที่บ้าน มีลักษณะเป็นเหมือนเม็ดทรายละเอียด(องค์เล็กมาก)

พี่ท่านนี้ให้มาน่าจะประมาณ 3 ปีแล้ว

ปัจจุบัน  แต่ละองค์  โตขึ้นมาก


หมายเหตุ  รูปที่ลง  หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิกเว็บใต้ร่มธรรม ท่านไม่สามารถที่จะเห็นได้  แจ้งเพื่อทราบครับ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 27, 2014, 01:19:21 pm

             
อรรถกถาอนุรุทธเถรคาถาที่ ๙

-http://palungjit.org/tripitaka/default.php?cat=5300006-

         คาถาของท่านพระอนุรุทธเถระ   มีคำเริ่มต้นว่า   ปหาย  มาตาปิตโร
ดังนี้.   เรื่องนี้มีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?                                               
         แม้พระเถระนี้        ก็ได้บำเพ็ญบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าแต่
ปางก่อน    บังเกิดเป็นกุฎุมพี    ผู้สมบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติ.   ในกาลแห่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระ    วันหนึ่ง    เขาไปวิหารฟังธรรมในสำนัก
ของพระศาสดา     ได้เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่ง     ไว้ใน
ตำแหน่งผู้เลิศแห่งภิกษุผู้มีจักษุทิพย์     แม้ตนเองก็ปรารถนาฐานันดรนั้น
จึงยังมหาทานให้เป็นไปตลอด ๗  วัน       แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีภิกษุ
บริวารแสนหนึ่ง  ในวันที่  ๗ ได้ถวายผ้าชั้นเลิศแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า  และ
ภิกษุสงฆ์    แล้วกระทำปณิธานความปรารถนาไว้     ฝ่ายพระศาสดาทรง
ทราบว่าความปรารถนาของเขาจะสำเร็จโดยไม่มีอันตราย   จึงทรงพยากรณ์
ว่า    ในอนาคตกาล      จักเป็นผู้เลิศแห่งภิกษุผู้มีจักษุทิพย์ในศาสนาของ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม.     แม้เขาก็ทำบุญทั้งหลายในพระ-
ศาสดานั้น  เมื่อพระศาสดาปรินิพพานแล้ว  เมื่อพระเจดีย์ทองสูง  ๗  โยชน์
สำเร็จแล้ว    ก็ทำการบูชาประทีปอย่างโอฬาร    ด้วยต้นไม้ประดับประทีป
และตัวประทีปหลายพัน     โดยอธิษฐานว่า     ขอจงเป็นอุปนิสัยปัจจัยแก่
ทิพยจักษุญาณเถิด.
         เขากระทำบุญทั้งหลายจนตลอดชีวิตด้วยประการอย่างนี้   แล้วท่อง-
เที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย  ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้ากัสสป
บังเกิดในเรือนกุฎุมพี   ในเมืองพาราณสี   ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว  เมื่อ
พระศาสดาปรินิพพานแล้ว      เมื่อสร้างพระเจดีย์ทองโยชน์หนึ่งสำเร็จแล้ว

   

หน้าที่ 159

ให้สร้างถาดสำริดเป็นจำนวนมาก   บรรจุเต็มด้วยเนยใสอย่างใส   แล้ววาง 
ก้อนงบน้ำอ้อยก้อนหนึ่ง ๆ ไว้ตรงกลาง      วางล้อมพระเจดีย์ให้ขอบปาก
กับขอบปาก (ถาด)  จดกัน ส่วนตนให้สร้างถาดสำริดใหญ่ถาดหนึ่ง  บรรจุ
เต็มด้วยเนยใสอย่างใส.  ตามไส้  ๑,๐๐๐  ไส้  ให้สว่างโพลง   แล้วทูนศีรษะ
เดินเวียนพระเจดีย์ตลอดคืนยังรุ่ง.
         ในอัตภาพแม้นั้น  เขาทำกุศลจนตลอดชีวิตด้วยประการอย่างนี้   จุติ
จากอัตภาพนั้นไปบังเกิดในเทวโลก   ดำรงอยู่ในเทวโลกนั้นจนตลอดอายุ
จุติจากเทวโลกนั้น   เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติ   ได้บังเกิดในตระกูล
เข็ญใจ  ในเมืองพาราณสีนั่นแล  ได้มีชื่อว่าอันนภาระ.   นายอันนภาระนั้น
กระทำการงานในเรือนของสุมนเศรษฐีเลี้ยงชีวิตอยู่.    วันหนึ่ง     เขาเห็น
พระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า    อุปริฏฐะ  ผู้ออกจากนิโรธสมาบัติแล้ว   เหาะ
จากภูเขาคันธมาทน์   มาลงใกล้ประตูเมืองพาราณสี     ห่มจีวรแล้วเข้าไป
บิณฑบาตในเมือง     มีจิตเลื่อมใสรับบาตร    เริ่มประสงค์จะใส่ภัตตาหาร
ที่เขาแบ่งไว้ส่วนหนึ่ง    ซึ่งเขาเก็บไว้เพื่อตน    ในบาตรถวายพระปัจเจก-
พุทธเจ้า.   ฝ่ายภรรยาของเขา   ก็ใส่ภัตตาหารอันเป็นส่วนของตนในบาตร
นั้นเหมือนกัน.   เขานำบาตรนั้นไปวางในมือของพระปัจเจกพุทธเจ้า.
         พระปัจเจกพุทธเจ้ารับบาตรนั้น        กระทำอนุโมทนาแล้วหลีกไป.
เพราะได้เห็นการกระทำนั้น    ตกกลางคืน    เทวดาผู้สิงสถิตอยู่ที่ฉัตรของ
สุมนเศรษฐี  ได้อนุโมทนาด้วยเสียงดัง ๆ ว่า โอ ทาน  เป็นทานอย่างเยี่ยม
นายอันนภาระประดิษฐานไว้ดีแล้วในพระอริฏฐปัจเจกพุทธเจ้า.     สุมน-
เศรษฐีได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า  ทานที่เทวดาอนุโมทนาอย่างนี้นี่แหละ   เป็น
อุดมทาน   จึงขอส่วนบุญในทานนั้น.   ฝ่ายนายอันนภาระได้ให้ส่วนบุญแก่

   

หน้าที่ 160

ท่านเศรษฐีนั้น.    สุมนเศรษฐีมีจิตเลื่อมใสกับนายอันนภาระนั้น    ได้ให้
ทรัพย์พันหนึ่งแก่เขาแล้วกล่าวว่า     จำเดิมแต่นี้ไป     ท่านไม่มีกิจในการ
ทำงานด้วยมือของตน  ท่านจงสร้างบ้านให้เหมาะสมแล้วอยู่ประจำเถิด.
         เพราะเหตุที่บิณฑบาตซึ่งถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้ออกจาก
นิโรธสมาบัติ ย่อมมีวิบากโอฬารมากในวันนั้นเอง เพราะฉะนั้น  ในวันนั้น
สุมนเศรษฐีเมื่อจะไปเฝ้าพระราชา       จึงได้พานายอันนภาระนั้นไปด้วย.
แม้พระราชาก็ทรงทอดพระเนตรด้วยความเอื้อเฟื้อ.      เศรษฐีกราบทูลว่า
ข้าแต่มหาราช บุรุษผู้นี้สมควรเป็นผู้จะพึงทอดพระเนตรทีเดียว  พระเจ้าข้า
แล้วกราบทูลถึงบุญที่เขาทำในกาลนั้น      ทั้งความที่คนได้ให้ทรัพย์พันหนึ่ง
แก่เขาให้ทรงทราบ.  พระราชาทรงสดับดังนั้น   ก็ทรงโปรด  ได้ประทาน
ทรัพย์พันหนึ่ง    แล้วทรงสั่งว่า เจ้าจงสร้างบ้านอยู่ในที่ชื่อโน้น.    เมื่อ
นายอันนภาระกำลังชำระสถานที่นั้นอยู่  หม้อทรัพย์ใหญ่ก็ผุดขึ้น   เขาเห็น
ดังนั้นจึงกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ.       พระราชารับสั่งให้ขนทรัพย์
ทั้งหมดมากองไว้แล้วตรัสถามว่า    ในนครนี้      ในเรือนของใครมีทรัพย์
ประมาณเท่านี้บ้าง.    อำมาตย์ราชบริพารพากันกราบทูลว่า    ของใครๆ
ไม่มีพระเจ้าข้า.   จึงตรัสว่า   ถ้าอย่างนั้น    อันนภาระนี้     จงเป็นผู้ชื่อว่า
อันนภารเศรษฐีในนครนี้     ดังนี้แล้ว    พระราชทานฉัตรเศรษฐีแก่เขาใน
วันนั้นเอง.
         จำเดิมแต่นั้น     เขากระทำกุศลกรรมจนตลอดอายุ    จุติจากอัตภาพ
นั้น     ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย      ในพุทธุปบาทกาลนี้
ได้ถือปฏิสนธิในพระราชมนเทียรของพระเจ้าสุกโกทนศากยะ      ในเมือง
กบิลพัสดุ์   ได้มีพระนามว่าอนุรุทธะ.    เจ้าอนุรุทธะนั้นเป็นพระกนิษฐ-

   

หน้าที่ 161

ภาดาของเจ้ามหานามศากยะ        เป็นโอรสของพระเจ้าอาของพระศาสดา
เป็นผู้ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง  มีบุญมาก  อันพวกหญิงนักฟ้อนผู้ประดับประดา
แวดล้อมอยู่ในปราสาท  ๓  หลังอันเหมาะสมแก่ฤดูทั้ง  ๓    เสวยสมบัติดุจ-
เทวดา  เข้าไปเฝ้าพระศาสดาผู้เสด็จประทับอยู่ในอนุปิยอัมพวัน   กับกุมาร
ทั้งหลายมีภัททิยกุมารเป็นต้น   ผู้อันเจ้าศากยะทั้งหลาย   ซึ่งพระเจ้าสุทโธ-
ทนมหาราชให้กำลังใจสั่งไปเพื่อเป็นบริวารของพระศาสดา       จึงบวชใน
สำนักของพระศาสดา       ก็ในภายในพรรษานั่นเอง       ทำทิพยจักษุให้
บังเกิด  แล้วเรียนเอากรรมฐานในสำนักของพระธรรมเสนาบดี  แล้วไปยัง
ปาจีนวังสทายวัน  ในเจติยรัฐ    กระทำสมณธรรมอยู่    ตรึกถึงมหาปุริสวิตก
ได้  ๗  ประการ  ไม่อาจรู้ประการที่    ๘.  พระศาสดาทรงทราบความเป็นไป
ของเธอ   จึงตรัสมหาปุริสวิตกข้อที่  ๘  แล้วทรงแสดงมหาอริยวังสปฏิปทา
อันประดับด้วยความยินดีในการเจริญสันโดษด้วยปัจจัย  ๔.
         ท่านพระอนุรุทธะนั้น  เจริญวิปัสสนาตามแนวแห่งพระธรรมเทศนา
นั้น      ได้ทำให้แจ้งพระอรหัตมีอภิญญาและปฏิสัมภิทาเป็นองค์ประกอบ.
ด้วยเหตุนั้น  ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า๑
                     เราได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า       พระนามว่าสุเมธ
         เชษฐบุรุษของโลก    เป็นนระผู้องอาจ    ผู้นายกของโลก
         เสด็จหลีกเร้นอยู่   จึงได้เข้าไปเฝ้าพระสุเมธสัมพุทธเจ้า
         ผู้เป็นนายกของโลก   แล้วได้ประคองอัญชลี   ทูลอ้อนวอน
         พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดว่า          ข้าแต่พระมหาวีรเจ้าผู้

๑.  ขุ.    อ.  ๓๒/ข้อ   ๖.

   

หน้าที่ 162

   เชษฐบุรุษของโลกเป็นนระผู้องอาจ   ขอจงทรงอนุเคราะห์
   เถิด  ข้าพระองค์ขอถวายประทีป  แก่พระองค์ผู้เข้าณานอยู่
   ที่ควงไม้   พระสยัมภูผู้ประเสริฐ   ธีรเจ้านั้น   ทรงรับแล้ว
   จึงห้อยไว้ที่ต้นไม้   ประกอบยนต์ในกาลนั้น  เราได้ถวาย
   ไส้ตะเกียงน้ำมันพันหนึ่ง   แก่พระพุทธเจ้าผู้เผาพันธุ์ของ
   โลก  ประทีปลุกโพลงอยู่ ๗   วันแล้วดับไปเอง  ด้วยจิตอัน
    เลื่อมใสนั้น   และด้วยการตั้งเจตนาไว้   เราละกายมนุษย์
   แล้วได้เข้าถึงวิมาน  เมื่อเราเข้าถึงความเป็นเทวดา  วิมาน
   อันบุญกุศลนิรมิตไว้เรียบร้อย    ย่อมรุ่งโรจน์โดยรอบ  นี้
   เป็นผลแห่งการถวายประทีป  เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
   ๒๘  ครั้ง   เวลานั้น   เรามองเห็นได้ตลอดโยชน์หนึ่งโดย
   รอบทั้งกลางวันกลางคืน    เราย่อมไพโรจน์ทั่วโยชน์หนึ่ง
   โดยรอบ  ในกาลนั้น ย่อมครอบงำเทวดาทั้งปวงได้  นี้เป็น
   ผลแห่งการถวายประทีป   เราได้เป็นจอมเทวดาเสวยราช
   สมบัติในเทวโลก  ๓๐  กัป   ใคร  ๆ  ย่อมไม่ดูหมิ่นเราได้
   นี้เป็นผลแห่งการถวายประทีป   เราได้บรรลุทิพยจักษุมอง
   เห็นได้ตลอดพันโลกด้วยญาณในศาสนาของพระศาสดา
   นี้เป็นผลแห่งการถวายประทีป   พระสัมพุทธเจ้าพระนามว่า
   สุเมธ    เสด็จอุบัติในกัปที่  ๓๐,๐๐๐   นับแต่กัปนี้   เรามีจิต
   ผ่องใสได้ถวายประทีปแก่พระองค์     คุณวิเศษเหล่านี้คือ
   ปฏิสัมภิทา  ๔ ...ฯ ลฯ...   คำสอนของพระพุทธเจ้าเราได้
   ทำเสร็จแล้ว.

   

หน้าที่ 163

         ครั้นในกาลต่อมา   พระศาสดาประทับนั่งในท่ามกลางหมู่พระอริย- 
เจ้า   ในพระเชตวันมหาวิหาร    ทรงสถาปนาท่านไว้ในตำแหน่งผู้เลิศแห่ง
ภิกษุทั้งหลายผู้มีจักษุทิพย์ว่า    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย    อนุรุทธะนี้เป็นเลิศ
แห่งภิกษุสาวกทั้งหลายของเราผู้มีจักษุทิพย์.
         ท่านเสวยวิมุตติสุขอยู่  วันหนึ่ง   พิจารณาข้อปฏิบัติของตนแล้วเกิด
ปีติโสมนัส     ได้กล่าวคาถาด้วยสามารถอุทานมีอาทิว่า     เราละพระชนก
และพระชนนี   ดังนี้.    ฝ่าอาจารย์บางพวกกล่าวว่า     พระสังคีติกาจารย์
ทั้งหลาย      เมื่อจะประกาศการบรรพชาและการบรรลุพระอรหัตของพระ-
เถระ  ได้กล่าวคาถา  ๔  คาถาข้างต้น   คาถาต่อจากนั้น  พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงมีพระทัยโปรดปรานอริยวังสปฏิบัติของพระเถระ    จึงตรัสไว้.   คาถา
นอกนี้แม้ทั้งหมด   พระเถระเท่านั้นกล่าวไว้ตามเหตุการณ์นั้น  ๆ.   ดังนั้น
คาถาเหล่านี้ทั้งที่พระเถระกล่าวไว้   ทั้งที่ตรัสไว้โดยเฉพาะพระเถระ   ก็พึง
ทราบว่า     เป็นคาถาของพระเถระแม้โดยประการทั้งปวง,    คือท่านกล่าว
คาถาเหล่านี้ไว้ว่า                                                   
                      พระอนุรุทธะละพระชนกชนนี   ละพระประยูรญาติ
         ละเบญจกามคุณได้แล้ว  เพ่งฌานอยู่  บุคคลผู้เพียบพร้อม
         ด้วยการฟ้อนรำขับร้อง   มีดนตรีบรรเลงปลุกให้รื่นเริงใจ
         อยู่ทุกเช้าค่ำ   ก็ไม่บรรลุถึงความบริสุทธิ์ด้วยการฟ้อนรำ
         ขับร้องนั้นได้   เพราะยังเป็นผู้ยินดีในกามคุณอันเป็นวิสัย
         แห่งมาร.       พระอนุรุทธะก้าวล่วงเบญจกามคุณนั้นแล้ว
         ยินดีในพระพุทธศาสนา  ก้าวล่วงโอฆะทั้งปวงแล้ว   เพ่ง
         ฌานอยู่.    พระอนุรุทธะได้ก้าวล่วงกามคุณเหล่านี้    คือ

   

หน้าที่ 164

   รูป    เสียง   กลิ่น   รส   โผฏฐัพพะอันรื่นรมย์ใจ   เพ่ง 
   ฌานอยู่.   พระอนุรุทธะเป็นนักปราชญ์    หาอาสวะมิได้
   ผู้เดียวไม่มีเพื่อน  กลับจากบิณฑบาตแล้ว  เที่ยวแสวงหา
   ผ้าบังสุกุลอยู่.     พระอนุรุทธะเป็นนักปราชญ์    มีปรีชา
   หาอาสวะมิได้   เที่ยวเลือกหาเอาแต่ผ้าบังสุกุล    ครั้นได้
   มาแล้ว    ก็มาซักย่อมเอาเองแล้วนุ่งห่ม.      บาปธรรมอัน
   เศร้าหมองเหล่านี้   ย่อมมีแก่ภิกษุผู้มักมาก   ไม่สันโดษ
   ระคนด้วยหมู่   มีจิตฟุ้งซ่าน.   อนึ่ง   ภิกษุใดเป็นผู้มีสติ
   มักน้อย  สันโดษ   ไม่มีความขัดเคือง  ยินดีในวิเวก  ชอบ
   สงัด  ปรารภความเพียรเป็นนิตย์   กุศลธรรมซึ่งเป็นฝ่าย
   ให้ตรัสรู้เหล่านี้    ย่อมมีแก่ภิกษุนั้น   ทั้งพระสัมมาสัม-
   พุทธเจ้าผู้ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่     ก็ตรัสสรรเสริญ
   ภิกษุนั้นว่า  เป็นผู้หมดอาสวะ.  พระศาสดาผู้ยอดเยี่ยมใน
   โลก  ทรงทราบความดำริของเราแล้ว  เสด็จมาหาเราด้วย
    มโนมยิทธิทางกาย   เมื่อใดความดำริได้มีแก่เรา  เมื่อนั้น
   พระพุทธเจ้าทรงทราบความดำริของเราแล้ว       ได้เสด็จ
    เข้ามาหาเราด้วยพระฤทธิ์         แล้วทรงแสดงธรรมอันยิ่ง
   แก่เรา    พระพุทธเจ้าผู้ทรงยินดีในธรรมเครื่องไม่เนิ่นช้า
    ได้ทรงแสดงธรรมเครื่องไม่เนิ่นช้าแก่เรา        เรารู้ทั่วถึง
   พระธรรมเทศนาของพระองค์แล้ว      เป็นผู้ยินดีในพระ-
    ศาสนา    ปฏิบัติตามคำพร่ำสอนอยู่     เราบรรลุวิชชา  ๓
   โดยลำดับ   ได้ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเสร็จแล้ว.

   

หน้าที่ 165

     เราถือการไม่นอนเป็นวัตรมาเป็นเวลา  ๕๕  ปี    เรากำจัด
   ความง่วงเหงาหาวนอนมาแล้วเป็นเวลา   ๒๕  ปี       ในเวลา
   ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน     ภิกษุ
   ทั้งหลายถามเราว่า     พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว
    หรือยัง    เราได้ตอบว่า     ลมหายใจออกและหายใจเข้า
   มิได้มีแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีพระหฤทัยตั้งมั่น     ผู้คงที่
    แต่พระองค์ยังไม่ปรินิพพานก่อน  พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มี
   พระจักษุ  ผู้ไม่มีตัณหาเป็นเครื่องทำใจให้หวั่นไหว    ทรง
   ทำนิพพานให้เป็นอารมณ์    คือเสด็จออกจากจตุตถฌาน
   แล้ว    จึงจะเสด็จปรินิพพาน     พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
   อดกลั้นเวทนาด้วยพระหฤทัยอันเบิกบาน   ก็เมื่อพระผู้มี-
   พระภาคเจ้า  ผู้เป็นดวงประทีปของชาวโลกพร้อมเทวโลก
   เสด็จดับขันธปรินิพพาน   ความพ้นพิเศษแห่งพระหฤทัย
   ได้มีขึ้นแล้ว  บัดนี้   ธรรมเหล่านี้อันมีสัมผัสเป็นที่  ๕  ของ
   พระมหามุนี    ได้สิ้นสุดลงแล้ว   ในเมื่อพระสัมมาสัมพุทธ-
    เจ้า  เสด็จปรินิพพานแล้ว   จิตและเจตสิกธรรมเหล่าอื่น
   จักไม่มีอีกต่อไป.   ดูก่อนเทวดา   บัดนี้การอยู่อีกต่อไป
   ด้วยอำนาจการอุบัติในเทพนิกายย่อมไม่มี       ชาติสงสาร
   สิ้นไปแล้ว   บัดนี้การเกิดในภพใหม่มิได้มี.  ภิกษุใดรู้แจ้ง
   มนุษยโลก   เทวโลกพร้อมทั้งพรหมโลก   อันมีประเภท
   ตั้งพันได้ในเวลาครู่เดียว   ทั้งเป็นผู้เชี่ยวชาญในคุณ   คือ
   อิทธิฤทธิ์      และในการจุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย

   

หน้าที่ 166

   ภิกษุรูปนั้นย่อมเห็นเทพเจ้าทั้งหลายได้ตามความประสงค์.   
   เมื่อก่อนเรามีนามว่า   อันนภาระ      เป็นคนยากจนเที่ยว
    รับจ้างหาเลี้ยงชีพ    ได้ถวายอาหารแก่พระอุปริฏฐปัจเจก-
   พุทธเจ้า  ผู้เป็นสมณะผู้เรื่องยศ.  เพราะบุญกรรมที่ได้ทำ
    มาแล้ว  เราจึงได้มาเกิดในศากยตระกูล  พระประยูรญาติ
   ได้ขนานนามให้เราว่า   อนุรุทธะ   เป็นผู้เพียบพร้อมด้วย
   การฟ้อนรำและขับร้อง        มีเครื่องดนตรีบรรเลงปลุกให้
    รื่นเริงใจอยู่ทุกค่ำเช้า     ต่อมาเราได้เห็นพระบรมศาสดา
   สัมมาสัมพุทธเจ้า     ผู้ไม่มีภัยแต่ที่ไหน ๆ    ได้ยังจิตให้
    เลื่อมใสในพระองค์ท่านแล้ว        ออกบวชเป็นบรรพชิต
   เราระลึกถึงชาติก่อน ๆ ได้   เราได้เคยเป็นท้าวสักกรินทร์
     เทวราช  อยู่ดาวดึงส์เทพพิภพมาแล้ว   เราได้ปราบปราม
   ไพรีพ่ายแพ้แล้ว      ขึ้นผ่านสมบัติเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
    จอมมนุษย์นิกรในชมพูทวีป     มีสมุทรสาครทั้ง  ๔  เป็น
   ขอบเขต  ๗  ครั้ง       ได้ปกครองปวงประชานิกรโดยธรรม
    ด้วยไม่ต้องใช้อาชญาหรือศาสตราใด ๆ  เราระลึกชาติหน
   หลังในคราวที่อยู่ในมนุษยโลกได้   ดังนี้   คือเป็นพระเจ้า
    จักรพรรดิ  ๗  ชาติ     เป็นพระอินทร์  ๗   ชาติ     รวมการ
   ท่องเที่ยวอยู่เป็น  ๑๔  ชาติด้วยกัน.    ในเมื่อสมาธิอันประ-
   กอบด้วยองค์เป็นธรรมอันเอกปรากฏขึ้น   ที่เราได้ความ
     สงบระงับกิเลส ทิพยจักษุของเราจึงบริสุทธิ์.  เราดำรงอยู่
   ในฌานอันประกอบด้วยองค์  ๕  ประการ    รู้จุติและอุปบัติ

   

หน้าที่ 167

            การมา   การไป  ความเป็นอย่างนี้  แลความเป็นอย่างอื่น
         ของสัตว์ทั้งหลาย     เรามีความคุ้นเคยกับพระบรมศาสดา
         เป็นอย่างดี        เราได้ทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
         เสร็จแล้ว  ปลงภาระอันหนักลงได้แล้ว  ถอนตัณหาเครื่อง
         นำไปสู่ภพขึ้นได้แล้ว   เป็นผู้ไม่มีอาสวะ  จักนิพพานด้วย
         อนุปาที่เสสนิพพานธาตุ    ภายใต้พุ่มกอไผ่    ใกล้บ้าน
         เวฬุวคาม   แคว้นวัชชี.
         บรรดาบทเหล่านั้น    บทว่า  ปหาย   แปลว่า  ละแล้ว.    บทว่า
มาตาปิตโร  แปลว่า  พระชนนีและพระชนก.
         จริงอยู่    ในข้อนี้มีอธิบายดังนี้ :-   ใคร ๆ   อื่นถูกความเสื่อมญาติ
และความเสื่อมโภคทรัพย์ครอบงำ    จึงบวช   และบวชแล้วก็ขวนขวายกิจ
อื่นอยู่ฉันใด    เราฉันนั้นหามิได้   ก็เราละวงญาติใหญ่และกองโภคทรัพย์
มาก  ไม่อาลัยในกามทั้งหลายบวชแล้ว.
         บทว่า ฌายติ  ได้แก่ เป็นผู้ขวนขวายฌานแม้ทั้งสอง   คืออารัมมณู-
ปนิชฌาน  และลักขณูปนิชฌานอยู่.                                     
         บทว่า    สเมโต   นจฺจคีเตหิ    ได้แก่   เป็นผู้พรั่งพร้อมด้วยการ
ฟ้อนและการขับ  อธิบายว่า   ดูการฟ้อน   ฟังการขับร้องอยู่.  บางอาจารย์
กล่าวว่า  สมฺมโต   ดังนี้ก็มี  อธิบายว่า  อันเขาบูชาแล้วด้วยการฟ้อนและ
การขับร้อง.                                         
         บทว่า  สมฺมตาฬปฺปโพธโน  ความว่า  เป็นผู้อันเขาพึงปลุกให้ตื่น
ในเวลาใกล้รุ่งด้วยเสียงดนตรีทั้งหลาย.
         บทว่า  น  เตน  สุทฺธิมชฺฌคํ   ความว่า  เราไม่ได้บรรลุถึงความ

   

หน้าที่ 168

บริสุทธิ์ในสงสาร  เพราะการบริโภคกามนั้น. 
         บทว่า   มารสฺส    วิสเย   รโต   ได้แก่  เป็นผู้ยินดีในกามคุณอัน
เป็นอารมณ์ของกิเลสมาร   อธิบายว่า   ไม่เป็นผู้มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า   สังสาร-
สุทธิ    ความบริสุทธิ์ในสงสาร     ย่อมมีเพราะการบริโภคกามคุณอันเป็น
อารมณ์ของกิเลสมาร.    ด้วยเหตุนั้น    ท่านจึงกล่าวว่า     ก้าวล่วงเบญจ-
กามคุณนั้น  ดังนี้เป็นต้น.
         บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  เอตํ   ได้แก่  กามคุณทั้ง ๕ ประการ
นั้น.  บทว่า  สมติกฺกมฺม  แปลว่า  ก้าวล่วงพ้นไปแล้ว   อธิบายว่า   เป็น
ผู้ไม่ห่วงใยละทิ้งไป.
         บทว่า  สพฺโพฆํ  ได้แก่  โอฆะทั้งปวง  มีโอฆะคือกามเป็นต้น.
         เพื่อจะแสดงกามคุณ  ๕  โดยสรุป   จึงกล่าวคำมีอาทิว่า   รูป   เสียง
ดังนี้.   บรรดาบทเหล่านั้น    บทว่า  มโนรมา   มีวิเคราะห์ดังต่อไปนี้ :-   
กามคุณมีอาทิว่า  เสียง   ชื่อว่า  เป็นที่รื่นรมย์ใจ  คือเป็นที่ทำใจให้เอิบอาบ
เพราะทำใจให้ยินดี  โดยอรรถว่าเป็นที่ตั้งแห่งโลภะ.
           บทว่า   ปิณฺฑปาตมติกฺกนฺโต   ได้แก่  ผู้ล่วงพ้นการรับบิณฑบาต
อธิบายว่า  กลับจากการรับบิณฑบาต.
         บทว่า   เอโก  ได้แก่   เป็นผู้เดียวไม่มีปัจฉาสมณะ.
         บทว่า  อหุติโย  ได้แก่   ผู้หมดตัณหา.   จริงอยู่  ตัณหาชื่อว่าเป็น
เพื่อนสองของตน.    เหมือนดังที่ตรัสไว้ว่า    บุรุษมีตัณหาเป็นเพื่อนสอง.
บทว่า   เอสติ   แปลว่า   แสวงหา.
         บทว่า    วิจินิ    ความว่า    เมื่อแสวงหา    ได้เลือกหาในที่ที่เกิดผ้า
บังสุกุล  มีกองหยากเยื่อเป็นต้นในที่นั้น ๆ.

   

หน้าที่ 169

         บทว่า  อคฺคหิ   ความว่า  ครั้นเลือกหาแล้ว  ไม่เกลียดแม้ผ้าที่เปื้อน
ของไม่สะอาด   จึงถือเอา.   บทว่า   โธวิ   แปลว่า   ทำให้สะอาดแล้ว.
         บทว่า   รชยิ   ได้แก่   ซักแล้วเย็บให้ติดกัน    แล้วย้อมด้วยการย้อม
อันเป็นกัปปิยะของสมควร.
         บทว่า   ธารยิ   ได้แก่    ครั้นย้อมแล้ว    ทำพินทุกัปแล้วใช้ครอง,
คือนุ่งและห่ม.
         บัดนี้  พระเถระเมื่อแสดงโอวาทที่พระศาสดาทรงประทานในปาจีน-
วังสทายวัน  และความที่ตนถึงที่สุดแห่งโอวาทนั้น  จึงได้กล่าวคาถามีอาทิ
ว่า  ผู้มักมาก  ไม่สันโดษ.
         บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  มหิจฺโฉ  ได้แก่  ผู้ประกอบด้วยความ
อยากได้ปัจจัยมาก   อธิบายว่า   ปรารถนาปัจจัยอันยิ่งใหญ่และมาก.
         บทว่า   อสนฺตุฏฺโ€    ได้แก่   ผู้ไม่สันโดษ   คือเว้นจากสันโดษมี
ยถาลาภสันโดษเป็นต้น.
         บทว่า  สํสฏฺโ€   ได้แก่   ผู้ระคนด้วยคฤหัสถ์และบรรพชิต   ด้วย
การระคนอันไม่ควร.
         บทว่า  อุทฺธโต   แปลว่า  ผู้ฟุ้งซ่าน.
         บทว่า   ตสฺส   ได้แก่   บุคคลที่กล่าวโดยนัยมีอาทิว่า   ผู้มักมาก.
         บทว่า    ธมฺมา    ได้แก่    ธรรมทั้งหลายเช่นนี้     คือความมักมาก
ความไม่สันโดษ    ความเป็นผู้ระคนด้วยหมู่    ความฟุ้งซ่าน.   ชื่อว่าบาป
เพราะอรรถว่าลามก.
         บทว่า  สงฺกิเลสา   ได้แก่  ธรรมทั้งหลาย  ชื่อว่าเศร้าหมอง   เพราะ
กระทำความเศร้าหมองให้แก่จิตนั้น.

   

หน้าที่ 170

         บทว่า  สโต  จ   โหติ   อปฺปิจฺโฉ  ความว่า  ก็ในกาลใด   บุคคล 
นี้    เสพ   คบ   เข้าไปนั่งใกล้กัลยาณมิตร   ฟังสัทธรรม  ใส่ใจโดยแยบคาย
เป็นผู้มีสติ   และละความมักมากเสีย   เป็นผู้มักน้อย.   ในกาลนั้น    ชื่อว่า
เป็นผู้สันโดษ   เพราะละความไม่สันโดษ.   ชื่อว่าผู้ไม่ขัดเคือง   เพราะละ
ความฟุ้งซ่านอันกระทำความขัดเคืองจิต.     ผู้ไม่ฟุ้งซ่าน     มีจิตเป็นสมาธิ
ชื่อว่าผู้ยินดีในควานสงัด  เพราะละการคลุกคลีกับหมู่  ชื่อว่า เป็นผู้สงัดแล้ว
เพราะยินดียิ่งในความวิเวก    ด้วยความหน่าย   ( และ ) ด้วยความเอิบอิ่มใน
ธรรม    คือมีใจดี    มีจิตยินดี    ชื่อว่าปรารภความเพียร    เพราะละความ
เกียจคร้าน.
         บุคคลนั้นผู้ประกอบด้วยคุณ   มีความมักน้อยเป็นต้นอย่างนี้  ย่อมมี
โพธิปักขิยธรรมอันนับเนื่องในมรรค  มี   ๓๗   ประเภทมีสติปัฏฐานเป็นต้น
อันสงเคราะห์เอาวิปัสสนา  ๓  อย่าง    ชื่อว่าเป็นกุศล    เพราะอรรถว่าเกิด
จากความฉลาด.
         บุคคลนั้นผู้ประกอบด้วยโพธิปักขิยธรรมเหล่านั้น   ชื่อว่าเป็นผู้ไม่มี
อาสวะ   จำเดิมแต่ขณะแห่งอรหัตมรรค   เพราะทำอาสวะทั้งหลายให้สิ้นไป
ด้วยประการทั้งปวง   อธิบายว่า  ด้วยอำนาจการให้ถึงที่สุดในมหาปุริสวิตก
ในป่าปาจีนวังสทายวัน  อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณใหญ่ตรัสไว้
ดังนี้    คือด้วยประการอย่างนี้.                                           
         บทว่า   มม   สงฺกปฺปมญฺ?าย   ความว่า  ทรงรู้ความดำริของเรา
ผู้ปรารภมหาปุริสวิตกโดยนัยมีอาทิว่า     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย     ธรรมนี้
สำหรับผู้มักน้อย      ธรรมนี้ไม่ใช่สำหรับผู้มักมาก    และซึ่งตั้งอยู่โดยภาวะ
ไม่สามารถเพื่อจะให้มหาปุริสวิตกเหล่านั้นถึงที่สุดลงได้.

   

หน้าที่ 171

         บทว่า  มโนมเยน  ได้แก่   ดุจสำเร็จด้วยใจ   อธิบายว่า  เปลี่ยน
แปลงไปได้เหมือนกับเนรมิตด้วยใจ.
         บทว่า    อิทฺธิยา     ได้แก่    ด้วยอธิษฐานฤทธิ์ซึ่งเป็นไปอย่างนี้ว่า
กายนี้จงเป็นเหมือนจิตนี้.
         บทว่า   ยทา  เม  อหุ  สงฺกปฺโป   มีวาจาประกอบความว่า   ใน
กาลใด   เราได้มีความปริวิตกว่า   มหาปุริสวิตกข้อที่  ๘ เป็นเช่นไรหนอแล
ในกาลนั้น  ทรงทราบความดำริของเรา  ได้เสด็จเข้าไปหาเราด้วยพระฤทธิ์. 
         บทว่า   อุตฺตริ   เทสยิ   ความว่า   ทรงแสดงสูงขึ้นให้มหาปุริสวิตก
ข้อที่  ๘  ครบบริบูรณ์ว่า  ภิกษุทั้งหลาย  ธรรมนี้สำหรับผู้ไม่มีธรรมเครื่อง
เนิ่นช้าเป็นที่มายินดี    ผู้ยินดีในธรรมเครื่องไม่เนิ่นช้า   ไม่ใช่สำหรับผู้มี
ธรรมเครื่องเนิ่นช้าเป็นที่มายินดี    ผู้ยินดีในธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า.      ก็
พระเถระเมื่อจะแสดงธรรมที่ทรงแสดงแล้วนั้น   จึงกล่าวว่า  พระพุทธเจ้า
ทรงยินดีในธรรมเครื่องไม่เนิ่นช้า   ทรงแสดงธรรมเครื่องไม่เนิ่นช้า.
         อธิบายว่า  กิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้น    ชื่อว่า ปปัญจธรรม  ธรรม
เครื่องเนิ่นช้า   โลกุตรธรรมทั้งหลายชื่อว่า  นิปปปัญจธรรม   ธรรมเครื่อง
ไม่เนิ่นช้า   เพราะเข้าไปสงบระงับกิเลสเหล่านั้น   และเพราะกิเลสเหล่านั้น
ไม่มี,    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยินดี    คือทรงยินดียิ่งในธรรมเครื่องไม่
เนิ่นช้านั้น   ได้ทรงแสดงธรรมตามที่ทรงบรรลุเช่นนั้น   คือทรงประกาศ
พระธรรมเทศนาว่าด้วยสัจจะทั้ง ๔   ที่พระองค์ทรงยกขึ้นแสดงเอง.
         บทว่า  ตสฺสาหํ     ธมฺมมญฺ?าย  ความว่า  เรารู้พระธรรมเทศนา
ของพระศาสดานั้นแล้ว    ปฏิบัติตามที่ทรงพร่ำสอนอยู่  เป็นผู้ยินดี   คือ
ยินดียิ่งในคำสอนอันสงเคราะห์ด้วยสิกขา  ๓.

   

หน้าที่ 172

         พระเถระครั้นแสดงการสมาคมการอยู่ร่วมของตน  ซึ่งเป็นประโยชน์ 
อันพระศาสดาทรงให้สำเร็จแล้วด้วยการสมาคมนั้น         บัดนี้เมื่อจะแสดง
ความเป็นผู้ปรารภความเพียร     จำเดิมแต่กาลที่คนบวชแล้ว    และการเสีย
สละความสุขในการนอน   และความสุขในการนอนข้าง   เพราะความเป็น
ผู้ไม่ห่วงในร่างกาย    และความเป็นผู้ปรารภความเพียร   จำเดิมแต่กาลที่มี
มิทธะน้อย  จึงกล่าวคาถาว่า  ปญฺจปญฺ?าสวสฺสานิ   ดังนี้.
         บรรดาบทเหล่านั้น      บทว่า   ยโต   เนสชฺชิโก   อหํ    ความว่า
จำเดิมแต่กาลที่เราได้เห็นคุณมีอาทิอย่างนี้ว่า   ความเกื้อกูลแก่การประกอบ
ความเพียร   ความประพฤติของสัปบุรุษอันเกี่ยวเนื่องด้วยกรรมฐาน   และ
ความประพฤติขัดเกลากิเลส        แล้วเป็นผู้ถือการนั่งเป็นวัตรนั้นเป็นเวลา
๕๕ ปี.
         บทว่า   ยโต    มิทฺธํ   สมูหตํ    ความว่า   จำเดิมแต่กาลที่เราเสีย
สละการนอนหลับนั้นเป็นเวลา  ๒๕ ปี.    บางอาจารย์กล่าวว่า    พระเถระ
เป็นผู้ถือการนั่งเป็นวัตร  ๕๕  ปี   เบื้องต้นไม่ได้หลับ  ๒๕  ปี   ต่อแต่นั้น
จึงได้หลับในเวลาปัจฉิมยาม   เพราะร่างกายอ่อนเปลี้ย.
         คาถา ๓  คาถามีอาทิว่า  นาหุ   อสฺสาสปสฺสาสา นี้   พระเถระถูก
ภิกษุทั้งหลายถามในเวลาที่พระศาสดาเสด็จปรินิพพานว่า     พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าเสด็จปรินิพานแล้วหรือ  เมื่อจะประกาศภาวะคือการปรินิพพาน
จึงกล่าวไว้.
         บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  นาหุ  อสฺสาสปสฺสาสา   €ิตจิตฺตสฺส
ตาทิโน    ความว่า    ลมอัสสาสปัสสาสะมิได้มีแก่พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า
ผู้คงที่   ผู้เข้าสมาบัติทุกอย่างอื่นเกลื่อนกล่นด้วยอาการต่าง ๆ  โดยอนุโลม

   

หน้าที่ 173

และปฏิโลม    แล้วออกจากสมาบัติในตอนหลังสุด    มีพระหฤทัยตั้งมั่นอยู่
ในจตุตถฌาน.
         ด้วยคำนั้น   ท่านแสดงว่า  กายสังขารของท่านผู้เข้าจตุตถฌาน  ย่อม
ดับไป    และลมอัสสาสปัสสาสะ    ท่านเรียกว่ากายสังขาร    เพราะเหตุนั้น
จำเดิมแต่ขณะอยู่ในจตุตถฌาน   ลมอัสสาสปัสสาสะจึงไม่มี.
         ชื่อว่าผู้ไม่หวั่นไหว    เพราะไม่มีความหวั่นไหวกล่าวคือตัณหา   อีก
อย่างหนึ่ง   ชื่อว่าผู้ไม่หวั่นไหว   เพราะเป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในสมาธิ.
         บทว่า   สนฺติมารพฺภ   ได้แก่   ปรารภ     คืออาศัย   หมายเอาอนุ-
ปาทิเสสนิพพาน.
         บทว่า   จกฺขุมา   ได้แก่  ผู้มีจักษุด้วยจักษุ  ๕.   บทว่า ปรินิพฺพุโต
แปลว่า   ปรินิพพานแล้ว.
         จริงอยู่     ในคำนี้มีอธิบายดังต่อไปนี้ :-      พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
เข้าผลสมาบัติในจตุตถฌานอันมีพระนิพพานเป็นอารมณ์    แล้วเสด็จปริ-
นิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ       ในลำดับแห่งจตุตถฌานนั้นนั่น-
แหละ.
         บทว่า  อสลฺลีเนน  ได้แก่  มีพระหฤทัยไม่หดหู่   คือเบิกบานดีแท้.
บทว่า   เวทนํ  อชฺฌวาสยิ   ความว่า  เป็นผู้มีสัมปชัญญะ    ทรงอดกลั้น
เวทนาอันเกิดในเวลาใกล้มรณะ.    คือไม่เป็นไปตามเวทนาดิ้นรนไปรอบๆ.
         ด้วยบทว่า   ปชฺโชตสฺเสว  นิพฺพานํ  วิโมกฺโข  เจตโส  อหุ  ท่าน
แสดงว่า   ประทีปที่ลุกโพลง   อาศัยน้ำมัน   อาศัยไส้  จึงโพลงอยู่    เมื่อ
น้ำมันและไส้หมด   ย่อมดับไป  และดับแล้ว  ย่อมไม่ไปอยู่ที่ไหน ๆ  ย่อม
หายไปโดยแท้ ย่อมถึงการมองไม่เห็นฉันใด  ขันธสันดานก็ฉันนั้น  อาศัย

   

หน้าที่ 174

กิเลสและอภิสังขารเป็นไปอยู่   เมื่อกิเลสและอภิสังขารเหล่านั้นสิ้นไป   ย่อม
ดับไป   และดับไปแล้วย่อมไม่ตั้งอยู่ในที่ไหน ๆ   ย่อมอันตรธานไปโดยแท้
ย่อมถึงการมองไม่เห็นเลย     ด้วยเหตุนั้น    ท่านจึงกล่าวว่า    นักปราชญ์
ทั้งหลายย่อมดับไป      เหมือนดวงประทีปนี้ดับไปฉะนั้น     และมีอาทิว่า
เหมือนเปลวไฟถูกกำลังลมเป่าฉะนั้น.
         บทว่า   เอเต  นี้    ท่านกล่าวโดยความที่ธรรมทั้งหลายอันเป็นไปใน
พระสันดารของพระศาสดา  ในขณะเวลาจะปรินิพพาน     ได้ประจักษ์แก่
ตน.    ชื่อว่ามีครั้งสุดท้าย    เพราะเบื้องหน้าแต่นั้นไม่มีการเกิดขึ้นแห่งจิต.
บทว่า   ทานิ   แปลว่า  บัดนี้.
         บทว่า    ผสฺสปญฺจมา  นี้      ท่านกล่าวโดยความที่ธรรมทั้งหลายมี
ผัสสะเป็นที่  ๕  ปรากฏขึ้น.     จริงอย่างนั้น     แม้ในกถาว่าด้วยจิตตุปบาท
ท่านก็กล่าวธรรมมีผัสสะเป็นที่  ๕ ไว้ข้างต้น.
         บทว่า   อญฺเ?   ธมฺมา   ได้แก่   ธรรม   คือจิตและเจตสิกเหล่าอื่น
พร้อมด้วยที่อาศัย  ไม่ใช่จิตและเจตสิกในเวลาปรินิพพาน.  ถามว่า   แม้จิต
และเจตสิกในเวลาปรินิพพาน   ก็จักไม่มีเลยมิใช่หรือ ?   ตอบว่า   จักไม่มี
ก็จริง      แต่เพราะไม่มีความกินแหนงใจ      ไม่ควรกล่าวหมายเอาจิตและ
เจตสิกธรรมเหล่านั้นว่า   จักไม่มี.   หากจะพึงมีความหนึ่งใจว่า   ก็ธรรม
อื่นจักมี     ดุจมีแก่พระเสขะและปุถุชนไหม     ดังนั้น     เพื่อจะห้ามความ
แหนงใจข้อนั้น   ท่านจึงกล่าวว่า   ธรรมเหล่าอื่นจักไม่มี   ดังนี้.
         พระเถระเรียกเทวดาว่า ชาลินิ   ในคำว่า   นตฺถิ   ทานิ   ปุนาวาโส
เทวกายสฺมึ    ชาลินิ    นี้    อธิบายว่า   บัดนี้เราไม่มีการอยู่อีกต่อไป   ด้วย
อำนาจการเกิดในเทวดา    คือในเทพนิกาย   ได้แก่ในหมู่เทพ.   ท่านกล่าว

   

หน้าที่ 175

เหตุในข้อนั้นด้วยบทมีอาทิว่า   วิกฺขีโณ  หมดสิ้นแล้ว. 
         ได้ยินว่า       เทวดานั้นเป็นหญิงบำเรอของพระเถระในชาติก่อน
เพราะฉะนั้น   บัดนี้    เทวดานั้นเห็นพระเถระแก่เฒ่าแล้ว   จึงมาด้วยความ
สิเนหาอันมีในก่อน   อ้อนวอนขอให้อุปบัติในเทวดาว่า   ท่านจงตั้งจิตไว้
ในเทพนิกายที่ท่านเคยอยู่ในกาลก่อน.  ลำดับนั้น   พระเถระได้ให้คำตอบ
แก่เทวดานั้น  ด้วยคำมีอาทิว่า  บัดนี้  (การอยู่ในภพใหม่ ) ไม่มี.   เทวดา
ได้ฟังดังนั้น  หมดความหวัง  ได้หายไปในที่นั้นเอง.
         ลำดับนั้น   พระเถระเหาะขึ้นสู่เวหาส   เมื่อจะประกาศอานุภาพของ
ตน   แก่เพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย    จึงกล่าวคาถาว่า    ยสฺส    มุหุตฺเตน
ดังนี้.
         ความแห่งคำอันเป็นคาถานั้นว่า  ภิกษุขีณาสพใดรู้แจ้ง  คือรู้ได้โดย
ชอบ  ได้แก่ กระทำให้ประจักษ์ซึ่งโลกพร้อมกับพรหมโลกตั้งพันประเภท
คือพันประการ     ได้แก่     ประเภทโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฎิ.
จักรวาล๑  โดยกาลเพียงครู่เดียวเท่านั้น   ภิกษุนั้นเป็นผู้ถึงความชำนาญในคุณ
คืออิทธิฤทธิ์     คือในความถึงพร้อมด้วยฤทธิ์และในจุติและอุปบัติ   ด้วย
ประการอย่างนี้    ย่อมเห็นเทวดาในเวลาเข้าไป    คือพระเถระนั้นไม่เสื่อม
ในการเห็นเทวดาทั้งหลาย.    ได้ยินว่า   เมื่อพระเถระกล่าวคาถาว่า   บัดนี้
(ภพใหม่) ไม่มี  ดังนี้  ด้วยการให้คำตอบแก่เทวดาชาลินี  ภิกษุทั้งหลาย
ไม่เห็นเทวดาชาลินี     จึงคิดว่า   พระเถระร้องเรียกอะไร ๆ  ด้วยการเรียก
ธรรมหรือหนอ.    พระเถระรู้อาจาระแห่งจิตของภิกษุเหล่านั้น    จึงกล่าว
คาถานี้ว่า  ยสฺส  มุหุตฺเตน  ดังนี้.

๑.  อัง.   ติก.  ๒๐/ ข้อ  ๕๒๐.

   

หน้าที่ 176

         บทว่า    อนฺนภาโร    ปุเร    ได้แก่   ผู้มีนามอย่างนี้ในชาติก่อน. 
บทว่า  ฆาสหารโก   ได้แก่    ผู้การทำการรับจ้างเพื่อต้องการเพียงอาหาร
เลี้ยงชีวีต.                                                                             
         บทว่า  สมณํ  ได้แก่  ผู้มีบาปสงบแล้ว.
         บทว่า   ปฏิปาเหสิ    ได้แก่    มอบถวายเฉพาะหน้า,    อธิบายว่า
เป็นผู้มีหน้าเฉพาะะด้วยความเลื่อมใส  ได้ให้ทานอาหาร.
         บทว่า    อุปริฏฺ€ํ    ได้แก่    พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้มีนามอย่างนั้น.
บทว่า  ยสสฺสินํ  ได้แก่   ผู้มีเกียรติ  คือมียศปรากฏ.   ด้วยคาถานี้   พระ-
เถระแสดงถึงบุรพกรรมของตน   ซึ่งเป็นเหตุให้ได้สมบัติอันยิ่งใหญ่   จน
กระทั่งอัตภาพสุดท้าย .   ด้วยเหตุนั้น  ท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า  เรานั้นเกิด
ในศากยตระกูล.
         บทว่า  อิโต  สตฺต   ความว่า  จุติจากมนุษยโลกนี้   แล้วเป็นเทพ
๗   ครั้ง  ด้วยความเป็นใหญ่อันเป็นทิพย์ในเทวโลก.
         บทว่า   ตโต   สตฺต   ความว่า   จุติจากเทวโลกนั้นแล้วเป็น  ๗  ครั้ง
โดยเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในมนุษยโลก.
         บทว่า   สํสารานิ   จตุทฺทส   ได้แก่   ท่องเที่ยวไปในระหว่างภพ
๑๔  ครั้ง.
         บทว่า  นิวาสมภิชานิสฺสํ   แปลว่า  ได้รู้ขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในชาติ
ก่อน.
         บทว่า   เทวโลเก  €ิโต   ตทา   ความว่า  ก็เราได้รู้ขันธ์ที่เคยอาศัย
อยู่ในกาลก่อนนั้น    ในอัตภาพนี้เท่านั้นก็หามิได้   โดยที่แท้    ในคราวที่
ดำรงอยู่ในเทวโลก   ในอัตภาพที่ล่วงมาติดต่อกับอัตภาพนี้   เราก็ได้รู้.

   

หน้าที่ 177

         บัดนี้     พระเถระเมื่อจะแสดงอาการที่ตนได้ทิพจักษุญาณและจุตูป-
ปาตญาณ   จึงได้กล่าวคาถา  ๒   คาถาโดยนัยมีอาทิว่า  ปญฺจงฺคิเก   สมาธิ
ประกอบด้วยองค์  ๕.
         บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  ปญฺจงฺคิเก  สมาธิมฺหิ  ได้แก่  สมาธิ
ในจตุตถฌานอันเป็นบาทแห่งอภิญญา,     จริงอยู่     จตุตถฌานสมาธินั้น
ท่านเรียกว่า  สมาธิประกอบด้วยองค์  ๕  เพราะประกอบด้วยองค์ ๕ เหล่านี้
คือความแผ่ไปแห่งปีติ    ความแผ่ไปแห่งสุข    ความแผ่ไปแห่งใจ    ความ
แผ่ไปแห่งอาโลกแสงสว่าง  และปัจจเวกขณนิมิต   นิมิตสำหรับเป็นเครื่อง
พิจารณา.
         บทว่า  สนฺเต   ความว่า  ชื่อว่าสงบ  เพราะสงบระงับข้าศึก   และ
เพราะมีองค์สงบแล้ว.
         บทว่า  เอโกทิภาวิเต   ได้แก่  ถึงความเป็นธรรมเอกผุดขึ้น  อธิบาย
ว่า   ถึงความเป็นผู้เชี่ยวชาญในธรรมที่พระพฤติดีแล้ว.
         บทว่า   ปฏิปฺปสฺสทฺธิลทฺธมฺหิ   แปลว่า   ได้ความสงบระงับกิเลส
ทั้งหลาย.
         บทว่า   ทิพฺพจกฺขุ   วิสุชฺฌิ   เม   ความว่า   เมื่อสมาธิมีประการ
อย่างนี้พรั่งพร้อมแล้ว    ทิพจักษุญาณของเราจึงบริสุทธิ์    คือได้เป็นทิพ-
จักษุญาณอันหมดจด  โดยความหลุดพ้นจากอุปกิเลส  ๑๑ ประการ.       
         บทว่า  จุตูปปาตํ   ชานานิ   ความว่า   เรารู้จุติและอุปบัติแห่งสัตว์
ทั้งหลาย,   ก็เมื่อรู้ย่อมรู้การมาและการไปของสัตว์ทั้งหลายว่า   สัตว์เหล่านี้
มาจากโลกโน้นแล้วอุปบัติในโลกนี้      และไปจากโลกนี้แล้วอุปบัติในโลก
โน้น     และเมื่อรู้นั่นแหละ    ย่อมรู้ได้ก่อนกว่าอุปบัติถึงความเป็นอย่างนี้

   

หน้าที่ 178

คือความเป็นมนุษย์ของสัตว์เหล่านั้น    และความเป็นประการอื่นจากความ 
เป็นมนุษย์นั้น    และความเป็นเดียรัจฉานโดยประการอื่น.    พระเถระเมื่อ
จะแสดงว่า   ความรู้นี้นั้นแม้ทั้งหมดย่อมมี   ในเมื่อสมาธิอันประกอบด้วย
องค์  ๕ ถึงพร้อม   จึงกล่าวว่า  ดำรงอยู่ในฌานอันประกอบด้วยองค์  ๕.
ในคำนั้นมีอธิบายว่า  เราเป็นผู้ดำรงคือประดิษฐานอยู่ในฌานอันประกอบ
ด้วยองค์  ๕ นั้น   จึงรู้อย่างนี้.                         
         พระเถระครั้นแสดงวิชชา  ๓  อย่างนี้แล้ว      เมื่อจะแสดงวิชชาที่  ๓
พร้อมทั้งความสำเร็จแห่งกิจ       แม้ที่ได้แสดงไว้แล้วในครั้งก่อน      โดย
ประสงค์เอาวิชชา  ๓ นั้น    จงกล่าวคาถา  ๒  คาถาโดยนัยมีอาทิว่า   พระ-
ศาสดาเราคุ้นเคยแล้ว.
         บรรดาบทเหล่านั้น  บทว่า  วชฺชีนํ   เวฬุวคาเม   ได้แก่  ในเวฬุว-
คามแห่งแคว้นวัชชี        คือในเวฬุวคามซึ่งเป็นที่เข้าจำพรรษาครั้งสุดท้าย
ในแคว้นวัชชี.   บทว่า  เหฏฺ€โต   เวฬุคุมฺพสฺมึ    ได้แก่   ในภายใต้พุ่มไผ่
พุ่มหนึ่งในเวฬุวคามนั้น.   บทว่า  นิพฺพายิสฺสํ  แปลว่า  เราจักนิพพาน
อธิบายว่า  เราจักปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ.
        จบอรรถกถาอนุรุทธเถรคาถาที่  ๙

   

หน้าที่ 179

                
๑๐. ปาราสริยเถรคาถา
 
           
ว่าด้วยความประพฤติของภิกษุเมื่อก่อนอย่างหนึ่งขณะนี้อย่างหนึ่ง
   
       [๓๙๔]    พระปาราสริยเถระผู้เป็นสมณะ    ผู้มีจิตแน่วแน่เป็น
    อารมณ์เดียว   ชอบสงัด   เจริญฌาน    นั่งอยู่ในป่าใหญ่
    มีดอกไม้บานสะพรั่ง  ได้มีความคิดว่า เมื่อพระผู้เป็นอุดม
    บุรุษเป็นนาถะของโลก  ยังทรงพระชนม์อยู่   ความประ-
    พฤติของภิกษุทั้งหลายเป็นอย่างหนึ่ง    เมื่อพระองค์เสด็จ
    ปรินิพพานไปแล้ว  เดี๋ยวนี้ปรากฏเป็นอย่างหนึ่ง  คือภิกษุ
    ทั้งหลายแต่ปางก่อน   เป็นผู้สันโดษด้วยปัจจัยตามมีตามได้
    นุ่งห่มผ้าเป็นปริมณฑล  ก็เพียงเพื่อจะป้องกันความหนาว
    และลม และปกปิดความละอายเท่านั้น.  ภิกษุทั้งหลายแต่
    ปางก่อน   ขบฉันอาหารประณีตก็ตาม   เศร้าหมองก็ตาม
    น้อยก็ตาม  มากก็ตาม    ก็เพื่อยังอัตภาพให้เป็นไปเท่านั้น
    ไม่ติดไม่พัวพันเลย.  ภิกษุทั้งหลายแต่ปางก่อน  (แม้จะถูก
    ความเจ็บไข้ครอบงำ)  ไม่ขวนขวายหาเภสัชปัจจัยอันเป็น
         บริขารแห่งชีวิต  เหมือนการขวนขวายหาความสิ้นไปแห่ง
    อาสวะทั้งหลาย  ท่านเหล่านั้นขวนขวายพอกพูนวิเวก   มุ่ง
          แต่เรื่องวิเวก   อยู่ในป่า   โคนไม้  ซอกเขาและถ้ำเท่านั้น
    ภิกษุทั้งหลายแต่ปางก่อนเป็นผู้อ่อนน้อม   มีศรัทธาตั้งมั่น
    เลี้ยงง่าย    อ่อนโยน   มีน้ำใจไม่กระด้าง     ไม่ถูกกิเลส
     รั่วรด     ปากไม่ร้าย     เปลี่ยนแปลงตามความคิดอันเป็น



-----------------------------------------



พระคาถาพระอนุรุธเถรเจ้า

-http://www.dhamdee.com/board/index.php?act=ST&f=1&t=199-

มัยหังปุตโต ปุญญะวากะตา
ภินิหาโร ภะวิสสะติ เทวะตะหิ ปาติง
ปูเรตวา ปูวาปะหิตา ภะวิสสะตีติ

พระคาถาบทนี้เป็นพระคาถาของพระอนุรุธะเถระเจ้า เป็น
พระคาถาที่ท่านโบราณาจาริย์หวงแหนปิดบังกันมาก อำนาจ
ของมนต์พระคาถาบทนี้ผู้ใดได้เล่าบ่นจำเริญไว้ประจำหมั่นทำบุญ
ตักบาตร์เป็นนิจสินแล้วสวดพระคาถานี้อธิษฐาน ปรารถนา เอาสิ่ง
ซึ่งตน พึ่งประสงค์ สิ่งนั้น จะพลัน อุบัติให้ได้ด้วย อำนาจเทพยดา
บรรดาลให้เป็นไปภาวนาพระคาถาบทนี้แล้วไซร้จะคิดทำอย่างไร
อย่าพูดคำว่า "ไม่มี-ไม่ได้" เพราะอำนาจของพระคาถานี้จะดล
บรรดาลให้ได้สำเร็จดุจเยี่ยงเดียวกับอนุรุทธะ กุมาร ซึ่งท่านไม่เคย
รู้จักคำว่า "ไม่มี" เลยตลอดชนมายุของท่านแล



.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 27, 2014, 02:12:36 pm
ขอเชิญร่วมมหากุศลเป็นเจ้าภาพผ้าป่ามหาพุทธบูชา “วิสาขปุรณมี”
จำนวน 1,500 กอง กองละ 1,000 บาท หรือร่วมบุญตามกำลังศรัทธา
วันอังคารที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ (วันวิสาขบูชา)
การร่วมทำบุญ บช.เลขที่189-0-13128-8
ชื่อบัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ
บมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว10






องค์พระภิกษุที่ท่านจะมาเป็นประธานของคณะสงฆ์ในการรับมอบระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งระบบ  ที่พระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง

พระครูวิมลภาวนาคุณ
(หลวงพ่อจื่อ พันธมุตโต )
วัดเขาตาเงาะอุดมพร
ตำบลหนองบัวระเหว อำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ

ผมเคยกราบแล้วเมื่องานฉลองพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง  จริยาวัตรงดงามครับ

กราบหลวงปู่จื่อครับ


ที่มาของรูป -http://www.kaentong.com/index.php?topic=4612.0-
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 27, 2014, 04:15:56 pm
..........................อัตโนประวัติ..........................

พระครูวิมลภาวนาคุณ (หลวงปู่จื่อ พันธมุตโต)
วัดเขาตาเงาะอุดมพร ตำบลหนองบัวระเหว
อำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ


-https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD-%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B9%82%E0%B8%95-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3/694273903935412-


(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/s403x403/1798652_786153864747415_542394915_n.jpg)

พระครูวิมลภาวนาคุณ หรือ หลวงปู่จื่อ พันธมุตโต เกิดเมื่อ วันพฤหัสบดี ที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๖ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะแม ที่ตำบลบ้านกอก อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ

อุปสมบท เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๑๘ ที่ วัดศรีแก้งคร้อ ตำบลช่องสามหมอ อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ พระอุปัชฌาย์ คือ พระโพธิญาณมุนี ท่านกำเนิดเกิดมาในตระกูลคนยากจน
บิดาเป็นคนเชื้อสายจีน ชื่อนายฮอ แซ่จึง มารดาเป็นคนไทย ชื่อนางพี เฉลียวดี ท่านได้รับการศึกษาเพียงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ก็ต้องออกมาช่วยที่บ้านทำงาน เมื่อโตขึ้นมาก็มีฝีมือในทางเย็บผ้า จึงรับจ้างเย็บผ้าหาเลี้ยงชีพ ท่านเข้ามาทำงานในกรุงเทพมหานคร ก็ได้ทำงานในร้านก่อเกียรติ ซึ่งเป็นร้านตัดผ้าชั้นนำในเมืองหลวงในยุคสมัยนั้น

หลวงปู่จื่อ พันธมุตโต ท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่ผาง จิตตคุตโต พระอริยสงฆ์แห่งภาคอีสาน วัดอุดมคงคาคีรีเขต (วัดดูน) อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น หลวงปู่เป็นพระวิปัสสนากรรมฐาน
ธุดงค์บำเพ็ญเพียรไปยังสถานที่ต่างๆ ที่มีความสงบร่มรื่นที่เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติ ทำให้ทราบภูมิประเทศ แหล่งประกอบอาชีพและปัญหาการประกอบอาชีพของประชาชนอย่างมากมาย โดยเฉพาะภูมิประเทศอันเป็นแหล่งต้นกำเนิดแหล่งน้ำสำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือ แม่น้ำชี ซึ่งมีต้นกำเนิดอยู่ที่เทือกเขาสูงจากอำเภอหนองบัวแดง ไหลผ่านอำเภอบ้านเขว้า หนองบัวระเหว อำเภอจัตุรัส และอำเภอเมืองชัยภูมิ

เมื่อปี ๒๕๒๓ ขณะที่ท่านนั่งปฏิบัติธรรมอยู่ ณ วัดเขาตาเงาะอุดมพร ประชาชนชาวหนองบัวระเหว ได้รับความเดือดร้อนจากการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค ท่านจึงคิดพัฒนาแหล่งน้ำ "ลำเชียงทา" เป็นแหล่งน้ำที่ไหลผ่านลงสู่แม่น้ำชี ว่าน่าจะได้มีแหล่งการเก็บกักน้ำไว้ใช้ เพื่อประโยชน์ของชาวชุมชนหนองบัวระเหวและชุมชนใกล้เคียง ท่านจึงได้นำพระภิกษุ ลูกศิษย์ และชาวบ้าน
ร่วมกันก่อสร้างเขื่อนดินด้วยงบประมาณอันน้อยนิดของผู้มีจิตศรัทธาบริจาคและงบประมาณของทางราชการที่สนับสนุน ทำให้ประชาชนในอำเภอบ้านเขว้า อำเภอหนองบัวระเหว และอำเภอเมืองชัยภูมิ ทั้ง 3 อำเภอ ได้มีแหล่งน้ำใช้ทางการเกษตรกรรม หลวงปู่จื่อ พันธมุตโต เป็นผู้เปี่ยมไปด้วยบารมี ท่านเป็นพระสุปฏิปันโนผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นพระนักสร้าง นักพัฒนา ได้สร้างคุณประโยชน์ให้ส่วนรวมมากมาย ทั้งถนนหนทาง และทำฝายเป็นแหล่งกักเก็บน้ำ

วัดเขาตาเงาะอุดมพร ตั้งอยู่ที่ เลขที่ ๑๒ หมู่ ๔ บ้านหัวหนอง ตำบลหนองบัวระเหว อำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ มีพื้นที่โดยประมาณ ๒๐๐ ไร่ จากจังหวัดชัยภูมิ ผ่านบ้านเขว้า ถึงหนองบัวระเหว ๒๗-๓๐ กิโลเมตร โดยประมาณ เส้นทางหลวงหมายเลข ๒๒๕ ชัยภูมิ-นครสวรรค์ โดยมี พระครูวิมลภาวนาคุณ (หลวงปู่จื่อ พันธมุตโต) เป็นเจ้าอาวาสวัดเขาตาเงาะอุดมพร
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 27, 2014, 05:10:51 pm
ประวัติพระอนุรุทธเถระ

-http://www.watpanonvivek.com/index.php?option=com_content&view=article&id=2651:2010-08-29-13-15-45-

ประวัติพระอนุรุทธเถระ

พระอนุรุทธเถระผู้ได้รับการแต่งตั้งจากพระบรมศาสดาให้เป็นยอดของภิกษุทั้งหลายผู้มีจักษุทิพย์ ควรจะได้ทราบว่าการที่พระอนุรุทธเถระเป็นผู้เลิศเช่นนั้น เพราะเป็นผู้มีความชำนาญที่ได้สั่งสมไว้แล้วในเวลาที่ผ่านมา.อรรถกถากล่าวว่า พระเถระนั้น ตลอดทั้งกลางวัน และกลางคืน ได้เจริญอาโลกกสิณตรวจดูเหล่าสัตว์ด้วยทิพยจักษุอย่างเดียว เว้นแต่ช่วงเวลาฉันเท่านั้น ดังนั้น พระเถระนี้จึงชื่อว่าเป็นยอดของภิกษุทั้งหลายผู้มีทิพยจักษุ เพราะเป็นผู้มีความชำนาญอันสะสมไว้ตลอดวันและคืน ไม่เพียงเท่านั้น แต่ยังเนื่องจากท่านได้ตั้งปรารถนาไว้ตลอดแสนกัป ตามเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังต่อไปดังนี้
ความปรารถนาในอดีต

กระทำมหาทานแด่พระปทุมุตตระพุทธเจ้า

ได้ยินว่า ครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ พระอนุรุทธเถระนั้นบังเกิดในสกุลคฤหบดีผู้มหาศาล ครั้นเมื่อเจริญวัยแล้ว อยู่มาวันหนึ่งวันหนึ่งได้ไปยังพระวิหารที่พระพุทธปทุมุตตระประทับอยู่ และฟังธรรมอยู่แถวท้ายหมู่พุทธบริษัทในวิหารนั้น ได้เห็นภิกษุรูปหนึ่งที่พระศาสดาทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของภิกษุผู้มีทิพยจักษุ ท่านจึงปรารถนาที่จะได้เป็นอย่างภิกษุนี้ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลเช่นนั้นบ้าง

ดังนั้นท่านจึงนิมนต์พระพระปทุมุตตระพุทธเจ้า และทำการถวายมหาทานอยู่ ๗ วัน. แล้วท่านจึงหมอบลงแทบพระบาทของพระศาสดา แสดงความปรารถนาว่า ด้วยผลแห่งการถวายทานสักการะนี้ ข้าพระองค์ไม่ปรารถนาสมบัติอื่นใด เพียงแต่ในอนาคตกาล ขอข้าพระองค์พึงได้ตำแหน่งเอตทัคคะนั้นในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล เหมือน ภิกษุที่พระองค์ทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่ง ในวันสุดท้าย ๗ วัน นับแต่วันนี้

พระศาสดาทรงตรวจดูอนาคตกาลด้วยพุทธญาณ ทรงเห็นว่าความปรารถนาของกุลบุตรนี้จักสำเร็จ จึงทรงพยากรณ์ว่ากุลบุตรผู้เจริญ ในที่สุดแห่งแสนกัปในอนาคต พระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม จักทรงอุบัติขึ้น ท่านจักมีชื่อว่าอนุรุทธ ท่านจักเป็นยอดของภิกษุผู้มีทิพยจักษุ ในศาสนาของพระโคดมพุทธเจ้าดังนี้ ครั้นเมื่อทรงพยากรณ์แล้ว ทรงกระทำอนุโมทนาแล้วเสด็จกลับไป.

ตั้งแต่นั้นมา ตราบที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ท่านก็ได้กระทำแต่กรรมที่ดีมาโดยตลอด ครั้นเมื่อพระศาสดาปรินิพพานแล้ว เมื่อเจดีย์ทองประมาณ ๗ โยชน์สร้างสำเร็จแล้ว ท่านจึงเข้าไปหาเหล่าภิกษุสงฆ์ แล้วถามภิกษุสงฆ์เหล่านั้นว่า ทำบุญด้วยอะไรจึงจะทำให้ได้ทิพยจักษุ ภิกษุสงฆ์บอกว่าควรทำบุญด้วยประทีป ท่านจึงให้สร้างต้นประทีปหลายพันต้น และสร้างประทีปบริวารด้วยถ้วยกระเบื้องและถาดสัมริดนับจำนวนไม่ได้ถวายเป็นพุทธบูชา และอธิษฐานว่า ผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้เกิดทิพยจักษุญาณ ท่านกระทำเช่นนี้จนตลอดชีวิต เมื่อหมดอายุขัยแล้ว ก็ท่องเที่ยวไปในภูมิเทวดาและภูมิมนุษย์ทั้งหลาย วนเวียนอยู่เช่นนั้นตลอดแสนกัป

บุรพกรรมในสมัยพระสุเมธสัมมาสัมพุทธเจ้า

ครั้งที่ท่านเกิดในสมัยของพระสุเมธสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน ครั้งนั้นท่านถวายประทีป แก่พระสุเมธสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เข้าฌานอยู่ที่ควงไม้ พระองค์ทรงรับแล้วห้อยไว้ที่ต้นไม้ ท่านได้ถวายไส้ตะเกียงน้ำมันพันหนึ่ง แด่พระพุทธองค์ด้วย ประทีปนั้นลุกโพลงอยู่ ๗ วันแล้วดับไปเอง อานิสงส์ครั้งนั้นท่านได้กล่าวว่า จะนับจะประมาณมิได้ อาทิเช่น

เมื่อท่านเกิดเป็นเทวดา วิมานของท่านก็มีรัศมีรุ่งโรจน์ สว่างไสว ท่านได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์อยู่ ๒๘ ชาติ ท่านมีจักษุอันเป็นทิพย์สามารถมองเห็นได้ไกลหนึ่งโยชน์ ทั้งกลางวันและกลางคืน ท่านมีรัศมีกายแผ่ออกไปจากร่างประมาณโยชน์หนึ่ง ท่านได้เกิดเป็นจอมเทวดาเสวยราชสมบัติในเทวโลก ๓๐ กัป

บุรพกรรมในสมัยพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า

ครั้นสมัยในกาลแห่งพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเกิดในเรือนคฤหบดีใกล้กรุงพาราณสี เมื่อพระศาสดาปรินิพพาน มหาชนได้สร้างพระเจดีย์ประมาณ ๑ โยชน์สำเร็จแล้ว ท่านก็ให้สร้างภาชนะสำริดจำนวนมาก บรรจุเนยใสจนเต็ม แล้ววางไส้ตะเกียงห่างกัน ๑ องคุลี ในภาชนะดังกล่าววางล้อมพระเจดีย์ให้เรียงชิดกันแล้วจุดไฟขึ้นถวายเป็นพุทธบูชา แล้วให้สร้างภาชนะสำริดที่ใหญ่กว่าใส่เนยใสเต็ม จุดไส้ตะเกียงพันดวงรอบ ๆ ขอบปากภาชนะสำริดนั้น แล้วให้จุดไฟขึ้น ท่านเทินภาชนะสำริดไว้บนศีรษะ เดินประทักษิณเวียนบูชาเจดีย์ระยะทางโดยรอบประมาณ ๑ โยชน์ ตลอดคืนจนถึงเช้ารุ่ง เขาแต่กรรมดีจนตลอดชีวิต ครั้นสิ้นชีวิตแล้วบังเกิดในเทวโลก
ถวายภัตแด่พระอุปริฎฐะปัจเจกพุทธเจ้า

ขอจงอย่าได้ยินคำว่า ‘ ไม่มี ’

ในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติขึ้น.เขาถือปฏิสนธิในนครพาราณสีนั้นอีก ในเรือนของตระกูลยาจกเข็ญใจ เขาได้มีชื่อว่า อันนภาระ เป็นคนหาบหญ้า อาศัยอยู่กับสุมนเศรษฐี ผู้ซึ่งให้มหาทานที่ประตูบ้านแก่คนกำพร้า คนเดินทาง วณิพกและยกจก ทุกวัน ๆ

วันหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้า?นามว่าอุปริฎฐะเข้านิโรธสมบัติ ที่ภูเขาคันธมาทน์ ออกจากสมาบัตินั้นแล้ว พิจารณาว่า วันนี้ ควรจะทำการอนุเคราะห์ใคร ธรรมดาพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้อนุเคราะห์คนเข็ญใจ ท่านจึงคิดว่าวันนี้เราควรทำการอนุเคราะห์นายอันนภาระ ท่านทราบว่า นายอันนภาระจะออกจากป่ากลับมายังบ้านตน ท่านจึงเหาะจากภูเขาคันธมาทน์มายืนอยู่ที่หน้านายอันนภาระที่ประตูบ้านนั่นเอง

นายอันนภาระเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าทรงถือบาตรเปล่าจึงนิมนต์ว่าโปรดรออยู่ที่นี้ก่อนเถิดขอรับ แล้วรีบไปถามภรรยาว่า อาหารที่ท่านเตรียมไว้สำหรับเรามีหรือไม่ นางตอบว่า มี เขาจึงไปรับบาตรจากพระปัจเจกพุทธเจ้ามา แล้วกล่าวว่า ด้วยเหตุที่เราไม่ได้ทำกรรมที่ดีไว้ในชาติก่อน เราก็ต้องเป็นลูกจ้างเขาอยู่เช่นนี้ ครั้นเมื่อเราปรารถนาจะทำบุญ แต่ก็ขาดของที่จะทำบุญ ครั้นเมื่อมีของที่จะทำบุญก็หาพระผู้สมควรรับไทยธรรมนั้นไม่ได้ มาวันนี้เราพบพระอุปริฏฐปัจเจกพุทธเจ้าเข้าพอดี และของที่จะทำบุญก็มีอยู่ ท่านจงใส่อาหารที่เป็นส่วนของฉันลงในบาตรนี้ หญิงผู้เป็นภรรยาก็คิดว่า เมื่อใดสามีของเราให้อาหารซึ่งเป็นส่วนของเขา เมื่อนั้นเราก็ควรมีส่วนในทานนี้เช่นกัน คิดดังนั้นแล้วจึงวางอาหารที่เป็นส่วนของตนลงในบาตรถวายแก่อุปริฏฐปัจเจกพุทธเจ้าด้วย นายอันนภาระนำบาตรอันบรรจุภัตตาหารมาถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วกล่าวว่า ขอให้พวกข้าพเจ้าพ้นจากความอยู่อย่างลำบากเช่นนี้เถิด ขอข้าพเจ้าจงอย่าได้สดับคำว่า ‘ ไม่มี ’

พระปัจเจกพุทธเจ้า อนุโมทนาว่า จงสำเร็จอย่างนั้นเถิด เขาจึงปูลาดผ้าห่มของตนลงแล้วนิมนต์พระปัจจเจกพุทธเจ้าเพื่อทรงฉันภัตตาหาร พระปัจเจกพุทธเจ้าทรงนั่ง ณ อาสนะนั้นแล้ว ทรงพิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญา แล้วจึงทรงฉัน เมื่อฉันเสร็จแล้ว นายอันนภาระจึงถวายน้ำสำหรับล้างบาตร ครั้นเสร็จภัตตกิจแล้ว พระปัจเจกพุทธเจ้าทรงกระทำอนุโมทนาว่าสิ่งที่ท่านต้องการแล้ว ปรารถนาแล้วจงสำเร็จทันที

เทวดาที่สิงอยู่ที่ฉัตรของสุมนเศรษฐีเห็นดังนั้นจึงกล่าวสาธุการขึ้น ๓ ครั้ง สุมนเศรษฐีได้ยินเทพยดาประจำฉัตรกล่าวอนุโมทนา จึงคิดว่า เราให้ทานตลอดเวลามากตั้งเท่าไหร่ ก็ยังไม่อาจทำให้เทวดาให้สาธุการ นายอันนภาระที่อาศัยเราอยู่นี้ ถวายบิณฑบาตเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ก็ทำให้เทวดาให้สาธุการได้ เนื่องเพราะเขาได้ทำบุญกับบุคคลผู้ที่สมควรเป็นปฏิคาหก เราพึงให้ทรัพย์แก่นายอันนภาระนั้น แล้วทำให้บุญนั้นเป็นของของเราจึงจะดี

คิดดังนั้นแล้วจึงเรียกนายอันนภาระมาแล้วถามว่าวันนี้เจ้าให้ทานอะไร ๆ แก่ใครหรือ นายอันนภาระตอบว่า ข้าพเจ้าถวายภัตตาหารแก่พระปัจเจกพุทธเจ้านามว่าอุปริฎฐะเศรษฐีกล่าวว่า เจ้าจงรับกหาปณะไปแล้วให้บุญนั้นแก่เราเถอะ นายอันนภาระตอบว่าให้ไม่ได้หรอกนายท่าน เศรษฐีเพิ่มทรัพย์ขึ้นจนถึงพันกหาปณะ นายอันนภาระก็ยังกล่าวว่า แม้ถึงพันกหาปณะก็ยังให้ไม่ได้ เศรษฐีกล่าวอ้อนวอนขอให้ส่วนบุญแก่ฉันเถอะ นายอันภาระกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าส่วนบุญนั้น ควรให้หรือไม่ควรให้ แต่ข้าพเจ้าจะถามพระปัจเจกพุทธเจ้าดู ถ้าควรให้ก็จะให้ ถ้าไม่ควรให้ก็จะไม่ให้

แล้วนายอันนภาระจึงเดินไปถามพระปัจเจกพุทธเจ้าว่า สุมนเศรษฐีให้ทรัพย์แก่ข้าพเจ้าพันหนึ่ง แล้วขอส่วนบุญในบิณฑบาตที่ถวายแก่ท่าน ข้าพเจ้าควรจะให้หรือไม่ให้ พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า เราจะเปรียบให้ท่านฟัง ในบ้านตำบลนี้มีร้อยเรือน เราจุดประทีปไว้ในเรือนหลังหนึ่งเท่านั้น เรือนอื่นเอาตะเกียงของตนมาต่อไฟถือไป แสงของประทีปดวงเดิมยังมีอยู่หรือไม่นายอันนภาระกล่าวว่า แสงประทีปก็จะสว่างขึ้นไปอีก พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่าฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อท่านให้ส่วนบุญแก่คนอื่น พันคนหรือแสนคนก็ตาม ให้แก่คนเท่าใด บุญก็เพิ่มขึ้นแก่ตนเท่านั้น ดังนี้

นายอันนภาระกราบพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วกลับไปยังสำนักของสุมนเศรษฐีกล่าวว่า ขอท่านจงรับส่วนบุญในบิณฑบาตทานเถิด เศรษฐีกล่าวว่า เชิญท่านรับทรัพย์พันกหาปณะไปเถิด นายอันนภาระกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ขายบิณฑบาตทาน แต่ข้าพเจ้าให้ส่วนบุญแก่ท่านด้วยศรัทธา เศรษฐีกล่าวว่า ท่านให้ส่วนบุญแก่เราด้วยศรัทธา แต่เราบูชาคุณของท่าน ฉันให้พันกหาปณะนี้ จงรับไปเถิด นายอันนภาระจึงถือเอาทรัพย์พันกหาปณะไป เศรษฐีกล่าวว่า ตั้งแต่นี้ไปท่านไม่ต้องงานให้เหน็ดเหนื่อย ท่านจงปลูกเรือนอยู่ใกล้ถนนเถิด ถ้าท่านต้องการสิ่งใดฉันจะมอบสิ่งนั้นให้ ท่านจงมานำเอาไปเถอะ

ปกติแล้วบิณฑบาตที่บุคคลใดถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้ออกจากนิโรธสมาบัติ บุคคลนั้นย่อมได้รับผลบุญในวันนั้นนั่นเอง เพราะฉะนั้นสุมนเศรษฐีในครั้งก่อนที่ไปเฝ้าพระราชา ก็ไม่เคยชวนนายอันนภาระไปด้วย แต่ในวันนั้นได้ชวนนายอันนภาระไปด้วย ในวันนั้นพระราชาไม่มองดูเศรษฐีเลย ทรงมองแต่นายอันนภาระเท่านั้น เศรษฐีจึงทูลถามว่า เหตุไฉนพระองค์จึงทรงมองดูแต่บุรุษผู้นี้ พระราชาตรัสว่า เรามองดูเขาเพราะไม่เคยเห็นเขาเข้าเฝ้าในวันอื่น ๆ เขาชื่ออะไร เศรษฐีทูลว่า ชื่อนายอันนภาระ แล้วเศรษฐีก็ได้เล่าเรื่องที่เขาไม่บริโภคอาหารของตน แต่ถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้านามว่าอุปริฎฐะ แล้วเขาได้แบ่งส่วนบุญให้ เขาได้ทรัพย์พันกหาปณะจากตนเพื่อบูชาบุญนั้น พระราชาตรัสว่า เขาก็ควรจะได้จากเราบ้าง เราเองก็ควรทำการบูชาบุญนั้น แล้วจึงพระราชทานทรัพย์พันกหาปณะให้นายอันนภาระ แล้วตรัสสั่งให้พนักงานสำรวจดูบริเวณที่จะปลูกเรือนที่นายอันนภาระจะอยู่

เมื่อพนักงานกำลังจัดแจงแผ้วถางที่สำหรับเรือนนั้นก็ได้พบขุมทรัพย์ชื่อปิงคละ ในที่นั้นตั้งเรียงกัน จึงมากราบทูลพระราชา ๆ สั่งให้ไปขุดขึ้นมา เมื่อพนักงานเหล่านั้นกำลังขุดอยู่ ขุมทรัพย์ก็กลับจมลงไป พนักงานเหล่านั้นไปกราบทูลพระราชาอีก พระราชาตรัสว่า ทรัพย์นั้นเป็นของนายอันนภาระ จงไปขุดเพื่อนายอันนภาระ พนักงานก็ไปขุดตามคำสั่ง ขุมทรัพย์ก็ผุดขึ้น พนักงานเหล่านั้นขนทรัพย์มากองไว้ในพระราชวัง พระราชาประชุมอำมาตย์ทั้งหลายแล้วตรัสถามว่า ในเมืองนี้ใครมีทรัพย์มีถึงเท่านี้บ้าง อำมาตย์ทูลว่า ไม่มีใครมี พระราชาตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น นายอันนภาระนี้จงชื่อว่า ธนเศรษฐีในพระนครนี้ เขาได้ฉัตรประจำตำแหน่งเศรษฐีในวันนั้นนั่นเอง.

กำเนิดเป็นเจ้าอนุรุทธศากยะในสมัยพระสมณโคดมพุทธเจ้า

ตั้งแต่วันนั้น เขากระทำแต่กรรมอันดีงามจนตลอดชีวิตจุติจากภพนั้นไปเกิดในเทวโลก เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์เป็นเวลานาน ครั้งที่พระศาสดาของพวกเราทรงอุบัติ เขาก็มาถือปฏิสนธิเป็น เจ้าอนุรุทธ พระโอรสแห่งเจ้าอมิโตทนะศากยะ ผู้เป็นพระอนุชาแห่งพระพุทธบิดา คือพระเจ้าสุทโธทนศากยะ?แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ เจ้าอนุรุทธเป็นน้องชายของเจ้ามหานามะศากยะ ท่านทรงเป็นสุขุมาลชาติอย่างยิ่ง เป็นผู้มีบุญมาก ทรงมีโภคะสมบูรณ์ ไม่เคยทรงสดับคำว่า“ ไม่มี ” มีเรื่องเล่าว่า

ทรงโปรดขนมชื่อว่า?“ไม่มี”

วันหนึ่งเมื่อท่านพร้อมกับพระญาติ ๕ พระองค์ทรงเล่นกีฬาลูกขลุบอยู่ เจ้าอนุรุทธทรงแพ้พนันขนมแล้ว จึงให้มหาดเล็กไปกราบทูลพระมารดาเพื่อให้ส่งขนมมาเป็นค่าที่แพ้พนัน พระมารดาของท่านก็ทรงจัดขนมส่งไป ศากยราชทั้งหกเสวยแล้วทรงเล่นกันอีก เจ้าอนุรุทธก็เป็นฝ่ายแพ้ร่ำไป ส่วนพระมารดาต้องส่งขนมไปถึง ๓ ครั้ง ในวาระที่ ๔ จึงทรงให้ไปแจ้งว่า “ ขนมไม่มี” พระกุมารทรงคิดว่า “ ขนมชื่อนี้ คงเป็นขนมประหลาดชนิดหนึ่ง ” เพราะไม่เคยทรงได้ยินคำว่า “ ไม่มี ” จึงส่งคนไปทูลพระมารดาว่า “ ให้นำขนมไม่มี นั่นแหละมาเถิด”

ฝ่ายพระมารดาของท่าน เมื่อมหาดเล็กทูลว่า “ เจ้าอนุรุทธขอให้ทรงประทานขนมชื่อ ‘ไม่มี’ ไปถวาย ” จึงทรงพระดำริว่า “ ลูกของเราไม่เคยได้ยินคำว่า ‘ ไม่มี ’ เราจะสอนลูกเราให้รู้คำนั้นด้วยอุบายนี้ ” จึงทรงปิดถาดทองคำเปล่าด้วยถาดทองคำอีกใบหนึ่งแล้วส่งไป.

ด้วยผลแห่งอธิษฐานในคราวที่เจ้าอนุรุทธศากยะเกิดเป็นนายอันนภาระ ได้ถวายภัตตาหารแด่พระปัจเจกพุทธเจ้านามว่าอุปริฏฐะ และทำความปรารถนาไว้ว่า ‘ ขอข้าพเจ้าจงอย่าได้สดับคำว่า ‘ ไม่มี ’ จึงทำให้ถาดนั้นให้เต็มด้วยขนมทิพย์ เมื่อถาดนั้นพอเขาวางลงที่สนามเล่นขลุบแล้วเปิดขึ้น กลิ่นขนมก็ตั้งตลบไปทั่วทั้งพระนคร พอกษัตริย์ทั้งหกหยิบชิ้นขนมเข้าไปในพระโอฐเท่านั้น โอชะก็แผ่ซ่านไปทั่วประสาทรับรสทั้งเจ็ดพัน.

พระกุมารนั้นทรงพระดำริว่า “พระมารดาคงจะไม่รักเรา,พระมารดาจึงไม่ทรงปรุงขนมชื่อไม่มีนี้ประทานเรามาก่อน,ตั้งแต่นี้ไป เราจะไม่กินขนมอื่น,” แล้วเสด็จไปสู่ตำหนัก ทูลถามพระมารดาว่า “ เจ้าแม่ หม่อมฉันเป็นที่รักของเจ้าแม่หรือไม่เป็นที่รัก ? ”

เจ้าย่อมเป็นที่รักยิ่งของแม่ เสมือนนัยน์ตาของคนมีตาข้างเดียว และเหมือนดวงใจของแม่ ฉะนั้น.

เมื่อเช่นนั้น เหตุไร เจ้าแม่จึงไม่เคยทรงปรุงขนมไม่มี ประทานแก่หม่อมฉันเล่า เจ้าแม่.

พระนางรับสั่งถามมหาดเล็กคนสนิทว่า “ ขนมอะไร ๆ มีอยู่ในถาดหรือ ” มหาดเล็กทูลว่า “ มีขนมเกิดขึ้นเองอยู่เต็มถาด,ขนมเช่นนี้ กระหม่อมฉันก็ยังไม่เคยเห็น” พระนางทรงพระดำริว่า “ บุตรของเราคงเป็นผู้มีบุญ บุญนั้นคงทำให้มีขนมเต็มถาด” พระโอรสจึงทูลพระมารดาว่า “ เจ้าแม่ ตั้งแต่นี้ไป หม่อมฉันจะไม่เสวยขนมอื่น ขอเจ้าแม่พึงปรุงแต่งขนมไม่มีอย่างเดียว” ตั้งแต่นั้นมา เมื่อพระกุมารทูลขอขนม พระนางก็ทรงครอบถาดเปล่านั่นด้วยถาดอื่น ส่งไปประทานพระกุมารนั้น ขนมทิพย์ก็เกิดขึ้นถวายพระกุมารนั้นตลอดเวลาที่ท่านเป็นฆราวาส
เกิดร่วมสมัยกับพระโพธิสัตว์

ก่อนที่ท่านจะเกิดมาในสมัยพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ ท่านได้เกิดร่วมชาติกับพระโพธิสัตว์อยู่หลายชาติ ดังที่ปรากฎในชาดกต่าง ๆ เช่น

เกิดเป็นปัญจสิขเทพบุตร พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็นท้าววาสวะ ใน?สุธาโภชนชาดก

เกิดเป็นท้าวสักกเทวราช พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็นวิธูรบัณฑิต ใน?จตุโปสถชาดก

เกิดเป็น ๗ พี่น้อง ร่วมกับพระพุทธองค์ ใน?ภิสชาดก

เกิดเป็น ปัพพตดาบส พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็น สรภังคดาบสโพธิสัตว์ ใน?สรภังคชาดก

เกิดเป็น ท้าวสักกเทวราช พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็น พระราชา ใน?มณิโจรชาดก

เกิดเป็น ปัญจาลจันทกุมาร พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็น มโหสถบัณฑิต ใน?มโหสถบัณฑิตชาดก

เกิดเป็น นายสารถี พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็น พระเจ้ากุรุราชโพธิสัตว์ ใน?กุรุธรรมชาดก

เกิดเป็น ปัพพตดาบส พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็น สรภังคดาบส ใน?อินทริยชาดก

เกิดเป็น ท้าวสักกเทวราช พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็น อกิตติบัณฑิต ใน?อกิตติชาดก

เกิดเป็น ท้าวสักกเทวราช พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็น พระเจ้าสีวิราช ใน?สีวิราชชาดก

เกิดเป็น ท้าวสักกเทวราช พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็น พระจันทกุมาร ใน?จันทกุมารชาดก

พระบรมศาสดาทรงอุบัติ

ส่วนพระโพธิสัตว์ของเราจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต มาถือปฏิสนธิในครรภ์ของอัครมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนมหาราช ทรงเจริญวัยโดยลำดับ ทรงครองเรือนอยู่ ๒๙ ปี แล้วทรงเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์?ทรงแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณโดยลำดับ ทรงยับยั้งที่โพธิมัณฑสถาน ๗ สัปดาห์ ประกาศพระธรรมจักร ณ ป่าอิสิปตนมิคทายวัน ทรงกระทำการอนุเคราะห์โลก ครั้นเมื่อพระเจ้าสุทโธทนทรงสดับข่าวว่าพระบรมศาสดามายังกรุงราชคฤห์ จึงทรงรับสั่งให้อำมาตย์กาฬุทายี ไปนิมนต์พระบรมศาสดา อำมาตย์กาฬุทายีก็ได้บวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชาแล้วพระกาฬุทายีเถระทูลวิงวอนให้เสด็จไปโปรดพระพุทธบิดายัง ณ กรุงกบิลพัสดุ์ ในครั้งนั้นทรงทำพระธรรมเทศนาอันวิจิตรแก่พระพุทธบิดาและพระประยูรญาติ เมื่อทรงอนุเคราะห์พระญาติแล้ว ทรงให้ราหุลกุมารบรรพชาแล้ว ไม่นานนัก ก็เสด็จจากกรุงกบิลพัสดุ์ไปจาริกในมัลลรัฐแล้วเสด็จกลับมายังอนุปิยอัมพวัน

ขัติยศากยกุมารออกบวชตามเสด็จ

สมัยนั้น พระเจ้าสุทโธทนมหาราช ทรงประชุมศากยะสกุลทั้งหลายตรัสให้แต่ละตระกูลในศากยราชวงศ์ส่งขัตติยกุมารออกบวชตามเสด็จ ในครั้งนั้นเล่ากันว่า ขัตติยกุมารถึงพันองค์จึงออกผนวชโดยพระดำรัสครั้งเดียวเท่านั้น เมื่อขัตติยกุมารโดยมากเหล่านั้นผนวชแล้ว เหล่าพระญาติเห็นศากยะ ๖ พระองค์นี้ คือ ภัททิยราชา อนุรุทธ อานันทะ ภคุ กิมพิละ เทวทัต ยังมิได้ผนวชจึงสนทนากันว่า “ พวกเรายังให้ลูก ๆ ของตนบวชได้ ศากยะทั้ง ๖ นี้ มิใช่พระญาติหรือจึงมิได้ทรงผนวช”

เมื่อเป็นดังนั้นเจ้ามหานามศากยะจึงเข้าไปหาเจ้าอนุรุทธศากยะผู้เป็นน้อง และกล่าวว่า บัดนี้ ศากยะกุมารที่มีชื่อเสียงเป็นอันมากได้ออกผนวชตามเสด็จ แต่ผู้ออกบวชจากตระกูลของเรายังไม่มี น้องจักบวช หรือว่า พี่จักบวช” พระอนุรุทธราชกุมารจึงทูลถามว่าการบวชนี้เป็นอย่างไร ? ” เจ้ามหานามจึงตรัสว่า “ ผู้บวช ก็ต้องโกนผมและหนวด ต้องนุ่งห่มผ้ากาสายะ ต้องนอนบนเครื่องลาดด้วยไม้ หรือบนเตียงที่ถักด้วยหวาย เที่ยวบิณฑบาตอยู่ นี้ชื่อว่าการบวช.” เจ้าอนุรุทธศากยะจึงทูลว่า“ เจ้าพี่ หม่อมฉันเป็นสุขุมาลชาติ หม่อมฉันจักไม่สามารถบวชได้” เจ้าอนุรุทธกุมารนั้น ทรงเป็นกษัตริย์ผู้สุขุมาล มีโภคะสมบูรณ์ แม้คำว่า“ ไม่มี ” ก็ไม่เคยได้ยิน จึงไม่ยินดีในการบวช

เจ้ามหานามจึงตรัสว่า “?อย่างนั้น ท่านจงเรียนรู้การงานสำหรับอยู่เป็นฆราวาสเถิด ในระหว่างเราทั้งสองจะไม่บวชเลยสักคนก็เป็นเรื่องไม่ควร”

อนุรุทธกุมารผู้ซึ่งไม่รู้แม้กระทั่งว่าอาหารที่ตนบริโภคนั้นเกิดขึ้นที่ไหน ได้มาอย่างไร จะรู้จักการงานได้อย่างไร ?

เจ้าศากยะทั้ง ๓ สนทนากันถึงที่เกิดแห่งข้าว

ก็วันหนึ่ง ยุวกษัตริย์ ๓ องค์ คือ เจ้ากิมพิละ เจ้าอนุรุทธ และเจ้าภัททิยะ ทรงสนทนากันด้วยเรื่องว่า “ ข้าวที่เราบริโภคเกิดขึ้นที่ไหน ? ” กิมพิลกุมาร รับสั่งว่า “ เกิดขึ้นในฉาง” ครั้งนั้นภัททิยกุมาร ตรัสค้านกิมพิลกุมารนั้นว่า “ ท่านยังไม่ทราบที่เกิดแห่งข้าว ชื่อว่าข้าว ย่อมเกิดขึ้นที่หม้อข้าว” เจ้าอนุรุทธตรัสแย้งว่า “ ถึงท่านทั้งสองก็ยังไม่ทรงทราบ ธรรมดาข้าว ย่อมเกิดขึ้นในถาดทองคำประมาณศอกกำ”

ได้ยินว่า บรรดากษัตริย์ ๓ องค์นั้น วันหนึ่ง กิมพิลกุมาร ทรงเห็นเขาขนข้าวเปลือกลงจากฉาง ก็เข้าพระทัยว่าข้าวเปลือกเหล่านี้เกิดขึ้นในฉางนั่นเอง

ฝ่ายพระภัททิยกุมาร ทรงเห็นเขาคดข้าวออกจากหม้อข้าวก็เข้าพระทัยว่า ข้าวเกิดขึ้นในหม้อข้าวนั่นเอง

ส่วนอนุรุทธกุมาร ยังไม่เคยทรงเห็นคนซ้อมข้าว คนหุงข้าว หรือคนคดข้าว ทรงเห็นแต่ข้าวที่เขาคดแล้วตั้งไว้ เฉพาะพระพักตร์เท่านั้น.ท่านจึงทรงเข้าพระทัยว่า “ ภัตเกิดในถาด ในเวลาที่ต้องการบริโภค”

ยุวกษัตริย์ทั้ง ๓ พระองค์นั้น ย่อมไม่ทรงทราบแม้ที่เกิดแห่งข้าวตามเรื่องที่เล่ามาข้างต้น เพราะฉะนั้น?อนุรุทธกุมารนี้จึงทูลถามว่า “การทำงานนี้เป็นอย่างไร ? เจ้ามหานามศากยะ จึงสอนเรื่องการครองเรือนแก่อนุรุทธกุมารผู้น้องว่า ผู้อยู่ครองเรือน ชั้นต้นต้องให้ไถนา ครั้นแล้วให้หว่าน ให้ไขน้ำเข้า ครั้นไขน้ำเข้ามากเกินไป ต้องให้ระบายน้ำออก ครั้นให้ระบายน้ำออกแล้ว ต้องให้ถอนหญ้า ครั้นแล้วต้องให้เกี่ยว ให้ขน ให้ตั้งลอม ให้นวด ให้สงฟางออก ให้ฝัดข้าวลีบออก ให้โปรยละออง ให้ขนขึ้นฉาง ครั้นถึงฤดูฝนก็ต้องทำอย่างนี้อีก เป็นอย่างนี้ทุกปี

ครั้นอนุรุทธกุมารได้ทรงฟังกิจการที่ฆราวาสจะพึงทำเป็นประจำทุกปีเช่นนั้น ทรงมองไม่เห็นว่า การงานสำหรับเพศฆราวาสทั้งหลายจะมีที่สิ้นสุดเมื่อไร จึงทูลให้เจ้ามหานามทรงครองฆราวาส ส่วนตนเองจะเป็นผู้ออกบวช

เจ้าอนุรุทธศากยะขออนุญาตจากพระราชมารดา

เจ้าอนุรุทธศากยะจึงเข้าไปหาพระราชมารดา แล้วกล่าวขออนุญาตที่จะออกบวช พระราชมารดาไม่ทรงยินยอม ท่านได้กล่าวอ้อนวอนถึง ๓ ครั้ง พระราชมารดาของอนุรุทธศากยะทรงคิดว่า พระเจ้าภัททิยศากยะ ผู้ทรงเป็นพระสหายสนิทของอนุรุทธศากยะนี้ ทรงครองราชสมบัติเป็นราชาของพวกศากยะ พระองค์คงจะไม่อาจสละราชสมบัติออกทรงผนวชเป็นแน่ จึงได้กล่าวกะอนุรุทธศากยะว่า ถ้าพระเจ้าภัททิยศากยะทรงผนวช เจ้าก็ออกบวชได้

ลำดับนั้น อนุรุทธศากยะจึงเสด็จไปเข้าไปเฝ้าพระเจ้าภัททิยศากยะ แล้วได้ทูลว่า การบวชของเรานั้นขึ้นอยู่กับตัวท่าน

พระเจ้าภัททิยศากยะตรัสว่า ไม่ว่าการบวชของท่านจะขึ้นอยู่กับตัวเราหรือไม่ก็ตาม ท่านจงบวชตามสบายเถิด

อนุรุทธศากยะได้ยินดังนั้นจึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นเราทั้งสองจะออกบวชด้วยกัน

พระเจ้าภัททิยศากยะตรัสว่า เราไม่สามารถออกบวชได้ ถ้ามีสิ่งอื่นใดที่เราสามารถจะทำให้ท่านได้ เราจะทำสิ่งนั้นให้แก่ท่าน ท่านจงบวชเองเถิด

อนุรุทธศากยะตรัสว่า ก็พระมารดาได้ตั้งเงื่อนไขกับเราว่า ถ้าท่านบวชด้วย พระมารดาก็จะยอมให้เราบวช ก็ท่านพูดเมื่อครู่นี้ว่า เราจงบวชตามความสบาย ดังนั้นเมื่อท่านยอมให้เราบวช ท่านก็ต้องบวชด้วย

ในสมัยนั้น คนทั้งหลายเป็นผู้มีความสัตย์ ดังนั้นพระเจ้าภัททิยศากยะได้ต่อรองว่า จงรออยู่สัก ๗ ปีเถิด เมื่อครบ ๗ ปีแล้ว เราทั้งสองจึงจะออกบวชด้วยกัน ฝ่ายเจ้าอนุรุทธก็ไม่ยินยอม การต่อรองได้ดำเนินไปโดยลดระยะเวลาลงเรื่อย ๆ จนถึง ๗ วัน เจ้าอนุรุทธจึงยินยอม

อุบาลีออกบวชพร้อมด้วยศากยะทั้งหก

แต่นั้น กษัตริย์ทั้งหกองค์นี้ คือ ภัททิยศากยราช อนุรุทธ อานนท์ กคุ กิมพิละ และเทวทัต พร้อมกับนายภูษามาลา ชื่อ อุบาลี ได้เสด็จออกจากเมืองโดยทำเสมือนหนึ่งว่าจะเสด็จไปประพาสอุทยาน เมื่อออกนอกแดนที่เหล่าศากยะทั้ง ๖ ปกครองแล้ว ก็ทรงส่งทหารมหาดเล็กให้กลับพระนคร แล้วเสด็จต่อไปเข้าสู่แดนของศากยะราชพระองค์อื่น กษัตริย์ ๖ พระองค์ก็ทรงเปลื้องอาภรณ์ของตนออกทำเป็นห่อ แล้วรับสั่งให้นายอุบาลีกลับไปพร้อมกับนำเครื่องประดับเหล่านั้นไปเพื่อเลี้ยงชีพ ฝ่ายอุบาลีภูษามาลาไปได้หน่อยหนึ่งก็กลับ โดยคิดว่า “พวกเจ้าศากยะราชโหดร้ายนัก ถ้าเรากลับไปพร้อมเครื่องประดับเช่นนี้ เจ้าศากยราชเหล่านั้นก็จะฆ่าเราเสีย ด้วยเข้าพระทัยว่า พระกุมารทั้งหลายถูกเจ้าคนนี้ปลงพระชนม์เสียแล้ว แล้วก็คิดต่อไปว่า ศากยกุมารเหล่านี้ทรงสละสมบัติ ทิ้งอาภรณ์อันหาค่ามิได้เหล่านี้ราวกับถ่มน้ำลายทิ้ง เพื่อออกผนวช ก็ทำไมเราจึงจะทำเช่นนั้นบ้างไม่ได้เล่า ? ” ครั้นคิดดังนี้แล้ว จึงแก้ห่อเครื่องประดับนั้น เอาอาภรณ์เหล่านั้นแขวนไว้บนต้นไม้แล้ว กล่าวว่า “ ใครต้องการก็จงเอาไปเถิด ” แล้วหันกลับเดินไปสู่สำนักของศากยกุมารเหล่านั้น ศากยกุมารเหล่านั้นเห็น อุบาลีภูษามาลากลับมาจึงตรัสถามถึงเหตุที่กลับมา นายภูษามาลาก็กราบทูลให้ทรงทราบ.

ศากยะทั้งหกบรรลุคุณพิเศษ

ลำดับนั้น ศากยกุมารเหล่านั้น ทรงพาอุบาลีภูษามาลา ไปสู่สำนักพระศาสดาถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว กราบทูลว่า “พระพุทธเจ้าข้า พวกหม่อมฉันเป็นเจ้าศากยะยังมีมานะ ความถือตัวอยู่ อุบาลีผู้นี้เป็น นายภูษามาลา เป็นผู้รับใช้ของหม่อมฉันมานาน ขอพระผู้มีพระภาคจงให้อุบาลีผู้เป็นภูษามาลานี้บวชก่อนเถิด พวกหม่อมฉันจักทำการอภิวาท การลุกรับ อัญชลีกรรม สามีจิกรรม แก่อุบาลีผู้เป็นภูษามาลานี้ เมื่อเป็นอย่างนี้ ความถือตัวว่าเป็นศากยะ ของพวกหม่อมฉันผู้เป็นศากยะจักเสื่อมคลายลง” ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคโปรดให้อุบาลีผู้เป็นภูษามาลาบวชก่อน ให้ ศากยกุมารเหล่านั้นผนวชต่อภายหลัง ฯ

ท่านพระภัททิยะได้เป็นพระอรหัตถ์เตวิชโช โดยระหว่างพรรษานั้นนั่นเอง ท่านพระอนุรุทธเป็นผู้มีจักษุเป็นทิพย์ แต่ยังไม่บรลุพระอรหัตผล.ท่านพระอานนท์ได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล พระภคุเถระและพระกิมพิลเถระ ภายหลังเจริญวิปัสสนาได้บรรลุพระอรหัต พระเทวทัตได้บรรลุฤทธิ์อันเป็นของปุถุชน.

พระเถระบวชแล้ว เป็นผู้ได้สมาบัติในภายในพรรษาก่อนเพื่อน ได้ทิพยจักษุฌาน ต่อมาท่านได้เกิดความไม่ก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม จึงไปยังสำนักของพระสารีบุตรเถระ แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านพระสารีบุตร (๑) ผมตรวจดูตลอดพันโลกด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ (๒) ก็ผมปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อน ตั้งสติไม่หลงลืม กายสงบระงับไม่ระส่ำระสาย จิตตั้งมั่นเป็นเอกัคคตา (๓) เหตุใดเล่า จิตของผมจึงยังไม่พ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น

ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า?การที่ท่านคิดอย่างนี้ว่า (๑) เราตรวจดูตลอดพันโลกด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ดังนี้ เป็นเพราะมานะของท่านยังมีอยู่ (๒) การที่ท่านคิดอย่างนี้ว่า ก็เราปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อนตั้งสติมั่นไม่หลงลืม กายสงบระงับไม่ระส่ำระสาย จิตตั้งมั่นเป็นเอกัคคตาดังนี้ เป็นเพราะอุทธัจจะของท่านยังมีอยู่? (๓) ถึงการที่ท่านคิดอย่างนี้ว่า เออก็ไฉนเล่าจิตของเรายังไม่พ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ดังนี้ ก็เป็นเพราะกุกกุจจะของท่านยังมีอยู่

ท่านจงละธรรม ๓ อย่างนี้ ไม่ใส่ใจธรรม ๓?อย่างนี้ แล้วน้อมจิตไปในอมตธาตุครั้งนั้นแล

พระเถระบอกกรรมฐานแก่ท่านด้วยประการเช่นนี้ ท่านรับกรรมฐานแล้ว ไปทูลลาพระศาสดาแล้วเดินทางไปบำเพ็ญสมณธรรม ณ ปาจีนวังสทายวัน แคว้นเจติยะ ยับยั้งอยู่ด้วยการจงกรมเป็นเวลาครึ่งเดือน ท่านลำบากกาย เพราะกรากกรำด้วยกำลังความเพียร นั่งอยู่ภายใต้พุ่มไม่พุ่มหนึ่ง แล้วก็ตรึกแล้วถึงมหาปริวิตก ๗ ประการ คือ

ธรรมนี้เป็นธรรมของบุคคลผู้มีความปรารถนาน้อย มิใช่ของบุคคลผู้มีความปรารถนามาก

ธรรมนี้เป็นธรรมของบุคคลผู้สันโดษ มิใช่ของบุคคลผู้ไม่สันโดษ

ธรรมนี้เป็นธรรมของบุคคลผู้สงัด มิใช่ของบุคคลผู้ยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ

ธรรมนี้เป็นธรรมของบุคคลผู้ปรารภความเพียร มิใช่ของบุคคลผู้เกียจคร้าน

ธรรมนี้เป็นธรรมของบุคคลผู้มีสติตั้งมั่น มิใช่ของบุคคลผู้มีสติหลงลืม

ธรรมนี้เป็นธรรมของบุคคลผู้มีจิตมั่นคง มิใช่ของบุคคลผู้มีจิตไม่มั่นคง

ธรรมนี้เป็นธรรมของบุคคลผู้มีปัญญา มิใช่ของบุคคลผู้มีปัญญาทราม ฯ

ในครั้งนั้น ท่านได้มีความปริวิตกว่า มหาปุริสวิตกข้อที่ ๘ เป็นเช่นไรหนอ พระผู้มีพระภาคทรงทราบความปริวิตกทางใจของท่านพระอนุรุทธแล้ว เสด็จจาก เภสกลามิคทายวัน แขวงสุงสุมารคิระ แคว้นภัคคชนบท ไปปรากฏเฉพาะหน้าท่านอนุรุทธที่วิหารปาจีนวังสทายวัน แล้วทรงตรัสให้พระอนุรุทธเถระตรึกใน มหาปุริสวิตกข้อที่ ๘ ที่ว่า

ธรรมนี้เป็นธรรมของบุคคลผู้ชอบใจในธรรมที่ไม่ทำให้เนิ่นช้า ผู้ยินดีในธรรมที่ไม่ทำให้เนิ่นช้า มิใช่ของบุคคลผู้ชอบใจในธรรมที่ทำให้เนิ่นช้า ผู้ยินดีในธรรมที่ทำให้เนิ่นช้า

แล้วตรัสมหาอริยวงสปฏิปทา ประดับไปด้วยความสันโดษด้วยปัจจัย ๔ และมีภาวนาเป็นที่มายินดี และทรงตรัสให้พระอนุรุทธเถระอยู่จำพรรษาที่วิหารปาจีนวังสทายวัน แคว้นเจดีย์นี้ต่อไปอีก แล้วเสด็จเหาะไปปรากฏที่ป่าเภสกลามิคทายวันแขวงเมืองสุงสุมารคิระ แคว้นภัคคะ ท่านพระอนุรุทธอยู่จำพรรษาที่วิหารปาจีนวังสทายวัน แคว้นเจดีย์นครนั้นต่อไปอีก ครั้งนั้น ท่านพระอนุรุทธหลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียรมีใจเด็ดเดี่ยว ไม่นานนัก ท่านก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย

ต่อมาภายหลัง?พระศาสดาประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงสถาปนาท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะว่า อนุรุทธเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวก ผู้มีทิพยจักขุ

พระอนุรุทธเถระกับการบัญญัติสิกขาบทบางข้อ

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ท่านพระอนุรุทธเดินทางไปพระนครสาวัตถี ในโกศลชนบท ได้ไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ณ เวลาเย็น ในสมัยนั้น ในหมู่บ้านนั้นมีสตรีผู้หนึ่งชื่อ นางคันธคันธินี จัดเรือนพักสำหรับอาคันตุกะไว้ เป็นสถานที่อันนางจัดสร้างไว้เพราะความเป็นผู้ประสงค์บุญ ท่านพระอนุรุทธฟังคำของพวกชาวบ้านว่า มีเรือนพักกันเขาจัดไว้ ณ ที่นั้น จึงเข้าไปหานางคันธคันธินี แล้วได้ขอพักแรมในเรือนพักสักคืนหนึ่ง.นางคันธคันธินีก็นิมนต์ท่านพักแรม

ต่อมามีพวกคนเดินทางกลุ่มอื่นเข้าไปหานางคันธคันธินี แล้วได้ขอพักแรมในเรือนพักสักคืนหนึ่งเช่นกัน นางจึงกล่าวว่า มีพระสมณะเข้าไปพักแรมอยู่ก่อนแล้ว ถ้าพระสมณะนั้นอนุญาตก็พักแรมได้.คนเดินทางพวกนั้น จึงพากันเข้าไปหาท่านพระอนุรุทธแล้ว ได้ขอพักแรมคืนในเรือนพักสักคืนหนึ่ง พระเถระก็อนุญาต

อันที่จริง นางคันธคันธินีนั้นเมื่อได้เห็นพระเถระก็ได้มีจิตปฏิพัทธ์ ดังนั้น.นางจึงเข้าไปหาท่านพระอนุรุทธ แล้วได้กล่าวว่า พระคุณเจ้าอาศัยปะปนกับคนพวกนี้จะพักผ่อนไม่สบาย ดิฉันจะจัดเตียงถวายพระคุณเจ้าให้พักข้างใน ท่านพระอนุรุทธรับด้วยดุษณีภาพ.

ครั้นแล้ว นางได้จัดเตียงที่มีอยู่ข้างในถวายท่านพระอนุรุทธ แล้วประดับตกแต่งร่างกายให้หอม เข้าไปหาท่านพระอนุรุทธ แล้วได้กล่าวเกี้ยวพาราสีพระเถระ ท่านพระอนุรุทธมิได้โต้ตอบ ท่านได้นิ่งเสีย.

นางได้พยายามเกี้ยวพาราสีท่านพระเถระถึง ๓ ครั้ง ในครั้งที่ ๓นางได้ขอให้พระเถระรับเอานางเป็นภรรยาและปกครองทรัพย์สมบัติทั้งหมด.

แม้ครั้งที่ ๓ ท่านพระอนุรุทธก็ได้นิ่งเสีย.

นางเห็นดังนั้น นางจึงได้เปลื้องผ้าออกแล้ว เดินบ้าง ยืนบ้าง นั่งบ้าง นอนบ้าง เบื้องหน้าท่านพระอนุรุทธ ฝ่ายท่านพระอนุรุทธ สำรวมอินทรีย์ ไม่แลดู ไม่ปราศรัยกับนาง

นางเห็นพระเถระสำรวมกาย วาจา ใจ ได้เช่นนั้นจึงอุทานว่า น่าอัศจรรย์นัก คนเป็นอันมากยอมให้ทรัพย์เรา ๑๐๐ กษาปณ์บ้าง ๑๐๐๐ กษาปณ์บ้าง ส่วนพระสมณะรูปนี้ เราวิงวอนด้วยตนเองยังไม่ปรารถนาจะรับปกครองเราและสมบัติทั้งหมด แล้วจึงนุ่งผ้า ซบศีรษะลงที่เท้าของท่านพระอนุรุทธ แล้วได้กล่าวคำขอขมาต่อท่าน

ท่านพระอนุรุทธก็ยกโทษให้ ครั้นรุ่งเช้า นางได้ถวายภัตตาหารแด่พระเถระ ครั้นเสร็จภัตตกิจแล้วจึงแสดงธรรมให้นางฟัง นางจึงเกิดความเลื่อมใส ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทั้งพระธรรม และภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอเป็นอุบาสิกาผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต

ต่อจากนั้น ท่านพระอนุรุทธเดินทางไปถึงพระนครสาวัตถีแล้ว ได้เล่าเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย ฟัง บรรดาภิกษุผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนท่านพระอนุรุทธจึงได้สำเร็จการนอนร่วมกับมาตุคามเล่า

ครั้นแล้วภิกษุเหล่านั้นได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค

พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามท่านพระอนุรุทธว่า ดูกรอนุรุทธ ข่าวว่า เธอสำเร็จการนอนร่วมกับมาตุคาม จริงหรือ?

ท่านพระอนุรุทธทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรอนุรุทธ ไฉนเธอจึงได้สำเร็จการนอนร่วมกับมาตุคามเล่า การกระทำของเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว

แล้วทรงบัญญัติสิกขาบทขึ้นว่า อนึ่ง ภิกษุใดสำเร็จการนอนร่วมกับมาตุคาม เป็นปาจิตตีย์.
?

พระอนุรุทธเถระกับนางชาลินีเทพธิดา

สมัยหนึ่ง ท่านพระอนุรุทธพำนักอยู่ในป่าแห่งหนึ่งในแคว้นโกศล ครั้งนั้น นางเทพธิดาในสวรรค์ดาชั้นดาวดึงส์องค์หนึ่งชื่อชาลินี ในอดีตเคยเป็นภรรยาเก่าของท่านพระอนุรุทธ นางยังคงมีความเสน่หาอาลัยในพระมหาเถระอยู่ นางเข้าไปหาท่านถึงที่อยู่ตามเวลา ปัดกวาดบริเวณ เข้าไปตั้งน้ำล้างหน้า ไม่สีฟัน น้ำฉันน้ำใช้ให้ พระเถระใช้สอยโดยไม่นึก ครั้นแล้วได้กล่าวกับท่านให้นึกถึงความสุขอันน่าใคร่ทั้งหลายทั้งปวงบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ที่ท่านเคยอยู่ในกาลก่อน พรั่งพร้อมด้วยหมู่เทวดาแวดล้อมเป็นบริวาร เพื่อให้ท่านได้ตั้งจิตไปเกิดในภูมิเทวดาอีก ลำดับนั้น พระเถระได้ให้คำตอบแก่เทพธิดาว่า นางเทพธิดาผู้เขลา ท่านไม่รู้แจ้งถึงคำของพระอรหันต์ว่าสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง มีอันเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา บังเกิดขึ้นแล้วย่อมเสื่อมไป การเข้าไประงับสังขารเหล่านั้นเสียได้ ย่อมเป็นสุข บัดนี้ การเกิดในภพใหม่ ไม่ว่าในภูมิใด ๆ ของท่านไม่มีต่อไปอีกแล้ว นางเทพธิดาได้ฟังดังนั้น หมดความหวัง แล้วกลับไปยังวิมาน
พระพุทธเจ้าและพระสาวกช่วยพระอนุรุทธเถระทำจีวร

นางชาลินีเทพธิดาถวายผ้าบังสุกุล

ในวันหนึ่ง?พระเถระมีจีวรเก่าแล้ว จึงได้เที่ยวแสวงหาผ้าบังสุกุลที่เขาทิ้งแล้วในที่ทั้งหลายเช่นตามกองขยะเป็นต้น นางชาลินีเทพธิดานั้น เห็นพระเถระเที่ยวแสวงหาผ้าบังสุกุลอยู่ จึงถือผ้าทิพย์ ๓ ผืน ยาว ๑๓ ศอก กว้าง ๔ ศอก แล้วคิดว่าถ้าเราจักถวายท่านตรง ๆท่านคงไม่รับ จึงซุกผ้าไว้บนกองขยะแห่งหนึ่งให้โผล่มาเพียงชายผ้าเท่านั้น เมื่อพระเถระเห็นชายผ้าของท่อนผ้าเหล่านั้นแล้ว จึงดึงชายผ้านั้นออกมาเห็นเป็นผ้าบังสุกุลจึงถือเอา แล้วกลับไป

หมายเหตุ บางตำรากล่าวว่า วิธีการที่นางเทพธิดาชาลินี นำผ้าไปวางซุกไว้ในกองขยะ ในลักษณะทอดผ้าบังสุกุลนั้น พุทธบริษัทได้ถือเป็นแบบอย่างในการทอดผ้าบังสุกุล และทอดผ้าป่าในปัจจุบันนี้

พระศาสดาทรงช่วยทำจีวร

ครั้นในวันทำจีวรของพระเถระนั้น พระศาสดามีภิกษุ ๕๐๐ รูปเป็นบริวาร เสด็จไปที่พระวิหารประทับนั่งแล้ว แม้พระอสีติมหาสาวกทั้ง ๘๐ รูปก็นั่งอยู่ด้วย พระมหากัสสปเถระนั่งแล้วตอนต้น เพื่อเย็บจีวร พระสารีบุตรเถระนั่งในท่ามกลาง พระอานนเถระนั่งในท้ายที่สุด.ภิกษุสงฆ์กรอด้าย พระศาสดาทรงร้อยด้ายนั้นในรูเข็ม พระมหาโมคคลัลานเถระ เป็นผู้จัดหาวัตถุที่พระสงฆ์ต้องการ แม้เหล่าเทพธิดาประจำบ้านก็เข้าไปสู่ภายในบ้านแล้ว ชักชวนให้เจ้าบ้านมาถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ ในครั้งนั้นภัตตาหารอันมีข้าวยาคูของควรเคี้ยว ต่างทั้งหลายมีปริมาณเป็นอันมาก จนภิกษุทั้งหลายฉันไม่หมด เหลือกองอยู่เป็นอันมาก

พระขีณาสพไม่พูดเกี่ยวกับปัจจัย

ภิกษุทั้งหลายโพนทะนาว่า?“หมู่ภิกษุมีเพียงเท่านี้ เพราะเหตุใดจึงมีผู้นำภัตตาหารมาถวายมากมายจนเหลือมากมายปานนี้ พระอนุรุธเถระเห็นจะประสงค์ให้เขารู้ว่าญาติและอุปัฏฐากของตนมีมาก.”?ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสถามภิกษุเหล่านั้นว่า?“ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพูดเรื่องอะไรกัน?”เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลเรื่องที่ตนโจษจันอยู่ พระบรมศาสดาจึงตรัสถามว่า?“ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญว่าอนุรุทธเป็นผู้ขอให้นำของเหล่านี้มาหรือ?”?ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า?“อย่างนั้น พระเจ้าข้า”?พระศาสดาตรัสว่า?“ภิกษุทั้งหลาย อนุรุทธผู้บุตรของเรา ไม่กล่าวถ้อยคำเห็นปานนั้น แม้ พระขีณาสพทั้งหลาย ก็ย่อมไม่กล่าวเรื่องเกี่ยวกับปัจจัย บิณฑบาตเหล่านี้ เกิดด้วยอานุภาพของเทวดา”

พระอนุรุทธเถระบำเพ็ญเพียรโดยถือเอาการไม่นอนเป็นวัตร

ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้นว่าพระเถระนั้น ตลอดทั้งกลางวัน และกลางคืน ได้เจริญอาโลกกสิณตรวจดูเหล่าสัตว์ด้วยทิพยจักษุอย่างเดียว เว้นแต่ช่วงเวลาฉันเท่านั้น?บางอาจารย์กล่าวว่า พระเถระเป็นผู้ถือการนั่งเป็นวัตร ๕๕ ปี เบื้องต้นไม่ได้หลับ ๒๕ ปี ต่อแต่นั้นจึงได้หลับในเวลาปัจฉิมยาม เพราะร่างกายอ่อนเปลี้ย

บทบาทพระอนุรุทธเถระเมื่อครั้งพุทธปรินิพพาน

ตามพระบาลีได้กล่าวถึงบทบาทของพระอนุรุทธเถระเมื่อคราวครั้งพุทธปรินิพพานไว้ว่า เมื่อพระบรมศาสดาได้ทรงมีปัจฉิมวาจาแก่เหล่าภิกษุทั้งมวลแล้ว ทรงเข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้ว ทรงเข้าฌานสูงขึ้นไปเป็นลำดับ จนถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ ด้วยเหตุว่าผู้ที่เข้าถึงสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัตินั้นลมหายใจก็จะหมดไป ทำให้ไม่ทราบว่าทรงปรินิพพานแล้วหรือยัง เมื่อเทพดาและมนุษย์เห็นความไม่เป็นไปของลมอัสสาสปัสสาสะจึงได้ร้องขึ้นพร้อมกันด้วยเข้าใจว่าพระศาสดาปรินิพพานเสียแล้ว ฝ่ายพระอานนทเถระ ถามพระอนุรุทธเถระว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้วหรือ พระอนุรุทธตอบว่า พระตถาคตยังไม่ปรินิพพาน แต่พระองค์ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ.การที่พระอนุรุทธเถระทราบดังนั้นก็เป็นด้วยพระเถระท่านเข้าสมาบัตินั้น ๆ พร้อมกับพระศาสดาที่เดียว และเมื่อท่านทราบว่าพระพุทธองค์ทรงเข้านิโรธสมาบัติ จึงทราบว่ายังทรงไม่ปรินิพพาน เพราะเหตุว่า การสิ้นชีวิตภายในนิโรธสมาบัติ ย่อมไม่มี.

ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคทรงออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้ว ทรง เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ และทรงถอยออกจากฌานลงเป็นลำดับจนถึงจตุตถฌาน พระผู้มีพระภาคเจ้าออกจาจตุตถฌาณหยั่งลงสู่ภวังคจิต แล้วปรินิพพานในขณะนั้นนั่นเอง

ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้ว ท่านพระอนุรุทธ จึงได้แจ้งแก่หมู่พระภิกษุและเหล่ากษัตริย์ทั้งปวงที่เฝ้าอยู่ ว่าพระบรมศาสดาได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้ว บรรดาภิกษุทั้งหลาย? นั้น ภิกษุเหล่าใดที่ยังไม่บรรลุพระอรหัตผลก็ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ ส่วนภิกษุเหล่าใดที่บรรลุอรหัตผลแล้ว ก็ได้ธรรมสังเวช

ครั้งนั้น ท่านพระอนุรุทธจึงได้เตือนให้ภิกษุทั้งหลายอย่าได้เศร้าโศก อย่าร่ำไรไปเลย พึงรำลึกถึงพระดำรัสของพระพุทธองค์ในเรื่องความไม่เที่ยงแห่งสังขารทั้งหลาย และยังบอกด้วยว่า?เหล่าเทวดาจะตำหนิเอาว่า ตัวของพระภิกษุทั้งหลายเองก็ยังไม่อาจอดกลั้นความเศร้าโศกได้ และจะปลอบโยนผู้อื่นได้อย่างไร

? จากนั้น ท่านพระอนุรุทธและท่านพระอานนท์ เห็นเป็นเวลาไกล้รุ่งแล้ว ท่านทั้งสองจึงแสดงธรรมีกถาตลอดราตรีที่ยังเหลืออยู่นั้น รุ่งเช้าท่านพระอนุรุทธสั่งท่านพระอานนท์ให้ไปแจ้งแก่เจ้ามัลละเมืองกุสินาราว่า พระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้ว

นอกจากนั้นในระหว่างเตรียมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพอยู่นั้น เมื่อเกิดเหตุผิดปกติเกิดขึ้น พวกเจ้ามัลละกษัตริย์ก็มักจะเรียนถามสาเหตุกับพระเถระ ด้วยว่าพระเถระผู้เดียวปรากฏว่าเป็นผู้มีทิพยจักษุเพราะฉะนั้น แม้จะมีพระเถระองค์อื่น ๆ ที่มีอายุกว่า แต่พวกเจ้ามัลละเหล่านั้น ก็เรียนถามเฉพาะพระเถระ ด้วยเห็นว่า ท่านพระอนุรุทธเถระนี้สามารถตอบได้ชัดเจน เช่นเมื่อมัลลปาโมกข์ ๘ องค์ จะยกพระสรีระพระผู้มีพระภาคขึ้นเพื่อแห่ไปทางทิศทักษิณแห่งพระนคร แล้วเชิญไปภายนอกพระนคร ถวายพระเพลิงพระสรีระพระผู้มีพระภาคทางทิศทักษิณแห่งพระนคร แต่ก็ยกพระพุทธสรีระไม่ขึ้น จึงได้ถามพระเถระ พระเถระจึงแจ้งว่า

เหล่าเทวดาประสงค์จะให้เชิญพระพุทธสรีระไปทางทิศอุดรแห่งพระนคร แล้วแห่เข้าไปสู่พระนครโดยทวารทิศอุดร เชิญไปท่ามกลางพระนคร แล้วออกโดยทวารทิศบูรพา แล้วถวายพระเพลิงพระสรีระพระผู้มีพระภาค ที่มกุฏพันธนเจดีย์ของพวกเจ้ามัลละ ทางทิศบูรพาแห่งพระนคร

อีกครั้งหนึ่งเมื่อครั้งจะจุดไฟถวายพระเพลิง มัลลปาโมกข์ ๔ องค์ผู้มีหน้าที่ถวายพระเพลิง ก็ลงมือจุดไฟเพื่อถวายพระเพลิง แต่พยายามอย่างไรไฟก็ไม่ติด เหล่ามัลลกษัตริย์จึงเรียนถามพระอนุรุทธเถระ พระเถระจึงตอบว่า เหล่าเทวดาประสงค์จะให้คอยพระมหากัสสปเถระที่กำลังเดินทางมา เพื่อให้พระมหากัสสปเถระกระทำความเคารพพระพุทธสรีระด้วยตนเองเสียก่อน ดังนี้เป็นต้น

รับมอบหมายให้บริหารคัมภีร์อังคุตตรนิกายเมื่อครั้งปฐมสังคายนา

หลังจากที่พระพุทธองค์ได้ทรงดับขันธปรินิพพานแล้ว พระมหากัสสปเถระก็ดำริที่จะทำสังคายนาพระธรรม จึงได้อาราธนาพระอรหันต์ ๕๐๐ รูป เพื่อทำปฐมสังคายนาที่ ปากถ้ำสัตตบรรณ ข้างภูเขาเวภารบรรพต กรุงราชคฤห์

ในการสังคายนานั้น มีพระมหากัสสปะเถระเป็นประธาน มีหน้าที่ซักถามเกี่ยวกับพระธรรมวินัย โดย พระอุบาลี เป็นผู้ชี้แจงเกี่ยวกับข้อบัญญัติพระวินัย และ พระอานนท์ เป็นผู้ชี้แจงเกี่ยวกับพระสูตร และพระอภิธรรม

ในการสังคายนา เหล่าพระสงฆ์มีมติให้สังคายนาสุตตันตปิฎกก่อน โดยเริ่มจาก สังคายนาทีฆนิกาย สังคายนามัชฌิมนิกาย สังคายนาสังยุตตนิกาย สังคายนาอังคุตตรนิกาย ไปตามลำดับ

ครั้นสังคายนาทีฆนิกายแล้ว พระธรรรมสังคาหกเถระกล่าวว่า นิกายนี้ชื่อทีฆนิกาย แล้วมอบท่านพระอานนท์ ให้ไปสอนลูกศิษย์ของท่าน

ต่อจากการสังคายนาคัมภีร์ทีฆนิกายนั้น พระธรรมสังคาหกเถระ ทั้งหลายได้สังคายนามัชฌิมนิกาย แล้วมอบแก่ศิษย์ของพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระว่า ท่านทั้งหลายจงบริหารคัมภีร์มัชฌิมนิกายนี้

ต่อจากการสังคายนาคัมภีร์มัชฌิมนิกายนั้น พระธรรรมสังคาหกเถระ ทั้งหลายได้สังคายนาสังยุตตนิกาย แล้วมอบแก่พระมหากัสสปเถระ ให้ไปสอนลูกศิษย์ของท่าน

ต่อจากการสังคายนาคัมภีร์สังยุตตนิกายนั้น พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายได้สังคายนาอังคุตตรนิกาย แล้วมอบแก่พระอนุรุทธเถระให้ไปสอนลูกศิษย์ของท่าน

พระอนุรุทธเถระปรินิพพาน
ท่านพระอนุรุทธเถระ ดำรงอายุสังขาร โดยสมควรแก่กาลเวลาแล้วก็ดับขันธ์ เข้าสู่นิพพาน ณ ภายใต้ร่มกอไผ่ ในหมู่บ้านเวฬุวะ แคว้นวัชชี
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 27, 2014, 05:12:13 pm
 พระอนุรุทธเถระ

-http://www.dhammathai.org/monk/monk41.php-

    พระอนุรุทธะ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าอมิโตทนะ ซึ่งเป็นพระอนุชาของพระเจ้าสุทโธทนะ ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ ประสูติร่วมพระมารดาเดียวกัน ๓ พระองค์ คือ พระเชฏฐา (พี่ชาย) พระนามว่า มหานามะ พระกนิฏฐภคินี (น้องสาว) พระนามว่า โรหิณี รวมเป็น ๓ กับอนุรุทธกุมาร ถ้าจะนับตามลำดับพระวงศ์ก็เป็นพระอนุชาของพระบรมศาสดา อนุรุทธกุมารเป็นกษัตริย์สุมุมาลชาติ มีปราสาท ๓ หลังเป็นที่ประทับใน ๓ ฤดู สมบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์ศฤงคาร* และบริวารยศ แม้แต่คำว่า ไม่มี ก็ ไม่เคยรู้จัก และไม่เคยได้สดับเลย

เมื่อพระบรมศาสดาประทับอยู่ที่อนุปิยนิคมของมัลลกษัตริย์ ในเวลานั้น ศากยกุมารซึ่งเป็นผู้มีชื่อเสียงมีคนรู้จักมาก ออกบวชตามพระบรมศาสดาเป็นจำนวนมาก วันหนึ่งเจ้ามหานามะผู้เป็นพระเชฏฐา ได้ปรารภกับอนุรุทธะผู้น้องว่า พ่ออนุรุทธะ ในตระกูลของเรายังไม่มีใคร ๆ ออกบวชตามพระบรมศาสดาเลย เจ้า หรือพี่คนใดคนหนึ่งควรจะออกบวช อนุรุทธะตอบว่า น้องเป็นคนที่เคยได้รับแต่ความสุขสบาย ไม่สามารถจะออกบวชได้ พี่บวชเองเถิด เจ้ามหานามะจึงกล่าวขึ้นว่า ถ้าอย่างนั้น เจ้าจงเรียนให้รู้จักการงานของผู้ครองเรือนเสียก่อน พี่จะสอนให้ เจ้าจงตั้งใจฟัง ครั้นกล่าวดังนั้นแล้ว เจ้ามหานามะจึงสอนการงานของผู้ครองเรือน โดยยกเอาวิธีการทำนาเป็นอันดับแรกขึ้นมาสอน เมื่ออนุรุทธะได้ฟังแล้วก็เห็นว่าการงานไม่มีที่สิ้นสุดเบื่อหน่ายในการงาน พูดกับพี่ชายว่า ถ้าอย่างนั้น พี่อยู่ครองเรือนเถิด น้องจักบวชเอง ครั้นอนุรุทธะกล่าวอย่างนั้นแล้วจึงเข้าไปหาพระมารดาทูลว่า แม่ หม่อมฉันอยากจะบวช ขอพระแม่เจ้าจงอนุญาติให้หม่อมฉันบวชเถิด แม้ถูกพระมารดาตรัสห้าม ไม่ยอมให้บวช ท่านก็ยังอ้อนวอนขอให้อนุญาตให้บวชเป็นหลายครั้ง เมื่อมารดาเห็น ดังนั้นจึงคิดอุบายที่จะไม่ให้อนุรุทธะบวช ดำริถึง พระเจ้าภัททิยะผู้เป็นพระสหายของอนุรุทธะ ท่านคงจะไม่ออกบวชเป็นแน่ จึงพูดว่า พ่ออนุรุทธะ ถ้าพระเจ้าภัททิยะบวชด้วยจงบวชเถิด อนุรุทธะได้ฟังอย่างนั้นแล้วก็ไปเฝ้าพระเจ้าภัททิยะ ทูลตามวาทะของผู้ที่คุ้นเคยกันว่า เพื่อนเอ๋ย บรรพชาของเรา เนื่องด้วยบรรพชาของท่าน ในตอนแรก พระเจ้าภัททิยะ ทรงปฏิเสธไม่ยอมบวช ในที่สุดเมื่อทนการอ้อนวอนไม่ได้ก็ตกลงใจยินยอมบวชด้วย อนุรุทธะจึงชักชวนศากยกุมารอื่นได้อีก ๓ คน คือ อานันทะ,ภคุ,กิมพิละ โกลิยกุมาร อีกองค์หนึ่ง คือ เทวทัต รวมทั้งอุบาลีผู้เป็นนายภูษามาลาเป็น ๗ พร้อมใจกันเข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดาที่อนุปิยนิคม ทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย เมื่ออนุรุทธะได้อุปสมบทแล้ว เรียนกรรมฐานในสำนักของพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร แล้วเข้าไปอยู่ในป่าปาจีนวังสมฤคทายวัน

เมื่อพระอนุรุทธะบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ได้ตรึกตรองถึงมหาปุริสวิตก ๗ ประการ คือ
๑. ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้มีความปรารถนาน้อย ไม่ใช่ของผู้มีความมักมาก
๒. ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้สันโดษยินดีด้วยของที่มีอยู่ ไม่ใช่ของผู้ไม่สันโดษ
๓. ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้สงัดแล้ว ไม่ใช่ของผู้ยินดีในหมู่คณะ
๔. ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้ปรารภความเพียร ไม่ใช่ของผู้เกียจคร้าน
๕. ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้มีสติมั่นคง ไม่ใช่ของผู้มีสติหลง
๖. ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้มีใจมั่นคง ไม่ใช่ของผู้มีใจไม่มั่นคง
๗. ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้มีปัญญา ไม่ใช่ของผู้มีปัญญาทราม

     เมื่อพระอนุรุทธะตรึกอยู่อย่างนี้ พระบรมศาสดาเสด็จมาถึงทรงทราบเหตุนั้นจึงทรงอนุโมทนาว่า ชอบละ ๆ อนุรุทธะ เธอตรึกตรองธรรมที่พระมหาบุรุษตรึกตรอง ถ้าอย่างนั้น เธอจงตรึกตรองธรรมที่พระมหาบุรุษตรึกข้อที่ ๘ ว่า "ธรรมนี้ เป็นธรรมของผู้ยินดีในธรรมที่ไม่ให้เนิ่นช้า ไม่ใช่ของผู้ยินดีในธรรมเนิ่นช้า"

     ครั้นตรัสสอนอนุรุทธะอย่างนี้แล้วก็เสด็จกลับสู่ที่ประทับ ส่วนพระอนุรุทธะบำเพ็ญความเพียรต่อไปก็ได้บรรลุ เป็นพระอรหันต์ ตั้งแต่นั้นมาท่านก็เล็งแลดูสัตว์โลกด้วยทิพยจักษุอยู่เสมอ เล่ากันว่ายกเว้นแต่เวลาฉันเท่านั้น เวลาที่เหลือท่านย่อมพิจารณาแลดูหมู่สัตว์ทั้งปวงด้วยทิพยจักษุ ด้วยเหตุนี้เอง พระผู้มีพระภาคจึงตรัสยกย่อง สรรเสริญท่านว่า เป็นผู้เลิศกว่า ภิกษุทั้งหลายฝ่ายข้างผู้มีทิพยจักษุญาณ ครั้นท่านดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน.

*ทรัพย์ศฤงคาร : ทรัพย์ที่ทำให้คนได้รับ เกิดความรัก ความชอบใจ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 02, 2014, 10:23:46 pm
จากหนังสือ จากงาน"สมโภช พระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง" และ งาน"ผ้าป่า ปลดหนี้ รุ่งเรืองบารมี ศรีชัยผาผึ้ง"

เดือนกุมภาพันธ์ 2554
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 02, 2014, 10:24:15 pm
อานิสงค์ของการสร้างพระเจดีย์ฯ

จากหนังสือ จากงาน"สมโภช พระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง" และ งาน"ผ้าป่า ปลดหนี้ รุ่งเรืองบารมี ศรีชัยผาผึ้ง"

เดือนกุมภาพันธ์ 2554
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 03, 2014, 11:52:29 pm
แผนที่ของพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง

ต.ตลาดแร้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ



.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 10, 2014, 09:40:20 pm
ถ่ายรูปที่เป็นออร่า



(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=2640)
รูปที่ 1(ใส่พระวังหน้า) ถ่ายเมื่อ december2549



(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=2642)
รูปที่สอง ถ่ายรูปโดยไม่ได้ใส่พระวังหน้า ถ่ายเมื่อ เมื่อ 8 december 2550



(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=2644)
รูปที่สาม ถ่ายรูปโดยใส่พระวังหน้า ถ่ายเมื่อ เมื่อ 8 december 2550


-http://www.auraphoto.info/-
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 13, 2014, 10:40:33 pm
รูปงานผ้าป่ามหาพุทธบูชา “วิสาขปุรณมี”

วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม 2557
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 13, 2014, 10:41:31 pm
รูปงานผ้าป่ามหาพุทธบูชา “วิสาขปุรณมี”

วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม 2557
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 13, 2014, 10:43:39 pm
รูปงานผ้าป่ามหาพุทธบูชา “วิสาขปุรณมี”

วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม 2557
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 14, 2014, 09:49:13 pm
รูปพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ตอนตี 4 ในเช้าวันที่ 12 พฤษภาคม 2557

แสงไฟจากพลังงานแสงอาทิตย์
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 17, 2014, 09:29:20 am
รูป พระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ต.ตลาดแร้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ
แสงสว่างจากพลังงานไฟฟ้า (โซล่าเซลล์)
รูปจากพี่แอ๊ว (ส่งมาให้ผมทางไลน์) จะได้ให้ชมภาพกัน
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 18, 2014, 07:25:42 pm
ข้อความจากพี่แอ๊ว  แจ้งมาในไลน์กลุ่มพระวังหน้า

ขออนุญาตนำบางส่วนของการกล่าวคำถวายระบบโคมประทีปส่องสว่างที่พระอาจารย์นิล ได้นำกล่าวถวายแก่คณะสงฆ์  ณ พระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง เมื่อวันวิสาขบูชา มาให้ทุกท่านได้อธิษฐานจิตร่วมกันค่ะ ขอตัดภาษาบาลีออกนะคะ
"ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายระบบโคมประทีปส่องสว่าง พร้อมกับของบริวารทั้งหลายเหล่านี้ ไว้ในพระพุทธศาสนา เพี่อเป็นมหาพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ขออานิสงส์แห่งการบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยระบบโคมประทีปส่องสว่างนี้ จงเป็นพลวปัจจัยให้ข้าพเจ้าทั้งหลาย แม้เกิดภพใด ชาติใด ขอให้ได้เกิดในบวรพระพุทธศาสนา ในตระกูลสัมมาทิษฐิ มีศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัย ถึงพร้อมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา มีดวงตาแจ่มใส ทั้งมังสะจักษุ ทิพยจักษุ และธรรมะจักษุ มีดวงปัญญาสว่างไสว แตกฉานในศาสตร์ทั้งปวง  รู้แจ้งแทงตลอดในสรรพวิชาทั้งหลาย ทั้งทางโลกและทางธรรม มีสุขภาพแข็งแรง ผิวพรรณวรรณะผ่องใส สมบูรณ์บริบูรณ์ด้วยมนุษย์สมบัติ รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ  และเข้าถึงซึ่งนิพพานสมบัติในที่สุด หากยังไม่เข้าถึงซึ่งพระนิพพานเพียงใด ขอคำว่า " ไม่มี " จงอย่าได้บังเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย นับตั้งแต่บัดนี้ ตราบเท้าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ นิพพานะ ปัจโย โหตุ นิพพานะ ปัจโย โหตุ นิพพานะ ปัจโย โหตุ


(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=2736;image)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=2738;image)
ภาพจริงคืนวันวิสาขบูชาค่ะ พระเจดีย์สีทองอร่ามเรืองอยู่ท่ามกลางความมืด งดงามมากๆค่ะ



(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=2740;image)
คือเบื้องหลังความสำเร็จ ที่ทำให้พวกเราได้มีโอกาสสร้างบุญกุศลครั้งใหญ่ในชีวิต ท่านมาด้วยวิริยบารมี ขันติบารมีจริงๆ ทุกงาน ท่านลงมือทำเองหมด ด้วยความละเอียดละออ ต้านกระแสสิ่งที่มองไม่เห็นที่มาขัดขวางงานเกือบทุกระบบ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่อยู่นอกเหนือการควบคุม ด้วยความนิ่งสงบ ใช้กำลังกาย กำลังใจ อย่างยิ่งยวด ถึงกับงดฉันภัตตาหารใน7 วันสุดท้ายก่อนงานเสร็จ เพื่อแลกความสำเร็จกับบางสิ่งบางอย่าง   ข้อความที่พี่แอ๊ว ส่งมาให้ผม 

ผมเห็นด้วยมากครับ  รูปนี้โดนแอบถ่ายด้วย

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 18, 2014, 07:40:21 pm
คลิปเสียง หมอปลาย ทำนายหายนะของโลก

http://www.youtube.com/watch?v=OUZr2tne-4g#t=105 (http://www.youtube.com/watch?v=OUZr2tne-4g#t=105)

-http://www.youtube.com/watch?v=OUZr2tne-4g#t=105-

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 24, 2014, 12:37:24 pm

    ใต้ร่มธรรม »
    Forum »
    วิถีธรรม »
    กฏแห่งกรรม-ชาติภพ



แผนที่นรกดูซะ กันหลงทาง
-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,708.0.html-


พิภพมัจจุราช (พญายมราช)
-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,709.0.html-


การล่วงเกิน "ผู้มีธรรม"
-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6654.0.html-


กรรม
-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,9646.0.html-


บุพกรรมของพระพุทธองค์
-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5657.0.html-


บุพกรรมของพระอัครสาวก
-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5665.0.html-


บุพกรรมของพระมหาโมคคัลลานะ
-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5658.0.html-


บุพกรรมของพระสิวลี
-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5660.0.html-


บุพกรรมขององคุลีมาล
-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5659.0.html-



หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 25, 2014, 08:34:29 am
ความเชื่อโบราณกับเรื่องฮวงจุ้ย


-http://horoscope.sanook.com/1397852/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AE%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%A2/-


ฮวงจุ้ยกับความเชื่อโบราณ เป็นสิ่งที่สั่งสมกันมาเป็นเวลานาน จากรุ่นสู่รุ่น เป็นมรดกตกทอดทางวัฒนธรรม ความเชื่อมีผลต่อการดำรงชีวิตความเป็นอยู่ของประชากรในแต่ละท้องถิ่นและคนไทยก็ใส่ศาสตร์ฮวงจุ้ยไว้ในความเชื่อมายายนาน ความเชื่อ คือ สิ่งที่สั่งสมกันมาเป็นเวลานาน จากรุ่นสู่รุ่น เป็นมรดกตกทอดทางวัฒนธรรม ความเชื่อมีผลต่อการดำรงชีวิตความเป็นอยู่ของประชากรในแต่ละท้องถิ่น Sanook! Horoscope รวบรวมมาไว้ให้คุณได้ทราบแล้วค่ะ

ซึ่งแต่ละท้องถิ่นก้จะมีความเชื่อ และประเพณี ปฏิบัติ ที่แตกต่างกันไปตามแต่ละสังคมนั้นๆ อาทิเช่นการฝังศพของแต่ละเชื้อชาติ ศาสนา ก็จะมีพิธีกรรม พิธีการที่แตกต่างกันออกไป


ส่วนความเชื่อตามหลักการของชัยภูมิ และฮวงจุ้ยนั้น เป็นการสั่งสมประสบการณ์ ของผู้คนในยุคสมัยที่เทคโนโลยี่ยังไม่เจริญ แต่ประสบการณ์เหล่านี้เกิดจากการลองผิดลองถูก การพบจอของจริงมาก่อน แล้วจึงนำมาสั่งสอนลูกหลานกันต่อๆ มาอีกทอดหนึ่ง จึงกลายเป็น ความเชื่อ เป็นสังคม และเป็นวัฒนธรรม

การปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงยุคปัจจุบัน อย่างคำสุภาษิต ที่ว่า "ผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน" นั่นย่อมหมายถึง คนที่ผ่านประสบการณ์มาก่อนนั้น ย่อมที่จะได้พิสูจน์แล้วว่า สิ่งๆนั้นจริง หรือไม่ อย่างไร ควรที่จะปฏิบัติตาม หรือไม่


(http://p3.isanook.com/ho/0/ud/279/1397852/bb22.jpg)


หลักความเชื่อของคนในการปลูกบ้าน

"อย่าปลูกเรือนค่อมตอ อย่านอนรอขวางตะวัน อย่าสร้างบ้านหน้าประจัญ อย่าปลูกบ้านเรียงแถว อย่างทำเรือนคูน้ำไหหล อย่าปิดรูทางไหล อย่าปลูกไหล่ทาง อย่าแยก 2 บันได อย่าปลูกบ้าน ทางโค้ง อย่าอยู่ 4 แยก อย่าแฉกทางไหล อย่านอนบนไฟ อย่าอยู่ใจกลาง อย่าไปทางลาด อย่าบาดขุนเขา อย่าเฝ้าปากถ้ำ

อย่าประจัญหน้าผา อย่าชะล่าดินไหล อย่าอยู่กลางไพร อย่า ใช้น้ำสด อย่าปลูกบ้านใต้ต้นไม้ อย่าเข้าซอยตัน อย่าประจัญบ้านใหญ่ อย่าเข้าทางลอด อย่าตั้งร้านตีนบันได อย่าฝังเสาตะเคียน อย่าเลียนแบบวัด อย่าจัดอย่างวัง อย่านั่งท่อนซุงอย่าปรุงเรือนคู่ อย่าจั่วแทงกัน อย่าหัน 4 ทิศ ทางลมอย่าขวาง อย่าปลูกมุมแหลม อย่าเข้าทางลอด อย่าออกคอสะพาน อย่าอยู่ชายธง อย่าตรงปากเหว อย่าเดินลอดคาน อย่าผ่านหน้าต่าง อย่าปลูกไม้ป่า อย่าบ้าไม้ว่าน อย่าพิศดารปลูกตานี อย่าหามผีเข้าบ้าน

อย่าพลีในเรือน อย่าเชือดในเล้า อย่าเฝ้าเรือนป่วย อย่าช่วยไกวเปล อย่าเห่ก่อนคลอด อย่าลอดก่อนเคราะห์ อย่าสะเดาะตอนโชคดี อย่าตีก่อนรุ่ง อย่ามุ่งก่อนแต่ง อย่าแข่งกับนาย อย่าชายกว่าหญิง อย่าอิงคำภีร์ อย่าดีกว่าอาจารย์ อย่าผลาญก่อนไถ อย่าจัญไรก่อนตาย อย่าใหม้ก่อนจุด อย่าฉุดก่อนรัก อย่าปักใจเชื่อ อย่าเจือจุนแกง"


ทั้งหมดนี้เป็นความเชื่อมาแต่โบราณกาล เรื่องการปลูกบ้านของไทยเรา และประเทศเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงค่ะ ท่านผู้ใดที่คิดจะปลูกบ้าน ก็ลองพิจารณาดูทำเลให้ ดีๆ เหมาะ และไม่ขัดกับหลักความเชื่อโบราณ ก็จะสามารถ มีบ้านที่อยู่ยั้งยืนยงและคนใน ครอบครัวก็อยู่อาศัยกันอย่างร่มเย็นเป้นสุขไม่มีีภัยอันตรายใดๆ มาแผ้วพานได้เลย


(http://p3.isanook.com/ho/0/ud/279/1397852/bb11.jpg)


รายละเอียดของหลักความเชื่อในการปลูกบ้าน

อย่าปลูกเรือนค่อมตอ หมายถึง ตอไม้ที่มีรากเยอะ มีมด แมลง งู อยู่ใต้ดิน เพราะใต้ต้นไม้ใหญ่เป็นโพรง เป็นดินร่วน จึงกลายเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ใหญ่น้อยได้ เป็นอย่างดี โดยเฉพาะสัตว์มีพิษต่างๆ สามารถปล่อยก๊าซพิษออกมาบนพื้นบ้านได้ ถ้าพื้นเป็นไม้ ไม้จะบวมดีดตัวหนีสารพิษ สารพิษจะซึมขึ้นมาทำให้คนในบ้านเจ็บป่วยง่าย อย่างไร้สาเหตุ โบราณจึงห้ามปลูกเรือนค่อมตอ

อย่านอนรอขวางตะวัน หมายถึง บ้านสมัยก่อนที่มีบริเวณ เค้าจะไม่ให้ปลูกเรือนขวางตะวันขึ้นลงจะร้อนยิ่งเป็นสมัยนี้บ้านเป็นตึกกันหมด ยิ่งทำให้คลายความร้อนยากขึ้นกว่าเดิม อย่าปลูกเรือนหันหน้ารับแดด แดดเช้ายังพอทน แต่แดดบ่ายสิสุดทน ร้อนทั้งวัน ทั้งคืนเชียวนะคะ

อย่าสร้างบ้านหน้าประจัญ

ประจัญหน้าวัด หรือศาลเจ้า ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีจิตใจมีพลังงานของคนอยู่ตรงนั้น

    ประจัญหน้าโรงพยาบาล เพราะมีวิญญาณคนเกิด คนตายมากมาย พลังงานที่พวยพุ่งเข้ามาบ้านเรา ก็จะมีทั้งวิญญาณ ทั้งเชื้อโรคจะทำให้คนที่อาศัยในบ้านป่วยง่าย ป่วยหนัก เหมือนที่เค้าห้ามไม่ให้คนป่วยไปโรงพยาบาลไม่ให้ไปงานศพเพราะจะติดเชื้อแทรกซ้อนได้ง่าย

    ประจัญทางสามแพร่ง เวลาแต่งงานเดินผ่านทาง 3 แพร่งก็ไม่รู้จะเลี้ยวไปทางไหนต้อง ยืนรอตรงทาง 3 แพร่ง เวลาแห่ศพก็มักจะมายืนรอตรงทาง 3 แพร่ง เพราะไม่รู้ทางไป พอรู้ทางเลี้ยวไปแล้ว ลืมเรียกผีไปด้วย ผีก็เดินเข้าบ้านเราเลย เพราะผีก็ไม่รู้ทาง

    ทาง 3 แพร่งเป็นจุดอันตราย เพราะเวลารถขับมาไฟรถทุกคันฉายเข้าบ้านเราตลอด คนในบ้านก็จะผวาตลอด คนยิงกัน วิ่งหนีมา ถ้าบ้านเปิดโล่งก็จะโดนลูกหลง โดนกระสุน ได้ง่าย คนในบ้านอาจโดนยิงตายโดยบังเอิญ


(http://p3.isanook.com/ho/0/ud/279/1397852/bb33.jpg)


อย่าปลูกบ้านเรียงแถว จะเหมือนศาลาศพจะเกิดการประจัญหน้ากัน เปรียบเทียบกัน ต่อเติมบ้านเหลื่อมล้ำกัน เกินหน้าเกินตากัน ทำให้เกิดการเปรียบเทียบ เกิดการกระทบ กระทั่งกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน อย่างบ้านทาวเฮาส์ในปัจจุบัน น้อยนักที่จะอยู่กันแบบสงบสุข

อย่าทำเรือนคูน้ำไหล คือ อย่าปลูกบ้านค่อมคูคลอง ทางน้ำไหลที่ลงมาจากยอดเขาเวลาหน้าน้ำ อาจจะพัดพาน้ำป่ามาพังบ้านเราได้ง่ายดายนัก งูเงี๊ยว เขี้ยวขอ สัตว์มีพิษจะขึ้น บ้านเราได้ง่ายดาย ลูกเด็กเล็กแดงจะตกน้ำตาย ของมีค่าตกน้ำตกท่าได้ง่าย พอน้ำแห้งดินก็ถล่มยุบตัว

อย่าปิดรูทางไหล อย่าปิดรูบ่อน้ำบาดาล อย่าเอาดินไปถม เพราะเวลาเราถ่ายของเสียลงไปในบ่อเกรอะ บ่อซึม ไหลลงไปที่ต่ำไปเจอบ่อน้ำบาดาลถ้าปิดรูทางไหลจะทำให้เกิด การอัดแน่นของแก๊ซทำให้เกิดเหตุการณื ส้วมระเบิดได้เพราะมีแก๊ซอัดแน่นมากเกินไป โดยเฉพาะทางภาคเหนืองของไทยที่ยังมีกาซกะฃำมะถันอยู่ในใต้ดินเยอะเป็นเขตภูเขาไฟนั่นเอง

อย่าปลูกไหล่ทาง ไหล่ถนน ไหล่เขา ไหล่แม่น้ำ ทางลาดทางไม่เสมอ ขาบ้านจะสั้นข้างยาวข้างจะทำให้เกิดการรับน้ำหนักที่ไม่สมดุลมีการถาโถมไปฝั่งใดฝั่งหนึ่ง มากเกินไป เพราะฉะนั้นบ้านที่ปลูกลักษณะนี้จึงพังง่ายกว่าบ้านแบบอื่นๆ ความสมดุลของฐานรากไม่มีขาบ้านด้านที่ยาวกว่าจะหักพังได้ง่ายกว่าขาข้างที่สั้นกว่า

อย่าปลูกเรือนอกแตก อย่าปลูกเรือนคู่ เรือนอกแตกไม่ดี เพราะเวลาฝนตกน้ำจะไหลลงมารวมอยู่กลางหลังคา มีปัญหาอะไรก็จะมาสุมอยู่ที่คนกลาง

อย่าแยก 2 บันได เพราะบ้านเราไม่ใช่โรงเรียน ไม่ใช่วัดจะทำให้คนในบ้าน่สนใจไม่แคร์กันทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่ช่วยกันทำมาหากิน


(http://p3.isanook.com/ho/0/ud/279/1397852/bb44.jpg)


อย่าปลูกบ้านทางโค้ง อย่าโก่งคันศร อย่านอนทับคาน ปลูกบ้านทางโค้ง รถจะแหกโค้งเข้ามาชนบ้านเราบ่อย ไฟสาดส่องเข้ามาจะผวา คิดว่าขโมยเข้าบ้าน

อย่านอนทับคาน ไม่ดีเพราะในคานมีเหล็ก มีแร่ธาตุ ในตัวคนเราก็จะมีแร่ธาตุที่ดึงดูดกันได้เปรียบเสมือนแม่เหล็ก แต่ความเป็นจริงเค้ากลัวคานหล่นทับตัวเวลาบ้านพังลงมา คาน หรือเสา จะหล่นมาทับคนตายคาบ้าน

อย่าอยู่ 4 แยก บ้านที่อยู่ 4 แยก รถ หรือคนพุ่งมาจากทางไหน ก็เห็นเราหมด รถจะแหกโค้งพุ่งมาชนเราง่าย

อย่าแฉกทางไหล คล้ายทาง 3 แพร่ง ทางน้ำวน ปากคลอง มีวังน้ำวน อันตราย เรือไปล่มตรงนั้นบ่อยมาก มีสัตว์ดุร้ายชอบไปเล่นน้ำวนบริเวณนั้น

อย่านอนบนไฟ อย่านอนบนจอมปลวก โพรงงู ซึ่งมีก๊าซพิษต่างๆ จอมปลวกมีสัตว์เป็นล้านๆที่บ้านเรือนไทยสมัยโบราณทำใต้ถุนสูงเพราะต้องการให้อากาศถ่ายเทสะดวก มีอากาศที่สะอาดบริสุทธิ์เข้ามาถ่ายเทก๊าซพิษออกไป จึงจะอยู่กันได้อย่างปลอดภัย

อย่าอยู่ใจกลาง พื้นที่ๆ เป็นแอ่งกะทะ อย่าปลูกบ้านในแอ่งกะทะ เพราะเมื่ออยู่นานไป อากาศเป็นพิษ น้ำท่วม พื้นที่ๆ ต่ำที่สุด จะเกิดมลภาวะได้ง่ายมาก เพราะลมไม่พัดผ่านลงไปถึงใจ กลางนั่นเอง เช่นพื้นที่แถบแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ใจกลางเมืองเชียงใหม่ อากาศเสียมากพอๆ กับ กทม เพราะเป็นพื้นที่แอ่งกะทะนั่นเอง จะให้ดี ซื้อที่รอบๆนอก อากาศจะดีกว่าค่ะ

ุ>>> อ่านต่อเรื่องความเชื่อโบราณอื่นๆ คลิก!

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.fengshuiwin.com/ (http://www.fengshuiwin.com/)
ขอบคุณภาพประกอบจาก


http://horoscope.sanook.com/1397852/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AE%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%A2/ (http://horoscope.sanook.com/1397852/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AE%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%A2/)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 28, 2014, 06:07:46 am
ธงชาติ เพลงความหมายดี จาก คสช. หวังคนไทยสำนึกคุณแผ่นดิน
โพสต์เมื่อ : 27 พฤษภาคม 2557 เวลา 15:44:07

-http://hilight.kapook.com/view/102826-

ธงชาติ เพลงความหมายดี จาก คสช. หวังคนไทยสำนึกคุณแผ่นดิน


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก กองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย
       
            เพลง ธงชาติ เพลงเนื้อหาดี ๆ ที่ คสช. โพสต์ในเฟซบุ๊ก เพื่อหวังปลุกจิตสำนึกคนไทยให้รู้คุณแผ่นดิน

            หลังจากที่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ได้ระงับการออกอากาศช่องฟรีทีวีและเคเบิล ตั้งแต่ประกาศรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมา และได้มีการเปิดเพลงปลุกใจรักชาติมากมาย จนกลายเป็นกระแสฮิตให้บรรดาชาวเน็ตเข้าไปขอเพลงจากเฟซบุ๊กของ คสช. กันอย่างมากมายนั้น

            แต่มีเพลงเพลงหนึ่ง ซึ่งทาง คสช. ได้โพสต์มิวสิควิดีโอลงในเฟซบุ๊ก (25 พฤษภาคม 2557) เพื่อหวังกระตุ้นจิตสำนึกให้คนไทยรักชาติ นั่นก็คือเพลง "ธงชาติ" พร้อมระบุข้อความว่า.. "ธงชาติ ปลุกจิตสำนึกรู้คุณแผ่นดิน" โดยหวังว่าเพลงนี้จะปลุกจิตสำนึกคนไทยให้กับมารักและสามัคคีกันได้ดังเดิม


สำหรับ เนื้อเพลง "ธงชาติ" มีดังต่อไปนี้

เพลง ธงชาติ
เนื้อร้อง : หลง ลงลาย
ขับร้องโดย : คณะนักร้องประสานเสียง Wattana Little Angels (จากรายการ ครอบครัวเดียวกัน ช่อง TPBS ออกอากาศเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2555)

    ธงชาติไทยไม่ใช่เพียงผืนผ้า
    เอาสีมาทาให้เป็นสามสี
    แต่กว่าจะเป็นไตรรงค์ผืนนี้
    เบื้องหลังยังมีเรื่องราวตั้งมากมาย

    ทั้งความทุกข์ ทั้งชีวิตของบรรพชน
    หล่อรวมปะปนอนาคตลูกหลานไว้
    แต่วันนี้ที่ได้เห็นผืนธงไทย
    น้ำตาแทบจะไหลให้สงสารแผ่นดิน

    นานแค่ไหนที่เหมือนคนไทยลืมรักชาติ
    ปล่อยไตรรงค์โบกสะบัดอย่างเดียวดายเสียจนชิน
    ถึงเวลาเหลียวมองธงคู่แผ่นดิน
    ฟังเพลงชาติให้ได้ยินเสียงหัวใจกันและกัน

    ให้ลึกซึ้งถึงความทุกข์ของบรรพชน
    รู้สึกกังวลอนาคตของลูกหลาน
    ถ้าเห็นสามสิ่งจากผืนธงเหมือน ๆ กัน
    เมื่อใดก็เมื่อนั้น สันติสุขจะคืนมา



ชมได้ที่ -http://hilight.kapook.com/view/102826-
คลิป ธงชาติ ปลุกจิตสำนึกรู้คุณแผ่นดิน โพสตโดย เฟซบุ๊ก กองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย



http://www.youtube.com/watch?v=lyUahtJ9reo#t=13 (http://www.youtube.com/watch?v=lyUahtJ9reo#t=13)
-http://www.youtube.com/watch?v=lyUahtJ9reo#t=13-
คลิป ธงชาติ หลง ลงลาย โพสต์โดย คุณ Nattawut Laorsuwan
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 02, 2014, 11:01:11 pm
งานพระราชทานเพลิงสรีระสังขาร หลวงปู่สุภา กันตสีโล  พระอริยสงฆ์ 5 แผ่นดิน ในวันที่ 5 พฤษภาคม 2557 ณ วัดคอนสวรรค์ อ.วาริชภูมิ จ.สกุลนคร

พระอาจารย์นิล เป็นประธานกองบุญในการตั้งโรงทานเลี้ยงพระสงฆ์และญาติธรรมที่เดินทางมากราบสรีระสังขารหลวงปู่สุภาฯ

ขอบคุณภาพและข้อมูลจากพี่แอ๊ว

สำหรับท่านใดมีความประงค์ที่จะร่วมทำบุญ แจ้งผมผ่านpmได้ครับ

โมทนา สาธุครับ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 05, 2014, 10:25:02 pm
.


(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=2818;image)


(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=2820;image)

ขอน้อมกราบองค์หลวงปู่สุภา สู่แดนพระนิพพาน

กราบ กราบ กราบ กราบ กราบ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 08, 2014, 06:31:53 pm
บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ คือ สิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ หรือกล่าวอย่างง่ายๆว่า การกระทำที่เกิดเป็นบุญ เป็นกุศล แก่ผู้กระทำดังต่อไปนี้

-http://www.dhammakaya.org/dhamma/boon01.php-

๑. บุญสำเร็จได้ด้วยการบริจาคทาน (ทานมัย) คือการเสียสละนับแต่ทรัพย์ สิ่งของ เงินทอง ตลอดจนกำลังกาย สติปัญญา ความรู้ความสามารถ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยส่วนรวม รวมถึงการละกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ ออกจากจิตใจ จนถึงการสละชีวิตอันเป็นสิ่งมีค่าที่สุดเพื่อการปฏิบัติธรรม

๒. บุญสำเร็จได้ด้วยการรักษาศีล (สีลมัย) คือการตั้งใจรักษาศีล และการปฏิบัติตนไม่ให้ละเมิดศีล ไม่ว่าจะเป็นศีล ๕ หรือศีล ๘ ของอุบาสกอุบาสิกา ศีล ๑๐ ของสามเณร หรือ ๒๒๗ ข้อของพระภิกษุ เพื่อรักษากาย วาจา และใจ ให้บริสุทธิ์สะอาด พ้นจากกายทุจริต ๔ ประการ คือ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ ละเว้นจากการลักทรัพย์ ละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม และเสพสิ่งเสพติดมึนเมา อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท วจีทุจริต ๔ ประการ คือไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดปด ไม่พูดเพ้อเจ้อ และไม่พูดคำหยาบ มโนทุจริต ๓ ประการ คือ ไม่หลงงมงาย ไม่พยาบาท ไม่หลงผิดจากทำนองคลองธรรม

๓. บุญสำเร็จได้ด้วยการภาวนา (ภาวนามัย ) คือการอบรมจิตใจในการละกิเลส ตั้งแต่ขั้นหยาบไป จนถึงกิเลสอย่างละเอียด ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นโดยใช้สมาธิปัญญา รู้ทางเจริญและทางเสื่อม จนเข้าใจอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค เป็นทางไปสู่ความพ้นทุกข์ บรรลุมรรค ผล นิพพานได้ในที่สุด

๔. บุญสำเร็จได้ด้วยการประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ (อปจายนมัย) คือการให้ความเคารพ ผู้ใหญ่และผู้มีพระคุณ ๓ ประเภท คือ ผู้มี วัยวุฒิ ได้แก่พ่อแม่ ญาติพี่น้องและผู้สูงอายุ ผู้มี คุณวุฒิ หรือคุณสมบัติ ได้แก่ ครูบาอาจารย์ พระภิกษุสงฆ์ และผู้มี ชาติวุฒิ ได้แก่พระมหากษัตริย์ และเชื้อพระวงศ์

๕. บุญสำเร็จได้ด้วยการขวนขวายในกิจการที่ชอบ (เวยยาวัจจมัย) คือ การกระทำสิ่งที่เป็นคุณงามความดี ที่เกิดประโยชน์ต่อคนส่วนรวม โดยเฉพาะทางพระพุทธศาสนา เช่น การชักนำบุคคลให้มาประพฤติปฏิบัติธรรม มีทาน ศีล ภาวนา เป็นต้น ในฝ่ายสัมมาทิฎฐิ

๖. บุญสำเร็จได้ด้วยการให้ส่วนบุญ (ปัตติทานมัย) คือ การอุทิศส่วนบุญกุศลที่ได้กระทำไว้ ให้แก่สรรพสัตว์ทั้งปวง การบอกให้ผู้อื่นได้ร่วมอนุโมทนาด้วย ทั้งมนุษย์และอมนุษย์ ได้ทราบข่าวการบุญการกุศลที่เราได้กระทำไป

๗. บุญสำเร็จได้ด้วยการอนุโมทนา (ปัตตานุโมทนามัย) คือ การได้ร่วมอนุโมทนา เช่น กล่าวว่า “สาธุ” เพื่อเป็นการยินดี ยอมรับความดี และขอมีส่วนร่วมในความดีของบุคคลอื่น ถึงแม้ว่าเราไม่มีโอกาสได้กระทำ ก็ขอให้ได้มีโอกาสได้แสดงการรับรู้ด้วยใจปีติยินดีในบุญกุศลนั้น ผลบุญก็จะเกิดแก่บุคคลที่ได้อนุโมทนาบุญนั้นเองด้วย

๘. บุญสำเร็จได้ด้วยการฟังธรรม (ธัมมัสสวนมัย) คือ การตั้งใจฟังธรรมที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อน หรือที่เคยฟังแล้วก็รับฟังเพื่อได้รับความกระจ่างมากขึ้น บรรเทาความสงสัยและทำความเห็นให้ถูกต้องยิ่งขึ้น จนเกิดปัญญาหรือความรู้ก็พยายามนำเอาความรู้และธรรมะนั้นนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ สู่หนทางเจริญต่อไป

๙. บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม (ธัมมเทสนามัย) คือ การแสดงธรรมไม่ว่าจะเป็นรูปของการกระทำ หรือการประพฤติปฏิบัติด้วยกาย วาจา ใจ ในทางที่ชอบ ตามรอยบาทองค์พระศาสดา ให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่บุคคลอื่น หรือการนำธรรมไปขัดเกลากิเลสอุปนิสัยเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้อื่น ให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธา มาประพฤติปฏิบัติธรรมต่อไป

๑๐. บุญสำเร็จได้ด้วยการทำความเห็นให้ตรง (ทิฏฐชุกัมม์) คือ ความเข้าใจในเรื่อง บาป บุญ คุณ โทษ สิ่งที่เป็นแก่นสารสาระหรือที่ไม่ใช่แก่นสารสาระ ทางเจริญทางเสื่อม สิ่งอันควรประพฤติสิ่งอันควรละเว้น ตลอดจนการกระทำความคิดความเห็นให้เป็นสัมมาทิฏฐิอยู่เสมอ

บุญกิริยาวัตถุทั้ง ๑๐ ประการนี้ ผู้ใดได้ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งหรือยิ่งมากจนครบ ๑๐ ประการแล้ว ผลบุญย่อมเกิดแก่ผู้ได้กระทำมากตามบุญที่ได้กระทำ ยิ่งได้มีการเตรียมกาย วาจา ใจ ให้สะอาดบริสุทธิ์ ตั้งใจจรดเข้าสู่ศูนย์กลางกาย หยุดในหยุด เข้าไปแล้วก็ยิ่งได้รับบุญมหาศาลตามความละเอียดประณีตที่เข้าถึงยิ่งๆ ขึ้นไป

ที่มา
http://www.dhammakaya.org/dhamma/boon01.php (http://www.dhammakaya.org/dhamma/boon01.php)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 08, 2014, 06:33:01 pm
การทำบุญให้ได้ผลมาก

-http://www.dhammajak.net/ruendham/book/p6-06.php-


  ในการทำบุญ เราจะได้ยินบ่อย ๆ ว่าไม่มีเงินจะทำบุญ แต่พระพุทธเจ้าสอนว่า “ เมื่อจิตเลื่อมใสแล้ว การทำบุญชื่อว่าน้อยไม่มี “ ท่านเปรียบว่า คนจนทำบุญ 1 บาท มีผลบุญเท่ากับทำบุญ 1000 บาท ดังนั้น จำนวนเงินจึงไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ แต่การทำบุญเราทำให้ได้ผลมากได้ ท่านเรียกว่า ทำด้วยมหากุศลจิต ประกอบด้วยเหตุดังนี้ คือ

              1. มีเจตนาในกาลทั้ง 3 ดี ไม่ปล่อยให้อกุศลแทรกเข้ามาเจตนาทั้ง 3 กาล คือ ก่อนทำ กำลังทำ และหลังทำ เช่น

              สวดมนต์ เริ่มตั้งต้นสวด ใจไม่ไปอยู่ที่อื่น จดจ่ออยู่ที่ธูปเทียน การกราบ การกล่าวบูชา ไปจนเสร็จกระบวนการ

              จะตักบาตร ก่อนทำก็คือช่วงเริ่มปรุงอาหาร อย่าปรุงอาหารไป หงุดหงิดไป ร้อนใจไป ให้ปรุงอาหารอย่างสงบ ไม่คิดฟุ้งซ่าน รู้ว่ากำลังทำอาหารเพื่อไปตักบาตรทำบุญ เสร็จแล้วจบอธิษฐานเรียบร้อย ไปยืนรอพระ ถ้าคิดว่าอธิษฐานไม่ยาวนัก จะจบตอนพระมาก็ได้ แต่ถ้าให้พระคอยนาน จบไม่เสร็จเสียที จะไม่งาม

              กำลังทำคือ กำลังใส่บาตร ก็สงบจิตใจ หูตาไม่ต้องไปแคะว่า คนอื่นเขาใส่อะไรมาแล้วในบาตรมั่ง ให้วุ่นไป สงบเข้าไว้โยม

              หลังทำ คือ ตักบาตรเสร็จก็ให้นึกถึงบุญว่าได้ทำบุญมา แต่จิตคนเรามักคอยไปคิดเรื่องอื่น ๆ ต่อทันที ทำให้กิจหลังทำนี่ไม่ค่อยได้ทำ เราจึงดึงไว้โดยการกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ผู้อื่นจะได้มี “ เจตนาหลังทำ “ ทำให้จิตมีเจตนาครบ 3 กาลได้สำเร็จ

              นอกจากนี้ ท่านสอนว่า “ เจตนาหลังทำ “ ยังมีอีกแบบหนึ่ง คือ หลังจากทำไปแล้วนาน ๆ เช่น อาทิตย์หนึ่ง เดือนหนึ่ง เป็นต้น เอามาระลึกขึ้นอีกก็เป็นบุญอีก คือ ทำให้จิตใจผ่องใส บริสุทธิ์ มีความอิ่มในบุญเหมือนได้ทำบุญนั้นอีกครั้ง จึงมีอุบายบางอย่างสำหรับในเรื่องนี้ เช่น อาจจะมีภาพถ่ายงานบุญเก็บไว้ ต่อ ๆ มาก็เอามาเปิดดู อิ่มใจ เหมือนได้ไปทำบุญอย่างในภาพนั้นอีก ทำให้ใจเราได้ใกล้ชิดอยู่กับบุญ ทำให้เป็นสุข

              2. มีปัญญา ข้อนี้คือ มีปัญญารู้ว่ากรรมนี้มีผล ที่เรากระทำการตักบาตรนี้เป็นสิ่งดีและมีผล รู้ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้าไม่มีปัญญา ก็คือ เขาบอกให้ตักบาตรก็ตักไปตามประเพณี ไม่รู้ว่าเพื่ออะไร เรียกว่าไม่มีปัญญา

              3. ไม่ต้องมีคนมาชวน การทำบุญใด ๆ ถ้าลุกขึ้นมาทำเองโดยไม่ต้องมีใครชวน หรือมีคนชวนก็ได้ แต่ไม่ใช่ชวนยาก ท่านว่าบุญแรง แม้แต่การชวนตัวเองคือ นึกอยากทำบุญปั๊บก็ทำเลย บุญแรง แต่ถ้าเรียกตัวเอง เฮ้ย ตื่น ๆ อีกครึ่งชั่วโมง เรียกใหม่ เฮ้ย ตื่น ๆ จนพระกลับวัดหมดแล้ว วิ่งตามชายผ้าเหลืองไปใส่บาตรในวัด อันนี้ปริมาณบุญก็คงลดตาม เหมือนน้ำลดยามเดือนแรม แต่ก็เอาเถอะ ดีกว่าไม่เคยใส่บาตรเลยตั้งเยอะ

              เมื่อครบ 3 อย่าง คือ เจตนาดีทั้ง 3 กาล มีปํญญา ไม่ต้องมีใครชวนแล้ว ก็จะมีผลมาก ท่านเรียกว่า อานิสงส์คือ ผลที่น่าสรรเสริญ การให้ที่มีอานิสงส์มาก คือ การให้ที่คิดว่าทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิตให้ดี เป็นเครื่องขัดเกลากิเลส
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 08, 2014, 06:36:27 pm
บุญกุศลแบบไหนได้อานิสงส์สูงสุด

-http://thammawairun.blogspot.com/p/blog-page_28.html-


           มีหลายท่านถามกระผมกันมากทีเดียว เกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่ว่าทำบุญ หรือทำทาน แบบไหนได้บุญเยอะที่สุด หรือ ทำแบบไหนได้ผลบุญมากที่สุด จริงๆแล้ว เราควรทำบุญ ทำทานทุกครั้งที่มีโอกาสนะครับ ไม่ควรเลือกว่าทำอะไร ทำกับใคร ทำกับพระ-เณร รูปไหน องค์ไหน  เพราะจิตจะเกิดกิเลส( ความอยาก ) กลายเป็นความโลภไป ทำให้ได้อานิสงส์ ผลบุญไม่เต็มที่นะครับ

กระผมจะอธิบายในเรื่องของอานิสงส์ในการทำบุญ

ทำทานแบบไหนที่ได้ผลบุญ น้อยที่สุดไปจนถึงสูงที่สุดนะครับ

โดยแบ่งเป็น 3 รูปแบบดังนี้

" ทาน ศีล ภาวนา "

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า แม้วัตถุทานจะบริสุทธิ์ดี เจตนาในการทำทานจะบริสุทธิ์ดี จะทำให้ทานนั้นมีผลมากหรือน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับเนื้อนาบุญเป็นลำดับต่อไปนี้นะครับ

ทาน

๑ . ทำทานแก่สัตว์เดรัจฉาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่มนุษย์ แม้จะเป็นมนุษย์ที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรมเลยก็ตาม ทั้งนี้เพราะสัตว์ย่อมมีวาสนาบารมีน้อยกว่ามนุษย์และสัตว์ไม่ใช่เนื้อนาบุญที่ดี

๒ . ให้ทานแก่มนุษย์ที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรมวินัย แม้จะให้มากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้ที่มีศีล ๕ แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม

๓ . ให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล ๕ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้มีศีล ๘ แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม

๔ . ให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล ๘ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าถวายทานแก่ผู้มีศีล ๑๐ คือสามเณรในพุทธศาสนา แม้จะได้ถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

๕ . ถวายทานแก่สามเณรซึ่งมีศีล ๑๐ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าถวายทานดังกล่าวแก่พระสมมุติสงฆ์ ซึ่งมีศีลปาฏิโมกข์สังวร ๒๒๗ ข้อ

๖ . ถวายทานแก่พระสมมุติสงฆ์ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานแก่ - พระโสดาบัน แม้จะได้ถวายทานดังกล่าวแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม ( ความจริงยังมีการแยกเป็นพระโสดาปัตติมรรคและพระโสดาปัตติผล ฯลฯ เป็นลำดับไปจนถึงพระอรหัตผล แต่ในที่นี้จะกล่าวแต่เพียงย่นย่อพอให้ได้ความเท่านั้น )

๗ . ถวายทานแก่พระโสดาบัน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระสกิทาคามี แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

๘ . ถวายทานแก่พระสกิทาคามี แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระอนาคามี แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

๙ . ถวายทานแก่พระอนาคามี แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระอรหันต์ แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

๑๐ . ถวายทานแก่พระอรหันต์ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

๑๑ . ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแด่พระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

๑๒ . ถวายทานแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายสังฆทานที่มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้จะถวายสังฆทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

๑๓ . การถวายสังฆทานที่มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่า " การถวายวิหารทาน " แม้จะได้กระทำแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม " วิหารทาน ได้แก่การสร้างหรือร่วมสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ศาลาโรงธรรม ศาลาท่าน้ำ ศาลาที่พักอาศัยคนเดินทางอันเป็นสาธารณะประโยชน์ที่ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน


๑๔ . การถวายวิหารทาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ( ๑๐๐ หลัง ) ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ " ธรรมทาน " แม้จะให้แต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม " การให้ธรรมทานก็คือการเทศน์ การสอนธรรมะแก่ผู้อื่นที่ยังไม่รู้ให้รู้ได้ ที่รู้อยู่แล้วให้รู้ยิ่งๆขึ้น ให้ได้เข้าใจมรรค ผล นิพพาน ให้ผู้ที่เป็นมิจฉาทิฐิได้กลับใจเป็นสัมมาทิฐิ ชักจูงผู้คนให้เข้าปฏิบัติธรรม รวมตลอดถึงการพิมพ์การแจกหนังสือธรรมะ "

๑๕ . การให้ธรรมทาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ " อภัยทาน " แม้จะให้แต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม การให้อภัยทานก็คือ " การไม่ผูกโกรธ ไม่อาฆาตจองเวร ไม่พยาบาทคิดร้ายผู้อื่นแม้แต่ศัตรู " ซึ่งได้บุญกุศลแรงและสูงมากในฝ่ายทาน เพราะเป็นการบำเพ็ญเพียรเพื่อ " ละโทสะกิเลส " และเป็นการเจริญ " เมตตาพรหมวิหารธรรม "



ศีล


การรักษาศีลเป็นการเพียรพยายามเพื่อระงับโทษทางกายและวาจา อันเป็นเพียงกิเลสหยาบมิให้กำเริบขึ้น และเป็นการบำเพ็ญบุญบารมีที่สูงขึ้นกว่าการให้ทาน

ทั้งในการถือศีลด้วยกันเองก็ยังได้บุญมากและน้อยต่างกันไปตามลำดับต่อไปนี้ คือ

๑ . การให้อภัยทาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถือศีล ๕ แม้จะถือเพียงครั้งเดียวก็ตาม

๒ . การถือศีล ๕ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถือศีล ๘ แม้จะถือเพียงครั้งเดียวก็ตาม

๓ . การถือศีล ๘ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถือศีล ๑๐ คือการบวชเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา แม้จะบวชมาได้เพียงวันเดียวก็ตาม

๔ . การที่ได้บวชเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา แล้ว รักษาศีล ๑๐ ไม่ให้ขาด ไม่ด่างพร้อย แม้จะนานถึง ๑๐๐ ปี ก็ยังได้บุญน้อยกว่าผู้ที่ได้อุปสมบทเป็นพระในพระพุทธศาสนาที่มี ศีลปาฏิโมกข์สังวร ๒๒๗ ข้อ แม้จะบวชมาได้เพียงวันเดียวก็ตาม

 ฉะนั้นในฝ่ายศีลแล้ว การที่ได้อุปสมบทเป็นพระในพระพุทธศาสนาได้บุญบารมีมากที่สุด เพราะเป็นเนกขัมบารมีในบารมี ๑๐ ทัศ ซึ่งเป็นการออกจากกามเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติธรรมขั้นสูง ๆ คือการภาวนาเพื่อมรรค ผล นิพพาน ต่อ ๆ ไป ผลของการรักษาศีลนั้นมีมาก ซึ่งจะยังประโยชน์สุขให้แก่ผู้นั้นทั้งในชาตินี้และชาติหน้า เมื่อได้ละอัตภาพนี้ไปแล้วย่อมส่งผลให้ได้บังเกิดในเทวโลก ๖ ชั้น ซึ่งล้วนแต่ความละเอียดประณีตของศีลที่รักษาและที่บำเพ็ญมา ครั้นเมื่อสิ้นบุญในเทวโลกแล้ว ด้วยเศษของบุญที่ยังคงหลงเหลืออยู่แต่เพียงเล็กๆน้อยๆหากไม่มีอกุลกรรมอื่นมาให้ผล ก็อาจจะน้อมนำให้ได้มาบังเกิดเป็นมนุษย์ที่ถึงพร้อมด้วยสมบัติ ๔ ประการ



ภาวนา


         อานิสงส์ของศีล ๕ มีดังกล่าวข้างต้น สำหรับศีล ๘ ศีล ๑๐ และศีล ๒๒๗ ก็ย่อมมีอานิสงส์เพิ่มพูนมากยิ่ง ๆ ขึ้นตามระดับและประเภทของศีลที่รักษา แต่ศีลนั้นแม้นจะมีอานิสงส์เพียงไรก็ยังเป็นแต่เพียงการบำเพ็ญบุญบารมีในชั้นกลาง ๆ ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น เพราะเป็นแต่เพียงระเบียบหรือกติกาที่จะรักษากายและวาจาให้สงบ ไม่ให้ก่อให้เกิดทุกข์โทษขึ้นทางกายและวาจาเท่านั้น ส่วนทางจิตใจนั้นศีลยังไม่สามารถที่จะควบคุมหรือทำให้สะอาดบริสุทธิ์ได้
 
  ฉะนั้น การรักษาศีลจึงยังได้บุญน้อยกว่า การภาวนา เพราะการภาวนานั้น เป็นการรักษาใจ รักษาจิต และซักฟอกจิตให้เบาบางหรือจนหมดกิเลสคือ ความโลภ ความโกรธ และความหลง อันเป็นเครื่องร้อยรัดให้บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสงสารวัฏ การภาวนา จึง เป็นการบำเพ็ญบุญบารมีที่สูงสุด ประเสริฐที่สุด ได้บุญมากที่สุดเป็นกรรมดีอันยิ่งใหญ่เรียกว่า " มหัคคตกรรม " อันเป็นมหัคคตกุศล

      การเจริญภาวนานั้น เป็นการสร้างบุญบารมีที่สูงที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดในพระพุทธศาสนาจัดว่าเป็นแก่นแท้และสูงกว่าฝ่ายศีลมากนัก การเจริญภาวนานั้น
มี ๒ อย่างคือ " สมถภาวนา ( การทำสมาธิ )" และ " วิปัสสนาภาวนา ( การเจริญปัญญา )

  อย่างไรก็ดีการเจริญสมถภาวนา หรือสมาธินั้น แม้จะได้บุญอานิสงส์มากมายมหาศาลอย่างไร ก็ยังไม่ใช่บุญกุศลที่สูงสุดยอดในพระพุทธศาสนา หากจะเปรียบกับต้นไม้ก็เป็นเพียงเนื้อไม้เท่านั้น
     การเจริญวิปัสสนา ( การเจริญปัญญา ) จึงจะ เป็นการสร้างบุญกุศลที่สูงสุดยอดในพระพุทธศาสนา หากจะเปรียบก็เป็นแก่นไม้โดยแท้...

         ทั้งนี้ เราก็ไม่ควรที่จะเลือกทำแต่บุญที่ได้อานิสงส์สูงๆเพียงอย่างเดียวนะครับ ควรทำทุกๆครั้งเมื่อมีโอกาส ไม่ว่าจะเป็น ทาน ศีล ภาวนา เป็นการสะสมบุญ กุศล หลายๆด้าน

     เพราะถ้าสมมุติว่าทำแต่ภาวนา กับ รักษาศีลอย่างเดียว แต่ไม่เคยให้ทานเลย เพราะเห็นว่า ได้ผลบุญน้อยกว่า  เมื่อเกิดชาติหน้า อาจจะยากจนไม่มีอะไรกิน(อดตาย)ก็ได้นะครับ เพราะไม่เคยทำทานเลย อิอิ  (*_*)

..................................


By. kunawut


หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 08, 2014, 06:38:27 pm
 สารพันปัญหาว่าด้วยเรื่องทาน
โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

-http://www.jetovimut.com/forum/index.php?topic=954.0-

ผู้ถาม :  "หลวงพ่อคะ ถวายสังฆทานให้พระองค์เดียวได้ไหมคะ ?"

หลวงพ่อ :  "ได้ แต่พระไปฉันองค์เดียว พระองค์นั้นลงนรก นี้เรื่องจริงนะ อย่างฉันรับนี่ ฉันรับองค์เดียว แต่ว่าองค์เดียวนี่ ถือว่าเป็นผู้แทนคณะสงฆ์นะ อย่าไปกินไปใช้แต่ผู้เดียว นี่ไม่ได้ ของเขาย่อมมีอานิสงส์สมบูรณ์แบบพระองค์เดียว หรือพระ ๓ องค์ ถือว่าเป็นผู้แทนสงฆ์ พระ ๓ องค์ ก็แบ่งไปใช้แค่ ๓ องค์ไม่ได้ จะต้องไปรวมทั้งคณะ คำว่า สังฆทาน สังฆะ เขาแปลว่า หมู่ "

ผู้ถาม :  "ลูกเป็นคนยากจน มีเงินน้อย อยากจะได้อานิสงส์มากๆ จะทำบุญอย่างไรดีคะ?"

หลวงพ่อ :  "คืออานิสงส์จริงๆ ต้องทำบุญให้มากที่สุด เท่าที่จะพึงทำได้ สมมติว่าเรามีเงินอยู่ ๑๐ บาท จะไปมาที่นี่ เสียค่ารถ ๖ บาท กินก๋วยเตี๋ยว ได้ครึ่งชามแล้ว หมดไป ๙ บาท เหลือ ๑ บาท เขียนที่หน้าซองเลยว่าเงินนี้ถวายสังฆทาน วิหารทานและธรรมทาน คนนี้อานิสงส์มากเหลือเกิน จำนวนเงินเขาไม่จำกัด เขาจำกัดกำลังใจ ถ้ากำลังใจมุ่งด้านดีนะ การทำบุญมากๆ คำว่า "ทำมาก" หมายความว่า ทำบ่อยๆ แต่คำว่า "บ่อย" ไม่ต้องทุกวันก็ได้นะ คำว่า "มาก" หมายความว่า ทำเต็มกำลังที่พึงทำ ไม่ใช่ขนเงินมามากเวลาทำบุญ ต้องดูก่อนว่า ค่าใช้จ่าย เรามีความจำเป็นเพียงไร เงินที่มีความจำเป็น อย่านำมาทำบุญ มันจะเดือดร้อนภายหลัง และให้เหลือส่วนนั้นไว้บ้าง แล้วแบ่งทำบุญพอสมควรและประการที่ ๒ การทำบุญ ถ้าใช้วัตถุมาก แต่กำลังใจน้อย ก็มีอานิสงส์น้อยถ้าหากใช้วัตถุน้อย กำลังใจมีมาก ก็มีอานิสงส์มาก อย่างถวายสังฆทาน ที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทนำมานี่ ลงทุนไม่มาก แต่อานิสงส์มหาศาล ความจริง ถ้าจะพูดถึงอานิสงส์กันจริงๆล่ะก็รู้สึกว่าจะมากกว่าจัดงานที่บ้าน หรือที่วัดตั้ง เยอะแยะทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าถวายสังฆทาน เราทำกันแบบเงียบๆ ไม่มีกังวล

การบำเพ็ญกุศลแต่ละคราว ถ้ามีกังวลมาก อานิสงส์มันก็น้อย เพราะว่าจิตที่เราเข้าสู่กุศลมันห่วงงานอื่นมากกว่าไม่ตั้งจิตโดยเฉพาะ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การถวายสังฆทานในหมู่สงฆ์ ตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ตามพระวินัย ท่านเรียกกันว่า คณะสงฆ์ ถ้าต่ำกว่านั้น เป็น คณะบุคคล ถ้าบุคคลเดียว เป็น ปาฏิปุคคลิกทาน โดยเฉพาะ ทีนี้การถวายสังฆทานแก่พระสงฆ์เป็นหมู่นี้มีอานิสงส์มาก เรื่องนี้ก็มีตัวอย่าง คนที่มีทรัพย์น้อย ทรัพย์มาก อย่างท่านอินทกะเทพบุตรกับ ท่านอังกุระ - เทพบุตร ไงล่ะ ท่านอังกุระเทพบุตร ทำบุญนอกเขตพระพุทธศาสนา เวลานั้นพระพุทธศาสนาไม่มี ตั้งโรงทาน ๘๐ โรง ให้ทานถึง ๒ หมื่นปี เลี้ยงคนกำพร้า คนตกยาก คนเดินทาง พอตายจากความเป็นคน ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นเทวดาที่มีบุญน้อยที่สุดเพราะเขตของบุญเล็กไป คนไร้ศีลไร้ธรรม ใช่ไหม ตรงกันข้ามท่านอินทกะเทพบุตร เกิดเป็นคนจน พ่อตาย ตัดฟืนเลี้ยงแม่ ก็ไม่ได้ตัดขายมากมาย เอาแค่วันๆ พอกินพอใช้ไปวันๆวันหนึ่ง พระสงฆ์เดินผ่านไปที่นั้น ท่านมีโอกาสได้ถวายทาน ในฐานะที่ไม่ได้เตรียมตัวไว้ก่อนคนจนจะมีอะไรมากนักใช่ไหมล่ะ เพียงแค่ครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้นอาศัยคุณ คือความกตัญญูรู้คุณอย่างหนึ่งแล้ว ก็ถวายสังฆทานหนึ่ง สองอย่างด้วยกัน ตายแล้ว ไปเป็นเทวดาที่มีบุญมากที่สุดในดาวดึงส์ นอกจากพระอินทร์แล้ว ไม่มีใครโตกว่า"


ผู้ถาม :  "การที่เราทำบุญใส่บาตรตามหน้าบ้านกับพระที่เรารู้จักตามวัดกับการไปทำที่วัด อันไหนจะมีอานิสงส์มากกว่ากันเจ้าคะ ?"

หลวงพ่อ :  "คือว่าการใส่บาตรตามหน้าบ้าน ไม่เฉพาะเจาะจง พระอะไรมาก็ใส่อย่างนี้ก็เป็นสังฆทาน ทีนี้ไปใส่บาตรตามพระที่ชอบใช่ไหม ?"

ผู้ถาม :  "ไม่ใช่ชอบค่ะ คือว่าศรัทธาค่ะ"

หลวงพ่อ :  "ชอบกับศรัทธาก็ครือกันล่ะ ถ้าศรัทธาฉันตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป เป็นสังฆทาน มีอานิสงส์เหมือนกัน แต่ถ้าหากท่านฉันตั้งแต่ ๑ รูป ถึง ๓ รูป อย่างนี้เป็นปาฏิปุคคลิกทาน"

ผู้ถาม :   "มีอานิสงส์มากไหมคะ ?"

หลวงพ่อ :  "มีโยม ถ้าเป็นปาฏิปุคคลิกทาน ถ้าจัดกันตามลำดับแย่นะ ไล่เบี้ยตั้งแต่ให้ทานกับคน ไม่มีศีล จนถึงพระอรหันต์ มีอานิสงส์ไม่เท่ากัน แต่จะพูดสรุปโดยย่อว่าถวายทานกับพระอรหันต์ ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายทานกับพระพุทธเจ้า ๑ ครั้งถวายทานกับพระพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายสังฆทาน ๑ ครั้งและถ้าถวายสังฆทาน ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่าถวายวิหารทาน ๑ ครั้ง คือสร้างวิหาร มีการก่อสร้าง เช่นสร้างส้วม ศาลาการเปรียญ กุฏิ โบสถ์ วิหาร เป็นต้นการถวายสังฆทาน ๑ ครั้งในชีวิต และถวายด้วยจิตที่บริสุทธิ์ มีศรัทธาแท้ พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า ผลของสังฆทานนี้ จะดลบันดาลให้แก่บุคคลผู้ถวาย เกิดไปทุกชาติ ขึ้นชื่อว่าความยากจนเข็ญใจไม่มีในแดนใดที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากขัดสน

คนที่ถวายสังฆทานแล้วจะไม่เกิดในที่นั้น ผลที่ให้ไปไกลมาก ท่านกล่าวว่าแม้แต่พระพุทธญาณเอง ก็ยังไม่เห็นผลที่สุดของการถวายสังฆทานคำว่า"ไม่เห็นที่สุดของการถวายสังฆทาน" หมายความว่า แม้แต่บุคคลผู้เป็นเจ้าของสังฆทานบำเพ็ญบารมีแล้ว แล้วเกิดไปอีกกี่แสนชาติก็ตาม จนกระทั่งเข้าพระนิพพาน อานิสงส์นั้นก็ยังไม่หมดนี่เป็นอำนาจของการถวายสังฆทาน

ฉะนั้น การถวายทานเป็นส่วนบุคคล กับถวายเป็นสังฆทาน อานิสงส์มันต่างกันลายแสนเท่าแล้วก็ยังมีอีกเวลาหนึ่ง ถ้าพระออกจากสมาบัติ นี่คูณหนักเข้าไปอีกไม่รู้เท่าไรทีนี้การถวายสังฆทานแก่พระ มีผลไม่เสมอกันอยู่อย่างหนึ่ง คือหมายความว่า ถวายทานแก่พระที่มีจิตกำลังฟุ้งซ่านไปด้วยอำนาจของนิวรณ์ ๕ ประการอย่างนี้เราถวายกี่หมื่น กี่แสน อานิสงส์มันก็ไม่มาก ถ้าหากว่า ถวายแก่ท่านผู้ปฏิบัติกรรมฐาน ถ้าหากเข้าถึงจิตบริสุทธิ์ เรื่องบริสุทธิ์แค่ไหนก็ช่าง อย่างน้อยที่สุดก็มีขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ บางท่านก็เข้าถึงฌานสมาบัติ บางท่านที่เป็นพระอริยเจ้าก็เข้าถึงผลสมาบัติ ถ้าถวายทานกับท่านที่ออกจากนิโรธสมาบัติ หมายความว่า ให้คนเดียวนะ ก็ให้ผลปัจจุบันทันด่วน ให้ผลวันนั้นเลย"


ผู้ถาม :  "แล้วอย่างการใส่บาตร โดยเราลงมือใส่เอง กับให้ลูกจ้าง คือเด็กของเราใส่แทนอย่างไหนจะได้บุญมากกว่ากันคะ ?"

หลวงพ่อ :   "เราไปไม่ได้ แต่ให้คนอื่นไป ได้บุญเท่ากัน แต่เราใส่เอง เราเกิดความปลื้มใจอันนี้ได้กำไรอีกนิด แต่ผลของทานมันเสมอกัน"

ผู้ถาม :  "เวลาเราใส่บาตรไปแล้ว ถ้าหากว่าพระไม่ได้ฉันอาหารของเรา เราจะได้บุญไหมคะ ?"

หลวงพ่อ :  "บุญมันเริ่มได้ ตั้งแต่คิดว่าจะให้แล้วนะ พระจะฉันหรือไม่ฉัน ไม่ใช่ของแปลก คือการให้ทาน ตัวให้นี่มันตัดความโลภ และตัวให้นี่กันความจน ในชาติหน้า อันดับรองลงมา "ทานัง สัคคโส ทานัง" ทานเป็นบันไดให้เกิดในสวรรค์ ทีนี้ พอเราเริ่มให้ปั๊บ มันเริ่มได้ตั้งแต่เราตั้งใจ การตั้งใจนะ มันตัดสินใจเด็ดขาดแล้วนะ เช่นคิดว่าพรุ่งนี้จะใส่บาตร ข้าวขันนี้ เราไม่กินแน่นอน คิดว่าเราจะไม่กินเองตั้งแต่วันนี้คิดว่า จะใส่บาตร นี่บุญมันเกิดตั้งแต่เวลานี้ แต่พอถึงพรุ่งนี้ ต้องใส่จริงๆนะอย่านึกโกหกพระ ไม่ได้นะ ไม่ใช่แกล้งนึกทุกวันๆ คิดว่านึกได้บุญ เลยไม่ได้ใส่บาตรสักทีนี่ดีไม่ดี ฉันพูดไปพูดมา เสียท่าเขานะแต่คิดว่าจะทำจริงๆนะ คือพรุ่งนี้จะใส่บาตรแน่ๆ แต่ว่าวันนี้เกิดตายก่อน นี่ได้รับ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ก็อย่างที่พระพุทธเจ้าบอกนั่นแหละ"เจตนาหัง ภิกขเว ปุญญัง วทามิ" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าตัวตั้งใจเป็นตัวบุญพระพุทธเจ้าบอกว่ามันมีผลตั้งแต่การตั้งใจเริ่มสละออก พอคิดว่าเริ่มจะทำอารมณ์มันตัด ตั้งแต่ตรงนั้นแล้ว ถือว่าไม่ได้เป็นของเราแล้ว มันได้ตั้งแต่ตอนนั้น"

ผู้ถาม :  "หลวงพ่อคะ การใส่บาตร วิระทะโย มีอานิสงส์อย่างไรคะ ?"

หลวงพ่อ :  "อานิสงส์เท่ากับ ถวายสังฆทานธรรมดา ไม่ต่างกัน อานิสงส์เหมือนกันหมด แต่ว่าใช้วิระทะโย ( คาถาภาวนากันจน ) มันมีผลปัจจุบัน ชาตินี้ทำให้เงินไม่ขาดตัว ถ้าใส่ บาตรทุกวัน สวดมนต์ทุกวัน ถ้าจะหมด ก็มีมาต่อจนได้ ถ้าแบ่งเวลาทำสมาธิล่ะก็ ขลังมากรวยมากหน่อย"

ผู้ถาม :   "เห็นพระบางองค์ดูลักษณะไม่สำรวม ท่านวนเวียนคอยรับบาตร บ้านคนโน้นคนนี้แล้วก็ถ่ายใส่ถัง ถ้าเราไม่ใส่บาตรพระแบบนี้ เราจะบาปไหมคะ ?"

หลวงพ่อ :  "บาป เขาแปลว่า ชั่ว บุญ เขาแปลว่า ดี ถ้าเราไม่ใส่ก็ไม่ชั่วตรงไหนนี่เพราะ ว่ามันเป็นทรัพย์สินของเรา ถ้าเราให้เขา เขาแสดงอาการไม่เป็นที่ เลื่อมใสเราไม่ให้ก็ไม่เห็นจะแปลก เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า การให้ทานก็จะต้องเลือกให้เหมือนกัน เพราะผู้รับถือว่าเป็น "เนื้อนาบุญ" ถ้าหว่านพืชลงในนาลุ่ม น้ำก็ท่วมตาย ถ้าดอนเกินไป น้ำไม่ถึงก็ตาย ต้องหว่านในเนื้อนาที่เหมาะ ถ้าเราเห็นนามันไม่ควร เราก็ไม่ให้ ทำไม่เหมาะไม่สม ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ถ้าให้ก็เป็นการเลี้ยงโจร แต่ว่าถ้าพูดถึงทานการให้ เจตนาเราจะตั้งอย่างไรก็ตาม ตัวนี้มันเป็นผลตัดโลภะอยู่ตลอดเวลาส่วนใหญ่จริงๆ ที่มีอานิสงส์สูงสุด คือ ตัดโลภะความโลภ เพราะคนที่มีความโลภนี้ให้ทานไม่ได้ เงินที่จะให้ทานได้นี่ มันตัดความสุขของเจ้าของหากว่าเจ้าของเขาไม่ให้ เขากินเขาใช้ก็มีความสุข เขาอุตส่าห์ตัดความสุขของเขาส่วนนี้ออกไป เป็นการตัดโลภะความโลภ เป็นก้าวหนึ่งที่จะถึงพระนิพพาน อันนี้เขาไม่ต่ำมันเป็น "จาคานุสติกรรมฐาน" จาคานุสติกรรมฐานนี้ไม่ต้องไปภาวนา จิตคิดว่าจะให้ทานทุกวันๆนี่นะจิตคิดว่าถึงเวลานั้นเราจะใส่บาตร มากหรือน้อยก็ตาม อันนี้เป็น "จาคานุสติกรรมฐาน" และการใส่บาตรหน้าบ้าน เขาถือว่าเป็นสังฆทานมันก็มีผลสำหรับพระผู้รับ ถ้าผู้รับไม่ดี ก็ลงอเวจีไปเอง

ผู้ถาม :  "กระผมอยากจะทำบุญใส่บาตรเหมือนกันครับ แต่คิดว่าของที่จะใส่ บาตรทำบุญมันไม่ดี ก็เลยอาย ไม่อยากใส่ กะไว้ว่าถ้ามีอาหารดีเมื่อไหร่ ก็จะใส่บาตร ผมคิดอย่างนี้ถูกไหมครับ ?"

หลวงพ่อ :  "การทำบุญ ทำไมจะต้องอาย เคยมีนักเทศน์เขาถามกันว่า "มียายกับตา ๒ คน เขาหุงข้าวแฉะแล้วแฉะอีก ไอ้แกงก็เปรี้ยวแล้วเปรี้ยวอีก แกกินไม่ลง ของมันกินไม่ได้ เวลาพระมาบิณฑบาตแกก็บอกว่า ใส่บาตรดีกว่า" พระนักเทศน์ เขาก็ถามกันว่า "อย่างนี้จะได้อานิสงส์ไหม ?" ก็ต้องตอบว่า "ได้อานิสงส์ แต่ผลที่เขาจะได้รับ ก็เป็น "ทาสทาน"

ผู้ถาม :   ทาสทาน เป็นยังไงครับ ?

หลวงพ่อ :  "คำว่า "ทาสทาน" หมายความว่า ให้ของเลวกว่าที่เรากิน เราใช้...เวลาที่เราได้ของใช้สอยมันก็ต้องเลวกว่าที่เขากินเขาใช้กัน ได้ก็ได้ของเลวถ้าให้ของเสมอที่เรากินอยู่ หรือที่เราใช้อยู่ เขาเรียกว่า สหายทาน ผลที่เราจะได้รับ ก็เสมอกับที่เรากินเราใช้ถ้าให้ของที่ดีกว่าที่เรากินเราใช้ เขาเรียกว่า สามีทาน สามีทาน เขาไม่ได้แปลว่า ผัวทานนะ สามีเขา แปลว่า นาย เวลาที่จะได้รับผล เราก็จะได้ของเลิศ ถ้าจะถามว่า ทาสทานมีอานิสงส์ไหม ก็ต้องดูตัวอย่าง ท่านอาฬวีเศรษฐี เป็นมหาเศรษฐีมีทรัพย์ ๘๐ โกฏิ พระราชาตั้งเป็นมหาเศรษฐี แต่ว่าผ้าที่แกนุ่งนี้ ผ้าใหม่แกนุ่งไม่ได้ นุ่งผ้าช้ำแล้วใกล้จะขาด แกจึงนุ่งได้ ข้าวที่จะกิน เม็ดสวยๆก็กินไม่ได้ ต้องเป็นข้าวหัก หรือเป็นปลายข้าวแกจึงจะกินได้ ของทุกอย่างที่แกใช้ ต้องเป็นของเลว แต่อย่าลืมว่า เขาก็เป็นมหาเศรษฐีได้นะ

อนึ่ง การตั้งใจว่าจะใส่บาตรด้วยของดีๆ น่ะดี แต่ว่าวันไหนมีอาหารที่เราคิดว่าไม่ดีก็ใส่บาตรได้การให้ทาน พระพุทธเจ้าบอกว่า อย่าให้เบียดเบียนตัวเองถ้าเบียดเบียนตัวเอง เป็น "อัตตกิลมถานุโยค" เป็นการทรมานตัว และการให้ทาน พระพุทธเจ้าให้ดูอีกว่า ควรให้หรือไม่ควรให้ถ้าให้ในเขตของคนเลว อานิสงส์ก็น้อย อาจจะไม่มีเลยรู้ว่าคนนี้ควรจะให้ เราก็ให้ ถ้าไม่ควรให้ เราก็ไม่ให้ ให้แล้ว ไปกินเหล้าเมายา ไปสร้างอันตรายกับคนอื่น เราไม่ให้ดีกว่าเป็นการต่อเท้าโจร ให้พลังแก่โจรเวลาจะให้ ท่านวางกฎไว้ดังนี้


๑.ผู้ให้บริสุทธิ์ บริสุทธิ์หรือไม่ เขาจึงให้สมาทานศีลก่อน ถ้าสักแต่ว่าสมาทาน นี่ซวยเวลานั้นต้องตั้งใจรักษาศีลจริงๆ จิตตอนนั้นมันจึงจะบริสุทธิ์ คืออยู่ในช่วงว่างจากกิเลสถ้าตั้งใจสมาทานศีลด้วยดี จิตตอนนั้นบริสุทธิ์

๒.ผู้รับบริสุทธิ์ หมายความว่า ถ้าผู้รับเป็นพระ ก็พยายามให้เป็นพระจริงๆนะ

๓.วัตถุทานบริสุทธิ์ ถ้าไม่ได้ฆ่าสัตว์เอามาทำบุญ ไม่ได้ขโมยสตางค์เขามาทำบุญเป็นของ ๓ อย่าง ถ้าลดไปอย่างใดอย่างหนึ่ง อานิสงส์ก็ลดตัวลงมาถ้าลดเสียหมดเลย ก็ไม่มีอานิสงส์ แต่ว่าการให้ทานพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อีกประการหนึ่งต้องให้ครบ ๓ กาล จึงจะมี

อานิสงส์สูง คือ
๑. ก่อนจะให้ก็ตั้งใจว่าจะให้
๒. ขณะที่ให้ก็ดีใจ
๓. เมื่อให้แล้วก็เกิดความเลื่อมใส


มีเรื่องเล่าว่า ในสมัยหนึ่ง เมื่อท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีจนลง ขนาดข้าวเป็นแทบไม่มีกินต้องกินปลายข้าว แต่ศรัทธาท่านยังไม่ถอย ท่านนิมนต์พระพุทธเจ้า พร้อมไปด้วยพระสงฆ์ ไปฉันภัตตาหารที่บ้าน ท่านก็เอาปลายข้าวละเอียด เรียกว่าข้าวปลายเกวียนต้ม แล้วก็เอาน้ำผักดอง เปรี้ยวๆ เค็มๆ ทำเป็นกับ มาถวายพระพุทธเจ้าแล้วกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า

"เวลานี้ ทานของข้าพระพุทธเจ้าเศร้าหมอง พระพุทธเจ้าข้า"

พระพุทธเจ้าถามว่า "เธอมีเจตนาในการถวายทานอย่างไรล่ะ ?"

ท่านบอกว่า

"ก่อนจะให้ เต็มใจพร้อมเสมอ ในขณะที่ให้ก็ปลื้มใจ เมื่อให้แล้วก็เกิดความเลื่อมใสดีใจว่าให้แล้ว พระพุทธเจ้าข้า"
 
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า "ดูก่อนมหาเศรษฐี "ลูขัง วา ปณีตัง วา"

หมายความว่า ถ้าคนให้ทานมีเจตนาพร้อมเพรียงทั้ง ๓ กาลอย่างนี้ ของดีก็ตาม ของเลวก็ตาม ย่อมมีอานิสงส์เลิศมีอานิสงส์สูง แต่ที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีท่านทำนั้น ท่านถวายพระพุทธเจ้า และพระที่ฉันก็เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด นับเป็นยอดของทาน ถ้าหากว่า เราไม่รู้จะเลือกยังไง องค์นี้จะเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์หรือเปล่า หรือเป็นพระโปเก พระเชียงกง ถ้าเราไม่รู้ ก็ถวายเป็นสังฆทานเลย เพราะสังฆทานมีอานิสงส์สูงมากรองจากวิหารทาน"


ผู้ถาม :  "หลวงพ่อครับ ใส่บาตรตอนเช้า บังเอิญหากับข้าวไม่ทัน เอาปลาเค็มที่กินค้างเมื่อวานนี้ใส่ไปเพราะความจำเป็น อย่างนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าครับ ?"

หลวงพ่อ :  "มีแน่ เป็นผลร้ายแรงมาก"


ผู้ถาม :  "ขนาดไหนครับหลวงพ่อ ?"

หลวงพ่อ : "ตายแล้วเป็นธรรมดา นี่เป็นจริงๆนะ"

ผู้ถาม :  "ก็นี่เขากินเหลือนี่ครับ?"

หลวงพ่อ :  "เดี๋ยวก่อน... เคยอ่านในพระไตรปิฎกไหม ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จไปในที่แห่งหนึ่ง เวลานั้นสายเกินไป เลยเวลาอาหารตอนเช้า ใช่ไหม ก็มีพรหมณ์คนหนึ่งบอกว่า

"อาหารของข้าพเจ้ามี แต่เวลานี้มันเป็นเดนเสียแล้ว การถวายพระพุทธเจ้า พร้อมไปด้วยพระสงฆ์ เกรงจะเป็นบาป"
 
พระพุทธเจ้าถามว่า "เธอคิดว่าเป็นเดนน่ะ เธอตักกินในหม้อหรือเปล่า ?"

เขาบอกว่า "เปล่า" เขาตักออกมาใส่ถ้วยแล้วกิน

พระพุทธเจ้าบอกว่า "อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นเดน ถวายพระสงฆ์หรือพระพุทธเจ้าก็ดี จะมีอานิสงส์สมบูรณ์แบบ"
แล้วท่านก็ตรัสต่อไปว่า

"ถึงแม้ว่า อาหารจะเป็นเดน คือกินในถ้วยนั้นแล้ว แต่ว่าถ้าพระท่านหิว ถ้าเอาไปถวาย ก็มีอานิสงส์สมบูรณ์แบบเหมือนกัน ไม่มีโทษมีแต่คุณ "อีกประการหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า สมัยพระพุทธกัสสป ท่านเทศนาไว้อย่างนี้คือ"บุคคลใดทำบุญด้วยตนเองไม่ชักชวนคนอื่น ถ้าเกิดในชาติต่อไป จะร่ำรวยโภคสมบัติ แต่ขาดเพื่อน ขาดบริวาร สมบัติถ้าดีแต่ชักชวนเขา ไม่ทำเอง ชาติต่อไป มีเพื่อนมาก แต่ตัวเองจนถ้าทำบุญด้วยตนเองด้วย ชักชวนผู้อื่นด้วย รวยด้วย มีพรรคพวกมากด้วย"

นี่ท่านเทศน์แบบนี้นะ ถ้าเราทำคนเดียวได้ก็ทำ ทีนี้ถ้าเราชวนเขาด้วย แต่ว่าการชวนนี่ก็ลำบากนะ ถ้าชวนเขาทำบุญด้วย ก็อย่าหวังว่า เขาจะให้เรานะ คิดว่าเขาให้หรือไม่ให้ ก็เป็นเรื่องของเขา คือแนะนำเขา ว่าเวลานี้ เราทำโน่นทำนี่จะทำบุญร่วมด้วยไหม ? ถ้าบังเอิญเขาไม่ทำร่วมด้วยอย่าโกรธ เราถือว่า เราชวนเขาทำความดี ถ้าเราโกรธเขาเข้า บุญเราจะด้อยลงไป เพราะตัวโกรธเข้ามาตัด

ผู้ถาม :  "ดิฉันเคยอ่านเจอในหนังสือที่หลวงพ่อเขียน บอกว่าการถวายสังฆทาน ควรมีพระพุทธรูป ผ้าไตรจีวร และอาหาร อันนี้จำเป็นจะต้องมีครบตามนี้ไหมคะ ?"

หลวงพ่อ :  "ความจริง เราไม่ทำถึงขนาดนี้ก็ได้ การถวายสังฆทานในที่บางแห่งใช้เครื่อง ๕ เครื่อง ๘ นี่เป็นการสร้างขึ้น เรามีข้าวเพียงช้อนหนึ่ง แกงเพียงช้อนหนึ่งน้ำเพียงช้อนหนึ่ง แล้วถวายไป บอกว่าเป็นสังฆทาน เพียงเท่านี้ก็ใช้ได้ แต่ว่าที่เขียนไว้ในหนังสือ ว่าควรทำแบบนี้เพราะว่าผีกี่ร้อยกี่พันรายก็ตาม มาขอกันแบบนี้เรื่อยคือขอเหมือนกัน ที่ฉันแนะนำเขา ก็ทำตามที่ผีเขาขอนะ เลยถามเขาว่า "ผลจะได้แก่พวกเอ็งเป็นยังไง ?"
เขาบอกว่า

๑. ถวายพระพุทธรูปเป็นของสงฆ์ อานิสงส์ก็คือ ถ้าเป็นเทวดาจะมีรัศมีกายสว่างไสวมาก เพราะว่าเทวดาหรือพรหม เขาไม่ดูกันที่เครื่องแต่งตัว เขาดูแสงสว่างจากกาย
๒. ผ้าไตรจีวร หรือผ้าสักผืนหนึ่ง เขาจะได้เครื่องประดับอันเป็นทิพย์ เครื่องแต่งตัวทิพย์
๓. อาหารหรือของกิน จะทำให้มีร่างกายเป็นทิพย์"

ผู้ถาม :  "ทีนี้ถ้าหากว่า ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจุติจากเทวโลกกก็ดี พรหมโลกก็ดี มาเกิดเป็นมนุษย์ อานิสงส์เหล่านี้จะติดตามมาอีกไหมครับ ?"

หลวงพ่อ :  "อานิสงส์ตามมาคือ
๑. จะมีรูปร่างหน้าตาสวย เพราะอานิสงส์ถวายพระพุทธรูป แล้วก็มีปัญญาทรงตัวนี่อำนาจ พุทธานุภาพนะ
๒. เครื่องประดับเครื่องแต่งตัวดี และไม่อดอยาก เพราะอาศัยทาน ตัวอย่าง นางวิสาขาเป็น คนสวยงามมาก เพราะในชาติก่อน ได้เคยซ่อมแซมพระพุทธรูปและปลูกโรงทำหลังคาคลุมพระพุทธรูป จึงเป็นปัจจัยทำให้ได้เบญจกัลยาณี คือมีความงาม ๕ ประการ และ นางวิสาขาก็เป็นคนรวยมาก มีเครื่องลดามหาปสาธน์ราคา ๑๖ โกฏิ เป็นเครื่องประดับ เพราะอานิสงส์เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนาทั้งนี้ ด้วยอำนาจบุญบารมีที่ท่านได้บำเพ็ญแล้วด้วยดี จึงเป็นปัจจัยให้นางวิสาขา เป็นทั้งคนสวย คนรวย และเป็นคนมีปัญญามาก ได้เป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ"


ผู้ถาม :  "หลวงพ่อคะ การทำบุญวันเกิด เราจะทำหลังวันเกิด หรือก่อนวันเกิดดีคะ ?"

หลวงพ่อ :  "ตอนไหนก็ได้ การทำบุญวันเกิด เราถือว่าปีหนึ่ง เรามีโอกาสทำบุญครั้งหนึ่ง ที่เราทำบุญวันเกิดนี่เป็นนโยบายของพระ ท่านให้เรามีจิตเป็นกุศลไว้ถ้าถึงวันเกิดเราตั้งใจจะทำบุญ เราจะทำอะไรบ้าง มีการเตรียมการไว้ในใจถ้าจิตมันนึกอย่างนี้ เวลาจะตาย อานิสงส์ ได้ทันที อย่างสาตกีเทพธิดา เธอจะเอาดอกบวบขมไปบูชาเจดีย์ ที่เขาบรรจุกระดูกของพระ อรหันต์ แต่พอจัดดอกไม้ยังไม่ทันพ้นบ้าน ถูกวัวขวิดตาย อาศัยที่เธอจะตั้งใจบูชาพระด้วยดอกไม้ดอกนั้น ยังไปไม่ถึง พอตายแล้วก็เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่มีนางฟ้า ๑,๐๐๐ เป็นบริวาร อย่างนี้เขาถือว่าเป็นอนุสติ ถ้าเรานึกจะถวายเป็นสิ่งของก็เป็น จาคานุสติคิดว่าเราจะทำบุญกับพระองค์นั้นองค์นี้ นึกถึงพระสงฆ์ก็เป็นสังฆานุสติถ้าเราคิดจะทำบุญกับพระสงฆ์ แต่ให้มีพระพุทธรูปตั้งอยู่ด้วย นึกถึงพระพุทธ ก็เป็นพุทธานุสติ ถือว่าเป็นการเจริญพระกรรมฐานไปในตัว แต่พระท่านไม่ได้บอกตรงๆเท่านั้น เอง"

ผู้ถาม :  "รู้สึกว่า สมบัติที่เราทำไปมันน้อย ก็คิดว่าบุญคงได้น้อยค่ะ ?"

หลวงพ่อ :  "สมบัติมันเล็กน้อยก็จริง แต่ว่าอานิสงส์มันไม่เล็กน้อย ก็แบบซื้อล็อตเตอรี่ใบเดียว แต่ถูก รางวัลที่ ๑ อย่างทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างศาลา สร้างอาคาร สร้างส้วม เขาเรียกว่าวิหารทานอันนี้จัดเป็นบุญสูงสุดตัวอย่างตอนที่พระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็น มฆมานพ ท่านกับเพื่อนอีก ๓๒ คน ช่วยกันทำ ศาลาหลังหนึ่งไว้เป็นที่พักของคนเดินทาง มีช้างสำหรับลากไม้ ๑ เชื่อก มีนายช่าง ๑ คน เวลาตายไปแล้ว ท่านมฆมานพก็ไปเกิดเป็นพระอินทร์ เพื่อนอีก ๓๒ คน ก็ไปเป็นเทวดา มีวิมานคนละหลัง นายช่างไปเป็นวิษณุกรรมเทพบุตร ช้างที่ลากไม้เป็น เอราวัณเทพบุตร มีวิมานคนละหลังเหมือนกัน นี่เป็นเรื่องของอานิสงส์นะ"

ผู้ถาม :  "หลวงพ่อครับ กุศลชนิดใดที่มีอานิสงส์มากกว่าวิหารทานบ้างครับ ?"

หลวงพ่อ :  "สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ......การให้ธรรมะเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง ให้ธรรมทานซีคุณ หนังสือเรียนของเด็ก หนังสือเรียนของผู้ใหญ่หนังสือเรียนของพระหนังสือธรรมะต่างๆ ดูตัวอย่างพระสารีบุตร ให้ปัญญากับประชาชนทั้งหลาย เพราะอานิสงส์ได้เคยสร้างพระธรรม ซึ่งเป็นถ้อยคำที่มีประโยชน์ถวายพระพุทธเจ้า เกิดมาชาติหลังสุด จึงทำให้เป็นพระที่มีปัญญามาก อย่างเงินที่เขาถวายฉันไว้นี่ พอกลับไปถึงวัดก็เรียบร้อย เลี้ยงอาหารพระบ้าง ค่ากระแสไฟฟ้าบ้าง ค่าก่อสร้างบ้าง รวมความว่า ที่ท่านตั้งใจนี่มีผล ๔ อย่าง
๑. สร้างพระพุทธรูป
๒. วิหารทาน
๓. สังฆทาน
๔. ธรรมทาน

ทั้งหมดนี้ ใช้ทุนไม่ต้องมากก็ได้ เอาสัก ๕๐ สตางค์ เป็นอันว่า การทำบุญเอาแค่พอสมควร แต่ให้มันเป็นบุญใหญ่ เขามุ่งแบบนั้นนะ คือเราเอาไปผสมกับเขาก็แล้วกันไม่ต้องสร้างทั้งหลัง"


ผู้ถาม :  "กระผมสงสัยเรื่องการทำบุญ บางคนก็ทำช้า บางคนก็ทำไว อยากเรียนถามหลวงพ่อว่า การทำบุญช้าบ้าง เร็วบ้าง ยืดยาดบ้าง อานิสงส์ จะต่างกันหรือไม่ขอรับ ?"

หลวงพ่อ :  "ต่างกัน คือได้ช้า ได้เร็ว ต่างกันก็เหมือนท่าน จูเฬกสาฎก ท่านฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้า ตั้งใจถวายทานตั้งแต่ยามต้น และยามที่ ๒ จิตเป็นห่วงยายที่บ้าน ไม่มีโอกาสจะฟังเทศน์ เพราะไม่มีผ้าห่ม พอยามที่ ๓ ใกล้สว่าง จึงตัดสินใจถวาย แล้วประกาศว่า
"ชิตัง เม ชิตัง เม" พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ยิน ก็ทราบว่า ชนะความตระหนี่ จึงนำผ้าสาฎก และทรัพย์สินต่างๆมาให้ มีฐานะเป็นคหบดีคนหนึ่งต่อมาพระพุทธเจ้าตรัสว่า "ถ้าพราหมณ์นี้ถวายในยามต้น จะได้เป็นมหาเศรษฐีถ้าถวายยามที่ ๒ จะได้เป็นอนุเศรษฐี ยามที่ ๓ จะได้เป็นคหบดีใหญ่ที่ได้น้อย เพราะถวายช้าเกินไป พระองค์จึงตรัสว่า การบำเพ็ญกุศลผล ความดีในศาสนาของเรานี้ จงอย่าให้เนิ่นช้า ต้อง ตุลิตะ ตุลิตัง สีฆะ สีฆัง คือเร็วๆ ไวๆ"

ที่มา :-http://www.mfuzone.com/nboard/index.php?showtopic=11864-
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 08, 2014, 06:39:24 pm
ทำบุญง่าย ๆ สไตล์หลวงปู่ดู่

-http://www.pisit.in.th/thrrm-ma/thabuy-ngay-stil-hlwng-pu-du-

1. การเพิ่มพลังบุญแบบไม่เสียเงินแม้แต่บาทเดียว

เคล็ดวิชานี้ เป็นของท่านหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านสอนไว้ว่า
-เวลาตื่นเช้ามาขณะล้างหน้าหรือดื่มน้ำให้ท่องว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ เพื่อความเป็นสิริมงคลต่อชีวิตในวันใหม่
-ก่อนกินข้าว ก็ให้นึกถวายข้าวแด่พระพุทธเจ้า
-ออกจากบ้าน เห็นคนอื่นเค้ากระทำความดี เป็นต้นว่าเห็นเค้าใส่บาตรพระ จูงคนแก่ข้ามถนน ก็ให้นึกอนุโมทนากับเขาด้วย
-เดินผ่านเห็นดอกไม้บูชาพระวางขายอยู่ ก็ให้เอาจิตนึกอธิษฐานขอถวายดอกไม้เหล่านั้นเป็นเครื่องบูชาพระรัตนตรัย โดยระลึกว่า พุทธัสสะ ธัมมัสสะ สังฆัสสะ ปูเชมิ แล้วอย่าลืมอุทิศบุญให้พ่อค้า แม่ค้าดอกไม้นั้นด้วย
-เวลาไปไหนมาไหน เห็นไฟข้างทางก็ให้นึกน้อมถวายไฟเหล่านั้นบูชาพระรัตนตรัย โดยระลึกว่า โอม อัคคีไฟฟ้า พุทธบูชา ธัมมะบูชา สังฆบูชา

2. การเพิ่มพลังบุญด้วยเงินน้อย แต่ได้อานิสงส์ยิ่งใหญ่
การสร้างบุญที่เป็นมหากุศล อาทิเช่น การสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ พระมหาเจดีย์ สร้างยอดฉัตรหรือสร้างศาสนสถานอื่นใดก็ตาม รวมถึงธรรมทานด้วย เพื่อลดวิบากกรรมหนักๆ สามารถทำได้ แม้แต่ผู้ที่มีเงินน้อย การทำบุญนี้ ไม่จำเป็นจะต้องใช้เงินมาก เหมือนที่หลายๆคนในปัจจุบันเข้าใจและติดเป็นค่านิยมกัน การทำบุญทุกอย่าง ไม่ว่าจะบุญเล็ก บุญใหญ่ ให้ทำตามแต่กำลังของเราที่สามารถจะทำได้ และต้องไม่เดือดร้อนตัวเอง แม้แต่เงินสลึงเดียวก็สามารถสร้างมหากุศลได้ ขอให้เพียงเงินนั้นบริสุทธิ์ ไม่ได้ไปเบียดเบียนของใครมาก็พอ และที่สำคัญเจตนาตอนที่ทำ ต้องบริสุทธิ์ มีความยินดีในบุญที่ทำ เกิดความสุขและความอิ่มเอมใจ นั่นแหละมหากุศลทั้งสิ้น

แต่ถ้าไม่มีเงินจริงๆ ก็ยังสร้างมหากุศลได้ โดยการใช้แรงกายแรงใจในการช่วยก่อสร้าง หรือแม้แต่การไปชักชวน ป่าวประกาศให้คนมาร่วมสร้างบุญ และขออนุโมทนาบุญกับคนเหล่านั้นด้วยทุกครั้ง ก็จะได้บุญมากเช่นเดียวกัน อยู่ที่เจตนาและความตั้งใจเป็นที่ตั้ง สรุปสั้นๆ ว่า การทำบุญนั้น ไม่ว่าจะเป็นเงินเท่าใดก็ได้บุญเช่นกัน ยิ่งการทำบุญใดๆที่เป็นประโยชน์ต่อคนจำนวนมากมากหรือสังคม บุญนั้นก็จะมากขึ้นทวีคูณ ไม่มีวันหมด อาทิเช่น สังฆทาน สร้าง โรงทาน วิหาร อุโบสถ ถนน เป็นต้น จนกว่าสิ่งก่อสร้างหรือศาสนสถานนั้นๆที่ร่วมสร้างจะพังทลายไป

3. การสวดภาวนา ให้ได้บุญมากขึ้น
การสวดภาวนา คาถาศักดิ์สิทธิ์ หรือมนตราอันศักดิ์สิทธิ์นั้น ถ้าได้ทำอย่างถูกวิธีนั้น จะเป็นการเพิ่มบุญให้กับตัวเอง เพราะพลังบุญ พลังอำนาจของพระคาถาและมนตรานั้น จะถูกดึงเข้าสู่ตัวผู้สวดด้วย

เคล็ดวิธีมีอยู่ว่า โดยก่อนสวดนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิที่พร้อมจะสวดแล้ว ขอให้ตั้งจิตให้มั่นแล้วอุทิศบุญทั้งหมดที่ตนเคยทำมานั้น ส่งให้แด่ครูบาอาจารย์ ผู้เป็นเจ้าของคาถาหรือมนตรานั้นๆด้วย ซึ่งเป็นการเชื่อมบุญรูปแบบหนึ่ง และหลังจากนั้น ก็อธิษฐานขอมีส่วนร่วมในบุญของท่าน และขอมีส่วนร่วมในบุญของผู้อื่นที่ได้สวดคาถาและมนตราศักดิ์สิทธิ์นั้นด้วย เมื่อใดตามที่มีคนอื่นสวดและกระทำเหมือนกับเรา เราก็ได้บุญเพิ่มทุกครั้ง

4.การทำบุญด้วยการต่อชีวิตสัตว์ ให้ได้บุญมากขึ้น
การทำบุญปล่อยชีวิตสัตว์หรือต่อชีวิตสัตว์นั้น หลายคนเรียกว่า เป็นการสะเดาะเคราะห์ ซึ่งก็แล้วแต่จิตจะพาไป แต่ในความเป็นจริงก็คือ เป็นการทำบุญใหญ่ เป็นการช่วยต่อชีวิต ต่อโชคชะตา ให้เวลากับสัตว์ที่กำลังจะถึงตายให้ได้มีชีวิตอีกครั้ง และเคล็ดลับสำคัญก็คือ ก่อนที่จะปล่อยสัตว์นั้นๆ เมื่อได้ซื้อมาหรือเจอ ณ ที่ใดก็ตาม ให้นำไปถวายกับพระสงฆ์เสียก่อน เพื่อเพิ่มบุญให้มากขึ้น เหตุเพราะว่าพระสงฆ์ที่รับนั้นท่านบริสุทธิ์ และมีศีลมากกว่าเรา ท่านย่อมมีบุญมากกว่าเรา ยิ่งเป็นพระสงฆ์ที่มีเนื้อนาบุญมากแล้ว บุญนั้นจะเพิ่มเป็นหลายเท่า จากนั้นก็ขอผาติกรรมชำระหนี้สงฆ์ซื้อคืนมาจากท่าน ด้วยเงินเท่ากับจำนวนที่เราซื้อสัตว์นั้นๆมา วิธีนี้เป็นการเพิ่มบุญอีกเท่าตัว ได้ทั้งทำบุญต่อชีวิตสัตว์ และชำระหนี้สงฆ์ด้วย หลังจากนั้นก็นำไปปล่อยในที่อันสมควร

อานิสงส์ของการทำบุญด้วยวิธีนี้ ถ้าใครที่ทำได้ตามนี้ บุญที่ได้จะเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่า จากการที่ไปซื้อมาแล้วก็ไปปล่อยตามยถากรรม วิธีนี้นอกจากได้บุญน้อยแล้ว แถมยังได้บาปกลับมาด้วย ดังนั้นจะทำบุญทั้งที ควรฉลาดในการทำบุญด้วย

5. การทำสังฆทานให้ได้อานิสงส์บุญมากขึ้น
การทำสังฆทานควรทำให้ครบทั้งปัจจัยสี่ มีอาหาร( คาว-หวาน-ผลไม้-น้ำ ) ,เครื่องนุ่งห่ม ( ผ้าไตรจีวร หรือ ผ้าขนหนูสีสุภาพ ) , ยารักษาโรค , ที่อยู่อาศัย ( บ้านหลังเล็กๆ ซื้อได้ตามร้านสังฆภัณฑ์ เพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยทิพย์ให้กับเจ้ากรรมนายเวร เค้าจะได้มีที่พักพิง ไม่มารบกวนเราอีก ) และควรเพิ่มหนังสือธรรมะเข้าไปด้วยเพื่อให้จิตใจของเจ้ากรรมนายเวรซึ้งในรสพระธรรม มีจิตใจที่เย็นสบายพ้นทุกข์

เคล็ดลับสำคัญ เครื่องสังฆทานและอาหารเหล่านี้ เราควรที่จะต้องไปถวายแด่พระสงฆ์ที่มีเนื้อนาบุญสูง แต่ถ้าหาไม่ได้หรือไม่ทราบ ให้เรานั้นตั้งจิตอธิฐานถวายแด่พระพุทธเจ้าโดยตรงและ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ หรือครูบาอาจารย์ที่เรานับถือ เพื่อให้อานิสงส์ของบุญจะได้มากขึ้นทบทวี และหลังจากนั้นก็ให้อุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งหมด และควรกรวดน้ำหลังทำบุญทุกครั้งเพื่อให้พระแม่ธรณีและเทพเทวาทั้งปวงท่านเป็นพยานในการทำบุญครั้งนี้

สรุป
เมื่อท่านได้ทราบว่า ทำบุญอะไร แล้วได้รับอานิสงส์ของการทำบุญเป็นอย่างไร สมควรช่วยประชาสัมพันธ์ให้ผู้อื่นได้ทราบด้วย เพราะเป็นการให้คนได้รู้ถึงอานิสงส์ของทำบุญในแต่ละอย่าง จะได้จำสืบต่อกันไปอย่างถูกต้อง

ดังนั้น จึงสรุปว่า การทำบุญอะไรก็ตาม เมื่อได้ทำบุญแล้ว ก็ได้รับผลบุญในทันที กล่าวคือ ขณะที่ทำบุญนั้น สภาพจิตของเราตรงนั้นเป็นอย่างไร สุขใจไหม สบายใจไหม ภูมิใจไหม ตรงนี้ไม่ต้องถาม หวังว่า ท่านที่เคยทำบุญมาแล้วก็จะตอบตนเองได้อย่างแจ่มแจ้งทีเดียว

เมื่อเราได้ทำบุญ ผลของการทำบุญ จะให้อานิสงส์ไม่เหมือนกัน บุญบางอย่าง ก็ให้ผลโดยตรง แต่บุญบางอย่าง ก็ให้ผลโดยอ้อมไม่ตรงทีเดียว ในเรื่องนี้ แสดงให้เห็นว่า อานิสงส์แห่งการทำบุญนั้นไม่เหมือนกัน และผลบุญที่เราได้ทำนั้น รอให้ผลอยู่ตลอดเวลาแก่ผู้ที่ได้ทำบุญไว้ ตราบเท่าที่ยังมีผลบุญอยู่ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ทำบุญไว้ ถ้าไม่ประมาท ถึงแม้ไม่มีอะไรจะทำบุญ เพียงแต่เห็นคนอื่นเขาทำบุญ แล้วทำใจให้เลื่อมใส ก็เป็นอันได้ทำบุญเหมือนกัน บุญชนิดนี้ เรียกว่า บุญด้านปัตตานุโมทนามัย ( บุญจากการอนุโมทนาบุญ )

ขอบคุณข้อมูลจาก :

-http://www.fungdham.com/-
-http://www.d.igetweb.com/-
-www.morgangaiyasit.com/forum/viewtopic.phpid=160-


หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 08, 2014, 06:41:19 pm
อานิสงส์ของการรักษาศีล 5 ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ

-http://www.onab.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=1489:-5---&catid=61:2009-06-12-17-56-15&Itemid=246-

คำว่า ศีล ได้แก่สภาพเช่นไร ศีลอย่างแท้จริงเป็นไปด้วยความมีสติ รู้สิ่งที่ควรหรือไม่ควร ระวังการระบายออกทางทวารทั้งสาม คอยบังคับกาย วาจา ใจ ให้เป็นไปในขอบเขตของศีลที่เป็นสภาพปกติ ศีลที่เกิดจากการรักษามีสภาพปกติไม่คะนองทางกาย วาจา ใจ ให้เป็นที่เกลียด นอกจากความปกติงดงามทางกาย วาจา ใจ ของผู้มีศีลว่าเป็นศีล เป็นธรรม

เราควรรักษาศีล 5

1. สิ่งที่มีชีวิต เป็นสิ่งที่มีคุณค่า จึงไม่ควรเบียดเบียน ข่มเหง และทำลายคุณค่าแห่งความเป็นอยู่ของเขาให้ตกไป
2. สิ่งของของใคร ๆ ก็รักและสงวน ไม่ควรทำลาย ฉกลัก ปล้น จี้ เป็นต้นอันเป็นการทำลายสมบัติและทำลายจิตใจกัน
3. ลูก หลาน สามี ภรรยา ใคร ๆ ก็รักสงวนอย่างยิ่ง ไม่ปรารถนาให้ใครมาอาจเอื้อม ล่วงเกิน เป็นการทำลายจิตใจของผู้อื่นอย่างหนัก และเป็นบาปไม่มีประมาณ
4. มุสา การโกหกพกลม เป็นสิ่งทำลายความเชื่อถือของผู้อื่นให้ขาดสะบั้นลงอย่างไม่มีดี แม้เดรัจฉานก็ไม่พอใจคำหลอกลวง จึงไม่ควรโกหกหลอกลวงให้ผู้อื่นเสียหาย
5. สุรา ยาเสพติด เป็นของมึนเมาและให้โทษ ดื่มเข้าไปย่อมทำให้คนดี ๆ กลายเป็นคนบ้าได้ ลดคุณค่าลงโดยลำดับ ผู้ต้องการเป็นคนดีมีสติปกครองตัว อย่างมนุษย์จึงไม่ควรดื่มสุรา เครื่องทำลายสุขภาพทางร่างกายและใจอย่างยิ่ง เป็นการทำลายตัวเอง และผู้อื่นไปด้วยในขณะเดียวกัน

อานิสงส์ของการรักษาศีล 5

1. ทำให้อายุยืน ปราศจากโรคภัยเบียดเบียน
2. ทรัพย์สมบัติที่อยู่ในความปกครอง มีความปลอดภัยจากโจรผู้ร้ายมาราวี เบียดเบียนทำลาย
3. ระหว่างลูก หลาน สามี ภริยา อยู่ด้วยกันเป็นผาสุก ไม่มีผู้คอยล่วงล้ำกล้ำกรายต่างครองกันอยู่ด้วยความเป็นสุข
4. พูดอะไร มีผู้เคารพเชื่อถือ คำพูดมีเสน่ห์เป็นที่จับใจไพเราะ ด้วยสัตย์ด้วยศีล
5. เป็นผู้มีสติปัญญาดีและเฉลียวฉลาด ไม่หลงหน้าหลงหลัง จับโน่นชนนี่เหมือนคนบ้าคนบอหาสติไม่ได้ ผู้มีศีล เป็นผู้ปลูกและส่งเสริมสุขบนหัวใจคนและสัตว์ทั่วโลกให้ มีแต่ความอบอุ่นไม่เป็นระแวงสงสัย ผู้ไม่มีศีลเป็นผู้ทำลายหัวใจคนและสัตว์ ให้ได้รับความทุกข์เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า

ศีล นั้นอยู่ที่ไหน มีตัวตนเป็นอย่างไร ใครเป็นผู้รักษาแล้วก็รู้ว่า ผู้นั้นเป็นตัวศีล ศีลก็อยู่ที่ตนนี้ เจตนาเป็นตัวศีล เจตนา คือ จิตใจ คนเราถ้าจิตไม่มี ก็ไม่เรียกว่าตน มีแต่กายจะทำอะไรได้ ร่างกายกับจิตต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่อจิตไม่เป็นศีล กายก็ประพฤติไปต่าง ๆ ผู้มีศีลแล้วไม่มีโทษ จะเป็นปกติแนบเนียนไม่หวั่นไหว ไม่มีเรื่องหลงหาหลงขอคนที่หา คนที่ขอ ต้องเป็นทุกข์ ขอเท่าไรยิ่งไม่มี ยิ่งอดอยาก ยากเข็ญยิ่งไม่มี

กายกับจิต เราได้มาแล้ว มีอยู่แล้ว ได้จากบิดามารดาพร้อมบริบูรณ์แล้ว จะทำให้เป็นศีลก็รีบทำ ศีลมีอยู่ที่เรานี้แล้ว รักษาได้ไม่มีกาล ได้ผลไม่มีกาล

ผู้มีศีล ย่อมเป็นผู้องอาจกล้าหาญ ผู้มีศีล ย่อมมีความสุข ผู้จักมั่งคั่งบริบูรณ์ สมบูรณ์ ไม่อด ไม่อยาก ไม่จน ก็เพราะรักษาศีลได้สมบูรณ์ จิตดวงเดียว เป็นศีลเป็นสมาธิ เป็นปัญญา

ผู้มีศีลแท้ เป็นผู้หมดเวรหมดภัย

ที่มา : คติธรรม คำสอน ของ องค์ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถร
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 08, 2014, 06:42:06 pm
การรักษาศีล 5

-http://www.sil5.net/index.asp?autherid=14&ContentID=10000024&title=%A1%D2%C3%C3%D1%A1%C9%D2%C8%D5%C5+5&bttcol=False-

ศีล ( Morality ) คือ ความปกติ และการรักษาศีลก็คือ ความตั้งใจรักษาปกติของตน อันเป็นหลักปฏิบัติที่ไม่ทำให้เดือดร้อน
แก่ตนเองและผู้อื่น และเป็นหลักแห่งความประพฤติที่จะทำให้เกิดความสะอาดทางกาย และวาจา ศีลมีหลายประเภท เช่น ศีล 5, ศีล 8, ศีล 10 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ปฏิบัติ แต่ศีลที่ควรกระทำเพื่อให้เกิดความปกติในสังคมก็คือ ศีล 5 เพราะสะดวก
และง่ายที่จะปฏิบัติ มีดังนี้ คือ
 

•  พึงละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

•  พึงละเว้นจากการลักขโมย ฉ้อฉล

•  พึงละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม

•  พึงละเว้นจากการพูดเท็จ

•  พึงละเว้นจากการดื่มเครื่องดองของเมา


ศีลทั้ง 5 ข้อนี้ เป็นหลักจำเป็นในสังคมมนุษย์ที่จะต้องปฏิบัติเพื่อให้เกิดความปกติ ทั้งในตนเองและสังคม เพราะช่วยควบคุม
ความประพฤติมิให้พลาดถลำลงในความชั่วอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงจัดอยู่ในระดับศีลธรรมอันเป็นมูลฐานที่จะนำไปสู่ความสงบ
ของจิตใจ ถ้าหากความสะอาดทางกายและวาจาไม่มีแล้ว เราก็ไม่สามารถทำจิตใจให้สงบได้

สรุปได้ว่า ทางสายกลางข้อ 3-4-5 เป็นการปฏิบัติทางศีลเพื่อให้เกิดความปกติทางกายและวาจาเท่านั้น

 

เบญจศีล

ในการอยู่ร่วมกันในสังคมนั้น จำเป็นที่แต่ละคน ซึ่งเป็นสมาชิกของสังคมจะต้องทำตนให้เป็นคนเต็มคน ที่เรียกว่าเป็นมนุษย์ หรือเป็นคน 100% เพื่อให้การอยู่ร่วมกันดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย มีความสงบสุข เกิดศานติสุข ไม่มีเวรภัยต่อกันและกันหลักธรรมที่จะทำคนให้เป็นให้เต็มคนอันยังผลให้การอยู่ร่วมกันมีความสุขมีความสงบสุขนั้นก็คือ เบญจศีลเบญจธรรม อันได้แก่

ตอนที่ ๑ เนื้อความและความหมาย

เบญจศีล แปลว่า ศีล ๕ ได้แก่..

๑.ปาณาติปาตา เวรมณี เจตนาเป็นเครืองงดเว้นจากการฆ่า การเบียดเบียน การทำร้ายร่างกายคนและสัตว์ แล้วมีจิตใจประกอบด้วยเมตตากรุณา มีความปรารถนาดี และสงสารเห็นอกเห็นใจผู้อื่นสัตว์อื่น

๒.อทินนาทานา เวรมณี เจตนาเป็นเครืองงดเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ด้วยอาการแห่งขโมยหรือโจร อันได้แก่ ลัก ฉก ชิง วิ่งราว ขู่กรรโชก ขู่เข็ญ ปล้น จี้ ตู่ ฉ้อโกง หลอก ลวง ปลอม ตระบัด เบียดบัง สับเปลี่ยน ลักลอบ ยักยอก และรับสินบน แล้วเป็นผู้มีความขยันประกอบสัมมาชีพ บริจาคทาน และเคารพในกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของผู้อื่น

๓.กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม
บุคคลต้องห้ามสำหรับฝ่ายชาย คือ
(๑) ภรรยาคนอื่น
(๒) ผู้หญิงที่ยังอยู่ในความอุปการะของผู้อื่น (ต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่นอยู่)
(๓) ผู้หญิงที่จารีตต้องห้าม (แม่ ย่า ยาย พี่สาว น้องสาว ลูกสาว ชี หญิงผู้เยาว์

บุคคลที่ต้องห้ามสำหรับฝ่ายหญิง คือ
(๑) สามีคนอื่น
(๒) ชายจารีตต้องห้าม (พ่อ ปู่ ตา พี่ชาย น้องชาย ลูกชาย พระภิกษุ สามเณร ชายผู้เยาว์)

ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงไม่ใช่เฉพาะ ห้ามแต่ร่วมสังวาสเท่านั้น แม้แต่การเคล้าคลึง การพูดเกี้ยวพาราสี หรือการแสดงอาการ ปฏิพัทธ์แม้แต่ด้วยสายตาเนตรสบเนตร เป็นต้น ก็ชื่อว่า การละเมิดศีลข้อนี้แล้ว เมื่อไม่ล่วงละเมิดศีลข้อนี้แล้วเป็นผู้สำสวมในกามยินดีแต่ในภรรยาของตนเท่านั้น (สทารสันโดษ) จงรักภักดีแต่ในสามีของตน (ปติวัตร) ถ้ายังไม่ได้แต่งงานก็ต้องมีกามสังวร ตั้งตนอยู่ในขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงาม มีวัฒนธรรมอันดีชนิดที่ว่า "เข้าตามตรอกออกตามประตู"

๔.มุสาวาทา เวรมณี เจตนาเป็นเครืองงดเว้นจากการพูดเท็จ อันได้แก่คำปด ทวนสาบาน ทำเล่ห์กระเท่ห์ มารยา ทำกิเลส เสริมความสำรวมคำพูดเสียดแทง สับปลับ ผิดสัญยา เสียสัตย์ และคืนคำ แล้ว เป็นผู้รักสัจจะจะพูดแต่คำสัตย์จริงด้วยความจริงใจและปรารถนาดี มุ่งหวังดีต่อผู้ฟัง

๕.สุราเมรยะมัชชะปมาทัฏฐานา เวรมณี เจตนาเป็นเครืองงเว้นจากการดื่มน้ำเมาอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท อันได้แก่ น้ำสุรา เมรัย เครื่องดื่มมึนเมาอื่น ๆ และการเสพยาเสพติดอื่นๆ เช่น ฝิ่น เฮโรอีน กัญชา ยาบ้า หรือแม้แต่บุหรี่ แล้วเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะในการประกอบกิจการทั้งปวง และเป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิตในการงาน ในวัย ในเพศ

ผู้จะเป็นคนเต็มคน คือ 100% จะต้องเป็นผู้มีการดำเนินชีวิตประจำวันที่ประกอบด้วยเบญจศีลเบญจธรรมทั้ง ๕ ประเด็นดังกล่าวแล้ว ถ้าขาด ๑ ประเด็นก็เป็นคนเพียง ๘๐ % หรือขาด ๒ ประเด็นก็เป็นคนเพียง ๖๐ % เป็น นับว่าเป็นหลักการขั้นพื้นฐานที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน มุ่งเน้นให้พุทธศาสนิกชนได้ประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อความเป็นมนุษย์อันจะได้เป็นสมาชิกที่ของสังคม ความสงบสุขในสังคมแต่ละวันจะเกิดขึ้นได้ก็อาศัยหลักมนุษยธรรม หรือ แต่ละคนเป็นคนเต็มคนนั่นเอง


อธิบายเบญจศีลอย่างย่อ ๆ

  เบญจ แปลว่า ๕ ศีล แปลว่า ปกติ เบญจศีล จึงแปลว่า ปกติ ๕ อย่าง แปลว่า ตัด ก็ได้ เพราะตัด จากความชั่ว หรือมนุษยธรรมก็เรียก แปลว่า ธรรมสำหรับมนุษย์ หมายความว่า ธรรมที่ทำคนให้เป็นคนที่ควรแก่การเคารพนับถือความหมายของเบญจศีล
ความเป็นปกติของคน คือความเรียบร้อยสวยงามคนที่ไม่เรียบร้อยจะเป็นที่สวยงามไปไม่ได้ ได้แก่คนที่ผิดปกตินั้นเอง คนที่ไม่ปกตินั้นก็เป็นที่ผิดแปลกไปจากคนอื่น ๆ เช่น
- ปกติคนเราจะต้องไม่ฆ่ากัน ไม่ทำร้ายร่างกายกันเพราะคนก็ดี สัตว์ก็ดีต่างก็รักชีวิตของตนด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ประสงค์จะให้ใครมาฆ่าแกง หรือมาทำร้ายร่างกายตน หรือทรมานตนให้ได้รับความลำบาก คนที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตของคนอื่น สัตว์อื่น จึงชื่อว่าคนผิดคน คือผิดปกติของคน
- ปกติคนเราจะต้องไม่ขโมยทรัพย์สมบัติของกันและกันเพราะใคร ๆ ก็ย่อมรัก ย่อมหวงแหนในทรัพย์สินของตน ไม่ประสงค์จะให้ใครมาเบียดเบียนและล่วงเกินในทรัพย์สินของตน คนที่ขโมยทรัพย์ของผู้อื่น จึงชื่อว่าทำผิดปกติของคนปกติของคนเราจะต้องไม่ล่วงละเมิดประเวณีของกันและกัน เพราะลูกใคร เมียใคร สามีใคร ใคร ๆ เขาก็หวง ไม่ประสงค์จะให้ใครมารับแกขมเหงน้ำใจ ลูกเมียสามีเปรียบเหมือนทรัพย์อันมีค่าของเขา คนที่รับแก ข่มเหงล่วงเกินผู้อื่น จึงชื่อว่าเป็นเป็นผู้ทำผิดปกติของคน
-ปกติของคนเราจะต้องไม่โกหกหลอกลวงกัน เพราะทุกคนไม่พึงปรารถนาจะให้ใครมาโกหกหลอกลวงตน ไม่ปรารถนาจะให้ใครมาหักรานประโยชน์ของตน ปรารถนาแต่ความสัตย์ความจริงด้วยกันทั้งสิ้น คนที่โกหกหลอกลวงผู้อื่นจึงชื่อว่าทำผิดปกติของคน
-ปกติของคนเราจะต้องรักษากายวาจาให้เรียบร้อย บำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ร่างกายของตน ไม่ปรารถนาจะให้ร่างกายได้รับความลำบากด้วยทุกขเวทนาต่าง ๆ ทั้งพยายามเสริมสร้างร่างกายให้เจริญด้วยกำลังและสมบูรณ์ด้วยสติปัญญา จึงต้องงดเว้นจากการทำร้ายร่างกายตนเอง ด้วยการไม่ทำตนให้ผิดปกติ
คนที่ดื่มสุรา เมรัย และเสพของมึนเมาต่าง ๆ เช่น กัญชาและเฮโรอีน เป็นต้นจนกลายเป็นคนติดยาเสพติดให้โทษ เป็นคนขาดสติสัมปชัญญะ ตกอยู่ในฐานะแห่งความเป็นผู้ประมาท ชื่อว่าเป็นผู้ทำร้างร่างกายตนเอง จึงจัดว่าเป็นคนทำผิดปกติ

   ศีล ๕ ประการนี้ ท่านเรียกว่า มนุษยธรรม แปลว่า ธรรมสำหรับมนุษย์ ธรรมทำให้คนเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์,เป็นธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะ ผู้ที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่สมบูรณ์ด้วยมนุษยธรรมนี้มาก่อน การเกิดมาเป็นมนุษย์เป็นเรื่องที่ยากแท้ ดังพระพุทธดำรัสว่า"กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ การได้อัตภาพมาเป็นมนุษย์เป็นเรื่องยาก" เมื่อเราได้อัตภาพเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วอย่างนี้ ไม่พยายามรักษาสภาพปกติไว้ ก็จะกลายเป็นผู้ทำลายปกติของตนเอง
ผู้ที่ล่วงละเมิดศีล จึงชื่อว่าเป็นผู้ทำลายมนุษยธรรม ผู้ที่ทำลายมนุษย์ธรรมชื่อว่าเป็นผู้ทำลายปกติของตนเองด้วยประการฉะนี้

ตอนที่ ๒ วิรัติ คือการงดเว้น

   การรักษาศีล คือ การรักษากายวาจาให้เรียบร้อยเป็นปกติ, การปฏิบัติธรรม คือ การฝึกฝนอบรมจิตใจให้งดงาม, คนดีมีศีลธรรม คือ คนที่มีกายวาจาเรียบร้อยและมีจิตใจงดงาม
การรักษาศีลนั้นมี ๓ วิธี เรียกว่า วิรัติ คือ การงดเว้น ได้แก่

๑.สมาทานวิรัติ การงดเว้นด้วยการสมาทาน
๒.สัมปัตตวิรัติ การงดเว้นในขณะเผชิญหน้า
๓.สมุจเฉทวิรัติ การงดเว้นโดยเด็ดขาด

   การที่จะรักษาศีลให้บริสุทธิ์หมดจดเรียบร้อย ต้องประกอบด้วยวิรัติ ๓ อย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้

   สมาทานวิรัติ ได้แก่การเปล่งวาจาขอสมาทานศีลจากพระภิกษุ สาม เณร หรือ จากบุคคลผู้มีศีลโดยการเปล่งวาจาขอสมาทานเป็นข้อ ๆ ไปดังนี้

๑.ปาณาติปาตา เวรมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขา บท คือ เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ด้วยตนเอง และการใช้ให้คนอื่นฆ่า
ในสิกขาบทนี้ เป็นทั้งสาหัตถิกประโยค เพราะลงมือฆ่าด้วยตนเอง, เป็นทั้งอาณัติก ประโยค เพราะใช้ให้คนอื่นฆ่า

๒.อะทินนาทานา เวรมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ข้าพเจ้าขอสมา ทานสิกขาบท คือ เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการลักทรัพย์ด้วยตนเอง และใช้ให้คนอื่นลัก
ในสิกขาบทนี้ คำว่า "ทรัพย์" หมายเอาทั้งสวิญญาณกทรัพย์ ทรัพยที่มีวิญญาณครอง เช่น คน สัตว์ และ วิญญาณฏทรัพย์ ทรัพย์ที่ไม่มีวิญญาณครอง ได้แก่ วัตถุสิ่งของต่าง ๆ และหมายความรวมไปถึงสังหาริมทรัพย์ ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ได้และอสังหาริมทรัพย์ ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ในสิกขาบทนี้ เป็นทั้งสาหัตถิกประโยค เพราะลักด้วยตนเอง, เป็นทั้งอาณัติกประโยค เพราะใช้ให้คนอื่นลัก

๓.กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ข้าพเจ้าขอสมา ทานสิกขาบท คือ เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม
ในสิกขาบทนี้ คำว่า "การประพฤติผิดในกาม" หมายถึงการร่วมประ เวณีในบุรุษและสตรีที่ไม่ใช่สามี-ภรรยาคู่ครองของตนเอง เช่น มารดาบิดาล่วงละเมิดกับบุตรธิดาของตนเอง หรือพี่ชายพี่สาวล่วงละเมิดกับน้องชายน้องสาวของตนเอง ก็เป็นการผิดประเวณีทั้งสิ้น
สิกขาบทนี้ เป็น สาหัตถิกประโยค เพราะผิดประเวณีด้วยตนเองอย่างเดียว ไม่เป็นอาณัติกประโยค เพราะใช้ให้คนอื่นผิดประเวณี

๔.มุสาวาทา เวรมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือ เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการพูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ และ พูดเพ้อเจ้อ
ในสิกขาบทนี้ คำว่า "มุสาวาท" หมายความรวมไปถึง วจีทุจริต ๔ ประการ คือ การปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ และ พูดเพ้อเจ้อ การพูดปด ได้แก่ การพูดเท็จ หรือพูดให้คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ซึ่งเรียกว่า มุสาวาท
การพูดคำหยาบ ได้แก่ การด่าว่าคนอื่นให้ได้รับความอับอาย เรีบกว่า ผรุสวาจา
การพูดเพ้อเจ้อ ได้แก่ การพูดให้ไขว้เขว เหลวไหลไร้สาระ ทำให้เสียประโยชน์ของผู้อื่น เรียกว่า สัมผัปปลาปะสิกขาบทนี้ เป็นสาหัตถิกประโยค เพราะพูดด้วยตนเองอย่างเดียว ไม่เป็นอาณัติกประโยค เพราะให้ใช้คนอื่นพูด

๕.สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวรมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือ เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทในสิกขาบทนี้ คำว่า "สุราและเมรัย" หมายถึง สุรา ๕ อย่าง และ เมรัย ๕ อย่าง ได้แก่

สุรา ๕ อย่าง ได้แก่

๑.ปิฏฐสุรา สุราทำด้วยแป้ง
๒.ปูวสุรา สุราทำด้วยขนม
๓.โอทนสุรา สุราทำด้วยข้าวสุก
๔.กิณณะปกะขิตตา สุราที่หมักเชื้อ
๕.สัมภาระสังยุตตา สุราที่ปรุงด้วยเครื่องเทศต่าง ๆ

เมรัย ๕ อย่าง ได้แก่

๑.ปุปผาสโว น้ำดองดอกไม้
๒.ผลาสโว น้ำดองผลไม้
๓.มธวาสโว น้ำดองน้ำผึ้ง หรือน้ำดองน้ำหวาน
๔.คุฬาสโว น้ำดองน้ำอ้อย
๕.สัมภาระสังยุตโต น้ำดองที่ปรุงด้วยเครื่องเทศต่าง ๆ

สิกขาบทนี้ เป็นสาหัตถิกประโยคเพราะดื่มหรือเสพด้วยตนเอง ไม่เป็นอาณัติกประโยค เพราะใช้ให้ผู้อื่นดื่มหรือเสพ

สัมปัตตวิรัติ ได้แก่การงดเว้นในขณะเมื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์นั้น ๆ เช่น เกิดมีการต่อสู้กันขึ้น มีช่องทางพอที่จะฆ่าเขาได้ แต่ระลึกถึงศีลจึงไม่ฆ่า มีช่องทางพอที่จะโกงเขาได้แต่ไม่โกง มีช่องทางพอที่จะล่วงประเวณีได้แต่ไม่ล่วงประเวณี มีเหตุที่จะต้องให้โกหกเขาได้แต่ไม่โกหก มีโอกาสที่จะดื่มน้ำเมาได้ แต่ไม่ดื่มเพราะคำนึงถึงศีลดังกล่าวแล้ว อย่างนี้เป็นต้น เรียกว่า สัมปัตตวิรัติ แปลว่า งดเว้นได้ในขณะประจวบเข้าเฉพาะหน้า จัดเป็นผู้รักษาศีลเช่นเดียวกัน

สมุจเฉทวิรัติ ได้แก่ การงดเว้นโดยเด็ดขาด แม้อันตรายจะเข้ามาถึงชีวิตตนเอง ก็ไม่ล่วงละเมิดศีล เป็นวิรัติของพระอริยบุคคล ตัวอย่างเช่น ในกรณีที่ถูกบังคับให้ฆ่าคนอื่น ถ้าไม่ทำตนเองก็จะถูกฆ่า ก็ไม่ยอมฆ่าคนอื่นโดยเด็ดขาด ยอมให้เขาฆ่าตนเองดีกว่าที่จะล่วงละเมิดศีล ดังนี้เป็นต้น


ตอนที่ ๓ องค์แห่งศีล ๕

   ในสิกขาบททั้ง ๕ นั้น ในแต่ละสิกขาบทมีองค์ประกอบต่าง ๆ กัน เมื่อครบองค์ศีลจึงขาด ถ้าไม่ครบองค์ศีลยังไม่ขาด เป็นแต่เพียงด่างพร้อยหรือบกพร่องไปบ้างเท่านั้น องค์แห่งศีลทั้ง ๕ นั้นมีดังต่อไปนี้

สิกขาบทที่ ๑

   ปาณาติปาตา เวรมณี แปลว่า เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการทำสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วง หมายถึง เว้นจากการฆ่าสัตว์ สิกขาบทที่ ๑ นี้มีองค์ ๕ คือ


๑.สัตว์นั้นมีชีวิต
๒.รู้อยู่ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต
๓.มีเจตนาจะฆ่าสัตว์นั้น
๔.พยายามฆ่าสัตว์นั้น
๕.สัตว์นั้นตายด้วยความพยายามนั้น

การฆ่าที่ประกอบไปด้วยองค์ ๕ นี้ ไม่ว่าจะฆ่าเองหรือใช้ให้คนอื่นฆ่าก็ตาม ยุยงให้สัตว์อื่นฆ่ากันก็ตาม เช่น จัดให้จิ้งหรีดกัดกันจนตายไป เป็นต้น ศีลก็ขาดทั้งนั้น
สิกขาบทที่ ๑
ปาณาติปาตา เวรมณี แปลว่า เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการทำสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วง หมายถึง เว้นจากการฆ่าสัตว์
คำว่า"สัตว์"ในสิกขาบทที่ ๑ นี้ ท่านประสงค์เอาทั้งมนุษย์ชาย-หญิงทุกวัย จนที่สุดแม้กระทั่งที่ยังอยู่ในครรภ์ และสัตว์ดิรัจฉานทุกชนิด

สิกขาบทที่ ๑ นี้มีข้อห้ามไว้ ๓ ประการ ได้แก่

๑.การฆ่า
๒.การทำร้ายร่างกาย
๓.การทรกรรม

ในสิกขาบทที่ ๑ นี้ เป็นทั้งสาหัตถิกประโยค เพราะลงมือฆ่าด้วยตนเอง, เป็นทั้งอาณัติกประโยค เพราะใช้ให้คนอื่นฆ่า
การฆ่าโดยตรงศีลขาด, ส่วนการทำร้ายร่างกาย และการทรกรรม (ทรมาน) สัตว์ รวมเรียกว่า อนุโลมการฆ่า ศีลไม่ขาด เป็นแต่เพียงด่างพร้อยหรือศีลทะลุก็เรียก


การฆ่า
การฆ่า หมายถึง การทำให้ตาย แบ่งเป็น ๒ อย่าง ได้แก่


๑.ฆ่ามนุษย์
๒.ฆ่าสัตว์ดิรัจฉาน


การทำร้ายร่างกาย
การทำร้างร่ายกายนี้ ทางฝ่ายศาสนาถือเป็น "บุพพประโยคของการฆ่า" แบ่งออกเป็น ๓ สถาน ได้แก่

๑.การทำให้พิการ ได้แก่ การทำให้อวัยวะบางส่วนเสีย เช่น การทำให้ตาเสีย การทำให้แขนหรือขาเสีย เป็นต้น
๒.การทำให้เสียโฉม ได้แก่ การทำร้างร่างกายให้เสียรูปเสียงาม แต่ไม่ถึงกับให้พิการ เช่น
๓.การทำให้เจ็บลำบาก ได้แก่ การทำร้างร่างกายซึ่งไม่ถึงกับเสียโฉม แต่เสียความสำราญ เช่น ชกต่อย เฆี่ยนตี


การทรกรรม
ทรกรรม หมายถึง "การประพฤติเหี้ยมโหดแก่สัตว์โดยไม่ปรานี" จัดเป็น ๕ อย่าง ได้แก่

๑.ใช้การ ได้แก่ การใช้สัตว์เป็นพาหนะ อย่างไม่ปรานี มีแต่ใช้ ปล่อยให้อดอยาก ซูบผอม ไม่ให้พักผ่อนตามกาล หรือใช้เกินกำลังของสัตว์
๒.กักขัง ได้แก่ การเลี้ยงสัตว์ไว้ในกรงที่คับแคบเกินไป หรือผูกไว้เพื่อดูชมเล่น แต่ผู้เลี้ยงกักขัง หรือผูกมัดไว้จนไม่สามารถจะผลัดเปลี่ยนอิริยาบถได้ หรือไม่ปรนเปรอเลี้ยงดูให้สัตว์ได้รับความสุขพอสมควร ปล่อยให้อดอยาก เป็นต้น
๓.นำไป ได้แก่ การนำไปผิดอิริยาบถของสัตว์ สัตว์นั้นย่อมได้รับความลำบาก เช่น ผูกขาไก่หิ้วไป
๔.เล่นสนุก ได้แก่การนำสัตว์มาเล่นเพื่อความสนุก เช่นเอาประทัดผูกหางสุนัขแล้วจุดไฟ
๕.ผจญสัตว์ ได้แก่ การเอาสัตว์ให้ชนกันหรือกัดกัน เช่น ชนโค ชนไก่ กัดปลา เป็นต้น


สิกขาบทที่ ๒

   อทินนาทานา เวรมณี เวรมณี แปลว่า "เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ด้วยอาการเป็นโจร"
สิ่งของที่เจ้าของไม่ให้ได้ในที่นี้ หมายถึงสิ่งของ ๒ อย่าง คือ

๑.สิ่งของที่มีเจ้าของ ทั้งที่มีวิญญาณ ซึ่งเรียกว่า สวิญญาณกทรัพย์ และที่ไม่มีวิญญาณ เรียกว่า อวิญญาณกทรัพย์
๒.สิ่งของที่ไม่ใช่ของใคร แต่มีผู้รักษาหวงแหน เช่น สิ่งของที่เป็นของสงฆ์ ของสโมสร ของส่วนรวม เป็นต้น

ในสิกขาบทที่ ๒ นี้ จึงมีข้อห้ามเป็น ๓ อย่าง ได้แก่

๑.โจรกรรม
๒.ความเลี้ยงชีพอนุโลมโจรกรรม
๓.กิริยาเป็นฉายาโจรกรรม

๑.โจรกรรม
โจรกรรม ได้แก่ "กิริยาที่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ด้วยอาการเป็นโจร" มี ๑๔ ประเภท ได้แก่
๑.ลัก ได้แก่"กิริยาที่ถือเอาสิ่งของด้วยอาการเป็นโจรในเวลาที่เงียบไม่ให้เจ้าของรู้" มี ๓ ลักษณะ คือ
ก.เมื่อเจ้าของเขาเผลอก็หยิบเอาสิ่งของนั้นไป เรียกว่า "ขโมย"
ข.เวลาสงัดคนแอบเข้าไปในเรือนแล้วหยิบเอาสิ่งของของเขาเรียกว่า"ย่องเบา"
ค.งัดหรือเจาะประตู-หน้าต่างที่ปิดอยู่แล้วถือเอาสิ่งของของเขาเรียกว่า "ตัดช่อง"
๒.ฉก ได้แก่ กิริยาที่ถือเอาสิ่งของในเวลาที่เจ้าของเขาเผลอ เช่น
วิ่งราว หมายถึง เจ้าของเขาเผลอก็เข้าแย่งเอาแล้ววิ่งหนีไป หรือ
ตีชิง หมายถึง ตีเจ้าของให้เจ็บแล้วถือเอาสิ่งของ
๓.กรรโชก ได้แก่ กิริยาที่แสดงอำนาจให้เจ้าของตกใจกลัวแล้วยอมให้สิ่งของ
๔.ปล้น ได้แก่ กิริยาที่ยกพวกตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไปข่มขู่เจ้าทรัพย์แล้วถือเอาสิ่งของของคนอื่นไป
๕.ตู่ ได้แก่ กิริยาที่ร้องเอาสิ่งของขงอผู้อื่นซึ่งมิได้ตกอยู่ในมือตนเอง
๖.ฉ้อ ได้แก่ กิริยาที่ถือเอาสิ่งของของผู้อื่นที่ตกอยู่ในมือตนเอง
๗.หลอก ได้แก่ กิริยาที่ถือเอาสิ่งของของผู้อื่นโดยการพูดจาหลอกลวงหรือโกหกเอา (ปั้นเรื่องขึ้นให้เจ้าทรัพย์หลงเชื่อแล้วจึงถือเอาทรัพย์ของเขาไป)
๘.ลวง ได้แก่ กิริยาที่ถือเอาสิ่งของของผู้อื่นด้วยการแสดงของอย่างใดอย่างหนึ่งให้เขาเข้าใจผิด (ใช้เพทุบายลวงให้เขาหลงเชื่อ)
๙.ปลอม ได้แก่ กิริยาที่ทำของไม่แท้ให้เห็นว่าเป็นของแท้ขึ้นเปลี่ยนเอาสิ่งของดีหรือ ของแท้ของเขาไป (ทำของปลอมขึ้นเปลี่ยนเอาของแท้ของเขา)
๑๐.ตระบัด ได้แก่ กิริยาที่ยืมสิ่งของของเขาไปแล้วถือเอาเป็นของตนเอง ไม่ส่งคืน (การยืมของเขาแล้วไม่ส่งคืนเจ้าของเดิม โดยยึดถือเอาเป็นของตัวเองไป)
๑๑.เบียดบัง ได้แก่ กิริยาที่ถือเอาเศษ เช่น เก็บเงินค่าเช่าได้มาก แต่ให้เจ้าของแต่เพียงน้อย ๆ(กินเศษกินเลยเล็ก ๆ น้อย ๆ)
๑๒.สัปเปลี่ยน ได้แก่ กิริยาที่ถือเอาสิ่งของของตนที่เลวเข้าไปไว้แทน แล้วเอาของที่ดีของผู้อื่นไปเสีย (เอาของที่ไม่ดีไปเปลี่ยนเอาของที่ดีของเขา)
๑๓.ลักลอบ ได้แก่ กิริยาที่ถือเอาสิ่งของต้องพิกัดซ่อนเข้ามาโดยไม่เสียภาษี, ค้าของหนีภาษี, ลักลอบขนของหนีภาษี เป็นต้น)
๑๔.ยักยอก ได้แก่ กิริยาที่ยักยอกทรัพย์ของตนที่จะต้องถูกยึดไปไว้เสียในที่อื่น (การใช้อำนาจหน้าที่ในทางทุจริต)

๒.ความเลี้ยงชีพอนุโลมโจรกรรม
ความเลี้ยงชีพอนุโลมโจรกรรม ได้แก่ กิริยาที่แสวงหาพัสดุในทางที่ไม่บริสุทธิ์ แต่ไม่นับเข้าในอาการโจรกรรม แบ่งเป็น ๓ ประเภท ได้แก่
๑.สมโจร ได้แก่ กิริยาที่อุดหนุนโจรกรรมโดยนัย เช่น รับซื้อของโจร คือเป็นผู้รับซื้อสิ่งของที่ผู้อื่นโจรกรรมได้มา
๒.ปอกลอก ได้แก่ กิริยาที่คบคนด้วยอาการไม่ซื่อสัตย์ มุ่งหมายจะเอาทรัพย์สมบัติของ เขาฝ่ายเดียว เมื่อเขาสิ้นตัวแล้วทิ้งเขาเสีย (คบกับคนอื่นโดยหวังผลประโยชน์ตนฝ่ายเดียว)
๓.รับสินบน ได้แก่ กิริยาที่ถือเอาทรัพย์ที่เขาให้ เพื่อช่วยทำธุระให้แก่เขาในทางที่ผิด

๓.กิริยาเป็นฉายาโจรกรรม
กิริยาเป็นฉายาโจรกรรม ได้แก่ กิริยาที่ทำทรัพย์พัสดุของผู้อื่นให้สูญและเป็นสินที่ใช้ตกอยู่แก่ตน มี ๒ ประเภท ได้แก่
๑.ผลาญ ได้แก่ กิริยาที่ทำอันตรายเสียหายแก่ทรัพย์สินพัสดุของผู้อื่น เช่น แกล้งเผาสวนยาง เผาบ้านของเขา เป็นต้น
๒.หยิบฉวย ได้แก่ กิริยาที่ถือเอาทรัพย์พัสดุของผู้อื่นด้วยความมักง่าย เช่น บุตรหลานประพฤติตนเป็นคนพาลนำเอาทรัพย์สินของพ่อ-แม่ ปู่-ย่า ตา-ยายไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นต้น

สิกขาบทที่ ๒ นี้มีองค์ ๕ คือ


๑.ของนั้นมีเจ้าของหวงแหน
๒.รู้อยู่ว่าของนั้นมีเจ้าของหวงแหน
๓.มีเจตนาจะถือเอาสิ่งนั้น
๔.พยายามถือเอาสิ่งนั้น
๕.ได้ของนั้นมาด้วยความพยายามนั้น

สิกขาบทที่ ๓

   กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือ เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม
คำว่า"กาม"ในทีนี้ ได้แก่ กิริยาที่รักใคร่กันในทางประเวณี ซึ่งทั้งชายและ หญิงต่างก็เป็นวัตถุต้องห้ามของกันและกัน

หญิงที่ต้องห้ามในสิกขาบทนี้มี ๔ จำพวก คือ

๑.ภรรยาผู้อื่น ได้แก่ หญิง ๔ จำพวก ได้แก่


ก.หญิงที่แต่งงานแล้ว
ข.หญิงที่ไม่ได้แต่งงานแต่อยู่กินด้วยกันกับชายโดยอาการเปิดเผย
ค.หญิงผู้รับสิ่งของมีทรัพย์เนต้นของชาย แล้วยอมอยู่กับเขา
ง.หญิงที่ชายเลี้ยงเป็นภรรยา


๒.หญิงที่อยู่ในความพิทักษ์รักษาของเขา ได้แก่ หญิงที่ พ่อ แม่ ญาติ พี่น้อง รักษา

๓.หญิงที่จารีตห้าม ได้แก่ หญิง ๓ จำพวก คือ

ก.หญิงที่อยู่ในพิทักษ์รักษาของตัวเอง และ ผู้ที่เป็นเหล่ากอของตนเอง
ข.หญิงที่อยู่ใต้พระบัญญัติในพระศาสนา เช่น ภิกษุณี ชี เป็นต้น
ค.หญิงที่กฏหมายบ้านเมืองห้ามและลงโทษแก่ชายผู้สมสู่ด้วย

ชายที่ต้องห้ามในสิกขาบทที่ ๓
ชายก็เป็นวัตถุต้องห้ามสำหรับหญิงเหมือนกัน ท่านกล่าวแสดงไว้ ๒ จำพวก คือ

๑.ชายอื่นนอกจากสามี เป็นวัตถุต้องห้ามสำหรับหญิงที่มีสามี
๒.ชายที่จารีตห้าม เช่น พระภิกษุ สามเณร เป็นต้น เป็นวัตถุต้องห้ามสำหรับหญิงทั้งปวง

ในสิกขาบทนี้ คำว่า "การประพฤติผิดในกาม"หมายถึง การร่วมประเวณีในบุรุษและสตรีที่ไม่ใช่สามี-ภรรยาคู่ครองของตนเอง เช่น มารดาบิดาล่วงละเมิดกับบุตรธิดาของตนเอง หรือพี่ชายพี่สาวล่วงละเมิดกับน้องชายน้องสาวของตนเอง ก็เป็นการผิดประเวณีทั้งสิ้น

สิกขาบทที่ ๔

   มุสาวาทา เวรมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ แปลว่า "ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือ เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากมุสาวาท"
คำว่า "มุสาวาทา เวรมณี" แปลว่า เว้นจากมุสาวาท, ความเท็จ ชื่อว่า มุสา, กิริยาที่พูด หรือแสดงอาการมุสา ชื่อว่า มุสาวาท ในสิกขาบทที่ ๔ นี้

ในสิกขาบทที่ ๔ มีข้อห้ามเป็น ๓ อย่าง ได้แก่

๑.มุสา กล่าวเท็จ
๒.อนุโลมมุสา กล่าววาจาที่เป็นตามมุสา
๓.ปฏิสสวะ รับแล้วไม่ทำตามรับ

๑.มุสา มีลักษณะ ดังนี้

๑.เรื่องที่กล่าวนั้นไม่เป็นความจริง ๒.ผู้กล่าวจงใจ
๓.กล่าวให้คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ๔.ผู้ฟังเข้าใจผิด

การแสดงมุสานี้ไม่เฉพาะแต่ทางวาจาอย่างเดียวเท่านั้น แม้ทางกายก็อาจเป็นไปได้ เช่น เขียนหนังสือมุสาเขา แสดงอาการ หรือ สั่นศีรษะ ที่ทำให้เขาเข้าใจผิดจากความเป็นจริง


มุสามี ๗ ประเภท ได้แก่

๑.ปด ได้แก่ มุสาจัง ๆไม่อาศัยมูลเลย ท่านแสดงตัวอย่างไว้ ๔ อย่าง ได้แก่
ก.ส่อเสียด หมายถึง ปดเพื่อจะให้เขาแตกแยกกัน
ข.หลอก หมายถึง ปดเพื่อจะโกงเขา
ค.ยอ หมายถึง ปดเพื่อจะยกย่อง
ง.กลับคำ หมายถึง พูดแล้วไม่ทำตามรับ
๒.ทนสาบาน ได้แก่ กิริยาที่เลี่ยงสัตย์ว่าจะพูดตามเป็นจริง แต่ไม่ได้ตั้งใจจริงอย่างนั้น มีปดเป็นบริวาร, หมายถึง สาบานเพื่อหวังผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เป็นพยานทนสาบานแล้วเบิกความเท็จในศาล เป็นต้น
๓.ทำเล่ห์กระเท่ห์ ได้แก่ กิริยาที่อวดอ้างความศักดิ์สิทธิ์อันไม่เป็นจริง เช่น อวดรู้วิชาว่าคงกระพัน หรือพูดมุสาด้วยการใช้เพทุบาย ไม่พูดตรง ๆ
๔.มารยา ได้แก่ กิริยาที่แสดงอาการให้เขาเห็นผิดจากที่เป็นจริง เช่น คนไม่มีศีลแต่ทำทีให้เขาห็นว่าเป็นคนมีศีล, หรือเจ็บเล็กน้อยแต่ทำทีเป็นเจ็บปวดเสียมากมาย เป็นต้น
๕.ทำเลส ได้แก่ การพูดมุสาเล่นสำนวน คือ อยากจะพูดเท็จแต่ทำเป็นเลสเล่นสำนวนให้ผู้ฟังนำไปคิด
๖.เสริมความ ได้แก่ พูดมุสาอาศัยมูลเดิม แต่เสริมความให้มากกว่าที่เป็นจริง หรือเรื่องจริงมีนิดหน่อยแต่กลับพูดขยายความออกเสียยกใหญ่จนเกินความจริงไป เช่น พูดพรรณนาถึงสรรพ คุณยาให้เกินกว่าทั่วยาจะรักษาโรคได้
๗.อำความ ได้แก่ พูดมุสาเดิม แต่ตัดความที่ไม่ประสงค์จะให้รู้เสีย เพื่อทำความเข้าใจกลายไปเป็นอย่างอื่น (หมายถึง เรื่องจริงนั้นมีมาก แต่กลับพูดให้เห็นเป็นเรื่องเพียงเล็กน้อย)

๒.อนุโลมมุสา
อนุโลมมุสากำหนดรู้ได้ด้วยลักษณะ ๒ อย่าง ได้แก่


๑.วัตถุที่จะกล่าวนั้นไม่เป็นความจริง
๒.ผู้กล่าวไม่จงใจกล่าวให้ผู้ฟังเข้าใจผิด มี ๒ ประเภท ได้แก่
ก.เสียดแทง ได้แก่ กิริยาที่ว่าให้ผู้อื่นเจ็บใจ เช่น พูดประชด ด่า
ข.สับปรับได้แก่พูดปดด้วยความคะนองวาจาแต่ผู้พูดไม่ตั้งใจจะให้เขาเข้าใจผิด


คำพูดที่จริงที่ไม่สมควรพูด


คำพูดที่จริง แต่ให้โทษแก่ผู้อื่นและผู้พูดเอง เป็นคำพูดที่มุ่งหมายอย่างนั้น ซึ่งคำพูดนั้นมีมูลเหตุมาจากมุสาจึงจัดเข้าในอนุโลมมุสา ได้แก่


๑.คำส่อเสียด ได้แก่ คำพูดที่ได้ยินข้างหนึ่งติเตียนข้างหนึ่งแล้วเก็บไปบอกยุยงเขา เป็นเหตุให้เขาแตกแยกกัน
๒.คำเสียดแทง ได้แก่ การพูดให้เขาเจ็บใจ อ้างวัตถุที่เป็นจริงอย่างนั้นขึ้นพูด เป็นเหตุให้ผู้ที่ต้องถูกว่านั้นเจ็บใจ

๓.ปฏิสสวะ
ปฏิสสวะ ได้แก่ กิริยาที่รับคำผู้อื่นด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์คิดจะทำตามที่รับปากไว้จริง ๆ แต่ภายหลังกลับไม่ได้ทำตามที่รับปากไว้นั้น

ปฏิสสวะนี้มี ๓ ประเภท ได้แก่


๑.ผิดสัญญา ได้แก่ การที่ทั้งสองฝ่ายทำสัญญากันว่าจะทำเช่นนั้นเช่นนี้ แต่ภายหลังกลับไม่ได้ทำตามที่สัญญานั้น
๒.เสียสัตย์ ได้แก่ กิริยาที่ให้สัตย์แก่เขาฝ่ายเดียวว่าตนเองจะทำหรือไม่ทำเช่นนั้น เช่นนี้ แต่ภายหลังกลับไม่ทำตามคำพูดนั้น
๓.คืนคำ ได้แก่ การที่รับปากว่าจะทำหรือไม่ทำสั่งนั้นสิ่งนี้โดยมีไม่สัญญา แต่ภาย หลังกัลบไม่ทำตามนั้น

ปฏิสสวะ เป็นเหตุให้ผู้ประพฤติเสียชื่อเสียง จึงควรจะละเสีย ส่วนการ"ถอนคำ" ไม่นับเป็นปฏิสสวะ


ยถาสัญญา
การพูดมุสาที่ไม่ผิดศีล เรียกว่า "ยถาสัญญา" คือ คำพูดที่บุคคลพูดตามความสำคัญ หรือพูดตามโวหารที่ตนเองจำได้ และผู้พูดมีเจตนาบริสุทธิ์ ไม่มีเจตนาที่จะพูดให้ผิดไปจากความเป็นจริง มี ๔ ลักษณะ ได้แก่


๑.โวหาร ได้แก่ ถ้อยคำที่ใช้กันเป็นธรรมเนียม เช่น คำลงท้ายของจดหมายซึ่งแสดงความอ่อนน้อมว่า ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง เป็นต้น
๒.นิยาย ได้แก่ เรื่องที่เปรียบเทียบเพื่อให้ได้ใจความเป็นสุภาษิต เช่น นิยายที่จินตกวีแต่งขึ้น
๓.สำคัญผิด ได้แก่ กิริยาที่ผู้พูดสำคัญผิดและพูดออกไปตามความสำคัญผิดนั้น เช่น วันนี้เป็นวันอังคาร เมื่อมีผู้ถามว่าวันนี้เป็นวันอะไร ? ผู้พูดสำคัญว่าเป็นวันพุธ จึงตอบไปว่า "วันพุธ" เช่นนี้ต้น
๔.พลั้ง ได้แก่ กิริยาที่ผู้พูดตั้งใจจะพูดอย่างหนึ่งแต่พูดออกไปอีกอย่างหนึ่ง และการพูดเช่นนี้เมื่อพูดออกไปแล้วควรบอกใหม่ทันที เช่น ถูกถามว่า "ไปไหนมา ?" ก็รีบตอบเลยทันทีว่า "เปล่า…! ไปธุระมานิดหน่อย" คำว่า "เปล่า" นั้นเป็นคำพูดพลั้งหรือพูดด้วยความเคยชิน โดยไม่มีเจตนาจะพูดให้เขาเข้าใจผิด



สิกขาบทที่ ๕

   สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวรมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ แปลว่า ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือ เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท


ความหมายของ "สุรา และ เมรัย"
น้ำเมาที่เป็นของหมักดอง เช่น กระแช่ น้ำตาลเมาต่าง ๆ ชื่อว่า"เมรัย", เมรัยนั้นที่เขากลั่นอีกชั้นหนึ่งเพื่อให้รสเข้มข้นขึ้น เช่น เหล้าชนิดต่าง ๆ ชื่อว่า "สุรา"


ในสิกขาบทนี้ คำว่า"สุราและเมรัย" หมายเอา สุรา ๕ อย่าง และ เมรัย ๕ อย่างซึ่งจะขอกล่าวตามลำดับต่อไป


สุรา ๕ อย่าง ได้แก่


๑.ปิฏฐสุรา สุราทำด้วยแป้ง
๒.ปูวสุรา สุราทำด้วยขนม
๓.โอทนสุรา สุราทำด้วยข้าวสุก
๔.กิณณะปกะขิตตา สุราที่หมักเชื้อ
๕.สัมภาระสังยุตตา สุราที่ปรุงด้วยเครื่องเทศต่าง ๆ

เมรัย ๕ อย่าง ได้แก่


๑.ปุปผาสโว น้ำดองดอกไม้
๒.ผลาสโว น้ำดองผลไม้
๓.มธวาสโว น้ำดองน้ำผึ้งหรือน้ำดองน้ำหวาน
๔.คุฬาสโว น้ำดองน้ำอ้อย
๕.สัมภาระสังยุตโต น้ำดองที่ปรุงด้วยเครื่องเทศต่าง ๆ

สิกขาบทนี้ เป็นสาหัตถิกประโยคเพราะดื่มหรือเสพด้วยตนเองเท่านั้น ไม่เป็นอาณัติกประโยค เพราะใช้ให้ผู้อื่นดื่มหรือเสพ

สิ่งมึนเมาที่อนุโลมเข้ากับสุราและเมรัย

การสูบ ฉีด หรือเสพ ยาเสพติดให้โทษ เช่น กัญชา เฮโรอีน มอร์ฟีน ฝิ่น ทินเนอร์ ฯลฯ เข้าไปในร่างกาย ซึ่งไม่ใมช่การดื่มกินเข้าไปเหมือนสุราและเมรัย ก็จัดว่าผิดศีลข้อที่ ๕ เหมือนกัน เพราะสิ่งเสพติดเหล่านี้ แม้จะไม่ได้ดิ่มกินทางปากก็ตามที แต่ก็สำเร็จเป็นการทำให้มีนเมา ทำให้ไม่สามารถควบคุมสติและควบคุมตนเองได้ เช่นเดียวกับหารดิ่มกินสุราเมรัย ซ้ำยังมีโทษร้ายแรงยิ่งกว่าสุราเมรัยเสียอีก
ยาเสพติด เช่น กัญชา เฮโรอีน มอร์ฟีน ฝิ่น ทินเนอร์ เป็นต้นนั้น ถึงแม้ว่าไม่มีในครั้งพุทธกาล และพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงห้ามไว้ก็ตามที แต่ก็อนุโลมเข้ากันได้กับสุราเมรัยและของมึนเมาอย่างอื่นอีก เพราะอาศัยหลักฐานคือ มหาปเทส ๔ ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้เป็นหลัก เพราะฉะนั้นยาเสพติดทุกชนิดที่อนุโลมเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร จึงทำให้ผู้ที่สูบ เสพ หรือ ฉีด สิ่งเสพติดให้โทษทุกชนิดผิดศีลข้อที่ ๕ ด้วย

มหาปเทสนั้นมี ๔ ประการ ได้แก่.-

๑. สิ่งใดไม่ได้ทรงห้ามไว้ว่าไม่ควร แต่เข้ากับสิ่งไม่ควร(อกัปปิยะ) ขัดต่อสิ่งที่ควร (กัปปิยะ) สิ่งนั้นไม่ควร
๒. สิ่งใดไม่ได้ทรงห้ามไว้ว่าไม่ควร แต่เข้ากันกับสิ่งที่ควร(กัปปิยะ) ขัดต่อสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควร
๓. สิ่งใดที่ไม่ได้ทรงอนุญาตไว้ว่าไม่ควร แต่เข้ากับสิ่งที่ไม่ควร(อกัปปิยะ) ขัดต่อสิ่งที่ควร(กัปปิยะ) สิ่งนั้นไม่ควร.
๔.สิ่งใดที่ไม่ได้ทรงอนุญาตไว้ว่าควร แต่เข้ากับสิ่งที่ควร(กัปิยะ)ขัดกันกับสิ่งที่ไม่ควร (อกัปปิยะ) สิ่งนั้นควร


สุรา และ เมรัย และสิ่งเสพติดให้โทษทั้งหมดนั้น ย่อมทำให้ผู้ที่ดื่มมึนเมาเสียสติ เป็นบ่อเกิดแห่งความประมาท เลินเล่อเผลอสติ ขาดความยั้งคิด ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำทุกอย่างได้ทั้งหมด ไม่มีความละอาย และเป็นเหตุให้ทำความชั่วอย่างอื่นได้อีกมากมาย สร้างความปั่นป่วนให้สังคม การดื่มสุราเมรัย และหรือเสพยาเสพติดให้โทษ เป็นอบายมุข เป็นหนทางแห่งหายนะ ฉะนั้นน้ำเมาคือสุราเมรัยจึงได้ชื่อว่า "เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 15, 2014, 10:52:45 am
 ไหว้ 5 ครั้ง ของ...สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถร)

ไหว้ 5 ครั้ง
ของ...สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถร)
วัดเทพศิรินทราวาส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร


คัดลอกจาก -http://www.konmeungbua.com/saha/Lung...pu_armpan.html-

ในวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ไม่ว่าเวลาไร ตามแต่เหมาะต้องไหว้ให้ได้ 5 ครั้งเป็นอย่างน้อย ในคราวเดียวนั้น ถ้ามีดอกไม้ธูปเทียนก็บูชา ถ้าไม่มีก็มือ 10 นิ้วและปากกับใจ ควรไหว้จนตลอดชีวิต คือ


ครั้งที่ 1 พึงนั่งกระโหย่งเท้าประณมมือว่า
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ 3 หน แล้วว่าพระพุทธคุณ คือ
อิติปิโส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควาติ ฯ
หยุดระลึกถึงพระปัญญาคุณทรงรู้ดีรู้ชอบสิ้นเชิง พระบริสุทธิคุณทรงละความเศร้าหมองได้หมด พระกรุณาคุณทรงสงสารผู้อื่นและสั่งสอนให้ปฏิบัติตามของพระพุทธเจ้า จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ


ครั้งที่ 2 ว่าพระธรรมคุณ คือ
สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโน สนฺทิฆฐิโก อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปนยิโก ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญญูหีติ ฯ
หยุดระลึกถึงคุณพระธรรมที่รักษาผู้ปฏิบัติตามไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ


ครั้งที่ 3 ว่าพระสังฆคุณ คือ
สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ อุชุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ ญายปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ สามีจิปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ ยทิทํ จตฺตาริ ปุริสยุคานิ อฏฐปุริสปุคฺคลา เอส ภควโต สาวกสงฺโฆ อาหุเนยฺโย ปาหุเนยฺโยทกฺขิเนยฺโย อญฺชลิกรณีโย อนุตฺตรํ ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺสาติฯ
หยุดระลึกถึงคุณ คือ ความปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติถูก ปฏิบัติชอบ ของพระอริยสงฆ์ จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ
นั่งพับเพียบประณมมือตั้งใจถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะไม่ถือสิ่งอื่นยิ่งกว่าจนตลอดชีวิต ว่าสรณคมน์ คือ
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
ทุติยมฺปิ พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ
ทุติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
ทุติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
ตติยมฺปิ พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ
ตติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
ตติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ


ครั้งที่ 4 ระลึกถึงคุณมารดาบิดาของตน จนเห็นชัดแล้ว กราบลงหน 1 ฯ
ข้า ฯ ขอ กราบไหว้คุณท่านบิดาและมารดา
เลี้ยงลูกเฝ้ารักษา แต่คลอดมาจึงเป็นคน
แสนยากลำบากกายไป่คิดยากลำบากตน
ในใจให้กังวลอยู่ด้วยลูกทุกเวลา
ยามกินพอลูกร้องก็ต้องวางวิ่งมาหา
ยามนอนห่อนเต็มตาพอลูกร้องก็ต้องดู
กลัวเรือดยุงไรมดจะกวนกัดรีบอุ้มชู
อดกินอดนอนสู้ ทนลำบากหนักไม่เบา
คุณพ่อแม่มากนักเปรียบน้ำหนักยิ่งภูเขา
แผ่นดินทั้งหมดเอามาเปรียบคุณไม่เท่าทัน
เหลือที่ จะแทนคุณ ของท่านนั้น ใหญ่อนันต์
เว้นไว้ แต่เรียนธรรม์ เอามาสอนพอผ่อนคุณ
สอนธรรมที่จริงให้ รู้ไม่เที่ยงไว้เป็นทุน
แล้วจึงแสดงคุณ ให้เห็นจริงตามธรรมดา
นั่นแหละจึงนับได้ ว่าสนองซึ่งคุณา
ใช้ค่าข้าวป้อนมาและน้ำนมที่กลืนกิน ฯ


ครั้งที่ 5 ระลึกถึงคุณของบรรดาท่านผุ้มีอุปการคุณแก่ตน เช่น พระมหากษัตริย์และครูบาอาจารย์ เป็นต้นไป จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ
ข้า ฯ ขอนอบน้อมคุณแด่ท่านครู ผู้อารี
กรุณาและปรานีอุตส่าห์สอนทุก ๆ วัน
ยังไม่รู้ ก็ได้รู้ ส่วนของครูสอนทั้งนั้น
เนื้อความทุกสิ่งสรรพ์ดีชั่วชี้ ให้ชัดเจน
จิตมากด้วยเอ็นดูอยากให้รู้เหมือนแกล้งเกณฑ์
รักไม่ลำเอียงเอนหวังให้แหลมฉลาดคม
เดิมมืดไม่รู้แน่เหมือนเข้าถ้ำเที่ยวคลำงม
สงสัยและเซอะซมกลับสว่างแลเห็นจริง
คุณส่วนนี้ควรไหว้ ยกขึ้นไว้ ในที่ยิ่ง
เพราะเราพึ่งท่านจริงจึงได้รู้ วิชาชาญ ฯ

(บทประพันธ์สรรเสริญคุณมารดาบิดา และ ครูบาอาจารย์ของ ท่านอาจารย์ จางวางอยู่ เหล่าวัตร วัดเทพศิรินทราวาส

ลิขสิทธิ์เป็นของ ท่านเจ้าคุณพระโศภนศีลคุณ (หลวงปู่หลุย พาหิยาเถร) วัดเทพศิรินทราวาส)

ต่อไปนี้ไม่ต้องประณมมือ ตั้งใจพิจารณาเรื่อง และร่างกายของตนว่า จะต้องแก่ หนีความแก่ไปไม่พ้น จะต้องเจ็บ หนีความเจ็บไปไม่พ้น จะต้องตาย หนีความตายไปไม่พ้น จะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น มีกรรมเป็นของตัว คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นอนิจจังไม่เที่ยง ไม่แน่นอน เป็นทุกข์ลำบากเดือดร้อน เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของตน ฯ ครั้งพิจารณาแล้ว พึงแผ่กุศลทั้งปวงมีการกราบไหว้เป็นต้นนี้ อุทิศให้แก่ท่านผู้มีคุณมีมารดาบิดา เป็นต้น ตลอดจนชั้นสูงสุด คือพระมหากษัตริย์ ทั้งเทพยดามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายว่า จงเป็นสุข ๆ อย่ามีเวรมีภัยเบียดเบียนกันและกัน รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด ฯ

การไหว้ 5 ครั้งนี้ ถ้าวันไหนขาด ให้ไหว้ใช้ 5 ครั้งในวันรุ่งขึ้น ถ้านั่งกระโหย่งเท้าไม่ได้ ก็นั่งพับเพียบ ถ้าไม่ได้ ก็นอนไหว้ เมื่อยกมือไม่ขึ้น ก็ปากกับใจ ถ้าทำได้อย่างนี้เป็นเครื่องพยุงตนให้เป็นคนดี ไม่ให้เป็นคนชั่ว และให้ตั้งอยู่ในที่ดี ไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ถ้าผู้ใดประพฤติได้เสมอตลอดชีวิต ผู้นั้นจะอุ่นใจในตัวของตัวเอง มีความเจริญงอกงามไพบูลย์ยิ่ง ๆ ขึ้นเสมอทุกคืนทุกวัน คุ้มครองป้องกันภยันตรายปราศจากความเสียหายที่ไม่เหลือวิสัย และ ตั้งตัวได้ในทางคดีโลกและทางคดีธรรม เต็มภูมิเต็มขั้นของตน ๆ ทุกประการ จบเท่านี้ ฯ

____________________________________________________________


สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( เจริญญาณวรเถระ )

http://72.14.235.104/search?q=cache:...h&ct=clnk&cd=7 (http://72.14.235.104/search?q=cache:...h&ct=clnk&cd=7)



สมเด็จพระพุทธโฆษจารย์ นามเดิม เจริญ สุขบท เกิดในรัชกาลที่ 5 เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ.2415 ที่จังหวัดชลบุรี เป็นบุตรนาย ทองสุก และนางย่าง

เมื่ออายุ 8 ปี ได้เป็นศิษย์ของท่านเจ้าคุณชลโธปมคุณมุณี (พุฒ ปุณณกเร) ปฐมวัยอาวาสวัดเขาบางทราย

เมื่ออายุ 12 ปีได้บรรพชาที่วัดเขาบางทราย และเข้าศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดราชบพิธอุปสมบทเมื่อวันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ.2435 ที่วัดเขาบางทราย จังหวัดชลบุรี พ.ศ.2439 ได้ศึกษาพระวินัยปิฎกในสำนัก สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ที่วัดเทพศิรินทราวาส

"ตาบุญ (พระยาธรรมปรีชา) ผู้เป็นอาจารย์สอนบาลีของ
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ มอบช้างเผือกส่งเข้ามาให้ "
สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยา วชิรญาณวโรรส ออกพระโอษฐ์รับสั่งเมื่อครั้งสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเร) สอบไล่ภาษาบาลี ในมหามงกุฎราชวิทยาลัยได้ที่ 1ทุกชั้นเป็นลำดับมา

พ.ศ.2441 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระราชาคณะที่พระอัมราภิลักขิต เป็นผู้อำนวยการศึกษามณฑลปราจีนบุรี ต่อมาได้ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาสได้เลื่อนสมณศักดิ์เรื่อยมา

พ.ศ.2471 โปรดให้สถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์

พ.ศ.2476กรรมการเถรสมาคมมีมติให้ท่าน เป็นประธานกรรมการมหาเถรสมาคมบัญชาการคณะสงฆ์แทนพระสังฆราชเจ้าซึ่งสิ้นพระชนม์ ประมวลเกียรติคุณพิเศษสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเร)เป็นพระเถระบริหารงานพระศาสนาถึง 5 แผ่นดิน คือแต่รัชกาลที่ 5-9 เป็นพระราชาคณะแต่อายุ 28 ปี เป็นสมเด็จพระราชาคณะแต่อายุ 57 ปี นับเป็นพระเถระที่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์พรรษาน้อยกว่า พระเถระหลายรูปเป็นเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส แต่อายุ 28 ปี ถึง 80 ปีรวม 53 ปี นับว่ายาวนานที่สุดไม่มีใครเทียบได้
เมื่อสอบนักธรรม หรือบาลีจะสอบได้ที่ 1 ทุกชั้นทุกประโยคเป็นรูปเดียวในสังฆมณฑล ดำรงตำแหน่งแม่กองธรรมสนามหลวง แม่กองบาลีสนามหลวง องค์เดียวกัน
ในวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2494เวลา 10.30 น. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเระ)มรณภาพด้วยโรคเนื้องอกที่ตับรวมอายุได้ 80 ปี พรรษาที่ 59

ความคิดเห็นส่วนตัวผม
ท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถระ) ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) ท่านบอกกับผู้ที่ไปกราบท่านว่า ขอให้ทุกๆวันได้ไหว้ 5 ครั้ง จะได้เป็นศิริมงคลกับตนเอง จะเหมือนกับชื่อของท่าน (เจริญ) ครับ ท่านเจ้าคุณนรเอง ก็มีความเคารพในท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ)มาก โดยท่านเจ้าคุณนรเอง เวลาเดินผ่านกุฎิของท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(เจริญ)ทุกครั้ง ท่านเจ้าคุณนร ก็จะก้มลงกราบที่กุฎิอยู่ทุกครั้งครับ



เจ้าพระคุณสมเด็จ พระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรเถร

วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร





1. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ได้เป็นเจ้าอาวาสพระอารามหลวงนี้ เมื่อพระคุณท่านมีอายุเพียง 27 ปี มีพรรษา 7 ยั่งยืนตลอดมาเป็นเวลาช้านานถึง 53 ปีฯ
2. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯได้รับพระราชทานสมณศักดิ์สถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ นั้นมีอายุเพียง 56 ปี เท่านั้น ฯ
3. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งธรรมเนียมการเทศนาธรรมในวันอาทิตย์ขึ้นเป็นแห่งแรก เริ่มเมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2471 ติดต่อกันมาถึงปัจจุบันนี้ นับเป็นเวลา 45 ปี ล่วงแล้ว ฯ
4. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการมหาเถรสมาคมบัญชาการคณะสงฆ์แทนพระองค์สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ แลบัญชาการคณะสงฆ์โดยตรงสืบต่อมาเป็นเวลา 5 ปี ( ตั้งแต่ พ.ศ. 2476 ถึง พ.ศ. 2481 ) ฯ
5. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ได้ถวายพระธรรมเทศนามงคลวิเสสกถาติดต่อกันถึง 4 รัชกาล คือตั้งแต่รัชกาลที่ 6-7-8-9 เป็นเวลาถึง 25 ปี ฯ
6. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ มีสัทธิวิหาริก-อันเตวาสิก มากที่สุดถึง 6,666 องค์ ฯ
7. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นต้นกำเนิดตำราไหว้ 5 ครั้งให้ศิษยานุศิษย์ปฏิบัติตาม หากผู้ใดไหว้ครบ 1 ปี เป็นกำหนด ผู้นั้นจักได้รับรูปที่ระลึกจากองค์ท่านด้านหน้าเป็นรูปองค์ท่าน ด้านหลังเป็นรูปยันต์ภควัม จากกรึกนามองค์ท่านเป็นอักษรย่อ โดยลำดับแห่งราชทินนามนั้น ๆ กระทั่งครั้งสุดท้ายได้จารึก 3 อักษรว่า พ.ฆ.อ. ซึ่งย่อจากราชทินนามว่า พุทธโฆษาจารย์ สมเด็จพระราชาคณะ ฯ
8. สัทธิวิหาริกของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ที่มีอายุยืนยาวที่สุด คือ ท่านเจ้าคุณพระโศภณศีลคุณ ( หลวงปู่หลุย พาหิยเถร ) ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกองค์ที่ 23 ปัจจุบันอายุ 92 ปี พรรษา 67 ( เกิด 9 สิงหาคม 2426 ) ยังเดินลงโบสถ์ลงสวดมนต์ทำวัตรได้เป็นประจำทุก ๆ วัน เป็นพระเถราจารย์องค์สำคัญ ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือยิ่งของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ฯ
9. สัทธิวิหาริกของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ที่ประพฤติปฏิบัติยอดเยี่ยม และเป็นพระเถระองค์สำคัญที่มีเกียรติคุณโด่งดังในปัจจุบัน คือ ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ฯ ธมมฺวิตกฺโก ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกองค์ที่ 1740 ฯ






ไหว้ 5 ครั้ง

ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์

วัดเทพศิรินทราวาส





ในวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ไม่ว่าเวลาใด ตามแต่เหมาะ ต้องไหว้ให้ได้ 5 ครั้งเป็นอย่างน้อย ในคราวเดียวกัน ถ้ามีดอกไม้ ธูปเทียน ก็บูชา ถ้าไม่มีก็มือ 10 นิ้วและปากกับใจ ควรไหว้จนตลอดชีวิต คือ ครั้งที่ 1 พึงนั่งกระโหย่งเท้าประนมมือว่า นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสฺมพุทฺธสฺส ฯ 3 หน แล้วว่าพระพุทธคุณ คือ อิติปิ โส ภควา อรห° สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสาน° พุทฺโธ ภควาติ ฯ หยุดระลึกถึงพระปัญญาคุณทรงรู้ดีรู้ชอบสิ้นเชิง พระบริสุทธิคุณทรงละความเศร้าหมองได้หมด พระกรุณาคุณทรงสงสารผู้อื่นและสั่งสอนให้ปฏิบัติตาม ของพระพุทธเจ้า จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ ครั้งที่ 2 ว่าพระธรรมคุณ คือ สฺวากฺขาโต ภควตา ธฺมโม สนฺทิฏฐิโก อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปนยิโก ปจฺ จตฺต° เวทิตพฺโพ วิญฺญหีติ ฯ หยุดระลึกถึงคุณพระธรรมที่รักษาผู้ปฏิบัติตามไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ ครั้งที่ 3ว่าสังฆคุณ คือ สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ อุชุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสฺงโฆ ญายปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสฺงโฆ สามีจิปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสฺงโฆ ยทิทฺ จฺตตาริ ปุริสยุคานิ อฏฐ ปุริสปุคฺคลา เอส ภควโต สาวกสฺงโฆ อาหุเนยฺโย ปาหุเนฺยโย ทกฺขิเณยฺโย อญฺชลิกรณีโย อนุตฺตรฺ ปุญฺญกฺเขตตฺ โลกสฺสาติ ฯ หยุดระลึกถึงคุณ คือ ความปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติถูก ปฏิบัติชอบของพระอริยสงฆ์ จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ นั่งพับเพียบประนมมือ ตั้งใจถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ไม่ถือสิ่งอื่นยิ่งกว่าจนตลอดชีวิต ว่าสรณคมน์ คือ พุทฺธ° สรณ° คจฺฉามิ ธมฺม° สรณ° คจฺฉามิ สงฺฆ° สรณ° คจฺฉามิ ฯ ทุติยมฺปิ พุทฺธ° สรณ° คจฺฉามิ ทุติยมฺปิ ธมฺม° สรณ° คจฺฉามิ ทุติยมฺปิ สงฺฆ° สรณ° คจฺฉามิ ฯ ตติยมฺปิ พุทฺธ° สรณ° คจฺฉามิ ตติยมฺปิ ธมฺม° สรณ° คจฺฉามิ ตติยมฺปิ สงฺฆ° สรณ° คจฺฉามิ ฯ ครั้งที่ 4 ระลึกถึงคุณมารดาบิดาของตน จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ ครั้งที่ 5 ระลึกถึงคุณของบรรดาท่านผู้มีอุปการคุณแก่ตน เช่น พระมหากษัตริย์ และครูบาอาจารย์เป็นต้นไป จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ
ต่อนี้ไปไม่ต้องประนมมือ ตั้งใจพิจารณาเรื่องและร่างกายของตนว่า จะต้องแก่ หนีความแก่ไปไม่พ้น จะต้องเจ็บ หนีความเจ็บไปไม่พ้น จะต้องตาย หนีความตายไปไม่พ้น จะต้องพลัดพราก จากของรัก ของชอบใจทั้งสิ้น มีกรรมเป็นของตัว คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงไม่แน่นอน เป็นทุกข์ลำบากเดือดร้อน เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของตน ฯ ครั้นพิจารณาแล้ว พึงแผ่กุศลทั้งปวงมีการกราบไหว้เป็นต้นนี้ อุทิศให้แก่ท่านผู้มีคุณ มีบิดามารดาเป็นต้น ตลอดจนชั้นสูงสุด คือ พระมหากษัตริย์ ทั้งเทพดามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายว่า จงเป็นสุข ๆ อย่ามีเวรมีภัยเบียดเบียนกันและกัน รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด ฯ
การไหว้ 5 ครั้งนี้ ถ้าวันไหนขาด ให้ไหว้ใช้หนี้ 5 ครั้งในวันรุ่งขึ้น ถ้านั่งกระโหย่งเท้าไม่ได้ ก็นั่งพับเพียบ ถ้าไม่ได้ ก็นอนไหว้ เมื่อยอมือไม่ขึ้นก็ปากกับใจ ถ้าทำได้อย่างนี้ เป็นเครื่องหยุดตนให้เป็นคนดีไม่ให้เป็นคนชั่ว และให้ตั้งอยู่ในที่ดีไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ถ้าผู้ใดประพฤติได้เสมอจนตลอดชีวิต ผู้นั้นจะอุ่นใจในตัวของตัวเอง มีความเจริญงอกงามไพบูลย์ยิ่งๆ ขึ้นเสมอทุกคืนทุกวัน คุ้มครองป้องกันภยันตรายปราศจากความเสียหายที่ไม่เหลือวิสัย และตั้งตัวได้ในทางคดีโลกและทางคดีธรรม เต็มภูมิเต็มชั้นของตน ฯ ทุกประการ จบเท่านี้ ฯ

ปัจฉิมโอวาท
ของ
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรมหาเถระ
วัดเทพศิรินทราวาส

ไม่ตายควาวนี้ ก็ตายคราวหน้า อย่างเศร้าโศก เสียทีที่ศึกษาปฏิบัติมา ร้องให้เศร้าโศก ก็ร้องไห้เสร้าโศกสังขารที่
เกิดแก่เจ็บตายนั้นเอง ที่ไม่ร้องไห้เศร้าโศกนั้นมิใช่จะเป็นคนใจไม้ใส้ระกำอะไร

ธรรมของพระก็คือ
สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา
สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา
สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา
ย่นลงก็ สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา
สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา แล้วปรินิพพาน
ไม่ต้องเกิดมาแก่ มาเจ็บ มาตายอีก

(มีบัญชาให้บันทึกไว้เมื่อเช้าวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๙๔)


--------------------------------------

วิธีการไหว้ ๕ ครั้ง ( มนต์พิธี )

คนเราทุกคน ในวันหนึ่งๆ จะต้องไหว้ให้ได้ ๕ ครั้ง เป็นอย่างน้อยคือ ในเวลาค่ำใกล้จะนอน ตั้งใจระลึกถึงพระรัตนตรัยอันเป็นสรณะอันสูงสุดและท่านผู้มีพระคุณแก่ตน คือ มารดาบิดา และครูอาจารย์ โดยประนมมือ
๑. นมัสการพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า
อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ กราบลงหนหนึ่ง
๒. ไหว้พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่า
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ กราบลงหนหนึ่ง
๓. ไหว้พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ว่า
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ กราบลงหนหนึ่ง
๔. ไหว้คุณมารดาบิดา ว่า
มัยหัง มาตาปิตูนังวะปาเท วันทามิ สาทะรัง กราบลงหนหนึ่ง
๕. ไหว้ครูอาจารย์ ว่า
ปัญญาวุฑฒิกะเร เต เต ทินโน วาเท นะมามิหัง กราบลงหนหนึ่ง
ต่อจากนั้น พึงตั้งใจแผ่เมตตาจิตไปในเพื่อนมนุษย์ และสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ว่า ขอท่านทั้งหลายอย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยด้วยกันหมดทั้งสิ้น เทอญ.
 
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 15, 2014, 11:24:44 am
ผมขอรวบรวมเรื่องราวของ "กรรม" เว็บใต้ร่มธรรม  ที่ผมสนใจ จะรวมเป็นลิงค์ เพื่อง่ายกับการติดตามอ่านครับ


บุพกรรมของพระพุทธองค์ (องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)

-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,711.0.html-




บุพกรรมของพระอัครสาวก

-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5665.0.html-




บุพกรรมของพระมหาโมคคัลลานะ

-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5658.0.html-




บุพกรรมของพระสิวลี

-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5660.0.html-




บุพกรรมขององคุลีมาล

-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5659.0.html-




ระวัง....การล่วงเกิน "ผู้มีธรรม"

-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6654.0.html-




มุสาวาท

-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,9826.0.html-



(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=9646.0;attach=2846;image)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=9646.0;attach=2846)



แผนที่นรกดูซะ กันหลงทาง

-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,708.0.html-




พิภพมัจจุราช (พญายมราชเจ้า)

-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,709.0.html-




กฎแห่งกรรม ตอน ผู้ผ่านยมโลก

-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,9790.0.html-




ความเชื่อเรื่องกรรมโดยพระธรรมปิฎก

-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,710.0.html-




กรรมฐานแก้กรรมได้อย่างไร ?

-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5667.0.html-




-----------------------------------------------------------------------------


ความเห็นส่วนตัวผม สำหรับผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ


กฎใดๆในโลกนี้  หากกฎที่ตั้งขึ้นโดย"คน"  ไม่ว่าจะเป็นกฎหมาย  , กฎระเบียบใดๆของหน่วยงานต่างๆ  หรือ กฎของกู (กฎนี้มักเป็นกับคนที่มีอำนาจที่มักหลงระเริงกับอำนาจที่ตนเองมีอยู่ และนำอำนาจที่มีอยู่  ไปกระทำกับผู้ใต้บังคับบัญชาโดยไม่ถูกต้องกับกฎแห่งกรรม) 

หากขัดกับ "กฎแห่งกรรม" ที่พระพุทธองค์ทรงมีพระเมตตาสั่งสอนเวนัยสัตว์โลก เพื่อให้พ้นทุกข์ 

กฎนั้นๆ  ต้องเป็นโมฆะ  ผู้ที่กระทำผิดในเรื่อง "กฎแห่งกรรม"  ต้องได้รับผลของกรรม

ส่วนคนที่มีอำนาจ ที่มีกฎของกูเป็นที่ตั้ง  มักจะไม่เชื่อในกฎแห่งกรรม  ดังนั้น  ผมพยายามให้คนเหล่านี้  ปรามาส "ผู้มีธรรม"  ซึ่งทำให้คนเหล่านี้  มีกรรมเพิ่่มขึ้นไปอีกนอกเหนือจากกรรมที่ได้กระทำกับผู้ใต้บังคับบัญชา  จะได้ไปอยู่ในนรก ให้นานแสนนาน  จะได้เรียนรู้ว่า "กฎของกู"  ไม่ได้อยู่เหนือ "กฎแห่งกรรม"

ส่วนหนทางไปนรก  ไม่ต้องดู  เพราะจะมีท่านผู้ที่มีหน้าที่ นำพาคนเหล่านี้  ไปนรกเอง


"กรรม" เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนมาก  มีเรื่องราวมากกว่าที่ผมนำมาโพสให้อ่านกันอีกมากมายมหาศาล  จึงควรระมัดระวังในการกระทำของตนเองให้มากที่สุด


โมทนา
sithiphong

-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,9646.0.html-

-----------------------------------------------------------------------



ผมจะมาแนะนำ "การทำบุญ"  เป็นวิธีที่ผมทำมาไม่น้อยกว่า 3 ปีแล้ว


ผมตั้งจิตและเจตนาโดยจะทำบุญ 2 ประเภทหลัก ( 1.ทำบุญทุกอย่างที่เกี่ยวกับพระสงฆ์ 2.ทำบุญทุกอย่างที่เกี่ยวกับมูลนิธิที่องค์ในหลวงหรือพระเทพฯเป็นประธาน) อธิษฐานในการทำบุญว่า ในทุกวันที่ผมออกไปทำงาน หรือ ออกไปนอกบ้าน  ผมจะทำบุญครั้งละไม่น้อยกว่า 5 บาท  และบุญอีก 2 ประเภทรอง ( 1.ชำระหนี้สงฆ์ 2.ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และสัตว์) ที่จะทำในบางโอกาส

ผมจะมีคำอธิษฐาน (สำหรับท่านใดมีคำอธิษฐานอย่างไร ให้ใช้ได้)  ก่อนออกไปทำงาน  ผมได้สวดมนต์บูชาพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า , พระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วผมทำบุญโดยนำเงินใส่ในกล่องที่เตรียมไว้  เมื่อทำบุญแล้วผมจะอธิษฐาน , ขอพระเมตตาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า , พระปัจเจกพุทธเจ้า , องค์หลวงปู่ที่ผมเคารพ , องค์พยามัจจุราช , นายนิริยบาล(ท่านที่มีหน้าที่ดูเรื่องความดี ความชั่วของคนหรือมนุษย์ เป็นเหมือนเลขาท่านองค์มัจจุราช) , ท่านยมทูตทุกๆท่าน , พระแม่ธรณี , พระแม่คงคม , พระแม่โพสพ , ท้าวเวสสุวรรณ และเทพเทวาทั้ง 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน  (ผมมีพระบูชาองค์เทพฯหลายองค์ที่ท่านได้มาอธิษฐานจิตเอง)  มาเป็นสักขีพยานในการที่ผมทำบุญและขอพระเมตตาร่วมโมทนาบุญกับผม  หลังจากนั้นผมจะสวดการไหว้ 5 ครั้ง( ไหว้ 5 ครั้ง ของ...สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถร))  หลังจากนั้นก็สวดบูชาองค์หลวงปู่ฯที่ผมสวดบูชามานาน  (ซึ่งท่านสามารถสวดบูชาองค์หลวงปู่ฯที่ท่านผู้อ่านเคารพนับถือได้ หรือสวดตามที่ท่านได้สวดมนต์มาก็ได้)


-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,9886.msg37952/topicseen.html#msg37952-


------------------------------------------------------------------------------------------------


ในความเชื่อส่วนตัว ที่ผมได้รับทราบจาก "ผู้มีธรรม" ว่า ในทุกๆประเทศ จะมี "พระแม่ธรณี" ในแต่ละประเทศ  ดังนั้น เวลาที่ผมกรวดน้ำ  ผมขอพระเมตตาองค์พระแม่ธรณีของประเทศไทย โปรดนำบุญที่ผมได้กระทำ ไปถวายบุญแด่ "พระแม่ธรณีทั้วโลก" และขอพระเมตตา "พระแม่ธรณีทั้วโลก" ได้นำบุญไปถวายแด่"เทพเทวาในทุกๆประเทศ"  เพื่อให้ "พระแม่ธรณีทั่วโลก" และ "เทพเทวาในทุกๆประเทศ" เป็นพยานบุญและโมทนาในบุญที่ผมได้ทำในครั้งน้นๆ   



ในกรณีที่ใครที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เช่น ถูกโกงโดยวิธีการต่างๆ  เช่น  การขึ้นเงินเดือน หรือ การจ่ายโบนัส  หรือ การโกงอื่นๆที่เกี่ยวกับการเงินที่ตนเองต้องได้รับอย่างยุติธรรม แต่ไม่ได้รับตามที่ต้องได้  ผมใช้การทำบุญที่น้อยลง เดิมผมทำบุญวันละ 5 บาท(ตั้งจิต เจตนา และอธิษฐานว่า เงินเดือนที่ได้รับ จะแบ่งเงินที่ได้รับทั้งเดือน มาทำบุญในทุกๆครั้งที่ทำบุญในแต่ละวัน) ผมก็ทำน้อยลงเหลือวันละ 1 - 2 บาท แล้วตั้งจิตเจตนาอธิษฐานว่า ปกติทำบุญวันละ 5 บาท แต่วันนี้ทำบุญ 1 - 2 บาท  เงินที่ไม่ได้ทำบุญเป็นเงินที่ถูกโกงไปโดย .....ชื่อคนที่โกง....ตำแหน่ง....ชื่อที่ทำงาน....วิธีการที่โกง....โกงไปเพื่อ......  เงินที่ถูกโกงไปนั้น เป็นเงินที่ต้องนำมาทำบุญในครั้งนี้  แล้วขอพระเมตตาตามที่ผมได้บอกไว้ข้างต้น เพื่อให้องค์องค์พยามัจจุราช , นายนิริยบาล(ท่านที่มีหน้าที่ดูเรื่องความดี ความชั่วของคนหรือมนุษย์ เป็นเหมือนเลขาท่านองค์มัจจุราช) , ท่านยมทูตทุกๆท่าน , พระแม่ธรณี , พระแม่คงคม , พระแม่โพสพ , ท้าวเวสสุวรรณ และเทพเทวาทั้ง 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน  ,   พระแม่ธรณีทั้วโลก ,เทพเทวาในทุกๆประเทศ  มาเป็นพยานบุญ , โมทนาบุญ และ เป็นพยานในการที่มีคนโกงเงินทำบุญไป ส่วนกรรมของคนโกง  เดี๋ยวท่านผู้มีหน้าที่  ท่านเป็นผู้ที่ตัดสินเอง  เราๆท่านๆ ไม่มีสิทธิ์ ที่จะตัดสิน  ถึงแม้จะคิดกันไปเอง จะคิดอะไร คิดอย่างไร แต่ไม่มีอำนาจการตัดสิน  คนพวกที่คิดไปเองตามกฎของกู ผมชอบ  จะได้ทำให้ปรามาสผู้มีธรรมเพิ่มเติม  จะได้ไปอยู่ในนรกนานๆ ครับ


.

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 04, 2014, 10:15:15 pm
กรุพระแตก! ใต้พระพุทธรูปอายุกว่า 180 ปี วัดกลางคลองข่อย ราชบุรี

-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1404453274-

(http://www.matichon.co.th/online/2014/07/14044532741404453405l.jpg)

วันที่ 4 กรกฎาคม  ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าพบกรุพระแตกภายในวัดกลางคลองข่อย ต.คลองข่อย อ.โพธาราม จ.ราชบุรี จึงรุดตรวจสอบ บริเวณหลังซุ้มเรือนแก้วพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรขนาดใหญ่ สูงกว่า 13 เมตร มีพระสงฆ์และชาวบ้านกำลังช่วยกันนำพระพิมพ์จำนวนมากออกจากภายในซุ้มดังกล่าว

พ.อ.คำนวน อินทจักร ผู้รับเหมาก่อสร้างเล่าว่าได้รับการว่าจ้างจากทางวัดให้มาทำการปรับภูมิทัศน์และบูรณะพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรโดยทำการรื้อซุ้มเรือนแก้วออก แต่ขณะสำรวจที่ยอดซุ้มก็พบว่า มีช่องลึกลงไปถึงฐาน จึงให้ช่างใช้ค้อนปอนด์ทุบที่ฐานเพื่อดูโครงสร้าง กำลังทุบจนกำแพงฐานแตกออก พระพิมพ์ที่อยู่ภายในก็ไหลออกมาเป็นจำนวนมาก จึงแจ้งให้ทางวัดทราบ  เมื่อดูพระพิมพ์ 4 พิมพ์ ได้แก่ พิมพ์สมเด็จ พิมพ์ใหญ่ หรือ สังฆฎิ พิมพ์พระปางอุ้มบาตร และพิมพ์สมเด็จโต สันนิฐานว่า พระพิมพ์ที่พบ น่าจะนำมาบรรจุเมื่อครั้งก่อสร้างซุ้ม แต่จะมีการสร้างพระพิมพ์เมื่อใดไม่มีใครทราบ นอกจากนั้นยังสำรวจโครงสร้างของซุ้มพบว่ามีเสาไม้ตะเคียน ขนาดหน้าตัดกว่า 30 เซนติเมตร สูงเท่ากับองค์พระพุทธรูป อีก 4 ต้น

พระครูสังฆรักษ์ (สุเทพ สุทโว)  เจ้าอาวาสวัดกลางคลองข่อย กล่าวว่า ครั้งที่สมเด็จพระพุทธจารย์โต พรหมรังสี ได้เดินทางมาจำพรรษาที่วัด สมเด็จท่านได้สร้าง พระอุโบสถมหาอุต และสร้างพระพุทธรูปปางอุ้มบาตร ขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2371 หรือกว่า 186 ปีที่ผ่านมา เป็น 1 ใน 3 ของพระพุทธรูปที่สมเด็จท่านได้สร้างขึ้น

จากนั้นพ.ศ.2516 ทางวัดได้ร่วมกับชาวบ้านสร้างซุ้มเรือนแก้วครอบองค์พระ จนกระทั่งปัจจุบัน เมื่อทางวัดได้ศึกษาประวัติความเป็นมาของพระพุทธรูปทำให้ทราบว่า ความตั้งใจของสมเด็จท่าน ต้องการให้พระพุทธรูปยืนตากแดดตากลม เพื่อเป็นการสอนให้พุทธศาสนิกชนได้เรียนรู้ว่าคนเราต้องพบอุปสรรค เพื่อจะได้ดำเนินชีวิตอย่างมีสติ ทางวัดจึงได้คุยกับชาวบ้าน ที่จะรื้อถอนซุ้มออกให้เป็นเช่นเดิม และปรับภูมิทัศน์โดยรอบให้สวยงาม

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 12, 2014, 06:16:19 pm
รูปที่ผมไปถ่ายแบบ ออร่า
ผมไปถ่ายในงานวิทยาศาสตร์ทางจิต  (ของคุณสถิตธรรม เพ็ญสุข)
ที่ผมใส่พระวังหน้า
ในปี 2550 ผมถ่าย 2 รูป รูปนึงใส่พระวังหน้า  อีกรูปไม่ใส่พระวังหน้า
เพื่อให้รู้ว่า การห้อยพระ จะมีพลังอิทธิคุณขององค์ผู้อธิษฐานจิตครอบอยู่
รูปหลังสุด เมื่อก่อนผมนำลงเว็บพลังจิต ผมไม่ต้องการให้เห็นหน้าผม ผมจึงใช้สีขาวปิดหน้าผมครับ


(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=2937;image)

.
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 19, 2014, 06:07:11 pm
ชมรมพระวังหน้าและสมาชิกทุกท่าน , ผม , อดีตชมรมรักษ์พระวังหน้า และกองทุนหาพระถวายวัด มีความภูมิใจที่ได้มีโอกาสได้ทำบุญใหญ่ๆกัน 

ตั้งแต่

ลำดับ 1.กระทู้ขอความเมตตาต่อชีวิตพระเณร (เดิมเป็นสำนักสงฆ์บ่อเงินบ่อทอง ปัจจุบันเป็น วัดบ่อเงินบ่อทอง) ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2549 ช่วยกันบอกบุญและทำบุญตั้้งแต่ที่จะปิดสำนักสงฆ์และโรงเรียนพระปริยัติธรรม  ปัจจุบันมีอาคารเรียน 2 แห่ง

ลำดับ 2.การร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ ตั้งแต่ เดือนมกราคม 2550 โดยพระอาจารย์นิล ท่านเป็นผู้ที่ริเริ่มในการสร้าง ตั้งแต่มีแต่เสา การสร้างมีความลำบากมาก พระเจดีย์อยู่บนยอดเขา สร้างพระเจดีย์บนแผ่นหิน ระยะทางจากตีนเขาขึ้นไปพระเจดีย์ 9 กม.หนทางไปด้วยความลำบาก ร่วมแรงร่วมใจร่วมบุญกันจนสำเร็จ 

ลำดับ 3.การร่วมทำบุญกฐินพระราชทาน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่ในครั้งแรกที่ทำบุญ(ในปี 2553) (วันที่ 31 ตุลาคม 2553)  จนถึงปีปัจจุบับ และยังคงร่วมกันทำบุญกับงานกฐินพระราชทานฯนี้ต่อๆไป  มาร่วมโมทนาบุญกันครับ


-http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445.html-

-http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%93%E0%B8%A3-21733-17.html-

-http://board.palungjit.org/f105/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87-%E0%B8%93-%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%86%E0%B9%8C%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87-%E0%B8%AD-%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%88-%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4-68899.html-

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 20, 2014, 07:15:04 am
 ผ้ายันต์ครอบจักรวาลรุ่นพิเศษ

-http://board.palungjit.org/groups/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-d301-%E0%B8%9C%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9.html?group=&langid=34-




http://board.palungjit.org/groups/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-d301-%E0%B8%9C%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9.html?group=&langid=34 (http://board.palungjit.org/groups/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-d301-%E0%B8%9C%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9.html?group=&langid=34)

.---------------------------------------------------



ปิดกระทู้ เชิญร่วมบุญผ้ายันต์ครอบจักรวาลเพื่อแจกจ่ายผู้ปฎิบัติงานใน 3 จังหวัดภาคใต้

-http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B9%E0%B9%89-%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9C%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%88%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%8E%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99-3-%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89-80700.html-

http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B9%E0%B9%89-%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9C%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%88%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%8E%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99-3-%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89-80700.html (http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B9%E0%B9%89-%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9C%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%88%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%8E%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99-3-%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89-80700.html)


.--------------------------------------------------------------------------------------------------------

เชิญร่วมบุญผ้ายันต์ครอบจักรวาลรุ่นพิเศษเพื่อแจกจ่ายผู้ปฎิบัติงานใน 3 จังหวัดภาคใต้

-http://board.palungjit.org/f179/%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9C%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%88%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%8E%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99-3-%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89-80663.html-


http://board.palungjit.org/f179/%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9C%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%88%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%8E%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99-3-%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89-80663.html (http://board.palungjit.org/f179/%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%9C%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%88%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%8E%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99-3-%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89-80663.html)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 20, 2014, 08:07:28 am
ถวายพิมพ์ซุ้มไทรย้อย แด่พระอาจารย์นิล และพี่แอ๊ว เพราะว่า พระอาจารย์นิล ท่านจะต้องเดินทางลงไปยัง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

   02-07-2011, 06:11 PM



-http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2263.html-


งานผ้าป่าสามัคคีศรีชัยผาผึ้ง ผ่านพ้นไปด้วยดี

ยอดเงินผ้าป่า(เป็นเงินที่ได้จากการร่วมทำบุญในงาน ยังไม่รวมยอดเงินที่โอนเข้าบัญชี) จำนวน 229,000.-บาท

หลังจากการพิธีของงานผ้่าป่าเรียบร้อยแล้ว

ผมก็ได้นำพระกรุวังหน้าอยุธยา และ พระกรุวังหน้ารัตนโกสินทร์ ถวายพระอาจารย์นิล เพื่อขอความกรุณาพระอาจารย์นิล เดินทางลงไปมอบพระให้กับตำรวจตะเวณชายแดนที่ 44 , 43 และผู้ที่ปฎิบัิติงานในพื้นที่จริง ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

อีกทั้งผมและหลายๆท่าน ได้ร่วมกันถวายปัจจัย(เพื่อใช้ในการเดินทางไปยัง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้)

ผมมีโอกาสได้คุยกับผู้พันช้าง (เป็นเพื่อนกับผู้กองแคนและผู้กองตี้) ได้เห็นภาพในการปฎิบัติงาน ทำให้เห็นว่า การปฎิบัติงานเสี่ยงต่ออันตรายเป็นอย่างยิ่ง เห็นหลายๆสิ่งหลายๆอย่างแล้ว ก็ทำให้คิดว่า คุ้มค่าเป็นอย่างยิ่งครับสำหรับความเหนื่อยที่หลายๆท่านได้ร่วมกันทำบุญใน การมอบพระกรุวังหน้าอยุธยาและพระกรุวังหน้ารัตนโกสินทร์

ผมได้กราบเรียนพระอาจารย์นิลว่า สำหรับพระกรุวังหน้าอยุธยา พิมพ์ซุ้มไทรย้อย ขอให้พระอาจารย์มอบให้กับ กองกำกับการตำรวจตะเวณชายแดนที่ 44 และ 43 ครับ

ขอขอบคุณและโมทนาบุญกับทุกๆท่านที่ร่วมทำบุญ ไม่ว่าจะเป็นพี่เปี๊ยก , คุณnongnooo , พี่เมตตา , คุณPinkcivil ,คุณเฉลิมพล , คุณณฑนน , น้องปฐม , พี่แอ๊ว , คุณแด๋น และพี่สิทธิพร (ต้องขอโทษหากลืมท่านใด)
ขอขอบคุณและโมทนาบุญกับพี่สิทธิพร , คุณหนิง , คุณจี๊ดและคณะที่ช่วยเหลือในการเจาะรูที่กรอบสเตนเลส อีกทั้งใส่แหนบให้

วันนี้ ผมได้ถวายพิมพ์ซุ้มไทรย้อย แด่พระอาจารย์นิล และพี่แอ๊ว เพราะว่า พระอาจารย์นิล ท่านจะต้องเดินทางลงไปยัง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้


และผมเองก็ได้พบกับคุณซิ้งบน ที่เดินทางมารับพระวังหน้า ในการร่วมทำบุญผ้าป่าสามัคคีศรีชัยผาผึ้ง

สำหรับท่านใดที่ร่วมทำบุญและรับพระวังหน้าหรือพระวังหลวงที่มีพระธาตุ ผมขอให้ท่านหาโถเบญจรงค์ นำแผ่นทองคำปูพื้นโถ แล้วนำพระวังหน้าหรือพระวังหลวงที่มีพระธาตุ นำไปไว้ในโถ ตั้งบูชาไว้ในที่อันควรด้วยครับ

ส่วนสมาชิกชมรมพระวังหน้าที่เดินทางมาไกล ก็มีคุณณฑนน , คุณเฉลิมพล เดินทางมาจากจังหวัดนครราชสีมา ส่วนอีกท่านที่มาไกลกว่าก็คือ คุณธวัช (มาจากจังหวัดน่าน)

ส่วนท่านที่อยู่ในกรุงเทพฯ ก็คือ คุณPinkcivil และ คุณมูริญโญ่ที่เดินทางมาร่วมงาน
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 03, 2014, 08:32:24 am
ไม่เกี่ยวกับพระวังหน้า

แต่แปลกดี  ไม่เคยทราบมาก่อนครับ


-----------------------------------------------------------------------------


เปลือกเงาะสามารถใช้ย้อมสีเส้นไหมได้ โดยใช้เปลือกเงาะสดมาหั่นหรือบดเป็นชิ้นเล็กๆ มาต้มกับน้ำเพื่อสกัดสีโดยใช้อัตราส่วน 1:2
คือเปลือกเงาะสด 1 ส่วนน้ำ 2 ส่วน นาน 1 ชั่วโมง
วันศุกร์ 1 สิงหาคม 2557 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/256237/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%B0+-+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-


เปลือกเงาะสามารถใช้ย้อมสีเส้นไหมได้ โดยใช้เปลือกเงาะสดมาหั่นหรือบดเป็นชิ้นเล็กๆ มาต้มกับน้ำเพื่อสกัดสีโดยใช้อัตราส่วน 1:2 คือเปลือกเงาะสด 1 ส่วนน้ำ 2 ส่วน นาน 1 ชั่วโมง กรองใช้เฉพาะน้ำ สามารถย้อมสีเส้นไหมได้ 1 กิโลกรัม โดยกรรมวิธีการย้อมร้อน นาน 1 ชั่วโมง เสร็จแล้วนำมาแช่ในน้ำโคลน วันละ 7- 8 ชั่วโมง นาน 3 วัน แต่ไม่ควรแช่เส้นไหมค้างคืน จากนั้นล้างเส้นไหมให้สะอาดผึ่งไว้ในที่ร่มแล้วนำมาแช่โคลนในวันที่ 2 และ3 อีก หลังจากนั้นนำหม้อโคลนที่มีเส้นไหมแช่อยู่มาย้อมต่อที่อุณหภูมิประมาณ 60-70 องศาเซลเซียส นาน 30 นาที สีเส้นไหมที่ได้จะเป็นสีดำ ใก้ลเคียงกับการย้อมด้วยมะเกลือ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 11, 2014, 09:41:32 pm
อันนี้ควร save เก็บไว้ครับเพราะเป็นกันเยอะ

 ใครมีอาการ...ลองเอาไปใช้ดูครับ

ท่ายืดกล้ามเนื้อท้ายทอย -
 http://youtu.be/mkLzLY0Hdjs (http://youtu.be/mkLzLY0Hdjs)

ท่ายืดกล้ามเนื้อบ่าและต้นคอ - 
http://youtu.be/IjjadrM8-ZA (http://youtu.be/IjjadrM8-ZA)
 
ท่ายืดกล้ามเนื้อสะบัก - 
http://youtu.be/xXfvy9N-pyo (http://youtu.be/xXfvy9N-pyo)

ท่ายืดกล้ามเนื้อคอด้านหน้า - 
http://youtu.be/eITtsSDJV_o (http://youtu.be/eITtsSDJV_o)

ท่านั่งแบบสมดุล สำหรับคนปวดหลัง - 
http://youtu.be/XAspVSaqtOo (http://youtu.be/XAspVSaqtOo)

ท่ายืดกล้ามเนื้อใต้ขาพับ - 
http://youtu.be/c9SYYYL309g (http://youtu.be/c9SYYYL309g)

สัญญานอันตรายของคนปวดหลัง - 
http://youtu.be/sUB96DVpV2w (http://youtu.be/sUB96DVpV2w)

--------------------------------------------



อันนี้ควร save เก็บไว้ครับเพราะเป็นกันเยอะ

 ใครมีอาการ...ลองเอาไปใช้ดูครับ

ท่ายืดกล้ามเนื้อท้ายทอย -
 -http://youtu.be/mkLzLY0Hdjs-

ท่ายืดกล้ามเนื้อบ่าและต้นคอ - 
-http://youtu.be/IjjadrM8-ZA-
 
ท่ายืดกล้ามเนื้อสะบัก - 
-http://youtu.be/xXfvy9N-pyo-

ท่ายืดกล้ามเนื้อคอด้านหน้า - 
-http://youtu.be/eITtsSDJV_o-

ท่านั่งแบบสมดุล สำหรับคนปวดหลัง - 
-http://youtu.be/XAspVSaqtOo-

ท่ายืดกล้ามเนื้อใต้ขาพับ - 
-http://youtu.be/c9SYYYL309g-

สัญญานอันตรายของคนปวดหลัง - 
-http://youtu.be/sUB96DVpV2w-
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 17, 2014, 09:17:39 am
หลวงพ่อเพชร องค์เดียวในแผ่นดินสยาม

-http://www.innnews.co.th/shownews/show?newscode=550212-


ขอน้อมนำพระพุทธรูปสิ่งศักดิ์สิทธิที่หาชมได้ยาก เป็นองค์เดียว หนึ่งเดียว ศิลปะที่งดงามบนผืนแผ่นดินสยาม ที่นี้ ประเทศไทย  หลังจากที่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)มีนโยบายกำหนดแผนเสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์ และคืนความสุขให้แก่คนไทยทั้งชาติ มีการคืนความสุขให้กับประเทศไทย ด้านกรมศิลปากรก็ขานรับขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมภาพลักษณ์โนการท่องเที่ยว และหวังกระตุ้นเศรษฐกิจไทย และจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมของชาติให้คงอยู่ สืบต่อไป     

ขานรับ สานต่อในทันที่   นายอเนก สีหามาตย์  อธิบดีกรมศิลปากร จึงได้ออกประกาศงดเก็บค่าเข้าชมสำหรับคนไทยในส่วนโบราณสถาน   ที่ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียน และงดค่าเข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติทุกแห่งทั่วประเทศ โดยให้มีผลตั้งแต่เมื่อวันที่  ๑๑ มิ.ย.   ที่ผ่านมา ส่วนการเก็บค่าเข้าชมสำหรับชาวต่างชาตินั้นยังคงเหมือนเดิม ตามนโยบายแผนงานจะงดเก็บค่าเข้าประมาณ ๓เดือน หลังจากนั้นจะมีการประเมินผล หากมีประชาชนให้ความสนใจเข้าชมเพิ่มมากขึ้นก็จะมีการขยายออกวันและเวลาออกไป ก็ลุ้นให้ทุกท่านไปเที่ยวกันเยอะๆ  วันหยุดพาครอบครัวไปเรียนรู้ ทำกิจกรรมร่วมกัน  ซึ่งต่างชาติเขาชอบเที่ยวพิพิทธภัณฑฯ กันเราคนไทยต้องเข้าไปดูสิ่งของเรื่องราวที่บรรพบุรุษได้สร้างทิ้งไว้ให้ลูกหลานไทย
เพื่อสืบสานต่อเจตนารมณ์ ....วันนี้เลยขอพาทุกท่านเข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชัยนาทมุนี  ต.ชัยนาท อ.เมือง จ.ชัยนาท  เพื่อชมการจัดแสดงโบราณวัตถุ ชิ้นที่สำคัญมีเพียงชิ้นเดียวในประเทศไทย คือ   พระพุทธรูปปางมารวิชัย “หลวงพ่อเพชร”   ศิลปะล้านนา  อิทธิพลศิลปะสุโขทัย ราว พุทธศตวรรษที่ ๒๐ – ๒๑  หลวงพ่อเพชร มีลักษณะ พระพักตร์กลม พระหนุเป็นปม พระขนงโก่ง พระเนตรทอดลงต่ำ พระปรางสูง พระโอษฐ์รุปกระจับ เม็ดพระศกใหญ่รูปก้นหอยเวียนขวา พระรัศมีเป็นต่อมกลมคล้ายดอกบัวตูม  ประทับนั่งสมาธิเพชร  พระกรรณยาวเหนือพระถันเป็นรูปเขี้ยวตะขาบ ครองจีวรห่มเฉียง พระอุระกว้าง ชายสังฆาฏิสั้น นิ้วพระหัตถ์เรียว

พระพุทธรูปปางมารวิชัย “หลวงพ่อเพชร” องค์นี้  พบที่วัดพระบรมธาตุวรวิหาร อ.เมืองชัยนาท จ.ชัยนาท  พระชัยนาทมุนี  (นวม สุทตโต) อดีตเจ้าคณะจังหวัดชัยนาทและอดีตเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุวรวิหาร  มอบให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชัยนาทมุนี  นำมาจัดแสดงที่พิพิทธภัณฑฯ  เพื่อเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี อีกทั้งเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้มีโอกาสเข้ามากราบสักการะขอพร  จึงไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาโอกาสเดินทางไปกราบสักการะและชมความงามล้ำค่าสมบัติของแผ่นดินสยามประเทศไทย  ที่เป็นโบราณวัตถุที่เป็นสมบัติชิ้นสำคัญของชาติ    เชื่อว่าพระพุทธรูปลักษณะนี้มีอยู่เพียงชิ้นเดียวในประเทศไทย จึงหาได้ยากมีคุณค่าโดดเด่นทางด้านศิลปะและเชิงช่างที่เชียวชาญด้านการหล่อโลหะเป็นอย่างมาก  มีคุณค่าเป็นอย่างยิ่งกับผู้ที่สนใจศึกษาหาความรู้ด้านโบราณวัตถุที่มีคุณค่าทางวิชาการด้านประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์ศิลปะเชิงช่างเป็นอย่างยิ่ง
นอกจาก  นี้แล้วยังสิ่งของชิ้นที่สำคัญที่จัดแสดงอยู่เป็นจำนวนมาก  เช่นพระพิมพ์จากกรุวัดราชบูรณะ จ.พระนครศรีอยุธยา บางส่วนได้นำมาจัดแสดงไว้ที่นี่เช่นกัน หรือบางชิ้นเช่น ถ้วย ชาม หลายท่านอาจะเคยเห็นกันในช่วงของยุคปู่ย่าตายาย ดูเสร็จเดินออกจากพิพิธภัณฑฯอาจจะรีบไปเก็บข้าวของที่เราไม่เคยหยิบจับขึ้นมาดูอาจรีบนำเก็บล็อคกุญแจเป็นอย่างดีก็เป็นได้   ภายในมีการจัดแสดงออกเป็นส่วนสัดที่ชัดเจน
 แม้แต่บางชิ้นเช่นลูกปัดสมัยทวาราวดีก็มีให้เห็นที่นี้เช่นกันซึ่งบ่งบอกทางด้านหลักฐานที่มีการแผ่อาณานิคม มีการรับอิทธิพลศิลปวัฒนธรรมในช่วงนั้น ๆ ที่ไม่มีการแบ่งเขตแดน

อย่างตัวอย่างส่วนชิ้นที่พิเศษขันทองเหลือง  สมัยรัชกาลที่ ๕ มีคำจารึกเป็นอักษรขอม ไว้รอบขันทองเหลืองว่า แปลได้ดังนี้        "พระพุทธศาสนา ล่วงได้ ๒๔๓๓ พรรษา เศษ ๑๑ เดือน ๒๙ วันปัจจุบัน ปีขาล ไทศก คิมหันต์ฤดู เดือน ๖ ขึ้น ๑๕ ค่ำ วัน ๖  (วันศุกร์ที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๓๓) ท่านหลวงวังท่านยายน้อย มีศรัทธานำขันมาถวายเป็นสังฆธาตุทิศไว้ในพระศาสนา         ขอเป็นปัจจัยแก่พระนิพพานในอนาคตกาลโน้นเทอญวัดพระธาตุ"
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชัยนาทมุนี มีการจัดแสดงพระเครื่อง และแม่พิมพ์พระเป็นจำนวนมากจึงเหมาะมากสำหรับใครที่ชื่นชอบศึกษาพระเครื่องเพราะ จะทำให้ได้เรียนคุณลักษณะต่าง ๆ และเข้าใจมากยิ่งขึ้น  หากมีโอกาสไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งที่จะมาเยือนสถานที่แห่งนี้  เพระท่านจะได้กราบหลวงพ่อเพชร  สักครั้งหนึ่งในชีวิตเพื่อความเป็นสิริมงคลแด่ตนเอง ถึงแม้ชัยนาทจะเพียงจังหวัดเล็ก ๆ อยู่ห่างจากกรุงเทพไม่ไกลมากนัก  แต่ก็มีสิ่งมีคุณค่ารอให้ทุกท่านเดินทางไปค้นหา ได้ดู ได้รู้ ได้เห็นด้วยตนเอง

ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ทุกท่านที่ได้อ่านไปกราบสักการะหลวงพ่อเพชร ที่พิพิทธภัณฑสถานแห่งชาติ ชัยนาทมุนี  และต้องขอขอบคุณโครงการดี ๆ อย่างโครงการเผยแพร่มรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติ ครั้งที่ ๓  “ศึกษาดูงานแหล่งโบราณคดี โบราณ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ” จังหวัดชัยนาท – อุทัยธานี กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ที่จัดขึ้นมาเพื่อมุ่งหวังให้เกิดการเรียนรู้กระตุ้นให้คนในชาติสำนึก รู้รัก รู้คุณค่า ทรัพย์ของแผ่นดิน สมบัติอันล้ำค่าของปวงชนชาวไทย ทุกคนมีส่วนช่วยในการร่วมกันอนุรักษ์ดูแลรักษาให้คงอยู่สืบต่อไป


พาเที่ยวไปกับ.....โชติกา วีรนะ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 07, 2014, 11:52:52 am
ขอเชิญร่วมทำบุญ งานกฐินตกค้างพระราชทานไปที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

หากท่านใดมีความประสงค์ที่จะร่วมทำบุญ สามารถร่วมทำบุญ
แต่ผมไม่สะดวกในการขอใบอนุโมทนาบัตรให้ เพราะว่าจะต้องจัดส่งให้กับท่าน ต้องขออภัย

และหากท่านใดคิดว่า การบอกบุญของผมในครั้งนี้ ไม่น่าเชื่อถือ ท่านไม่ต้องทำบุญครับ

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3096)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3098;image)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3102)





.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 07, 2014, 11:56:37 am
รูปงานกฐินพระราชทาน 3 จ.ชายแดนภาคใต้ ปี 2556

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3104)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3106)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3108)


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 07, 2014, 12:04:07 pm
รูปกฐินพระราชทาน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปี 2554

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3118)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3120)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3122)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3124)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3126)




.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 07, 2014, 12:06:52 pm
รูปกฐินพระราชทาน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปี 2554


(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3128)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3130)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3132)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3134)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3136)




.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 07, 2014, 12:09:34 pm
รูปกฐินพระราชทาน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปี 2554


(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3138)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3140)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3142)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3144)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3146)


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 07, 2014, 12:31:58 pm
บัญชีที่ใช้ในการโอนเงินร่วมทำบุญ เมื่อครบกำหนดระยะเวลาที่ผมแจ้ง ผมจะโอนเงินทั้งหมดให้กับพี่แอ๊ว เพื่อให้พี่แอ๊วได้ดำเนินการในส่วนอื่นต่อไป


บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 044-0-19868-2
ชื่อบัญชี นายสิทธิพงศ์ สงวนศักดิ์
บมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาท่าดินแดง

ระยะเวลาการร่วมทำบุญ 26 สิงหาคม 2557
สิ้นสุดการร่วมทำบุญ 10 ตุลาคม 2557 เวลา 12.00 น.




ผมบอกบุญ "ขอเชิญร่วมทำบุญ งานกฐินตกค้างพระราชทานไปที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้" ใน 3 กระทู้ (นอกเหนือจากไลน์)

1.กระทู้ ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เว็บใต้ร่มธรรม

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,4172.390.html (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,4172.390.html)
-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,4172.390.html-

2.กระทู้ กฐินพระราชทาน-วัดใน 3 จ.ชายแดนภาคใต้
เว็บใต้ร่มธรรม

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,8073.30.html (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,8073.30.html)
-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,8073.30.html-

3.กระทู้ พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....
เว็บพลังจิต

http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2566.html (http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2566.html)

-http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2566.html-

หากท่านใดมีความประสงค์ที่จะร่วมทำบุญ สามารถร่วมทำบุญ
แต่ผมไม่สะดวกในการขอใบอนุโมทนาบัตรให้ เพราะว่าจะต้องจัดส่งให้กับท่าน ต้องขออภัย

และหากท่านใดคิดว่า การบอกบุญของผมในครั้งนี้ ไม่น่าเชื่อถือ ท่านไม่ต้องทำบุญครับ

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3096)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3098)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3102)


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 15, 2014, 06:04:43 am
พระวังหน้า


ชุดที่ผมจะให้กับลูกค้าผมครับ

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 04, 2014, 01:27:15 pm
ผมมาตรวจร่างกายที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ตรวจเสร็จเรียบร้อยก็ไปทำบุญต่อที่มูลนิธิรามาธิบดี ร่วมสร้างโรงพยาบาลที่บางพลี มาร่วมโมนาบุญกันครับ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 09, 2014, 09:45:26 pm
วันนี้ ผมโอนเงินร่วมทำบุญให้กับหลวงพี่นิล เพื่อทำบุญงานกฐินตกค้างพระราชทาน ปี 2557 จำนวน 81,000.-บาท เรียบร้อยแล้ว

โมทนาบุญกับทุกๆท่านครับ




บัญชีที่ใช้ในการโอนเงินร่วมทำบุญ เมื่อครบกำหนดระยะเวลาที่ผมแจ้ง ผมจะโอนเงินทั้งหมดให้กับพี่แอ๊ว เพื่อให้พี่แอ๊วได้ดำเนินการในส่วนอื่นต่อไป


บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 044-0-19868-2
ชื่อบัญชี นายสิทธิพงศ์ สงวนศักดิ์
บมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาท่าดินแดง

ระยะเวลาการร่วมทำบุญ 26 สิงหาคม 2557
สิ้นสุดการร่วมทำบุญ 10 ตุลาคม 2557 เวลา 12.00 น.




ผมบอกบุญ "ขอเชิญร่วมทำบุญ งานกฐินตกค้างพระราชทานไปที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้" ใน 3 กระทู้ (นอกเหนือจากไลน์)

1.กระทู้ ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เว็บใต้ร่มธรรม

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,4172.390.html (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,4172.390.html)
-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,4172.390.html-

2.กระทู้ กฐินพระราชทาน-วัดใน 3 จ.ชายแดนภาคใต้
เว็บใต้ร่มธรรม

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,8073.30.html (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,8073.30.html)
-http://www.tairomdham.net/index.php/topic,8073.30.html-

3.กระทู้ พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....
เว็บพลังจิต

http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2566.html (http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2566.html)

-http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2566.html-

หากท่านใดมีความประสงค์ที่จะร่วมทำบุญ สามารถร่วมทำบุญ
แต่ผมไม่สะดวกในการขอใบอนุโมทนาบัตรให้ เพราะว่าจะต้องจัดส่งให้กับท่าน ต้องขออภัย

และหากท่านใดคิดว่า การบอกบุญของผมในครั้งนี้ ไม่น่าเชื่อถือ ท่านไม่ต้องทำบุญครับ

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3096)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3098)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3102)


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 12, 2014, 09:02:40 pm
งานบุญกฐินตกค้างพระราชทาน ปี 2557


(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=8073.0;attach=3208;image)


(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=8073.0;attach=3222;image)



รูปที่เหลือ ติดตามในกระทู้ -http://www.tairomdham.net/index.php?topic=8073.new#new-

http://www.tairomdham.net/index.php?topic=8073.new#new (http://www.tairomdham.net/index.php?topic=8073.new#new)

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 01, 2014, 05:13:59 pm
ผู้ที่ได้รับการอบรมจากครอบครัว สถาบันการศึกษา และ วัด มาแล้ว

ต้องเป็นผู้ที่เคารพในกติกาของสังคม และ สถานที่นั้นๆ

แต่

มองอีกมุม

สำหรับผู้ที่ไม่เคารพในกติกาของสังคม และ สถานที่นั้นๆ

อาจจะได้รับการอบรมจากครอบครัว สถาบันการศึกษา และ วัด นั้นๆ มาแบบนี้
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 08, 2014, 04:12:03 pm
วันนี้ ผมไปทำบุญมา 

ไปบริจาคเลือดที่สภากาชาดไทย , และทำบุญทุกอย่างกับสภากาชาดไทย

ไปทำบุญต่อที่มูลนิธิร่วมกตัญญู ร่วมทำบุญโลงศพ และ ข้าวสาร

มาร่วมโมทนาบุญกันครับ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 24, 2014, 09:55:27 pm
ผมทำบุญกับมูลนิธิราชประชาฯ มาร่วมโมทนาบุญกันครับ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 24, 2014, 10:06:24 pm
เมื่อวานนี้ ผมไปร่วมทำบุญในงานหล่อองค์พระมูนียะเถระเจ้า (หลวงปู่อิเกสาโร หรือหลวงปู่โลกอุดรองค์ที่ 3 ในคณะหลวงปู่โลกอุดร หรือ คณะพระธรรมทูต คณะโสณะ-อุตระ)

มาร่วมโมทนาบุญกันครับ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 24, 2014, 10:07:01 pm
เมื่อวานนี้ ผมไปร่วมทำบุญในงานหล่อองค์พระมูนียะเถระเจ้า (หลวงปู่อิเกสาโร หรือหลวงปู่โลกอุดรองค์ที่ 3 ในคณะหลวงปู่โลกอุดร หรือ คณะพระธรรมทูต คณะโสณะ-อุตระ)

มาร่วมโมทนาบุญกันครับ


ที่วัดเขาจีนแล  จ.ลพบุรี
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 25, 2014, 05:45:32 am
.
(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3333;image)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3331;image)


ผมนำแผ่นทองเหลือง แผ่นเงิน แผ่นทองแดง ที่ ลป.สุภา  , คณะ ลป.โลกอุดร , ลป.สำเร็จลุน พระครูโพนเสม็ด , ลพ.ปาน ลพ.ฤาษีลิงดำ อธิษฐานจิต (ชุดผ้ายันต์ครอบจักรวาล) มาร่วมหล่อองค์ลป.อิเกสาโร มาร่วมโมทนาบุญกันครับ

ผมนำพระสมเด็จ TOP 4 และ สมเด็จ(แหวกม่าน) ชุดพระธาตุพนม ถวายพระภิกษุในงาน มาร่วมโมทนาบุญกันครับ

ผมอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 4 พระองค์ ,พระธาตุนิมิตร ลป.โลกอุดร 5 พระองค์ และ
นำพระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า , พระสมเด็จปัญจสิริ , พิมพ์เมตตา 3 โลก ,พิมพ์(แบบ)หลวงพ่อปาน ขี่ไก่ และพระไตรปิฎก(แบบพกพาได้) ถวายหลวงพี่ แล้วแต่ท่านจะเห็นสมควรว่า จะนำไปทำอย่างไรตามความเห็นของท่าน มาร่วมโมทนาบุญกันครับ

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 25, 2014, 05:54:00 am
(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3333;image)


ผมไปทำบุญในวันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน 2557

ผมจอง พระบูชา หลวงปู่อิเกสาโร นั่งบนพยานาค (จ่ายเงินจองเมื่อในวันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน 2557 จำนวน 3,000 บ.) วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2557 ผมโอนให้คุณปิยา อีก 2,500 บ. เรียบร้อยแล้ว

พระบูชา ลป.อิเกสาโร องค์ที่ผมจองนี้ เมื่อสร้างเรียบร้อยแล้ว ผมถวายหลวงพี่ แล้วแต่ความเห็นของหลวงพี่ จะไปถวายวัดอื่นต่อไป หรือไว้ที่วัดเขาจีนแล หรืออื่นๆ  มาร่วมโมทนาบุญกันครับ

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 01, 2014, 10:05:47 pm
.

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3347;image)


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 05, 2014, 08:53:14 am
(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4058.0;attach=3357;image)

ทีฆายุโก โหตุ มหาราชา
ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้า
ชมรมพระวังหน้าและสมาชิก
สมาชิกไลน์พระวังหน้า
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 05, 2014, 04:26:55 pm
พระสมเด็จเจ้าฟ้า

แบบย่อ


(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3380;image)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 30, 2014, 11:38:31 pm
ไหว้พระวังหน้า....เป็นศิริมงคลรับปีใหม่ฟ้าใหม่ทำสิ่งใดยิ่งเจริญยิ่งรุ่งโรจน์.


-https://th-th.facebook.com/PresidentSilpakornUniversity.ChaicharnThavaravej/posts/735466789868472-



National Museum Bangkok : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

กระทรวงวัฒนธรรม กรมศิลปากร สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ

ขอเชิญกราบสักการะพระพุทธรูปมงคลโบราณ

“สักการะพระพุทธรูป ณ วังหน้า พระปฏิมาแห่งแผ่นดิน”

ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม 2557 – วันอาทิตย์ที่ 18 มกราคม 2558 เวลา 9.00 – 16.00 น.

ติดต่อสอบถาม โทร. 02 224 1402, 02 224 1333

*งดกิจกรรมไหว้พระ 9.00- 12.00 น. วันพุธที่ 7 มกราคม 2558 เนื่องจากมีพิธีทางศาสนาในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว*
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 31, 2014, 09:40:58 am


(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3520;image)


สวัสดีปีใหม่ 2558
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 03, 2015, 09:35:34 pm
.



ไปกราบพระที่วังหน้า (พระราชวังบวรสถานมงคล)

พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนคร


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 03, 2015, 09:37:19 pm
.



ไปต่อที่วัดพระแก้ว และศาลหลักเมือง



.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 03, 2015, 09:41:56 pm
.

มิวเซียม สยาม

เป็นสถานที่แสดงให้ทราบถึงเรื่องราวของ "สุวรรณภูมิ" และ "ความเป็นชาติไทย"



.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 03, 2015, 09:47:37 pm
.

มาต่อกันกับที่ "มิวเซียม สยาม"

เป็นสถานที่แสดงให้ทราบถึงเรื่องราวของ "สุวรรณภูมิ" และ "ความเป็นชาติไทย"



.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 03, 2015, 09:50:12 pm
.

สุดท้ายแล้วสำหรับ "มิวเซียม สยาม"

เป็นสถานที่แสดงให้ทราบถึงเรื่องราวของ "สุวรรณภูมิ" และ "ความเป็นชาติไทย"

จริงๆ ยังมีรูปอีกเยอะ  ด้านในสวยงามและเต็มไปด้วยความรู้มากมาย 

หากท่านใดไม่เคยไป ลองไปชมกันครับ

รูปสุดท้าย แอบถ่ายสาวๆ เล่นเกมส์ ยิงปืนใหญ่ ถล่มพม่า ครับ



.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 11, 2015, 09:29:54 am
ไปกราบ "พระ" ที่ "พระธาตุนาดูน" อ.นาดูน จ.มหาสารคาม

ไปมาวันที่ 10 มกราคม 2558


ส่วนประวัติฯ สามารถติดตามจากลิงค์นี้ พระธาตุนาดูน | สถานที่ท่องเที่ยว มหาสารคาม

-
-http://www.sarakhamclick.com/sarakham/%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7-%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A1/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%99.html--
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 26, 2015, 05:52:38 am
ธรรมกาย อันตราย จริงหรือ? วิปัสสนึก ธรรมกาย นะจ๊ะ หลอก เพลง สมาธิ นิมิตลวง โอภาส ญาณ16


https://www.youtube.com/watch?v=DuJ3BMzTHzQ (https://www.youtube.com/watch?v=DuJ3BMzTHzQ)
-https://www.youtube.com/watch?v=DuJ3BMzTHzQ-


(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=10251.0;attach=3632;image)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=10251.0;attach=3634;image)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=10251.0;attach=3636;image)

-http://www.tairomdham.net/index.php?topic=10251.msg39313;topicseen#msg39313-


-http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2574.html-




.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 17, 2015, 09:11:10 pm
ขอเชิญทุกท่าน ร่วมทำบุญผ้าป่าสามัคคี
ร่วมสร้าง ที่พักสงฆ์ "ศรีชัยรัตนโคตร"
ต.ธาตุนาเวง อ.เมือง จ.สกลนคร

กำหนดการ

วันเสาร์ที่ 25 เมษายน 2558

ณ ที่พักสงฆ์ "ศรีชัยรัตนโคตร"
ต.ธาตุนาเวง อ.เมือง จ.สกลนคร

รายละเอียด ตามรูปด้านล่าง

โมทนาบุญ สาธุครับ

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3745;image)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3747;image)


หรือในกระทู้ http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2576.html#post9546259 (http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2576.html#post9546259)

-http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2576.html#post9546259-
.

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 20, 2015, 10:13:21 pm
มีงานบุญมาฝากครับ หลวงพ่อแผน วัดบ่อเงินบ่อทอง ต.หนองแหน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา

ท่านแจ้งมาว่า หากท่านใดมีความประสงค์ที่จะเป็นเจ้าภาพบวชเณร องค์ละ 1,000 บาท ขอเชิญที่วัดบ่อเงินบ่อทองครับ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 20, 2015, 10:16:05 pm
มีงานบุญมาฝากครับ หลวงพ่อแผน วัดบ่อเงินบ่อทอง ต.หนองแหน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา
ท่านแจ้งมาว่า หากท่านใดมีความประสงค์ที่จะเป็นเจ้าภาพบวชเณร องค์ละ 1,000 บาท ขอเชิญที่วัดบ่อเงินบ่อทองครับ


http://www.tairomdham.net/index.php?topic=4172.new#new (http://www.tairomdham.net/index.php?topic=4172.new#new)

http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2576.html#post9551059 (http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2576.html#post9551059)

http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%93%E0%B8%A3-21733-128.html (http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%93%E0%B8%A3-21733-128.html)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 01, 2015, 10:10:59 pm
PaLungJit.org > ภูมิภาคและประชาสัมพันธ์ > ศูนย์ ประชาสัมพันธ์ > งานบุญอื่นๆ
พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....
ตั้งกระทู้เมื่อ    23-12-2005, 06:59 AM
http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445.html (http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445.html)






    ใต้ร่มธรรม »
    Forum »
    ประชาสัมพันธ์ »
    108 โทรโข่ง »
    ประชาสัมพันธ์ทางธรรม
    ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,4172.0.html (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,4172.0.html)
กระทู้นี้ตั้งเมื่อ วันเสาร์ที่  11 ธันวาคม พุทธศักราช 2553


PaLungJit.org > ภูมิภาคและประชาสัมพันธ์ > ศูนย์ ประชาสัมพันธ์ > พระพุทธรูป - วิหารทาน - สิ่งก่อสร้าง
ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ
กระทู้นี้ตั้งเมื่อ 27-01-2007, 09:36 PM

http://board.palungjit.org/f105/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87-%E0%B8%93-%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%86%E0%B9%8C%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87-%E0%B8%AD-%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%88-%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4-68899.html (http://board.palungjit.org/f105/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87-%E0%B8%93-%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%86%E0%B9%8C%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87-%E0%B8%AD-%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%88-%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4-68899.html)



ส่วนกระทู้นี้ ผมเข้าไปช่วยในการบอกบุญ และมอบพระวังหน้าให้กับผู้ที่ร่วมทำบุญ

PaLungJit.org > ภูมิภาคและประชาสัมพันธ์ > ศูนย์ ประชาสัมพันธ์ > งานบุญอื่นๆ
ขอความเมตตาช่วยต่อชีวิต พระเณร
http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%93%E0%B8%A3-21733.html (http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%93%E0%B8%A3-21733.html)


หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 06, 2015, 11:41:23 am
ขอเชิญร่วมทำบุญครับ

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3797;image)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3798;image)


ขอเชิญทุกท่าน ร่วมทำบุญผ้าป่าสามัคคี
ร่วมสร้าง ที่พักสงฆ์ "ศรีชัยรัตนโคตร"
ต.ธาตุนาเวง อ.เมือง จ.สกลนคร

กำหนดการ

วันเสาร์ที่ 25 เมษายน 2558

ณ ที่พักสงฆ์ "ศรีชัยรัตนโคตร"
ต.ธาตุนาเวง อ.เมือง จ.สกลนคร

รายละเอียด ตามรูปด้านล่าง

โมทนาบุญ สาธุครับ

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3745;image)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3747;image)


หรือในกระทู้ http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2576.html#post9546259 (http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2576.html#post9546259)

-http://board.palungjit.org/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2576.html#post9546259-
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 06, 2015, 06:42:03 pm
พระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 5 พระองค์
พระบรมสารีริกธาตุ องค์พระปัจเจกพุทธเจ้า
พระธาตุ พระอรหันต์ สมัยพุทธกาล

บางส่วนที่อยู่ที่บ้านผมครับ

(รูป ผมขอสงวนลิขสิทธิ์ ครับ)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 13, 2015, 06:47:37 am
.

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3830;image)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 14, 2015, 05:21:25 pm
หลวงพ่อฤาษีลิงดำเล่าเรื่องพระเจ้าตากสินมหาราช

https://www.youtube.com/watch?v=M8nc2DkweR0 (https://www.youtube.com/watch?v=M8nc2DkweR0)
-https://www.youtube.com/watch?v=M8nc2DkweR0-


.

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 14, 2015, 05:25:07 pm
หลวงพ่อฤาษีลิงดำพูดถึงวัดธรรมกาย


https://www.youtube.com/watch?v=2P-G38-9NoM (https://www.youtube.com/watch?v=2P-G38-9NoM)
-https://www.youtube.com/watch?v=2P-G38-9NoM-

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 26, 2015, 10:30:48 pm
(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3745;image)


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 16, 2015, 11:09:31 am
.

เป็นพระวังหน้า ธรรมดาๆ ครับ



---------------------------------------------------------------------------

สมเด็จวัดระฆังพิมพ์เล็บมือพิมพ์โบราณพิมพ์หลังเบี้ย
สมเด็จวัดระฆังพิมพ์เล็บมือพิมพ์โบราณ พิมพ์ขอบกระด้ง พิมพ์หลังเบี้ย : พระองค์ครู เรื่องและภาพโดยไตรเทพ ไกรงู

-http://www.komchadluek.net/detail/20150515/206299.html-

            "หนังสือพระสมเด็จฯ" เป็นหนังสือที่เรียบเรียงโดย ตรียัมปวาย หรือ พันเอกผจญ กิตติประวัติ หรือ อ.ตรียัมปวาย ผู้บัญญัติศัพท์ เบญจภาคี อันโด่งดัง เป็นหนังสือเชิงวิชาการรวบรวมชีวประวัติของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) และตำนานการสร้างพระสมเด็จฯ โดยได้กล่าวไว้ทั้งสามวัดอย่างละเอียด พร้อมด้วยรูปภาพประกอบ (ขาว-ดำ)

            ผู้แกะพิมพ์พระสมเด็จ ถวายคือ "หลวงวิจารณ์เจียรนัย" ช่างทองในราชสำนัก" ถูกจำแนกออกไปเป็น ๕ พิมพ์ใหญ่ด้วยกัน คือ ๑.พิมพ์พระประธาน หรือพิมพ์ใหญ่ ๒.พิมพ์ทรงเจดีย์ ๓.พิมพ์เกศบัวตูม ๔.พิมพ์ฐานแซม และ ๕.พิมพ์ปรกโพธิ์ สำหรับพระพิมพ์นี้มีให้พบน้อยมาก ภายหลังจึงไม่ค่อยจะมีผู้กล่าวถึง

            ในกรณีของสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์เล็บมือ ซึ่งมีชื่อเรียกอยู่หลายชื่อ คือ พิมพ์โบราณ พิมพ์ขอบกระด้ง รวมทั้งหลังเบี้ย ก็เช่นกัน เมื่อพบน้อยมาก ภายหลังจึงไม่ค่อยจะมีผู้กล่าวถึง การเรียกชื่อสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์เล็บมือ คือลักษณะคล้ายเล็บมือหรือขอบกระด้งนั่นเอง แรกเริ่มของการสร้างพระสมเด็จนั้น ท่านสร้างเป็นพิมพ์เล็บมือหลังเบี้ยนี้ขึ้นมาก่อนเเต่เนื่องจากรูปแบบที่ไม่สวยงามหรือประเด็นอื่นก็ไม่ทราบได้ก็เลยยกเลิกไป
 
            "พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม" สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) เริ่มสร้างขึ้นมาเมื่อ พ.ศ.๒๔๐๙ ภายหลังจากโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็นพระสมเด็จพุฒาจารย์ จึงเรียกขานพระเครื่องที่สร้างขึ้นว่า "พระสมเด็จ" และได้สร้างเรื่อยมาจนถึง พ.ศ. ๒๔๑๕ โดยได้แจกจ่ายแก่บรรดาญาติโยมที่มาเยี่ยมเยียน และเมื่อครั้งออกบิณฑบาตในตอนเช้า ครั้นหมดก็สร้างใหม่

            เมื่อท่านออกไปบิณฑบาตท่านก็จะเอาติดตัวไป ญาติโยมที่ใส่บาตรท่าน ท่านจะแจกพระให้คนละองค์ และมักจะพูดว่าเก็บเอาไว้ให้ดีนะจ๊ะ ต่อไปจะหายาก โดยไม่บรรยายสรรพคุณให้ทราบแต่อย่างใด แต่ก็เป็นที่ทราบกันอยู่ในยุคสมัยนั้นแล้วว่า พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ โด่งดังทางโภคทรัพย์และเมตตามหานิยม

            นอกจากนั้นแล้วยังสันนิษฐานกันว่า มวลสารที่ใช้สร้างพระที่สำคัญ คือ ท่านยังเอาข้าวก้นบาตรและอาหารหวานคาวที่ท่านฉันอยู่ถ้าคำไหนอร่อยท่านจะไม่ฉัน จะคายออกมาแล้วตากให้แห้งเพื่อนำไปบดตำสร้างพระสมเด็จของท่าน ซึ่งถูกต้องตามวิธีการสร้างพระอาหารของชาวรามัญ

            ส่วนตัวประสาน หรือตัวยึดเกาะนั้น ที่เราทราบๆ กันอย่างเด่นชัดก็คือ น้ำมันตังอิ๊ว น้ำอ้อย น้ำผึ้ง กล้วย และที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ เยื่อกระดาษ ได้จากการที่เอากระดาษฟางหรือกระดาษสามาแช่น้ำข้ามวันข้ามคืน จนกระดาษละลายเป็นเมือกดีแล้ว จึงนำเอามากรองเพื่อเอาเยื่อกระดาษมาผสมผสานบดตำลงไป เชื่อกันว่าตัวเยื่อกระดาษนี้เป็นตัวหนึ่งที่ทำให้พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม มีความหนึกนุ่ม เนื้อจึงไม่แห้งและกระด้าง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนผสมที่เป็นประเภทพืช เช่น ข้าว อาหาร กล้วย อ้อย เป็นต้น ก็มีส่วนที่ทำให้เนื้อพระมีความหนึกนุ่มอีกเช่นกัน

            สำหรับภาพพระองค์ครูฉบับนี้เป็น "สมเด็จวัดระฆัง พิมพ์เล็บมือ" ในความครอบครองของนายสุขธรรม ปานศรี หรือที่คนในวงการรถยนต์รู้จักในชื่อ “เฮียกุ่ย” และเจ้าของ WWW.SOONPRARATCHADA.COM (http://WWW.SOONPRARATCHADA.COM)" ซึ่งปัจจุบันนี้ถือว่า เฮียกุ่ยเป็นเจ้าของพระรังใหญ่ของวงการพระเครื่อง โดยเฉพาะพระหลวงปู่ทวดชุดทองคำ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 01, 2015, 11:10:15 am
คุณหนุ่ม คุณน้องหนู , ผม (หมายถึงพี่ท่านนึง) และเพื่อนผม จะได้นำพระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันตธาตุ พระเครื่องต่างๆร่วมบรรจุที่ตำแหน่งพระหทัยของพระประธานองค์นี้ครับ

วัดอยู่ ต.เวียงแหง อ. เชียงดาว จ.เชียงใหม่ชื่อวัดป่าธาราภิรมณ์เป็น สาขาของหลวงตาม้าวัดถ้ำเมืองนะครับ เพื่อนผม(พี่ท่านนึง) เป็นคนปั้น

รูปสงวนลิขสิทธิ์
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 04, 2015, 10:21:57 am
เรื่องของพระวังหน้า และ พระวังหลวง
กรุวัดพระแก้ว

ในการศึกษาเรื่องของพระวังหน้า และ พระวังหลวง ในการศึกษาเรียนรู้
ว่า ใช่หรือไม่ใช่ ผมเรียนรู้จาก
"รูป" (เนื้อหาทรงพิมพ์)
และ
"นาม" (พลังอิทธิคุณขององค์ผู้อธิษฐานจิต)

ไม่ว่าจะเป็นรูปพระพิมพ์ต่างๆ รูปหล่อลอยองค์ ที่ผมได้นำมาลงให้ชมกัน
และผมได้แจ้งว่า เป็นพระของวังหน้า หรือ วังหลวง  องค์ที่ผมลงให้ชมนั้น
หลวงปู่องค์ไหน  เป็นองค์อธิษฐานจิต 
และหากผมไม่ทราบ  ผมจะแจ้งว่า ผมไม่ทราบองค์ผู้อธิษฐานจิต

ส่วนในเรื่องที่ผมเคยแจ้งไป เรื่องพระพิมพ์ต่างๆที่ติดพลอย หรือวัสดุต่างๆ
เช่นกระจกอัด หรืออื่นๆ ที่เป็นของพระวังหลวง ที่สร้างในปี 2451
เป็นเรื่องที่ผมได้เรียนรู้มา 

พระที่สร้างเลียนแบบพระวังหน้า หรือ พระวังหลวง
มีการสร้างกันมานานแล้ว
ผมถึงบอกว่า ต้องศึกษาทั้ง"รูป" และ "นาม"

การเรียนรู้เรื่อง "นาม"  ท่านผู้ที่ทราบว่า หลวงปู่องค์ไหนท่านอธิษฐานจิต
อย่างน้อยที่สุด ท่านต้องปฎิบัติธรรมมาได้ระดับหนึ่ง
อย่างน้อยได้ "ฌาณ"
ดังนั้น ให้ระมัดระวังในเรื่องของ "การปรามาสผู้มีธรรม" ด้วย
เรียนให้ทุกๆท่านทราบ ด้วยความห่วงใย

ส่วนตัวผมเอง ไม่มีฌาณ หรือ ญาณใดๆ

หากท่านใดสนใจก็ติดตามอ่านในโพสที่ผมลง 
แต่ท่านใดไม่สนใจก็ไม่ต้องติดตามอ่าน
ผมเองไม่เคยสนใจว่า  ใครจะเชื่อหรือไม่ 
เพราะตัวท่านเอง เป็นผู้ที่รับผลในการเชื่อในสิ่งนั้นๆเอง
ผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวท่าน
ผมไม่เคยบังคับใครให้เชื่อตามที่ผมบอก
ท่านจะเชื่อเรื่องไหน  อย่างไร  เป็นสิทธิของท่านเอง
ท่านเป็นผู้เลือกหนทางเดินด้วยตัวของท่านเอง

แต่หากว่า สิ่งที่ผมลงเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวกับพระวังหน้า หรือพระวังหลวง
แล้วไปกระทบกับความรู้สึกของท่านใด
หรือไปกระทบกับผลประโยชน์ของท่านใด
ผมขอโทษและขออภัยมา ณ ที่นี้
และผมขอความกรุณา ไม่ต้องอ่านในโพสที่ผมได้ลงไป
เดี๋ยวจะไปกระทบกับท่านอีก

หมายเหตุ  ที่ผมเรียกพลังขององค์ผู้อธิษฐานจิต ว่า "พลังอิทธิคุณ"
แทนคำว่า "พลังพุทธคุณ" นั้น
เนื่องจาก พุทธคุณ หมายถึง คุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่พระองค์ท่านมีพระเมตตาเผยแพร่ความรู้ในเรื่องพระพุทธศาสนา
ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับ พระเครื่อง แต่อย่างใด


ผมเองเคยลงบทความนี้  เมื่อ 11 ก.ค.2550 ในเว็บฯแห่งหนึ่ง ตามนี้

การสร้างพระพิมพ์ทั้งวังหน้า  ,วังหลวง  และวังหลังนั้น 
การสร้างที่สร้างเป็นจำนวนมากๆนั้น 
วังหน้าและวังหลวงจะเป็นผู้ที่มีบทบาทมากที่สุด 
ซึ่งพร้อมด้วยกำลังคนที่มีความสามารถมาก 
อีกทั้งกำลังทรัพย์ที่มีมากเช่นกัน 
ผมจะขอพูดถึงแต่การสร้างพระของวังหน้าเท่านั้นครับ 
รายได้ส่วนหนึ่งของวังหน้านั้น  เป็นการเดินทางไปค้าขายกับประเทศจีน 
โดยท่านเจ้าพระยาภานุวงศ์โกษาธิบดี(ท้วม  บุนนาค) 
ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นทูตและทำหน้าที่เจรจาการค้าขายกับประเทศจีน 
มีหลายสิ่งที่ท่านเจ้าพระยาภานุวงศ์โกษาธิบดี(ท้วม  บุนนาค) 
ได้ซื้อจากประเทศจีนเข้ามา  ในจำนวนสิ่งที่ซื้อมานั้น  ก็มีปูนเพชร  ,รักของประเทศจีน  ,เตาสำหรับทำเครื่องเบญจรงค์  ,สีที่ใช้ทาเครื่องเบญจรงค์ 
สิ่งเหล่านี้ก็กลายเป็นวัตถุที่นำมาสร้างพระพิมพ์ขึ้น 
ผู้ที่สร้างพระพิมพ์นั้นก็คือช่างสิบหมู่แห่งวังหน้า 
แต่ช่างสิบหมู่แห่งวังหน้าก็ได้รับพระบัณฑูรย์จากกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ (อุปราชวังหน้าองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์จักรี) 
ให้สร้างพระพิมพ์ขึ้น  บางพิมพ์นั้นสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว 
ทรงพระราชทานแบบพระพิมพ์ให้ก็มี 
แต่โดยส่วนใหญ่ท่านเจ้า(กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ 
ทรงพระราชทานแบบพระพิมพ์ให้  การสร้างพระพิมพ์ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่าย 
แต่ก็ไม่ยากสำหรับฝีพระหัตถ์กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ 
และไม่ยากสำหรับฝีมือช่างสิบหมู่แห่งวังหน้า 
การตำผงนั้น  1  ครกต้องใช้ระยะเวลาตำถึง 4 ชั่วโมง 
เนื้อพระพิมพ์จึงแกร่งเข้าที่  แต่บางครกผู้ตำผงก็อาจจะมีการขี้เกียจบ้าง 
อาจตำแค่ 2-3 ชั่วโมง  เนื้อพระพิมพ์ที่ได้ออกมาก็จะแตกต่างกัน 
แต่ก็มีบางพิมพ์อีกเช่นกันไม่ได้ใช้การตำผง 
แต่เป็นการนำผงมาใส่ในภาชนะแล้วใช้มือคลุกเคล้าจนเนื้อเข้ากันก็มี 
เช่นสมเด็จเจ้าฟ้าหรือสมเด็จอัศนี เป็นต้น 

นอกจากปูนเพชรที่เป็นองค์ประกอบหลักแล้ว  ก็จะมีเศษทองคำ 
ซึ่งได้จากหน่วยสุวรรณกิจ (เป็นหน่วยที่ทำทองในพระราชวัง)  บ
างส่วนก็ได้มาจากเจ้าสัวที่เยาวราช 
พอรู้ว่าท่านเจ้า(กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ)  ทรงสร้างพระพิมพ์ 
ก็ได้นำทองคำและเศษทองคำมาถวายแด่ท่านเจ้า(กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ) 
เพื่อเป็นมวลสารประเภทหนึ่งในการสร้างพระร่วมกับพระองค์ท่าน 
นอกจากเศษทองคำแล้ว  ยังมีเศษเพชร  ,เศษพลอย 
, หรือวัตถุที่เป็นมงคลอื่นๆเช่น  พระธาตุ  ,เหล็กไหล  ,จ้าวน้ำเงิน 
,ลูกปัดทราวดี  ,พระพิมพ์ในสมัยโบราณบางพิมพ์เช่น 
พระพิจิตรเม็ดข้าวเม่า  ฯลฯ  ส่วนวิธีการในการนำวัตถุมงคลมานั้น 
บางเรื่องราวจะเป็นเรื่องที่อจินไตย  ผมไม่ขอนำมาลงนะครับ

พระพิมพ์ที่สร้างขึ้นที่วังหน้านั้น  เป็นพระพิมพ์ที่ไม่มีการประดับพลอยหรือ
อัญมณีอื่นๆ   แต่จะเป็นการลงรัก  รักที่ใช้นั้นจะมีอยู่ 3 ประเภทคือ 
รักไทย(สีดำ)  ,รักจีน(สีแดง)  และรักพม่าหรือรักสมุ(สีน้ำเงิน) 
หรือเป็นการลงรักปิดทองก็มี  หรือบางพิมพ์ใช้แผ่นทองคำ(แท้)....
เป็นอักษรแล้วติดด้านหลังพระพิมพ์ หรือฐานพระ(ลอยองค์) 

พระพิมพ์ที่สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ก็จะนำเข้าพิธีพุทธาภิเษกหลวง
ที่พระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส(ปัจจุบันอยู่ในวิทยาลัยนาฏศิลป์)   
ถ้าก่อนปี พ.ศ.2415  จะเชิญหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 
ซึ่งหลวงปู่ท่านมาเป็นกายธรรม(กายเนื้อ) 
(แล้วแต่ท่านเจ้า(กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ)ท่านเป็นผู้ที่นิมนต์) 
และนิมนต์สมเด็จพระพุฒาจารย์โต  พรหมรังสี 
มาเป็นองค์ผู้อธิษฐานจิตพระพิมพ์ 
แต่ถ้าหลังจากปี พ.ศ.2415  จนถึงปี พ.ศ.2428
(เป็นปีที่ท่านเจ้า(กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ) ท่านทิวงคต(ตามประวัติศาสตร์)) 
ท่านเจ้า(กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ)ท่านจะเชิญหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 
มาเป็นองค์ผู้อธิษฐานจิตให้

เมื่อพระพิมพ์ที่เข้าพิธีพุทธาภิเษกแล้ว 
ท่านเจ้า(กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ) 
ท่านก็ได้นำพระพิมพ์บรรจุตามสถานที่ต่างๆในวังหน้า 
เช่นเจดีย์พระธาตุพนมจำลอง 
(ซึ่งอยู่ด้านข้างพระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส) 
,ตามพระที่นั่งต่างๆ  ฯลฯ 

นอกจากพระพิมพ์แล้ว  ในสมัยนั้นยังนิยมเครื่องเบญจรงค์เป็นอย่างมาก 
นิยมมากจนถึงขนาดมีการจัดการประกวดการสร้างเครื่องเบญจรงค์กัน   
ในวังหน้านั้นมีเตาเผาเครื่องเบญจรงค์ที่ได้นำเข้ามาจากประเทศจีน 

ดังนั้น  การดูถูกดูหมิ่น  และการปรามาสพระวังหน้านั้น 
นอกจากจะดูถูกดูหมิ่นช่างสิบหมู่(ซึ่งเป็นบรรพบุรุธของตนเอง)แล้ว 
ยังมีการปรามาสองค์หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 
(ซึ่งหลวงปู่ได้อธิษฐานจิตพระพิมพ์ให้) 
มีการปรามาสสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว 
,มีการปรามาสท่านเจ้า(กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ) 
และยังปรามาส............
(ผมขอสงวนสิทธิ์แจ้งไว้แต่เพียงเท่านี้ 
ในส่วนอื่นๆผมขอไม่แจ้งให้ทราบ)............. 
ท่านผู้อ่านลองตรึกตรองดูนะครับ 
ผมเองได้ถือว่าผมได้เตือนในเรื่องนี้แล้ว 
ผมได้ทำหน้าที่นี้อย่างดีที่สุดแล้ว  ก็จะอยู่ที่ท่านผู้อ่านเองว่า 
จะเลือกเดินไปในทางไหนเท่านั้น

ผมพอแค่นี้นะครับ  คุยกันเป็นน้ำจิ้ม 
พอหอมปากหอมคอกัน  ขอบคุณและโมทนาสาธุครับ

 
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 04, 2015, 10:33:46 am
เรียน ทุกๆท่าน

สำหรับท่านใด ที่แจ้งมาขอเป็นเพื่อนกับผม
ซึ่งมีหลายๆท่าน

ผมต้องขอโทษทุกๆท่าน ที่ผมไม่ได้รับท่านเป็นเพื่อน

ผมรับเป็นเพื่อนเฉพาะที่ผมรู้จักเป็นการส่วนตัวครับ

ขอโทษอีกครั้งครับ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 12, 2015, 07:56:18 am
"เก๊สนิท ศิษย์ส่ายหน้า"

ตอน พิมพ์พระสมเด็จ พิมพ์พิเศษ ลั่นล้า
(ชื่อตอนนี้ จะมีการลงหลายครั้ง แต่จะเปลี่ยนพิมพ์ไปเรื่อยๆ)

ขอเก็บคำพูดไว้ครับ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 05, 2015, 09:52:25 pm
ผมได้ตั้งเฟสบุ๊ค กลุ่ม หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร & พระวังหน้า

ตามลิงค์ https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2/1503999719890625?fref=nf (https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2/1503999719890625?fref=nf)

เพื่อศึกษา"พระวังหน้า" ตามแนวทางที่ผมได้เรียนรู้และศึกษามากว่า 10 ปี

หากท่านใดต้องการที่จะเรียนรู้เรื่อง "ประวัติคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ)" และ "พระวังหน้า" ขอเชิญติดตามจากเฟสบุ๊ค กลุ่ม "หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร & พระวังหน้า" ได้ครับ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 02, 2016, 08:20:16 am
"ในหลวง" พระราชทาน ส.ค.ส. ปี 2559 แก่ประชาชนชาวไทย
โดย MGR Online
-http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9580000143153-
31 ธันวาคม 2558 20:14 น.

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3967;image)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3969;image)

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทาน ส.ค.ส. ปีพุทธศักราช 2559 แก่ประชาชนชาวไทย เนื่องในโอกาสวาระดิถีขึ้นปีใหม่ มีพรพระราชทานว่า "ให้มีกำลังกายที่แข็งแรง มีกำลังใจที่เข้มแข็งหนักแน่น และมีสติรู้เท่าทันอยู่เสมอ"

ส.ค.ส.พระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช ๒๕๕๙ นี้ เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ครึ่งพระองค์ ฉลองพระองค์เชิ้ตด้านใน ฉลองพระองค์คลุมสีขาว ปักภาพคุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง

กลางภาพ ส.ค.ส.มีพรพระราชทานว่า "ให้มีกำลังกายที่แข็งแรง มีกำลังใจที่เข้มแข็งหนักแน่น และมีสติรู้เท่าทันอยู่เสมอ"

ด้านบนของ ส.ค.ส.มีข้อความว่า "สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๙" พิมพ์ด้วยตัวอักษรสีม่วง มีตราพระมหาพิชัยมงกุฎ และผอบทอง ประดับ

ด้านล่างของภาพ มีรูปลิง สัญลักษณ์ปีนักษัตรปีวอก สีฟ้า มีข้อความภาษาไทย พิมพ์ด้วยตัวอักษรสีเขียว ว่า "ขอจงมีความสุขความเจริญ" และข้อความภาษาอังกฤษ พิมพ์ด้วยตัวอักษรสีเหลือง ว่า "Happy New Year"

ด้านล่างของ ส.ค.ส. มีแถบสีฟ้า มุมล่างซ้ายมีข้อความ "ก.ส.9 ปรุง 311502 ธ.ค. 2558" มุมด้านขวามีข้อความ ว่า "มหาวิทยาลัยปูทะเลย์ มิถิลา ๒๕๕๘"

กรอบของ ส.ค.ส.พระราชทานฉบับนี้ เป็นภาพใบหน้าคนเล็กๆ เรียงกัน ด้านละ ๒ แถว รวม ๓๙๖ หน้า ทุกใบหน้ามีแต่รอยยิ้ม
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 02, 2016, 08:23:45 am
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ พระราชทาน ส.ค.ส. ปีใหม่ 2559
-http://hilight.kapook.com/view/131088-

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3972;image)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3974;image)

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ พระราชทาน ส.ค.ส. ปีใหม่ 2559 แก่ประชาชนชาวไทย
โดยข้างใน มีพระฉายาลักษณ์ขณะที่พระองค์ทรงจักรยานในงาน Bike for Dad ปั่นเพื่อพ่อ

เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2559 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร พระราชทาน ส.ค.ส. ปี พ.ศ. 2559
เนื่องในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ แก่ปวงชนชาวไทย มีทั้งหมด 3 หน้าด้วยกัน ดังนี้

หน้าแรกเป็นตราพระนามาภิไธย ม.ว.ก.
ขณะที่หน้าสองเป็นพระฉายาลักษณ์ พระองค์ขณะที่ทรงจักรยานในกิจกรรมจักรยานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 88 พรรษา 5 ธันวาคม 2558 Bike for Dad ปั่นเพื่อพ่อ

ส่วนหน้าที่ 3 มีข้อความภาษาอังกฤษว่า Season's Greetings Best Wishes for a very Happy and Healthy New Year 2016
และลงพระนามาภิไธย พร้อมข้อความว่า From His Royal Highness the Crown Prince of Thailand


(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3971;image)

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3973;image)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 02, 2016, 08:25:30 am
ส.ค.ส.ปี 2559
สมเด็จพระเทพฯทรงพระราชทานแก่ปวงชนชาวไทย

(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=3975;image)


ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 16, 2016, 09:40:34 am
วันครู
-http://www.moe.go.th/PSD/Page%20Design/03_Teacher_Day/teather%20day/-

ประวัติวันครู

วันครูได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อ 16 มกราคม พ.ศ. 2500 สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษา เมื่อ พ.ศ. 2488 ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า คุรุสภาเป็นนิติบุคคลให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ให้ความเห็นเรื่องนโยบายการศึกษาและวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษาธิการ ควบคุม จรรยาและวินัยของครูรักษาผลประโยชน์ ส่งเสริมฐานะของครู จัดสวัสดิการให้ครูและครอบครัว ได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้และความสามัคคีของครู

ด้วยเหตุนี้ในทุกปี คุรุสภาจะจัดให้มีการประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูจากทั่วประเทศแถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา และชักถามปัญหาข้อข้องใจต่างๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภาเป็นผู้ตอบข้อสงสัย สถานที่ ในการประชุมสมัยนั้นใช้หอประชุมสามัคยาจารย์ หอประชุมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในระยะหลังใช้หอประชุมคุรุสภา

ปี พ.ศ. 2499 ในที่ประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภากิตติมศักดิ์ ได้กล่าวคำปราศรัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศว่า

"ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือว่า เนื่องจากผู้เป็นครูมีบุญคุณ เป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าวันครูควรมี สักวันหนึ่งสำหรับให้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายได้แสดงความเคารพ สักการะต่อบรรดาครูผู้มีพระคุณทั้งหลาย เพราะเหตุว่าสำหรับ คนทั่วไปถ้าถึงวันตรุษ วันสงกรานต์ เราก็นำเอาอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ ทำทาน คนที่สองรองลงไปก็คือครูผู้เสียสละ ทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย ลองปรึกษาหารือกันในหลักการ ทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง"

จากแนวความคิดนี้ กอปรกับความเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชนและอื่นๆ ล้วนเรียกร้องให้มีวันครูเพื่อให้เป็นวันแห่งการรำลึก ถึงความสำคัญของครูในฐานะที่เป็นผู้เสียสละ ประกอบคุณงามความดี เพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นอันมากในปีเดียวกันที่ประชุมคุรุสภาสามัญประจำปีจึงได้พิจารณาเรื่องนี้และมีมติเห็นควรให้มีวันครูเพื่อเสนอ คณะกรรมการอำนวยการต่อไป โดยได้เสนอหลักการว่า เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณบูรพาจารย์ ส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครูและเพื่อส่งเสริม ความเข้าใจอันดีระหว่างครูกับประชาชน

การจัดงานวันครูได้จัดเป็นครั้งแรกเมื่อ 16 มกราคม พ.ศ. 2500 กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวันดังกล่าวได้ ในส่วนกลางใช้สถานที่ของกรีฑาสถานแห่งชาติเป็นที่จัดงานวันครูนี้ได้กำหนดเป็นหลักการให้มีอนุสรณ์งานวันครูไว้แก่อนุชนรุ่นหลังทุกปี อนุสรณ์ที่สำคัญคือ หนังสือประวัติครู หนังสือที่ระลึกวันครู และสิ่งก่อสร้างเป็นถาวรวัตถุ

การจัดงานวันครูได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกิจกรรมให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมตลอดเวลา ในปัจจุบันได้จัดรูปแบบ การจัดงานวันครูจะมีกิจกรรม 3ประเภทหลักดังนี

    กิจกรรมทางศาสนา
    พิธีรำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ ประกอบด้วยพิธีปฏิญาณตน การกล่าวคำระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์
    กิจกรรมเพื่อความสามัคคีระหว่างผู้ประกอบอาชีพครู ส่วนมากเป็นการแข่งขันกีฬาหรือการจัดงานรื่นเริงในตอนเย็น

    ความหมายของดอกไม้ต่าง ๆ ที่นิยมใช้ในการไหว้ครู

              ดอกมะเขือ เป็นดอกที่โน้มต่ำลงมาเสมอ ไม่ได้เป็นดอกที่ชูขึ้น คนโบราณจึงกำหนดให้เป็นดอกไม้สำหรับไหว้ครู ไม่ว่าจะเป็นครูดนตรี ครูมวย ครูสอนหนังสือ ก็ให้ใช้ดอกมะเขือนี้ เพื่อศิษย์จะได้อ่อนน้อมถ่อมตนพร้อมที่จะเรียนวิชาความรู้ต่าง ๆ นอกจากนี้มะเขือยังมีเมล็ดมาก ไปงอกงามได้ง่ายในทุกที่ เช่นเดียวกับ หญ้าแพรก

              หญ้าแพรก เป็นหญ้าที่เจริญงอกงาม แพร่กระจายพันธ์ ไปได้อย่างรวดเร็วมาก หญ้าแพรกดอกมะเขือจึงมีความหมายซ่อนเร้นอยู่ คนโบราณจึงถือเอาเป็นเคล็ดว่า ถ้าใช้หญ้าแพรกดอกมะเขือไหว้ครูแล้ว สติปัญญาของเด็กจะเจริญงอกงามเหมือนหญ้าแพรกและ ดอกมะเขือนั่นเอง


              ข้าวตอก เนื่องจากข้าวตอกเกิดจากข้าวเปลือกที่คั่วด้วยไฟอ่อน ๆ ให้ร้อนเสมอกันจนถึงจุดหนึ่งที่เนื้อข้างในขยายออก จนดันเปลือกให้แยกออกจากกัน ได้ข้าวสีขาวที่ขยายเม็ดออกบาน ซึ่งสามารถนำไปประกอบพิธีกรรม หรือทำขนมต่าง ๆ ได้ ดังนั้น ข้าวตอกจึงเป็นสัญลักษณ์ของความมีระเบียบวินัย หากใครสามารถทำตามกฎระเบียบ เอาชนะความซุกซนและความเกียจคร้านของตัวเองได้ ก็จะเหมือนข้าวตอกสีขาวที่ถูกคั่วออกจากข้าวเปลือก


              ดอกเข็ม เพราะดอกเข็มนั้นมีปลายแหลม สติปัญญาจะได้แหลมคมเหมือนดอกเข็ม และก็อาจเป็นได้ว่า เกสรดอกเข็มมีรสหวาน การใช้ดอกเข็มไหว้ครู วิชาความรู้จะให้ประโยชน์กับชีวิต ทำให้ชีวิตมีความสดชื่นเหมือนรสหวานของดอกเข็ม

-------------------------------------------------


คําขวัญวันครู 2559 ประวัติวันครูแห่งชาติ
-http://hilight.kapook.com/view/19311-

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          วันครู 2559 วันที่ 16 มกราคม วันครูแห่งชาติ เนื่องในวันครู เรามีบทความ ประวัติวันครู กลอนวันครู 2559 คําขวัญวันครู 2559 มาฝาก

          เดือนมกราคมเวียนมาถึงอีกครั้ง บรรดานักเรียนทั้งหลายคงจำกันได้ดีว่า วันที่ 16 มกราคมของทุกปีเป็นวันครู ที่กำหนดขึ้นเพื่อให้ลูกศิษย์ทั้งหลายระลึกถึงพระคุณของครูบาอาจารย์ที่ได้สอนสั่งอบรมวิชาให้เรา วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาไปทำความรู้จักถึงความหมายของครู  ประวัติวันครู ความเป็นมาเกี่ยวกับวันครู และ คําขวัญวันครู 2559 มาฝากค่ะ 

ความหมายของครู

          ครู หมายถึง ผู้สั่งสอนศิษย์ หรือ ผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ศิษย์ ซึ่งมีผู้กล่าวว่ามาจากคำว่า ครุ (คะ-รุ) ที่แปลว่า "หนัก" อันหมายถึง ความรับผิดชอบในการอบรมสั่งสอนของครูนั้น นับเป็นภาระหน้าที่ที่หนักหนาสาหัสไม่น้อย กว่าคน ๆ หนึ่งจะเติบโตเป็นผู้มีวิชาความรู้ และเป็นคนดีของสังคม ผู้เป็น "ครู" จะต้องทุ่มเทแรงกายและแรงใจไม่น้อยไปกว่าพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเลย ซึ่งในชีวิตของคน ๆ หนึ่ง นอกเหนือไปจากพ่อแม่ซึ่งเปรียบเสมือน "ครูคนแรก" ของเราแล้ว การที่เด็ก ๆ จะดำรงชีพต่อไปได้ในสังคม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมี "ครู" ที่จะประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ เพื่อปูพื้นฐานไปสู่หนทางทำมาหากินในภายภาคหน้าด้วย ดังนั้น "ครู" จึงเป็นบุคคลสำคัญที่เราทุกคนควรจะได้แสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อท่าน

ความสำคัญของครู

          ในชีวิตของคนเราถือว่า บิดามารดา เป็นผู้มีพระคุณอันสูงสุด เพราะท่านเป็นผู้ให้ชีวิต ให้ความรัก ให้ความเมตตา มีความห่วงใย และเสียสละเพื่อลูก นอกจาก บิดามารดา แล้ว ก็มีครูเป็นผู้มีพระคุณคล้าย บิดามารดา คือ เป็นผู้อบรมสั่งสอนถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ รวมทั้งให้ความรัก ความเมตตาต่อศิษย์ทุกคน นับได้ว่าครูเป็นผู้เสียสละที่ไม่แพ้บุพการี

          ครูจึงนับเป็นปูชนียบุคคลที่มีความสำคัญอย่างมาก ในการให้การศึกษาเรียนรู้ ทั้งในด้านวิชาการ และประสบการณ์ ตลอดเป็นผู้มีความเสียสละ ดูแลเอาใจใส่ สั่งสอนอบรมให้เด็กได้พบกับแสงสว่างแห่งปัญญา อันเป็นหนทางแห่งการประกอบอาชีพเลี้ยงดูตนเอง รวมทั้งนำพาสังคมประเทศชาติ ก้าวไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ฉะนั้นวันที่ 6 ตุลาคม จึงได้เป็นวันครูสากล เพื่อคนที่เป็นครูทั่วโลกที่เสียสละนำพาเราทุก ๆ คน ไปถึงฝั่งฝันนั่นเอง


วันครู 2557 ประวัติวันครูแห่งชาติ

ประวัติความเป็นมาวันครู

          วันครู ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2500 สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อปี พ.ศ. 2488 ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า คุรุสภา เป็นนิติบุคคลให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกัน ก็ทำหน้าที่ให้ความเห็นเรื่องนโยบายการศึกษา และวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษาธิการ ควบคุมจรรยาและวินัยของครู รักษาผลประโยชน์ ส่งเสริมฐานะของครู จัดสวัสดิการให้ครู และครอบครัวได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้ และความสามัคคีของครู

          ทุกปีคุรุสภาจะจัดให้มีการประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูทั่วประเทศแถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา และซักถามปัญหาข้อข้องใจต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภา เป็นผู้ตอบข้อสงสัย สถานที่ในการประชุมสมัยนั้นใช้หอประชุมสามัคคยาจารย์ หอประชุมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในระยะหลังใช้หอประชุมคุรุสภา

          พ.ศ. 2499 ในที่ประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี จอมพล ป.พิบูล สงคราม นายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภากิตติศักดิ์ ได้กล่าวคำปราศรัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศว่า

          "ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือว่า เนื่องจากผู้เป็นครูมีบุญคุณเป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่า วันครู ควรมีสักวันหนนึ่งสำหรับให้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายได้แสดงความเคารพสักการะต่อวันสงกรานต์ เราก็นำเอาอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ ทำทาน คนที่สองรองลงไปก็คือครูผู้เสียสละทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย ลองปรึกษาหารือกันในหลักการ ทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง"

          จากแนวความคิดนี้ กอปรกับความเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชนและอื่น ๆ ที่ล้วนเรียกร้องให้มีวันครูเพื่อให้เป็นวันแห่งการรำลึกถึงความสำคัญของครูในฐานะที่เป็นผู้เสียสละ ประกอบคุณงามความดีเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นอันมาก ในปีเดียวกันที่ให้มีวันครูเพี่อเสนอคณะกรรมการอำนวยการต่อไป โดยได้เสนอหลักการว่า เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณบูรพจารย์ ส่งเสริมความสามัคคีธรรมระหว่างครูและพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างครูกับประชาชน

          คณะมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2499 ให้วันที่ 16 มกราคมของทุกปีเป็น วันครู โดยถือเอาวันที่ประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2488 เป็น วันครู และให้กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวันดังกล่าว

          งานวันครูได้จัดเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2500 ในส่วนกลางใช้สถานที่ของกรีฑาสถานแห่งชาติเป็นที่จัดงาน ได้กำหนดเป็นหลักการให้มีอนุสรณ์งานวันครูไว้แก่อนุชนรุ่นหลังทุกปี อนุสรณ์ที่สำคัญ คือ หนังประวัติครู หนังสือที่ระลึกวันครู และสิ่งก่อสร้างที่เป็นถาวรวัตถุ
 
คำขวัญวันครู

คำขวัญวันครู 2559 เจ้าของคำขวัญ : พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

         "อนาคตก้าวไกล ด้วยครูดี มีคุณภาพ"

คำขวัญวันครู 2558 เจ้าของคำขวัญ :  เด็กหญิงอนุสรา ชื่นบาล

         "เกียรติครูยิ่งใหญ่ น้อมใจบูชา เลิศล้ำคุณค่า ศรัทธาพระคุณ"

คำขวัญวันครู 2557 เจ้าของคำขวัญ :  นายธีธัช บรรณะทอง

         "เทิดพระเกียรติทั่วหล้า กตัญญูบูชา แม่และครูแห่งแผ่นดิน"

คำขวัญวันครู 2556 เจ้าของคำขวัญ : นายสะอาด สีหภาค

         "แปดสิบพรรษา พระราชินี ราษฏร์รัฐภักดี ครูศรีแผ่นดิน"

คำขวัญวันครู 2555 เจ้าของคำขวัญ : นางสาวขนิษฐา อุตรโส

         "บูชาครูแห่งแผ่นดิน จอมปราชญ์ศาสตร์ศิลป์ สยามินทร์ ภูมิพล"

คำขวัญวันครู 2554 เจ้าของคำขวัญ : นางกนกอร ภูนาสูง

         "เทิดพระเกียรติทั่วหล้า บูชาครูของแผ่นดิน ภูมินทร์ภูมิพล"

คำขวัญวันครู 2553 เจ้าของคำขวัญ : นายกันทา วงศ์จันทร์ทิพย์

         "น้อมจิตวันทา บูชาคุณครู กตัญญูกตเวที"

คำขวัญวันครู 2552 เจ้าของคำขวัญ :  นางนฤมล จันทะรัตน์

          "ครูสร้างคนดี เป็นศรีแผ่นดิน ทั่วถิ่นศรัทธา บูชาคุณครู"

คำขวัญวันครู 2551 เจ้าของคำขวัญ : นางพงษ์จันทร์ สุขเกษม

          "ครูของแผ่นดิน เลิศศิลป์ศาสตร์ มหาราชภูมิพล ชนบูชา"

คำขวัญวันครู 2550 เจ้าของคำขวัญ : นางสาวศันสนีย์ แสนโรจน์

          "สิบหกมกรา เทิดทูน พ่อแผ่นดิน ภูมินทร์บรมครู"

คำขวัญวันครู 2549 เจ้าของคำขวัญ : นางพรรณา คงสง

          "ครูดีเป็นศรีแผ่นดิน ศิษย์ทั่วถิ่นศรัทธาบูชาครู"

คำขวัญวันครู 2548 เจ้าของคำขวัญ : นายประจักษ์ หัวใจเพชร

          "ครูสร้างคนสร้างชาติด้วยศาสตร์ศิลป์ ทั่วแผ่นดินศรัทธาบุชาครู"

คำขวัญวันครู 2547 เจ้าของคำขวัญ : นางสาวพรทิพย์ ศุภกา

          "ครู คือ พลังสร้างแผ่นดิน ไทยทุกถิ่นน้อมบูชาพระคุณครู"
 
คำขวัญวันครู 2546 เจ้าของคำขวัญ : นางสมปอง สายจันทร์

          "ครูให้ความรู้ ควบคู่จรรยา ปวงชนทั่วหล้า น้อมบูชาครู"

คำขวัญวันครู 2545 เจ้าของคำขวัญ : นายสุเทพ วิเศษศักดิ์ศรี

          "สร้างคนสร้างชาติ สร้างศาสตร์ก้าวหน้า สร้างภูมิปัญญา ขอบูชาครู"

คำขวัญวันครู 2544 เจ้าของคำขวัญ : นางสาวสุทิสา ธนบดีไพบูลย์

          "พระคุณครูยิ่งใหญ่ สร้างไทยให้พัฒนา ขอบูชาคุณครู

คำขวัญวันครู 2543 เจ้าของคำขวัญ : นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล และนายประจักษ์ เสตเตมิ

          "ครูต้องมีจิตวิญญาณของความเป็นครู และประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี"

          "สร้างชาติ สร้างคน ผลงานของครู ทั่วโลกรับรู้ เชิดชูบูชา"

คำขวัญวันครู 2542 เจ้าของคำขวัญ :  นายปัญจะ เกสรทอง และนางเซียมเกียว แซ่เล้า

          "ครูเป็นผู้เบิกทางแห่งปัญญา"

          "ครูชี้ทางสร้างสรรค์ภูมิปัญญา ชนเชิดบูชาพระคุณครู"

คำขวัญวันครู 2541 เจ้าของคำขวัญ : นายชุมพล ศิลปอาชา

          "ครูเป็นผู้นำทางปัญญา ชี้นำประชาธิปไตย สร้างเด็กไทยให้เป็นคนดี"

คำขวัญวันครู 2540 เจ้าของคำขวัญ : นายสุขวิช รังสิตพล

          "ครูสร้างศิษย์ ด้วยมิตรและน้ำใจ ครูคือผู้ให้ เพื่อเยาวชนไทยได้พัฒนา"

คำขวัญวันครู 2539 เจ้าของคำขวัญ : นายสุขวิช รังสิตพล

          "ครู เป็นหัวใจของการพัฒนาคน"

คำขวัญวันครู 2538 เจ้าของคำขวัญ : นายสัมพันธ์ ทองสมัคร

          "อุทิศเวลา รักษาคุณธรรม ชี้นำประชาธิปไตย สร้างเด็กไทยให้เป็นคนดี"
 
คำขวัญวันครู 2537 เจ้าของคำขวัญ : นายสัมพันธ์ ทองสมัคร

          "ครู คือ ผู้มีคุณธรรม ชี้นำประชาธิปไตย สร้างเด็กไทยให้เป็นคนดี"
 
คำขวัญวันครู 2536 เจ้าของคำขวัญ : นายสัมพันธ์ ทองสมัคร

          "ครู คือ นักพัฒนา และรักษาสิ่งแวดล้อม"

คำขวัญวันครู 2535 เจ้าของคำขวัญ : ดร.ก่อ สวัสดิ์พาณิชย์

          "ครู คือ ผู้ให้ ผู้สร้าง ผู้พัฒนา และผู้นำเยาวชนของชาติ

คำขวัญวันครู 2534 เจ้าของคำขวัญ : พลเอก มานะ รัตนโกเศศ
     
          "ครู คือ ผู้สร้างสรรค์ให้เยาวชนของชาติเป็นพลเมืองดี"
 
คำขวัญวันครู 2533 เจ้าของคำขวัญ : พลเอก มานะ รัตนโกเศศ

          "ครู คือ ผู้อุทิศทั้งชีวิตและจิตใจ ส่งเสริมเพิ่มพูนให้เยาวชนเป็นคนดี

คำขวัญวันครู 2532 เจ้าของคำขวัญ : พลเอก มานะ รัตนโกเศศ

          "ครูดี มีจรรยา มุ่งค้นคว้าเพื่อพัฒนาเด็กไทย"

คำขวัญวันครู 2531 เจ้าของคำขวัญ : นายมารุต บุญนาค

          "ครูเป็นผู้สร้าง ครูเป็นผู้ให้ความหวัง ครูเป็นพลังให้ศิษย์เป็นคนดี"
 
คำขวัญวันครู 2530 เจ้าของคำขวัญ : นายมารุต บุญนาค

          "ครูดีมีวินัย และคุณธรรม ย่อมน้อมให้เยาวชนเป็นพลเมืองดี"

คำขวัญวันครู 2529 เจ้าของคำขวัญ : นายชวน หลีกภัย

          "ครู คือ ผู้พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณค่าต่อการพัฒนาชาติให้ก้าวหน้าและอยู่รอดปลอดภัย" 

คำขวัญวันครู 2528 เจ้าของคำขวัญ : นายชวน หลีกภัย

          "การที่บุคคลหนึ่งจะดำรงชีวิตได้อย่างดีนั้นมิใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะผู้เป็นครูมีแนวปฏิบัติที่ยากยิ่ง เป็นสิ่งน่าเห็นใจที่ครูจะต้องปฏิบัติโดยยึดถือความดี มีคุณธรรมระดับสูงกว่าบุคคลทั่วไป แต่ก็น่าภาคภูมิใจ เมื่อครูผู้ปฏิบัตินั้น ได้รับความเชื่อถือ ศรัทธา และยอมรับจากสังคมมากขึ้น จึงขอให้เพื่อนครูทุกท่านปฏิบัติตนด้วยความเสียสละ อดทน ยึดถือความดี มีคุณธรรมเพื่อจะบังเกิดผลดีแก่ตนเอง ชุมชน และประเทศชาติสืบไป"

คำขวัญวันครู 2527 เจ้าของคำขวัญ : นายชวน หลีกภัย

          "ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ 2527 ผมขอให้เพื่อนครูที่รักทั้งหลายและสมาชิกคุรุสภาทุกท่าน ประสบความสุขสิริสวัสดิ์พิพัฒน์มงคล สัมฤทธิ์ผลอันพึงปรารถนาตลอด" 

คำขวัญวันครู 2526 เจ้าของคำขวัญ : ดร.เกษม ศิริสัมพันธ์

          "อนาคตของเด็กไทย อยู่ที่ความเอาใจใส่ของครูทุกคน"

คำขวัญวันครู 2525 เจ้าของคำขวัญ : ดร.เกษม ศิริสัมพันธ์

          "ครูนั้น สังคมยกย่องนับถือว่าเป็นปูชนียบุคคล ทั้งนี้เพราะว่าครูเป็นผู้เสียสละยึดมั่นในคุณงามความดี และความถูกต้อง จีงขอให้รักษาความดีนี้ตลอดไป"

คำขวัญวันครู 2524 เจ้าของคำขวัญ : ดร.สิปปนนท์ เกตุทัต

          "ครูที่แท้ต้องทำแต่ความดี ประพฤติปฏิบัติในระเบียบแบบแผน อันสมควรกับเกียรติภูมิของตน มีความรักในลูกศิษย์และอบรมปัญญาให้ลูกศิษย์มีความสมบูรณ์ทั้งทางด้านวิชาการความฉลาดรอบรู้ในเหตุและผล ทางด้านคุณธรรม จริยธรรม และทางด้านพลานามัย" 

คำขวัญวันครู 2522 เจ้าของคำขวัญ : ดร.ก่อ สวัสดิ์พาณิชย์

          "เป็นครูต้องยึดถือคุณธรรมของครู"
 
คำขวัญวันครู 2521 เจ้าของคำขวัญ : นายแพทย์บุญสม มาร์ติน

          "การให้การศึกษาแก่คนในชาติ เป็นกระบวนการที่ต้องทำต่อเนื่องกันไปตลอดชีวิต ดังนั้นจึงต้องระดมสรรพกำลังหลาย ๆ ด้านมาช่วยเหลือการศึกษา ปัจจัยที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งที่จะขาดเสียมิได้ก็คือ ครูซึ่งจะเป็นผู้ผลักดันให้ทุกอย่างไปสู่เป้าหมายได้ ฉะนั้นท่านทั้งหลายคงตระหนักถึงหน้าที่อันมีเกียรตินี้ ในโอกาสที่วันสำคัญอย่างยิ่งของครูได้เวียนมาบรรจบครบรอบอีกวาระหนึ่ง ข้าพเจ้าในนามของกระทรวงศึกษาธิการและประธานอำนวยการคุรุสภา ขอส่งความปรารถนาดีและความระลึกถึงเพื่อนครูทุกท่าน ทั้งนอกและในราชการขอจงประสบแต่ความสุขความเจริญโดยทั่วกัน และขอได้โปรดตระหนักถึงหน้าที่ ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีของครูที่ดีสืบไป"

 
การจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมในวันครู
 
          เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจในบทบาท และหน้าที่ของครู ตลอดจนจรรยามารยาทและวินัยตามระเบียบประเพณีครู และบทบาทหน้าที่ของศิษย์ที่พึงปฏิบัติต่อครู คลอดจนการจัดกิจรรมได้เหมาะสม และมีประสิทธภาพ


วันครู 2557 ประวัติวันครูแห่งชาติ

กิจกรรมวันครู

          การจัดงานวันครูได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกิจกรรมให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมตลอดเวลาในปัจจุบันได้จัดรูปแบบการจัดงานวันครูจะมีกิจกรรม 3 ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้

          1. กิจกรรมทางศาสนา

          2. พิธีรำลึกพระคุณบูรพาจารย์ ประกอบด้วยพิธีปฏิญาณตนการกล่าวคำระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์

          3. กิจกรรมเพื่อความสามัคคีระหว่างผู้ประกอบอาชีพครู ส่วนมากเป็นการแข่งขันกีฬา หรือการจัดงานรื่นเริงในตอนเย็น
 
         
          ปัจจุบันการจัดงานวันครู ได้มีการกำหนดให้จัดพร้อมกันทั่วประเทศ สำหรับส่วนกลางจัดที่หอประชุมคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการจัดงานวันครู ซึ่งมีปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน ประกอบด้วย บุคคลหลายอาชีพร่วมกันเป็นผู้จัด สำหรับส่วนภูมิภาคมอบให้จังหวัดเป็นผู้ดำเนินการ โดยตั้งคณะกรรมการจัดงานวันครูขึ้นเช่นเดียวกับ ส่วนกลางจะจัดรวมกันที่จังหวัดหรือแต่ละอำเภอ

          รูปแบบการจัดงานในส่วนกลาง (หอประชุมคุรุสภา) พิธีจะเริ่มตั้งแต่เช้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภา คณะกรรมการอำนวยคุรุสภา คณะกรรมการการจัดงาน วันครู พร้อมด้วยครูอาจารย์และประชาชนร่วมกันใส่บาตรพระสงฆ์จำนวน 1,000 รูป

          หลังจากนั้นทุกคนที่มาร่วมงานจะเข้าร่วมพิธีในหอประชุมคุรุสภา นายกรัฐมนตรีเดินทางมาเป็นประธานในงาน ดนตรีบรรเลงเพลงมหาฤกษ์ นายกรัฐมนตรีบูชาพระรัตนตรัย ประธานสงฆ์ให้ศีล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวรายงานต่อนายกรัฐมนตรีกล่าวนำพิธีสวดคำฉันท์รำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์

          จากนั้นประธานจัดงาน วันครู จะเชิญผู้ร่วมประชุมยืนสงบ 1 นาที เพื่อรำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ที่ล่วงลับไปแล้ว ต่อด้วยครูอาวุโสในประจำการ ผู้นำร่วมประชุมกล่าวปฏิญาณ

กลอนวันครู
-http://poem.kapook.com/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9-

คำสอนของครู

พระคุณครู มากเหลือ คณานับ
 
คอยบอกรับ ช่วยศิษย์  ให้ได้ดี
 
ทุกคำสอน  ของครู  ในวันนี้
 
จะเป็นที่  ยึดเหนี่ยว  ในใจเอย


ขอขอบคุณ กลอนวันครู โดยคุณ Poly



กลอนวันครู แด่...คุณครูผู้ให้

แด่คุณครูผู้ให้ของลูกศิษย์
 
ที่อุทิศชีวิตคอยพร่ำสอน
 
ทั้งเมตตาห่วงใยเอื้ออาทร
 
ขอให้พรดีทั้งหลายเกิดแด่ครู

ขอขอบคุณ กลอนวันครู โดยคุณ raining



กลอนวันครู ผู้ชี้ทางสว่าง

คุณครูนั้น เปรียบเหมือน แสงเทียนไข
 
อุทิศใจ มุ่งมั่น คอยปลูกฝัง
 
ทั่งวิชา ความรู้ คอยสอนสั่ง
       
ไม่ได้หวัง สิ่งใด มาตอบแทน


ขอขอบคุณ กลอนวันครู โดยคุณ Ploy



กลอนวันครู จากใจให้ศิษย์

ทุกคำสอน จากใจ หวังให้ศิษย์
ได้พิชิต   ความฝัน   ที่วาดไว้
แม้จะยาก เหน็ดเหนื่อย สักเท่าใด           
ครูภูมิใจ  เห็นศิษย์ ถึงฝั่งฝัน


ขอขอบคุณ กลอนวันครู โดยคุณ พลอย



ครู

     การเป็นครูไม่ได้อยู่ที่ประเมิน

อยู่ที่เดินด้วยจิตคิดสร้างสรรค์

เป็นครูด้วยอุดมการณ์นั้นสำคัญ     

ต้องมุ่งมั่นปลูกฝังให้ศิษย์ดี

    ศิษย์ทุกคนมีความเก่ง เร่งช่วยหา       

สอนวิชา ศึกษาจิต คิดช่องชี้

ให้เขาได้เรียนรู้ถูกวิธี                           

ทุกคนมี  วิชาหาเลี้ยงตัว

    อย่ามัวเน้นกลุ่มน้อยให้เป็นเลิศ   

ปล่อยให้เกิดปัญหาน่าปวดหัว

คนไม่เก่งถูกทิ้งให้มืดมัว                   

ทำเรื่องชั่วเพราะโง่เขลาเบาปัญญา

    อยากให้มีคุณครูอยู่คู่ศิษย์                             

ให้มีจิตรักงานการศึกษา

ศิษย์คือผู้ประเมินทุกเวลา                 

ศิษย์กลับมาเป็นคนดีศักดิ์ศรีครู..                     

      *************






•ถึงจะกราบด้วยเต็มใจหรือไม่นั้น           แต่ตัวฉันไม่คิดเกี่ยงเลี่ยงไฉน

จะตบไหล่ด้วยเมตตาพาเจ้าไป              พยุงให้รอดถึงฝั่งดังต้องการ



ขอขอบคุณ กลอนวันครู โดยคุณ -




•ถึงจะกราบด้วยเต็มใจหรือไม่นั้น แต่ตัวฉันไม่คิดเกี่ยงเลี่ยงไฉน

จะตบไหล่ด้วยเมตตาพาเจ้าไป

พยุงให้รอดถึงฝั่งที่ต้องการ






กลอนวันครู คิดถึงครู

คิดถึงครู

  เคยร้องไห้  เพราะครูตี   ที่ทำผิด     

น้ำตาศิษย์  พรั่งพรู       ครูพร่ำสอน

ทั้งสอนไป    ตีไป          ไม่ขาดตอน   

ครูเฝ้าวอน   ย้อนย้ำ      ให้ทำดี

 

ครูนั้นคือ    แบบอย่าง   ที่สร้างศิษย์

ครูคือมิตร  ยามพลาดพลั้ง  ไม่ห่างหนี

ครูผู้ให้      ความเมตตา   เปี่ยมปรานี

ครูผู้มี       คุณธรรม    ชี้นำคน

 

ผ่านชีวิต   มาได้   ด้วยใจสู้

เพราะคำครู  สอนใจ  ให้เหตุผล

ความสำเร็จ  ปรากฏ  ด้วยอดทน

พระคุณล้น   เหลือล้ำ  เกินรำพัน

 

ถึงใครเห็น   ครูเป็น   เช่นเรือจ้าง

แต่ครูสร้าง   ทางชีวิต  ศิษย์ยึดมั่น

นานหลายปี   พลัดพราก  จากไกลกัน

ใจศิษย์นั้น     ยังคำนึง    คิดถึงครู 

 นพ   นิตย์มาลัย   16 ม.ค 2556(วันครูแห่งชาติ)


ขอขอบคุณ กลอนวันครู โดยคุณ นพ นิตย์มาลัย



กลอนวันครู กลอน ของ ครู

คนเป็นครู    มิใช่        เป็นคนเก่
แต่ต้องเป็น  ที่พึ่ง        ยามผิดหวัง
คนเป็นครู    มิได้         อยากเด่นดัง
แต่ต้องให้   ความหวัง   เยาวชน
คนเป็นครู   ไม่คุยอวด  เรื่องตัวเอง
ถ้าอยากเก่ง ต้องส่งให้  ศิษย์แข่งขัน
รางวัลใหญ่  หาใช่        ถ้วยรางวัล
คือศิษย์นั้น    เป็นคนดี    ของสังคม

อ่านต่อ...




กลอนวันครู

ผองข้าขอยอเยินครูผู้ประเสริฐ

น้ำใจเลิศสอนศิษย์รู้สู้ปัญหา

ดั่งแสงทองส่องสว่างสร้างปัญญา

น้อมบูชาด้วยดวงจิตศิษย์กราบกราน

อ่านต่อ...

ขอขอบคุณ กลอนวันครู โดยคุณ -



 คำปฏิญาณตนของครู

          ข้อ 1 ข้าจะบำเพ็ญตน ให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นครู

          ข้อ 2 ข้าจะตั้งใจฝึกสอนศิษย์ให้เป็นพลเมืองดีของชาติ

          ข้อ 3 ข้าจะรักษาชื่อเสียงของคณะครู และบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม

          จากนั้นพระสงฆ์เจริญชัยมงคล แล้วต่อด้วยนายกรัฐมนตรี มอบรางวัลครูดีเด่นประจำปี มอบของที่ระลึกให้ครูอาวุโสนอก และในประจำการ สุดท้ายกล่าวปราศรัยกับคณะครูที่มาประชุม

          "ข้าจะบำเพ็ญตน ให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นครู  ข้าจะตั้งใจฝึกสอนศิษย์ให้เป็นพลเมืองดีของชาติ  ข้าจะรักษาชื่อเสียงของคณะครู และบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม"

มารยาทและวินัยตามระเบียบประเพณีของครู

          1. เลื่อมใสการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขด้วยความบริสุทธิ์ใจ

          2. ยึดมั่นในศาสนาที่ตนนับถือ ไม่ลบหลู่ดูหมิ่นศาสนาอื่น

          3. ตั้งใจสั่งสอนศิษย์และปฏิบัติหน้าที่ของตน ให้เกิดผลดีด้วยความเอาใจใส่ อุทิศเวลาของตน ให้แก่ศิษย์ จะละทิ้งหรือทอดทิ้งหน้าที่การงานไม่ได้

          4. รักษาชื่อเสียงของตนมิให้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว ห้ามประพฤติการใด ๆ อันอาจทำให้เสื่อมเสียเกียรติและชื่อเสียงของครู

          5. ถือปฏิบัติตามระเบียบและแบบธรรมเนียมอันดีงามของสถานศึกษา และปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ซึ่งสั่งในหน้าที่การงานโดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบแบบแผนของสถานศึกษา

          6. ถ่ายทอดวิชาความรู้โดยไม่บิดเบือนและปิดบังอำพราง ไม่นำหรือยอมให้นำผลงานทางวิชาการของตนไปใช้ในทางทุจริตหรือเป็นภัยต่อมนุษย์ชาติ

          7. ให้เกียรติแก่ผู้อื่นทางวิชาการ โดยไม่นำผลงานของผู้ใดมาแอบอ้างเป็นผลงานของตน และไม่เบียดบังใช้แรงงานหรือนำผลงานของผู้อื่นไป เพื่อประโยชน์ส่วนตน

          8. ประพฤติตนอยู่ในความซื่อสัตย์สุจริต และปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความเที่ยงธรรมไม่แสวงหาประโยชน์สำหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ

          9. สุภาพเรียบร้อยประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ รักษาความลับของศิษย์ ของผู้ร่วมงานและของสถานศึกษา

          10. รักษาความสามัคคีระหว่างครูและช่วยเหลือกันในหน้าที่การงาน
 
รายชื่อประเทศที่มี วันครู

ประเทศที่มี วันครู ที่ไม่ใช่วันหยุด

          - อินเดีย วันครูตรงกับวันที่ 5 กันยายน
          - มาเลเซีย วันครูตรงกับวันที่ 16 พฤษภาคม
          - ตุรกี วันครูตรงกับวันที่ 24 พฤศจิกายน

ประเทศที่มี วันครู เป็นวันหยุด

          - แอลเบเนีย วันครูตรงกับวันที่ 7 มีนาคม
          - จีน วันครูตรงกับวันที่ 10 กันยายน
          - สาธารณรัฐเช็ก วันครูตรงกับวันที่ 28 มีนาคม
          - อิหร่าน วันครูตรงกับวันที่ 2 พฤษภาคม
          - ละตินอเมริกา วันครูตรงกับวันที่ 11 กันยายน
          - โปแลนด์ วันครูตรงกับวันที่ 14 ตุลาคม
          - รัสเซีย วันครูตรงกับวันที่ 5 ตุลาคม
          - สิงคโปร์ วันครูตรงกับวันที่ 1 กันยายน
          - สโลวีเนีย วันครูตรงกับวันที่ 28 มีนาคม
          - เกาหลีใต้ วันครูตรงกับวันที่ 15 พฤษภาคม
          - ไต้หวัน วันครูตรงกับวันที่ 28 กันยายน
          - ไทย วันครูตรงกับวันที่ 16 มกราคม
          - สหรัฐอเมริกา วันอังคารในสัปดาห์แรกที่เต็ม 7 วันในเดือนพฤษภาคม
          - เวียดนาม วันครูตรงกับวันที่ 20 พฤศจิกายน
         

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
-https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81-
- เว็บคลังปัญญาไทย
- สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
- -kroobannok.com-
- โรงเรียนศรีวิทยาปากน้ำ
- คุรุสภา สภาครูและบุคลกรทางการศึกษา
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 16, 2016, 01:26:44 pm
คำกล่าวไหว้ครู
-https://www.gotoknow.org/posts/441993-

(นำ) ปาเจราจริยาโหนติ คุณุตตรานุสาสกา
สวดทำนองสรภัญญะ
ข้าขอประณตน้อมสักการ(รับพร้อมกัน)

บูรพคณาจารย์ผู้กอรปประโยชน์ศึกษา
ทั้งท่านผู้ประสาทวิชา อบรมจริยา
แก่ข้าในกาลปัจจุบัน
ข้าขอเคารพอภิวันท์ ระลึกคุณอนันต์
ด้วยใจนิยมบูชา
ขอเดชกตเวทิตา อีกวิริยะพา
ปัญญาให้เกิดแตกฉาน
ศึกษาสำเร็จทุกประการ อายุยืนนาน
อยู่ในศีลธรรมอันดี
ให้ได้เป็นเกียรติเป็นศรี ประโยชน์ทวี
แก่ชาติและประเทศไทยเทอญ ฯ
(นำ) ปัญญาวุฒิกเร เต เต ทินโนวาเท นมามิหัง

ความหมาย
ปาเจราจริยา โหนติ คุณุตตรานุสาสกา
ครูอาจารย์เป็นผู้ทรงคุณอันประเสริฐยิ่ง เป็นผู้พร่ำสอนศิลปวิทยา
ปัญญาวุฒิ กเร เตเต ทินโนวาเท นมามิหัง
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมเหล่านั้น ผู้ให้โอวาท ผู้ทำให้ปัญญาเจริญ ข้าพเจ้าขอกราบไหว้ครูอาจารย์เหล่านั้นด้วยความเคารพ
..... อ่านต่อได้ที่: -https://www.gotoknow.org/posts/441993-

------------------------------------------


ปาเจราจริยาโหนติ
https://www.youtube.com/watch?v=s83ntWreSfs (https://www.youtube.com/watch?v=s83ntWreSfs)
-https://www.youtube.com/watch?v=s83ntWreSfs-
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 18, 2016, 10:41:04 pm
 看我兩條腿也能走路! 「羊堅強」克服天生殘缺
https://www.youtube.com/watch?v=cX3PNQtCWg4 (https://www.youtube.com/watch?v=cX3PNQtCWg4)
-https://www.youtube.com/watch?v=cX3PNQtCWg4-


ไม่มีใครที่เกิดมา ไม่พบอุปสรรค
แต่เมื่อพบอุปสรรค ต้องสู้ด้วยใจที่เกินร้อย
เพื่อฝ่าฟันให้ผ่านอุปสรรคไปให้ได้

เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคต่างๆครับ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 13, 2016, 10:17:46 pm
เพจอนุรักษ์เตือน หยุดปล่อยปลาซัคเกอร์ลงแม่น้ำอ้างทำบุญ ชี้สุดท้ายได้บาปแทน

-http://hilight.kapook.com/view/139443-

เพจอนุรักษ์เตือน หยุดปล่อยปลาซัคเกอร์ลงแม่น้ำอ้างทำบุญ ชี้มีสิทธิ์ทำปลาท้องถิ่นสูญพันธุ์เกลี้ยง สุดท้ายทำบุญได้บาปแทน

          เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2559 เฟซบุ๊ก BIG Trees มีการโพสต์ว่า ตอนนี้มีกระแสปล่อยปลาซัคเกอร์ หรือเอามาตั้งชื่อว่าเป็นปลาดำราหู เอาไว้ปล่อยปลาทำบุญ ซึ่งอาจจะส่งผลเสียในอนาคตต่อปลาท้องถิ่นไทยได้ เช่น ปลาสวาย ปลาดุก ปลาช่อน เป็นต้น เนื่องจากปลาซัคเกอร์นั้นไม่มีศัตรูทางธรรมชาติ ไม่ใช่ปลาท้องถิ่นในไทย น่าจะขยายพันธุ์ได้เร็ว สุดท้ายคนทำบุญได้บาป

 ด้านผู้ที่พบเห็นโพสต์ดังกล่าว ต่างแชร์ออกไปจำนวนมาก และตำหนิคนที่ทำแบบนี้ บางคนก็ได้นำเสนอประสบการณ์การเลี้ยงปลาซัคเกอร์ เอาไปรวมกับปลาดุก สุดท้ายปลาดุกโดนไล่กินจนเกือบหมด

รูปแรก
ข้อมูลและภาพจาก เฟซบุ๊ก BIG Trees
-https://www.facebook.com/BIGTreesProject/photos/a.108170959251978.9995.108170775918663/1035751926493872/?type=3-


รูปที่สอง
ภัยร้ายปลาซัคเกอร์
-http://m.pantip.com/topic/33843207-
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 17, 2016, 07:24:04 am
ขอลง  ชอบส่วนตัว ชอบในเรื่องของประวัติศาสตร์ครับ

กำเนิดอาณาจักรอยุธยา
-https://www.youtube.com/watch?v=DeiZ1m4pdFs-




วาระสุดท้ายอาณาจักรอยุธยา
-https://www.youtube.com/watch?v=dr82plLljOo-




ตำนานไทยรบพม่า ตอน สงครามยุทธหัตถี
-https://www.youtube.com/watch?v=lFt4aT-82k0-




เรื่องเล่า อาจารย์ยอด กรุงแตก
-https://www.youtube.com/watch?v=wHMcmq4CLZU-


.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 13, 2016, 09:24:50 pm
มาทำบุญงานกฐินสามัคคี

วันนี้ ผมอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ และ พระธาตุ มาถวายที่วัดวังขนายทายิการาม ต.วังขนาย อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ในงานกฐินสามัคคี วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน 2559

.
1.พระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (พระเสโทธาตุ) พระนาม สมณโคดม
.
2.พระธาตุพระสารีบุตรเถระเจ้า(ส่วนศีรษะ)
3.พระธาตุพระโมคคัลลานะเถระเจ้า(พระโลหิตธาตุ)
4.พระอานนท์เถระเจ้า(ส่วนหัวไหล่)
5.พระราหุลเถระเจ้า(ส่วนสมองและส่วนซี่โครง)
6.พระสิวลีเถระเจ้า(ส่วนแขน)
7.พระอุบาลีเถระเจ้า(ส่วนสมองและส่วนกระดูกสันหลัง)
8.พระอัญญาโกณฑัญญะเถระเจ้า(ส่วนกะโหลกศีรษะ)
9.พระอุปคุตเถระเจ้า(สรีระรางคารและไม่ทราบส่วน)
10.ธาตุสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี
11.พระเกสา(สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)
.
มาร่วมโมทนาบุญกันครับ

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 01, 2017, 11:45:36 am
.


พรปีใหม่ - ธงไชย แมคอินไตย์ [Official Lyric Video]
-https://www.youtube.com/watch?v=YHfvQHFZ9-U-
https://www.youtube.com/watch?v=YHfvQHFZ9-U (https://www.youtube.com/watch?v=YHfvQHFZ9-U)

.

เพลงพระราชนิพนธ์ พรปีใหม่ - ธงไชย แมคอินไตย์ และ วิโอเลต วอเทียร์ Ost.พรจากฟ้า【Official MV】
-https://www.youtube.com/watch?v=-ZoRz7bkd_Q-
https://www.youtube.com/watch?v=-ZoRz7bkd_Q (https://www.youtube.com/watch?v=-ZoRz7bkd_Q)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 31, 2017, 09:32:05 am
ลาทีปีเก่า
ทิ้งความทุกข์โศกต่างๆ ไปให้หมดครับ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 01, 2018, 08:42:00 am
สวัสดีปีใหม่ 2561
เริ่มต้นใหม่ ในเรื่องที่ดีๆ ให้กับตนเอง

#สวัสดีปีใหม่2561
#HappyNewYear2018
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 21, 2018, 08:23:38 am
องค์พยามัจจุราชเจ้า

ท่านเป็นผู้ที่มีหน้าที่ตัดสิน "กรรมดี" และ "กรรมชั่ว" ของผู้ที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด
.
ท่านมีผู้ช่วยก็คือ "ท่านนิริยบาล" ซึ่งมีทั้งหมด 8 ท่าน (เราๆท่านๆ น่าจะรู้จักกันในชื่อ ท่านสุวาน และ ท่านสุวรรณ ในภาพยนต์พยามัจจุราช)
และท่านยังมีบริวารที่เป็นผู้ที่ทำงานในหน้าที่ต่างๆ ก็คือ "ท่านยมทูต"
.
ผมเองเคยนำไปขอให้ครูบาอาจารย์ อัญเชิญองค์พยามัจจุราชเจ้า มาอธิษฐานจิตในวัตถุมงคลชุดนี้ และได้แจกให้กับพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ อีกหลายๆคนไปเยอะแล้ว
.
และที่สำคัญ ท่านบอกว่า ของๆท่าน กันผีกะเรวะราดได้ แต่กันคนของท่านไม่ได้ และหากมีวัตถุมงคลในชุดนี้ เหมือนกับเป็นสื่อถึงท่านโดยตรง และมีท่านยมทูตมาอยู่ด้วยครับ
.
โดยส่วนตัวผมเอง ผมไหว้ท่านด้วยน้ำ(เปล่า)เย็นและใส่น้ำแข็ง ในทุกวันอาทิตย์ ยกเว้นในวันอาทิตย์ไหนที่ผมติดภาระกิจอยู่ต่างจังหวัด ก็จะไม่ได้ไหว
.
ปกติในวันที่ผมไปทำงาน ผมห้อยคอไปด้วยเสมอ
แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ผมไปทำบุญ ผมอัญเชิญท่านไปด้วยทุกครั้งเช่นกัน
.
องค์พยามัจจุราชทั้งสององค์ (ที่ผมอัญเชิญห้อยไปทำงาน และที่ผมอัญเชิญไปด้วยในเวลาที่ผมไปทำบุญนั้น) ผมได้บรรจุก้อนดิน และเมล็ดข้าวสาร(ที่ผมเคยนำไปขอให้พระภิกษุรูปหนึ่ง อาราธนาพระแม่ธรณี , พระแม่คงคา และพระแม่โพสพ อธิษฐานจิต และก้อนดิน กับ เมล็ดข้าวสาร ก็เป็นสื่อถึง พระแม่ธรณี , พระแม่คงคา และพระแม่โพสพ ได้โดยตรงเช่นกัน ) บรรจุไว้ใต้ฐานองค์พยามัจจุราชด้วย ครับ
.
.
.
.
.
หลวงพ่อฤาษีลิงดำเล่าเรื่อง | ไปที่สำนักของท่านพญายมราช ตอนที่ 1
https://www.youtube.com/watch?v=S8tcEPLn8Rk (https://www.youtube.com/watch?v=S8tcEPLn8Rk)
.
.
.
หลวงพ่อฤาษีลิงดำเล่าเรื่อง | ไปที่สำนักของท่านพญายมราช ตอนที่ 2 (จบ)
https://www.youtube.com/watch?v=Wj-xW-i7foY (https://www.youtube.com/watch?v=Wj-xW-i7foY)
.
.
.
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรื่อง อเวจีมหานรก
https://www.youtube.com/watch?v=khDlAzlkzkk (https://www.youtube.com/watch?v=khDlAzlkzkk)
.
.
.
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรื่อง มหานรก 7 ขุม
https://www.youtube.com/watch?v=AKV2oAs0PbM (https://www.youtube.com/watch?v=AKV2oAs0PbM)
.
.
.
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เล่าเรื่องนรกขุมที่ 8 อเวจีมหานรก
https://www.youtube.com/watch?v=jrZbz48c_VM (https://www.youtube.com/watch?v=jrZbz48c_VM)
.
.
.
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรื่อง นรกต้นงิ้ว(สิมพลีนรก)
https://www.youtube.com/watch?v=FqJRlXuUkIE (https://www.youtube.com/watch?v=FqJRlXuUkIE)
.
.
.
ประวัติ " พญายมราช "
https://www.youtube.com/watch?v=LVlZTgrvG18 (https://www.youtube.com/watch?v=LVlZTgrvG18)
.
.
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 21, 2018, 08:25:48 am
องค์พยามัจจุราชเจ้า
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 21, 2018, 10:07:21 am
องค์พยามัจจุราชเจ้า
ท่านเป็นผู้ที่มีหน้าที่ตัดสิน "กรรมดี" และ "กรรมชั่ว" ของผู้ที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด
.
ท่านมีผู้ช่วยก็คือ "ท่านนิริยบาล" ซึ่งมีทั้งหมด 8 ท่าน (เราๆท่านๆ น่าจะรู้จักกันในชื่อ ท่านสุวาน และ ท่านสุวรรณ ในภาพยนต์พยามัจจุราช)
และท่านยังมีบริวารที่เป็นผู้ที่ทำงานในหน้าที่ต่างๆ ก็คือ "ท่านยมทูต"
.
ผมเองเคยนำไปขอให้ครูบาอาจารย์ อัญเชิญองค์พยามัจจุราชเจ้า มาอธิษฐานจิตในวัตถุมงคลชุดนี้ และได้แจกให้กับพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ อีกหลายๆคนไปเยอะแล้ว
.
และที่สำคัญ ท่านบอกว่า ของๆท่าน กันผีกะเรวะราดได้ แต่กันคนของท่านไม่ได้ และหากมีวัตถุมงคลในชุดนี้ เหมือนกับเป็นสื่อถึงท่านโดยตรง และมีท่านยมทูตมาอยู่ด้วยครับ
.
โดยส่วนตัวผมเอง ผมไหว้ท่านด้วยน้ำ(เปล่า)เย็นและใส่น้ำแข็ง ในทุกวันอาทิตย์ ยกเว้นในวันอาทิตย์ไหนที่ผมติดภาระกิจอยู่ต่างจังหวัด ก็จะไม่ได้ไหว
.
ปกติในวันที่ผมไปทำงาน ผมห้อยคอไปด้วยเสมอ
แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ผมไปทำบุญ ผมอัญเชิญท่านไปด้วยทุกครั้งเช่นกัน
.
องค์พยามัจจุราชทั้งสององค์ (ที่ผมอัญเชิญห้อยไปทำงาน และที่ผมอัญเชิญไปด้วยในเวลาที่ผมไปทำบุญนั้น) ผมได้บรรจุก้อนดิน และเมล็ดข้าวสาร(ที่ผมเคยนำไปขอให้พระภิกษุรูปหนึ่ง อาราธนาพระแม่ธรณี , พระแม่คงคา และพระแม่โพสพ อธิษฐานจิต และก้อนดิน กับ เมล็ดข้าวสาร ก็เป็นสื่อถึง พระแม่ธรณี , พระแม่คงคา และพระแม่โพสพ ได้โดยตรงเช่นกัน ) บรรจุไว้ใต้ฐานองค์พยามัจจุราชด้วย ครับ
ระมัดระวังในการสร้างกรรม
.
เพราะ กรรมนั้น ยุติธรรม และเที่ยงตรงเสมอ
.
ไม่มีเรื่องไหน ยุติธรรมเท่านี้อีกแล้วในโลกนี้
.
**********ไม่ว่ามีอำนาจหรือใหญ่แค่ไหน ไม่ว่ารวยล้นฟ้าเพียงใด ไม่มีใครหนีกรรมพ้น**********
.
&&&&& แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังหนีกรรมไม่พ้น &&&&&
.
.----------------------------------------------------------
.
(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=4658;image)
.
(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=4660;image)
.
(http://www.tairomdham.net/index.php?action=dlattach;topic=4172.0;attach=4662;image)
.
.
.
๑๑๕. บุพกรรมของพระพุทธเจ้า
https://www.youtube.com/watch?v=t5GPNZYYM-w (https://www.youtube.com/watch?v=t5GPNZYYM-w)
.
.
.
กรรมไม่ดีต่างๆที่ทำไว้ในอดีตยังส่งผลแม้เป็นพระพุทธเจ้า (พระอาจารย์สมบัติ นันทิโก)
https://www.youtube.com/watch?v=t5GPNZYYM-w (https://www.youtube.com/watch?v=t5GPNZYYM-w)
.
.
.
หลวงพ่อฤาษีลิงดำเล่าเรื่อง | ไปที่สำนักของท่านพญายมราช ตอนที่ 1
https://www.youtube.com/watch?v=S8tcEPLn8Rk (https://www.youtube.com/watch?v=S8tcEPLn8Rk)
.
.
.
หลวงพ่อฤาษีลิงดำเล่าเรื่อง | ไปที่สำนักของท่านพญายมราช ตอนที่ 2 (จบ)
https://www.youtube.com/watch?v=Wj-xW-i7foY (https://www.youtube.com/watch?v=Wj-xW-i7foY)
.
.
.
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรื่อง อเวจีมหานรก
https://www.youtube.com/watch?v=khDlAzlkzkk (https://www.youtube.com/watch?v=khDlAzlkzkk)
.
.
.
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรื่อง มหานรก 7 ขุม
https://www.youtube.com/watch?v=AKV2oAs0PbM (https://www.youtube.com/watch?v=AKV2oAs0PbM)
.
.
.
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เล่าเรื่องนรกขุมที่ 8 อเวจีมหานรก
https://www.youtube.com/watch?v=jrZbz48c_VM (https://www.youtube.com/watch?v=jrZbz48c_VM)
.
.
.
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรื่อง นรกต้นงิ้ว(สิมพลีนรก)
https://www.youtube.com/watch?v=FqJRlXuUkIE (https://www.youtube.com/watch?v=FqJRlXuUkIE)
.
.
.
ประวัติ " พญายมราช "
https://www.youtube.com/watch?v=LVlZTgrvG18 (https://www.youtube.com/watch?v=LVlZTgrvG18)
.
.
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 04, 2018, 03:14:45 pm
เรื่องดีๆ ที่อยากมาเล่าสู่กันฟัง
.
https://www.facebook.com/noom.sithiphong/posts/824689004384154 (https://www.facebook.com/noom.sithiphong/posts/824689004384154)
.
เรื่องของการบริจาค  ที่ไม่ใช่การบริจาคเงิน  แต่เป็นการบริจาคร่างกายของเรา ตอนที่เราไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้ว
การบริจาคที่ว่านั้น  มีอยู่ด้วยกัน 3 แบบ คือ
1.การบริจาคดวงตา
2.การบริจาคอวัยวะต่างๆในร่างกาย
3.การบริจาคร่างกาย (เป็นอาจารย์ใหญ่  เพื่อใช้ร่างกายของผู้บริจาคสอนเรื่องการแพทย์กับนิสิตแพทย์)
.
โดยส่วนตัวผม ปัจจุบันนี้ไปทำเรื่องบริจาคทั้ง 3 แบบแล้ว โดย
.
แบบที่ 1 #บริจาคดวงตา  ผมไปทำเรื่องบริจาคดวงตาที่ #สภากาชาดไทย เมื่อปี 2537
.
แบบที่ 2 #บริจาคอวัยวะ ผมไปทำเรื่องบริจาคอวัยวะทุกส่วนที่สามารถนำไปใช้ได้ ที่สภากาชาดไทย น่าจะมากกว่า 10 ปี
.
แบบที่ 3 #บริจาคร่างกาย (เป็นอาจารย์ใหญ่  เพื่อใช้ร่างกายของผู้บริจาคสอนเรื่องการแพทย์กับนิสิตแพทย์)  ผมไปมาวันที่ 4 เมษายน 2561 ที่ #คณะกายวิภาคศาสตร์ #โรงพยาบาลศิริราช
.
อยากมาอธิบายให้ทุกท่านรับทราบกัน ว่า ในกรณีที่ท่านบริจาคทั้ง 3 แบบ  ท่านต้องแจ้งให้กับ สามี หรือ ภรรยา หรือ ญาติที่ใกล้ชิดท่านว่า ท่านได้ดำเนินแจ้งความประสงค์ในการบริจาคแล้ว ขอให้ สามี หรือ ภรรยา หรือ ญาติที่ใกล้ชิดท่าน ช่วยดำเนินการให้ท่านหลังจากที่ท่านเสียชีวิตไปแล้ว และจะได้เป็นบุญกุศลกับทุกคนที่เกี่ยวข้อง
.
มาต่อกัน 
สำหรับการบริจาคในแบบที่ 1 การบริจาคดวงตา สามารถบริจาคร่วมกับแบบที่ 2 หรือ แบบที่ 3 ได้เสมอ
.
ส่วนการบริจาคในแบบที่ 2 บริจาคอวัยวะ หรือ แบบที่ 3 บริจาคร่างกาย  ต้องมีการเลือกว่า จะบริจาคในแบบไหน  สำหรับท่านที่บริจาคไว้ทั้งแบบที่ 2 และแบบที่ 3 
ในความเห็นส่วนตัวผม  หากอวัยวะของผู้บริจาค ยังสามารถที่จะช่วยเหลือผู้อื่นได้  แนะนำให้บริจาคอวัยวะ  แต่หากผู้บริจาคมีอายุเยอะ อวัยวะต่างๆเริ่มไม่ค่อยดี ให้บริจาคร่างกาย จะดีกว่า 
ในเรื่องที่จะเลือกบริจาคในแบบที่ 2 บริจาคอวัยวะ หรือ แบบที่ 3 บริจาคร่างกาย ผู้ที่บริจาคต้องอธิบายให้กับ สามี หรือ ภรรยา หรือ ญาติที่ใกล้ชิดท่าน ได้ทราบถึงรายละเอียดในเรื่องนี้ด้วย
.
เมื่อเราเสียชีวิตไปแล้ว จิต(วิญญาณ)ของเรา ไม่สามารถพาร่างกายไปได้  มีเพียง 2 เรื่องที่จิต(วิญญาณ)ของเราพาไปได้ก็คือ #บุญ และ #บาป เท่านั้น ครับ
.
ท่านใดต้องการแบบฟอร์มการบริจาคร่างกาย ผมสแกนมาเป็นไฟล์ PDF เรียบร้อยแล้ว หากท่านใดต้องการแบบฟอร์ม แจ้งผมมา ผมจะส่งให้ทาง Email ครับ
.
เวลาที่จะพิมพ์แบบฟอร์มออกมา  ให้พิมพ์ทั้งสองหน้าโดยให้อยู่ในแผ่นเดียวกัน  ทำทั้งหมด 2 ชุดแล้วส่งไปที่ ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ (รายละเอียดอยู่ด้านหน้า ที่เขียนว่า พินัยกรรมบริจาคร่างกาย) พร้อมทั้งสำเนาบัตรประชาชน 1 ใบ และรูปถ่ายหน้าตรงขนาด 1 นิ้ว หรือ 2 นิ้ว จำนวน 2 ใบ
.
เมื่อทางภาควิชากายวิภาคศาสตร์ฯ ได้รับเอกสารท่านแล้ว ก็จะส่งเอกสารขอบคุณและบัตรประจำตัวให้ท่านเก็บไว้ บัตรประจำตัว ทางภาควิชากายวิภาคศาสตร์บอกผมมาว่า ให้เก็บไว้ในกระเป๋าเงิน (แต่ผมว่า เก็บไว้ที่บ้าน น่าจะดีกว่า ผมกลัวทำหาย) ครับ
.
ส่วนการลงนามด้านหลัง (ตามไฟล์รูป)
ในข้อที่ 1. ผู้ทำพินัยกรรม และ ข้อที่ 4. ผู้เขียน ลงนามโดยผู้บริจาค
ในข้อที่ 2. ผู้แจ้งเมื่อถึงแก่กรรม ลงนามโดยสามี หรือ ภรรยา หรือ ญาติที่ใกล้ชิดท่าน
ส่วนในข้อที่ 3. พยาน  ลงนามโดยญาติที่ใกล้ชิดท่าน หรือเพื่อนของท่าน
.
ที่สำคัญมากๆอีกเรื่อง  ผู้ที่บริจาคดวงตา , บริจาคอวัยวะ และบริจาคร่างกาย  ต้องรักษาสุขภาพให้มากๆ  เพื่อให้ตนเองไม่เจ็บป่วย และ ให้คนอื่นเมื่อเราเสียชีวิตไปแล้ว ครับ
.
เมื่อเจ้ามา มีอะไร มาด้วยเจ้า เจ้าจะเอา แต่สุข สนุกไฉน
เมื่อเจ้ามา มือเปล่า จะเอาอะไร เจ้าก็ไป มือเปล่า เหมือนเจ้ามา
ยศและลาภ หาบไป ไม่ได้แน่ เว้นเสียแต่ ต้นทุน บุญกุศล
ทิ้งสมบัติ ทั้งหลาย ให้ปวงชน ร่างของตน เขายังเอา ไปเผาไฟ
อันความตาย ชายนารี หนีไม่พ้น จะมีจน ก็ต้องตาย วายเป็นผี
ถึงแสนรัก ก็ต้องร้าง ห่างทันที ไม่วันนี้ ก็วันหน้า จริงหนาเราฯ
คัดมาจากหนังสือคู่มือดับทุกข์.
.
เจ้ามามือเปล่า จะเอาอะไร
https://www.youtube.com/watch?v=ehO9F53WSn0 (https://www.youtube.com/watch?v=ehO9F53WSn0)
โพสโดย บ่าวอีสานบ้านนา Channel
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 22, 2018, 08:55:35 am
เรียนญาติธรรมทุกท่านค่ะ
ขออนุญาตประกาศบุญอันมีผลานิสงส์ยิ่ง เพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชาในวันวิสาขบูชาประจำปี 2561 นี้
.
ผ้าป่ามหาพุทธบูชา
ร่วมปิดงานสร้างและฉลองสมโภชน์ หลวงพ่อพระพุทธโสธรองค์ใหญ่
วัดห้วยมงคล หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
.
สำหรับท่านใดที่มีความประสงค์ที่จะร่วมทำบุญ (การทำบุญ จะทำบุญในส่วนที่ยังคงค้างในการสร้างทุกๆส่วน และแล้วแต่ทางหลวงพี่นิล และ พี่แอ๊ว จะดำเนินการนำเงินที่ร่วมทำบุญในครั้งนี้ ไปดำเนินการ) และรายละเอียดการร่วมทำบุญ รายละเอียดอยู่ด้านล่าง
ทำบุญได้ที่
บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 983-2-94326-4
ชื่อบัญชี นายสิทธิพงศ์ สงวนศักดิ์
บมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาเซ็นทรัลพลาซ่า พระราม 2
ระยะเวลาการร่วมทำบุญ
เริ่มต้นร่วมทำบุญ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป (วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม 2561)
สิ้นสุดการร่วมทำบุญ วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม 2561 เวลา 12.00 น.
หลังจากการสิ้นสุดระยะเวลาการร่วมทำบุญ หากยังมีการโอนเงินเข้ามา ผมถือว่า ให้เงินผมมาไปทำบุญแล้วแต่ว่า ผมจะไปทำบุญที่ไหนก็ได้ ครับ
ตามที่พระครูปภัสสรวรพินิจ เจ้าอาวาสวัดห้วยมงคล ร่วมกับคณะพุทธบริษัท ได้จัดสร้างหลวงพ่อพระพุทธโสธรองค์ใหญ่( 14.9×19.9 เมตร) ณ วัดห้วยมงคล หัวหิน โดยเริ่มดำเนินการมานับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2553 นั้น

ขณะนี้ การก่อสร้างทั้งโครงการเหลืองานอีกประมาณ 10% จะแล้วเสร็จ เพื่อให้ทันกำหนดการฉลองสมโภชน์ ในวันวิสาขบูชา ปี 2561 นี้

ในการนี้ พระอาจารย์นิลได้รับเมตตาจากท่านเจ้าอาวาสวัดห้วยมงคล ในการเป็นเจ้าภาพจัดเตรียมและอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและสิ่งมงคลอื่นๆ บรรจุไว้ ณ พระเกศ และพระอุระ ขององค์พระใหญ่

ขอเรียนเชิญญาติธรรมทั้งหลาย ร่วมเป็นเจ้าภาพกองบุญผ้าป่ามหาพุทธบูชา และร่วมในพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและสิ่งมงคลอื่นๆ บรรจุไว้ ณ พระเกศ และพระอุระ ของหลวงพ่อพระพุทธโสธรองค์ใหญ่ ในวันเสาร์ที่ 28 เมษายน 2561 ณ วัดห้วยมงคล หัวหิน

กองบุญมหาพุทธบูชาดังกล่าว ประกอบด้วย

ดอกบัว ชุดมหามงคลที่จะอัญเชิญบรรจุในองค์พระ

1. สมเด็จองค์ปฐมทองคำ (หล่อด้วยทองคำบริสุทธิ์ น.น.องค์ละ 5.5 บาท จำนวน 2 องค์
2.ผอบทองคำ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จำนวน 1 ผอบ
3.ชุดผ้าไตรจีวรไหมสีทองพิเศษ
4.เครื่องอัฐบริขาร 1 ชุด
5.พระไตรปิฎกพร้อมตู้ไม้สักทอง 1 ชุด
6.ชุดพานขอขมาพระ รัตนตรัย 1 พาน
.
ร่วมเป็นเจ้าภาพปิดงานก่อสร้างที่เหลืออยู่
ร่วมเป็นเจ้าภาพในการจัดงานฉลองสมโภชน์ในวันวิสาขะบูชา โดยมีพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ 999 รูป
.
สมเด็จองค์ปฐมทองคำ 2 องค์ /ผอบทองคำบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ 9 พระองค์ รับจากคุณทองดี หรรษคุณารมณ์ ประธานมูลริธิพระบรมธาตุ ในพระสังฆราชูปถัมภ์ เพื่ออัญเชิญบรรจุที่พระเกศและพระอุระ ขององค์พระใหญ่

กำหนดการ
    งานน้อมถวายพระบรมสารีริกธาตุ พระสมเด็จองค์ปฐมทองคำและสิ่งมงคลอื่นๆ บรรจุไว้ ณ พระเกศ และ ภายในองค์พระพุทธโสธรองค์ใหญ่ วัดห้วยมงคล หัวหิน

วันเสาร์ที่ 28 เมษายน 2561

06.00 น.

เริ่มพิธีบวงสรวง
โดยพระอาจารย์นิล

ขอขมาพระรัตนตรัยและกล่าวคำถวายพระบรมสารีริกธาตุ
สมเด็จองค์ปฐมทองคำ พร้อมสิ่งมงคลทั้งหลายทั้งปวง เพื่อเป็นพุทธบูชา แล้วเดินเวียนประทักษิณรอบองค์พระ 3 รอบ

พิธีบรรจุสิ่งมงคลภายในองค์พระใหญ่
พระสงฆ์สวดชยันโต

ถวายผ้าป่าแด่เจ้าอาวาสวัดห้วยมงคล

เสร็จพิธี

งานพิธีมหามงคลครั้งนี้ พระอาจารย์นิลได้ขออนุญาตท่านเจ้าอาวาสวัดห้วยมงคล จัดขึ้นเป็นกรณีพิเศษ เพื่อการน้อมถวายบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและพระทองคำ รวมทั้งสิ่งมงคลทั้งหลาย ในองค์พระใหญ่ ก่อนหน้างานฉลองสมโภชน์ ซึ่งทางวัดจะจัดขึ้น ในวันวิสาขบูชา คือวันที่ 29 พ.ค. 2561

พิธีการเริ่มในเวลาเช้ามาก เนื่องจาก พระอาจารย์นิล ต้องเข้าไปในองค์พระ จนถึงส่วนพระเกศ เพื่อบรรจุสิ่งมงคลทั้งหลาย และในองค์พระถูกปิดทึบทั้งหมด เหลือแต่ช่องทางเข้าเล็กๆ ที่เจาะไว้พอลอดได้ และมีบันไดให้ขึ้นไปถึงข้างบน หากเริ่มสายมาก อากาศที่ร้อน จะทำให้ภายในองค์พระร้อนมาก เพราะเป็นทองเหลืองทั้งองค์

ดังนั้นเพื่อถนอมธาตุขันธ์พระอาจารย์นิล จึงใช้เวลาที่แดดยังไม่ร้อนแรงมากค่ะ

ขอขอบคุณพี่แอ๊ว ที่แจ้งงานบุญให้ทราบกันครับ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 22, 2018, 08:56:17 am
ผมร่วมทำบุญ ผ้าป่ามหาพุทธบูชา ร่วมปิดงานสร้างและฉลองสมโภชน์ หลวงพ่อพระพุทธโสธรองค์ใหญ่ วัดห้วยมงคล หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
จำนวนเงิน 500 บาท

มาร่วมโมทนาบุญกันครับ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 22, 2018, 09:49:51 am
มาลงให้อ่านกันอีกรอบ
.
เรื่องของวิธีการทำบุญ ว่า ทำบุญได้กี่วิธี
.
ส่วนเรื่องที่นอกเหนือจากวิธีการทำบุญที่ผมลง  นั่นหมายความว่า ไม่ใช่วิธีการทำบุญ
.
และเรื่องบอกกันมาว่า แชร์แล้วจะโชคดี แชร์แล้วจะร่ำรวย แชร์แล้วจะถูกหวย หรือ แชร์แล้วจะดีอย่างโน้น อย่างนี้  เรื่องนี้ไม่เคยมีในโลกนี้  และไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
.
หรือ บูชาเครื่องรางของขลังต่างๆ ตามที่โฆษณาแล้วจะร่ำรวย เรื่องนี้ก็ไม่เคยมีในโลกนี้ และไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
.
ระวังจะ #ตกเป็นเหยื่อ #ทางการตลาด
ระวังจะไปร่วมกระทำกรรมและส่งเสริมที่คนอื่นในการทำกรรมเรื่อง #มุสาวาท
.
ในหลายๆเรื่องที่เราต้องการในปัจจุบัน หากเราไม่ทำไว้ในกาลก่อน (การทำบุญ) ต่อให้เราบูชาเครื่องรางของขลังอย่างไร และ/หรือ  ไปไหว้พระพุทธรูปทุกวัดทั่วโลก  และ/หรือ ไปไหว้เทวรูปทั่วโลก  (เป็นต้น)  เราก็จะไม่ได้ในสิ่งที่เราต้องการ
.
เรื่องของการทำบุญ
ให้ทำบุญไว้ ทำไว้ก่อนที่เราจะเสียชีวิต (ผมแนะนำว่า ทำบุญครั้งละน้อยๆ แต่ให้ทำทุกวัน ทำตามกำลังของตนเอง)
ดีกว่าที่จะไปขอส่วนบุญกับบุคคลอื่นๆ(ไม่ว่าบุคคลนั้นๆ จะเป็นญาติหรือไม่ก็ตาม)
.
ปกติผมเองทำบุญเกือบทุกวัน  เมื่อทำบุญแล้วก็กรวดน้ำทันที
วิธีการทำบุญของผม  (หากท่านใดจะนำไปทำตาม ผมยินดีครับ)
ผมมีกล่องอยู่ 3 กล่อง ที่ไว้นำเงินหยอดลงในกล่อง เพื่อไว้ทำบุญตามเจตนาของผม
กล่องที่ 1 ทำบุญทุกๆเรื่องที่เกี่ยวกับพระสงฆ์
กล่องที่ 2 ทำบุญกับ มูลนิธิในพระราชูปถัมภ์ ของรัชกาลที่ 9 หรือ รัชกาลที่ 10 หรือ สมเด็จพระเทพฯ
กล่องที่ 3 ทำบุญเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และสัตว์(ที่เดือนร้อน)
.
เงินที่ทำบุญมาทั้งสามกล่อง ผมได้เปิดบัญชีไว้ 3 บัญชี เพื่อนำเงินที่ผมทำบุญ  นำไปเข้าบัญชีไว้ครับ
.
เมื่อไหร่ที่มีงานบุญ เราสามารถโอนเงินจากบัญชีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆได้ตลอดเวลาครับ
.
เมื่อท่านมีงานทำบุญ ได้โอนเงินไปร่วมทำบุญ  ท่านสามารถกรวดน้ำได้อีก  กรวดน้ำทุกๆครั้งที่ได้ทำบุญ ครับ
.
ที่มา https://www.facebook.com/noom.sithiphong (https://www.facebook.com/noom.sithiphong)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 27, 2018, 09:09:57 pm
ผ้าป่ามหาพุทธบูชา
ร่วมปิดงานสร้างและฉลองสมโภชน์ หลวงพ่อพระพุทธโสธรองค์ใหญ่
วัดห้วยมงคล หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
.
.
ผมได้ดำเนินการโอนเงินที่ทุกท่านได้ร่วมทำบุญมาจำนวน 2,150.-บาท
โอนเงินเข้าบัญชีพระอาจารย์นิลเมื่อสักพักนี้แล้ว
ขอโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ
.
.
ผมเองไม่ได้ไปงานบุญนี้ เนื่องจากติดภาระกิจส่วนตัว  รู้สึกเสียดายมากครับ
.
.
กองบุญมหาพุทธบูชาดังกล่าว ประกอบด้วย

ดอกบัว ชุดมหามงคลที่จะอัญเชิญบรรจุในองค์พระ

1. สมเด็จองค์ปฐมทองคำ (หล่อด้วยทองคำบริสุทธิ์ น.น.องค์ละ 5.5 บาท จำนวน 2 องค์
2.ผอบทองคำ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จำนวน 1 ผอบ
3.ชุดผ้าไตรจีวรไหมสีทองพิเศษ
4.เครื่องอัฐบริขาร 1 ชุด
5.พระไตรปิฎกพร้อมตู้ไม้สักทอง 1 ชุด
6.ชุดพานขอขมาพระ รัตนตรัย 1 พาน
.
ร่วมเป็นเจ้าภาพปิดงานก่อสร้างที่เหลืออยู่
ร่วมเป็นเจ้าภาพในการจัดงานฉลองสมโภชน์ในวันวิสาขะบูชา โดยมีพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ 999 รูป
.
สมเด็จองค์ปฐมทองคำ 2 องค์ /ผอบทองคำบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ 9 พระองค์ รับจากคุณทองดี หรรษคุณารมณ์ ประธานมูลริธิพระบรมธาตุ ในพระสังฆราชูปถัมภ์ เพื่ออัญเชิญบรรจุที่พระเกศและพระอุระ ขององค์พระใหญ่

กำหนดการ
งานน้อมถวายพระบรมสารีริกธาตุ พระสมเด็จองค์ปฐมทองคำและสิ่งมงคลอื่นๆ บรรจุไว้ ณ พระเกศ และ ภายในองค์พระพุทธโสธรองค์ใหญ่ วัดห้วยมงคล หัวหิน

วันเสาร์ที่ 28 เมษายน 2561

06.00 น.

เริ่มพิธีบวงสรวง
โดยพระอาจารย์นิล

ขอขมาพระรัตนตรัยและกล่าวคำถวายพระบรมสารีริกธาตุ
สมเด็จองค์ปฐมทองคำ พร้อมสิ่งมงคลทั้งหลายทั้งปวง เพื่อเป็นพุทธบูชา แล้วเดินเวียนประทักษิณรอบองค์พระ 3 รอบ

พิธีบรรจุสิ่งมงคลภายในองค์พระใหญ่
พระสงฆ์สวดชยันโต

ถวายผ้าป่าแด่เจ้าอาวาสวัดห้วยมงคล

เสร็จพิธี

งานพิธีมหามงคลครั้งนี้ พระอาจารย์นิลได้ขออนุญาตท่านเจ้าอาวาสวัดห้วยมงคล จัดขึ้นเป็นกรณีพิเศษ เพื่อการน้อมถวายบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและพระทองคำ รวมทั้งสิ่งมงคลทั้งหลาย ในองค์พระใหญ่ ก่อนหน้างานฉลองสมโภชน์ ซึ่งทางวัดจะจัดขึ้น ในวันวิสาขบูชา คือวันที่ 29 พ.ค. 2561

พิธีการเริ่มในเวลาเช้ามาก เนื่องจาก พระอาจารย์นิล ต้องเข้าไปในองค์พระ จนถึงส่วนพระเกศ เพื่อบรรจุสิ่งมงคลทั้งหลาย และในองค์พระถูกปิดทึบทั้งหมด เหลือแต่ช่องทางเข้าเล็กๆ ที่เจาะไว้พอลอดได้ และมีบันไดให้ขึ้นไปถึงข้างบน หากเริ่มสายมาก อากาศที่ร้อน จะทำให้ภายในองค์พระร้อนมาก เพราะเป็นทองเหลืองทั้งองค์

ดังนั้นเพื่อถนอมธาตุขันธ์พระอาจารย์นิล จึงใช้เวลาที่แดดยังไม่ร้อนแรงมากค่ะ

ขอขอบคุณพี่แอ๊ว ที่แจ้งงานบุญให้ทราบกันครับ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 28, 2018, 07:50:06 pm
งานพิธี ผ้าป่ามหาพุทธบูชา
ร่วมปิดงานสร้างและฉลองสมโภชน์ หลวงพ่อพระพุทธโสธรองค์ใหญ่
วัดห้วยมงคล หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
.
วันเสาร์ที่ 28 เมษายน 2561
.
ขอขอบคุณรูปและคลิปวีดีโอ จากน้องสาวของพี่แอ๊วครับ
.
ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่านที่มีส่วนในงานบุญนี้ทุกท่านครับ
.
https://www.facebook.com/noom.sithiphong/posts/835915509928170 (https://www.facebook.com/noom.sithiphong/posts/835915509928170)
.
--------------------------------------

เรียนญาติธรรมทุกท่านค่ะ
ขออนุญาตประกาศบุญอันมีผลานิสงส์ยิ่ง เพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชาในวันวิสาขบูชาประจำปี 2561 นี้
.
ผ้าป่ามหาพุทธบูชา
ร่วมปิดงานสร้างและฉลองสมโภชน์ หลวงพ่อพระพุทธโสธรองค์ใหญ่
วัดห้วยมงคล หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
.
สำหรับท่านใดที่มีความประสงค์ที่จะร่วมทำบุญ (การทำบุญ จะทำบุญในส่วนที่ยังคงค้างในการสร้างทุกๆส่วน และแล้วแต่ทางหลวงพี่นิล และ พี่แอ๊ว จะดำเนินการนำเงินที่ร่วมทำบุญในครั้งนี้ ไปดำเนินการ) และรายละเอียดการร่วมทำบุญ รายละเอียดอยู่ด้านล่าง
ทำบุญได้ที่
บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 983-2-94326-4
ชื่อบัญชี นายสิทธิพงศ์ สงวนศักดิ์
บมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาเซ็นทรัลพลาซ่า พระราม 2
ระยะเวลาการร่วมทำบุญ
เริ่มต้นร่วมทำบุญ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป (วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม 2561)
สิ้นสุดการร่วมทำบุญ วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม 2561 เวลา 12.00 น.
หลังจากการสิ้นสุดระยะเวลาการร่วมทำบุญ หากยังมีการโอนเงินเข้ามา ผมถือว่า ให้เงินผมมาไปทำบุญแล้วแต่ว่า ผมจะไปทำบุญที่ไหนก็ได้ ครับ
ตามที่พระครูปภัสสรวรพินิจ เจ้าอาวาสวัดห้วยมงคล ร่วมกับคณะพุทธบริษัท ได้จัดสร้างหลวงพ่อพระพุทธโสธรองค์ใหญ่( 14.9×19.9 เมตร) ณ วัดห้วยมงคล หัวหิน โดยเริ่มดำเนินการมานับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2553 นั้น

ขณะนี้ การก่อสร้างทั้งโครงการเหลืองานอีกประมาณ 10% จะแล้วเสร็จ เพื่อให้ทันกำหนดการฉลองสมโภชน์ ในวันวิสาขบูชา ปี 2561 นี้

ในการนี้ พระอาจารย์นิลได้รับเมตตาจากท่านเจ้าอาวาสวัดห้วยมงคล ในการเป็นเจ้าภาพจัดเตรียมและอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและสิ่งมงคลอื่นๆ บรรจุไว้ ณ พระเกศ และพระอุระ ขององค์พระใหญ่

ขอเรียนเชิญญาติธรรมทั้งหลาย ร่วมเป็นเจ้าภาพกองบุญผ้าป่ามหาพุทธบูชา และร่วมในพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและสิ่งมงคลอื่นๆ บรรจุไว้ ณ พระเกศ และพระอุระ ของหลวงพ่อพระพุทธโสธรองค์ใหญ่ ในวันเสาร์ที่ 28 เมษายน 2561 ณ วัดห้วยมงคล หัวหิน

กองบุญมหาพุทธบูชาดังกล่าว ประกอบด้วย

ดอกบัว ชุดมหามงคลที่จะอัญเชิญบรรจุในองค์พระ

1. สมเด็จองค์ปฐมทองคำ (หล่อด้วยทองคำบริสุทธิ์ น.น.องค์ละ 5.5 บาท จำนวน 2 องค์
2.ผอบทองคำ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จำนวน 1 ผอบ
3.ชุดผ้าไตรจีวรไหมสีทองพิเศษ
4.เครื่องอัฐบริขาร 1 ชุด
5.พระไตรปิฎกพร้อมตู้ไม้สักทอง 1 ชุด
6.ชุดพานขอขมาพระ รัตนตรัย 1 พาน
.
ร่วมเป็นเจ้าภาพปิดงานก่อสร้างที่เหลืออยู่
ร่วมเป็นเจ้าภาพในการจัดงานฉลองสมโภชน์ในวันวิสาขะบูชา โดยมีพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ 999 รูป
.
สมเด็จองค์ปฐมทองคำ 2 องค์ /ผอบทองคำบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ 9 พระองค์ รับจากคุณทองดี หรรษคุณารมณ์ ประธานมูลริธิพระบรมธาตุ ในพระสังฆราชูปถัมภ์ เพื่ออัญเชิญบรรจุที่พระเกศและพระอุระ ขององค์พระใหญ่

กำหนดการ
งานน้อมถวายพระบรมสารีริกธาตุ พระสมเด็จองค์ปฐมทองคำและสิ่งมงคลอื่นๆ บรรจุไว้ ณ พระเกศ และ ภายในองค์พระพุทธโสธรองค์ใหญ่ วัดห้วยมงคล หัวหิน

วันเสาร์ที่ 28 เมษายน 2561

06.00 น.

เริ่มพิธีบวงสรวง
โดยพระอาจารย์นิล

ขอขมาพระรัตนตรัยและกล่าวคำถวายพระบรมสารีริกธาตุ
สมเด็จองค์ปฐมทองคำ พร้อมสิ่งมงคลทั้งหลายทั้งปวง เพื่อเป็นพุทธบูชา แล้วเดินเวียนประทักษิณรอบองค์พระ 3 รอบ

พิธีบรรจุสิ่งมงคลภายในองค์พระใหญ่
พระสงฆ์สวดชยันโต

ถวายผ้าป่าแด่เจ้าอาวาสวัดห้วยมงคล

เสร็จพิธี

งานพิธีมหามงคลครั้งนี้ พระอาจารย์นิลได้ขออนุญาตท่านเจ้าอาวาสวัดห้วยมงคล จัดขึ้นเป็นกรณีพิเศษ เพื่อการน้อมถวายบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและพระทองคำ รวมทั้งสิ่งมงคลทั้งหลาย ในองค์พระใหญ่ ก่อนหน้างานฉลองสมโภชน์ ซึ่งทางวัดจะจัดขึ้น ในวันวิสาขบูชา คือวันที่ 29 พ.ค. 2561

พิธีการเริ่มในเวลาเช้ามาก เนื่องจาก พระอาจารย์นิล ต้องเข้าไปในองค์พระ จนถึงส่วนพระเกศ เพื่อบรรจุสิ่งมงคลทั้งหลาย และในองค์พระถูกปิดทึบทั้งหมด เหลือแต่ช่องทางเข้าเล็กๆ ที่เจาะไว้พอลอดได้ และมีบันไดให้ขึ้นไปถึงข้างบน หากเริ่มสายมาก อากาศที่ร้อน จะทำให้ภายในองค์พระร้อนมาก เพราะเป็นทองเหลืองทั้งองค์

ดังนั้นเพื่อถนอมธาตุขันธ์พระอาจารย์นิล จึงใช้เวลาที่แดดยังไม่ร้อนแรงมากค่ะ

ขอขอบคุณพี่แอ๊ว ที่แจ้งงานบุญให้ทราบกันครับ
.
https://www.facebook.com/noom.sithiphong/posts/833683176818070 (https://www.facebook.com/noom.sithiphong/posts/833683176818070)
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 20, 2018, 05:54:17 pm
มาเชิญชวนทุกๆท่าน ที่สามารถไปบริจาคเลือดได้

.

ไปบริจาคเลือดกัน  ครับ

.-------------------------------------------------.

อานิสงส์บริจาคโลหิตเป็นทาน

หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง ตอบปัญหาธรรม


ผู้ถาม :- “ทีนี้การ บริจาคโลหิตเป็นทาน นั้น อยากจะเรียนถามว่าเป็นทานขั้นไหนครับ…?”


หลวงพ่อ :- “เขาเรียกว่า ทานภายใน นะ จะถือว่าเป็นปรมัตถทานก็ยังไม่ได้ เขาเรียกทานภายใน คือให้ของภายในกายนี่เป็น ทานภายใน ให้ของนอกกายเขาเรียก ทานภายนอก นะ ยังจะถือว่าเป็นปรมัตถทานไม่ได้นะ ถ้าเป็นปรมัตถทานต้องอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านทำ”


ผู้ถาม :- “เป็นยังไงครับหลวงพ่อ…?”


หลวงพ่อ :- “เชือดเนื้อเอาไปเลี้ยงเขาเลย”


ผู้ถาม :- “ถึงขนาดนั้นเชียวหรือครับ…?”


หลวงพ่อ :- “ใช่ นั่นเป็น ปรมัตถทาน เราถือว่าเป็นปกติทานก็แล้วกัน แต่เป็นทานภายในเพราะอานิสงส์สูงมาก อาจจะสูงกว่าทานภายนอกสักหน่อยหนึ่งนะ”


ผู้ถาม :- “แล้ว การบริจาคโลหิต กับ การอุทิศร่างกายให้กับโรงพยาบาล เป็นทาน อันไหนมีอานิสงส์มากกว่ากันครับ…?”


หลวงพ่อ :- “อุทิศเลือดให้ขณะยังไม่ตายมีอานิสงส์สูงกว่าเมื่อตายแล้ว ตายแล้วเหมือนของเขาทิ้งแล้ว ร่างกายใช้อะไรไม่ได้ มีประโยชน์เพียงแค่วัตถุทาน จะให้มีอานิสงส์สูงเท่ากับให้เลือดตอนมีชีวิตอยู่นั้นไม่ได้แน่ ใช่ไหม…


ดูอย่างพระพุทธเจ้าเมื่อสมัยเป็นพระเวสสันดร ตอนนั้นที่คนเขามาขอช้างหรือของต่าง ๆ พระองค์ก็คิดว่าทำไมไม่ขอดวงตา ถ้าขอท่านก็จะให้ ไม่ว่าจะเป็นแขนซ้ายหรือแขนขวาก็จะให้ นี่ท่านตั้งใจให้ตอนมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ตอนตายแล้ว ฉะนั้นถ้าให้ได้ก็เป็นปรมัตถบารมี


ผู้ถาม :- “ทีนี้ถ้าจะบริจาคร่างกายให้นักศึกษาแพทย์เขาศึกษาต่อเมื่อเราตายแล้ว แต่อธิฐานไว้ว่า “ตายเมื่อไรขอพ้นจากวัฏฏสงสาร” อย่างนี้จะมีโอกาสไม่ให้มาเกิดอีกใช่หรือเปล่าครับ…?”


หลวงพ่อ :- “ถ้าเวลาจะตายนะ จิตตัดกิเลสแน่นอน ไม่อยากมาเกิดอีก หรือเมื่อนั้นเมื่อเวลาจะตาย จิตตัดความรักในระหว่างเพศ ตัดความโกรธ ก็ไม่มาเกิดอีก มันไม่แน่นะ เดาส่งไม่ได้ มันเฉพาะจิตใช่ไหม…จะเดาไม่ได้ แต่บังเอิญก่อนที่จะตาย เวลานี้ทรงอารมณ์ของพระโสดาบันได้นะ และก็ตัดสินใจไว้เสมอทุกเช้าว่า “ร่างกายนี้ตายเมื่อไร ขอไปนิพพานเมื่อนั้น” อันนี้จิตทรงตัวแน่นอน อย่างนี้ไปได้ทันที”


จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๔ หน้า ๗๖-๗๗

พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)

ที่มา https://luangporblog.wordpress.com/2014/08/02/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B9%8C%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87/ (https://luangporblog.wordpress.com/2014/08/02/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B9%8C%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87/)

------------------------------

ทานที่ยิ่งใหญ่!! "การบริจาคโลหิต" อานิสงส์ของการที่ได้เสียสละเลือดเนื้อเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ถือเป็นทานขั้นสูง ได้ผลบุญมากนักแล!!!

การบริจาคโลหิตนั้นถือเป็นการทำทานให้แก่เพื่อนมนุษย์ เป็นการแบ่งปันที่ได้ผลกุศลที่ยิ่งใหญ่ อานิสงส์ของการบริจาคโลหิตนั้นมากมายแค่ไหนมาดูกัน


      การบริจาคโลหิตหรือการให้เลือดนั้น ถือเป็นการทำทานในขั้นอุปบารมี ที่ทำได้ยากกว่าการสร้างทานบารมีแบบปกติทั่วไป เพราะการให้เลือดเนื้อของตัวเองเป็นทาน ถือเป็นทานขั้นสูงที่มีผลมาก ซึ่งผู้บริจาคจะได้รับอานิสงส์ ดังต่อไปนี้


ประการแรก ด้วยอานิสงส์ที่ได้เสียสละเลือดสละเนื้อ ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ทำได้ยาก ให้แก่เพื่อนมนุษย์ที่กำลังได้รับความเดือดร้อน จะทำให้ผู้บริจาคโลหิตมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง มีอวัยวะครบถ้วนสมบูรณ์ทั้ง 32 ประการ ร่างกายจะสมส่วนเหมาะแก่การประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่มีส่วนใดขาดส่วนใดเกิน และจะไม่เจ็บป่วยไข้ด้วยโรคภัยใดๆ



ประการที่สอง ด้วยอานิสงส์ที่ได้เสียสละเลือดสละเนื้อ ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ทำได้ยาก ให้แก่เพื่อนมนุษย์ที่กำลังได้รับความเดือดร้อน จะทำให้ผู้บริจาคโลหิตเป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย และไม่ว่าจะเดินทางไปที่แห่งใด ก็จะมีแต่คนรัก มีแต่คนเมตตา และเป็นที่ต้อนรับในทุกที่ทุกสถาน จะเหยียบย่างไป ณ ที่แห่งหนตำบลใด ก็จะแคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวง


ประการที่สาม ด้วยอานิสงส์ที่ได้เสียสละเลือดสละเนื้อ ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ทำได้ยาก ให้แก่เพื่อนมนุษย์ที่กำลังได้รับความเดือดร้อน จะทำให้ผู้บริจาคโลหิตมีสติปัญญาที่เฉียบแหลมมากกว่ามนุษย์ทั่วไป อีกทั้งจะทำให้เป็นผู้ที่มีร่างกายและจิตใจที่สมบูรณ์มากกว่าคนทั่วไป



ประการที่สี่ ด้วยอานิสงส์ที่ได้เสียสละเลือดสละเนื้อ ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ทำได้ยาก ให้แก่เพื่อนมนุษย์ที่กำลังได้รับความเดือดร้อน จะทำให้ผู้บริจาคโลหิตมีดวงตาเห็นธรรม และทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้โดยง่ายอีกด้วย


ถ้าเราอ่านเรื่องโบราณๆ จะพบว่าบางคนมีแรงมาก ขนาดชักคะเย่อกับช้างได้ หรือแม้ที่สุดกับคนหนุ่มฉกรรจ์ประเภททหารเกณฑ์ขนาด 1 ต่อ 100 ก็ยังชักคะเย่อชนะ ให้ปล้ำต่อสู้กับเสือ ยังหักคอเสือได้ พวกที่แข็งแรงอย่างนี้เป็นเพราะกำลังบุญจากอดีตที่เคยบริจาคโลหิตเป็นทานนั่นเอง


หมายเหตุ สำหรับอานิสงส์ทั้งสี่ประการที่ได้กล่าวมาข้างต้นนี้ ถือเป็นการกล่าวอานิสงส์เพียงคร่าวๆเท่านั้น เพราะแท้ที่จริงแล้ว ยังมีรายละเอียดมากกว่านี้อีกมากมาย แต่ด้วยเวลาที่มีจำกัด คงต้องยกเอาอานิสงส์หลักๆมาให้ทราบกันแต่เพียงเท่านี้


 


ที่มาจาก : เพจ พระศรีอาริยเมตไตรย


    เรียบเรียงโดย

    เสาวลักษณ์ แสงสุวรรณ

ที่มา http://www.tnews.co.th/contents/319186 (http://www.tnews.co.th/contents/319186)

.----------------------------------------------.

การบริจาคเลือด ได้บุญและมีผลดีอย่างไร

https://www.youtube.com/watch?v=4zTfu2EnvUE (https://www.youtube.com/watch?v=4zTfu2EnvUE)

.

อานิสงส์การบริจาคโลหิต จากตอบปัญหา หลวงพ่อฤาษี ลิงดำ วัดท่าซุง อุทัยธานี

https://www.youtube.com/watch?v=U9qAIQL4pmQ (https://www.youtube.com/watch?v=U9qAIQL4pmQ)

.

สร้างกุศล ส่งบุญ ด้วยการบริจาคโลหิต - โตโยต้า บัสส์

https://www.youtube.com/watch?v=U23C3Ur7HBk (https://www.youtube.com/watch?v=U23C3Ur7HBk)

.

หนึ่งคนให้ หลายคนรับ (บริจาคเลือด)

https://www.youtube.com/watch?v=MRMUN-u9jOU (https://www.youtube.com/watch?v=MRMUN-u9jOU)

.

5 กรรม บริจาคโลหิต

https://www.youtube.com/watch?v=aNomYDQyK2Y (https://www.youtube.com/watch?v=aNomYDQyK2Y)

.
ประโยชน์ของการบริจาคโลหิต - Animation

https://www.youtube.com/watch?v=HsbVy0t5ONI (https://www.youtube.com/watch?v=HsbVy0t5ONI)

.

ข้อควรปฏิบัติก่อนและหลังบริจาคโลหิต งานธนาคารเลือด โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่

https://www.youtube.com/watch?v=btS1dn33IqY (https://www.youtube.com/watch?v=btS1dn33IqY)

.

บริจาคโลหิตทุก 3 เดือน

https://www.youtube.com/watch?v=1sEnkYCKG3s (https://www.youtube.com/watch?v=1sEnkYCKG3s)

.

อยากบริจาคเลือด ต้องเตรียมตัวอย่างไร?

https://www.youtube.com/watch?v=JurPFO0wFE8 (https://www.youtube.com/watch?v=JurPFO0wFE8)

.

Social Scan ต้องงดอาหาร...ก่อนบริจาคโลหิต ชัวร์หรือมั่ว ? - Springnews

https://www.youtube.com/watch?v=h6blxDXB80k (https://www.youtube.com/watch?v=h6blxDXB80k)

.

กาชาดแจงสิทธิประโยชน์ผู้บริจาคโลหิต

https://www.youtube.com/watch?v=rYia8VDegA4 (https://www.youtube.com/watch?v=rYia8VDegA4)

.

ผู้รอดชีวิตจากการรับบริจาคเลือด

https://www.youtube.com/watch?v=waoUcFrh4UA (https://www.youtube.com/watch?v=waoUcFrh4UA)

.

กบนอกกะลา REPLAY : เลือดหนึ่งคนให้หลายคนรับ ช่วงที่ 1/4 (25 ก.พ. 48)

https://www.youtube.com/watch?v=j7WpP9ipBCU (https://www.youtube.com/watch?v=j7WpP9ipBCU)

กบนอกกะลา REPLAY : เลือดหนึ่งคนให้หลายคนรับ ช่วงที่ 2/4 (25 ก.พ. 48)

https://www.youtube.com/watch?v=9eCXv1d2W7o (https://www.youtube.com/watch?v=9eCXv1d2W7o)

กบนอกกะลา REPLAY : เลือดหนึ่งคนให้หลายคนรับ ช่วงที่ 3/4 (25 ก.พ. 48)

https://www.youtube.com/watch?v=OZL4oiDdruY (https://www.youtube.com/watch?v=OZL4oiDdruY)

กบนอกกะลา REPLAY : เลือดหนึ่งคนให้หลายคนรับ ช่วงที่ 4/4 (25 ก.พ. 48)

https://www.youtube.com/watch?v=23QdQD7Oy9Q (https://www.youtube.com/watch?v=23QdQD7Oy9Q)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 29, 2018, 08:37:43 am
วันวิสาขบูชา
ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖
ความหมาย คำว่า "วิสาขบูชา" หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญเดือน ๖ วิสาขบูชา ย่อมาจาก " วิสาขปุรณมีบูชา " แปลว่า " การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ " ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหน ก็เลื่อนไปเป็นกลางเดือน ๗
ความสำคัญ วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญยิ่งทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ คือเกิด ได้ตรัสรู้ คือสำเร็จ ได้ปรินิพพาน คือ ดับ เกิดขึ้นตรงกันทั้ง ๓ คราวคือ
๑. เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูติที่พระราชอุทยานลุมพินีวัน ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับเทวทหะ เมื่อเช้าวันศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีจอ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี
๒. เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าเมื่อพระชนมายุ ๓๕ พรรษา ณ ใต้ร่มไม้ศรีมหาโพธิ์ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ในตอนเช้ามืดวันพุธ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีระกา ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี หลังจากออกผนวชได้ ๖ ปี ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้แห่งนี้เรียกว่า พุทธคยา เป็นตำบลหนึ่งของเมืองคยา แห่งรัฐพิหารของอินเดีย
๓. หลังจากตรัสรู้แล้ว ได้ประกาศพระศาสนา และโปรดเวไนยสัตว์ ๔๕ ปี พระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา ก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน เมื่อวันอังคาร ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเส็ง ณ สาลวโนทยาน ของมัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ (ปัจจุบันอยู่ในเมืองกุสีนคระ แคว้นอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย)
นับว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง ที่เหตุการณ์ทั้ง ๓ เกี่ยวกับวิถีชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีช่วงระยะเวลาห่างกันนับเวลาหลายสิบปี บังเอิญเกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือน ๖ ดังนั้นเมื่อถึงวันสำคัญ เช่นนี้ ชาวพุทธทั้งคฤหัสถ์ และบรรพชิตได้พร้อมใจกันประกอบพิธีบูชาพระพุทธองค์เป็นการพิเศษ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณ พระปัญญาธิคุณ และพระบริสุทธิคุณ ของพระองค์ท่านผู้เป็นดวงประทีปของโลก
ประวัติความเป็นมาของวันวิสาขบูชาในประเทศไทย
วันวิสาขบูชานี้ ปรากฏตามหลักฐานว่า ได้มีมาตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ซึ่งสันนิษฐานว่า คงจะได้แบบอย่าง มาจากลังกา กล่าวคือ เมื่อประมาณ พ.ศ. ๔๒๐ พระเจ้าภาติกุราช กษัตริย์แห่งกรุงลังกา ได้ประกอบพิธีวิสาขบูชาอย่าง มโหฬาร เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา กษัตริย์ลังกาในรัชกาลต่อ ๆ มา ก็ทรงดำเนินรอยตาม แม้ปัจจุบันก็ยังถือปฏิบัติอยู่
สมัยสุโขทัยนั้น ประเทศไทยกับประเทศลังกามีความสัมพันธ์ด้านพระพุทธศาสนาใกล้ชิดกันมากเพราะพระสงฆ์ชาวลังกา ได้เดินทางเข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนา และเชื่อว่าได้นำการประกอบพิธีวิสาขบูชามาปฏิบัติในประเทศไทยด้วย
ในหนังสือนางนพมาศได้กล่าวบรรยากาศการประกอบพิธีวิสาขบูชาสมัยสุโขทัยไว้ พอสรุปใจความได้ว่า
" เมื่อถึงวันวิสาขบูชา พระเจ้าแผ่นดิน ข้าราชบริพาร ทั้งฝ่ายหน้า และฝ่ายใน ตลอดทั้งประชาชนชาวสุโขทัยทั่วทุก หมู่บ้านทุกตำบล ต่างช่วยกันทำความสะอาด ประดับตกแต่งพระนครสุโขทัยเป็นการพิเศษ ด้วยดอกไม้ของหอม จุดประทีปโคมไฟแลดูสว่างไสวไปทั่วพระนคร เป็นการอุทิศบูชาพระรัตนตรัย เป็นเวลา ๓ วัน ๓ คืน พระมหากษัตริย์ และบรมวงศานุวงศ์ ก็ทรงศีล และทรงบำเพ็ญพระราชกุศลต่างๆ ครั้นตกเวลาเย็น ก็เสด็จพระราช ดำเนิน พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ และนางสนองพระโอษฐ์ต ลอดจนข้าราชการทั้งฝ่ายหน้า และฝ่ายใน ไปยังพระ อารามหลวง เพื่อทรงเวียนเทียนรอบพระประธาน
ส่วนชาวสุโขทัยชวนกันรักษาศีล ฟังธรรมเทศนา ถวายสลากภัต ถวายสังฆทาน ถวายอาหารบิณฑบาต แด่พระภิกษุ สามเณรบริจาคทรัพย์แจกเป็นทานแก่คนยากจน คนกำพร้า คนอนาถา คนแก่ คนพิการ บางพวกก็ชวนกันสละทรัพย์ ปล่อยสัตว์ ๔ เท้า ๒ เท้า และเต่า ปลา เพื่อชีวิตสัตว์ให้เป็นอิสระ โดยเชื่อว่าจะทำให้คนอายุ ยืนยาวต่อไป "
ในสมัยอยุธยา สมัยธนบุรี และสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ด้วยอำนาจอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ เข้าครอบงำประชาชนคนไทย และมีอิทธิพลสูงกว่าอำนาจของพระพุทธศาสนา จึงไม่ปรากฎหลักฐานว่า ได้มีการประกอบพิธีบูชาในวันวิสาขบูชา จนมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. ๒๓๖๐) ทรงดำริกับ สมเด็จพระสังฆราช (มี) สำนักวัดราชบูรณะ มีพระราชประสงค์จะให้ฟื้นฟู การประกอบพระราชพิธีวันวิสาขบูชาขึ้นใหม่ โดย สมเด็จพระสังฆราช ถวายพระพรให้ทรงทำขึ้น เป็นครั้งแรกในวันขึ้น ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๖ พ.ศ. ๒๓๖๐ และให้จัดทำตามแบบอย่างประเพณีเดิมทุกประการ เพื่อมีพระประสงค์ให้ประชาชนประกอบการบุญการกุศล เป็นหนทางเจริญอายุ และอยู่เญ็นเป็นสุขปราศจากทุกข์โศกโรคภัย และอุปัทวันตรายต่างๆ โดยทั่วหน้ากัน
ฉะนั้น การประกอบพิธีในวันวิสาขบูชาในประเทศไทย จึงได้รื้อฟื้นให้มีขึ้นอีกครั้งหนึ่งในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ และถือปฏิบัติมาจวบจนกระทั่งปัจจุบัน
การจัดงานเฉลิมฉลองในวันวิสาขบูชาที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกยุคทุกสมัย คงได้แก่การจัดงานเฉลิมฉลอง วันวิสาขบูชา พ.ศ.๒๕๐๐ ซึ่งทางราชการเรียกว่างาน " ฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ " ตั้งแต่วันที่ ๑๒ ถึง ๑๘ พฤษภาคม รวม ๗ วัน ได้จัดงานส่วนใหญ่ขึ้นที่ท้องสนามหลวง ส่วนสถานที่ราชการ และวัดอารามต่างๆ ประดับธงทิวและโคมไฟสว่างไสวไปทั่วพระ ราชอาณาจักร ประชาชนถือศีล ๕ หรือศีล ๘ ตามศรัทธาตลอดเวลา ๗ วัน มีการอุปสมบทพระภิกษุสงฆ์รวม ๒,๕๐๐ รูป ประชาชน งดการฆ่าสัตว์ และงดการดื่มสุรา ตั้งแต่วันที่ ๑๒ ถึง ๑๔ พฤษภาคม รวม ๓ วัน มีการก่อสร้าง พุทธมณฑล จัดภัตตาหาร เลี้ยงพระภิกษุสงฆ์วันละ ๒,๕๐๐ รูป ตั้งโรงทานเลี้ยงอาหารแก่ประชาชน วันละ ๒๐๐,๐๐๐ คน เป็นเวลา ๓ วัน ออกกฎหมาย สงวนสัตว์ป่าในบริเวณนั้น รวมถึงการฆ่าสัตว์ และจับสัตว์ในบริเวณวัด และหน้าวัดด้วย และได้มีการปฏิบัติธรรมอันยิ่งใหญ่ อย่างพร้อมเพรียงกัน เป็นกรณีพิเศษ ในวันวิสาขบูชาปีนั้นด้วย
ห ลั ก ธ ร ร ม สำ คั ญ ที่ ค ว ร นำ ม า ป ฏิ บั ติ
๑. ค ว า ม ก ตั ญ ญู คือความรู้อุปการคุณที่มีผู้ทำไว่ก่อน เป็นคุณธรรมคู่กับความกตเวที คือ การตอบแทนอุปการคุณที่ผู้อื่นทำไว้นั้น
• บิดามารดา มีอุปการคุณแก่ลูก ในฐานะผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูจนเติบโต ให้การศึกษาอบรมสั่งสอน ให้เว้นจากความชั่ว มั่นคงในการทำความดี เมื่อถึงคราวมีคู่ครองได้จัดหาคู่ครองที่เหมาะสมให้ และมอบทรัพย์สมบัติให้ไว้เป็นมรดก
• ลูกเมื่อรู้อุปการะคุณที่บิดามารดาทำไว้ ย่อมตอบแทนด้วยการประพฤติตัวดี สร้างชื่อเสียงให้ แก่วงศ์ตระกูล เลี้ยงดูท่าน และช่วยทำงานของ ท่าน และเมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่าน
• ครูอาจารย์มีอุปการคุณแก่ศิษย์ ในฐานะเป็นผู้ประสาทความรู้ให้ ฝึกฝนแนะนำให้เป็นคนดี สอนศิลปวิทยาให้อย่างไม่ปิดบังยกย่องให้ปรากฎแก่คนอื่น และช่วยคุ้มครองให้ศิษย์ทั้งหลาย
• ศิษย์เมื่อรู้อุปการคุณที่ครูอาจารย์ทำไว้ ย่อมตอบแทนด้วยการตั้งใจเรียน ให้เกียรติ และให้ความเคารไม่ล่วงละเมิดโอวาทของครู
• ความกตัญญูและความกตเวทีนี้ ถือว่าเป็นเครื่องหมายของคนดี ส่งผลให้ครอบครัว และสังคมมีความสุขได้เพราะ บิดามารดาจะรู้จักหน้าที่ของตนเอง ด้วยการทำอุปการคุณให้ก่อน และลูกก็จะรู้จักหน้าที่ของตนเองด้วยการทำดีตอบแทน
• นอกจากบิดากับลูก และครูอาจารย์กับศิษย์แล้ว คุณธรรมข้อนี้ก็สามารถนำไปใช้ได้แม้ระหว่าง นายจ้างกับลูกจ้าง อันจะส่งผลให้สังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข
• ในทางพระพุทธศาสนาพระพุทธเจ้า ทรงเป็นบุพการรีในฐานะที่ทรงสถาปนาพระพุทธศาสนา และทรงสอนทางพ้นทุกข์ให้แก่เวไนยสัตว์
• พุทธศาสนิกชน รู้พระคุณอันนี้จึงตอบแทนด้วยอามิสบูชาและปฎิบัติบูชากล่าวคือการจัดกิจกรรม ในวันวิสาขบูชา เป็นส่วนหนึ่งที่ชาวพุทธแสดงออก ซึ่งความกตัญญูกตเวที ต่อพระองค์ด้วยการทำนุ บำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนา และประพฤติปฎิบัติธรรม เพื่อดำรงอายุพระพุทธศาสนาสืบไป
๒. อ ริ ย สั จ ๔
อริยสัจ ๔ คือ ความจริงอันประเสริฐ หมายถึงความจริงของชีวิตที่ไม่ผันแปร เกิดมีได้แก่ทุกคน มี ๔ ประการ คือ
• ทุกข์ ได้แก่ปัญหาของชีวิตพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ก็เพื่อให้ทราบว่ามนุษย์ทุกคนมีทุกข์เหมือนกัน ทั้งทุกข์ขั้นพื้นฐาน และทุกข์เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตประจำวัน ทุกข์ขั้นพื้นฐานคือทุกข์ที่เกิดจาก การเกิด การแก่ และการตาย ส่วนทุกข์ที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตประจำวัน คือทุกข์ที่เกิด จากการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ทุกข์ที่เกิดจากการประสบกันสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก ทุกข์ที่เกิดจากไม่ได้ตั้งใจปรารถนา รวมทั้งทุกข์ที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตด้านต่างๆ อาทิความ ยากจน
• สมุทัย คือ เหตุแห่งปัญหาพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ก็เพื่อให้ทราบว่า ทุกข์ทั้งหมดซึ่งเป็นปัญหา ของชีวิตล้วนมีเหตุให้เกิดเหตุนั้น คือ ตัญหา อันได้แก่ความอยากได้ต่างๆ ซึ่งประกอบไปด้วยความยึดมั่น
• นิโรธ คือ การแก้ปัญหาได้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ก็เพื่อให้ทราบว่า ทุกข์คือปัญหาของชีวิต ทั้งหมดที่สามารถแก้ไข ได้นั้นต้องแก้ไขตามทางหรือวิธีแก้ ๘ ประการ ( ดูมัชฌิมาปฎิปทา )
• มรรค การปฏิบัติเพื่อจำกัดทุกข์ เพื่อหลุดพ้นจากทุกข์ การปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหา เพื่อบรรลุเป้าหมายการแก้ปัญหาที่ต้องการ
๓. ค ว า ม ไ ม่ ป ร ะ ม า ท
ความไม่ประมาทคือ การมีสติเสมอทั้ง ขณะทำขณะพูด และขณะคิด สติคือการระลึกได้ ในภาคปฎิบัติเพื่อนำ มาใช้ในชีวิตประจำวัน หมายถึง การระลึกรู้ทันการเคลื่อนไหว ของอริยาบท ๔ คือ เดิน ยืน นั่ง นอน การฝึกให้เกิดสติทำได้โดยตั้งสติกำหนดการเคลื่อนไหวของอริยาบท กล่าวคือ ระลึกทันทั้งในขณะ ยืน เดิน นั่ง และนอน รวมทั้ง ระลึกรู้ทัน ในขณะพูดคิด และขณะทำงานต่างๆ เมื่อทำได้อย่างนี้ก็ชื่อว่า มีความไม่ประมาท
การทำงานต่างๆ สำเร็จได้ก็ด้วยความไม่ประมาท กล่าวคือผู้ทำย่อมต้องมีสติระลึกรู้อยู่ว่า ตนเองเป็นใครมีหน้าที่อะไร และกำลังทำอย่างไร หากมีสติระลึกรู้ได้อย่างนั้น ก็ย่อมไม่ผิดพลาด
วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญสากลของสหประชาชาติคือ
"วันสำคัญของโลก" ( Vesak Day )
ภูมิหลัง
๑. ในการประชุม International Buddhist Conference ณ กรุงโคลัมโบ ระหว่างวันที่ ๙ - ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๑ ซึ่งมีผู้แทนจากประเทศที่นับถือศาสนาพุทธจำนวนมากเข้าร่วม อาทิ บังคลาเทศ จีน ลาว เกาหลีใต้ เวียดนาม ภูฐาน อินโดนีเซีย เนปาล กัมพูชา อินเดีย ปากีสถาน และไทย ได้ตกลงกันที่จะเสนอให้สมัชชาสหประชาชาติรับรองข้อมติประกาศวัน วิสาขบูชาให้เป็นวันหยุดของสหประชาชาติ
๒. ในการเยือนของประเทศต่างๆ ในอินโดจีนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศศรีลังกา ในปี ๒๕๔๒ ก็ได้มีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นหารือ และได้รับการสนับสนุนจากประเทศต่างๆ ได้ด้วยดี
๓. คณะทูตถาวรศรีลังกาประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์กได้จัดเตรียมร่างข้อมติ และได้ขอเสียงสนับสนุนจากประเทศต่าง ๆ เพื่อให้มีการรับรองข้อมติเรื่องการประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดของสหประชาชาติในที่ประชุมสมัชชา สหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ ๕๔
๔. โดยที่สหประชาชาติประกาศวันหยุดเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว และจะเป็นปัญหาในเรื่องงบประมาณและการบริหารแก่ สหประชาชาติ หากประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุด ศรีลังกาจึงได้ตัดสินใจที่จะเสนอร่างข้อมติ ขอให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญสากลที่สหประชาชาติ ทั้งที่สำนักงานใหญ่ และสำนักงานต่าง ๆ แทนการเสนอให้เป็นวันหยุดซึ่ง ออท. ผู้แทนถาวรประเทศต่าง ๆ รวม ๑๖ ประเทศ ได้แก่ ศรีลังกา บังคลาเทศ ภูฐาน กัมพูชา ลาว มัลดีฟส์ มองโกเลีย พม่า เนปาล ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ สเปน อินเดีย ไทย และยูเครน ได้ร่วมลงนามในหนังสือถึงประธานสมัชชาฯ เพื่อให้นำเรื่องวันวิสาขบูชาเข้าเป็นระเบียบวาระการประชุมของสมัชชาฯ
๕. ต่อมาเมื่อ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ General Committee ของสมัชชาฯ ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าว โดย ออท.ผู้แทน ถาวรศรีลังกาได้กล่าวถ้อยแถลงสนับสนุนหนังสือร้องขอให้ที่ประชุมบรรจุระเบียบวาระดังกล่าว เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสมัชชาเต็มคณะ ออท.ผู้แทนถาวรไทย อินเดีย สเปน บังคลาเทศ ปากีสถาน ไซปรัส ลาว และภูฐาน ได้กล่าวถ้อย แถลงสนับสนุน ซึ่งที่ประชุม General Committee ได้มีมติให้บรรจุเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของสมัชชาเต็มคณะ
ปัจจุบัน
๑. เมื่อ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๔๒ ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ ๕๔ ได้พิจารณาระเบียบวาระที่ ๑๗๔ International recognition of the Day of Visak โดยการเสนอของศรีลังกา
๒. ในการพิจารณา ประธานสมัชชาฯ ได้เชิญผู้แทนศรีลังกาขึ้นกล่าวนำเสนอร่างข้อมติ และเชิญผู้แทนไทย สิงคโปร์ บังคลาเทศ ภูฐาน สเปน พม่า เนปาล ปากีสถาน อินเดียขึ้นกล่าวถ้อยแถลง สรุปความว่า วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก เพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ ทรงตรัสรู้ เสด็จดับขันธปรินิพพาน พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้มวลมนุษย์มีเมตตาธรรมและขันติธรรม ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพื่อให้เกิดสันติสุขในสังคม อันเป็นแนวทางของ สหประชาชาติ จึงขอให้ที่ประชุมรับรองข้อมตินี้ ซึ่งเท่ากับเป็นการรับรองความสำคัญของพุทธศาสนาในองค์การสหประชาชาติ โดยถือว่าวันดังกล่าวเป็นที่สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติและที่ทำการสมัชชาจะจัดให้มีการระลึกถึง (observance) ตามความเหมาะสม
๓. ที่ประชุมฯ ได้รับรองร่างข้อมติโดยฉันทามติ
เหตุผลที่ องค์การสหประชาชาติหนดให้ วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญของโลก
เนื่องจากคณะกรรมมาธิการองค์การสหประชาชาติ ได้ร่วมพิจารณาและมีมติเห็นพ้องต้องกันประกาศให้วันวิสาขบูชา ถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของโลกทั้งนี้ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ทรงเป็นมหาบุรุษผู้ให้ความเมตตาต่อหมู่มวล มนุษย์ทั้งหลายในโลก จะเห็นได้จากการยกเลิกแบ่งชนชั้นวรรณะ ซึ่งเท่ากับเป็นการเลิกทาสโดยไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อ นอกจากนี้พระองค์ยังทรงเป็นนักอนุรักษ์สัตว์ป่าอีกด้วย กล่าวคือ ทรงสอนให้ไม่ฆ่าสัตว์ ให้รู้จักช่วยเหลือสัตว์ เหตุผลสำคัญ อีกประการหนึ่งคือ พระองค์ทรงเปิดโอกาสให้ทุกศาสนาสามารถเข้ามาศึกษาพุทธศาสนาเพื่อพิสูจน์หาข้อเท็จจริงได้ โดย ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธและทรงสั่งสอนทุกคนโดยใช้ปัญญาธิคุณสอนโดยไม่คิดค่าตอบแทน
เรียบเรียงจาก ความรู้เกี่ยวกับวันสำคัญไทย (เสฐียรโกเศศ และ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) ,๒๕๔๑ : ๓๙ - ๕๙)
ที่มา http://www.dhammathai.org/day/visaka.php (http://www.dhammathai.org/day/visaka.php)
-------------------------------------------------------
เพลงวันวิสาขบูชา
https://www.youtube.com/watch?v=iMteZaY_tIE (https://www.youtube.com/watch?v=iMteZaY_tIE)
มือพิณฮ้างๆ
เผยแพร่เมื่อ 18 พ.ย. 2014
-------------------------------------------------------
เพลง วันวิสาขบูชา
https://www.youtube.com/watch?v=xWnMMBYegoM (https://www.youtube.com/watch?v=xWnMMBYegoM)
จิรญา จำเริญ
เผยแพร่เมื่อ 20 ก.พ. 2014
-------------------------------------------------------
เพลงธรรมะ - วันวิสาขบูชา (ลูกทุ่ง)
https://www.youtube.com/watch?v=fr-stfINtD8 (https://www.youtube.com/watch?v=fr-stfINtD8)
Neeranuch Aonsroiy
เผยแพร่เมื่อ 7 มิ.ย. 2016
-------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 20, 2018, 08:26:47 pm
งานบุญ การสร้างพระพุทธรูป  "พระพุทธยมก ปาฎิหาริย์"

ในวันพุธที่ 27 มิถุนายน 2561 เวลา 11.30 น.

#วัดป่าภัทรปิยาราม
ตำบลโคกตูม อ.เมือง จ.ลพบุรี

การร่วมทำบุญ
เริ่มต้นวันที่ 20 มิถุนายน 2561 เวลาในขณะที่แจ้งให้ทราบ(ตามเวลาของไลน์ หรือ เฟสบุ๊ค หรือ อินเตอร์เน็ต)
สิ้นสุดการร่วมทำบุญ วันที่ 26 มิถุนายน 2561 เวลา 12.00 น.

การร่วมทำบุญ

บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 983-2-94326-4
ชื่อบัญชี นายสิทธิพงศ์ สงวนศักดิ์
บมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาเซ็นทรัล พลาซา พระราม 2

สำหรับท่านใดที่โอนเงินมาทำบุญหลังเวลาที่สิ้นสุดการร่วมทำบุญ  ผมขออนุญาตนำไปทำบุญในวาระอื่นๆต่อไป

สำหรับท่านใดว่าง  ไม่มีภาระกิจที่ไหน  ขอเชิญร่วมงานได้ที่วัดป่าภัทรปิยารามกันครับ
ผมเองไปไม่ได้ ติดงาน  งานในช่วงใกล้ๆสิ้นเดือนหรือสิ้นเดือน งานเยอะมากครับ

ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยครับ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 05, 2018, 08:13:21 pm
การร่วมทำบุญในวาระการสร้างองค์หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร เพื่อแสดงกตัญญุตาสามัคคีธรรมต่อองค์หลวงปู่ฯ ในครั้งนี้
.
1.ร่วมเป็นเจ้าภาพการสร้างองค์หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร และวิหาร ที่ประดิษฐานองค์หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร ซึ่งจะประดิษฐานองค์หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร ที่อาศรมศรีชัยรัตนโคตร
.
องค์หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดรที่จะสร้างในครั้งนี้  คือ หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า หรือ หลวงปู่อิเกสาโร หรือ หลวงปู่โลกอุดร องค์ที่ 3 ในคณะโลกอุดร(คณะพระธรรมทูต คณะโสณะ-อุตระ) ทุกชื่อ คือหลวงปู่องค์เดียวกัน
.
2.ร่วมทำบุญสร้างวิหาร ที่ประดิษฐานสมเด็จองค์ปฐม ที่อาศรมศรีชัยรัตนโคตร
.
3.ร่วมทำบุญในเรื่องต่างๆ แล้วแต่ความประสงค์ของพระอาจารย์นิล ท่านต้องการที่จะนำไปทำบุญในส่วนอื่นๆ
สามารถร่วมทำบุญ โดยโอนเข้าบัญชีได้
.
บัญชีเลขที่ 983-2-94326-4
ชื่อบัญชี นายสิทธิพงศ์ สงวนศักดิ์
บมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาเซ็นทรัล พลาซา พระราม 2
.
เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2561 เวลาในปัจจุบันที่ลงในเฟสบุ๊ค และ ไลน์
.
สิ้นสุดวันที่ 18 กรกฎาคม 2561 เวลา 12.00 น.
.
หากมีการโอนเงินเข้ามาบัญชีข้างต้น หลังจากเวลาที่สิ้นสุดการรับบริจาค ผมถือว่า ท่านได้มอบเงินให้ผม  ไปทำบุญในวาระอื่นๆ ตามแต่ความประสงค์ของผม
.
ขอโมทนาบุญในทุกบุญกับทุกๆท่านที่ได้ร่วมทำบุญในวาระงานบุญนี้
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด  งานนี้ผมตั้งใจไปร่วมงานครับ
.
ผมมีพระวังหน้ามอบให้  แต่ขอให้ไปดูได้ที่ เฟส หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร & พระวังหน้า
ตามลิงค์นี้ https://www.facebook.com/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-1503999719890625/ (https://www.facebook.com/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-1503999719890625/)
////////////////////////////////////////////////////////
รายละเอียดที่พี่แอ๊วได้แจ้งผมมา ด้านล่าง ครับ
เรียนญาติธรรมทุกท่านค่ะ
.
ขออนุญาตแจ้งข่าวกิจกรรมอันเป็นกุศลยิ่งของอาศรมศรีชัย รัตนโคตร ในวาระอันใกล้นี้ คือ
การหล่อรูปเปรียบรูปเหมือน หลวงปู่พระเทพโลกอุดร องค์ใหญ่ (ประมาณ 2.5 เมตร พร้อมฐาน)
.
ในวันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม 2561 เวลา 13.00 น.
ณ โรงหล่อพระสมบุญไฟน์อาร์ต อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา
.
โดยได้รับความเมตตาจากพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก) เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี
.
และพระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ) ประธานสงฆ์วัดใหม่ปลายห้วย จ.พิจิตร
.
เป็นประธานร่วมกันในการอธิษฐานจิตเพื่อหล่อองค์หลวงปู่พระเทพโลกอุดรครั้งนี้
.
รูปปั้นต้นแบบ โดยนายช่างปัทม์ บุณยรังคะ ผู้ปั้นองค์นารายณ์กวนเกษียรสมุทร ที่สนามบินสุวรรณภูมิ
.
การหล่อรูปเปรียบรูปเหมือนหลวงปู่พระเทพโลกอุดร ในครั้งนี้    ถือเป็นวาระที่ สำคัญยิ่งอีกวาระหนึ่ง เป็นโอกาสในการแสดงกตัญญุตาสามัคคีธรรมต่อองค์ พระอริยสงฆ์ ผู้อยู่เหนือกาลเวลา ผู้ที่แม้ว่าจะเข้าพระนิพพานได้นานแล้ว แต่ได้เสียสละในการอฐิษฐานเพื่อทรงอยู่แห่งกายทิพย์กายธรรม ในการดูแลพระธรรมวินัย ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อส่งถึงสิ้นพุทธันดร
.
ในการนี้ พระอาจารย์นิลได้เตรียมการในการก่อสร้างมณฑปหลวงปู่พระเทพโลกอุดร ณ อาศรมศรีชัยรัตนโคตร เพื่อเป็นที่ประดิษฐานรูปเปรียบรูปเหมือนขององค์หลวงปู่ใหญ่ ไว้เป็นที่เคารพสักการะ เป็นสังฆานุสสติที่พึ่งที่ระลึกแก่เหล่าพุทธบริษัทในการปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์สิ้นเชื้อ
ดังนั้น โครงการสร้างมณฑปและรูปเปรียบรูปเหมือนหลวงปู่พระเทพโลกอุดร จึงเป็นมหากุศลวิหารทานเป็นปีที่สอง ของอาศรมศรีชัยรัตนโคตร ต่อเนื่องจากวิหารสมเด็จองค์ปฐม ซึ่งใกล้แล้วเสร็จ
.
และในวาระแห่งกาลกฐิน ประจำปี 2561 นี้ ขอเชิญท่านร่วมเป็นเจ้าภาพกองกฐินสามัคคี เพื่อรวบรวมปัจจัยในการน้อมถวายงานวิหารทาน แด่องค์หลวงปู่พระเทพโลกอุดร โดยพระอาจารย์นิล ได้กราบขออนุญาตองค์หลวงปู่ในการจัดสร้างรูปเปรียบรูปเหมือนของท่าน ขนาด 5 นิ้ว 3 นิ้ว และ ขนาดจิ๋วสำหรับห้อยคอ เพื่อมอบเป็นพระของขวัญมงคล แก่เจ้าภาพทั้งหลายด้วย
.
ขอบคุณพี่แอ๊ว ที่ได้แจ้งข่าวงานบุญนี้ให้ทราบ
.
รูปสงวนลิขสิทธิ์
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 09, 2018, 04:31:25 pm
มา #บริจาคโลหิต
.
และร่วมทำบุญ #บริจาคเงิน เพื่อใช้ใน #กิจการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ #สภากาชาดไทย ในการ #ซื้ออุปกรณ์ ใช้ใน #การบริจาคเลิด #ถุงบรรจุโลหิต ฯลฯ เป็นต้น)
.
มาร่วม #โมทนาบุญ กันครับ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 06, 2018, 08:41:13 pm
#งานกฐิน ที่ #อาศรมศรีชัยรัตนโคตร
ต.ธาตุนาเวง อ.เมือง จ.#สกลนคร
วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน 2561
.
#พี่แอ๊ว แจ้งมาในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2561 (18.29 น.)
ขอประกาศ #ยอดเงินกฐินทั้งหมด ของอาศรมศรีชัยรัตนโคตร ประจำปี 2561ค่ะ
จำนวน 4,212,590.34 บาท
(สี่ล้านสองแสนหนึ่งหมื่นสองพันห้าร้อยเก้าสิบบาทสามสิบสี่สตางค์)
.
#ชมรมพระวังหน้า และ #กลุ่มไลน์พระวังหน้า เป็น #ประธานกฐิน 1 กอง
ขอโมทนาบุญกับทุกท่านด้วย
.
ในงานกฐิน ผมถวาย #พระอุปคุตเถระเจ้า หน้าตัก 9 นิ้วด้วย
.
ส่วนตัวผม ผมถวาย #พระอุปคุตขนาดห้อยคอของวังหน้า ที่ #หลวงปู่พระอุปคุตอธิษฐานจิต
.
#หลวงปู่ทวดสร้างยุครัชกาลที่4 ที่ #หลวงปู่ทวด ท่าน #มาอธิษฐานจิตที่วังหน้า #มาเป็นกายเนื้อ
.
#ไม้ครูของวังหน้า ที่ #หลวงปู่อิเกสาโร #อธิษฐานจิต
.
และ #ไม้เท้าครุฑยุดนาคของวังหน้า ที่ #องค์ศรีสุทโธนาคราช และ #พยาครุฑ อธิษฐานจิต
.
แด่ #หลวงพี่นิล
มาโมทนาบุญร่วมกันครับ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 21, 2018, 07:57:39 pm
ชอบมากครับ
เรื่องนี้ สอนหลายๆเรื่อง รวมทั้งเรื่อง #พ่อแม่รังแกฉัน
ขอบคุณบทความดีๆ ครับ
*******************************
พอลล่า พอลล่าไวท์
14 พฤศจิกายน เวลา 18:56 น.
.
#บ้านติดกันที่ฉันเห็นมา...
.
บ้านหลังแรก...
ขายอาหารตามสั่ง
บ้านอีกหลังติดกัน ให้เช่าวีดีโอ
.
บ้านอาหารตามสั่งมีลูกคนนึง
บ้านให้เช่าวีดีโอ ก็มีลูกรุ่นราวคราวเดียวกัน
.
หลังเลิกเรียน
ลูกบ้านตามสั่ง จะมาช่วยแม่ขายอาหาร
เก็บจาน เสริฟอาหารให้ลูกค้าถึง3ทุ่มทุกวัน
.
บ้านให้เช่าวีดีโอ
ลูกนั่งเล่นเกมส์อยู่ชั้นสอง
เวลาหิวขาว ตะโกนลงมาสั่งให้ป๊ะป๋า
ไปซื้อข้าวร้านติดกันมาให้ถึงห้อง
.
ลูกร้านตามสั่ง
อยากได้ มอร์ไซค์
จะขับไปโรงเรียน กว่าจะได้
ปาเข้าไป ม.6เทอมสุดท้าย
.
เพราะแม่ ให้ค่าแรง
วันละ100ที่ช่วยงานที่ร้าน
อีก40 ให้ค่าขนมไปโรงเรียน
.
อยากได้เก็บเงินซื้อเอา
.
ลูกร้านวีดีโอ
โทรศัพท์ วันทูคอล ออกมาใหม่ๆ
แค่ขอแม่ให้ซื้อ เขาก็มีถือไปโรงเรียนคนแรก
มีก่อนครูด้วยซ้ำ
.
ลูกร้านตามสั่ง
เสาร์อาทิตย์ ต้องไปตลาดแทนพ่อ
ไปซื้อของด้วยตัวเอง มาที่ร้าน
.
ลูกร้านวิดีโอ
เสาร์อาทิตย์หยิบเงินในเก๊ะ
ไปดูหนังเดินห้างกับเพื่อน
.
วันนึง...
.
สองบ้านไปทอดผ้าป่าต่างจังหวัด
ขากลับพ่อแม่ทั้งสองคนรถคว่ำตาย
.
ลูกร้านตามสั่งเรียนจบ ม.6ได้
ใช้มอร์ไซค์ที่หามาจากค่าแรงตัวเอง
ไปตลาด ซื้อของมาขาย
เปิดร้านตามสั่งเลี้ยงน้อง
.
ลูกร้านวิดีโอ
จบ ม.6ได้ ใช้เงินที่พ่อแม่ทิ้งไว้จนหมด
ในไม่กี่ปี สุดท้ายบอกขายตึก
.
ลูกร้านตามสั่งเห็นลูกร้านวีดีโอติดป้ายขาย
เขาเอากำไรและเงินเก็บของพ่อแม่
ไปซื้อตึกติดกันไว้
.
ลูกร้านวีดีโอ
ได้เงินไปหลายล้าน ผลาญจนสนุก
.
ลูกร้านตามสั่ง
ทุบผนังให้เป็นร้านเดียวกัน
ขยายโต๊ะ มากขึ้น ทำให้ลูกค้ามากขึ้น
ขายดีกว่าเดิม
.
ไม่กี่ปีลูกร้านตามสั่งมีชีวิตดีขึ้น
เพราะขายของดี
.
ส่วนลูกร้านวีดีโอ
ใช้เงินหมดจนต้องไปรับจ้าง
.
คนนึงเคยสุขสบายไปลำบาก
จากคนเคยลำบาก กลายเป็นสุขสบาย
.
คนนึงเคยอยากได้ทุกอย่าง
แค่เพียงชี้นิ้ว
.
อีกคนกว่าจะได้อะไรมา
ต้องทำและสร้างมันด้วยตัวเอง
.
สุดท้าย
.
หลังจากพ่อแม่ตาย
แต่ละคนก็มีชีวิตตามที่พ่อแม่เลี้ยงมา
.
#ทนเห็นลูกลำบากวันนี้ไม่ได้
#ก็อย่าหวังว่าลูกจะสบายในวันที่คุณจากลา
.
ตราบใดที่เรามีอายุไม่ถึงพันปี
ต้องสอนลูกให้รู้ผิดชอบชั่วดี
รู้จักความยากลำบากของชีวิตตั้งแต่วันนี้
.
คุณก็รู้ดีไม่มีใคร
อยู่หาเงินให้ใครใช้ไปตลอดชีวิตได้
.
แล้วทำไม่...ไม่สอนเขาหาเงินใช้เอง
ตั้งแต่วันนี้...?
.
cr.สิริทัศน์ สมเสงี่ยม????????
.
เป็นบทความที่ดีที่แบ่งปันแก่สังคม
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 08, 2018, 12:00:11 pm
ผมขออนุญาตแนะนำ #เทคนิคการทำบุญ ที่ผมทำบุญ มาเล่าสู่กันฟัง
.
1.ก่อนทำบุญ ตัวของท่านต้องมีศีล 5 ครบบริบูรณ์
.
2.มีเจตนาในการทำบุญ ในงานบุญนั้นๆอย่างเต็มเปี่ยม
.
3.เงินที่ท่านนำมาทำบุญ ต้องเป็นเงินที่ท่านหามาได้ด้วยความบริสุทธิ์ ต้องไม่เป็นเงินที่ได้จากการทุจริตไม่ว่าจะเป็นทางตรง หรือ ทางอ้อม
.
4.ผู้รับ(หมายถึงพระภิกษุ หรือ องค์กรต่างๆ) เป็นผู้บริสุทธิ์ มีวัตถุประสงค์ที่จะนำไปบำรุงรักษา , ช่วยเหลือ ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ และเงินที่ผู้รับ รับไปนั้นต้องไปทำตามวัตถุประสงค์ที่บอกบุญมา
.
5.ก่อนทำบุญจะให้ก็ตั้งใจว่าจะให้ ขณะทำบุญที่ให้ก็ดีใจ และหลังจากทำบุญแล้วก็เกิดความเลื่อมใส
.
6.ของที่นำไปทำบุญ ต้องเป็นของที่ดี มีความปราณีตในสิ่งนั้นๆ
.
7.เมื่อทำบุญแล้วให้อธิษฐาน และกรวดน้ำ (หากท่านที่เคยมีวิธีกรวดน้ำตามสไตล์Sithiphong ท่านสามารถนำมาใช้ได้)
.
8.เวลาที่ทำบุญกับพระสงฆ์ ให้เราตั้งจิตว่า เราขอทำบุญต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (ถ้าพระสงฆ์องค์นั้นๆ หรือคณะพระสงฆ์คณะนั้นๆ ไม่ปฏิบัติดีจริงๆ ท่านจะลงนรกไปเอง)
.
*****************************************
.
เรื่องการทำบุญ ปกติ ผมเองทำบุญเกือบทุกวัน หากวันไหนผมออกจากบ้านไปทำงาน หรือ ไปทำธุระนอกบ้าน ผมเองจะทำบุญโดยการหยอดเหรียญ 5 บาท หรือ 10 บาท ใส่ในกล่องไว้ เมื่อเงินในกล่องมากพอ ผมจะนำเงินนั้นไปเข้าบัญชีไว้ เพื่อรอการร่วมทำบุญในวาระงานบุญต่างๆ
.
กล่องที่ผมนำเงินใส่ มี 3 กล่อง และบัญชีที่ผมนำเงินทั้ง 3 กล่องไปเข้าบัญชี ก็มี 3 บัญชีเช่นกัน
.
กล่องและบัญชี ที่ 1 ผมเจตนาในการทำบุญทุกๆอย่างที่เกี่ยวกับพระสงฆ์และพระพุทธศาสนา
.
กล่องและบัญชีที่ 2 ผมเจตนาในการทำบุญกับมูลนิธิในพระบรมราชูปถัมภ์ในรัชกาลที่ 9 หรือ รัชกาลที่ 10 หรือ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เช่น มูลนิธิสภากาชาดไทยฯ , มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ , มูลนิธิรามาธิบดีฯ , ศิริราชมูลนิธิ เป็นต้น
.
กล่องและบัญชีที่ 3 ผมเจตนาในการทำบุญช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และสัตว์ เช่น การซื้อสัตว์ไปปล่อยในที่ๆเหมาะสม หรือ การช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่างๆ เป็นต้น
.
เมื่อทำบุญปร่ะจำวันในกล่องแล้วก็กรวดน้ำ
.
และหากเมื่อนำเงินในบัญชีไปทำบุญตามวาระต่างๆ แล้วก็กรวดน้ำอีกรอบครับ
.
ในเรื่องทำบุญที่ผมบอกไปในส่วนนี้ เป็นการทำบุญของผม หากท่านใดเห็นว่าดี สามารถนำไปใช้ได้ครับ
.
*****************************************
.
การกรวดน้ำ ผมมาแนะนำการกรวดน้ำที่ผมใช้อยู่ #กรวดน้ำตามสไตล์Sithiphong

วันนี้ข้าพเจ้า (,สามี และ/หรือ ภรรยา) และครอบครัว ได้...(ทำบุญอะไร).....
.
ขออาราธนาพระบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ , คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทุกๆพระองค์ ,พระอรหันต์ทุกๆพระองค์,พระมหาโพธิสัตว์และพระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ ,ทั้ง ๑๖ ชั้นฟ้า ๑๕ ชั้นดิน ,องค์ผู้อธิษฐานจิตพระพิมพ์ที่ข้าพเจ้ามีอยู่ทุกพระองค์ ,เทวดาผู้รักษา , เจ้าของและผู้สร้างพระพิมพ์หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร-พระพิมพ์สมเด็จเจ้าคุณกรมท่าทุกท่าน-พระพิมพ์ของวังหน้า,พระกรุวัดพระแก้วและวัตถุมงคลหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทุกประเภทที่ข้าพเจ้ามีอยู่ ทุกท่าน , พระบารมีพระมหากษัตริย์ทุกๆพระองค์ , พระบารมีกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ,พระบารมีกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ,พระบารมีพระสยามเทวาธิราช ,พระยาพิชัยดาบหัก , เจ้ากรุงพาลี แม่พระธรณี แม่พระคงคา พระเพลิง พระพาย แม่พระโพสพ , แม่นางกวัก, พระมหาฤาษีและพระฤาษีทุกๆตน , พระพิรุณ , พยายมราช , นายนิริยบาลทุกๆท่าน , ยมทูตทุกๆท่าน , ท้าวจตุโลกะบาลทั้งสี่ ศิริพุทธอำมาตย์ ชั้นจาตุมะหาราชิกาเบื้องบนจนถึงที่สุด พรหมาเบื้องต่ำตั้งแต่มนุษย์โลก โดยรอบสุดขอบจักรวาลอนันตะจักรวาล และเทพยดาทั้งหลายตลอดทั้งอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ คนธรรพ์ นาคา ขอให้มาอนุโมทนาและเป็นพยานบุญในบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้ทำในครั้งนี้ด้วยเทอญ
.
ขออาราธนา บิดา , มารดา , ผู้มีพระคุณ , ญาติกาครูอุปัชฌาย์อาจารย์ , ญาติสี่สกุลเจ็ดชั่วโคตรของข้าพเจ้า , เจ้ากรรมนายเวร , ปู่ , ย่า , ตา , ยาย , เทวดาประจำตัวข้าพเจ้า ,เทวดาประจำองค์พระพิมพ์ทุกองค์ , แม่ย่านางรถของข้าพเจ้า,ผู้ที่เสียสละให้กับแผ่นดินไทยทุกท่าน, พระภูมิ-เจ้าที่ ที่บ้านข้าพเจ้า , พระภูมิ-เจ้าที่ ที่บ้านคุณพ่อ-คุณแม่ข้าพเจ้า พระภูมิ-เจ้าที่ บ้านที่ข้าพเจ้าเคยอยู่ทุกๆที่ ,พระภูมิ-เจ้าที่ ที่ทำงานของข้าพเจ้าทุกๆแห่ง ขอให้มาอนุโมทนาในบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้ทำในครั้งนี้ด้วยเทอญ
.
อิมินาปุญญะกัมเมนะ ด้วยเดชะผลบุญแห่งข้าพเจ้า, สามีหรือภรรยา และครอบครัว ได้ ...(ทำบุญอะไร)..... ขอน้อมถวายบุญกุศลแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทั้งหมด ,พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ ,พระมหาโพธิสัตว์และพระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์
.
ขอถวายบุญกุศลแด่บิดา มารดา ,องค์ผู้อธิษฐานจิตพระพิมพ์ที่ข้าพเจ้ามีอยู่ทุกพระองค์ , เทวดาผู้รักษา , เจ้าของและผู้สร้างพระพิมพ์หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร-พระพิมพ์สมเด็จเจ้าคุณกรมท่าทุกท่าน-พระพิมพ์ของวังหน้า,พระกรุวัดพระแก้วและวัตถุมงคลหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทุกประเภทที่ข้าพเจ้ามีอยู่ ,ตัวข้าพเจ้าและทั้ง ๑๖ ชั้นฟ้า ๑๕ ชั้นดิน , ผู้มีพระคุณ , ญาติกาครูอุปัชฌาย์อาจารย์ , ญาติสี่สกุลเจ็ดชั่วโคตรของข้าพเจ้า , เจ้ากรรมนายเวร , ปู่ , ย่า , ตา , ยาย , เทวดาประจำตัวข้าพเจ้า ,เทวดาประจำองค์พระพิมพ์ทุกองค์ ,พระมหากษัตริย์ทุกๆพระองค์ ,กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท,กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ,พระสยามเทวาธิราช ,พระยาพิชัยดาบหัก
.
ขอถวายบุญกุศลแด่พระภูมิ-เจ้าที่ ที่บ้านข้าพเจ้า , พระภูมิ-เจ้าที่ ที่บ้านคุณพ่อ-คุณแม่ข้าพเจ้า พระภูมิ-เจ้าที่ บ้านที่ข้าพเจ้าเคยอยู่ทุกๆที่ ,พระภูมิ-เจ้าที่ ที่ทำงานของข้าพเจ้าทุกๆแห่ง ,แม่ย่านางรถของข้าพเจ้า,ผู้ที่เสียสละให้กับแผ่นดินไทยทุกท่าน, เจ้ากรุงพาลี , แม่พระธรณี , แม่พระคงคา , พระเพลิง , พระพาย , แม่พระโพสพ , แม่นางกวัก ,พระมหาฤาษีและพระฤาษีทุกๆตน , พระพิรุณ , พยายมราช , นายนิริยบาลทุกๆท่าน , ยมทูตทุกๆท่าน , แม่พระธรณีทั่วโลก , พระแม่คงคาทั่วโลก , แม่พระโพสพทั่วโลก , องค์เทพเทวาทั่วโลก , ท้าวจตุโลกะบาลทั้งสี่ ศิริพุทธอำมาตย์ ชั้นจาตุมะหาราชิกาเบื้องบนจนถึงที่สุด พรหมาเบื้องต่ำ และเทพยดาทั้งหลายตลอดทั้งอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ คนธรรพ์ นาคา
.
ขออุทิศส่วนบุญกุศล ให้กับเพื่อนสนิทมิตรสหายทั้งหลาย เพื่อนสาราสัตว์น้อยใหญ่ ตั้งแต่อเวจีขึ้นมาจนถึงมนุษย์โลก โดยรอบสุดขอบจักรวาลอนันตะจักรวาล ท่านทั้งหลายที่ต้องทุกข์ ขอให้พ้นจากทุกข์ ท่านทั้งหลายที่ท่านได้สุข ขอให้สุขยิ่งๆขึ้นไป
.
ด้วยเดชะผลบุญแห่งข้าพเจ้าน้อมถวาย ,ถวายและอุทิศไปให้นี้ จงเป็นอุปนิสัยปัจจัยให้ถึงพระนิพพานในปัจจุบันและอนาคตเบื้องหน้าอันใกล้นี้ด้วยเทอญ ฯ
.
ข้าพเจ้าขอพระเมตตาองค์พระแม่ธรณี ได้โปรดนำบุญที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายทุกๆพระองค์ ,น้อมถวายทุกๆองค์ ,ถวายบุญให้กับทุกๆท่าน และอุทิศบุญให้กับทุกๆท่าน ไปถึงทุกๆพระองค์ , ทุกๆองค์ และทุกๆท่าน ตามที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายทุกๆพระองค์ ,น้อมถวายทุกๆองค์ ,ถวายบุญให้กับทุกๆท่าน และอุทิศบุญให้กับทุกๆท่าน ตามที่ข้าพเจ้าได้บอกไปในเบื้องต้นด้วยเทอญ
.
ข้าพเจ้าขอพระเมตตาองค์พระแม่ธรณี ได้โปรดนำบุญที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายทุกๆพระองค์ ,น้อมถวายทุกๆองค์ ,ถวายบุญให้กับทุกๆท่าน และอุทิศบุญให้กับทุกๆท่าน ไปถึง แม่พระธรณีทั่วโลก , พระแม่คงคาทั่วโลก , แม่พระโพสพทั่วโลก , องค์เทพเทวาทั่วโลก ตามที่ข้าพเจ้าได้ถวายบุญแม่พระธรณีทั่วโลก , พระแม่คงคาทั่วโลก , แม่พระโพสพทั่วโลก , องค์เทพเทวาทั่วโลก ตามที่ข้าพเจ้าได้บอกไปในเบื้องต้นด้วยเทอญ
.
ด้วยเดชะบุญแห่งข้าพเจ้าน้อมถวาย ,ถวายและอุทิศนี้ไปให้ทุกๆพระองค์ ,ทุกๆองค์ ,ทุกๆท่านตามที่ข้าพเจ้าได้มีเจตนาในการน้อมถวายบุญแด่ทุกๆพระองค์ , ทุกๆองค์ และทุกๆท่านข้างต้นนี้ ข้าพเจ้าขออธิษฐานว่า ...........(ตามแต่อธิษฐาน)................. และ ตราบใดที่ยังไม่ถึงพระนิพพาน ขอให้ข้าพเจ้าอธิษฐานในทุกๆชาติที่เกิดมาเป็นมนุษย์ว่า ...........(ตามแต่อธิษฐาน)................. จนกว่าข้าพเจ้าจะเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ

พุทธังอนันตัง ธัมมังจักรวาลัง สังฆังนิพพานัง ปัจจโยโหนตุ
.
โมทนาบุญ สาธุครับ
.
บทความที่ผมเขียนนี้ เป็นเทคนิคการทำบุญของผม หากท่านใดเห็นว่าดี สามารถนำไปใช้ได้เลยครับ
สาธุ สาธุ สาธุ
.
#เทคนิคการทำบุญตามสไตล์sithiphong
#กรวดน้ำตามสไตล์sithiphong
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 01, 2019, 07:55:59 am
สวัสดีปีใหม่

ไม่มีทุกข์ ไม่มีโศก

ไม่มีโรค ไม่มีภัย

เงินทองเหลือใช้ ร่างกายแข็งแรง

ด้วยรัก

Sithiphong
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 16, 2019, 10:37:59 am
มาชมภาพ #พิธีลงเสาเอก #มณฑปหลวงปู่เทพโลกอุดร
@ #อาศรมศรีชัยรัตนโคตร จ.สกลนคร
.
วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2562
.
หมายเหตุ
.
#หลวงปู่เทพโลกอุดร องค์นี้ คือ #หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า หรือ #หลวงปู่อิเกสาโร
เป็น #หลวงปู่เทพโลกอุดรองค์ที่3 ใน #คณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร ( #คณะโสณะอุตระ หรือ เป็น #คณะพระธรรมทูตที่พระเจ้าอโศกมหาราช #ส่งมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ เมื่อปี พ.ศ.235 )
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 16, 2019, 10:38:27 am
มาชมภาพ #พิธีลงเสาเอก #มณฑปหลวงปู่เทพโลกอุดร
@ #อาศรมศรีชัยรัตนโคตร จ.สกลนคร
.
วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2562
.
หมายเหตุ
.
#หลวงปู่เทพโลกอุดร องค์นี้ คือ #หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า หรือ #หลวงปู่อิเกสาโร
เป็น #หลวงปู่เทพโลกอุดรองค์ที่3 ใน #คณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร ( #คณะโสณะอุตระ หรือ เป็น #คณะพระธรรมทูตที่พระเจ้าอโศกมหาราช #ส่งมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ เมื่อปี พ.ศ.235 )
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 16, 2019, 10:38:44 am
มาชมภาพ #พิธีลงเสาเอก #มณฑปหลวงปู่เทพโลกอุดร
@ #อาศรมศรีชัยรัตนโคตร จ.สกลนคร
.
วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2562
.
หมายเหตุ
.
#หลวงปู่เทพโลกอุดร องค์นี้ คือ #หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า หรือ #หลวงปู่อิเกสาโร
เป็น #หลวงปู่เทพโลกอุดรองค์ที่3 ใน #คณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร ( #คณะโสณะอุตระ หรือ เป็น #คณะพระธรรมทูตที่พระเจ้าอโศกมหาราช #ส่งมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ เมื่อปี พ.ศ.235 )
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 19, 2019, 11:15:08 am
วันนี้ ไม่ได้ไปวัดไหนเลย

แต่ ไหว้พระที่บ้าน

เมื่อสักพักนี้ พึ่งถวายน้ำชา พระ ที่บ้านครับ

ผมเองไหว้พระที่บ้าน ก็พอแล้ว ไปเบียดเสียดกับคนเยอะๆไม่ไหว

ผมไหว้พระที่บ้าน

#พระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 5 พระองค์
1.สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม #พระพุทธสิกขีทศพลที่1 (หรือ #สมเด็จองค์ปฐม)
2.สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม #พระกกุสันธพุทธเจ้า
3.สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม #พระโกนาคมนพุทธเจ้า
4.สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม #พระกัสสปพุทธเจ้า
5.สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม #พระโคตมพุทธเจ้า
.
พระบรมสารีริกธาตุ #พระปัจเจกพุทธเจ้า หลายพระองค์ไม่ทราบพระนาม
.
#พระธาตุ #พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล ประมาณ 38 พระองค์
.
พระธาตุ #พระอุปคุตเถระเจ้า
.
พระธาตุ #คณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร ( #คณะโสณะอุตระ หรือ #คณะพระธรรมทูตที่พระเจ้าอโศกมหาราชส่งมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิในปีพศ235)
.
พระธาตุ #พระอรหันต์ไม่ทราบพระนาม อีกหลายพระองค์
.
(พระ)ธาตุ #หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้
(พระ)ธาตุ #สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี
.
ปกติ เวลาที่ผมถวายน้ำชาพระที่บ้าน ผมถวายน้ำชาทุกวันอาทิตย์ และ วันสำคัญทางศาสนา(ถ้าผมอยุ่บ้าน)
.
1.#องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
2.#พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
3.#หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า
4.#หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า
5.#หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า ( หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร)
6.#หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า ( หรือ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรือ #หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา จ.ลพบุรี)
7.#หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า ( หรือ #หลวงปู่หน้าปาน หรือ #หลวงพ่อโอภาสี วัดโอภาสี จ.กรุงเทพ)
8.#สมเด็จพระพุฒาจารย์โตพรหมรังสี
9.#หลวงปู่ทวดวัดช้างไห้
10.#หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง
11.#สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( #เจริญญาณวโร )
12.#หลวงปู่ม่น #วัดเนินตามาก
13.#หลวงปู่แสง #วัดมณีชลขัณฑ์ จ.ลพบุรี
14.#หลวงพ่อเงิน #วัดบางคลาน
15.#หลวงปู่ศุข #วัดปากคลองมะขามเฒ่า
16.#หลวงพ่อจง #วัดหน้าต่างนอก
17.#หลวงปู่บุญ #วัดกลางบางแก้ว
18.#สมเด็จพระมหาสมณเจ้า #กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
19.#หลวงปู่ภู #วัดอินทรวิหาร
20.#หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ (#อุปราชวังหน้าองค์สุดท้ายของราชวงศ์จักรี)
21.#รัชกาลที่9 ( #พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช )
22.#องค์พยามัจจุราชเจ้า
23.#สมเด็จพระนเรศวรมหาราช , #พระเอกาทศรถ และ #พระพี่นางสุพรรณกัลยา
24.#สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
25.#พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
26.#พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
27.#พยาครุฑ
28.#องค์ท้าวเวสสุวรรณ
29.#ฮก #ลก #ซิ่ว
30.#พระแม่ธรณี
31.#พระแม่คงคา
32.#พระแม่โพสพ
33.#แม่นางกวัก
34.#ท่านชุดขาว (ท่านเป็นพราหมณ์ ที่อาจารย์ผมบอกว่า ท่านมากับพระพุทธรูปที่ท่านสร้าง ท่านเป็นคนในยุครัชกาลที่ 4 หรือ รัชกาลที่ 5)

.
.
***********************************
.
วันมาฆบูชา
.
ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓

.

"มาฆะ" เป็นชื่อของเดือน ๓ มาฆบูชานั้น ย่อมาจากคำว่า"มาฆบุรณมี" แปลว่าการบูชาพระในวันเพ็ญ เดือน ๓ วันมาฆบูชาจึงตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ แต่ถ้าปีใดมีเดือน อธิกมาส คือมีเดือน ๘ สองครั้ง วันมาฆบูชาก็จะเลื่อนไปเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ เป็นวันสำคัญวันหนึ่ง ในวันพุทธศาสนา คือวันที่มีการประชุมสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพุทธศาสนา ที่เรียกว่า "จาตุรงคสันนิบาต" และเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปฎิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวกเป็นครั้งแรก ณ เวฬุวันวิหาร กรุงราชคฤห์ เพื่อให้พระสงฆ์นำไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อจะยังพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป

.

โอวาทปาฏิโมกข์

.

โอวาทปาฏิโมกข์ - หลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา หรือคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระพุทธพจน์ ๓ คาถากึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ผู้ไปประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ พระเวฬุ วนาราม ในวันเพ็ญเดือน ๓ ที่เราเรียกกันว่าวันมาฆบูชา (ถรรถกถากล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ นี้ แก่ที่ประชุมสงฆ์ตลอดมา เป็นเวลา ๒๐ พรรษา ก่อนที่จะโปรดให้สวดปาฏิโมกข์อย่างปัจจุบันนี้แทนต่อมา),

.

คาถา โอวาทปาฏิโมกข์ มีดังนี้ (โอวาทปาติโมกข์ ก็เขียน)

.

สพฺพปาปสฺส อกรณํกุสลสฺสูปสมฺปทา

สจิตฺตปริโยทปนํเอตํ พุทธาน สาสนํฯ

ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา

นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา

น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี

สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ

อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร

มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ

อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ

.

แปล :

.

การไม่ทำความชั่วทั้งปวง, การบำเพ็ญแต่ความดี, การทำจิตของตนให้ผ่องใส นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง,

พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่านิพพาน เป็นบรมธรรม,

ผู้ทำร้ายคนอื่นไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต,

ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ

การไม่กล่าวร้าย, การไม่ทำร้าย, ความสำรวมในปาฏิโมกข์,

ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร, ที่นั่งนอนอันสงัด, ความเพียรในอธิจิต นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

.

ที่เข้าใจกันโดยทั่วไป และจำกันได้มาก ก็คือ ความในคาถาแรกที่ว่า

.

"ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส"

.

คำว่า "จาตุรงคสันนิบาต" แยกศัพท์ได้ดังนี้ คือ "จาตุร" แปลว่า ๔ "องค์" แปลว่า ส่วน "สันนิบาต" แปลว่า ประชุม ฉะนั้นจาตุรงคสันนิบาตจึงหมายความว่า "การประชุมด้วยองค์ ๔" กล่าวคือมีเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นพร้อมกันในวันนี้ คือ

.

๑. เป็นวันที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันที่เวฬุวันวิหารในกรุงราชคฤห์ โดยมิได้นัดหมาย

.

๒. พระภิกษุสงฆ์เหล่านี้ล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" คือเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบทโดยตรงจาก พระพุทธเจ้าทั้งสิ้น

.

๓. พระภิกษุสงฆ์ทุกองค์ที่ได้มาประชุมในครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นผุ้ได้บรรลุพระอรหันต์แล้วทุก ๆองค์

.

๔. เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงกำลังเสวยมาฆฤกษ

.

การปฎิบัติตนสำหรับพุทธศาสนาในวันนี้ก็คือ

.

การทำบุญตักบาตรในตอนเช้า หรือไม่ก็จัดหาอาหารคาวหวานไปทำบุญฟังเทศน์ที่วัด ตอนบ่ายฟังพระแสดงพระธรรมเทศนา

.

ในตอนกลางคืน จะพากันนำดอกไม้ ธูปเทียน ไปที่วัดเพื่อชุมนุมกันทำพิธีเวียนเทียนรอบพระอุโบสถพร้อมกับพระภิกษุสงฆ์ โดยเจ้าอาวาสจะนำว่า นะโม ๓ จบ จากนั้นกล่าวคำถวายดอกไม้ธูปเทียน ทุกคนว่าตาม จบแล้วเดินเวียนขวา ตลอดเวลาให้ระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ จนครบ ๓ รอบ แล้วนำดอกไม้ ธูปเทียนไปปักบูชาตามที่ทางวัดเตรียมไว้เป็นอันเสร็จพิธี

.ที่มา http://www.dhammathai.org/day/maka.php (http://www.dhammathai.org/day/maka.php)

.

ประวัติวันมาฆบูชา - Springnews

https://www.youtube.com/watch?v=u8f0K76qQdA (https://www.youtube.com/watch?v=u8f0K76qQdA)

SpringNews

เผยแพร่เมื่อ 10 ก.พ. 2017

-----------------------------------------------------------------

ประวัติ และความเป็นมา วันมาฆบูชา

https://www.youtube.com/watch?v=hs6yAeRdpwU (https://www.youtube.com/watch?v=hs6yAeRdpwU)

Sanook.com

เผยแพร่เมื่อ 7 ก.พ. 2014

-----------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 27, 2019, 09:24:21 pm
อยากจะมาเขียนเรื่องนี้
.
ในการทำงาน ต้องทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น
.
ความเดือดร้อนนั้นๆ มีผลต่อความก้าวหน้าในการทำงานของคนที่ถูกกระทำด้วย
.
เงินที่ได้ไปจากการกระทำผิด ก็เป็นเงินร้อน อยู่กับคนที่ได้ไปไม่นาน
.
ยังมีอีกคือ การใช้ความไว้ใจของเพื่อนร่วมงาน มาเป็นผลประโยชน์ของตัวเอง
.
ลองคิดดูว่า หากมีคนอื่นมาสร้างความเดือดร้อนและปัญหาให้กับเรา ตัวเราจะรู้สึกอย่างไร
.
เรื่องของการใช้จ่ายเงิน อย่าไปฟุ้งเฟ้อ ใช้เงินเกินตัว การทำบุญก็ทำแต่พอประมาณตามกำลังของตนเอง
.
ต่อให้ไปกราบพระพุทธรูปทั่วโลก ไปกราบพระสงฆ์ทั่วโลก แต่การกระทำของตนเองไปสร้างผลกระทบกับบุคคลอื่น ไปสร้างความเดือดร้อนให้กับบุคคลอื่น การกราบและการขอหรือการบนบานต่างๆนั้นๆ ไม่มีผลต่อกรรมที่ตนเองจะได้รับในปัจจุบัน และ อนาคต
.
เพราะว่า ไม่ว่าใครที่มาช่วย ต้องรับผลนั้นๆด้วยไม่มากก็น้อยแน่นอน ไม่มีอะไรฟรีในโลกทิพย์
.
ที่สำคัญจะสร้างกรรมกันไปทำไม
.
กฎระเบียบของบริษัท หรือ กฎระเบียบของหน่วยงานราชการ หรือ กฎระเบียบของรัฐวิสาหกิจ ถึงแม้จะลงโทษผู้กระทำผิดได้ นั้นคือ โดนในเรื่องแรก
.
กฎหมาย ที่สามารถลงโทษผู้กระทำผิดได้ นั่นคือ โดนในเรื่องที่สอง (เรื่องที่สองนี้ บางกรณีก็ไม่สามารถที่จะเอาผิดได้)
.
แต่กฎที่ไม่เคยละเว้น และไม่สามารถหนีได้ คือ กฎแห่งกรรม ที่เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ด้วยตนเองเท่านั้น นั่นคือ โดนในเรื่องที่สาม ที่เป็นเรื่องสุดท้าย
.
ระยะเวลาที่ใช้กรรมตามกฎระเบียบของบริษัท หรือ กฎระเบียบของหน่วยงานราชการ หรือ กฎระเบียบของรัฐวิสาหกิจ หรือ กฎหมาย ระยะเวลาที่ใช้กรรม ไม่เกิน 100 ปีแน่นอน
.
แต่ระยะเวลาที่ใช้กรรมตามกฎแห่งกรรม ใช้ระยะเวลาที่ยาวนานแสนนาน ไปพิสูจน์เองว่า นานแค่ไหน
.
#ไม่ว่าใหญ่แค่ไหน
#ไม่ว่ารวยล้นฟ้าเพียงใด
#ไม่มีใครหนีกรรมพ้น
#แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
#ที่ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
#พระพุทธองค์ยังหนีกรรมที่เคยก่อไว้ไม่พ้น
.
ขออัญเชิญพระบรมราโชวาท รัชกาลที่ 9 นำมาให้อ่านกันเพื่อให้เป็นสติในการคิด และ การกระทำของตนเอง
.
“…เมื่อมีโอกาสและมีงานให้ทำ ควรเต็มใจ ทำโดยไม่จำเป็นต้องตั้งข้อแม้หรือเงื่อนไขอันใด ไว้ให้เป็นเครื่องกีดขวาง คนที่ทำงานได้จริง ๆ นั้น ไม่ว่าจะจับงานสิ่งใดย่อมทำได้เสมอ ถ้ายิ่งมี ความเอาใจใส่ มีความขยันและซื่อสัตย์สุจริต ก็ยิ่งจะช่วยให้ประสบผลสำเร็จในงานที่ทำสูงขึ้น…’’
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา8 กรกฎาคม 2530
.
“…การทำงานให้สำเร็จผลแน่นอนและสมบูรณ์ ตามเป้าหมายนั้นจะต้องใช้ความรู้ความสามารถ พร้อมทั้งคุณสมบัติที่สำคัญ ๆ ในตัวบุคคลหลายประการ ทั้งความตั้งใจที่มั่นคง ความคิดสร้างสรรค์ ความ อุตสาหะพยายาม ความรับผิดชอบ ตลอดจนความสุจริต เป็น ธรรมนำมาปฏิบัติโดยสม่ำเสมอ…’’
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์19 กรกฎาคม 2528
.
“…การทำงานให้สำเร็จขึ้นอยู่กับความ สุจริตกาย สุจริตใจ ด้วยความคิดเห็น ที่เป็นอิสระปราศจากอคติ และด้วย ความถูกต้องตามเหตุตามผลจึง จะช่วยให้งานบรรลุจุดมุ่งหมาย และประโยชน์ที่พึง ประสงค์โดยครบถ้วนแท้จริง…’’
พระบรมราโชวาท พระราชทานเนื่องในโอกาสวันข้าราชการพลเรือน1 เมษายน 2528
.
#พระบรมราโชวาทรัชกาลที่9
#ความซื่อสัตย์สุจริต
#กฎระเบียบของบริษัท
#กฎระเบียบของหน่วยงานราชการ
#กฎระเบียบของรัฐวิสาหกิจ
#กฎหมาย
#กฎแห่งกรรม
#บุพกรรมพระพุทธองค์
#พยามัจจุราชเจ้า
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 13, 2019, 02:22:47 pm
สวัสดีวันปีใหม่

สุขสันต์วันสงกรานต์ ครับ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 14, 2019, 10:28:54 am
สวัสดีวันปีใหม่

สุขสันต์วันครอบครัว ครับ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 15, 2019, 07:51:44 am
สวัสดีปีใหม่(ไทย) สุขสันต์วันเถลิงศก
ไม่มีทุกข์ ไม่มีโศก ไม่มีโรค ไม่มีภัย
เงินทองเหลือใช้ ร่างกายแข็งแรง
กันทุกท่าน
Sithiphong
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 16, 2019, 11:47:11 am
สวัสดีปีใหม่(ไทย) สุขสันต์วันพญาวัน
ไม่มีทุกข์ ไม่มีโศก ไม่มีโรค ไม่มีภัย
เงินทองเหลือใช้ ร่างกายแข็งแรง
กันทุกท่าน
Sithiphong
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 24, 2019, 08:14:08 pm
สวัสดียามเย็น วันพุธสุขใจ
.
พอมาถึงบ้าน  ผมคิดถึงคำสอนของหลวงพ่อสนอง (วัดนครไทยวราราม จ.พิษณุโลก)
.
ผมเคยถามหลวงพ่อฯ แล้วหลวงพ่อท่านตอบมาให้ผมทราบ  ก็เลยจะนำมาเล่าสู่กันฟัง
.
จะได้เป็นอุทาหรณ์ในการเตือนใจของท่านผู้อ่าน
.
ผมจะยกตัวอย่างโดยเล่าเป็นเรื่องให้ฟัง
.
ว่ากันต่อเลยครับ
.
นายหนุ่ม เหลือน้อย  ได้มีเจตนาฆ่า นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง  และการกระทำนั้น เป็นการฆ่านายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง จนเสียชีวิต
.
นายหนุ่ม เหลือน้อย ต้องรับผลที่ได้กระทำลงไป 2 เรื่อง
.
1.ได้รับผลกรรม ทางกฎหมาย ซึ่งโทษอาจจะเป็นโทษจำคุก หรือ ประหารชีวิต
.
2.ผลกรรมตามกฎแห่งกรรม  แบ่งได้เป็น 2 เรื่อง
.
2.1 กรรมที่เป็นผลจากกรรมผูกพันธ์กันมา นายหนุ่ม เหลือน้อย กับ นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง เคยผลักกันฆ่า กันมา หลายภพ หลายชาติ
.
2.2 กรรมที่เป็นกรรมในการฆ่าสัตว์(คน)
.
ผลที่นายหนุ่ม เหลือน้อย ที่ได้รับผลตามข้อที่ 1 ผมขอพูดนิดเดียวก็คือ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีหน้าที่ตามกฎหมาย (ตำรวจ , ทนาย , อัยการ และ ผู้พิพากษา)  ถึงแม้จะปฎิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาตามกฎหมาย แต่หากผิดหลักกฎแห่งกรรม ผู้ที่มีหน้าที่ตามกฎหมายทุกคน ต้องไปรับผลแห่งกรรมที่ตนเองได้กระทำแน่นอน
.
เรามาว่ากันในข้อที่ 2 กัน
.
ในข้อที่ 2.1 ในกรณีที่นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง ไม่อโหสิกรรมให้  ในชาติต่อไป นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง จะกลับมาฆ่านายหนุ่ม เหลือน้อย  และนายหนุ่ม เหลือน้อย ไม่อโหสิกรรมให้  เรื่องนี้จะวนเวียนไปไม่มีวันสิ้นสุด
.
ข้อที่ 2.2 เป็นจุดสำคัญที่อยากจะบอก  ก็คือ  ถึงแม้ว่า นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง อโหสิกรรมกับนายหนุ่ม เหลือน้อย (ที่ได้ฆ่านายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง)   กรรมที่มีกันระหว้าง นายหนุ่ม เหลือน้อย กับ นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง จบกันลงไป
.
ถึงแม้ว่า กรรมระหว่าง นายหนุ่ม เหลือน้อย กับ นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง จะจบกันไปแล้ว  แต่กรรมที่นายหนุ่ม เหลือน้อย ที่ได้ฆ่า นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง ยังไม่จบ  นายหนุ่ม เหลือน้อย ต้องไปรับผลกรรมที่ฆ่า นายโบ๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง แน่นอน และไม่ทราบว่า ผลกรรมที่ได้รับ  ได้รับเป็นอย่างไร  จนปัญญา ครับ
.
อยากจะมาเล่าให้ฟัง เพื่อเตือนสติในการใช้ชีวิต ให้ดำเนินการไปอย่างถูกตามทำนองคลองธรรม และดำเนินชีวิตตามหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
.
กราบขอบพระคุณหลวงพ่อสนอง วัดนครไทยวราราม ครับ
.
#ไม่ว่าใหญ่แค่ไหน
#ไม่ว่ารวยล้นฟ้าเพียงใด
#ไม่มีใครหนีกรรมพ้น
#แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังหนีกรรมไม่พ้น
#เพียงแค่คิดไม่ดีก็ผิดแล้วตามหลักธรรม
.
#หลวงพ่อสนองอตฺตทโม
#วัดนครไทยวราราม
#นายหนุ่มเหลือน้อย
#นายโน๊ตตี้ลูกพี่โบ๊ตซัง
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 05, 2019, 06:28:55 pm
สนใจ หนังสือพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ไปโหลดกันได้ครับ ตามลิงค์นี้
.
.
.
หนังสือพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

https://www.m-culture.go.th/adminli/main.php?filename=ebook_king (https://www.m-culture.go.th/adminli/main.php?filename=ebook_king)

.

"ประมวลบทความเนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก"

http://www.finearts.go.th/literatureandhistory/files/224/articleroyal-r.pdf (http://www.finearts.go.th/literatureandhistory/files/224/articleroyal-r.pdf)

.

"ประมวลองค์ความรู้ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก"

https://www.m-culture.go.th/mculture_th60/download/pramuan_king.pdf (https://www.m-culture.go.th/mculture_th60/download/pramuan_king.pdf)

.

"พระราชพิธีบรมราชาภิเษก"

https://www.m-culture.go.th/mculture_th60/download/final-THAI.pdf (https://www.m-culture.go.th/mculture_th60/download/final-THAI.pdf)

.

"The Royal Coronation Ceremony"

https://www.m-culture.go.th/mculture_th60/download/final-ENG.pdf (https://www.m-culture.go.th/mculture_th60/download/final-ENG.pdf)

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 12, 2019, 12:48:59 pm
มีหลายท่านสงสัยว่า ผมทราบได้อย่างไรว่า #พระภิกษุองค์ไหนเป็นผู้อธิษฐานจิต
.
เรื่องนี้เป็นผลพลอยได้จากการ #นั่งสมาธิ มาจนได้ระดับหนึ่ง
.
แต่การที่สามารถ #นั่งสมาธิแล้วเข้าไปดูถึงพระราชพิธีพุทธาภิเษกฯได้  ต้องปฎิบัติสมาธิมาเป็นอย่างมาก  รวมถึงบุญ่บารมีที่เคยสะสมมาในอดีตชาติมานาน
.
ทางครูบาอาจารย์ผม และ เพื่อนใน #ชมรมพระวังหน้า สามารถเข้าไป #ดูในงานพระราชพิธีพุทธาภิเษกฯได้ , #สามารถคุยกับองค์ผู้อธิษฐานจิตได้
.
ซึ่งปกติ  การดู #พลังอิทธิคุณขององค์ผู้อธิษฐานจิต ถ้าดูพื้นๆ จะดูได้แค่ว่า มี #กระแสเมตตา หรือ #แคล้วคลาด หรือ #คงกระพัน
.
เพิ่มเติม นอกเหนือจากนี้ เช่น การดูว่า มี #พลังอิทธิคุณเมตตามหานิยม เรื่องนี้ดูได้ยาก หรือ ดูว่า พระพิมพ์หรือพระเครื่อง องค์นี้ สร้าง และหรือ #อธิษฐานจิตในฤกษ์พิเศษ เช่น #อัศจรรย์โกลาฤกษ์  เรื่องเหล่านี้ ดูได้ยากมาก หากการปฎิบัติไม่มากเพียงพอ
.
เรื่องนี้เป็นเรื่องปัจจัตตัง เป็นเรื่องที่รู้เฉพาะตน
.
อาจารย์ผมเอง ผมยอมรับว่า ท่านเก่งมาก  เก่งขนาด #อาราธนาองค์พยามัจจุราชได้  ต้องไม่ธรรมดา
.
ผมกับพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ในชมรมพระวังหน้า และ #คณะพระวังหน้า  โดนอาจารย์ผมบอกมาว่า  #องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามกกุสันโธ เคยเสด็จมาบอกกับอาจารย์ผมว่า ให้เลิกการ #ประมูลพระวังหน้า เพื่อนำเงินไปช่วย #สำนักสงฆ์บ่อเงินบ่อทอง ซึ่งตอนนั้น ทางสำนักสงฆ์บ่อเงินบ่อทอง กำลังลำบาก ไม่มีเงินที่จะเลี้ยงสามเณรที่ #หลวงพ่อแผนวัดบ่อเงินบ่อทอง ท่านนำมาจากภาคอีสาน ที่เด็กๆเหล่านี้ ไม่มีเงินเรียนหนังสือ #หลวงพ่อแผน ท่านนำมาเลี้ยงดูและให้บวชเป็นสามเณร เพื่อให้เรียนในด้านทางธรรม และ เรียนด้านฝีมือการช่างได้ด้วย
.
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม #กกุสันโธ ท่านบอกกับอาจารย์ผมว่า ไม่สามารถนำพระวังหน้า มาประมูลเพื่อหาเงินได้  และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามกกุสันโธ ท่านบอกอีกว่า พวกนี้(หมายถึงผมและพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ใน  ชมรมพระวังหน้า และ คณะพระวังหน้า) เหมือนกับจับปูใส่กระด้ง จับตัวนี้เข้ากระด้งได้ พอจะไปจับอีกตัว ตัวที่อยู่ในกระด้ง ก็หนีออกมาจากกระด้ง
.
ผมบอกได้เพียงเท่านี้
.
อยากรู้ว่า เป็นอย่างไร  ลองปฎิบัติสมาธิดู แต่การปฎิบัติสมาธิ ต้องมีวิธีในการปฎิบัติเช่นกัน
.
เนื้อหา สงวนลิขสิทธิ์
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 13, 2019, 09:20:34 am
ขอเชิญชวนร่วมทำบุญกันครับ
.
ทำบุญได้ที่ หลวงพ่อแผน( เจ้าอาวาส)
เบอร์โทรศัพท์ 081-9408541
.
ธนาคารทหารไทย เลขบัญชี 494-2-21276-4
ชื่อบัญชี พระขุนแผน เกิดทอง
.
.
*********************************************
.
.
วัดบ่อเงิน บ่อทอง
13 กรกฎาคม 2562
.
ขอบอกบุญถึงวันที่ 16 กรกฎาคม 2562 นะจ๊ะ
.
วัดบ่อเงินบ่อทอง จ.ฉะเชิงเทรา
เรียนเชิญญาติโยมทุกท่าน ร่วมงานบุญวันอาสาฬหบูชา วันที่ 16 กรกฎาคม 2562 ทำบุญวันเข้าพรรษา
.
สร้างพระพุทธปฏิมากร สมเด็จองค์ปฐม หน้าตัก 4 ศอก เพื่อชำระหนี้เวรหนี้กรรมหนี้สงฆ์ ที่เคยล่วงเกินมาแล้วในอดีตชาติและในชาติปัจจุบันนี้ และเพื่ออุทิศส่วนกุศล ให้แก่ท่านผู้มีพระคุณที่ได้ล่วงลับไปแล้ว
.
รับเป็นเจ้าภาพปูนหล่อองค์พระถุงละ 125 บาท ใช้ปูนประมาณ 150 ถุง หินทรายคิวละ 300 บาท หรือร่วมบริจาคทำบุญตามอัธยาศัย
.
กำหนดวันสร้างพระพุทธปฏิมากร
.
วันอังคาร ที่ 16 กรกฏคม 2562
.
เวลา 09.29 น. บวงสรวงเพื่อความเป็นศิริมงคลแก่ทุกท่านที่มาร่วมงาน เวลา 09.59 น. เริ่มเทคอนกรีตหล่อพระพุทธปฏิมากร สมเด็จองค์ปฐมจนเสร็จพิธี
.
ขออนุโมทนาบุญทุกๆท่าน ที่ได้ร่วมบุญ ขอผลานิสงส์ผลบุญนี้ จงเป็นปัจจัยให้ญาติโยมทั้งหลาย มีความสุข ความเจริญในอาชีพการงาน ปราศจากโรคภัยใข้เจ็บทั้งปวง ปราศจากภัยอันตรายทั้งปวง ทำมาหากินให้คล่องตัว มีความร่ำรวยๆๆในชาติปัจจุบันนี้ เทอญ ขอเจริญพร
.
ธนาคารทหารไทย เลขบัญชี 494-2-21276-4 ชื่อบัญชี พระขุนแผน เกิดทอง เบอร์โทรศัพท์ เจ้าอาวาส 081-9408541
.
หมายเหตุ จะใช้แบบพิมพ์พระที่ญาติโยมได้ส่งปัจจัยมาร่วมสร้างเป็นองค์แรก จ๊ะ
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 01, 2020, 09:42:46 pm
สวัสดีปีใหม่ 2563
.
.
ไม่มีทุกข์ ไม่มีโศก
ไม่มีโรค ไม่มีภัย
เงินทองเหลือใช้ ร่างกายแข็งแรง
กันทุกๆท่าน ครับ
.
ด้วยรัก
Sithiphong
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 06, 2020, 11:42:49 am
เมื่อวานนี้ (วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม 2563)

ผม , ชาวชมรมพระวังหน้า และ คณะพระวังหน้า ได้ไปร่วมทำบุญถวายพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า , พระบรมสารีริกธาตุ พระปัจเจกพุทธเจ้า , พระธาตุพระอรหันต์ , พระวังหน้า พระวังหลวง และพระที่สร้างใหม่ที่บรรจุในกล่องสแตนเลส ไปถวายแม่ชี
.
มีหลายๆท่านที่ได้ร่วมทำบุญกันมา
.
ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำกล่องสแตนเลส
.
การบูชาพระวังหน้าจากผม เพื่อบรรจุลงในกล่องสแตนเลส เพื่อบรรจุในเจดีย์บ้านแสงแห่งธรรม
.
การซื้อเจดีย์และผอบในการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุ
.
เงินทุกบาททุกสตางค์ นำไปจัดทำกล่องสแตนเลส(จำนวน 8 ใบ มีขนาดกว้าง 10 นิ้ว ยาว 10 นิ้ว สูง 10 นิ้ว)
เงินส่วนที่เหลือจากการทำกล่องสแตนเลส
ผมนำไปทำบุญในงานกฐิน ที่ #อาศรมศรีชัยรัตนโคตร อ.เมือง จ.สกลนคร เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2562 และ งานกฐิน ที่ #วัดป่าภัทรปิยาราม อ.เมือง จ.ลพบุรี เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2562
.
ในส่วนที่เหลือนำไปถวายแม่ชี เพื่อสร้างพระเจดีย์ที่บ้านแสงแห่งธรรม
.
และอีกบางส่วนถวายแม่ชีเวลาที่แม่ชีไปจัดตั้งโรงทานในงานบุญต่างๆ
.
การทำบุญกันในครั้งนี้ ทำบุญกัน 2 ครั้ง แต่ได้บุญกันไปหลายบุญมากๆๆๆๆๆๆ
.
.
.
พระบรมสารีริกธาตุ และ พระธาตุ ที่นำไปถวายแม่ชี
.
(บ้านแสงแห่งธรรม ทุ่งนาผางาม ต.บ้านน้อยซุ้มขี้เหล็ก อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก)
.
1.พระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม พระกกุสันโธพุทธเจ้า
.
2.พระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม พระโกนาคมโนพุทธเจ้า
.
3.พระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม พระกัสสโปพุทธเจ้า
.
4.พระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม พระศากยมุนีโคดโมพุทธเจ้า
.
5.พระบรมสารีริกธาตุ พระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่ทราบพระนาม
.
6.พระธาตุ พระอัญญาโกณฑัญญะเถระเจ้า (ส่วนกะโหลกศีรษะ)
.
7.พระธาตุ พระอานนท์เถระเจ้า (ส่วนหัวไหล่)
.
8.พระธาตุ พระสารีบุตรเถระเจ้า (ส่วนศีรษะ)
.
9.พระธาตุ พระธาตุพระโมคคัลลานะเถระเจ้า (พระโลหิต องค์สีแดงองค์เล็ก / ไม่ทราบส่วน)
.
10.พระธาตุ พระราหุลเถระเจ้า (ส่วนสมอง ใส / ส่วนกระดูกซี่โครง สีส้ม)
.
11.พระธาตุ พระมหากัสสปะเถระเจ้า (ส่วนกระดูกสันหลัง เป็นพระธาตุนิมิตร)
.
12.พระธาตุ พระสิวลีเถระเจ้า (ส่วนสมอง ใส / ส่วนกระดูกแขน สีเขียวองค์เล็ก / ส่วนกระดูกสันหลัง สีเขียวองค์ใหญ่)
.
13.พระธาตุ พระอุบาลีเถระเจ้า (ส่วนกระดูกสันหลัง สีชมพู / ส่วนสมอง สีเขียว)
.
14.พระธาตุ พระอุปคุตเถระเจ้า (พระโลหิต สีแดงองค์เล็ก / ไม่ทราบส่วน)
.
15.พระธาตุ พระธาตุหลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า , พระธาตุหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า , พระธาตุนิมิตร หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร 5 พระองค์ ( หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า , หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า , หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า , หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า และ หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า)
.
16.พระเกสา สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร (สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)
.
ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่านที่ได้ร่วมกันทำบุญมาในวาระงานบุญนี้
.
มาร่วมโมทนาบุญกัน บุญเสมอกัน ครับ
.
.
.
.
.
#พระบรมสารีริกธาตุ
#องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
#พระกกุสันโธพุทธเจ้า
#พระโกนาคมโนพุทธเจ้า
#พระกัสสโปพุทธเจ้า
#พระศากยมุนีโคดโมพุทธเจ้า
#พระปัจเจกพุทธเจ้า
#พระธาตุ #พระอัญญาโกณฑัญญะเถระเจ้า
#พระอานนท์เถระเจ้า
#พระสารีบุตรเถระเจ้า
#พระธาตุพระโมคคัลลานะเถระเจ้า
#พระราหุลเถระเจ้า
#พระมหากัสสปะเถระเจ้า
#พระสิวลีเถระเจ้า
#พระอุบาลีเถระเจ้า
#พระอุปคุตเถระเจ้า
#หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า
#หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า
#หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร
#หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี
#หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์
#หลวงปู่เทพโลกอุดร
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
#คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ
#พระเจ้าอโศกมหาราช
#พระเกสาสมเด็จพระญาณสังวร
#พระธาตุนิมิตร
#ถวายพระบรมสารีริกธาตุองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
#ถวายพระบรมสารีริกธาตุพระปัจเจกพุทธเจ้า
#ถวายพระธาตุพระอรหันต์
#พระเจดีย์บ้านแสงแห่งธรรมทุ่งนาผางาม
#โรงทาน

รูปสงวนลิขสิทธิ์
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 11, 2020, 08:08:43 pm
นำมาให้ชม ชุดเต็มๆ  อีกรอบ
.
พระชัย(ชนะ)สุโขทัย เนื้อทองคำ
.
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เป็นผู้ที่ให้ดำเนินการจัดสร้างขึ้น
.
มีผู้ที่อัญเชิญองค์ผู้อธิษฐานจิต  ซึ่งท่านผู้อัญเชิญ ผมบอกได้ว่า สุดยอดจริงๆ
.
การอาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ , พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ , พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ และ พระมหาโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ มาอธิษฐานจิต พระขัย ชุดนี้
.
วาระการสร้าง เพื่อเฉลิมฉลองการขับไล่ขอมสบาดโขลญลำพงออกจากกรุงสุโขทัย
.
การขับไล่ขอมสบาดโขลญลำพงออกจากกรุงสุโขทัย  องค์กษัตริย์ที่ยกกองทัพเข้าไปตีขอมฯ คือ พ่อขุนผาเมือง เมื่อตีได้แล้ว ได้ยกเมืองสุโขทัยให้กับ พ่อขุนบางกลางหาว (หรืออีกชื่อ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์)
.
ผมบอกได้อย่างเดียวว่า ไม่สามารถที่จะหาพระเครื่องในลักษณะนี้ได้อีกแล้วในโลกนี้ ครับ
.
ในปัจจุบัน พ่อขุนศรีอินทราทิตย์  ได้กลับชาติมาเกิดเป็นชาติสุดท้ายแล้ว  เป็นพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา  ผมได้มีโอกาสพา พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ หลายๆท่าน ไปกราบท่านมาแล้ว ครับ
.
ก่อนหน้านี้ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์  ได้เวียนว่ายตายเกิดตามหลักกฎแห่งกรรมของพระพุทธศาสนา
.
รูปสงวนลิขสิทธิ์
.

.
#พระชัยชนะสุโขทัย
#พระชัยสุโขทัย
#พ่อขุนศรีอินทราทิตย์
#พ่อขุนบางกลางหาว
#พ่อขุนผาเมือง
#ผู้อธิษฐานจิต
#องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์
#พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ 
#พระอรหันต์ทุกพระองค์
#พระมหาโพธิสัตว์ทุกพระองค์
#วาระการสร้าง
#เฉลิมฉลองการขับไล่ขอมสบาดโขลญลำพงออกจากกรุงสุโขทัย
#ขอมสบาดโขลญลำพง
#กฎแห่งกรรมของพระพุทธศาสนา
.
.--------------------------------------------------
.
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๑ แห่งราชวงศ์พระร่วงกรุงสุโขทัย  เสวยราชสมบัติตั้งแต่ พ.ศ. ๑๗๙๒ ถึงปีใดไม่ปรากฏ พระนามเดิมคือพ่อขุนบางกลางหาว มีมเหสีคือนางเสือง มีพระราชโอรส ๓ พระองค์ พระราชธิดา ๒ พระองค์ พระราชโอรสองค์ใหญ่สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ส่วนพระราชโอรสองค์ที่ ๒ และ ๓ คือพ่อขุนบานเมืองและพ่อขุนรามคำแหงทรงครองราชย์ต่อมาตามลำดับ เดิมพ่อขุนบางกลางหาวทรงเป็นเจ้าเมืองอยู่ที่ใดไม่ปรากฏ แต่ข้อความในศิลาจารึกหลักที่ ๒ ทำให้ทราบว่าอยู่ใต้เมืองบางยางลงไป มีผู้เสนอความเห็นว่าพ่อขุนบางกลางหาวน่าจะอยู่แถวกำแพงเพชร
.
            ก่อนราชวงศ์พระร่วงอาณาจักรสุโขทัยมีราชวงศ์พ่อขุนศรีนาวนำถุมครองอยู่ ในรัชสมัยของพ่อขุนศรีนาวนำถุมซึ่งเริ่มประมาณ พ.ศ. ๑๗๖๒ อาณาจักรสุโขทัยครอบคลุมถึงเมืองฉอด (ใกล้แม่น้ำเมย) ลำพูน น่าน พิษณุโลก ต่อมาอาณาจักรสุโขทัยตกอยู่ใต้อำนาจขอมสบาดโขลญลำพง จนกระทั่งพ่อขุนผาเมืองโอรสของพ่อขุนศรีนาวนำถุมทรงร่วมมือกับพ่อขุนบางกลางหาวขับไล่ขอมสบาดโขลญลำพงไป   พ่อขุนบางกลางหาวทรงยึดเมืองศรีสัชนาลัยได้และทรงเวนเมืองให้พ่อขุนผาเมือง พ่อขุนผาเมืองจึงอภิเษกพ่อขุนบางกลางหาวเป็นกษัตริย์สุโขทัย พ่อขุนผาเมืองซึ่งเป็นพระชามาดา (ลูกเขย)ของกษัตริย์ขอมทรงยกพระนามศรีอินบดินทราทิตย์ซึ่งพระองค์ได้รับมาจากกษัตริย์ขอมมอบให้แก่พ่อขุนบางกลางหาว แต่พ่อขุนบางกลางหาวทรงใช้พระนามว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ บางทีอาจจะทรงเห็นว่าพระนามเดิมมาจากคำ อินทรปัต + อินทร + อาทิตย์ แสดงว่าอยู่ใต้อินทรปัตซึ่งเป็นเมืองหลวงของขอม (ดังปรากฏในจารึกหลักที่ ๒) ก็เป็นได้
.
             การที่พ่อขุนผาเมืองทรงยกสุโขทัยและอภิเษกพ่อขุนบางกลางหาวเป็นกษัตริย์ อาจจะทรงเห็นว่าสุโขทัยในขณะนั้นเป็นเมืองเล็กกว่าศรีสัชนาลัย หรืออาจจะเป็นเพราะว่านางเสือง พระมเหสีของพ่อขุนบางกลางหาวเป็นพระภคินี (พี่สาว) ของพ่อขุนผาเมือง พ่อขุนบางกลางหาวจึงทรงมีสิทธิที่จะได้ครองเมืองก่อนพ่อขุนผาเมืองก็เป็นได้
.
             พ่อขุนผาเมืองเป็นเจ้าเมืองราด มีพระอนุชาคือพระยาคำแหงพระรามครองเมืองสระหลวงสองแคว (พิษณุโลก) โอรสของพระยาคำแหงพระราม คือ มหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนี เมื่อเป็นฆราวาสมีฝีมือในการสู้รบ ได้ชนช้าชนะหลายครั้ง รู้ศิลปศาสตร์หลายประการ ขณะอายุ ๓๐ ปีมีบุตรแต่เสียชีวิต มหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนีจึงออกบวช ได้ไปปลูกต้นโพธิ์ สร้างพิหาร อาวาส และซ่อมแซมพระศรีรัตนมหาธาตุทั้งในและนอกประเทศ เช่น พม่า อินเดีย และลังกา
.
            อนึ่ง เมืองราดตั้งอยู่ที่ใดมีผู้สันนิษฐานไว้ต่างๆ กันสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าเมืองราดน่าจะอยู่ที่เพชรบูรณ์และเมืองลุมคือเมืองหล่มเก่าแต่ผู้เขียน(ประเสริฐ ณ นคร) วางตำแหน่งเมืองราดเมืองสะค้าและเมืองลุมบาจายไว้ที่ลุ่มแม่น้ำน่านด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
.
จากจารึกหลักที่ ๒ ทำให้ทราบว่าเมืองราดเมืองสะค้าและเมืองลุมบาจายเป็นกลุ่มเมืองที่อยู่ใกล้กันพ่อขุนผาเมืองอยู่เมืองราดและกษัตริย์น่านมีพระนามผานองผากองและผาสุมแต่กษัตริย์เมืองอื่นไม่ใช้“ผา”นำหน้าพระนามเลยพ่อขุนผาเมืองจึงน่าจะเป็นกษัตริย์น่าน(คือเมืองราดนั่นเอง)นอกจากนี้ยังมีพระราชโอรสของกษัตริย์น่านมีพระนามว่าบาจายอาจจะแสดงว่าน่านมีอำนาจเหนือบาจายแบบพระนามกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์แสดงว่ากรุงเทพฯมีอำนาจเหนือราชบุรีนั่นเอง
.
              อีกประการหนึ่ง จารึกหลักที่ ๘ กล่าวถึงไพร่พลของพระเจ้าลิไทยว่ามีทั้งชาวสระหลวงสองแควพระบางฯลฯเริ่มตั้งแต่เมืองทางทิศตะวันออกของสุโขทัยแล้วกวาดไปทางใต้ทางทิศตะวันตกทางทิศเหนือจนกลับมาจบที่ทิตะวันออกตามเดิมจารึกหลักอื่นเช่นหลักที่ ๓๘ และจารึกวัด อโสการาม (หลักที่๙๓) ก็ใช้ระบบเดียวกันโดยถือตามพระพุทธศาสนาว่าตะวันออกเป็นทิศหน้าแล้ววนตามเข็มนาฬิกาเริ่มจากสระหลวงสองแควคือพิษณุโลกไปปากยม(พิจิตร)พระบางไปชากังราวสุพรรณภาวกำแพงเพชรรวม ๓ เมืองที่กำแพงเพชรบางพาน(อำเภอพานกระต่ายกำแพงเพชร)ต่อไปจะถึงราดสะค้า ลุมบาจายซึ่งจะอยู่ระหว่างทิศเหนือกวาดมาทางทิศตะวันออกของสุโขทัยและย่อมจะอยู่เหนือสระหลวงสองแควขึ้นไป จารึกหลักที่ ๑ วางลุมบาจายและสะค้าไว้ระหว่างพิษณุโลกกับเวียงจันทน์
.
               อีกประการหนึ่ง ตอนพ่อขุนผาเมืองยกมาช่วยพ่อขุนบางกลางหาวรบกับขอมสบาดโขลญลำพงที่สุโขทัยถ้าหากพ่อขุนผาเมืองอยู่แถวเพชรบูรณ์คงจะมาช่วยไม่ทันสินชัยกระบวนแสงจากคณะโบราณคดีมหาวิทยาลัยศิลปากรพบใบลานที่วัดช้างค้ำเมืองน่านกล่าวถึงเหตุการณ์สมัยรัชกาลที่ ๒ ว่า เจ้าผู้ครองน่านขึ้นตามแม่น้ำน่านไปถึงอำเภอท่าปลา (ปัจจุบันคือจังหวัดอุตรดิตถ์) ใกล้ห้วยแม่จริม“เมืองราดเก่าหั้น”แสดงว่าสมัยต้นรัตนโกสินทร์ยังทราบกันดีว่าเมืองราดอยู่บนแม่น้ำน่านใกล้อำเภอท่าปลา
ที่มา http://historytactic.blogspot.com/2015/08/blog-post_29.html (http://historytactic.blogspot.com/2015/08/blog-post_29.html)
.
----------------------------------------------------
.
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์
.
ประวัติ
.
          ราชวงศ์สุโขทัยมีประวัติปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ 2 (จารึกวัดศรีชุม) ใจความว่า ผู้ตั้งราชวงศ์มี 2 คน ด้วยกัน คือ พ่อขุนผาเมือง และพ่อขุนบางกลางหาว ได้ช่วยกันตั้งราชวงศ์ขึ้นเมื่อพ.ศ. 1800 พ่อขุนผาเมืองเป็นลูกพ่อขุนศรีนาวนำถม ซึ่งเป็นเจ้าเมืองสุโขทัยในครั้งนั้นเมืองสุโขทัยยังเป็นเมืองประเทศราชของขอมอยู่
.
          พ่อขุนผาเมืองนั้น พระเจ้ากรุงกัมพูชาพระราชทานนามว่า กมรเตงอัญศรีอินทรปตินทราทิตย์ และได้พระราชทานพระราชธิดาองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระนางสิงขรมหาเทวี พ่อขุนผาเมืองเป็นเจ้าเมืองราด ส่วนพ่อขุนบางกลางหาวนั้นเป็นเจ้าเมืองบางยาง (แต่เดิมนั้น เรียกชื่อพ่อขุนบางกลางหาวว่า บางกลางทาว หรือ บางกลางท่าว ต่อมา ดร. ประเสริฐ ณ นคร ตรวจสอบอักษรที่จารึกใหม่พบว่า แท้ที่จริง จารึกเขียนว่า บางกลางหาว เพราะที่อ่านกันแต่เดิมนั้น เข้าใจผิดไปว่าเป็น "ท ทหาร" ที่แท้คือ " ห หีบ" และ"ไม้เอก" ก็ไม่มี) ครั้งนั้นเมืองสุโขทัยมีข้าหลวงเขมรชื่อ โขลญลำพง เป็นผู้รักษาเมืองหรือสำเร็จราชการอยู่ พ่อขุนบางกลางหาวเป็นมิตรสหายของพ่อขุนผาเมือง ทั้งสองได้ตั้งใจตีเมืองสุโขทัย พ่อขุนบางกลางหาวได้เมืองศรีสัชนาลัย ส่วนพ่อขุนผาเมืองเมื่อได้เมืองบางขลังแล้วก็นำพลมาทางเมืองราด เมืองศรีสัชนาลัยถึงเมืองสุโขทัย ข้าหลวงขอมไม่อาจสู้ได้ ต้องยอมแพ้และทิ้งเมืองสุโขทัยไป
.
          เมื่อได้เมืองสุโขทัยแล้วพ่อขุนผาเมืองได้นำพลออกและได้อภิเษกพ่อขุนบางกลางหาวให้เป็นเจ้าเมืองสุโขทัย ถวายพระนามตามพระนามของตนที่ได้รับพระราชทานจากพระเจ้ากรุงกัมพูชาว่า "กมรเดงอัญศรีอินทรปตินทราทิตย์" (ในตอนต้นศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง เรียกโดยย่อว่า ศรีอินทราทิตย์ เป็นพระนามพระราชบิดาของพ่อขุนรามคำแหง) พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ซึ่งเป็นปฐมกษัตริย์ในราชวงศ์สุโขทัยนั้น ในหนังสือชินกาลมาลินี และสิหิงคนิทาน เรียกว่า โรจนราช หรือสุรางคราช คือ พระร่วง (สำหรับพระนามพระร่วงนี้มีหลักฐานไม่แน่ชัดว่า หมายจำเพาะเจาะจงว่าเป็นองค์ใด บ้างก็ว่าหมายถึงพระเจ้าศรีอินทราทิตย์ บ้างก็ว่า หมายถึงพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และบ้างก็ว่าหมายถึงกษัตริย์ทุกพระองค์ในราชวงศ์พระร่วง)
ที่มา http://www.info.ru.ac.th/province/Sukhotai/pkr1.htm (http://www.info.ru.ac.th/province/Sukhotai/pkr1.htm)
.
---------------------------------------------
.
ประวัติพ่อขุนศรีอินทราทิตย์
.
                      ตามพงศาวดาร และคัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์  ได้กล่าวไว้ว่าพ่อขุนศรี  อินทราทิตย์มีพระนามเต็ม  คือ  กำมรเตงอัญศรีอินทรบดินทราทิตย์  พระนามเดิม  พ่อขุนบางกลางหาว (ไม่ใช่  “กล่างท่าว”)  ทรงเป็นปฐมวงศ์ราชวงศ์พระร่วงแห่งอาณาจักรสุโขทัย  ครองราชย์สมบัติ  ตั้งแต่  พ.ศ.  1782 - 1822 (30 ปี คำนวณศักราชจากคัมภีร์สุริยยาตรตามข้อเสนอของ  ศ.ประเสริฐ  ณ  นครและ  พ.อ.พิเศษ  เอื้อนมณเฑียรทอง)
.
                       เมื่อจุลศักราช 536 พระเจ้าสุริยราชา ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ของพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ ได้ทรงตบแต่งซ่อมแซมแปลงเมืองพิจิตรปราการ(กำแพงเพชร)ขึ้นใหม่ครองราชย์สมบัติต่อไป มีพระอัครมเหสีทรงพระนามว่า สิริสุธาราชเทวี มีพระราชโอรสองค์หนึ่งด้วยพระอัครมเหสี ทรงพระนามว่าจันทกุมารพระเจ้าสุริยราชา เมื่อแรกได้ราชสมบัติพระชนม์ได้ 20 พรรษา อยู่ในราชสมบัติ 28 ปี เสด็จสวรรคตพระชนม์ได้ 47 พรรษา พระองค์ประสูติวันจันทร์ จุลศักราช 570 พระจันทกุมารราชโอรส ได้ขึ้นครองราชย์สมบัติ ทรงพระนามว่า พระเจ้าจันทรราชาและตามพระราชพงศาวดารโยนก หน้า 80 วรรค 2 กล่าวไว้ว่ายังมีข้อความในหนังสือชินกาลมาลินี กล่าวถึงมูลประวัติของพระเจ้าโรจนราชผู้ได้ พระพุทธสิหิงค์มาจากศรีธรรมนครนั้นว่า บุรุษผู้หนึ่งหลงป่าที่บริเวณ บ้านโคณคาม(เข้าใจว่าบ้านโคนริมเมืองเทพนคร)และได้พบนางเทพธิดาแปลงเป็นมนุษย์(สาวชาวบ้านเมืองคณฑี)มาร่วมสมัครสังวาสเกิดบุตรได้มาเป็นเจ้ากรุงสุโขทัยทรงนามว่า โรจราช
.
                           ประวัติพระองค์ท่านจากคัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์  หน้า  112-113  ตอนหนึ่งกล่าวถึงการประสูติของพระองค์ ได้ยินว่าที่บ้านโค  (บ้านโคน จังหวัดกำแพงเพชร  ในปัจจุบัน)  ยังมีชายคนหนึ่ง(จันทราชา)รูปงามมีกำลังมาก ท่องเที่ยวอยู่ในป่า  มีนางเทพธิดาองค์หนึ่ง(สาวชาวบ้านเมืองคณฑี)เห็นชายคนนั้นแล้ว  ใคร่ร่วมสังวาสด้วยจึงแสดงมารยาหญิง  ชายคนนั้นก็ร่วมสังวาสกับนางเทพธิดาองค์นั้น  เนื่องจากการร่วมสังวาสของทั้งสองคนนั้นจึงเกิดบุตรชายคนหนึ่ง  และบุตรชายคนนั้นมีกำลังมาก  รูปงาม  เพราะฉะนั้น  ชาวบ้านทั้งปวงจึงพร้อมใจกันทำราชาภิเษกบุตรชายคนนั้น  บุตรชายซึ่งครองราชย์สมบัติในเมืองสุโขทัยนั้น ปรากฏพระนามในครั้งนั้นว่า  โรจราช    ภายหลังปรากฏพระนามว่าพระเจ้าล่วง
.
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์  ทั้งหมดเชื่อได้ว่า  เมืองคณฑีโบราณ  หรือตำบลคณฑี
.
จังหวัดกำแพงเพชร  ในปัจจุบันนั้นอยู่ในอาณาจักร  สุโขทัย  เนื่องจากพระเจ้าสุริยราชา  (พระอัยกาของ  พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ )  ครองราชย์สมบัติที่เมืองพิจิตปราการ  (เมืองกำแพงเพชร  ปัจจุบัน) หลังจากนั้นก็เสด็จสวรรคตและต่อมาพระจันทกุมารราชโอรส  (พระเจ้าจันทรราชา  พระราชบิดา  ของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์)  ก็เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติต่อ  ระหว่างนี้เกิดปาฏิหาริย์หลายสิ่งมากมายจนกระทั่งได้มเหสีเป็นเชื้อชาตินางนาคกุมารี  และมีพระราชโอรสคือ  พระร่วง  (พ่อขุนศรีอินทราทิตย์)  นั่นเอง  เพราะอีกเหตุผลหนึ่งที่น่าเชื่อถือคือ  พ่อขุนศรีอินทราทิตย์  หรือพระนามเต็ม กำมรเตงอัญศรีอินทรบดินทราทิตย์  ชินกาลมาลีปกรณ์  ว่า  บ้านเดิมของพระองค์อยู่ที่  “บ้านโคน ” ในจังหวัดกำแพงเพชร  พระองค์ทรงนำชนชาติไทยต่อสู้กับชนชาติขอมซึ่งเป็นใหญ่อยู่ในสุวรรณภูมิ  อันเป็นที่ตั้งของประเทศไทยส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงกรุงสุโขทัยด้วย  ทรงได้ชัยชนะขอมและประกาศอิสรภาพ  ตั้งราชอาณาจักรสุโขทัย  ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์แรกและเป็นต้นราชวงศ์พระร่วง เป็นปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทย
.
ส่วนพระราชกรณียกิจที่สำคัญ
.
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์เมื่อครั้งยังเป็นพ่อขุนบางกลางหาวได้ร่วมกับพ่อขุนผาเมือง  เจ้า  เมืองราด  แห่งราชวงศ์ศรีนาวนำถมรวมกำลังพลกัน  กระทำรัฐประหารขอมสบาดโขลญลำพง  โดยพ่อขุนบางกลางหาวตีเมือง  ศรีสัชนาลัย  และเมืองบางขลงได้  และยกทั้งสองเมืองให้พ่อขุนผาเมือง  ส่วนพ่อขุนผาเมืองตีเมืองสุโขทัยได้  ก็ได้มอบเมืองสุโขทัยให้พ่อขุนบางกลางหาว  พร้อมพระขรรค์ชัยศรีและยกพระกนิษฐา(นางเสือง)ให้เป็นมเหสีอีกด้วยส่วนพระนาม  “ศรีอินทรบดินทราทิตย์”  ซึ่งได้นำมาใช้เป็นพระนาม  ภายหลังได้กลายเป็น  ศรีอินทราทิตย์  โดยคำว่า “บดินทร” หายออกไป  เชื่อกันว่าเพื่อเป็นการแสดงว่ามิได้  เป็น  บดีแห่งอินทรปัต  คืออยู่ภายใต้อิทธิพลของเขมร  (เมืองอินทรปัต)  อีกต่อไป การเข้ามาครองสุโขทัยของพระองค์  ส่งผลให้  ราชวงศ์พระร่วง  เข้ามามีอิทธิพลในเขตนครสุโขทัยเพิ่มมากขึ้น  และได้แผ่ขยายดินแดนกว้างขวางมากออกไป  แต่เขตแดนเมืองสลวงสองแคว  ก็ยังคงเป็นฐานกำลังของราชวงศ์ศรีนาวนำถมอยู่ในกลางรัชสมัย  ทรงมีสงครามกับขุนสามชน  เจ้าเมืองฉอด  ทรงชนช้างกับขุนสามชน  แต่ช้างทรงพระองค์  ได้เตลิดหนีดังคำในศิลาจารึกว่า  “หนีญญ่ายพ่ายจแจ” ขณะนั้นพระโอรสองค์เล็ก  ทรงมีพระปรีชาสามารถ  ได้ชนช้างชนะขุนสามชนภายหลังจึงทรงเฉลิมพระนามพระโอรสว่า  รามคำแหงในยุคประวัติพ่อขุน
.
ศรีอินทราทิตย์มีพระราชโอรสและพระธิดารวม  5 พระองค์  ได้แก่
.
1.       พระราชโอรสองค์โต  (ไม่ปรากฏนาม)  เสียชีวิตตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์
.
2.       พ่อขุนบานเมือง
.
3.       พ่อขุนรามคำแหงมหาราช  (พระนามขณะที่ยังทรงพระเยาว์ไม่ปรากฏ)
.
4.       พระธิดา  (ไม่ปรากฏนาม)
.
5.       พระธิดา  (ไม่ปรากฏนาม)
.
วิธีการคิดปั้นรูปหล่อ(จินตนาการ)พ่อขุนศรีฯ
.
เมื่อเทียบเคียงวิเคราะห์ในแง่มุมต่างๆ ของหลักฐานที่มีอยู่ จัดแบ่งลำดับขั้นตอนความสำคัญที่มีลักษณะเด่นเฉพาะ โดยนำมาประมวลออกแบบสร้างสรรค์ให้เป็นรูปธรรมขององค์พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ซึ่งกำหนดลักษณะตามแบบอย่างพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงเครื่องพระอิสริยยศทรงจอมทัพไทย ประทับยืนทรงถือพระแสงขรรค์ชัยศรีด้วยพระหัตถ์ทั้งสองข้าง พระพักตร์ทอดพระเนตรเบื้องหน้าเสมือนกับทรงดูแลอาณาประชาราษฎร์ของพระองค์ให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขขณะเดียวกันก็ยังคงดูลักษณะการประทับยืนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นท่าประทับยื่นที่สง่างามกว่าทุกพระองค์) ประกอบไปด้วย
.
                เมื่อได้ลักษณะของรูปแบบจากความคิดแล้วออกแบบเขียนภาพร่าง โดยคัดเลือกคนผู้เป็นหุ่นยืนเป็นแบบเพื่อดูลักษณะการยืน ดูกล้ามเนื้อ ดูโครงสร้างของร่างกายแต่ละส่วน เพื่อพิจารณาถึงรายละเอียดที่จะต้องแสดงให้ปรากฏออกมา ซึ่งจะต้องมีความเป็นพิเศษต่างจากบุคคลทั่วไป เพื่อให้มีภาพลักษณ์เป็นองค์พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ จากนั้นเป็นเรื่องของแบบเครื่องทรง
.
                  เครื่องทรงของแบบรูปปั้นพ่อขุนศรีอินทราทิตย์พระวรกายตอนบนเป็นลักษณะเครื่องทรงแบบสุโขทัยโบราณ ทรงสวมพระมงกุฎทรงเทริด ยอดพระมงกุฎเป็นลวดลายกลับบัว 3 ชั้น  พระศอมีสร้อยพระศอ และพระกรองศอ สร้อยสังวาลพร้อมทับทรวงพระพาหุตอนบน ประดับพาหุรัด ข้อพระหัตถ์เป็นทองกร พระวรกายจากบั้นพระองค์ถึงพระบาททรงฉลองพระภูษายาวกรอบข้อพระบาท พร้อมคาดปั้นเหน่งทับและห้อยพระสุวรรณกันถอบด้านหน้าพระภูษาทรงด้านเปิดชายผ้าชั้นนอกซ้าย-ขวาลักษณะทิ้งชายผ้าให้พลิ้วเคลื่อนไหว ชายผ้าทั้งชั้นนอกและชั้นในเป็นลายกรวยเชิงประดับ และข้อพระบาทประดับทองบาท(กำไลเท้า) พร้อมฉลองพระบาท ทั้งนี้เพื่อต้องการให้พระบรมรูปมีลักษณะของฉลองพระองค์เป็นแบบมหากษัตริย์สมัยสุโขทัยโบราณตามที่ได้ทำการศึกษาค้นคว้า
.
ที่มา http://khontee.go.th/index.php?options=travel&mode=detail&id=138 (http://khontee.go.th/index.php?options=travel&mode=detail&id=138)
.
..
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 18, 2020, 03:14:32 pm
ทุกวันที่ 18 มกราคม ของทุกปี) เป็นวันคล้ายวันที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงทำสงครามยุทธหัตถีชนะสมเด็จพระมหาอุปราชาของพม่า
.
รำลึกนึกถึงพระคุณของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช , สมเด็จพระเอกาทศรถ  , เหล่าวีรชนทหารกล้าทุกท่าน และ พระสงฆ์ รวมถึงประชาชนในประเทศไทยที่รักชาติรักแผ่นดินที่เป็นเบื้องหลังในการปกป้องประเทศไทยทุกท่าน
.
เรื่องของพระเจดีย์ที่สร้างขึ้นหลังสงครามยุทธหัตถึ  ส่วนตัวมั่นใจอยู่ที่จ.กาญจนบุรี
.
รูปสงวนลิขสิทธิ์
.
.
.**********************************.
.
.


พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

พิกัด
N 14.05883
E 99.67847
.
สถานที่ตั้ง
บ้านดอนเจดีย์ หมู่ที่ 2 ตำบลดอนเจดีย์ อำเภอพนมทวน
.
ประวัติ-ข้อมูลสถานที่
.
พระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชสร้างในวโรกาสมหามงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระชนมายุครบ 6 รอบ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2542 และเพื่อเป็นการถวายราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสครบ 400 ปี แห่งชัยชนะที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จกรีฑาทัพผ่านกาญจนบุรีไปทรงยึดกรุงหงสาวดี เมื่อปี พ.ศ. 2142 สถานที่ตั้งพระบรมราชนุสาวรีย์เป็นสถานที่เชื่อกันว่าสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงทำสงครามยุทธหัตถีชนะสมเด็จพระมหาอุปราชาของพม่า หลักฐานที่ค้นพบเต็มไปด้วยวัตถุโบราณที่ใช้ในการทำสงคราม ทั้งเครื่องศาสตราวุธ เครื่องประดับช้างม้า ลูกประคำม้า เครื่องประดับช้าง ตราม้าศึกและกระสุนปืน
.
พระบรมราชานุสาวรีย์เป็นพระบรมรูปประทับช่วงบนพระคชาธาร พระแสงดาบพาดพระเพลา นายควาญช้างและท้ายช้างประกอบขนาดเท่าครึ่งของครึ่งพระองค์จริง น้ำหนักวัสดุทองเหลืองที่ใช้ในการจัดสร้างประมาณ 20 ตัน งบประมาณในการก่อสร้างเป็นเงินประมาณ 50 ล้านบาท สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2543 และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมงกุฎราชกุมารเสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเปิดพระบรมราชนุสาวรีย์ เมื่อวันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ 2546
.
ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เปิดให้นักท่องเที่ยวและประชาชนสักการะทุกวันระหว่างเวลา 08.30 - 16.30 น.
.
ที่มา http://kanchanaburi.go.th/au/tourkan2015/kingnaresuan.php (http://kanchanaburi.go.th/au/tourkan2015/kingnaresuan.php)
.
.
.--------------------------------------------.
.

สงครามครั้งที่ 10 สงครามยุทธหัตถี
.
            เมื่อพระมหาอุปราชาแตกทัพกลับไปครั้งก่อน  ทำให้พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงทรงพระวิตกยิ่งนัก  เพราะว่าพม่าเสียทั้งรี้พลและอำนาจ  เป็นเหตุให้เมืองขึ้นต่าง ๆ ของพม่าเกิดความเคลื่อนไหวที่จะแข็งเมืองทั่วไป  การที่จะรักษาอำนาจพม่าไว้ได้ ก็ด้วยการเอาชนะไทยให้ได้  พระเจ้าหงสาวดีจึงให้พระมหาอุปราชา  ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาอีก ในปี พ.ศ. 2135
.
            ตามพงศาวดารกล่าวไว้ว่า  พระเจ้าหงสาวดีได้ตัดพ้อในที่ประชุมเจ้านายและขุนนาง  ถึงการที่ไม่มีใครเจ็บร้อนเรื่องเมืองไทย  สมเด็จพระนเรศวรมีรี้พลเพียงหยิบมือเดียว  ก็ไม่มีใครกล้าไปรบพุ่ง  เมืองหงสาวดีคงสิ้นคนดีเสียแล้ว  ขุนนางคนหนึ่งจึงกราบทูลว่า  กรุงศรีอยุธยานั้น สำคัญอยู่ที่สมเด็จพระนเรศวรพระองค์เดียว  เพราะกำลังหนุ่มรบพุ่งเข้มแข็ง  ทั้งบังคับบัญชาผู้คนก็สิทธิ์ขาด  มีคนน้อยก็เหมือนมีคนมาก  เจ้านายในกรุงหงสาวดีที่ทำสงครามเข้มแข็ง เคยชนะศึกเหมือนอย่างสมเด็จพระนเรศวรก็มีอยู่หลายองค์  ถ้าจัดกองทัพให้เป็นหลายกองทัพ แล้วให้เจ้านายดังกล่าวเป็นแม่ทัพ  ยกไปช่วยรบก็เห็นเอาชัยชนะได้  พระเจ้าหงสาวดีก็ได้ตรัสตอบ ตามที่ปรากฎในพระราชพงศาวดารว่า  ข้อเสนอนั้นก็ดีอยู่  แต่ตัวของพระองค์เป็นคนอาภัพ ไม่เหมือนพระมหาธรรมราชาซึ่งมีลูก  พ่อไม่ต้องพักใช้ให้ไปรบ มีแต่กลับจะต้องห้ามเสียอีก  ตัวของพระองค์เองไม่รู้ว่าจะใช้ใคร  พระมหาอุปราชาได้ยินดังนั้น ก็เกิดความอัปยศอดสู  จึงกราบทูลว่าขอรับอาสามาตีเมืองไทยแก้ตัวใหม่
.
            สงครามคราวนี้ ทางพม่าเกณฑ์กองทัพ 3 เมือง คือ กองทัพเมืองหงสาวดี ให้เจ้าเมืองจาปะโร เป็นกองหน้า  พระมหาอุปราชา เป็นกองหลวง  กองทัพเมืองแปร ให้พระเจ้าแปรลูกเธอที่ไปตีเมืองคังได้เมื่อครั้งหลัง เป็นนายทัพ  กองทัพเมืองตองอู ให้นัดจินหน่อง ลูกพระเจ้าตองอู  ผู้ต้านทานกองทัพไทยไว้ได้เมื่อคราวที่พระเจ้าหงสาวดีล่าทัพจากเมืองไทย  เป็นนายทัพ  รวมกำลังพลทั้งสิ้น 240,000 คน  นอกจากนั้น ยังให้พระเจ้าเชียงใหม่ ยกกองทัพเมืองใหม่ใหม่ ลงมาสมทบด้วยอีกหนึ่งกองทัพ
.
            กองทัพพระมหาอุปราชายกออกจากเมืองหงสาวดี  เมื่อวันพุธ ขึ้น 7 ค่ำ เดือนอ้าย ปีมะโรง พ.ศ. 2135  เดินทัพมาทางด่านเจดีย์สามองค์  เมื่อล่วงเข้าถึงตำบลไทรโยค ก็ให้ตั้งค่ายลง แล้วปรึกษาแผนการที่จะเข้าตีเมืองกาญจนบุรี  และเมื่อล่วงมาถึงลำตะเพินในตำบลลาดหญ้า  ก็ให้พระยาจิตตองคุมพลสร้างสะพานเรือก เพื่อใช้ข้ามลำน้ำสายนี้  เมื่อเข้าเมืองกาญจนบุรีได้ก็พักอยู่หนึ่งคืน  แล้วเคลื่อนทัพมายังตำบลตระพังกรุ  แขวงเมืองกาญจนบุรี  พระมหาอุปราชาก็ทรงให้ตั้งค่ายแบบดาวล้อมเดือน ตรงชัยภูมินาคนาม  ทัพพม่ายกมาครั้งนี้ จนล่วงเข้าเขตกาญจนบุรี ไม่มีทัพไทยไปขัดตาทัพเลย  จึงยกเข้ามาได้ตามลำดับ จนเข้าเขตเมืองสุพรรณบุรี แขวงบ้านพนมทวนเวลาบ่ายสามโมง เกิดลมเวรัมภาพัดหมุนเป็นเกลียว ทำให้เศวตฉัตรของพระมหาอุปราชาหักสะบั้นลง  พระมหาอุปราชาเห็นเป็นลางร้าย มีความหวาดหวั่นพรั่นพระหฤทัยที่จะมาทำสงครามเพิ่มมากขึ้น  กองทัพพม่ายกมาถึงตำบลตระพังกรุ แขวงเมืองสุพรรณบุรี ก็ให้หยุดตั้งทัพอยู่ ณ ที่นั้น  แล้วให้สมิงจอดราน  สมิงเป่อ  สมิงซาม่วน คุมกองทัพม้า ออกลาดตระเวณหาข่าวกองทัพพม่าที่จะยกลงมาทางเหนือ  และสืบข่าวกองทัพฝ่ายไทย ว่าได้ยกออกมาและวางกำลังต่อสู้ไว้ที่ใดบ้าง
.
            กองทัพพม่าที่ยกมาครั้งนี้ ในพระราชพงศาวดารกล่าวว่า ได้รบกันที่แขวงเมืองสุพรรณบุรี  และกล่าวถึงกองทัพพระมหาอุปราชาเพียงทัพเดียว  ไม่ปรากฎอีกสองกองทัพ คือกองทัพพระเจ้าแปร และกองทัพนัดจินหน่องแต่อย่างใด  เรื่องนี้ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า  กองทัพพม่าที่ยกมาครั้งนี้ น่าจะยกมาสองทาง คือ กองทัพพระมหาอุปราชายกมาทางด่านเจดีย์สามองค์  ส่วนอีกสองกองทัพยกมาทางด่านแม่ละเมา  และให้พระเจ้าเชียงใหม่คุมเรือเป็นกองลงมาเช่นคราวก่อน  กำหนดให้กองทัพที่ยกมาทั้งสองทางนี้ มารวมกันที่กรุงศรีอยุธยา  แต่เมื่อฝ่ายไทย ตีกองทัพพระมหาอุปราชาแตกไปก่อนแล้ว ก็เป็นอันสิ้นสุดสงคราม  ทัพพม่าอีกสองกองทัพที่ยกมาทางเหนือ  เดินทางมาถึงทีหลัง  จึงยังไม่ทันเข้ารบพุ่งเลยต้องถอยกลับไป  ข้อสันนิษฐานนี้น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด  เพราะแม้แต่จะมีหลักฐานบางแห่งกล่าวว่า  ทัพเจ้าเมืองแปรเป็นปีกซ้าย  ทัพเจ้าเมืองตองอูเป็นปีกขวา  เมื่อพิจารณาภูมิประเทศของเส้นทางเดินทัพมาทางด่านเจดีย์สามองค์  ห้องภูมิประเทศจะไม่อำนวยให้จัดทัพเช่นนั้นได้ จะทำได้เมื่อกองทัพเข้าสู่ที่ราบแล้วเท่านั้น และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ควรจะได้ปรากฎการปฏิบัติการของกองทัพทั้งสอง บันทึกไว้แน่นอน
.
            ฝ่ายสมเด็จพระนเรศวร  ตั้งแต่กองทัพพระมหาอุปราชาแตกกลับไปเมื่อครั้งก่อน พระองค์ก็ทรงประมาณสถานการณ์ว่า ไทยคงจะว่างศึกไปสักปีสองปี  เพราะข้าศึกบอบช้ำมาก ต้องใช้เวลาฟื้นฟูเป็นเวลานาน  ดังนั้นในปีมะโรง พ.ศ. 2135  ทรงวางแผนที่จะไปตีกรุงกัมพูชา  เนื่องจากในระหว่างที่ไทยทำศึกติดพันอยู่กับพม่านั้น  เขมรจะฉวยโอกาสเข้ามาซ้ำเติมไทยอยู่หลายครั้ง  แม้ต่อมาเมื่อเขมรเห็นว่าไทยเข้มแข็งขึ้น  รบชนะพม่าทุกครั้งจะรีบเข้ามาขอเป็นไมตรีกับไทยก็ตาม  แต่ครั้นเห็นพระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง ยกกองทัพใหญ่เข้ามาล้อมกรุงศรีอยุธยา  เขมรคาดว่าไทยจะสู้พม่าไม่ได้  ก็หันกลับไปสู่พฤติกรรมเดิม  ฉวยโอกาสยกกำลังเข้ามาโจมตีไทยอีก  พระองค์จึงคอยหาโอกาส ที่จะยกกำลังไปปราบปรามเขมรให้สำนึกตน  ครั้นถึงเดือนอ้าย ปีมะโรง พ.ศ. 2135  พระองค์ได้ทรงให้มีท้องตรา เกณฑ์ทัพเพื่อไปตีเมืองเขมร  กำหนดให้ยกทัพไปในเดือนยี่  พอมีท้องตราไปได้ 6 วัน ถึงวันขึ้น 12 ค่ำ เดือนยี่  ก็ได้รับใบบอกจากเมืองกาญจนบุรีว่า  พระเจ้าหงสาวดีทรงให้พระมหาอุปราชา ยกกองทัพเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์  และได้ข่าวจากหัวเมืองเหนือว่า  มีกองทัพข้าศึกยกลงมาอีกทางหนึ่ง
.
            ด้วยพระอัจฉริยภาพของพระองค์  ทรงพระราชดำริว่าข้าศึกยกลงมาสองทาง  ถ้าปล่อยให้มาสมทบกันได้ ก็จะทำให้ข้าศึกมีกำลังมาก  เมื่อกองทัพพระมหาอุปราชายกเข้ามาก่อน  จึงจะต้องชิงตีให้แตกเสียก่อน เป็นการรวมกำลังเข้ากระทำการต่อข้าศึกเป็นส่วนๆ ไป  เช่นที่เคยเอาชนะกองทัพพระยาพสิม  ก่อนที่กองทัพพระเจ้าเชียงใหม่จะยกลงมาถึง ในสงครามครั้งแรก   ดังนั้น จากการเตรียมประชุมพลที่ทุ่งบางขวด เพื่อเตรียมยกไปตีกรุงกัมพูชา  ก็เปลี่ยนมาเป็นประชุมพลที่ทุ่งป่าโมก  แขวงเมืองวิเศษไชชาญ  อันเป็นเส้นทางร่วมที่จะยกทัพไปเมืองสุพรรณบุรี  และไปเมืองเหนือได้ทั้งสองทาง
.
            ในระหว่างนั้น พระองค์ก็ทรงให้พระอมรินทรฤาไชย  ผู้ว่าราชการเมืองราชบุรี คุมพล 500 คน  จัดกำลังแบบกองโจร ออกไปปฏิบัติการตีตัดเส้นทางลำเลียง  และรื้อสะพานทางเดินทัพของข้าศึกทางด้านหลัง  จัดทัพหัวเมือง ตรี จัตวา  และหัวเมืองปักษ์ใต้ รวม 23 หัวเมือง  รวมกำลังพลได้ 50,000 คน  ให้พระยาศรีไสยณรงค์เป็นนายทัพ พระยาราชฤทธานนท์เป็นยกกระบัตร คุมกองทัพหัวเมือง ไปตั้งขัดตาทัพสะกัดข้าศึกอยู่ที่ลำน้ำท่าคอย  แขวงเมืองสุพรรณบุรี  เมื่อเตรียมทัพหลวงเสร็จ  สมเด็จพระนเรศวร กับสมเด็จพระเอกาทศรถ ก็เสด็จโดยกระบวนเรือพระที่นั่งจากพระนคร  ไปทำพิธีฟันไม้ข่มนามที่ทุ่งลุมพลี เมื่อวันขึ้น 9 ค่ำ เดือนยี่  แล้วเสด็จไปยังที่ตั้งทัพชัย ที่ตำบลมะม่วงหวาน  หยุดปรับกระบวนทัพอยู่สามคืน  พอวันขึ้น 12 ค่ำ ก็เสด็จยกกองทัพหลวงมีกำลังพล 100,000 คน  ออกจากทุ่งป่าโมกไปเมืองสุพรรณบุรีทางบ้านสามโก้  ข้ามลำน้ำสุพรรณที่ท่าท้าวอู่ทอง  ไปถึงค่ายหลวงที่หนองสาหร่ายริมลำน้ำท่าคอย เมื่อวันขึ้น 14 ค่ำ
.
            มีความในพระราชพงศาวดาร แสดงถึงความอัศจรรย์ตอนหนึ่งว่า  ขณะเมื่อสมเด็จพระนเรศวร ประทับอยู่ที่ค่ายหลวง ตำบลมะขามหวาน  ก่อนวันที่จะเสด็จยกกองทัพไปเมืองสุพรรณบุรี  ในตอนกลางคืน พระองค์ทรงพระสุบินว่า มีน้ำท่วมป่า หลากมาแต่ทางทิศตะวันตก  พระองค์เสด็จลุยน้ำไปพบจรเข้ใหญ่ตัวหนึ่ง ได้เข้าต่อสู้กัน ทรงประหารจรเข้นั้นสิ้นชีวิตด้วยฝีพระหัตถ์ สายน้ำนั้นก็เหือดแห้งไป  ทรงมีรับสั่งให้โหรทำนายพระสุบินนั้น  พระยาโหราธิบดีกราบทูลพยากรณ์ว่า เสด็จไปคราวนี้จะได้รบพุ่งกับข้าศึก เป็นมหายุทธสงคราม ถึงได้ทำยุทธหัตถีและจะมีชัยชนะข้าศึก
.
            มีเรื่องของศุภนิมิตครั้งที่สองที่ได้กล่าวไว้ในที่บางแห่งว่า  เมื่อใกล้ฤกษ์ยกทัพ  สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถ  เสด็จไปยังเกยทรงช้างพระที่นั่งตามพิชัยฤกษ์นั้น  พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นพระบรมสารีริกธาตุ ขนาดเท่าผลส้มเกลี้ยง  ส่องแสงเรืองอร่าม ลอยมาในท้องฟ้าทางทิศใต้  แล้วลอยวนรอบกองทัพไทย เป็นทักษิณาวัตรสามรอบ  จากนั้นจึงลอยขึ้นไปทางทิศเหนือ  สมเด็จพระนเรศวร  และพระอนุชาทรงปิติยินดีตื้นตันพระราชหฤทัยยิ่งนัก  ทรงนมัสการและอธิษฐานให้  พระบรมสารีริกธาตุนั้น ปกป้องคุ้มครองกองทัพไทย ให้พ้นอันตรายจากผองภัยทั้งมวล
.
            เมื่อสมเด็จพระนเรศวรเสด็จถึงหนองสาหร่าย  ก็ทรงให้กองทัพพระศรีไสยณรงค์ กับ พระราชฤทธานนท์ ซึ่งออกไปขัดตาทัพอยู่ก่อนที่ลำน้ำท่าคอย  เลื่อนออกไปขัดตาทัพที่ดอนระฆัง  ส่วนกองทัพหลวงก็ทรงให้เตรียมค่ายคู  และกระบวนทัพที่จะรบข้าศึก  ด้วยคาดว่าคงจะได้ปะทะกันในวันสองวันเป็นแน่  เพราะกองทัพของทั้งสองฝ่ายอยู่ใกล้กันมากแล้ว  พระองค์ทรงจัดทัพเป็นขบวน  เบญจเสนา 5 ทัพ  ดังนี้
.
            ทัพที่ 1  เป็นกองหน้า  ให้พระยาสีหราชเดโชชัยเป็นนายทัพ  พระยาพิชัยรณฤทธิ์ เป็นปีกขวา  พระยาวิชิตณรงค์ เป็นปีกซ้าย
.
            ทัพที่ 2  เป็นกองเกียกกาย  ให้พระยาเทพอรชุน เป็นนายทัพ  พระยาพิชัยสงคราม เป็นปีกขวา  พระยารามคำแหง เป็นปีกซ้าย
.
            ทัพที่ 3  เป็นกองหลวง  สมเด็จพระนเรศวร ทรงเป็นจอมทัพ  พร้อมด้วยสมเด็จพระเอกาทศรถ  เจ้าพระยามหาเสนา เป็นปีกขวา  เจ้าพระยาจักรี เป็นปีกซ้าย
.
            ทัพที่ 4  เป็นกองยกกระบัตร  ให้พระยาพระคลัง เป็นนายทัพ  พระราชสงคราม เป็นปีกขวา  พระรามรณภพ เป็นปีกซ้าย
.
            ทัพที่ 5  เป็นกองหลัง  ให้พระยาท้ายน้ำ เป็นนายทัพ  หลวงหฤทัย เป็นปีกขวา  หลวงอภัยสุรินทร์เป็นปีกซ้าย
.
            ค่ายที่หนองสาหร่ายนี้  ทรงให้ตั้งเป็นกระบวนปทุมพยุหะเป็นรูปดอกบัว  และเลือกชัยภูมิครุฑนาม  เพื่อข่มกองทัพข้าศึกซึ่งตั้งในชัยภูมินาคนาม  ตามหลักตำราพิชัยสงคราม
.
            ครั้นถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือนยี่  พระยาศรีไสยณรงค์บอกมากราบทูลว่า  ข้าศึกยกกองทัพใหญ่พ้น บ้านจรเข้สามพันมาแล้ว  สมเด็จพระนเรศวรจึงมีรับสั่งให้กองทัพทั้งปวง เตรียมตัวรบข้าศึกในวันรุ่งขึ้น  แล้วสั่งให้พระยาศรีไสยณรงค์ ยกออกไปหยั่งกำลังข้าศึก แล้วให้ถอยกลับมา
.
            ในวันจันทร์  แรม 2 ค่ำ เดือนยี่  สมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถ  ทรงเครื่องพิชัยยุทธ ให้ผูกช้างพระที่นั่งชื่อ พลายภูเขาทอง  ขึ้นระวางเป็นเจ้าพระยาไชยานุภาพ  เป็นพระคชาธารของพระองค์  มีเจ้ารามราฆพเป็นกลางช้าง นายมหานุภาพเป็นควาญ  อีกช้างหนึ่งชื่อพลายบุญเรือง  ขึ้นระวางเป็นเจ้าพระยาปราบไตรจักร  เป็นพระคชาธารสมเด็จพระเอกาทศรถ  มีหมื่นภักดีศวรเป็นกลางช้าง ขุนศรีคชคงเป็นควาญ พร้อมด้วย นายแวง จตุลังคบาท  พวกทหารคู่พระทัยสำหรับรักษาพระองค์
.
            ขณะนั้นเสียงปืนจากการปะทะกัน ระหว่างทัพหน้าของไทย กับทัพหน้าของพม่าดังขึ้น  พระองค์จึงดำรัสให้จมื่นทิพเสนา ปลัดกรมตำรวจ เอาม้าเร็วไปสืบข่าว ได้ความว่า  พระยาศรีไสยณรงค์ได้ยกกำลังออกไป และได้ปะทะกับข้าศึกที่ ตำบลดอนเผาข้าวเมื่อเวลาเช้า  ฝ่ายข้าศึกมีกำลังมากต้านทานไม่ไหว จึงแตกถอยร่นมา  สมเด็จพระนเรศวรจึงปรึกษาแม่ทัพนายกองว่า สถานการณ์เช่นนี้ควรจะทำอย่างไร  บรรดาแม่ทัพนายกองทั้งหลายกราบทูลว่า ควรให้มีกองทัพหนุน ออกไปช่วยต้านทานข้าศึกไว้ให้อยู่เสียก่อน  แล้วจึงให้ทัพหลวงออกมาตีภายหลัง  สมเด็จพระนเรศวรไม่ทรงเห็นชอบด้วย  มีพระดำรัสว่า กองทัพแตกลงมาเช่นนี้แล้ว  จะให้กองทัพไปหนุน ไหนจะรับไว้อยู่  มาปะทะกันเข้าก็จะพากันแตกลงมาด้วยกัน  ควรที่จะล่าถอยลงมาโดยเร็ว  เพื่อปล่อยให้ข้าศึกยกติดตามมาอย่างไม่เป็นกระบวน พอได้ทีให้ยกกำลังส่วนใหญ่เข้าโจมตีข้าศึก ก็คงจะได้ชัยชนะโดยง่าย  สมเด็จพระนเรศวรจึงมีรับสั่งให้จมื่นทิพเสนา กับ จมื่นราชามาตย์  ขึ้นม้าเร็ว รีบไปประกาศแก่พวกกองทัพหน้าของไทยว่า  อย่าได้รั้งรอข้าศึก ให้รีบล่าถอยหนีไปโดยเร็ว  กองทัพหน้าของพระยาศรีไสยณรงค์ก็พากันถอยหนีไม่เป็นกระบวน ข้าศึกเห็นดังนั้น ก็พากันรุกไล่ลงมาด้วยเห็นได้ที จนไม่เป็นกระบวนเช่นกัน
.
            สมเด็จพระนเรศวรสงบทัพหลวงรออยู่จน 11 นาฬิกา  เห็นข้าศึกตามลงมาไม่เป็นกระบวน ก็สมคะเน ทรงดำรัสสั่งให้บอกสัญญาณกองทัพทั้งปวง ให้ยกออกตีข้าศึก  พระองค์และพระเอกาทศรถ ยกกองทัพหลวงเข้าโอบกองทัพหน้าข้าศึก  ทัพท้าวพระยาอื่น ๆ ได้ทราบกระแสรับสั่งได้เร็วบ้างช้าบ้าง เนื่องจากเหตุการณ์กระทันหัน มีเวลาน้อยมาก  ทำให้ยกไปไม่ทันเสด็จเป็นส่วนมาก  คงมีแต่กองทัพพระยาสีหราชเดโชชัย กับกองทัพเจ้าพระยามหาเสนาซึ่งเป็นปีกขวา  ตามกองทัพหลวงเข้าจู่โจมข้าศึก  กองทัพหน้าของพม่าไม่คาดว่าว่าจะมีกองทัพไทยไปยอทัพ ก็เสียทีแตกหนีอลหม่าน
.
            เหตุการณ์ตอนนี้มีเรื่องบันทึกไว้ในบางแห่งว่า  ขณะที่สมเด็จพระนเรศวรประทับรอฟังข่าวทัพหน้าอยู่นั้น ได้บังเกิดเมฆเยือกเย็น ตั้งเค้ามืดอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ  แล้วกลับกลายเป็นเปิดโล่ง  เห็นดวงตะวันสาดแสงสว่างกระจ่างตา  สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงเคลื่อนทัพตามเกล็ดนาค  ซึ่งตามตำราพิชัยสงครามได้กำหนดไว้ว่า  ในวันใดหัวนาคและหางนาคอยู่ทางทิศใด  ต้องไปตั้งทัพทางหัวนาค  แล้วเคลื่อนทัพไปทางหางนาค  เป็นการเคลื่อนที่ตามเกล็ดนาค  ไม่ให้เคลื่อนที่ย้อนเกล็ดนาค  เมื่อช้างพระที่นั่งของทั้งสองพระองค์ได้ยินเสียงฆ้องกลองรบ  และเสียงปืนที่ทั้งสองฝ่ายยิงต่อสู้กัน  ก็เกิดความคึกคะนองด้วยเหตุที่กำลังตกมัน  แล้ววิ่งถลันเข้าไปในหมู่ข้าศึก  ควาญไม่สามารถคัดท้ายอยู่  บรรดาแม่ทัพนายกองและไพร่พลทั้งปวงตามเสด็จไม่ทัน  ผู้ที่สามารถตามเสด็จไปด้วยได้ คงมีแต่ผู้ที่มีหน้าที่อยู่ประจำช้างพระที่นั่ง  คือกลางช้าง ควาญช้าง และจตุลังคบาท ที่มีหน้าที่รักษาเท้าช้าง  สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถ  ทอดพระเนตรเห็นข้าศึกมีกำลังมากมาย  ไม่เป็นทัพเป็นกอง จึงทรงไสช้างพระที่นั่งเข้าชนช้างข้าศึก  เหล่าข้าศึกพากันระดมยิงอาวุธมาดังห่าฝน  แต่ไม่ถูกช้างทรง  ทันใดนั้นก็บังเกิดตะวันตลบมืด ท้องฟ้ามืดมิดราวกับไม่มีแสงตะวัน จนมองไม่เห็นกัน  สมเด็จพระนเรศวรทรงเห็นดังนั้น จึงได้ประกาศแก่เทวดา พระพรหมทุกชั้นฟ้า    ถึงปณิธานของพระองค์ที่ได้มาสืบวงศ์กษัตริย์  และมุ่งหวังที่จะทำนุบำรุงพระบวรพุทธศาสนา  ทันใดนั้นก็บังเกิดพายุใหญ่พัดปั่นป่วนในท้องฟ้า  สนามรบก็สว่างแจ้ง  พระองค์แลไปเห็นนายทัพข้าศึก นั่งอยู่บนหลังช้างเผือกตัวหนึ่ง  มีฉัตรกั้นอยู่ใต้ร่มต้นข่อย มีพล 4 เหล่า  เรียงรายอยู่มากมาย  ก็ทรงตระหนักแน่พระทัยว่าเป็นพระมหาอุปราชา
.
            เหตุการณ์ในตอนนี้มีอยู่หลายสำนวน  ตามพระราชพงศาวดารกล่าวไว้ว่า ให้เอาพลายภูเขาทอง ขึ้นระวางสะพัด ชื่อเจ้าพระยาไชยานุภาพ  สูง 6 ศอกคืบ 2 นิ้ว  ติดน้ำมันหน้าหลัง  เป็นคชาธารสมเด็จพระนเรศวร  และให้เอาพลายบุญเรืองขึ้นระวางสะพัด ชื่อเจ้าพระยาปราบไตรจักร สูง 6 ศอก 2 คืบ ติดน้ำมันหน้าหลัง เป็นพระคชาธารสมเด็จพระอนุชาธิราชพระเอกาทศรถ  ส่วนพระคชาธารของพระมหาอุปราชานั้น ชื่อพลายพัทธกอ สูง 6 ศอกคืบ  6 นิ้ว  ติดน้ำมันหน้าหลังเช่นเดียวกัน
.
            สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์  ยาตราพระคชาธารเป็นบาทย่างสะเทินมา  บ่ายหน้าต่อข้าศึก  เจ้าพระยาไชยานุภาพ  เจ้าพระยาปราบไตรจักร  ได้ยินเสียงพลและเสียงฆ้องกลองอึงคะนึง ก็เรียกมันครั่นครื้น กางหูชูหางกิริยาป่วนเป็นบาทย่างใหญ่ เร็วไปด้วยกำลังน้ำมัน  ช้างท้าวพระยามุขมนตรี และโยธาหาญซ้ายขวาหลังนั้นตกลง  ไปมิทันเสด็จ  พระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ใกล้ทัพหน้าข้าศึก  ทอดพระเนตรเห็นพลพม่ารามัญนั้นยกมาเต็มท้องทุ่ง  เดินดุจคลื่นในมหาสมุทร  พลข้าศึกไล่พลชาวพระนครครั้งนั้น สลับซับซ้อนกันมิได้เป็นกระบวน  สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์  ก็ขับพระคชาธารเข้าโจมแทงช้างม้ารี้พลปรปักษ์  ไล่สายเสยถีบฉัดตะลุมบอน  พลพม่ารามัญตายเกลื่อนกลาด  ช้างข้าศึกได้กลิ่นน้ำมันพระคชาธาร ก็หกหันตลบปะกันไปเป็นอลหม่าน  พลพม่ารามัญก็โทรมยิงธนู หน้าไม้ ปืนไฟ ระดมเอาพระคชาธารสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์  และธุมาการก็ตรลบมืดเป็นหมอกมัวไป มิได้เห็นกันประจักษ์
.
            สำนวนของวันวลิต ชาวฮอลันดา  ซึ่งเข้ามาที่กรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. 2176 ได้บรรยายเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ว่า  พระเจ้ากรุงหงสาวดียกทัพอันมีกำลังใหญ่หลวง มายังกรุงศรีอยุธยา  พระนเรศวรยกทัพมาถึงวัดร้างแห่งหนึ่ง เรียกว่า เครง หรือ หนองสาหร่าย  เพื่อปะทะทัพมอญ  เมื่อกองทัพทั้งสองมาประจัญกันเข้า  พระนเรศวรและพระมหาอุปราชา (ซึ่งต่างก็ทรงเครื่องอย่างกษัตริย์ และประทับบนพระคชาธาร) ต่างทอดพระเนตรเห็นกันเข้า  ต่างองค์ก็มีพระทัยฮึกเหิม  เสด็จออกจากกองทัพ  ขับพระคชาธารโดยปราศจากรี้พลเข้าหากัน  แต่พระคชาธารที่พระนเรศวรทรงอยู่นั้น  เล็กกว่าช้างทรงพระมหาอุปราชามากนัก  เมื่อกษัตริย์ทั้งสองพระองค์มุ่งเข้าหากัน  ช้างที่เล็กกว่าก็ตกใจกลัวช้างที่ใหญ่กว่า ถึงกับเบนหัวจะถอยกลับ  พระนเรศวรทรงเห็นดังนั้น จึงตรัสปลอบพระยาช้างต้นให้มีใจฮึกเหิมกลับมาสู้ช้างข้าศึก และทรงพรมน้ำเทพมนต์ซึ่งพราหมณ์ได้ทำถวายไว้สำหรับโอกาสนี้ ลงบนศีรษะช้าง  พระยาช้างต้นผู้ชาญฉลาดเมื่อได้รับน้ำเทพมนต์  และได้ยินเสียงพระราชดำรัสของวีรกษัตริย์ก็มีใจฮึกเหิม  ชูงวงขึ้นประณตแล้วเบนหัวสู่ข้าศึก  พลันวิ่งพุ่งเข้าสู่กษัตริย์มอญอย่างเมามัน  อำนาจของพระยาช้างต้นในการสู้รบครั้งนี้ แลดูน่าสพึงกลัว และน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
.
            ทั้งหมดที่กล่าวมา  เป็นเหตุการณ์ก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่การกระทำยุทธหัตถีของสองกษัตริย์  และสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงได้ชัยชนะอย่างงดงาม  เป็นที่เลื่องลือไปทั่วทิศานุทิศ  ข้าศึกศัตรูไม่หาญกล้ามาเบียดเบียนราชอาณาจักรไทยอีกเลยถึง 160 ปี
.
            สมเด็จพระนเรศวรจึงทรงขับช้างพระที่นั่งตรงไปยังพระมหาอุปราชา  แล้วร้องตรัสไปโดยฐานที่คุ้นเคยกันมาแต่ก่อน มีความว่า

            "เจ้าพี่จะยืนช้างอยู่ในที่ร่มไม้ทำไม  เชิญเสด็จมาทำยุทธหัตถีกันให้เป็นเกียรติยศเถิด  กษัตริย์ภายหน้า ที่จะทำยุทธหัตถีได้อย่างเรา จะไม่มีแล้ว"
.
            พระมหาอุปราชา  เมื่อทรงได้ยินดังนั้นก็ขับพลายพัทธกอซึ่งเป็นพระคชาธาร  ออกมาชนกับเจ้าพระยาไชยานุภาพ  พระคชาธารของสมเด็จพระนเรศวร  ในชั้นแรก เจ้าพระยาไชยานุภาพเสียที พลายพัทธกอได้ล่างแบกรุน  พระยาไชยานุภาพเบนจะขวางตัว  พระมหาอุปราชาได้ทีฟันด้วยพระแสงของ้าว  สมเด็จพระนเรศวรเบี่ยงพระองค์หลบทัน  ถูกแต่พระมาลาหนังขาดลิไป  พอพระยาไชยานุภาพสะบัดหลุด แล้วกลับชนได้ล่างแบกถนัดรุนพลายพัทธกอหัวเบนไป  สมเด็จพระนเรศวรก็จ้วงฟันด้วยพระแสงของ้าว  ถูกพระมหาอุปราชาที่ไหล่ขวาขาด  สิ้นพระชนม์อยู่บนคอช้าง
.
ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถก็ได้ชนช้างกับเจ้าเมืองจาปะโร และฟันเจ้าเมืองจาปะโรตายเช่นกัน  ทหารพม่าก็เข้ามากันพระศพพระมหาอุปราชา และเจ้าเมืองจาปะโรออกไป  แล้วเข้าระดมยิงถูกสมเด็จพระนเรศวรที่พระหัตถ์ได้รับบาดเจ็บ  และถูกนายมหานุภาพควาญช้างพระที่นั่ง กับหมื่นภักดีศวรกลางช้างสมเด็จพระเอกาทศรถ ตายทั้งสองคน  ขณะนั้น กองทัพเจ้าพระยามหาเสนา พระยาสีหราชเดโชชัยตามไปทัน  ก็ช่วยกันรบพุ่งแก้กันทั้งสองพระองค์ออกมาได้  สมเด็จพระนเรศวรทรงเห็นว่า  กองทัพข้าศึกแตกเฉพาะทัพหน้า กำลังฝ่ายไทยที่ตามเสด็จไปถึงเวลานั้นมีน้อยนัก  จึงจำต้องเสด็จกลับมาค่ายหลวง  ฝ่ายข้าศึกก็เชิญพระศพพระมหาอุปราชา เลิกทัพกลับไปเมืองหงสาวดี  เหตุการณ์ในตอนนี้ วัน วลิต ได้บรรยายไว้ว่า
.
            ช้างข้าศึกพยายามเอางาเสยพระคชาธารให้ถอยห่างอยู่ตลอดเวลา  แต่ในที่สุดพระคชาธารซึ่งเล็กกว่าก็ได้ทีช้างข้าศึก  โดยช้างข้าศึกไม่ทันรู้ตัว  ขึ้นเสยช้างข้าศึกแล้วเอางวงตีด้วยกำลังแรงยิ่งนัก  จนช้างข้าศึกร้องขึ้น  กษัตริย์มอญก็ตกพระทัย  กษัตริย์ไทยเห็นได้ทีก็เอาพระแสงขอ ตีต้องพระเศียรกษัตริย์มอญ  แล้วใช้พระแสงทวนแทงจนกษัตริย์มอญตกช้างสิ้นพระชนม์  แล้วทรงจับช้างทรงของกษัตริย์มอญนั้นไว้ได้ ทหารรักษาพระองค์ซึ่งตามมาโดยไม่ช้า ก็แทงชาวโปรตุเกส ซึ่งนั่งอยู่เบื้องหลังกษัตริย์มอญนั้นตาย  เมื่อกองทัพมอญเห็นกษัตริย์ของตนสิ้นพระชนม์  ก็พากันล่าถอยไม่เป็นกระบวน  กองทัพไทยก็ไล่ติดตามไปอย่างกล้าหาญ  จับเป็นได้เป็นจำนวนมาก  ฆ่าตายเสียก็มาก ที่เหลือนั้นก็แตกกระจัดกระจายไปประดุจแกลบต้องลม  ทหารมอญหลายพันคนต้องตกค้างอยู่ และเมื่อต้องถอยทัพกลับโดยที่ขาดแคลนเสบียงอาหาร  จึงกลับไปถึงเมืองมอญได้น้อยคนนัก
.
            สมเด็จพระนเรศวรมีชัยในการกระทำยุทธหัตถีครั้งนี้  พระเกียรติยศได้เลื่องลือไปทั่วทุกประเทศในชมพูทวีป  ด้วยถือเป็นคติมาแต่โบราณว่า  การชนช้างเป็นยอดวีรกรรมของนักรบ  เพราะเป็นการต่อสู้ตัวต่อตัว มิได้อาศัยกำลังพล  หรือกลยุทธใดๆ  เป็นการแพ้ชนะกันด้วยฝีไม้ลายมือและความแกล้วกล้า  นอกจากนั้น โอกาสที่จะมีเหตุการณ์ดังกล่าวก็มีน้อย  ดังนั้น ถ้ากษัตริย์พระองค์ใดกระทำยุทธหัตถีได้ชัยชนะ  ก็จะได้รับความยกย่องว่ามีพระเกียรติยศอย่างสูงสุด  ถึงเป็นผู้แพ้ ก็ได้รับการยกย่องสรรเสริญ ว่าเป็นนักรบแท้
.
            ด้วยเหตุผลดังกล่าว  สมเด็จพระนเรศวรจึงโปรดให้สร้างพระเจดีย์ขึ้นองค์หนึ่ง  ตรงที่ได้กระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา  ณ ตำบลท่าคอย  ซึ่งปัจจุบันเป็นตำบลดอนเจดีย์  อยู่ห่างจากหนองสาหร่ายไปประมาณ 100 เส้น  พระเจดีย์ทิ้งร้างมานานหลายร้อยปี  เพิ่งมาพบเมื่อปี พ.ศ.  2456  วัดฐานเจดีย์ได้ด้านละ 10 วา  ความสูงประมาณ 20 วา  ต่อมา ได้มีการบูรณะเป็นรูปแบบที่สมบูรณ์ ตามแบบอย่างเจดีย์ที่วัดใหญ่ชัยมงคล  ซึ่งสันนิษฐานว่า สมเด็จพระนเรศวรทรงให้สร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์ แห่งชัยชนะครั้งนั้น  ตามคำกราบทูลแนะนำของสมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้ว  เป็นเจดีย์กลมแบบลังกา  ดังที่ปรากฎอยู่ปัจจุบันนี้
.
            สมเด็จพระนเรศวร  ทรงปูนบำเหน็จความชอบอันเนื่องมาจากการสงครามครั้งนี้โดยทั่วกัน คือ ช้างพระที่นั่งที่ชนชนะข้าศึก  พระราชทานนามว่า  เจ้าพระยาปราบหงสาวดี  พระแสงของ้าวก็ได้นามว่าเจ้าพระยาแสนพลพ่าย  นับถือเป็นพระแสงศักดิ์สิทธิ์ สำหรับพระเจ้าแผ่นดินทรงคชาธารในรัชกาลหลัง ๆ สืบมา  พระมาลาที่พระองค์ทรงในวันนั้น  ก็ปรากฎนามว่าพระมาลาเบี่ยง ดำรงคงอยู่มาถึงปัจจุบันนี้
.
            เมื่อเสร็จศึกแล้ว สมเด็จพระนเรศวรทรงโทมนัส ที่ไม่สามารถจะตีข้าศึกให้แตกยับเยินไปได้เหมือนครั้งก่อน เพราะเหตุที่แม่ทัพนายกองไม่สามารถตามเสด็จให้ทันการรบพุ่งพร้อมกัน พระองค์จึงให้ลูกขุน ประชุมปรึกษาโทษแม่ทัพนายกองเหล่านั้นตามพระอัยการศึก  ลูกขุนปรึกษากันแล้ววางบทว่า
.
            พระยาศรีไสยณรงค์  มีความผิดฐานฝ่าฝืนพระบรมราชโองการ ไปรบพุ่งข้าศึกโดยพละการจนเสียทัพแตกมา
.
            เจ้าพระยาจักรี  พระยาพระคลัง  พระยาเทพอรชุน  พระยาพิชัยสงคราม  พระยารามคำแหง  มีความผิดฐานละเลย มิได้ตามเสด็จให้ทันท่วงทีการพระราชสงคราม
.
            ทั้งหมดนี้ โทษถึงประหารชีวิตด้วยกัน  พระองค์จึงทรงให้เอาตัวคนทั้งหมดดังกล่าวไปจำตรุไว้ พอพ้นวันพระแล้ว  ให้เอาไปประหารชีวิตเสีย  ตามคำพิพากษาของลูกขุน
.
            ครั้นถึงวันแรม 14 ค่ำ เดือนยี่  สมเด็จพระนพรัตน์ วัดป่าแก้ว  กับพระราชาคณะรวม 25 รูป  เข้าไปเฝ้า ถามข่าวถึงการเสด็จพระราชสงครามตามประเพณี  สมเด็จพระนเรศวรจึงตรัสเล่าเหตุการณ์ทั้งปวงให้ฟังทุกประการ  สมเด็จพระพนรัตน์ได้ฟังแล้วจึงถวายพระพรถามว่า  พระองค์มีชัยแก่ข้าศึก  แต่เหตุไฉนข้าราชการทั้งปวงจึงต้องรับราชทัณฑ์
.
สมเด็จพระนเรศวรตรัสตอบว่า  นายทัพนายกองเหล่านี้กลัวข้าศึกมากกว่ากลัวพระองค์  ละให้แต่พระองค์สองคนพี่น้อง ฝ่าเข้าไปท่ามกลางข้าศึก  จนได้ทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา  ต่อมีชัยกลับมาจึงได้เห็นหน้าพวกเหล่านี้  นี่หากว่าพระองค์ยังไม่ถึงที่ตาย  หาไม่แผ่นดินก็จะเป็นของชาวหงสาวดีเสียแล้ว  เหตุนี้พระองค์จึงให้ลงโทษตามอาญาศึก  สมเด็จพระพนรัตน์จึงถวายพระพรว่า  เมื่อพิเคราะห์ดูข้าราชการเหล่านี้ ที่จะไม่กลัวสมเด็จพระนเรศวรนั้นหามิได้  เหตุทั้งนี้เห็นจะเผอิญเป็น เพื่อจะให้พระเกียรติแก่พระองค์เป็นมหัศจรรย์  เหมือนสมเด็จพระสรรเพชญพุทธเจ้า  เมื่อพระองค์เสด็จเหนืออปราชิตบัลลังก์ใต้ควงไม้โพธิ์ครั้งนั้น  เทพเจ้าก็มาเฝ้าพร้อมหมื่นจักรวาล  พระยาวัสวดีมารยกพลเสนามาผจญ  ถ้าพระพุทธเจ้าได้เทพเจ้าเป็นบริวาร มีชัยแก่พระยามารก็หาสู้เป็นอัศจรรย์ไม่  เผอิญให้หมู่เทพเจ้าทั้งปวงปลาศนาการหนีไปสิ้น  เหลือแต่พระองค์เดียวสามารถผจญให้เหล่ามารปราชัยไปได้  จึงได้พระนามว่า  พระพิชิตมาร โมฬีศรีสรรเพชญดาญาณ  เป็นมหาอัศจรรย์บันดาลไปทั่วอนันตโลกธาตุ
.
ก็เหมือนทั้งสองพระองค์ครั้งนี้  ถ้าเสด็จพร้อมด้วยโยธาทวยหาญมาก  และมีชัยชนะแก่พระมหาอุปราชา  ก็จะหาสู้เป็นมหัศจรรย์แผ่พระเกียรติยศ ให้ปรากฎแก่นานาประเทศไม่  อันเหตุที่เป็นทั้งนี้  เพื่อเทพเจ้าทั้งปวงอันรักษาพระองค์ จักสำแดงพระเกียรติยศ  เป็นแน่แท้
.
            สมเด็จพระนเรศวรได้ทรงฟังแล้วก็ทรงพระปิติโสมนัส ตรัสว่า  พระผู้เป็นเจ้าว่านี้ควรหนักหนา  สมเด็จพระพนรัตน์จึงได้ถวายพระพรว่า  ข้าราชการซึ่งเป็นโทษเหล่านี้ก็ผิดหนักหนาอยู่แล้ว  แต่ทว่าได้ทำราชการมา  แต่ครั้งสมเด็จพระบรมอัยกาธิราช  และสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง  ตลอดมาจนถึงพระองค์ดุจพุทธบริษัท  สมเด็จพระบรมครู  จึงขอพระราชทานโทษคนเหล่านี้ไว้สักครั้งหนึ่ง จะได้ทำราชการฉลองพระเดชพระคุณสืบไป  สมเด็จพระนเรศวร จึงมีรับสั่งว่าเมื่อสมเด็จพระพนรัตน์ขอแล้ว พระองค์ก็จะถวาย แต่ทว่า จะต้องไปตีเมืองตะนาวศรี  เมืองทวายแก้ตัวก่อน สมเด็จพระพนรัตน์
.
ถวายพระพรว่า  การจะใช้ไปตีบ้านเมืองนั้นสุดแต่พระองค์จะสงเคราะห์  มิใช่กิจของสมณะ  แล้วก็ถวายพระพรลาไป  สมเด็จพระนเรศวรจึงโปรดให้นายทัพนายกองที่มีความผิดพ้นจากเวรจำ  แล้วทรงให้พระยาจักรียกกองทัพมีกำลังพล 50,000 คน  ไปตีเมืองตะนาวศรีทัพหนึ่ง ให้พระยาพระคลังคุมกองทัพมีกำลัง 50,000 ไปตีเมืองทวายอีกองทัพหนึ่ง
.
บันทึกเรื่องเจดีย์ยุทธหัตถี
.
            เรื่องเจดีย์ยุทธหัตถีนี้  สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนิพนธ์ไว้ในหนังสือนิทานโบราณคดี มีข้อมูลที่น่ารู้ดังนี้
.
            ในหนังสือพระราชพงศาวดาร  ได้กล่าวถึงเจดีย์ยุทธหัตถีไว้ว่า  เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราช  ทรงชนะยุทธหัตถี แล้ว "ตรัสให้ก่อพระเจดีย์สถาน สวมศพพระมหาอุปราชาไว้ ณ ตำบลตระพังกรุ"
.
            สมเด็จกรมพระยาดำรง ฯ ได้ทรงให้พระยากาญจนบุรี (นุช) ไปสืบหา ได้ความว่าบ้านตระพังกรุมีมาแต่โบราณ เป็นที่ดอนต้องอาศัยใช้น้ำบ่อ  มีบ่อน้ำกรุอิฐข้างในซึ่งคำโบราณ เรียกว่า  ตระพังกรุ อยู่หลายบ่อ  แต่ไม่มีเจดีย์ที่สมควรว่าเป็นของพระเจ้าแผ่นดินสร้างอยู่ในบริเวณนั้น
.
            เมื่อได้ประมวลเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ได้ข้อสรุปว่า  สมเด็จพระนเรศวร โปรดให้สร้างพระเจดีย์ยุทธหัตถี ขึ้นตรงที่ชนช้างองค์หนึ่ง  แล้วทรงสร้างพระเจดีย์ใหญ่อีกองค์หนึ่ง  ขนานนามว่า  พระเจดีย์ชัยมงคล ขึ้นที่วัดเจ้าพระยาไทย  อันเป็นที่สถิตของพระสังฆราชฝ่ายขวา  จึงมักเรียกกันว่า วัดป่าแก้ว  ตามนามเดิมของพระสงฆ์คณะนั้น
.
            ในปีแรกรัชกาลที่ 6  พระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ  ตาละลักษณ์)  เมื่อยังเป็นหลวงประเสริฐอักษรนิติ ได้พบหนังสือเรื่องพงศาวดารเล่มหนึ่ง  มีหลักฐานว่าเขียน เมื่อปี พ.ศ. 2223  ซึ่งต่อมาให้เรียกว่า  พระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐ ฯ  มีความในเรื่องสงครามยุทธหัตถีว่า
.
            "พระมหาอุปราชามาตั้งประชุมทัพอยู่ที่ตำบลตระพังกรุ  แล้วมาชนช้างกับสมเด็จพระนเรศวร ฯ  ที่ตำบลหนองสาหร่าย  เมื่อวันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง จุลศักราช 955  (พ.ศ. 2135)"
.
            สมเด็จกรมพระยาดำรง ฯ จึงทรงให้พระยาสุนทรบุรี (อี่  กรรณสูตร)  สมุหเทศาภิบาลมณฑลนครไชยศรี ไปสืบหาตำบลหนองสาหร่าย  ได้ความว่า  ตำบลหนองสาหร่ายนั้นอยู่ใกล้ลำน้ำท่าคอย  อยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองสุพรรณ  เป็นลำน้ำเดียวกันกับลำน้ำจรเข้สามพัน ที่ตั้งเมืองอู่ทอง  แต่อยู่เหนือขึ้นไปไกล มีเจดีย์โบราณอยู่  ชาวบ้านเรียกว่า  ดอนเจดีย์  เป็นเจดีย์ฐานทักษิณเป็น 4 เหลี่ยม 3 ชั้น ชั้นล่างกว้าง 8 วา องค์พระเจดีย์เหนือฐานทักษิณ ชั้นที่ 3 ขึ้นไป หักพังหมดแล้ว  ประมาณขนาดสูงเมื่อยังบริบูรณ์ เห็นจะราวเท่า ๆ กับ พระปรางค์ที่วัดราชบูรณะในกรุงเทพ ฯ
.
            ระยะทางระหว่างตำบลสำคัญที่ได้จากเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินโดยสถลมารค ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินไปสักการบูชา  พระเจดีย์ยุทธหัตถี เมื่อ พ.ศ. 2453  พอประมวลได้ดังนี้
.
                  นครปฐม  ถึง  กำแพงแสน                                            ระยะทาง  568  เส้น      หรือประมาณ  23  กิโลเมตร
.
                  กำแพงแสน ถึง  บ้านบ่อสุพรรณ                                    ระยะทาง  706  เส้น      หรือประมาณ  28  กิโลเมตร
.
                  บ้านบ่อสุพรรณ  ถึง  บ้านตระพังกรุ                                ระยะทาง  125  เส้น      หรือประมาณ  5   กิโลเมตร
.
                  บ้านตระพังกรุ  ถึง  บ้านดอนมะขาม                              ระยะทาง  274  เส้น      หรือประมาณ  11  กิโลเมตร
.
                  บ้านดอนมะขาม  ถึง  บ้านจรเข้สามพัน                            ระยะทาง  411  เส้น      หรือประมาณ  16  กิโลเมตร
.
                บ้านจรเข้สามพัน ถึง  อู่ทอง                                           ระยะทาง  140  เส้น      หรือประมาณ    6  กิโลเมตร
.
                  อู่ทอง  ถึง  บ้านโข้ง                                                        ระยะทาง  510  เส้น      หรือประมาณ  20  กิโลเมตร
.
                  บ้านโข้ง  ถึง  ดอนเจดีย์                                                   ระยะทาง 495  เส้น       หรือประมาณ  20  กิโลเมตร
.
ลำดับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ของห้วงเวลานั้นได้ดังนี้
.
            กองทัพพระมหาอุปราชา เดินทัพมาจนเข้าเขตเมืองสุพรรณบุรี  แขวงบ้านพนมทวน  หยุดตั้งกองทัพที่ตำบลตระพังกรุ  แขวงเมืองสุพรรณบุรี  แล้วให้กองกำลังทหารม้าออกลาดตระเวณหาข่าว
.
            สมเด็จพระนเรศวร ยกกองทัพมาตั้งค่ายหลวงอยู่ที่หนองสาหร่าย ริมแม่น้ำท่าคอย  เมื่อวันขึ้น 14 ค่ำ เดือนยี่  และทรงให้กองทัพพระยาศรีไสยณรงค์ กับพระราชฤทธานนท์  ที่ออกไปขัดตาทัพอยู่ที่ลำน้ำท่าคอย  เลื่อนออกไปขัดตาทัพที่ดอนระฆัง
.
            พระยาศรีไสยณรงค์  แจ้งข่าวข้าศึกว่า  กองทัพใหญ่ข้าศึกเคลื่อนที่พ้นบ้านจรเข้สามพันมาแล้ว  เมื่อวันแรม 1 ค่ำ เดือนยี่  สมเด็จพระนเรศวรมีรับสั่งให้กองทัพทั้งปวง  เตรียมตัวรบข้าศึกในวันรุ่งขึ้น
.
            วันจันทร์แรม 2 ค่ำ เดือนยี่  สมเด็จพระนเรศวร กับสมเด็จพระเอกาทศรถ  ทรงเครื่องพิชัยยุทธ  ขณะนั้นได้ยินเสียงปืน จากการปะทะกันของทัพหน้าไทยกับทัพหน้าพม่า  ได้ความว่าปะทะกันที่ดอนเผาข้าว  เมื่อเวลาเช้าจึงมีรับสั่งให้ กองทัพหน้าล่าถอยลงมาโดยเร็ว  ทรงให้สงบทัพหลวงรออยู่จน 11 นาฬิกา  เห็นข้าศึกรุกไล่ลงมาไม่เป็นกระบวน  จึงทรงให้สัญญาณกองทัพทั้งปวงยกออกตีข้าศึก
.
            จากเหตุการณ์ดังกล่าว จะพบว่าพระมหาอุปราชาเคลื่อนทัพจากตระพังกรุ มาถึงบ้านจรเข้สามพันเมื่อวันแรม 1 ค่ำ เดือนยี่ เป็นระยะทาง 685 เส้น หรือ  28 กิโลเมตร  ซึ่งต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 1 วัน  ณ จุดนี้จะอยู่ห่างจากหนองสาหร่าย ที่ตั้งค่ายหลวงของไทย เป็นระยะทาง 1145 เส้น หรือ 46 กิโลเมตร  สมเด็จพระนเรศวรจึงมีรับสั่งให้เตรียมตัวรบข้าศึกในวันรุ่งขึ้น
.
            ในวันรุ่งขึ้นซึ่งข้าศึกจะเคลื่อนทัพมาได้อีกประมาณ 30 กิโลเมตร  ซึ่งจะอยู่ห่างจากค่ายหลวงของไทยประมาณ 20 กิโลเมตร  ซึ่งจะใช้ระยะเวลาเดินทางอีกไม่เกิน 1 วัน
.
            วันต่อมาคือวันแรม 2 ค่ำ เดือนยี่  เวลาเช้าได้ยินเสียงปืนจากการปะทะกัน  ได้ความว่าปะทะกันที่ดอนเผาข้าว ซึ่งน่าจะอยู่ห่างจากหนองสาหร่ายไม่เกิน 15 กิโลเมตร  เพราะเป็นเวลาเช้าเสียงปืนใหญ่ได้ยินไปได้ไกล  และพระองค์ทรงรออยู่จน 11 นาฬิกา ข้าศึกจึงรุกไล่ทัพหน้าของไทยมาถึงทัพหลวง
.
            เมื่อสมเด็จพระนเรศวร กับพระเอกาทศรถ  ยกกำลังทั้งปวงเข้าตีข้าศึก  ช้างศึกของทั้งสองพระองค์เร่งรุดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จนกองทัพตามไม่ทัน  ผงคลีจากกองทัพทั้งสองฝ่ายที่สู้รบติดพันกันมาปลิวคลุ้งจนมืดมิด  และเมื่อฝุ่นจางจึงทอดพระเนตรเห็น พระมหาอุปราชายืนอยู่ช้างอยู่ใต้ร่มไม้  ระยะทางที่ช้างทรงของทั้งสองพระองค์ตลุยข้าศึกมานี้เป็นระยะทาง 100 เส้น หรือ 4 กิโลเมตร  เนื่องจากพระเจดีย์ยุทธหัตถีอยู่ห่างจากหนองสาหร่ายไปประมาณ 100 เส้น
.
            เหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ชาติไทยครั้งนั้น ก็สมจริงตามได้บันทึกกันไว้สืบต่อมาทุกประการ
.
ที่มา http://thaiheritage.net/king/naresuan/naresuan3.htm (http://thaiheritage.net/king/naresuan/naresuan3.htm)
.
.
.--------------------------------------------.
.
.
“หลักฐานพม่า” พลิกความเข้าใจเรื่อง “สงครามยุทธหัตถี”!!!
.
เผยแพร่ วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ.2562
.
“หลักฐานพม่า” พลิกความเข้าใจเรื่อง “สงครามยุทธหัตถี” ข้อความส่วนนี้คัดบางส่วนจากบทความของ ศ. ดร. สุเนตร ชุตินธรานนท์ เรื่อง “ประวัติศาสตร์ไทยในหลักฐานพม่า” ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤษภาคม ๒๕๖๑ ดังนี้
.
“…แต่เรื่องที่พลิกความเข้าใจยิ่งไปกว่า คือ เรื่องสงครามยุทธหัตถี ความที่มีระบุในพงศาวดารพม่าฉบับอูกาลาจะเล่าว่า “ทัพของพระมหาอุปราชาเคลื่อนมาถึงชานกรุงศรีอยุธยาในวันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๓ ตรงกับเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๕๙๒” และเล่าต่อว่า สมเด็จพระมหาอุปราชาทรงคชาธารชื่อ “งะเยโซง” ซึ่งเป็นชื่อที่ได้จากพงศาวดารพม่า ส่วนพงศาวดารไทยระบุชื่อช้างว่าชื่อ “พลายพัทธกอ” เบื้องขวาของพระองค์ยืนด้วยพระคชาธาร และกำลังไพร่พลของเจ้าเมืองแปรชื่อ “ตะโดธรรมราชา” ส่วนเบื้องซ้ายยืนด้วยพระคชาธาร และไพร่พลของนัดจินหน่อง โอรสของเจ้าเมืองตองอู และถัดไปทางเบื้องขวาไม่ใกล้ไม่ไกล ยืนด้วยคชาธารของเจ้าเมืองชามะโร ไทยเรียกมังจาปโร เป็นพระพี่เลี้ยง
.
หลักฐานพม่าระบุว่าช้างของชามะโรกำลังตกน้ำมันหนักถึงกลับต้องใช้ผ้าคลุมหน้าช้างเอาไว้ไม่ให้ช้างตื่น ในขณะนั้นสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงคชาธารชื่อพระลโปง นำไพร่พลทแกล้วทหารจำนวนมากออกมาจากพระนครหมายจะเผด็จศึก พระองค์ทอดพระเนตรเห็นสมเด็จพระมหาอุปราชาแล้วก็ไสช้างตรงไปยังตำแหน่งที่จอมทัพพม่าประทับอยู่โดยแรงเร็ว ฝ่ายเจ้าเมืองชามะโร เมื่อเห็นสมเด็จพระนเรศวรมหาราชขับพระคชาธารตรงรี่หมายชิงชนกับช้างประทับ ชามะโรซึ่งเป็นราชองครักษ์ก็เปิดผ้าคลุมหน้าช้างพาหนะของตนออก หมายมุ่งที่จะนำช้างของตนออกสกัดช้างของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช แต่ช้างนั้นเป็นช้างตกน้ำมันหนักยากที่จะบังคับ ช้างที่ไสออกไปแทนที่จะเข้าชิงชนกับช้างของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช มันก็หันรีหันขวาง และกลับตัวมาแทงโดนเอาช้างของสมเด็จพระมหาอุปราชาโดยกำลังแรง หลักฐานพม่าอธิบายว่าแรงขนาดช้างของสมเด็จพระมหาอุปราชาจามสนั่นด้วยความเจ็บปวด
.
ขณะนั้นทหารองครักษ์ที่ล้อมช้างสมเด็จพระนเรศวรมหาราชก็ระดมยิงปืนสวนใส่เข้ามาและมีกระสุนพลัดถูกเอาสมเด็จพระมหาอุปราชาโดยถนัดถึงสิ้นพระชนม์ซบกับคอช้าง ควาญช้างพอเห็นพระองค์สิ้นพระชนม์เพราะต้องปืน ก็บังคับช้างเข้ามาหลบที่พุ่มไม้แห่งหนึ่ง ขณะนั้นสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเองก็ยังไม่ทรงทราบว่าสมเด็จพระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์แล้ว ก็ยังยืนพระคชาธารอยู่ ณ ที่เดิม เป็นจังหวะให้นัดจินหน่องซึ่งทรงพระคชาธารนามว่า “อูดอตะกะ” ไสช้างเข้าชนช้างของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ช้างทรงก็ถอยร่นลงไปซ้ำ ตะโดธรรมราชาพอเห็นช้างทรงถอยร่นจึงไสช้างตนสำทับเข้าไปอีก ทำให้ทางฝ่ายอยุธยาต้องถอยร่นเข้ามาสู่พระนคร อาศัยกำแพงพระนครเป็นที่มั่นในการต่อสู้ ไม่ออกมาทำสงครามกลางแปลงอีก
.
เรื่องตามแสดงมามีปรากฏอยู่ในหลักฐานทางฝ่ายพม่า การที่หลักฐานพม่าให้ข้อมูลที่แตกต่างไปจากเรื่องสงครามยุทธหัตถีที่มีอยู่ในหลักฐานของไทย ทำให้วงวิชาการต่างชาติเกิดการตีความต่างกันไป วิคเตอร์ ลิเบอร์แมน (Victor Lieberman) นักประวัติศาสตร์สำคัญคนหนึ่งระบุว่า ครั้งนั้นสมเด็จพระมหาอุปราชาต้องปืนสวรรคต โดยนำหลักฐานพม่าไปเปรียบเทียบกับหลักฐานเยซูอิตร่วมสมัย อย่างไรก็ดีเรื่องนี้ไม่ใช่วิสัยที่จะมาตัดสินเอากันง่ายๆ และก็ไม่ใช่ว่าหลักฐานของพม่าและหลักฐานของฝรั่งจะเชื่อถือไปได้หมด หลักฐานฝรั่งที่เก่าแก่ไม่แพ้กันกับหลักฐานที่ลิเบอร์แมนกล่าวถึงการทำคชยุทธ์ครั้งนั้นอย่างมโหฬาร แสดงว่าหลักฐานฝรั่งก็มีขัดกันเอง
.
ภาพความขัดแย้งที่ปรากฏในหลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับสงคราม คือภาพสะท้อนการเผชิญหน้าระหว่างจารีตอันเป็นธรรมเนียมนิยมของการทำสงครามรูปแบบเก่า คือการรบแบบตัวต่อตัวบนหลังช้าง กับการแพร่กระจายของอาวุธสมัยใหม่คือ ปืนไฟ (อ่านเพิ่มเติมประเด็น ปืนไฟ)
.
ถึงแม้ท้ายที่สุดปืนไฟจะทำให้ธรรมเนียมนิยมของการยุทธหัตถีหมดไป แต่ยืนยันได้ว่าในช่วงหลังสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ธรรมเนียมนิยมในการทำยุทธหัตถียังไม่ได้หมดไป มีหลักฐานปรากฏในพงศาวดารพม่าเองว่าพระเจ้านันทบุเรงเมื่อยกทัพไปปราบกบฏที่เมืองอังวะก็ได้มีการท้าทายพระเจ้าอังวะให้กระทำยุทธหัตถี และกระทำยุทธหัตถีต่อหน้ารี้พล กระทั่งพระเจ้าอังวะพ่ายแพ้ ถึงกลับต้องหลบหนีไป
.
เพราะฉะนั้นเรื่องยุทธหัตถีนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะหาข้อยุติกันได้โดยง่าย ยังจะต้องศึกษากันต่อไปในรายละเอียด นอกจากหลักฐานพม่าจะเสนอภาพที่พลิกตามความเข้าใจในเรื่องสงครามยุทธหัตถีแล้ว ยังมีหลักฐานอื่นๆ อีกมากที่พลิกความเข้าใจซึ่งตกทอดกันมา เช่น กรณีสงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. ๒๓๑๐…”
.
ที่มา https://www.silpa-mag.com/history/article_17774 (https://www.silpa-mag.com/history/article_17774)
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 08, 2020, 01:31:14 pm
.
.
.
ผมร่วมบุญสร้างอุโบสถ
ณ วัดป่าภัทรปิยาราม ต.โคกตูม อ.เมือง จ.ลพบุรี
.
.
.
ผมโอนเงินร่วมทำบุญ 500 บาท
มาร่วมโมทนาบุญกันครับ
.
.
.*****************
.
.
สำหรับท่านใดสนใจร่วมทำบุญ
สามารถร่วมทำบุญได้ที่ ธนาคารกรุงไทย สาขาลพบุรี
บัญชีเลขที่ 111-0-65693-9 ชื่อบัญชี วัดป่าภัทรปิยาราม
.
.
.
.฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿
.
.
.
และ ผมร่วมบุญสร้างอุโบสถ
ณ วัดไหล่ดุม ต.สังเม็ก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
.
.
.
ผมโอนเงินร่วมทำบุญ 500 บาท
มาร่วมโมทนาบุญกันครับ
.
.
.*****************[
.
.
สำหรับท่านใดสนใจร่วมทำบุญ
สามารถร่วมทำบุญได้ที่ ธนาคารกรุงเทพ สาขาเทสโก้ โลตัส กันทรลักษ์
บัญชี 7580123680 ชื่อบัญชี วัดไหล่ดุม
.
.
.
หรือติดต่อสอบถามได้ที่ พระมหาอาคม กิตฺติญาโณ 0922918381
.
.
.
#วัดไหล่ดุม
#วัดป่าภัทรปิยาราม
#พระมูนียะเถระเจ้า
#บรมครูมูนียะโลกอุดร
#หลวงปู่เทพโลกอุดร
#พระพุทธยมกปาฎิหาริย์
#พระพุทธมณีรัตนอัมรินทร์สถิตย์
#พญานาคราชศีลวิสุทธิโลกาธิบดี
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 24, 2020, 10:06:29 am
ผมมาร่วมทำบุญ ในวาระงานบุญ การอัญเชิญรูปหล่อพระมูนียะเถระเจ้า ( หรือ หลวงปู่บรมครูมูนียะโลกอุดร หรือหลวงปู่เทพโลกอุดร) ขึ้นประดิษฐาน ณ มณฑปกลางน้ำ ที่อาศรมศรีชัยรัตนโคตร จ.สกลนคร ในวันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2563
.
โดยผู้ร่วมทำบุญ หลายๆท่าน ( ผม , ผู้บัญชาการที่บ้าน , สมาชิกชมรมพระวังหน้า , สมาชิกคณะพระวังหน้า , พนักงานฝ่ายปฎิบัติการสินเชื่อธุรกิจขนาดกลาง บมจ.ธนาคารกรุงไทย , พนักงานฝายทีมบริหารทีมปฎิบัติการ บมจ.ธนาคารกรุงไทย ได้ร่วมบุญดังนี้
.
1.การสร้างวิหาร และ มณฑปกลางน้ำ ที่อาศรมศรีชัยรัตนโคตร
.
2.การถวายหนังสือประวัติหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร แด่พระอาจารย์นิล (อาศรมศรีชัยรัตนโคตร จ.สกลนคร)
.
3.ถวายปัจจัยในการทำบุญภัตตาหารของพระภิกษุที่อยู่ที่อาศรมศรีชัยรัตนโคตร
.
4.การถวายหนังสือประวัติหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร แด่แม่ชีรุ่งนภา (บ้านแสงแห่งธรรม จ.พิษณุโลก)
.
5.ถวายปัจจัยการทำบุญโรงทานของแม่ชีรุ่งนภา (มูลนิธิบ้านแสงแห่งธรรม)
.
6.ถวายรูปคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร 5 พระองค์ แด่ พระอาจารย์นิล , พระภิกษุอีก 1 รูป และ แม่ชีรุ่งนภา
.
ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่าน
มาร่วมโมทนาบุญกันครับ
.
.
.-----------------------------------------------.
.
.
กำหนดการ

พิธีอัญเชิญหลวงปู่เทพโลกอุดร ขึ้นประดิษฐาน ณ มณฑปกลางน้ำ อาศรมศรีชัยรัตนโคตร
.
07.19 น. พิธีบวงสรวงโดยพระมหาเถระ 2 รูป
.
ท่านพระครูวิลาศกาญจนธรรม ดร. เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี
ท่านเจ้าคุณพระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ) ประธานสงฆ์วัดใหม่ปลายห้วย จ.พิจิตร
.
07.30 น. เริ่มพิธีอัญเชิญรูปหล่อหลวงปู่เทพโลกอุดร จากแท่นประดิษฐานด้านนอก เข้าสู่ฐานองค์พระภายในมณฑปกลางน้ำ
.
พระสงฆ์ 9 รูป สวดชัยมงคลคาถา
.
ด้านในมณฑป- พระครูวินัยธรธวัชชัย ชาครธัมโม พร้อมคณะช่าง ดำเนินงานติดตั้งระบบเพิ่มเติมของแท่นฐานหินอ่อนกับรูปหล่อองค์หลวงปู่เทพโลกอุดร
.
ด้านนอกมณฑป-กราบอาราธนาพระมหาเถระเทศน์โปรดญาติโยมพุทธบริษัท
.
08.30 น. กราบอาราธนาพระมหาเถระสองรูป ประกอบพิธีภายในมณฑป (ถวายพานเครื่องสักการะ และทำพิธีเบิกพระเนตรองค์พระ)
.
10.15 น. ถวายไทยธรรมแด่พระสงฆ์
.
10.30 น. ถวายภัตตาหารเพล
.
เสร็จพิธี
.
#หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า

#หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า

#หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เทพโลกอุดร หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เดินหน หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ดำ หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ในดง หรืออีกชื่อ #หลวงปู่โพรงโพธิ์

#หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี

#หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ

#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์

#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร

#คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ

#หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ

#พระเจ้าอโศกมหาราช

#พระครูวิลาศกาญจนธรรม #เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน

#เจ้าคุณพระพิศาลญาณวงศ์ ( #หลวงปู่ทองดีอนีโฆ ) #ประธานสงฆ์วัดใหม่ปลายห้วย

#ชมรมพระวังหน้า

#พระวังหน้า

#อาศรมศรีชัยรัตนโคตร

#พระธวัชชัยชาครธัมโม

#พระอาจารย์นิล

#หลวงพี่นิล

#มูลนิธิบ้านแสงแห่งธรรม

#บ้านแสงแห่งธรรม

#แม่ชีรุ่งนภา

#โรงทาน
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 01, 2020, 09:22:19 pm
ขอเชิญร่วมทำบุญปิดทองฉัตร (ฉัตรนี้จะนำไปประดิษฐานที่พระเจดีย์ที่บ้านแสงแห่งธรรม ทุ่งนาผางาม จ.พิษณุโลก (แม่ชีรุ่งนภา)
.
สามารถร่วมทำบุญได้ที่ บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 678 - 8 -89192 - 3
ชื่อบัญชี นายสิทธิพงศ์ สงวนศักดิ์
บมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาบิ๊กซี บางปะกอก
.
เริ่มต้นตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
สิ้นสุดการร่วมทำบุญในวันพุธที่ 4 มีนาคม 2563 เวลา 12.00 น.
.
ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยครับ
.
.**************************************.
.
#พระเจดีย์บ้านแสงแห่งธรรมทุ่งนาผางาม
#โรงทาน
#มูลนิธิบ้านแสงแห่งธรรม
#บ้านแสงแห่งธรรม
#เรือนอิ่ม
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 01, 2020, 09:24:04 pm
ขอเชิญร่วมงานบุญ การหล่อองค์หลวงปู่เทพโลกอุดรนั่งบัลลังก์พญานาค
.
หล่อองค์หลวงปู่เทพโลกอุดร(หรือหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า)นั่งบัลลังก์พญานาค เนื้อทองเหลือง จำนวน 1 องค์ (จริงๆแล้วหล่อเนื้อทองเหลือง จำนวน 3 องค์ ทางโรงหล่อ ขอไป 1 องค์ ส่วนอีก 1 องค์โรงหล่อถวายพระอาจารย์ณริชฯ ที่วัดป่าภัทรปิยาราม)
.
และ หล่อองค์หลวงปู่เทพโลกอุดร(หรือหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า)นั่งบัลลังก์พญานาค เนื้อไฟเบอร์ อีกจำนวนประมาณ 8 องค์ มีวัดในประเทศ และ ต่างประเทศ มีหนังสือขอกับพระอาจารย์ณริชฯ ไว้แล้ว
.
สามารถร่วมทำบุญได้ที่

บัญชีเลขที่ 008 - 0 - 32995 – 0

ชื่อบัญชี นายสิทธิพงศ์ สงวนศักดิ์

บมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาปทุมวัน

.

เริ่มต้นร่วมทำบุญตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

สิ้นสุดการร่วมทำบุญวันพฤหัสที่ 12 มีนาคม 2563

.

ระวังการโอนร่วมทำบุญผิดบัญชีด้วย
และรบกวนโอนร่วมทำบุญให้ตรงกับที่ผมแจ้งไว้ด้วยครับ
.
ขอโมทนาบุญกับ ทุกๆท่านด้วยครับ
.
.*************************************.
.

#หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า

#หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า

#หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เทพโลกอุดร หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เดินหน หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ดำ หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ในดง หรืออีกชื่อ #หลวงปู่โพรงโพธิ์

#หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี

#หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ

#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์

#หลวงปู่เทพโลกอุดร

#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร

#คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ

#หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ

#พระเจ้าอโศกมหาราช

#พระอาจารย์ณริชธันร์ศรีอิทธิมนต์

#วัดป่าภัทรปิยาราม ต.โคกตูม อ.เมือง จ.ลพบุรี

#อรุโณโลกุตตระ

#ชมรมพระวังหน้า

#พระวังหน้า

พระอาจารย์ณริชธันร์ ศรีอิทธิมนต์
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 28, 2020, 03:55:33 pm
พิธีหล่อองค์หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า (หรืออีกชื่อ หลวงปู่เทพโลกอุดรนั่งบัลลังค์พญานาค)

และการหล่อ เครื่องราชกกุธภัณฑ์ ที่จะอัญเชิญไปถวายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

โดย พลเอกราชรักษ์ เรียนพืชน์ เลขานุการองคมนตรี มาเป็นประธานการหล่อฯในครั้งนี้

การหล่อฯ พระอาจารย์ณริชธันร์ฯ (วัดป่าภัทรปิยาราม จ.ลพบุรี) ท่านไปหล่อฯที่โรงหล่อฯ

วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม 2563

ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่านที่มีส่วนในงานบุญนี้

มาร่วมโมทนาบุญกันครับ

.

.*************************************.

.


#หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า


#หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า


#หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เทพโลกอุดร หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เดินหน หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ดำ หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ในดง หรืออีกชื่อ #หลวงปู่โพรงโพธิ์


#หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี


#หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ


#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์


#หลวงปู่เทพโลกอุดร


#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร


#คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ


#หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ


#พระเจ้าอโศกมหาราช


#พระอาจารย์ณริชธันร์ศรีอิทธิมนต์


#วัดป่าภัทรปิยาราม ต.โคกตูม อ.เมือง จ.ลพบุรี


#อรุโณโลกุตตระ


#ชมรมพระวังหน้า


#พระวังหน้า


พระอาจารย์ณริชธันร์ ศรีอิทธิมนต์
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 12, 2020, 11:29:33 am
ขอให้ทุกท่าน  #ระมัดระวังตนเอง และ #ระมัดระวังครอบครัว  กันให้มากๆ
.
เชื้อโรคนี้ เป็น #เชื้อโรคใหม่  ที่โลกนี้พึ่งได้พบเจอ
.
ขอให้ทำตาม #มาตรการที่ทางการแพทย์ แจ้งมาให้ปฎิบัติตาม
.
ย้ำว่า #เชื้อCovid19  ไม่มีวันหายไปจากโลกนี้
.
เชื้อCovid-19 ยังคงอยู่กับมนุษย์และโลกนี้ตราบนิรันดร์
.
เพียงแต่มนุษย์เราจะควบคุมเชื้อโรคนี้ได้มากน้อยแค่ไหน
.
อีกเรื่อง  หลังจาก #วิกฤตการCovid19 ผ่านพ้นไป
.
#ระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย และ #ระบบเศรษฐกิจของโลก จะ #เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
.
ต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงนี้ให้ดีๆ  ปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง
.
เรื่องสุดท้าย  วิกฤตในครั้งนี้  ในความเห็นส่วนตัวผมคือ #สงครามโลกครั้งที่3  เป็นสงครามโลกระหว่าง #มนุษยชาติ กับ #เชื้อโรค
.
เราทุกคน ต้อง #ร่วมมือ #ร่วมใจ กันฝ่าฟันให้พ้นจากสงครามโลกในครั้งนี้ไปด้วยกัน
.
.
.฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿
.
.
“COVID-19” ไวรัส "ฆ่า" ไม่ตาย? | 11 เม.ย. 63 | TNN ข่าวดึก
https://www.youtube.com/watch?v=cSexpSxfkCg (https://www.youtube.com/watch?v=cSexpSxfkCg)

TNN ช่อง 16 11 เม.ย. 2020
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 11:41:41 am
วันวิสาขบูชา
ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖
.
ความหมาย คำว่า "วิสาขบูชา" หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญเดือน ๖ วิสาขบูชา ย่อมาจาก " วิสาขปุรณมีบูชา " แปลว่า " การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ " ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหน ก็เลื่อนไปเป็นกลางเดือน ๗
.
ความสำคัญ วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญยิ่งทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ คือเกิด ได้ตรัสรู้ คือสำเร็จ ได้ปรินิพพาน คือ ดับ เกิดขึ้นตรงกันทั้ง ๓ คราวคือ
.
๑. เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูติที่พระราชอุทยานลุมพินีวัน ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับเทวทหะ เมื่อเช้าวันศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีจอ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี
.
๒. เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าเมื่อพระชนมายุ ๓๕ พรรษา ณ ใต้ร่มไม้ศรีมหาโพธิ์ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ในตอนเช้ามืดวันพุธ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีระกา ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี หลังจากออกผนวชได้ ๖ ปี ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้แห่งนี้เรียกว่า พุทธคยา เป็นตำบลหนึ่งของเมืองคยา แห่งรัฐพิหารของอินเดีย
.
๓. หลังจากตรัสรู้แล้ว ได้ประกาศพระศาสนา และโปรดเวไนยสัตว์ ๔๕ ปี พระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา ก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน เมื่อวันอังคาร ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเส็ง ณ สาลวโนทยาน ของมัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ (ปัจจุบันอยู่ในเมืองกุสีนคระ แคว้นอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย)
นับว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง ที่เหตุการณ์ทั้ง ๓ เกี่ยวกับวิถีชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีช่วงระยะเวลาห่างกันนับเวลาหลายสิบปี บังเอิญเกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือน ๖ ดังนั้นเมื่อถึงวันสำคัญ เช่นนี้ ชาวพุทธทั้งคฤหัสถ์ และบรรพชิตได้พร้อมใจกันประกอบพิธีบูชาพระพุทธองค์เป็นการพิเศษ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณ พระปัญญาธิคุณ และพระบริสุทธิคุณ ของพระองค์ท่านผู้เป็นดวงประทีปของโลก
.
ประวัติความเป็นมาของวันวิสาขบูชาในประเทศไทย
.
วันวิสาขบูชานี้ ปรากฏตามหลักฐานว่า ได้มีมาตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ซึ่งสันนิษฐานว่า คงจะได้แบบอย่าง มาจากลังกา กล่าวคือ เมื่อประมาณ พ.ศ. ๔๒๐ พระเจ้าภาติกุราช กษัตริย์แห่งกรุงลังกา ได้ประกอบพิธีวิสาขบูชาอย่าง มโหฬาร เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา กษัตริย์ลังกาในรัชกาลต่อ ๆ มา ก็ทรงดำเนินรอยตาม แม้ปัจจุบันก็ยังถือปฏิบัติอยู่
.
สมัยสุโขทัยนั้น ประเทศไทยกับประเทศลังกามีความสัมพันธ์ด้านพระพุทธศาสนาใกล้ชิดกันมากเพราะพระสงฆ์ชาวลังกา ได้เดินทางเข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนา และเชื่อว่าได้นำการประกอบพิธีวิสาขบูชามาปฏิบัติในประเทศไทยด้วย
.
ในหนังสือนางนพมาศได้กล่าวบรรยากาศการประกอบพิธีวิสาขบูชาสมัยสุโขทัยไว้ พอสรุปใจความได้ว่า
.
" เมื่อถึงวันวิสาขบูชา พระเจ้าแผ่นดิน ข้าราชบริพาร ทั้งฝ่ายหน้า และฝ่ายใน ตลอดทั้งประชาชนชาวสุโขทัยทั่วทุก หมู่บ้านทุกตำบล ต่างช่วยกันทำความสะอาด ประดับตกแต่งพระนครสุโขทัยเป็นการพิเศษ ด้วยดอกไม้ของหอม จุดประทีปโคมไฟแลดูสว่างไสวไปทั่วพระนคร เป็นการอุทิศบูชาพระรัตนตรัย เป็นเวลา ๓ วัน ๓ คืน พระมหากษัตริย์ และบรมวงศานุวงศ์ ก็ทรงศีล และทรงบำเพ็ญพระราชกุศลต่างๆ ครั้นตกเวลาเย็น ก็เสด็จพระราช ดำเนิน พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ และนางสนองพระโอษฐ์ต ลอดจนข้าราชการทั้งฝ่ายหน้า และฝ่ายใน ไปยังพระ อารามหลวง เพื่อทรงเวียนเทียนรอบพระประธาน
ส่วนชาวสุโขทัยชวนกันรักษาศีล ฟังธรรมเทศนา ถวายสลากภัต ถวายสังฆทาน ถวายอาหารบิณฑบาต แด่พระภิกษุ สามเณรบริจาคทรัพย์แจกเป็นทานแก่คนยากจน คนกำพร้า คนอนาถา คนแก่ คนพิการ บางพวกก็ชวนกันสละทรัพย์ ปล่อยสัตว์ ๔ เท้า ๒ เท้า และเต่า ปลา เพื่อชีวิตสัตว์ให้เป็นอิสระ โดยเชื่อว่าจะทำให้คนอายุ ยืนยาวต่อไป "
.
ในสมัยอยุธยา สมัยธนบุรี และสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ด้วยอำนาจอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ เข้าครอบงำประชาชนคนไทย และมีอิทธิพลสูงกว่าอำนาจของพระพุทธศาสนา จึงไม่ปรากฎหลักฐานว่า ได้มีการประกอบพิธีบูชาในวันวิสาขบูชา จนมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. ๒๓๖๐) ทรงดำริกับ สมเด็จพระสังฆราช (มี) สำนักวัดราชบูรณะ มีพระราชประสงค์จะให้ฟื้นฟู การประกอบพระราชพิธีวันวิสาขบูชาขึ้นใหม่ โดย สมเด็จพระสังฆราช ถวายพระพรให้ทรงทำขึ้น เป็นครั้งแรกในวันขึ้น ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๖ พ.ศ. ๒๓๖๐ และให้จัดทำตามแบบอย่างประเพณีเดิมทุกประการ เพื่อมีพระประสงค์ให้ประชาชนประกอบการบุญการกุศล เป็นหนทางเจริญอายุ และอยู่เญ็นเป็นสุขปราศจากทุกข์โศกโรคภัย และอุปัทวันตรายต่างๆ โดยทั่วหน้ากัน
.
ฉะนั้น การประกอบพิธีในวันวิสาขบูชาในประเทศไทย จึงได้รื้อฟื้นให้มีขึ้นอีกครั้งหนึ่งในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ และถือปฏิบัติมาจวบจนกระทั่งปัจจุบัน
.
การจัดงานเฉลิมฉลองในวันวิสาขบูชาที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกยุคทุกสมัย คงได้แก่การจัดงานเฉลิมฉลอง วันวิสาขบูชา พ.ศ.๒๕๐๐ ซึ่งทางราชการเรียกว่างาน " ฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ " ตั้งแต่วันที่ ๑๒ ถึง ๑๘ พฤษภาคม รวม ๗ วัน ได้จัดงานส่วนใหญ่ขึ้นที่ท้องสนามหลวง ส่วนสถานที่ราชการ และวัดอารามต่างๆ ประดับธงทิวและโคมไฟสว่างไสวไปทั่วพระ ราชอาณาจักร ประชาชนถือศีล ๕ หรือศีล ๘ ตามศรัทธาตลอดเวลา ๗ วัน มีการอุปสมบทพระภิกษุสงฆ์รวม ๒,๕๐๐ รูป ประชาชน งดการฆ่าสัตว์ และงดการดื่มสุรา ตั้งแต่วันที่ ๑๒ ถึง ๑๔ พฤษภาคม รวม ๓ วัน มีการก่อสร้าง พุทธมณฑล จัดภัตตาหาร เลี้ยงพระภิกษุสงฆ์วันละ ๒,๕๐๐ รูป ตั้งโรงทานเลี้ยงอาหารแก่ประชาชน วันละ ๒๐๐,๐๐๐ คน เป็นเวลา ๓ วัน ออกกฎหมาย สงวนสัตว์ป่าในบริเวณนั้น รวมถึงการฆ่าสัตว์ และจับสัตว์ในบริเวณวัด และหน้าวัดด้วย และได้มีการปฏิบัติธรรมอันยิ่งใหญ่ อย่างพร้อมเพรียงกัน เป็นกรณีพิเศษ ในวันวิสาขบูชาปีนั้นด้วย
.
ห ลั ก ธ ร ร ม สำ คั ญ ที่ ค ว ร นำ ม า ป ฏิ บั ติ
.
๑. ค ว า ม ก ตั ญ ญู คือความรู้อุปการคุณที่มีผู้ทำไว่ก่อน เป็นคุณธรรมคู่กับความกตเวที คือ การตอบแทนอุปการคุณที่ผู้อื่นทำไว้นั้น
.
• บิดามารดา มีอุปการคุณแก่ลูก ในฐานะผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูจนเติบโต ให้การศึกษาอบรมสั่งสอน ให้เว้นจากความชั่ว มั่นคงในการทำความดี เมื่อถึงคราวมีคู่ครองได้จัดหาคู่ครองที่เหมาะสมให้ และมอบทรัพย์สมบัติให้ไว้เป็นมรดก
.
• ลูกเมื่อรู้อุปการะคุณที่บิดามารดาทำไว้ ย่อมตอบแทนด้วยการประพฤติตัวดี สร้างชื่อเสียงให้ แก่วงศ์ตระกูล เลี้ยงดูท่าน และช่วยทำงานของ ท่าน และเมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่าน
.
• ครูอาจารย์มีอุปการคุณแก่ศิษย์ ในฐานะเป็นผู้ประสาทความรู้ให้ ฝึกฝนแนะนำให้เป็นคนดี สอนศิลปวิทยาให้อย่างไม่ปิดบังยกย่องให้ปรากฎแก่คนอื่น และช่วยคุ้มครองให้ศิษย์ทั้งหลาย
.
• ศิษย์เมื่อรู้อุปการคุณที่ครูอาจารย์ทำไว้ ย่อมตอบแทนด้วยการตั้งใจเรียน ให้เกียรติ และให้ความเคารไม่ล่วงละเมิดโอวาทของครู
.
• ความกตัญญูและความกตเวทีนี้ ถือว่าเป็นเครื่องหมายของคนดี ส่งผลให้ครอบครัว และสังคมมีความสุขได้เพราะ บิดามารดาจะรู้จักหน้าที่ของตนเอง ด้วยการทำอุปการคุณให้ก่อน และลูกก็จะรู้จักหน้าที่ของตนเองด้วยการทำดีตอบแทน
.
• นอกจากบิดากับลูก และครูอาจารย์กับศิษย์แล้ว คุณธรรมข้อนี้ก็สามารถนำไปใช้ได้แม้ระหว่าง นายจ้างกับลูกจ้าง อันจะส่งผลให้สังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข
.
• ในทางพระพุทธศาสนาพระพุทธเจ้า ทรงเป็นบุพการรีในฐานะที่ทรงสถาปนาพระพุทธศาสนา และทรงสอนทางพ้นทุกข์ให้แก่เวไนยสัตว์
.
• พุทธศาสนิกชน รู้พระคุณอันนี้จึงตอบแทนด้วยอามิสบูชาและปฎิบัติบูชากล่าวคือการจัดกิจกรรม ในวันวิสาขบูชา เป็นส่วนหนึ่งที่ชาวพุทธแสดงออก ซึ่งความกตัญญูกตเวที ต่อพระองค์ด้วยการทำนุ บำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนา และประพฤติปฎิบัติธรรม เพื่อดำรงอายุพระพุทธศาสนาสืบไป
.
๒. อ ริ ย สั จ ๔
.
อริยสัจ ๔ คือ ความจริงอันประเสริฐ หมายถึงความจริงของชีวิตที่ไม่ผันแปร เกิดมีได้แก่ทุกคน มี ๔ ประการ คือ
.
• ทุกข์ ได้แก่ปัญหาของชีวิตพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ก็เพื่อให้ทราบว่ามนุษย์ทุกคนมีทุกข์เหมือนกัน ทั้งทุกข์ขั้นพื้นฐาน และทุกข์เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตประจำวัน ทุกข์ขั้นพื้นฐานคือทุกข์ที่เกิดจาก การเกิด การแก่ และการตาย ส่วนทุกข์ที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตประจำวัน คือทุกข์ที่เกิด จากการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ทุกข์ที่เกิดจากการประสบกันสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก ทุกข์ที่เกิดจากไม่ได้ตั้งใจปรารถนา รวมทั้งทุกข์ที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตด้านต่างๆ อาทิความ ยากจน
.
• สมุทัย คือ เหตุแห่งปัญหาพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ก็เพื่อให้ทราบว่า ทุกข์ทั้งหมดซึ่งเป็นปัญหา ของชีวิตล้วนมีเหตุให้เกิดเหตุนั้น คือ ตัญหา อันได้แก่ความอยากได้ต่างๆ ซึ่งประกอบไปด้วยความยึดมั่น
.
• นิโรธ คือ การแก้ปัญหาได้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ก็เพื่อให้ทราบว่า ทุกข์คือปัญหาของชีวิต ทั้งหมดที่สามารถแก้ไข ได้นั้นต้องแก้ไขตามทางหรือวิธีแก้ ๘ ประการ ( ดูมัชฌิมาปฎิปทา )
.
• มรรค การปฏิบัติเพื่อจำกัดทุกข์ เพื่อหลุดพ้นจากทุกข์ การปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหา เพื่อบรรลุเป้าหมายการแก้ปัญหาที่ต้องการ
.
๓. ค ว า ม ไ ม่ ป ร ะ ม า ท
.
ความไม่ประมาทคือ การมีสติเสมอทั้ง ขณะทำขณะพูด และขณะคิด สติคือการระลึกได้ ในภาคปฎิบัติเพื่อนำ มาใช้ในชีวิตประจำวัน หมายถึง การระลึกรู้ทันการเคลื่อนไหว ของอริยาบท ๔ คือ เดิน ยืน นั่ง นอน การฝึกให้เกิดสติทำได้โดยตั้งสติกำหนดการเคลื่อนไหวของอริยาบท กล่าวคือ ระลึกทันทั้งในขณะ ยืน เดิน นั่ง และนอน รวมทั้ง ระลึกรู้ทัน ในขณะพูดคิด และขณะทำงานต่างๆ เมื่อทำได้อย่างนี้ก็ชื่อว่า มีความไม่ประมาท
.
การทำงานต่างๆ สำเร็จได้ก็ด้วยความไม่ประมาท กล่าวคือผู้ทำย่อมต้องมีสติระลึกรู้อยู่ว่า ตนเองเป็นใครมีหน้าที่อะไร และกำลังทำอย่างไร หากมีสติระลึกรู้ได้อย่างนั้น ก็ย่อมไม่ผิดพลาด
.
วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญสากลของสหประชาชาติคือ
"วันสำคัญของโลก" ( Vesak Day )
.
ภูมิหลัง
.
๑. ในการประชุม International Buddhist Conference ณ กรุงโคลัมโบ ระหว่างวันที่ ๙ - ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๑ ซึ่งมีผู้แทนจากประเทศที่นับถือศาสนาพุทธจำนวนมากเข้าร่วม อาทิ บังคลาเทศ จีน ลาว เกาหลีใต้ เวียดนาม ภูฐาน อินโดนีเซีย เนปาล กัมพูชา อินเดีย ปากีสถาน และไทย ได้ตกลงกันที่จะเสนอให้สมัชชาสหประชาชาติรับรองข้อมติประกาศวัน วิสาขบูชาให้เป็นวันหยุดของสหประชาชาติ
.
๒. ในการเยือนของประเทศต่างๆ ในอินโดจีนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศศรีลังกา ในปี ๒๕๔๒ ก็ได้มีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นหารือ และได้รับการสนับสนุนจากประเทศต่างๆ ได้ด้วยดี
.
๓. คณะทูตถาวรศรีลังกาประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์กได้จัดเตรียมร่างข้อมติ และได้ขอเสียงสนับสนุนจากประเทศต่าง ๆ เพื่อให้มีการรับรองข้อมติเรื่องการประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดของสหประชาชาติในที่ประชุมสมัชชา สหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ ๕๔
.
๔. โดยที่สหประชาชาติประกาศวันหยุดเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว และจะเป็นปัญหาในเรื่องงบประมาณและการบริหารแก่ สหประชาชาติ หากประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุด ศรีลังกาจึงได้ตัดสินใจที่จะเสนอร่างข้อมติ ขอให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญสากลที่สหประชาชาติ ทั้งที่สำนักงานใหญ่ และสำนักงานต่าง ๆ แทนการเสนอให้เป็นวันหยุดซึ่ง ออท. ผู้แทนถาวรประเทศต่าง ๆ รวม ๑๖ ประเทศ ได้แก่ ศรีลังกา บังคลาเทศ ภูฐาน กัมพูชา ลาว มัลดีฟส์ มองโกเลีย พม่า เนปาล ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ สเปน อินเดีย ไทย และยูเครน ได้ร่วมลงนามในหนังสือถึงประธานสมัชชาฯ เพื่อให้นำเรื่องวันวิสาขบูชาเข้าเป็นระเบียบวาระการประชุมของสมัชชาฯ
.
๕. ต่อมาเมื่อ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ General Committee ของสมัชชาฯ ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าว โดย ออท.ผู้แทน ถาวรศรีลังกาได้กล่าวถ้อยแถลงสนับสนุนหนังสือร้องขอให้ที่ประชุมบรรจุระเบียบวาระดังกล่าว เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสมัชชาเต็มคณะ ออท.ผู้แทนถาวรไทย อินเดีย สเปน บังคลาเทศ ปากีสถาน ไซปรัส ลาว และภูฐาน ได้กล่าวถ้อย แถลงสนับสนุน ซึ่งที่ประชุม General Committee ได้มีมติให้บรรจุเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของสมัชชาเต็มคณะ
.
ปัจจุบัน
.
๑. เมื่อ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๔๒ ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ ๕๔ ได้พิจารณาระเบียบวาระที่ ๑๗๔ International recognition of the Day of Visak โดยการเสนอของศรีลังกา
.
๒. ในการพิจารณา ประธานสมัชชาฯ ได้เชิญผู้แทนศรีลังกาขึ้นกล่าวนำเสนอร่างข้อมติ และเชิญผู้แทนไทย สิงคโปร์ บังคลาเทศ ภูฐาน สเปน พม่า เนปาล ปากีสถาน อินเดียขึ้นกล่าวถ้อยแถลง สรุปความว่า วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก เพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ ทรงตรัสรู้ เสด็จดับขันธปรินิพพาน พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้มวลมนุษย์มีเมตตาธรรมและขันติธรรม ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพื่อให้เกิดสันติสุขในสังคม อันเป็นแนวทางของ สหประชาชาติ จึงขอให้ที่ประชุมรับรองข้อมตินี้ ซึ่งเท่ากับเป็นการรับรองความสำคัญของพุทธศาสนาในองค์การสหประชาชาติ โดยถือว่าวันดังกล่าวเป็นที่สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติและที่ทำการสมัชชาจะจัดให้มีการระลึกถึง (observance) ตามความเหมาะสม
.
๓. ที่ประชุมฯ ได้รับรองร่างข้อมติโดยฉันทามติ
เหตุผลที่ องค์การสหประชาชาติหนดให้ วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญของโลก
เนื่องจากคณะกรรมมาธิการองค์การสหประชาชาติ ได้ร่วมพิจารณาและมีมติเห็นพ้องต้องกันประกาศให้วันวิสาขบูชา ถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของโลกทั้งนี้ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ทรงเป็นมหาบุรุษผู้ให้ความเมตตาต่อหมู่มวล มนุษย์ทั้งหลายในโลก จะเห็นได้จากการยกเลิกแบ่งชนชั้นวรรณะ ซึ่งเท่ากับเป็นการเลิกทาสโดยไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อ นอกจากนี้พระองค์ยังทรงเป็นนักอนุรักษ์สัตว์ป่าอีกด้วย กล่าวคือ ทรงสอนให้ไม่ฆ่าสัตว์ ให้รู้จักช่วยเหลือสัตว์ เหตุผลสำคัญ อีกประการหนึ่งคือ พระองค์ทรงเปิดโอกาสให้ทุกศาสนาสามารถเข้ามาศึกษาพุทธศาสนาเพื่อพิสูจน์หาข้อเท็จจริงได้ โดย ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธและทรงสั่งสอนทุกคนโดยใช้ปัญญาธิคุณสอนโดยไม่คิดค่าตอบแทน
เรียบเรียงจาก ความรู้เกี่ยวกับวันสำคัญไทย (เสฐียรโกเศศ และ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) ,๒๕๔๑ : ๓๙ - ๕๙)
.
ที่มา http://www.dhammathai.org/day/visaka.php (http://www.dhammathai.org/day/visaka.php)
.
-------------------------------------------------------
เพลงวันวิสาขบูชา
https://www.youtube.com/watch?v=iMteZaY_tIE (https://www.youtube.com/watch?v=iMteZaY_tIE)
มือพิณฮ้างๆ
เผยแพร่เมื่อ 18 พ.ย. 2014
-------------------------------------------------------
เพลง วันวิสาขบูชา
https://www.youtube.com/watch?v=xWnMMBYegoM (https://www.youtube.com/watch?v=xWnMMBYegoM)
จิรญา จำเริญ
เผยแพร่เมื่อ 20 ก.พ. 2014
-------------------------------------------------------
เพลงธรรมะ - วันวิสาขบูชา (ลูกทุ่ง)
https://www.youtube.com/watch?v=fr-stfINtD8 (https://www.youtube.com/watch?v=fr-stfINtD8)
Neeranuch Aonsroiy
เผยแพร่เมื่อ 7 มิ.ย. 2016
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 02:20:59 pm
โพสโดย อาศรมศรีชัยรัตนโคตร
6 พฤษภาคม 2563.
.
.
พิธีทอดผ้าป่ากตัญุตาสามัคคีธรรม น้อมถวายเป็นพุทธบูชา ณ อาศรมศรีชัยรัตนโคตร
.
.
.
https://www.facebook.com/SriChaiRattanaKhot/videos/239151837501823/ (https://www.facebook.com/SriChaiRattanaKhot/videos/239151837501823/)
.
.
.
วิสาขปุรณมีบูชา
.
 วันที่  ๖ พฤษภาคม ๒๕๖๓
.
วันพระพุทธเจ้า
.
วันไหว้ครู..องค์บรมครู
.
น้อมกราบสักการะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ มี สมเด็จองค์ปฐมบรมศาสดาเป็นประธาน
.
โมทนาบุญ สาธุ สาธุ สาธุ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 09, 2020, 02:06:37 pm
มาเล่าให้ฟัง เรื่องประสบการณ์ในการศึกษาพระวังหน้า และการบอกบุญในวาระต่างๆ
.
ตอนที่ผมเริ่มศึกษาพระวังหน้า จากท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร เมื่อปลายปี 2548
.
พอผมเรียนได้สักพัก ผมได้นำเรื่องที่ผมเรียนเรื่องพระวังหน้า  ไปตั้งกระทู้ พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....   ในเว็บพลังจิต เมื่อวันทีี่ 23 ธันวาคม 2548  โดยมีเจตนาที่จะเผยแพร่องค์ความรู้เรื่องพระวังหน้า
.
ในครั้งแรก ผมนำพระวังหน้า  ไปมอบให้กับท่านที่ไปบริจาคโลหิต ที่สภากาชาดไทย 
.
ต่อมา ผมได้เข้าไปเห็นคุณโต โพสในกระทู้ ขอความเมตตาต่อชีวิตพระเณร ในเว็บพลังจิต  ที่วัดบ่อเงินบ่อทอง (เมื่อก่อนเป็น สำนักสงฆ์บ่อเงินบ่อทอง)  ซึ่งภายในวัดบ่อเงินบ่อทอง มีโรงเรียนพระปริยัติธรรมบ่อเงินบ่อทอง  ที่ให้การศึกษากับเณร (ที่เป็นเด็กยากจนที่ไม่ได้เรียนหนังสือ  หลวงพ่อแผนท่านไปนำเด็กๆเหล่านี้ มาบวชเณร และให้การศึกษาทั้งทางโลก (วิชาชีพ) และทางธรรม เพื่อเด็กๆเหล่านี้  จะได้มีการศึกษาเพื่อใช้ในการประกอบอาชีพในอนาคต)
.
ผมจึงได้เข้าไปช่วยในการบอกบุญ โดยนำพระวังหน้าของผม  ไปให้คนร่วมทำบุญ  โดยเงินที่ร่วมทำบุญให้โอนเข้าบัญชีของสำนักสงฆ์บ่อเงินบ่อทอง
.
อีกเรื่องที่สำคัญ  ที่นอกเหนือจากการบอกบุญ และไปร่วมทำบุญของผมนั้น  มีผู้ที่เข้ามาร่วมทำบุญหลายคน  ที่มีความสนใจในเรื่องของพระวังหน้า  ต่อมากลุ่มคนเหล่านี้เข้ามารู้จักกับผม  มาเป็นเพื่อน มีการก่อตั้งคณะพระวังหน้า ต่อมามีการตั้งชมรมรักษ์พระวังหน้าขึ้น เพื่อเป็นการรวมตัวของผู้ที่เคารพในคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร , สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี , กลุ่มพระภิกษุองค์อภิญญาใหญ่ มีความศรัทธาแต่ไม่งมงายกับพระวังหน้า  และมาเป็นกัลยาณมิตรที่ดีมาจนถึงทุกวันนี้
.
ต่อมาอีกประมาณ 1 ปี ผมเห็นว่า ทางวัดบ่อเงินบ่อทอง  ได้มีพุทธศาสนิกชน ได้เข้ามาร่วมทำบุญที่วัดบ่อเงินบ่อทองมากขึ้นมาก  ผมจึงถอยออกมาจากการช่วยในการบอกบุญ แต่ยังคงไปร่วมทำบุญในบางโอกาส
.
ประกอบกับมีพระสงฆ์รูปหนึ่ง ท่านมาหาผมที่บ้านท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ที่จังหวัดชลบุรี  พระภิกษุสงฆ์รูปนั้นคือ พระอาจารย์นิล (พระอาจารย์ธวัชชัย ชาครธมฺโม) ท่านมาหาผม 2 ครั้ง  ท่านต้องการที่จะได้เจอผม แต่ทั้ง 2 ครั้ง ผมไม่ได้ไป  ครั้งที่ 3 ท่านไปที่บ้านท่านอาจารย์ประถมอีกครั้ง ในครั้งนี้ ผมได้ไปหาท่านอาจารย์ประถม  จึงได้พบกัน  พระอาจารย์นิล ท่านก็เลยบอกกับผมว่า ขอให้ผมไปช่วยในการบอกงานบุญ ในการที่ท่านจะสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ) เงินที่ทำบุญ พระอาจารย์นิลท่านขอให้ผมเปิดบัญชีส่วนตัว เพื่อรับเงินในการทำบุญ แต่ผมปฎิเสธไปว่า หากให้ผมช่วยในการบอกบุญ ให้ผมใช้บัญชีส่วนตัวผม  ผมไม่ทำ  แต่ถ้าเป็นบัญชีของพระอาจารย์นิล หรือ คณะศิษย์ ผมไม่มีปัญหา ยินดีและเต็มใจช่วยงานบุญ  ผลสรุปคือ ทางคณะศิษย์ที่นำโดย พี่แอ๊ว จึงได้ไปเปิดบัญชีเพื่อใช้ในการร่วมทำบุญ  และผมเองก็ได้ไปเปิดกระทู้เพิ่มเติมก็คือ กระทู้ ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ ในเว็บพลังจิต โดยเปิดกระทู้ในวันที่ 27 มกราคม 2550
.
ในครั้งที่ 3 ที่พระอาจารย์นิล ท่านมาพบกับผม ที่บ้านท่านอาจารย์ประถม  ผมมาทราบในภายหลังว่า พระอาจารย์นิล ท่านได้อธิษฐานขอให้ได้พบกับผม  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมกับพระอาจารย์นิล รวมทั้งคณะศิษย์ของท่าน เคยมีความผูกพันธ์กันมา เคยทำบุญร่วมกันมา และได้ร่วมทำบุญกันต่อๆไป โดยมีในกลุ่มคณะพระวังหน้า กับ ชมรมรักษ์พระวังหน้า เป็นผู้ที่ช่วยกันในการบอกบุญ และร่วมทำบุญ
.
ในช่วงปลายปี 2553  ชมรมรักษ์พระวังหน้า มีปัญหาภายในเกิดขึ้น  ผมจึงได้ยุบชมรมรักษ์พระวังหน้า  แล้วตั้งชมรมใหม่ในชื่อ ชมรมพระวังหน้า  โดยมีการตั้งชมรมพระวังหน้าอย่างเป็นทางการเมื่อวันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม 2553  โดยมีเพื่อนๆที่ร่วมกันบอกงานบุญและร่วมทำบุญกันในหลายๆงานบุญ เข้ามาเป็นสมาชิกชมรมพระวังหน้า
.
ในการสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง  ได้สร้างเสร็จสิ้น ในปี 2557  ใช้เวลาในการสร้างเสร็จสมบูรณ์โดยประมาณ 7 ปี
.
ในเวลาต่อมา ประมาณเดือน พฤษภาคม 2559 พระอาจารย์นิล ท่านได้ไปสร้าง อาศรมศรีชัยรัตนโคตร ที่ ตำบล พังขว้าง อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร  47000  ผม กับ สมาชิกชมรมพระวังหน้า และ คณะพระวังหน้า ได้ร่วมกันตามไป ร่วมกันบอกบุญ และร่วมทำบุญในการสร้างอาศรมศรีชัยรัตนโคตร
.
ปัจจุบันการสร้างวิหาร , มณฑปหลวงปู่อิเกสาโร , การสร้างรั้วของอาศรม และงานบุญอื่นๆ ยังไม่แล้วเสร็จ  ทางผม กับ สมาชิกชมรมพระวังหน้า และ คณะพระวังหน้า ร่วมบอกบุญและทำบุญกันต่อไป
.
นอกเหนือจากที่ไปร่วมทำบุญที่อาศรมศรีชัยรัตนโคตรแล้ว  ทางผม กับ สมาชิกชมรมพระวังหน้า และ คณะพระวังหน้า ยังร่วมกันบอกบุญ และทำบุญที่ วัดป่าภัทรปิยาราม  พระอาจารย์ณริชธันย์  (ท่านเป็นเจ้าอาวาส)  ผมเองรู้จักกับ พระอาจารย์ณริชธันย์ ตั้งแต่ที่ท่านยังไม่ได้บวชเป็นพระภิกษุ  จนกระทั่งท่านบวชเป็นพระภิกษุมาจนถึงปัจจุบัน
.
การเรียนรู้เรื่องพระวังหน้า  ผมไปเรียนเรื่องพระวังหน้า กับ อาจารย์ 2 ท่าน
.
ท่านแรก คือ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร
.
ท่านที่สอง คือ พี่ใหญ่ (ผมขอเรียนแทนชื่อของท่าน)
.
ผมไปเรียนกับท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ช่วยปลายๆปี 2548  ไปเรียนใช้เวลาประมาณ 6 - 7 ปี ผมไปหาท่านทุกเดือน เดือนละไม่น้อยกว่า 1 ครั้ง ผมไปหาท่านที่จังหวัดชลบุรี โดยจะมีสมาชิกชมรมพระวังหน้า และ สมาชิกคณะพระวังหน้า ไปกับผมเสมอ แต่จะมากหรือน้อย แล้วแต่ละท่านที่ไม่ได้ติดภาระกิจส่วนตัว
.
ต่อมาผมได้รู้จักกับพี่ใหญ่  ที่ท่านอาจารย์ประถม ท่านแนะนำให้รู้จัก และยืนยันว่า พี่ใหญ่เป็นฆารวาสที่มีความพิเศษ สามารถติดต่อพูดคุยกับ คณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร , สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี , หลวงปู่กลุ่มองค์อภิญญาใหญ่ และพระสงฆ์ที่ทั้งไม่มรณภาพ และ มรณภาพไปแล้วได้  สามารถเข้าไปดูพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงได้ หลังจากนั้น นอกเหนือจากที่ผมนำพระวังหน้าไปให้ท่านอาจารย์ประถม ท่านสอนแล้ว  ผมได้นำพระวังหน้าไปให้พี่ใหญ่ท่านสอนให้เพิ่มเติมอีก
.
ส่วนสมาชิกชมรมพระวังหน้าบางท่าน และสมาชิกคณะพระวังหน้า มีความสามารถทราบได้ว่า พระวังหน้าองค์นี้ มีพระภิกษุองค์ไหนอธิษฐานจิตได้ด้วย ซึ่งผมเองยอมรับในความสามารถเช่นกัน
.
การเรียนรู้ของผม กับ สมาชิกชมรมพระวังหน้า และ คณะพระวังหน้า มีการเรียนรู้ทั้ง รูป (เนื้อหาทรงพิมพ์) และ นาม (พลังอิทธิคุณขององค์ผู้อธิษฐานจิต)
.
ในเรื่องของ นาม (พลังอิทธิคุณขององค์ผู้อธิษฐานจิต) ผมไม่ใช้คำว่า พุทธคุณ เนื่องจาก พุทธคุณแปลว่า คุณของพระพุทธเจ้า คือ พระธรรม  ไม่ใช่ พลังขององค์ผู้อธิษฐานจิต
.
มาเพิ่มเติมเรื่อง พระสงฆ์กลุ่มองค์อภิญญาใหญ่  ท่านเป็นพระสงฆ์ที่ปำิบัติดีปฎิบัติชอบ  ปัจจุบันท่านอยู่ที่ พรหมชั้นสุทธาวาส  ท่านสามารถที่จะตัดเข้าสู่แดนนิพพานได้ตลอดเวลา แต่ที่ท่านไม่ได้ตัดเข้าสู่แดนนิพพาน เนื่องจากยังคงเป็นห่วงกลุ่มลูกหลานและลูกศิษย์ของท่านอยู่  พระสงฆ์กลุ่มองค์อภิญญาใหญ่ เช่น หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน , หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า , หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว , หลวงปู่กรมพระยาปวเรศ , ท่านเจ้ามา วัดสามปลื้ม (หรือ วัดจักรวรรดิราชาวาส) , หลวงพ่อพริ้ง วัดบางปะกอก เป็นต้น
.
สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และ หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง ท่านคือพระมหาโพธิสัตว์ (ที่ตั้งเจตนาจะไปเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต)
.
ส่วน คณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร (คณะพระธรรมทูต คณะโสณะ-อุตระ  ที่แกนหลัก คือ หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า , หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า , หลวงปู่อิเกสาโร , หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า และหลวงปู่หน้าปาน) ท่านเป็นพระอรหันต์ปฎิสัมภิทาญาณ ที่ตั้งเจตนาอยู่เพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนาไปจนครบ 5,000 ปี เมื่อครบ 5,000 ปีแล้วจึงเข้าแดนนิพพาน
.
มาต่อกันเรื่องของ นาม (พลังอิทธิคุณขององค์ผู้อธิษฐานจิต) เพิ่มเติมอีกหน่อย
.
เรื่องของการจับพลังอิทธิคุณพระพิมพ์นั้น  มีปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่หลายประการ    อาทิเช่น
.
1.พระพิมพ์บางองค์  เวลาที่กดพระพิมพ์นั้น  อาจกดไปโดนฤกษ์ดอกลูกพิษ  ถ้าพระพิมพ์องค์ไหน  กดโดนฤกษ์ดอกลูกพิษ  ไม่ว่าพระองค์ไหน  ก็เสกไม่เข้าทั้งสิ้น  ฤกษ์ดอกลูกพิษนั้น  มีทุกวัน  แต่ว่ามีเป็นช่วงๆ  บางครั้งในหนึ่งวัน  มีช่วงเดียว  บางครั้งในหนึ่งวัน อาจมีหลายช่วงก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น
.
2.ในการจับพลังอิทธิคุณองค์พระพิมพ์นั้น  บางวัน พระผู้อธิษฐานจิต(เสก)ท่านอาจปิดกระแสพลังอิทธิคุณขององค์พระพิมพ์ก็เป็นได้  การปิดกระแสพลังอิทธิคุณนั้น  พระผู้เสกย่อมทำได้เนื่องจากว่า ระดับของญาณหรืออภิญญาสูงกว่าผู้จับพลังอิทธิคุณองค์พระพิมพ์  มีเพื่อนผมคนหนึ่ง  สามารถจับพลังอิทธิคุณขององค์พระพิมพ์ได้  มีอยู่วันหนึ่ง  เพื่อนผมผู้นี้ได้นำพระพิมพ์องค์หนึ่ง  ไปให้อาจารย์ของเขาตรวจพลังอิทธิคุณให้  แต่ปรากฏว่า อาจารย์ของเขาได้บอกว่า  พระพิมพ์องค์นี้  ไม่มีพลังอิทธิคุณ  ไม่มีอะไรเลย  แต่เพื่อนผมได้นำพระพิมพ์องค์เดิมไปให้เพื่อนของเขาจับ  ปรากฎว่าเพื่อนของเขาจับพลังอิทธิคุณได้  และยังบอกอีกว่า พลังอิทธิคุณขององค์พระพิมพ์นั้น แรงมากด้วย  ในเรื่องนี้  ความคิดเห็นส่วนตัวผม ผมเห็นว่า  พระผู้เสกท่านอาจปิดกระแสพลังอิทธิคุณไม่ให้อาจารย์ของเพื่อนตรวจพลังอิทธิคุณ  นะครับ
.
3.ในบางวัน  พระผู้เสก  ท่านอาจปิดกระแสพลังอิทธิคุณขององค์พระพิมพ์ ก็เป็นไปได้เช่นเดียวกัน
.
4.และในบางวัน  ผู้ที่ตรวจพลังอิทธิคุณของพระพิมพ์  เป็นวันที่เบื้องบนไม่ให้ตรวจพลังอิทธิคุณขององค์พระพิมพ์ ก็เป็นไปได้เช่นเดียวกัน
.
5.พิมพ์ทุกองค์นั้น  เวลาที่ผ่านการปลุกเสกแล้ว  จะมีเทวดารักษาองค์พระพิมพ์ทุกองค์  บางครั้งเทวดาที่รักษาองค์พระพิมพ์อาจจะปิดกระแสพลังอิทธิคุณก็เป็นไปได้อีกเช่นกัน
.
6.ในบางครั้งพระปลอมก็มีพลังอิทธิคุณเช่นเดียวกัน  ถ้าผู้ทำพระปลอมได้นำพระไปเข้าพิธีพุทธาภิเษก
.
7.หรือบางครั้งผู้ทำพระปลอมได้นำเศษพระแท้ผสมลงไป  ก็สามารถมีพลังอิทธิคุณได้เหมือนกัน เพียงแต่พลังอิทธิคุณน้อยกว่าพระแท้มากครับ
.
8.การนำพระแท้ไปไว้ในที่ไม่สมควร  เทวดาที่รักษาองค์พระพิมพ์  ท่านอาจจะไม่อยู่ครับ  และทำให้พลังอิทธิคุณขององค์พระพิมพ์นั้นเสื่อมได้ครับ  ตามหลัก มีเกิดได้ก็มีดับได้นะครับ
.
การตรวจสอบพลังอิทธิคุณขององค์พระพิมพ์นั้น  ผมแนะนำให้ไปหาผู้ทรงญาณ หลายๆท่าน(ต้องเป็นผู้ทรงญาณที่ได้ญาณ 4 ละเอียด และควรไม่ต่ำว่า 5 ท่าน) นะครับ  และผลที่ตรวจได้นั้น  ต้องตรงกัน ผลการตรวจสอบจึงจะเชื่อถือได้
.
.
.
เล่าให้ฟังเพิ่มเติม
.
ตั้งแต่ที่ผมตั้งกระทู้ พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....   ในเว็บพลังจิต  ผมโดนกลุ่มซื้อขายพระเครื่องทยอยมาถล่มผมอยู่โดยตลอด  โดยมาเยอะมาก
.
ในตอนนั้น ยังอารมณ์ร้อน  ผมเองสวนตลอด
.
เช่น
.
1.เกิดทันหรือ  ที่มาบอกเรื่องพระวังหน้า ว่าเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้
.
2.พระเก๊ท่าพระจันทร์
.
3.พระวังหน้าวัดมหาธาตุ
.
4.เอาพระมาขาย โดยแอบอ้างบุญในการหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง
.
5.ร่วมกันหาเงินเข้ากระเป๋า โดยร่วมมือกับหลวงพ่อแผน วัดบ่อเงินบ่อทอง
.
6.ร่วมกันหาเงินเข้ากระเป๋า โดยร่วมมือกับพระอาจารย์นิล อาศรมศรีชัยรัตนโคตร
.
เป็นต้น
.
นอกจากกลุ่มซื้อขายพระเครื่องแล้ว  ยังมีอีกกลุ่มก็คือ กลุ่มที่นำพระวังหลวง (พระที่ติดพลอย หรือ พระที่ติดกระจกอัด) (ซึ่งมีทั้งพระวังหลวงแท้ และพระวังหลวงเก๊) นำมาแอบอ้างเป็นพระวังหน้า  ก็มีปัญหากับผมเช่นกัน
.
ในตอนนั้น ผมเองเวลาตอบก็ตอบแรงเช่นกัน  บางครั้งถึงกับท้าไปสาบานที่วัดพระแก้ว  โดยคำสาบานผมเขียนไปให้  แล้วให้อ่านตาม  ผมแถมเงินให้อีก 10,000 บาทต่อคน  แต่ก็ไม่เคยมีใครกล้าไปสาบานสักคน
.
ในตอนหลังๆ  ที่ไม่ได้บอกบุญถี่ๆ  กลุ่มซื้อขายพระ ก็ไม่ได้เข้ามายุ่งอีก  ส่วนผมเองก็ปล่อยวาง  ปล่อยให้คนเหล่านั้น ทำกรรมกันต่อไปเอง ไม่เข้าไปยุ่ง  การกระทำกรรมของคนเหล่านั้น  เป็นการปรามาสพระวังหน้า  และมีการปรามาสผู้มีธรรม เพิ่มเติมอีก  ให้คนเหล่านั้นไปพิสูจน์ด้วยตนเองว่า ในเรื่องที่คนเหล่านั้น กระทำทั้ง การพูด  การเขียน ในสถานที่ต่างๆ และบนโลกออนไลน์  มีการกระทำผิดหรือไม่อย่างไร
.
มี 2 เรื่องที่ ผม กับ สมาชิกชมรมพระวังหน้า และ คณะพระวังหน้า เปลี่ยนแปลงความรู้  และทำให้องค์ความรู้ที่ผมจะบอกต่อไปนี้  มีคนเป็นจำนวนมากที่มีความรู้เหล่านี้เพิ่มเติม
คือ
.
1.ปูนที่ใช้ในการสร้าง  เมื่อก่อนนี้ กลุ่มซื้อขายพระเครื่อง  บอกว่า ปูนที่ใช้สร้างพระสมเด็จคือ ปูนเปลือกหอย  แต่ ผมนำองค์ความรู้ที่ได้เรียนรู้มาบอกว่า ปูนที่ใช้สร้างพระสมเด็จ และ พระวังหน้า คือปูนเพชร  ส่วนปูนเปลือกหอย ไม่สามารถนำมาใช้สร้างพระสมเด็จได้
.
2.สมเด็จพระพุฒาจารย์โร พรหมรังสี ท่านเป็นผู้สร้างพระสมเด็จ  แต่ ผมนำองค์ความรู้ที่เรียนรู้มาบอกว่า ท่านผู้สร้างพระสมเด็จ มี 13 ทีมผู้สร้าง และสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ท่านอธิษฐานจิตอย่างเดียว
.
ส่วนอื่นยังไม่แจ้ง ครับ
.
ผมเองผ่านมาเยอะ  เจอมาแยะ  แต่ไม่ได้ท้ออะไร  ยังคงทำหน้าที่ของผมให้ดีที่สุด
.
Noom Wangna
.
เนื้อหาสงวนลิขสิทธิ์
ผมลงให้อ่านกัน และผมไม่อนุญาตให้ทุกท่านแชร์
.
ผมลงลิงค์กระทู้ที่ผมเคยไปช่วยบอกบุญ และ นำพระวังหน้าไปมอบให้กับผู้ที่ร่วมทำบุญ
.
.
.
พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....
https://palungjit.org/threads/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89.22445/ (https://palungjit.org/threads/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89.22445/)
.
.
.
ขอความเมตตาช่วยต่อชีวิต พระเณร
https://palungjit.org/threads/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%93%E0%B8%A3.21733/ (https://palungjit.org/threads/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%93%E0%B8%A3.21733/)
.
.
.
ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ
https://palungjit.org/threads/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87-%E0%B8%93-%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%86%E0%B9%8C%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87-%E0%B8%AD-%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%88-%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4.68899/ (https://palungjit.org/threads/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87-%E0%B8%93-%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%86%E0%B9%8C%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87-%E0%B8%AD-%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%88-%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4.68899/)
.
ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ เว็บไซด์ใต้ร่มธรรม
http://www.tairomdham.net/index.php/topic,4172.0.html (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,4172.0.html)
.
.
.
#หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า
.
#หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า
.
#หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เทพโลกอุดร  หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เดินหน  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ดำ  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ในดง  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่โพรงโพธิ์
.
#หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี
.
#หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์
.
#หลวงปู่เทพโลกอุดร
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
.
#คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ
.
#สมเด็จพระพุฒาจารย์โตพรหมรังสี
.
#หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ
.
#พระเจ้าอโศกมหาราช
.
#ชมรมพระวังหน้า
.
#พระวังหน้า
.
#คณะพระวังหน้า
.
#อาศรมศรีชัยรัตนโคตร
.
#วัดป่าภัทรปิยาราม
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 10, 2020, 06:18:45 pm
เก็บตก งานบุญวิสาขปุรณมีบูชา
.
พิธีทอดผ้าป่ากตัญุตาสามัคคีธรรม
.
ที่ อาศรมศรีชัยรัตนโคตร
.
ขอน้อมนำบุญจากอาศรมศรีชัยรัตนโคตร เมื่อวันวิสาขบูชา ๖ พฤษภาคม ๒๕๖๓
มาฝากญาติธรรมทุกท่าน
.
.
.
พระอาจารย์นิล บวงสรวงกราบบูชาคุณพระรัตนตรัย
.
ไหว้ครูกรรมฐาน
.
ถวายผ้าป่ากตัญุตาสามัคคีธรรม
.
เวียนเทียน ณ วัดพระธาตุเชิงชุม
.
ปล่อยปลาหน้าเขียง
.
จุดผางประทีปถวายเป็นพุทธบูชา ณ วิหารสมเด็จองค์ปฐม และมณฑปหลวงปู่เทพโลกอุดร
.
.
.
ขอขอบคุณพี่แอ๊ว ที่แจ้งข่าวมาให้ทราบ
.
ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่าน ครับ
.
.
.
#หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า

#หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า

#หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เดินหน  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ดำ  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ในดง  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่โพรงโพธิ์

#หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี

#หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ

#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์

#หลวงปู่เทพโลกอุดร

#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร

#คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ

#หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ

#พระเจ้าอโศกมหาราช

#เจ้าคุณพระพิศาลญาณวงศ์ ( #หลวงปู่ทองดีอนีโฆ ) #ประธานสงฆ์วัดใหม่ปลายห้วย

#ชมรมพระวังหน้า

#พระวังหน้า

#อาศรมศรีชัยรัตนโคตร

#พระธวัชชัยชาครธัมโม

#พระอาจารย์นิล

#หลวงพี่นิล
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 16, 2020, 11:27:49 am
เมื่อสักพักนี้ เขียนเรื่องของพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ในเรื่องของการ เออรี่ รีไทร์ (Erie Retire) แต่ตอนที่จะโพสลงในเฟสบุ๊ค กับ ไลน์ ปรากฎว่า จะCopy จากที่เขียนไว้ แต่ดันไปกดในช่อง place (วาง) ทำให้ข้อมูลที่ Copy ไว้ก่อนหน้า มา Place แทน ข้อมูลเลยหายหมด ผมจะเขียนใหม่ ครับ
.
ก่อนอื่น ขอแสดงความยินดีกับ พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ที่ได้เออรี่ รีไทร์ ออกจากงาน จะได้ไปทำงานในด้านอื่นๆ อีกทั้งใช้ชีวิตที่ดีในทางโลกและทางธรรมกัน
.
ผมเองโทร.ไปแสดงความยินดีกับหลายๆท่าน ปรากฎว่า น้ำเสียงแต่ละคน มีความยินดีกันอย่างที่สุด บางคนบอกว่า จะไปท่องเที่ยวให้คุ้มกับที่ไม่ค่อยได้เที่ยว แต่อย่าลืมต้องบริหารกิจการของท่านให้ดีมากขึ้นด้วย
.
มาว่ากันในส่วนที่อยากลงเพิ่มเติม
.
คนที่มีอำนาจ อย่าไปใช้อำนาจที่มี กระทำชั่ว ใช้วิธีการบัดซบในการบริหารงาน
.
คนที่จะเออรี่ รีไทร์ จะไปใช้วิธีการเตะตัดขา โดยใช้ความผิดพลาดในการคิดของตัวเอง มันเป็นวิธีการที่บัดซบ

.
หากลูกน้องที่คิดไม่ทันเกมส์ เป็นคนหัวอ่อน ก็จะเอาไว้เป็นพวก ส่งเสริมและสนับสนุน ทั้งๆที่เป็นคนที่ไม่มีความสามารถ รู้หรือเปล่าว่า นี่เป็นการส่งลูกน้องไปตาย
.
การใช้อำนาจของตัวเอง ไปข่มขู่คนอื่น สงสัยเป็นพวกที่มีลักษณะกลุ่มแก๊งทวงหนี้นอกระบบหรือเปล่า การข่มขู่กันแบบนั้น ไม่มีใครกลัว ผมเคยได้ยิน มีการข่มขู่คนที่ผมรู้จักดีมาก แต่คนที่ผมรู้จักดีมาก ก็รอให้ขู่มาหลายปี แต่ยังไม่มีการทำเลย
.
การใช้อำนาจของตัวเอง ไปให้คนอื่นช่วยเหลือกระทำผิดกับกฎระเบียบ มันไม่มีใครทำหรอก
.
การบริหารงาน ทั้งๆที่งานตัวเอง ยังไม่เรียบร้อย ยังส่งคน(ที่ไม่พอในการทำงาน) ไปทำงานที่อื่น นี่เรียกว่า บริหารงานไม่เป็น บริหารคนไม่ถูก
.
การทำงานต้อง......ใช้คนให้ถูกที่ , ถูกเวลา , ตรงกับความสามารถที่มี , ใช้ใจในทางที่ดีในการบริหาร และบริหารงานด้วยความดี
.
เรื่องที่กระทำบัดซบที่เป็นความชั่ว ไม่มีใครหนีกรรมในเรื่องนี้พ้น
.
ยกตัวอย่างให้อ่าน
.
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม พระโคตมพุทธเจ้า พระองค์เป็นผู้ที่รอบรู้ทุกเรื่องในโลกนี้ เป็นผู้ที่มีสัพพัญญู และ เก่งที่สุดในโลกนี้ ยังหนีกรรมที่พระองค์ท่านสร้างไว้ในอดีตไม่ได้
.
ที่ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เก่งที่สุดในโลก พระองค์ท่านเคยเสด็จไปช่วย พระมหาโมคคัลลานะ (เป็นเอตทัคคะในบรรดาผู้มีฤทธิ์) ยังจักรวาลอื่น ที่พระมหาโมคคัลลานะหลงไป กลับมายังจักรวาลนี้
.
อีกเรื่องที่ผมเคยเล่าไว้ก็คือ สมัยก่อนนานมาแล้ว ผมมีความรู้สึกว่า อยากบูชาองค์พยามัจจุราชเจ้า (ผมเคยคุยกับอาจารย์ผมเรื่ององค์พยามัจจุราชเจ้าในหลายๆเรื่อง) ผมเลยไปหาเช่ารูปหล่อลอยองค์พยามัจจุราชที่ท่าพระจันทร์ แล้วนำรูปหล่อลอยองค์พยามัจจุราช ไปให้อาจารย์ผม อาราธนาองค์พยามัจจุราช มาอธิษฐานจิต องค์พยามัจจุราชเจ้าท่านอธิษฐานจิตแล้ว ท่านบอกกับอาจารย์ของผมว่า ของๆท่านกันผีกะเรวะราดได้ แต่กันคนของท่านไม่ได้
.
ต่อมาผมได้ไปอาราธนารูปหล่อลอยองค์พยามัจจุราชเจ้ากลับบ้าน ผมมีความรู้สึก ก็เลยถามคำถามจากความรู้สึกของผมว่า รูปหล่อลอยองค์พยามัจจุราช สามารถเป็นสื่อถึงพระองค์ท่านได้หรือเปล่า อาจารย์ผมตอบมาว่า ใช่ เหมือนกับเรามีโทรศัพท์ส่วนตัวโทร.ถึงพระองค์ท่านได้ตลอดเวลา และเรื่องที่เพิ่มเติมก็คือ พยามัจจุราชเจ้า เป็นชื่อตำแหน่ง ตำแหน่งนี้ ผู้ที่เจตนาต้องการไปเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต ต้องผ่านตำแหน่งนี้ทุกพระองค์
.
หากท่านใดที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการทำงาน หรือเรื่องอื่นใด มีความต้องการที่จะขอความเป็นธรรม แจ้งผมมาได้ (เพราะว่า หากเป็นเพื่อนกับผมในเฟสบุ๊ค และไลน์ ท่านจะเห็นโพสนี้) ผมจะอัญเชิญรูปหล่อลอยองค์พยามัจจุราช ไปให้ท่านขอความเป็นธรรมได้
.
ใต้ฐานรูปหล่อลอยองค์พยามัจจุราชเจ้า ผมได้ใส่เมล็ดข้าวสาร และก้อนดิน ไว้ใต้ฐานด้วย สำหรับเมล็ดข้าวสาร และก้อนดิน ผมเคยขอให้พระภิกษุรูปหนึ่ง อาราธนา องค์พระแม่ธรณี , พระแม่คงคา และ พระแม่โพสพ มาอธิษฐานจิตให้เช่นกัน
.
นอกเหนือจากตำแหน่งองค์พยามัจจุราชเจ้า ที่ผู้ที่ต้องการไปเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต ต้องผ่านตำแหน่งองค์พยามัจจุราชแล้ว ยังมีอีก 1 ตำแหน่งที่อาจารย์ผมบอกมาก็คือ พระแม่ธรณี พระแม่ธรณีเป็นชื่อตำแหน่งเช่นกัน และผู้ที่ต้องการไปเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต ต้องผ่านตำแหน่งพระแม่ธรณีเช่นกัน
.
ส่วนตัว หากไม่ได้รับความเป็นธรรม ซึ่งผมไม่ได้รับความเป็นธรรมในการทำงานมานานมากแล้ว ผมได้ขอความเป็นธรรมต่อองค์พยามัจจุราช (โดยผ่านรูปหล่อลอยองค์พยามัจจุราช) ว่า ขอให้พระองค์ท่านเป็นสักขีพยาน และขอความเป็นธรรมในการตัดสินของบุคคลต่างๆที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นเงินเดือน การพิจารณาการจ่ายโบนัส และอื่นๆ ขอองค์พยามัจจุราชตัดสินตามหลักกฎแห่งกรรม เพื่อให้คนที่กระทำชั่ว ได้ทราบผลของการกระทำชั่วด้วยตนเอง เมื่อรับผลกระทำชั่วแล้ว จะได้ไม่กระทำชั่วแบบนั้นอีก
.
นอกจากที่ผมอาธนาองค์พยามัจจุราชมาเป็นสักขีพยานแล้ว ผมยังอาราธนาพระแม่ธรณี , พระแม่คงคา และ พระแม่โพสพ มาเป็นสักขีพยานในเรื่องการขอความเป็นธรรมในการทำงานด้วย
.
มายกตัวอย่างของคนที่ทำบัดซบ และที่ทำชั่วกันสักตัวอย่าง
.
เรื่องนี้ผมก็เขียนมาหลายรอบแล้วเช่นกัน อาจารย์ผมรู้จักกับคนๆหนึ่งที่ตอนมีชีวิตอยู่ เป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดในบริษัทนั้น และเป็นคนที่รวยมาก มีเป็นหมื่นล้านบาท
.
อาจารย์ผมได้ถอดจิตลงไปในนรก ไปด้วยภาระกิจหนึ่ง(ที่ผมไม่ขอแจ้ง) อาจารย์ผมได้ไปพบกับคนๆนี้ในนรก ท่านทราบมาว่า คนๆนี้ยังอยู่ในนรกไปอีกนานแสนนาน ถึงแม้ว่า องค์พระศรีอริยเมตไตรย มาประสูติ , ตรัสรู้ และปรินิพพานแล้ว คนๆนี้ยังไม่ขึ้นมาจากนรก เป็นอย่างไรบ้างครับ ขนาดเป็นคนที่รวยมาก มีอำนาจมาก แต่ความรวย และอำนาจ ไม่ได้ช่วยอะไรเลย แต่กลับเป็นสิ่งที่ทำให้ตนเองไปใช้กรรมชั่วอยู่ในนรกนานแสนนาน และอยู่ยาวไป
.
ต่อให้ไปกราบพระพุทธรูปทั่วโลก , รูปหล่อพระสงฆ์ทั่วโลก , และเทวรูปต่างๆทั่วโลก ก็ไม่ได้ช่วยให้พ้นจากกรรมชั่ว (ที่เกิดจากการกระทำที่บัดซบของตนเอง) ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง ต้องพิสูจน์ดูว่าจริงหรือไม่จริงอย่างที่ผมบอกมานี้
.
ต่อให้ไปกราบพระสงฆ์ผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบทั่วโลก ไปขอให้ท่านช่วยเรื่องของกรรมชั่ว มีพระสงฆ์บางรูปสามารถทำได้ โดยช่วยแบ่งกรรมชั่วของคนบัดซบ มายังพระสงฆ์รูปนั้น (ท่านเป็นผู้ที่รับกรรมแทน) แต่อย่างไรก็ตาม การแบ่งกรรมชั่ว ก็ไม่ได้แบ่งมาทั้งหมด คนบัดซบยังต้องชดใช้กรรมที่เหลืออยู่ อยู่ดี
.
เฉกเช่นเดียวกัน สำหรับองค์เทพเทวา หากท่านช่วยเรื่องของกรรมชั่วของคนบัดซบ เรื่องนี้เหมือนกับเรื่องของพระสงฆ์ที่ท่านช่วยเหลือคนบัดซบตามบทความด้านบน
.
ไม่มีใครที่ช่วยเหลือในเรื่องกรรมชั่วให้พ้นไปได้ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระเมตตานำพระธรรมมาสั่งสอนเวนัยสัตว์ทั้งหลาย
.
กรรมที่ไม่ส่งผล ก็คือ อโหสิกรรม ต้องไปดูว่า กรรมที่เป็นอโหสิกรรมนั้น เป็นอย่างไร แต่บอกก่อนว่า เรื่องของกรรมมีความละเอียดมาก เรื่องนี้ ทางอาจารย์ผม เคยสอนไว้หลายๆเรื่อง และ หลายๆครั้ง ขนาดอาจารย์ผมทำบุญอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญโดยใช้เงิน (ยกตัวอย่าง คือ ทำสังฆทานกับพระภิกษุสงฆ์อาพาธทุกเดือน มีการส่งเงินไปทำบุญกับพระภิกษุสงฆ์ที่อาพาธทั้งที่อยู่ในกรุงเทพและต่างจังหวัดมาเป็นสิบปีแล้ว และปฎิบัติในด้านสมาธิเป็นอย่างดี) ทุกวันนี้ ยังต้องชดใช้กรรม บางกรรมส่งผลให้เจ็บป่วย (ไปหาหมอตรวจเช็ค ก็ไม่พบกับสาเหตุ) ท่านบอกว่า เป็นหนี้(กรรม) ต้องชดใช้หนี้(กรรม) ไป ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้
.
การอาราธนา พระแม่ธรณี มาเป็นสักขีพยานบุญ มีอยู่ในพระสูตรต่างๆหลายพระสูตร ลองไปหาอ่านกันดู
.
ส่วนการอาราธนา องค์พยามัจจุราชเจ้า มาเป็นสักขีพยานบุญ ทางหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านสอนไว้หลายครั้ง ลองไปหาอ่านกันดูเช่นกัน
.
ดังนั้น ส่วนตัวผม นำเรื่องของการอาราธนา พระแม่ธรณี และ องค์พยามัจจุราชเจ้า มาเป็นสักขีพยานบุญ ผมนำมาคิดใหม่ นอกเหนือจากบุญที่ดีที่เราทำ เราอาราธนาองค์พยามัจจุราชเจ้า , นายนิริยบาล , ท่านยมทูตทุกๆท่าน , พระแม่ธรณี , พระแม่คงคา และพระแม่โพสพ มาเป็นสักขีพยานบุญให้เรา และหากเราได้รับผลของคนบัดซบที่กระทำไม่ดีกับเรา เราขออาราธนาองค์พยามัจจุราชเจ้า และ พระแม่ธรณี มาเป็นสักขีพยาน และขอองค์พยามัจจุราชตัดสินการกระทำของผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดตามหลักกฎแห่งกรรม
.
อีกเรื่องที่จะเพิ่มเติม สำหรับคนปากเก่ง
.
เมื่อก่อนตอนปี 2554  ตอนนั้นประเทศไทยเกิดเหตุน้ำท่วมใหญ่  ผมนั่งคุยกับลูกน้องในที่ทำงาน  เรื่องของน้ำท่วม ผมจำไม่ได้ว่า คุยอะไรกันบ้าง แต่มีเรื่องหนึ่งที่คุยก็คือ เรื่องพระแม่คงคา
.
ตอนนั้น ลูกน้องผมบอกว่า พระแม่คงคาไม่มีจริง  แต่ถ้าเขาเจอ เขาจะจับทำเมีย
.
ผมบอกว่า พูดอย่างนี้ไม่ดี
.
เขาบอกว่า ก็พูดตามจริง ถ้ามีจริง ขอให้น้ำท่วมที่บ้าน 1 เมตร  ก่อนหน้าเขาตามดูน้ำอยู่ตลอดว่า น้ำแถวนั้นเป็นอย่างไร
.
ผมบอกต่อว่า งั้นเดียวจัดให้
.
ผมกลับไปบ้าน ผมไปจุดธูป 16 ดอก แล้วไหว้รูปหล่อพระแม่คงคาที่บ้าน แล้วบอกกับพระแม่คงคาว่า มีคนชื่อ นามสกุล ที่อยู่ที่ไหน ทำงานที่ไหน ได้พูดอะไร  ผมขอให้พระแม่คงคาสงเคราะห์ลูกน้องผมคนนี้ด้วย
.
สรุปสุดท้าย  บ้านของลูกน้องผมคนนี้ น้ำท่วมที่บ้าน สูง 1 เมตร

.
ไม่ว่าใครก็ตาม ปฎิบัติตามกฎระเบียบของบริษัทอย่างถูกต้อง , ปฎิบัติตามกฎระเบียบหน่วยงานราชการอย่างถูกต้อง , ปฎิบัติตามกฎระเบียบของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจอย่างถูกต้อง แต่ผิดในหลักกฎแห่งกรรม ต้องไปใช้กรรมเสมอ
.
ไม่เคยมีใครที่ปลูกข้าว แล้วผลผลิตจากต้นข้าวเป็นมะม่วงเลยสักรายเดียวในโลกนี้ มีแต่ใครที่ปลูกข้าว ผลผลิตที่ได้ต้องเป็นเมล็ดข้าวเท่านั้น
.
#ไม่ว่าใหญ่แค่ไหน
#ไม่ว่ารวยล้นฟ้าเพียงใด
#ไม่มีใครหนีกรรมพ้น
#แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังหนีกรรมไม่พ้น
.
#ของจริงต้องพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง
.
.
.
#สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
#พระโคตมพุทธเจ้า
#พระศรีอริยเมตไตรย
#พระมหาโมคคัลลานะ
#บุพกรรมของพระพุทธองค์
#พยามัจจุราช
#พระแม่ธรณี
#พระแม่คงคา
#พระแม่โพสพ
#นายนิริยบาล
#ยมทูต
#สักขีพยาน
#กฎแห่งกรรม
#กฎระเบียบหน่วยงานราชการ
#กฎระเบียบของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ
#กฎระเบียบของบริษัท
#เออรี่รีไทร์
#เออรี่
#รีไทร์
#ErieRetire
#Erie
#Retire
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 27, 2020, 01:52:50 pm
งานบุญวาระใน #วันอาสาฬหบูชา
.
เรียนญาติธรรมทุกท่าน
.
เนื่องในวันอาสาฬหบูชา ประจำปีนี้ ซึ่งจะตรงกับวันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม 2563
ถือเป็นวาระแห่งมหากุศล ซึ่งจะบังเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ณ อาศรมศรีชัยรัตนโคตร
.
คณะศิษย์อาศรมศรีชัยรัตนโคตร ขอเรียนเชิญญาติธรรมทั้งหลาย ร่วมเป็นเจ้าภาพกองบุญผ้าป่ามหากุศล
.
เพื่อน้อมบูชาคุณของพระรัตนตรัย ซึ่งถือว่าครบองค์สาม
.
มี พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ บังเกิดขึ้นในสากลพิภพ
.
#กองบุญผ้าป่ากตัญญุตาสามัคคีธรรม ประกอบด้วย
.
1. บายศรีบวงสรวงน้อมกราบสักการะในองค์คุณของพระรัตนตรัย
.
2. ผ้าไตรจีวร และผ้าอาบน้ำฝน ถวายพระภิกษุสงฆ์
.
3. เทียนพรรษา ขนาดใหญ่ เพื่อจุดถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ตลอดทั้งพรรษา
.
4. ปัจจัยน้อมถวายงานสร้างวิหารทานต่อเนื่อง
.
5. ถวายผางประทีปจุดบูชารอบวิหารพระประธานและมณ ฑปหลวงปู่เทพโลกอุดร
.
6. ปล่อยปลาหน้าเขียง
.
.
.
กำหนดการ
.
ภาคเช้า
.
เริ่มพิธีเวลา 08.00 น.
.
งานบวงสรวง
.
อาราธนาศีล , เจริญพระพุทธมนต์
.
กราบขอขมาพระรัตนตรัย และพิธีขอขมากรรมใหญ่
.
กรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศล
.
ภาคเย็น
.
ปล่อยปลาประมาณ 100 กก. ณ สระพังทอง
.
ร่วมทำวัตรเย็น สวดมนต์และเวียนเทียน ณ วัดพระธาตุเชิงชุม
.
ภาคค่ำ
.
จุดผางประทีป ณ อาศรมศรีชัยรัตนโคตร
.
ท่านสามารถร่วมเป็นเจ้าภาพกองบุญผ้าป่ามหากุศล
เพื่อน้อมบูชาคุณของพระรัตนตรัย ได้ที่
.
บัญชี บมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาเซ็นทรัลพลาซา พระราม 2
เลขที่ 983-2-94326-4
ชื่อบัญชี นายสิทธิพงศ์ สงวนศักดิ์
.
เริ่มให้ร่วมทำบุญตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
สิ้นสุดการร่วมทำบุญในวันที่ 4 กรกฎาคม 2563 เวลา 18.00 น.
.
หลังจากนั้น ผมจะได้ดำเนินการโอนเงินถวายพระอาจารย์นิล ครับ
.
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
.
.
.
แนะนำ  การทำบุญให้ตั้งจิตอธิษฐาน ดังนี้

ขอร่วมทำบุญ ในวาระงานบุญในวันอาสาฬหบูชา
.
1. บายศรีบวงสรวงน้อมกราบสักการะในองค์คุณของพระรัตนตรัย
.
2. ผ้าไตรจีวร และผ้าอาบน้ำฝน ถวายพระภิกษุสงฆ์
.
3. เทียนพรรษา ขนาดใหญ่ เพื่อจุดถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ตลอดทั้งพรรษา
.
4. ปัจจัยน้อมถวายงานสร้างวิหารทานต่อเนื่อง
.
5. ถวายผางประทีปจุดบูชารอบวิหารพระประธานและมณฑปหลวงปู่เทพโลกอุดร
.
6. ปล่อยปลาหน้าเขียง
.
ขอถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมะบูชา สังฆบูชา และกรวดน้ำ ครับ
.
.
.
.
.
#หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า

#หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า

#หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เดินหน  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ดำ  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ในดง  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่โพรงโพธิ์

#หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี

#หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ

#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์

#หลวงปู่เทพโลกอุดร

#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร

#คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ

#หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ

#เจ้าคุณพระพิศาลญาณวงศ์ ( #หลวงปู่ทองดีอนีโฆ ) #ประธานสงฆ์วัดใหม่ปลายห้วย

#อาศรมศรีชัยรัตนโคตร

#พระธวัชชัยชาครธัมโม

#พระอาจารย์นิล

#หลวงพี่นิล

#ชมรมพระวังหน้า

#พระวังหน้า

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 04, 2020, 07:18:19 pm
ผมดำเนินการโอนเงินที่ร่วมกันทำบุญในงานบุญวาระใน
#วันอาสาฬหบูชา จำนวน 11,700.-บาท เรียบร้อยแล้ว
.
งานบุญวาระใน #วันอาสาฬหบูชา2563
.
เรียนญาติธรรมทุกท่าน
.
เนื่องในวันอาสาฬหบูชา ประจำปีนี้ ซึ่งจะตรงกับวันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม 2563
ถือเป็นวาระแห่งมหากุศล ซึ่งจะบังเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ณ อาศรมศรีชัยรัตนโคตร
.
คณะศิษย์อาศรมศรีชัยรัตนโคตร ขอเรียนเชิญญาติธรรมทั้งหลาย ร่วมเป็นเจ้าภาพกองบุญผ้าป่ามหากุศล
.
เพื่อน้อมบูชาคุณของพระรัตนตรัย ซึ่งถือว่าครบองค์สาม
.
มี พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ บังเกิดขึ้นในสากลพิภพ
.
#กองบุญผ้าป่ากตัญญุตาสามัคคีธรรม ประกอบด้วย
.
1. บายศรีบวงสรวงน้อมกราบสักการะในองค์คุณของพระรัตนตรัย
.
2. ผ้าไตรจีวร และผ้าอาบน้ำฝน ถวายพระภิกษุสงฆ์
.
3. เทียนพรรษา ขนาดใหญ่ เพื่อจุดถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ตลอดทั้งพรรษา
.
4. ปัจจัยน้อมถวายงานสร้างวิหารทานต่อเนื่อง
.
5. ถวายผางประทีปจุดบูชารอบวิหารพระประธานและมณ ฑปหลวงปู่เทพโลกอุดร
.
6. ปล่อยปลาหน้าเขียง
.
.
.
กำหนดการ
.
ภาคเช้า
.
เริ่มพิธีเวลา 08.00 น.
.
งานบวงสรวง
.
อาราธนาศีล , เจริญพระพุทธมนต์
.
กราบขอขมาพระรัตนตรัย และพิธีขอขมากรรมใหญ่
.
กรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศล
.
ภาคเย็น
.
ปล่อยปลาประมาณ 100 กก. ณ สระพังทอง
.
ร่วมทำวัตรเย็น สวดมนต์และเวียนเทียน ณ วัดพระธาตุเชิงชุม
.
ภาคค่ำ
.
จุดผางประทีป ณ อาศรมศรีชัยรัตนโคตร
.
.
.
ยอดเงินรวมทั้งหมด จำนวน 11,700.00 บาท
.
ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่าน
.
มาร่วมโมทนาบุญกันครับ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 10, 2020, 08:44:20 pm
ว่าด้วยเรื่อง มุสาวาท และ ปรามาสผู้มีธรรม
.
วันนี้ อยากมาเล่าสู่กันฟัง เรื่อง #พระวังหน้า
.
ผมเองได้ศึกษาเรื่องพระวังหน้ามาสิบกว่าปีที่ผ่านมา ประสบกับเรื่องที่มีคนมาด่าว่า พระวังหน้าไม่มีจริงบ้าง หรือ มีการแต่งเรื่องราวต่างๆให้กับพระวังหน้า เพื่อผลประโยชน์อย่างหนึ่งอย่างใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงของตนเอง และหรือ เงินที่จะเข้ามาสู่กระเป๋าของตนเอง
.
การกระทำในลักษณะนี้ เป็นการสร้างกรรมหนัก
.
กรรมแรกที่บอกก็คือ เรื่อง #มุสาวาท
.
มุสาวาท เป็นกรรมที่พระภิกษุสงฆ์ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบหลายๆรูป ท่านบอกมาว่า กรรมมุสาวาทเป็นกรรมที่หนักและร้ายแรงมาก
.
กรรมมุสาวาท หากกระทำไป การแก้ไขทำได้ยาก แต่หากกระทำไปบนโลกออนไลน์แล้ว ไม่มีทางที่จะกลับไปแก้ไขได้เลย
.
เนื่องจากเมื่อทำกรรมมุสาวาทไปแล้ว ไม่สามารถที่จะทราบได้เลยว่า มีใครที่อ่านแล้วเชื่อในเรื่องที่มุสาวาทบ้าง แล้วเชื่อกันกี่คน ที่ร้ายไปกว่านั้น หากคนที่เชื่อในเรื่องมุสาวาทเรื่องนั้นๆแล้วมีการแชร์เรื่องมุสาวาทออกไปอีก ผลกรรมจะหนักเป็นทวีคูณตามจำนวนคนที่เชื่อทุกๆคน
.
กรรมที่สองที่บอกก็คือ #ปรามาสผู้มีธรรม
.
ทำไมถึงต้องไปเป็นกรรมในเรื่อง ปรามาสผู้มีธรรม
.
พระวังหน้า มีการสร้างโดย กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ อุปราชวังหน้าองค์สุดท้ายของราชวงศ์จักรี เป็นผู้ที่ให้จัดสร้างขึ้น ซึ่งผมเคยแจ้งไปนานหลายปีแล้วว่า ปัจจุบันกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ (ทำไมถึงสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ผมเคยลงให้อ่านกันแล้ว ลองไปหาอ่านกันดู)
.
เป็นเรื่องปรามาสผู้มีธรรมในลำดับที่ 1 คือ ปรามาสท่านผู้ให้สร้าง
.
การอธิษฐานจิต มีพระสงฆ์หลายๆรูป ที่ท่านมาอธิษฐานจิตพระวังหน้า เช่น คณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร (คณะพระธรรมทูต คณะโสณะอุตระ ได้แก่ พระอุตระเถระเจ้า , พระโสณะเถระเจ้า , พระมูนียะเถระจ้า , พระฌาณียะเถระเจ้า และ พระภูริยะเถระเจ้า ในการที่หลวงปู่ฯท่านมาอธิษฐานจิตในแต่ละครั้ง บางครั้งท่านมาองค์เดียว หรือ สององค์บ้าง หรือ สามองค์บ้าง หรือ สี่องค์บ้าง หรือ ทั้ง 5 องค์) , สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี , พระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์ (หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้) , หรือ กลุ่มหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ (เช่น หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน , หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า , หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว , หลวงปู่กรมพระยาปวเรศ , หลวงปู่ภู วัดอินทรวิหาร เป็นต้น)
.
หากหลวงปู่ฯท่านมากี่รูปในงานพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงฯ ที่พระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส (วังหน้า) การพูดหรือการเขียนในแต่ละครั้ง เป็นการปรามาสหลวงปู่ฯทุกรูป รูปละ 1 กรรมสำหรับผู้กระทำ
.
เป็นเรื่องปรามาสผู้มีธรรมในลำดับที่ 2 คือ ปรามาสองค์ผู้อธิษฐานจิต
.
ในงานพระราชพิธีพุทธาภิเษกในแต่ละครั้ง จะมีองค์เทพเทวาที่มาในงาน และ มาร่วมอนุโมทนาบุญในการสร้างและอธิษฐานจิต การพูดหรือการเขียนในแต่ละครั้ง เป็นการปรามาสองค์เทพเทวาฯทุกท่าน ท่านละ 1 กรรมสำหรับผู้กระทำ
.
เป็นเรื่องปรามาสผู้มีธรรมในลำดับที่ 3 คือ ปรามาสองค์เทพเทวาที่ท่านมาในงานพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงฯ
.
การสร้างพระวังหน้า และ วัตถุมงคลต่างๆของวังหน้า ท่านผู้สร้างคือ ช่างสิบหมู่แห่งวังหน้า ในสมัยก่อนศีลของคนในสมัยก่อนจะถือกันอย่างเคร่งครัด ดังนั้นการสร้างพระในแต่ละครั้ง หากมีช่างสิบหมู่จำนวนกี่คน การพูดหรือการเขียนในแต่ละครั้ง เป็นการปรามาสช่างสิบหมู่แห่งวังหน้าทุกท่าน ท่านละ 1 กรรมสำหรับผู้กระทำ
.
เป็นเรื่องปรามาสผู้มีธรรมในลำดับที่ 4 คือ ปรามาสท่านผู้สร้าง
.
การปรามาส ปรามาสอย่างไร
.
การพูดหรือเขียนว่า พระวังหน้าเก๊ , พระวังหน้าไม่มีจริง , พระวังหน้าเป็นการอุปโลกน์ขึ้นมา , การบอกเรื่องของพระวังหน้าจากพระวังหน้าแท้ เป็นพระวังหน้าเก๊ และ การบอกเรื่องของพระวังหน้าเก๊ เป็นพระวังหน้าแท้
.
กรรมในลักษณะนี้ จะเป็นกรรมหนักกว่า ในการบอกในเรื่องของพระวังหลวงนำไปยัดเป็นพระวังหน้า หรือเป็นการบอกเพียง พระสายวัง (ที่ไม่มีความชัดเจนและเกิดความเข้าใจผิด)
.
มาบอกเพิ่มเติมเพียงเรื่องเดียว คือ การปรามาสผู้มีธรรม นั่นคือ การพูดหรือเขียนที่บ่งบอกว่า ท่านผู้ให้สร้าง , องค์ผู้อธิษฐานจิต , ท่านผู้สร้าง และองค์เทพเทวาฯ ไม่ได้มาในพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงที่พระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส ที่เจตนาในการสร้างขึ้นเพื่อชาติ(คือคนในชาติ) และศาสนาพุทธ
.
เรื่องที่บอกไปทั้งสองเรื่อง คือ เรื่องมุสาวาท และ เรื่องปรามาสผู้มีธรรม เป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง ตามหลัก #กาลามสูตร
.
ถ้าอยากรู้ว่า จริงหรือไม่จริง ต้องพิสูจน์ดู พิสูจน์ด้วยตนเอง แต่ท่านกับผม เราไม่เป็นเจ้ากรรมนายเวรซึ่งกันและกันตลอดไป
.
ผมถือว่า ได้ทำหน้าที่เตือนแล้ว ส่วนท่านจะเชื่อผมก็ได้ ไม่เชื่อก็ได้ เป็นสิทธิส่วนบุคคลของแต่ละท่าน
.
ขอให้โชคดี
sithiphong
10 กรกฎาคม 2563
.
เนื้อหาสงวนลิขสิทธิ์
https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/posts/2501285923495328?__tn__=K-R (https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/posts/2501285923495328?__tn__=K-R)
.
.
.

#หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า
.
#หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า
.
#หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เทพโลกอุดร หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เดินหน หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ดำ หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ในดง หรืออีกชื่อ #หลวงปู่โพรงโพธิ์
.
#หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี
.
#หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์
.
#หลวงปู่เทพโลกอุดร
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
.
#คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ
.
#สมเด็จพระพุฒาจารย์โตพรหมรังสี
.
#หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ
.
#ชมรมพระวังหน้า
.
#พระวังหน้า
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 13, 2020, 08:49:13 pm
ควันหลง งานบุญวาระใน #วันอาสาฬหบูชา2563
.
ที่ อาศรมศรีชัยรัตนโคตร
.
ขอน้อมนำบุญจากอาศรมศรีชัยรัตนโคตร เมื่อวันอาสาฬหบูชา วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม 2563
มาฝากญาติธรรมทุกท่าน
.
งานบวงสรวง , อาราธนาศีล , เจริญพระพุทธมนต์
.
กราบขอขมาพระรัตนตรัย และพิธีขอขมากรรมใหญ่ , กรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศล
.
ปล่อยปลาประมาณ 100 กก. ณ สระพังทอง
.
ร่วมทำวัตรเย็น สวดมนต์และเวียนเทียน ณ วัดพระธาตุเชิงชุม
.
และ จุดผางประทีป ณ อาศรมศรีชัยรัตนโคตร
.
อานิสงส์แห่งบุญเป็นของทุกท่าน ที่ได้ร่วมกันก่อร่างสานรูป จนบังเกิดเป็นวิหารทาน ธรรมทาน สังฆทาน ณ สถานที่แห่งนี้
เป็นเสบียงบุญของทุกๆท่านไปจนถึงซึ่งพระนิพพาน ในอนาคตกาลอันใกล้นี้ด้วยเทอญ
.
ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วย
.
มาร่วมโมทนาบุญกันครับ
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 26, 2020, 03:05:27 pm
ควันหลง งานบุญผ้าป่าที่ วัดป่าภัทรปิยาราม
.
มาร่วมพิธีการหล่อเสาเอก วัดป่าภัทรปิยาราม
.
ร่วมถวายพระบูชา หลวงปู่บรมครูมูนียะโลกอุดร (หลวงปู่อิเกสาโร)  กับ พระอธิการบุญญฤทธิ์ ฝ่ายจันทร์  วัดประชาสามัคคี
.
และมาถวายปัจจัยร่วมสร้างพระอุโบสถวัดป่าภัทรปิยาราม  , อุปกรณ์ไฟพลังงานแสงอาทิตย์ , หนังสือมนต์พิธ๊ , หนังสือประวัติหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร  , ชนวนหล่อหลวงปู่บรมครูมูนียะโลกอุดร , พระวังหน้า และ พระสมเด็จของวังหน้า เนื้อผงยาวาสนา ถวายแด่ พระอาจารย์ณริชธันร์
.
ขอโมทนาบุญกับทุกท่าน
.
มาร่วมโมทนาบุญกันครับ
.
.**********************************
.
#หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า
.
#หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า
.
#หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เทพโลกอุดร  หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เดินหน  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ดำ  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ในดง  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่โพรงโพธิ์
.
#หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี
.
#หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์
.
#หลวงปู่เทพโลกอุดร
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
.
#คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ
.
#สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี
.
#หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ
.
#พระเจ้าอโศกมหาราช
.
#ชมรมพระวังหน้า
.
#พระวังหน้า
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 27, 2020, 08:12:55 pm
พระอาจารย์ณริชธันร์ (วัดป่าภัทรปิยาราม จ.ลพบุรี) ท่านแจ้งมาตามนี้
.
ขออนุโมทนา กับทุกท่านที่มีส่วนในการถวาย แสงสว่างพลังงานแสงอาทิตย์
.
ขณะนี้ได้ติดตั้งชั่วคราวที่อุโบสถ ให้อุโบสถเสร็จจะปรับปรุงเป็นการถาวร
.
ขอแสงสว่างที่ท่านทั้งหลายได้ถวายมานั้นจงเป็นแสงนำทางให้ทุกท่านประสบแต่ความสุขความเจริญงอกงามตลอดไป
.
.****************************************.
.
ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่าน
.
มาร่วมโมทนาบุญกันครับ
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 08, 2020, 07:12:43 am
ผมเขียนเรื่องราวองค์ความรู้คร่าวๆ   หากสนใจไปอ่านกัน ครับ
.
https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/posts/2522585654698688?__tn__=K-R (https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/posts/2522585654698688?__tn__=K-R)
.
สาเหตุบางส่วนที่ ผมไม่อนุญาตให้แชร์ .เพราะว่า จะได้ให้กูรูเก๊ ไปนรก จะได้พิสูจน์ด้วยตัวเองว่า เรื่องที่ผมบอกไป ถูกต้องหรือไม่.เมื่อรู้เรื่องในนรกแล้ว ต่อไปจะได้ไม่กระทำเช่นนั้นอีก
.
ผมไม่เรียนรู้ไปกับท่าน.เราไม่เรียนรู้ไปด้วยกัน.เพราะเมื่อไหร่ ไปเรียนรู้กับกูรูเก๊ เรียนไปด้วยกัน พากันไปนรก.ดังนั้น เวลาที่เรียนรู้ ต้องเรียนกับผู้ที่รู้จริงเท่านั้น ครับ
.
.
.
โพสนี้ รวมลิงค์ทั้ง 9 ตอน องค์ความรู้เรื่อง พระวังหน้า , พระวังหลวง , พระของวัดระฆัง และ พระพิมพ์ต่างๆในสถานที่ต่างๆ
.
https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/posts/2522585654698688?__tn__=K-R (https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/posts/2522585654698688?__tn__=K-R)
.
องค์ความรู้เรื่อง พระวังหน้า , พระวังหลวง , พระของวัดระฆัง และ พระพิมพ์ต่างๆในสถานที่ต่างๆ
.
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ และ รูปภาพ
.
เขียนโดย Sithiphong (Noom@wangna) ชมรมพระวังหน้า และ คณะพระวังหน้า
.
ผมอนุญาตเฉพาะการนำข้อมูลไปใช้เพื่อการศึกษาเท่านั้น
.
ผมไม่อนุญาตให้นำข้อมูลไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการซื้อขายพระวังหน้า , พระสมเด็จวังหลวง , พระสมเด็จวัดระฆัง และ ซื้อขายพระเครื่องต่างๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อมโดยเด็ดขาด
.
ผมไม่อนุญาตให้นำข้อมูลไปใช้เพื่อโชว์ว่า ตนเองเป็นกูรู ทั้งๆที่เป็นกูรูเก๊
.
ผมไม่อนุญาตให้คัดลอกด้วยวิธีการต่างๆ และไม่อนุญาตให้แชร์ไปยังสื่อออนไลน์ทุกประเภท
.
ตอนที่ 1 จาก 9 ตอน
.
https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/posts/2522501944707059?__tn__=K-R (https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/posts/2522501944707059?__tn__=K-R)
.
ตอนที่ 2 จาก 9 ตอน
.
https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/posts/2522506884706565?__tn__=K-R (https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/posts/2522506884706565?__tn__=K-R)
.
ตอนที่ 3 จาก 9 ตอน
.
https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/posts/2522511891372731?__tn__=K-R (https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/posts/2522511891372731?__tn__=K-R)
.
ตอนที่ 4 จาก 9 ตอน
.
https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/posts/2522521554705098?__tn__=K-R (https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/posts/2522521554705098?__tn__=K-R)
.
ตอนที่ 5 จาก 9 ตอน
.
https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/posts/2522527988037788?__tn__=K-R (https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/posts/2522527988037788?__tn__=K-R)
.
ตอนที่ 6 จาก 9 ตอน
.
https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/posts/2522533204703933?__tn__=K-R (https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/posts/2522533204703933?__tn__=K-R)
.
ตอนที่ 7 จาก 9 ตอน
.
https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/posts/2522539398036647?__tn__=K-R (https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/posts/2522539398036647?__tn__=K-R)
.
ตอนที่ 8 จาก 9 ตอน
.
https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/posts/2522544418036145?__tn__=K-R (https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/posts/2522544418036145?__tn__=K-R)
.
ตอนที่ 9 จาก 9 ตอน
.
https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/posts/2522552331368687?__tn__=K-R (https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/posts/2522552331368687?__tn__=K-R)
.
ผมขอแจ้งการเปลี่ยนแปลงเรื่องที่ผมสงวนลิขสิทธิ์รูปภาพ และเนื้อหาที่ผมนำมาลงในเรื่องราวของพระวังหน้า หรือ พระวังหลวง หรือ พระพิมพ์ต่างๆ ที่ผมเป็นผู้ที่เขียนขึ้นในเฟสฯหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร & พระวังหน้า ในวันที่ 20 มกราคม 2561 เวลา 7.35 น.
.
https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/posts/1859886487635278?hc_location=ufi (https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/posts/1859886487635278?hc_location=ufi)
.
.
.
ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
http://www.tairomdham.net/index.php?topic=4172.msg46661;topicseen#msg46661 (http://www.tairomdham.net/index.php?topic=4172.msg46661;topicseen#msg46661)
.
.
.
พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....
https://palungjit.org/threads/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89.22445/page-2605 (https://palungjit.org/threads/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89.22445/page-2605)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 21, 2020, 05:53:43 am
เรียน พระมหาอาคม วัดไหล่ดุม
ในวาระงานบุญ (ที่ได้บอกบุญด้านล่าง)
.
ขอร่วมสร้างสมเด็จองค์ปฐม (พระประธานที่วัดไหล่ดุม) และ ร่วมสร้างพระอุโบสถ วัดไหล่ดุม
แล้วแต่พระมหาอาคม จะจัดสรรเงิน แต่ขอให้ไปทำทั้ง 2 งาน ครับ
.
สมาชิกชมรมพระวังหน้า และ สมาชิกคณะพระวังหน้า และ น้องๆในที่ทำงาน
และสมาชิกเพจฯ หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร & พระวังหน้า ได้ร่วมทำบุญกันมา
ผมได้ดำเนินการโอนเงินที่ทุกท่านร่วมทำบุญมาในครั้งนี้
โอนเข้าบัญชีเลขที่ 7580123680 ชื่อบัญชี วัดไหล่ดุม
บมจ.ธนาคารกรุงเทพ สาขาเทสโก้ โลตัส กันทรลักษ์
.
ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยครับ
มาร่วมโมทนาบุญกันครับ
.
พระมหาอาคม แจ้งว่า ท่านได้รับมวลสารชุดนี้เรียบร้อยแล้วในวันที่ 20 สิงหาคม 2563ผมเรียนท่านว่า เวลาที่หล่อองค์พระ ให้ใส่ลงไปทั้งหมดได้เลยการหล่อสมเด็จองค์ปฐม (พระประธาน) ที่วัดไหล่ดุม จะหล่อในวันที่ 18 ตุลาคม 2563

และท่านได้ให้พรมาดังนี้
.
วัดไหล่ดุม จ.ศรีสะเกษ
.
ขออนุโมทนาคุณโยมสิทธิพงษ์ และคณะ สายบุญของท่าน ขออนิสงค์ในการสร้างสมเด็จองค์ปฐม และอุโบสถ ขอให้คุณโยมและคณะสายบุญนี้ จงประสบแต่ความสุขความเจริญ อย่าเจ็บอย่าป่วย ร่ำรวยๆๆ ทุกๆท่าน
ขึ้นชื่อว่าความยากจนเข็ญใจ คำว่าไม่มีไม่ได้ ขอจงอย่าปรากฏแก่คุณโยมทุกภพทุกชาติ เป็นปัจจัยให้ทุกท่านเข้าถึงพระนิพพานใชชาติปัจจุบันนี้เทอญ

.
.-----------------------------------------------------------------------------
.
มีวาระงานบุญ มาบอกบุญ ครับ
.
ท่านใดสนใจที่จะร่วมทำบุญบูชามวลสารที่ใช้ในการหล่อพระประธาน ที่วัดไหลดุม
โดยถวายมวลสารกับพระมหาอาคม เจ้าอาวาสวัดไหล่ดุม
เพื่อนำไปสร้างพระประธาน (ประดิษฐานในพระอุโบสถวัดไหล่ดุม)
.
พระประธานในพระอุโบสถวัดไหล่ดุม

สร้างเป็นรูปสมเด็จองค์ปฐม
(พระพุทธเจ้าองค์แรก ของจักรวาลเรา)

ให้ตั้งจิตในการร่วมสร้าง ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมะบูชา สังฆบูชา และ เพื่อชำระหนี้สงฆ์ตั้งแต่ในอดีตชาติทุกๆชาติจนถึงปัจจุบัน ครับ
.
(วันที่ 15 สิงหาคม 2563 ผมได้จัดส่งมวลสารไปถวายพระมหาอาคม ทางไปรษณีย์ เรียบร้อยแล้ว)
.
สามารถร่วมทำบุญได้ที่
.
บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 014-1-36530-7
ชื่อบัญชี นายสิทธิพงศ์ สงวนศักดิ์
บมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาถนนตากสิน
.
เริ่มต้นทำบุญได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
สิ้นสุดในวันพฤหัสที่ 20 สิงหาคม เวลา 12.00 น.
.
เงินที่ทุกท่านร่วมทำบุญมาในครั้งนี้ ผมนำไปร่วมงานบุญในการสร้างพระอุโบสถ วัดไหล่ดุม และ สร้างพระประธาน ที่วัดไหล่ดุม ทั้งหมด
.
หากมีการโอนเงินร่วมทำบุญมาหลังเวลาที่สิ้นสุดการร่วมทำบุญ
ถือว่า ท่านได้ให้เงินผมมา และให้ผมเป็นผู้ที่ตัดสินใจเองว่า ผมจะนำเงินไปทำบุญที่ไหนก็แล้วแต่ผมจะตัดสินใจ
.
.
.
มวลสารที่ผมได้จัดส่งถวายพระมหาอาคม มีดังนี้
.
.
.
หมายเลข 1.
แผ่นทองเหลือง 2 แผ่น , แผ่นเงิน 2 แผ่น และ แผ่นทองแดง 2 แผ่น
.
ที่ผมเคยนำไปร่วมในงานพิธีพุทธาภิเษก ผ้ายันต์ครอบจักรวาล ที่บ้านท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ในปี 2550
(ที่พระอาจารย์นิล ท่านเป็นผู้ให้จัดสร้างในปี 2550 และ นำไปมอบให้กับทหารที่ปฎิบัติหน้าที่ใน 3 จังหวัดชายแดงภาคใต้)
.
องค์ผู้อธิษฐานจิต ( มี 3 กลุ่ม)
.
กลุ่มที่ 1
คณะพระธรรมทูต คณะโสณะอุตระ
(คณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร)
1.พระอุตระเถระเจ้า
2.พระโสณะเถระเจ้า
3.พระมูนียะเถระเจ้า
4.พระฌาณียะเถระเจ้า
5.พระภูริยะเถระเจ้า
.
กลุ่มที่ 2
1.หลวงปู่โพนสะเม็ก (หรือ พระครูขี้หอม)
2.สำเร็จลุนแห่งนครจำปาศักดิ์
.
กลุ่มที่ 3
1.พระครูวิหารกิจจานุการ (หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค)
2.พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง)
.
.
.
หมายเลข 2
.
ตะกรุดวังหน้า เนื้อตะกั่ว ที่หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ท่านจารและอธิษฐานจิต
.
.
.
หมายเลข 3
แผ่นทองเหลือง(ขนาดเล็ก) 2 แผ่น , แผ่นเงิน(ขนาดเล็ก) 2 แผ่น และ แผ่นทองแดง(ขนาดเล็ก) 2 แผ่น
.
องค์ผู้อธิษฐานจิต คือ หลวงปู่สุภา กันตสีโล
.
ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่าน
มาร่วมโมทนาบุญกันครับ

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 06, 2020, 10:31:04 am
วันนี้ เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของ หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ อุปราชวังหน้าองค์สุดท้ายของราชวงศ์จักรี

กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ใน “พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว” ประสูติแต่ “เจ้าคุณจอมมารดาเอม” เมื่อวันพฤหัสบดี แรม 2 คำ เดือน 10 ตรงกับวันที่ 6 กันยายน 2381

รำลึกถึงหลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ครับ

ส่วนวันทิวงคต ที่ระบุในประวัติศาสตร์ในวันที่ 28 สิงหาคม 2428

ไม่ใช่วันที่วงคตจริง  หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า ท่านเสกของแทนตัวกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ แล้วหลวงปู่ฯท่านนำกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ออกไปในป่า

หลังจากนั้น  หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า ท่านได้บวชให้กับ กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ในป่า

ปัจจุบัน หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ท่านมรณะภาพในผ้าเหลืองแล้ว  และ ท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ปฏิสัมภิทาญาณ ครับ

https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/posts/2548742905416296?__tn__=K-R (https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/posts/2548742905416296?__tn__=K-R)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 13, 2020, 10:23:49 am
.
.
.
ขอเชิญร่วมงานบุญ
.
การจัดทำประวัติหลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า และ ประวัติหลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า
พี่สิทธิพร เป็นผู้ที่ดำเนินการไปจัดทำ โดยทำเป็นแผ่นสแตนเลส ตัวอักษรใช้กรดกัดเจาะเป็นรู
(ปัจจุบัน อยู่ระหว่างการจัดสร้าง)
.
โดยคณะผมจะนำไปถวายและประดิษฐานที่ พระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม
.
สามารถร่วมทำบุญได้ที่
.
บช.ออมทรัพย์เลขที่ 678 - 8 - 89192 - 3
ชื่อบัญชี นายสิทธิพงศ์ สงวนศักดิ์
บมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาบิ๊กซี บางปะกอก
.
เริ่มต้น วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน 2563 (เวลาในปัจจุบัน)
.
สิ้นสุด การร่วมทำบุญ วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563 (เวลา 12.00 น.)
.
โอนเงินร่วมทำบุญแล้วแจ้งผมด้วยครับ
.
หากมีการโอนเงินร่วมทำบุญหลังจากเวลาที่สิ้นสุด
ถือว่ามอบให้ผมเป็นผู้นำเงินไปทำบุญอะไรก็ได้
.
เมื่อครบกำหนดการร่วมทำบุญแล้ว
ผมจะดำเนินการโอนเงินไปให้กับพี่สิทธิพรอีกครั้ง
.
.--------------------------------------------------------------.
.
ป้ายที่ 1
.
พระเจ้าอโศกมหาราช ได้ทรงกระทำตติยสังคายนาพระไตรปิฎก แล้วอาราธนาพระมหาโมคคัลลีปุตตติสสเถระเป็นประธานคัดเลือกพระธรรมทูต และได้เลือกพระโสณะ พระอุตระ พระมูนิยะ พระฌาณิยะ พระภูริยะ อีกทั้งพรามณ์ , อุบาสก และอุบาสิกา รวม 38 คน เป็นคณะพระธรรมทูตมายังสุวรรณภูมิประเทศ
.
พระอุตระ เป็นชาวเนปาล (พระมหาโมคคัลลีปุตตติสสเถระ เป็นพระพระอุปัชฌาย์) เป็นพี่ชายของพระโสณะ บุคลิกภาพและจริต ลักษณะรูปร่างสันทัดผิวกายค่อนข้างดำคล้ำ เชี่ยวชาญวิชาแพทย์และเภสัชกรรม ใจดีประกอบด้วยเมตตา อารมณ์ขัน
.
ที่มา หนังสือพุทธสาสนสุวรัณณภูมิปกรณ ผู้เขียน ท่านเจ้าคุณพระราชกวี วัดโสมนัสวิหาร
.
และ หนังสือบรมครูพระเทพโลกอุดร ผู้เขียน ประถม อาจสาคร
.
.--------------------------------------------------------------.
.
ป้ายที่ 2
.
พระเจ้าอโศกมหาราช ได้ทรงกระทำตติยสังคายนาพระไตรปิฎก แล้วจึงอาราธนาพระมหาโมคคัลลีปุตตติสสเถระเป็นประธานคัดเลือกพระธรรมทูต และได้เลือกพระโสณะ พระอุตระ พระมูนิยะ พระฌาณิยะ พระภูริยะ อีกทั้งพรามณ์ , อุบาสก และอุบาสิกา รวม 38 คน เป็นคณะพระธรรมทูตมายังสุวรรณภูมิประเทศ
.
พระโสณะ เป็นชาวเนปาล (พระมหาโมคคัลลีปุตตติสสเถระ เป็นพระอุปัชฌาย์) เป็นน้องชายของพระอุตระ บุคลิกภาพและจริต ลักษณะรูปร่างสูงใหญ่ ผิวดำ ใจดี เยือกเย็น ชอบผาดโผนเหินฟ้านภาลัยโขดเขินเนินไศลเป็นที่สัญจร
.
ที่มา หนังสือพุทธสาสนสุวรัณณภูมิปกรณ ผู้เขียน ท่านเจ้าคุณพระราชกวี วัดโสมนัสวิหาร
.
และ หนังสือบรมครูพระเทพโลกอุดร ผู้เขียน ประถม อาจสาคร

.
.--------------------------------------------------------------.
.

.
คณะพระธรรมทูต คณะโสณะอุตระ (หรือ คณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร)
ท่านมีพระคุณต่อประเทศไทย เป็นอย่างมาก
ท่านเป็นคณะพระธรรมทูตแรกที่เข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนา
ท่านมีภาระกิจอีกมากมายในเรื่องที่ท่านได้รับมอบหมายมา
และท่านยังคงกระทำต่อจนครบ 5,000 ปี ตามภาระกิจของท่าน
.
ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยครับ
.
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
#หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ดำ
.
#หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ตีนโต
.
#หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เทพโลกอุดร หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เดินหน หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ในดง หรืออีกชื่อ #หลวงปู่โพรงโพธิ์
.
#หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี
.
#หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์
.
#หลวงปู่เทพโลกอุดร
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
.
#คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ
.
#สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี
.
#หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ
.
#พระเจ้าอโศกมหาราช
.
#ชมรมพระวังหน้า
.
#พระวังหน้า
.
https://www.facebook.com/noom.sithiphong/posts/1461903883995993 (https://www.facebook.com/noom.sithiphong/posts/1461903883995993)
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 20, 2020, 10:39:42 am
.
นมัสการ พระมหาอาคม ครับ
.
ผมขอถวาย พระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม สมเด็จพระพุทธสิขีทศพลญาณที่ 1 (สมเด็จองค์ปฐม) เพื่อบรรจุในพระประธานของวัดไหล่ดุม
.
ผมขอถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมมะบูชา สังฆบูชา  ถวายเป็นสมบัติของสงฆ์ที่ไม่สามารถชำระหนี้สงฆ์ได้
.
.
.
และขอถวายมวลสารที่สมาชิกชมรมพระวังหน้า และ คณะพระวังหน้า ที่ร่วมกันถวายเพื่อร่วมหล่อพระประธานที่วัดไหล่ดุม ดังนี้
.
มวลสารที่ผมได้จัดส่งถวายพระมหาอาคม มีดังนี้
.
.
.
หมายเลข 1.
.
แผ่นทองเหลือง 2 แผ่น , แผ่นเงิน 2 แผ่น และ แผ่นทองแดง 2 แผ่น
.
ที่ผมเคยนำไปร่วมในงานพิธีพุทธาภิเษก ผ้ายันต์ครอบจักรวาล ที่บ้านท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ในปี 2550
(ที่พระอาจารย์นิล ท่านเป็นผู้ให้จัดสร้างในปี 2550 และ นำไปมอบให้กับทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ใน 3 จังหวัดชายแดงภาคใต้)
.
องค์ผู้อธิษฐานจิต ( มี 3 กลุ่ม)
.
กลุ่มที่ 1
คณะพระธรรมทูต คณะโสณะอุตระ
(คณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร)
1.พระอุตระเถระเจ้า
2.พระโสณะเถระเจ้า
3.พระมูนียะเถระเจ้า
4.พระฌาณียะเถระเจ้า
5.พระภูริยะเถระเจ้า
.
กลุ่มที่ 2
1.หลวงปู่โพนสะเม็ก (หรือ พระครูขี้หอม)
2.สำเร็จลุนแห่งนครจำปาศักดิ์
.
กลุ่มที่ 3
1.พระครูวิหารกิจจานุการ  (หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค)
2.พระราชพรหมยาน  (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง)
.
.
.
หมายเลข 2
.
ตะกรุดวังหน้า เนื้อตะกั่ว ที่หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ท่านจารและอธิษฐานจิต
.
.
.
หมายเลข 3
แผ่นทองเหลือง(ขนาดเล็ก) 2 แผ่น , แผ่นเงิน(ขนาดเล็ก) 2 แผ่น และ แผ่นทองแดง(ขนาดเล็ก) 2 แผ่น
.
องค์ผู้อธิษฐานจิต คือ หลวงปู่สุภา กันตสีโล
.
สมาชิกชมรมพระวังหน้า และ สมาชิกคณะพระวังหน้า ขอถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมมะบูชา สังฆบูชา  ถวายเป็นสมบัติของสงฆ์ที่ไม่สามารถชำระหนี้สงฆ์ได้
.
ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่าน
มาร่วมโมทนาบุญกันครับ
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 01, 2021, 09:08:18 am
สวัสดีปีใหม่
ไม่มีทุกข์ ไม่มีโศก
ไม่มีโรค ไม่มีภัย
เงินทองเหลือใช้ ร่างกายแข็งแรง
กันทุกท่าน ครับ
ด้วยรัก
Sithiphong
----------------------------------------------------------------
เพลงพระราชนิพนธ์ พรปีใหม่ - ธงไชย แมคอินไตย์ และ วิโอเลต วอเทียร์ Ost.พรจากฟ้า【Official MV】
https://www.youtube.com/watch?v=-ZoRz7bkd_Q (https://www.youtube.com/watch?v=-ZoRz7bkd_Q)
GDH
เผยแพร่เมื่อ 14 ธ.ค. 2016
----------------------------------------------------------------
เก่าไปใหม่มา - สุนทราภรณ์【Karaoke : คาราโอเกะ】
https://www.youtube.com/watch?v=QfU2lwmClwk (https://www.youtube.com/watch?v=QfU2lwmClwk)
Metro Records
เผยแพร่เมื่อ 24 พ.ย. 2014
----------------------------------------------------------------
ส.ค.ส. - สุนทราภรณ์【Karaoke : คาราโอเกะ】
https://www.youtube.com/watch?v=tfjcV9RMTUI (https://www.youtube.com/watch?v=tfjcV9RMTUI)
Metro Records
เผยแพร่เมื่อ 24 พ.ย. 2014
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 16, 2021, 09:40:42 am
.
เนื่องในวันครูในปีนี้
.
ผมขอทำบุญด้วยการ บริจาคปัจจัยในการ #เจาะบ่อบาดาล ถวายให้แก่ #วัดบ่อเงินบ่อทอง เพื่อสงเคราะห์พระภิกษุ , สามเณร และ ญาติโยมทั้งหลายที่ได้ไปที่วัดบ่อเงินบ่อทอง  เพื่อประโยชน์กับพระพุทธศาสนา
.
และ ท่านกุ้ง ได้ร่วมทำบุญด้วยเช่นกัน
.
ขอโมทนาบุญกับท่านกุ้งด้วย  และ มาโมทนาบุญร่วมกัน ครับ
.
ผมนำโพสของวัดบ่อเงินบ่อทอง นำมาลงด้านล่างนี้  และหากท่านใดสนใจที่จะร่วมทำบุญ  ขอเชิญร่วมทำบุญได้ โดยโอนเงินเข้าบัญชีหลวงพ่อแผน ดังนี้
บัญชีเลขที่ 494-2-21276-4
ชื่อบัญชี พระขุนแผน เกิดทอง (เจ้าอาวาส)
บมจ.ธนาคารทหารไทย
.
.-------------------------------------
.
โพสโดย วัดบ่อเงิน บ่อทอง
.
16/1/64????????????ทำบุญด้วยน้ำ ชุ่มชื่น สุขกายสบายใจ ทุกทิวาราตรี (ได้เจ้าภาพไว้ แล้ว 524 กองบุญ)
.
วัดบ่อเงินบ่อทอง จ ฉะเชิงเทรา
.
????????ขอบอกบุญการบำเพ็ญบุญกุศล “บริจาคปัจจัยเจาะบ่อบาดาล”ถวายให้แก่วัด เพื่อสงเคราะห์พระภิกษุสามเณรตลอดถึงญาติโยม
.
????????ที่วัดเป็นโรงเรียนพระภิกษุ-สามเณรที่สงเคราะห์การศึกษา ต้องใช้น้ำบาดาลสูบขึ้นมาใช้ ????ใช้เป็นทั้งน้ำอาบ????และน้ำดื่ม เป็นเครื่องใช้อุปโภคบริโภค ตลอดถึงญาติโยมที่อยู่ภายวัดและโยมที่มาบำเพ็ญบุญกุศล
.
????วันหนึ่งๆ ต้องใช้น้ำบาดาลที่สูบขึ้นมาเป็นหมื่นลิตรด้วยกัน
.
????????ปัจจุบันนี้บ่อบาดาลที่ใช้อยู่เป็นเวลา 10 กว่าปี มาแล้วเริ่มมีปัญหาเพราะเป็นบ่อเก่า (บ่อเก่านี้จะเอาไว้สำรอง)
.
????ทางวัดจึงมีความจำเป็น ต้องเจาะบ่อบาดาลขึ้นมาใช้ใหม่
.
????ต้องใช้งบประมาณ 120,000 บาท ทั้งค่าเจาะและเครื่องสูบน้ำ
.
????จึงขอบอกบุญมาถึงญาติโยมทั้งหลาย เพื่อร่วมบริจาคปัจจัยมากน้อยตามศรัทธา นะ จ๊ะ ????????
.
โดยตั้งเป็นกองบุญจำนวน 1,229 กองบุญๆ ละ 99 บาท เพื่อจัดสร้าง????????ได้เจ้าภาพไว้แล้ว 524 กองบุญ
.
????????????ท่านที่บริจาครับเป็นเจ้าภาพกองบุญ 10 กองขึ้นไป ทางวัดจะจารึกชื่อคุณโยมไว้เป็นอนุสรณ์ นะจ๊ะ
.
????????อานิสงส์แห่งการสร้างบ่อน้ำถวาย
.
ในพระสุตตันตปิฏก ท่านกล่าวไว้ว่า ในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี มีบุรุษท่านหนึ่งเกิดในตระกูลเศรษฐี เมื่อเขาเจริญวัยแล้ว ได้มีกุศลจิตได้ขุดบ่อน้ำแห่งหนึ่งแล้ว ได้มอบถวายบ่อน้ำนั้น แก่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า วิปัสสี กับพระสงฆ์สาวกนั้น ????เมื่อเขาได้สิ้นชีวิตลงได้ท่องเทียวไปในเทวโลกบ้าง และมนุษยโลกบ้าง
.
ทุกๆที่ที่เขาเกิด จะมีสระโบกขรณีบ่อน้ำและน้ำดื่ม(แก่เขานั้น)
.
????และมาในสมัยพระพุทธเจ้าของเรานี้ เขาได้มาเกิดในตระกูล เมื่อเจริญวัยแล้วมีศรัทธาเลื่อมใส ????ได้ออกบวชในพระพุทธศาสนา ไม่นานก็ได้บรรจุมรรคผลเป็นพระอรหันต์ เพราะอานิสงส์แห่งการถวายบ่อน้ำนั้น
.
????????ขอเวลาบอกบุญเป็นเวลาสิ้นเดือนมกราคมนี้ นะจ๊ะ หรือถ้าได้งบตามจำนวนที่ใช้ก็จะปิดรับบริจาคก่อน จ๊ะ
.
????ขอผลานิสงส์ผลบุญนี้ จงเป็นปัจจัย ให้คุณโยมทุกท่าน จงมีความร่มเย็นเป็นสุขสดชื่น เจริญด้วยพร สี่ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ห่างใกลจากโรคภัยไข้เจ็บ มีความร่ำรวยๆๆ ในชาติปัจจุบัน เป็นปัจจัยแห่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ เทอญ
.
บริจาคได้ที่ ธนาคารทหารไทย 494-2-21276-4 ชื่อบัญชี พระขุนแผน เกิดทอง (เจ้าอาวาส)
.
ที่มา เพจ. วัดบ่อเงิน บ่อทอง
.
.
.----------------------------.
.
.
#กรวดน้ำตามสไตล์Sithiphong
.
วันนี้ข้าพเจ้า (,สามีหรือภรรยา) และครอบครัว ได้ทำบุญการเจาะบ่อบาดาลที่วัดบ่อเงินบ่อทอง
ขออาราธนาพระบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ , คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทุกๆพระองค์ ,พระอรหันต์ทุกๆพระองค์,พระมหาโพธิสัตว์และพระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์  ,ทั้ง ๑๖ ชั้นฟ้า ๑๕ ชั้นดิน ,องค์ผู้อธิษฐานจิตพระพิมพ์ที่ข้าพเจ้ามีอยู่ทุกพระองค์ ,เทวดาผู้รักษา  , เจ้าของและผู้สร้างพระพิมพ์หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร-พระพิมพ์สมเด็จเจ้าคุณกรมท่าทุกท่าน-พระพิมพ์ของวังหน้า,พระกรุวัดพระแก้วและวัตถุมงคลหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทุกประเภทที่ข้าพเจ้ามีอยู่ ทุกท่าน , พระบารมีพระมหากษัตริย์ทุกๆพระองค์ , พระบารมีกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท  ,พระบารมีกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ,พระบารมีพระสยามเทวาธิราช ,พระยาพิชัยดาบหัก , เจ้ากรุงพาลี แม่พระธรณี แม่พระคงคา พระเพลิง พระพาย แม่พระโพสพ ,  แม่นางกวัก, พระมหาฤาษีและพระฤาษีทุกๆตน , พระพิรุณ , พยายมราช , นายนิริยบาลทุกๆท่าน , ยมทูตทุกๆท่าน , ท้าวจตุโลกะบาลทั้งสี่ ศิริพุทธอำมาตย์ ชั้นจาตุมะหาราชิกาเบื้องบนจนถึงที่สุด พรหมาเบื้องต่ำตั้งแต่มนุษย์โลก โดยรอบสุดขอบจักรวาลอนันตะจักรวาล และเทพยดาทั้งหลายตลอดทั้งอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ คนธรรพ์ นาคา ขอให้มาอนุโมทนาและเป็นพยานบุญในบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้ทำในครั้งนี้ด้วยเทอญ
.
ขออาราธนา  บิดา , มารดา , ผู้มีพระคุณ , ญาติกาครูอุปัชฌาย์อาจารย์ , ญาติสี่สกุลเจ็ดชั่วโคตรของข้าพเจ้า , เจ้ากรรมนายเวร , ปู่ , ย่า , ตา , ยาย , เทวดาประจำตัวข้าพเจ้า ,เทวดาประจำองค์พระพิมพ์ทุกองค์ , แม่ย่านางรถของข้าพเจ้า,ผู้ที่เสียสละให้กับแผ่นดินไทยทุกท่าน,  พระภูมิ-เจ้าที่ ที่บ้านข้าพเจ้า , พระภูมิ-เจ้าที่ ที่บ้านคุณพ่อ-คุณแม่ข้าพเจ้า พระภูมิ-เจ้าที่ บ้านที่ข้าพเจ้าเคยอยู่ทุกๆที่ ,พระภูมิ-เจ้าที่ ที่ทำงานของข้าพเจ้าทุกๆแห่ง ขอให้มาอนุโมทนาในบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้ทำในครั้งนี้ด้วยเทอญ
.
.
อิมินาปุญญะกัมเมนะ ด้วยเดชะผลบุญแห่งข้าพเจ้า, สามีหรือภรรยา และครอบครัว ได้ ได้ทำบุญการเจาะบ่อบาดาลที่วัดบ่อเงินบ่อทอง ขอน้อมถวายบุญกุศลแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทั้งหมด ,พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ ,พระมหาโพธิสัตว์และพระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์
.
ขอถวายบุญกุศลแด่บิดา มารดา ,องค์ผู้อธิษฐานจิตพระพิมพ์ที่ข้าพเจ้ามีอยู่ทุกพระองค์ , เทวดาผู้รักษา  , เจ้าของและผู้สร้างพระพิมพ์หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร-พระพิมพ์สมเด็จเจ้าคุณกรมท่าทุกท่าน-พระพิมพ์ของวังหน้า,พระกรุวัดพระแก้วและวัตถุมงคลหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทุกประเภทที่ข้าพเจ้ามีอยู่  ,ตัวข้าพเจ้าและทั้ง ๑๖ ชั้นฟ้า ๑๕ ชั้นดิน , ผู้มีพระคุณ , ญาติกาครูอุปัชฌาย์อาจารย์ , ญาติสี่สกุลเจ็ดชั่วโคตรของข้าพเจ้า , เจ้ากรรมนายเวร , ปู่ , ย่า , ตา , ยาย , เทวดาประจำตัวข้าพเจ้า ,เทวดาประจำองค์พระพิมพ์ทุกองค์ ,พระมหากษัตริย์ทุกๆพระองค์ ,กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท,กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ,พระสยามเทวาธิราช ,พระยาพิชัยดาบหัก
.
ขอถวายบุญกุศลแด่พระภูมิ-เจ้าที่ ที่บ้านข้าพเจ้า , พระภูมิ-เจ้าที่ ที่บ้านคุณพ่อ-คุณแม่ข้าพเจ้า พระภูมิ-เจ้าที่ บ้านที่ข้าพเจ้าเคยอยู่ทุกๆที่ ,พระภูมิ-เจ้าที่ ที่ทำงานของข้าพเจ้าทุกๆแห่ง ,แม่ย่านางรถของข้าพเจ้า,ผู้ที่เสียสละให้กับแผ่นดินไทยทุกท่าน , เจ้ากรุงพาลี , แม่พระธรณี , แม่พระคงคา , พระเพลิง , พระพาย , แม่พระโพสพ ,  แม่นางกวัก ,พระมหาฤาษีและพระฤาษีทุกๆตน , พระพิรุณ , พยายมราช , นายนิริยบาลทุกๆท่าน , ยมทูตทุกๆท่าน ,ท้าวจตุโลกะบาลทั้งสี่ ศิริพุทธอำมาตย์ ชั้นจาตุมะหาราชิกาเบื้องบนจนถึงที่สุด พรหมาเบื้องต่ำ   และเทพยดาทั้งหลายตลอดทั้งอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ คนธรรพ์ นาคา 
.
ขออุทิศส่วนบุญกุศล ให้กับเพื่อนสนิทมิตรสหายทั้งหลาย  เพื่อนสาราสัตว์น้อยใหญ่  ตั้งแต่อเวจีขึ้นมาจนถึงมนุษย์โลก โดยรอบสุดขอบจักรวาลอนันตะจักรวาล ท่านทั้งหลายที่ต้องทุกข์ ขอให้พ้นจากทุกข์ ท่านทั้งหลายที่ท่านได้สุข ขอให้สุขยิ่งๆขึ้นไป
.
ด้วยเดชะผลบุญแห่งข้าพเจ้าน้อมถวาย  ,ถวายและอุทิศไปให้นี้ จงเป็นอุปนิสัยปัจจัยให้ถึงพระนิพพานในปัจจุบันและอนาคตเบื้องหน้าอันใกล้นี้ด้วยเทอญ ฯ
.
ข้าพเจ้าขอพระเมตตาองค์พระแม่ธรณี  ได้โปรดนำบุญที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายทุกๆพระองค์  ,น้อมถวายทุกๆองค์  ,ถวายบุญให้กับทุกๆท่าน และอุทิศบุญให้กับทุกๆท่าน  ไปถึงทุกๆพระองค์ , ทุกๆองค์ และทุกๆท่าน  ตามที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายทุกๆพระองค์  ,น้อมถวายทุกๆองค์  ,ถวายบุญให้กับทุกๆท่าน และอุทิศบุญให้กับทุกๆท่าน  ตามที่ข้าพเจ้าได้บอกไปในเบื้องต้นด้วยเทอญ
.
ข้าพเจ้าขอพระเมตตาองค์พระแม่ธรณี  ได้โปรดนำบุญที่ข้าพเจ้าได้กระทำในครั้งนี้ ไปถวายพระแม่ธรณีทั่วโลก และ ขอพระเมตตาพระแม่ธรณีทั่วโลก ถวายบุญแก่องค์เทพเทวาทั่วโลก ด้วยเทอญ
.
ด้วยเดชะบุญแห่งข้าพเจ้าน้อมถวาย  ,ถวายและอุทิศนี้ไปให้ทุกๆพระองค์  ,ทุกๆองค์  ,ทุกๆท่านตามที่ข้าพเจ้าได้มีเจตนาในการน้อมถวายบุญแด่ทุกๆพระองค์ , ทุกๆองค์ และทุกๆท่านข้างต้นนี้ ข้าพเจ้าขออธิษฐานว่า ขอความคล่องตัวจงมีแก่ตัวข้าพเจ้า ความไม่มีโรคภัยไข้เจ็บจงอย่าเกิดกับตัวข้าพเจ้า ความไม่มีอื่นๆอย่าได้เกิดกับข้าพเจ้า จนกว่าข้าพเจ้าจะเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
.
พุทธังอนันตัง ธัมมังจักรวาลัง สังฆังนิพพานัง ปัจจโยโหนตุ
.
.
.
.
.
หมายเหตุ ในข้อ ข้าพเจ้าขอพระเมตตาองค์พระแม่ธรณี  ได้โปรดนำบุญที่ข้าพเจ้าได้กระทำในครั้งนี้ ไปถวายพระแม่ธรณีทั่วโลก และ ขอพระเมตตาพระแม่ธรณีทั่วโลก ถวายบุญแก่องค์เทพเทวาทั่วโลก ด้วยเทอญ    ให้เรามีเจตนาในการถวายบุญ แด่ พระแม่ธรณีทั่วโลก และ องค์เทพเทวาทั่วโลก ครับ
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 16, 2021, 09:09:12 pm
.

ปาเจราจริยาโหนติ คุณุตตรานุสาสกา
ข้าขอประณตน้อมสักการ บูรพาคณาจารย์
ผู้กอรปประโยชน์ศึกษา
ทั้งท่านผู้ประสาทวิชา อบรมจริยา
แก่ข้าในกาลปัจจุบัน
ข้าขอเคารพอภิวันท์ ระลึกคุณอนันต์
ด้วยใจนิยมบูชา
ขอเดชกตเวทิตา อีกวิริยะพา
ปัญญาให้เกิดแตกฉาน
ศึกษาสาเร็จทุกประการ อายุยืนนาน
อยู่ในศีลธรรมอันดี
ให้ได้เป็นเกียรติเป็นศรี ประโยชน์ทวี
แก่ชาติและประเทศไทยเทอญฯ
ปัญญาวุฒิกเร เต เต ทินโนวาเท นมามิหัง
.
ขอกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์ท่านเป็นครูผู้สอนธรรมะที่เป็นหลักการในการดำรงชีวิตและสอนหนทางในการดับทุกข์ที่ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร
.
ขอกราบหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร (คณะพระธรรมทูต คณะโสณะ-อุตระ) ที่พระองค์ท่านเป็นคณะพระธรรมทูตคณะแรกที่มายังสุวรรณภูมิ และได้มีเมตตานำหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเผยแพร่ในสุวรรณภูมิ เป็นครูให้พระสงฆ์ , คนไทยและคนในสุวรรณภูมิได้รู้จักและปฏิบัติติตามหลักธรรมะ
.
ขอกราบสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี , หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ , พระสงฆ์กลุ่มหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ และ พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติติชอบทุกรูป ที่พระองค์ท่านได้นำหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สอนให้กับคนไทย และคนที่มีนับถือในศาสนาพุทธ
.
ขอกราบหลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ที่มีพระเมตตามาให้โดยตลอด
.
ขอกราบพระอาจารย์ณริชธันร์ และ พระอาจารย์นิล ที่มีเมตตามาให้โดยตลอด
.
ขอกราบ คุณพ่อ คุณแม่ ที่เป็นครูคนแรกในชีวิต
.
ขอกราบครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ได้อดทน  และมีเมตตาในการนำองค์ความรู้ให้กับลูกศิษย์  เพื่อลูกศิษย์ทั้งหลายจะได้นำความรู้ไปดำรงตนในทางที่ดี
.
ขอเพิ่มเติม  ขอขอบคุณในมิตรภาพของกัลยาณมิตรที่ดี  ที่ยังคงช่วยเหลือเกื้อกูลกันและร่วมในการทำบุญในวาระงานบุญต่างๆ ครับ
.
.
.******************************.
.
.
บทสวดไหว้ครู
.
(ผู้นาสวด)
ปาเจราจริยาโหนติ คุณุตตรานุสาสกา
.
สวดทานองสรภัญญะ
.
สวดพร้อมกัน
ข้าขอประณตน้อมสักการ บูรพาคณาจารย์
ผู้กอรปประโยชน์ศึกษา
ทั้งท่านผู้ประสาทวิชา อบรมจริยา
แก่ข้าในกาลปัจจุบัน
ข้าขอเคารพอภิวันท์ ระลึกคุณอนันต์
ด้วยใจนิยมบูชา
ขอเดชกตเวทิตา อีกวิริยะพา
ปัญญาให้เกิดแตกฉาน
ศึกษาสาเร็จทุกประการ อายุยืนนาน
อยู่ในศีลธรรมอันดี
ให้ได้เป็นเกียรติเป็นศรี ประโยชน์ทวี
แก่ชาติและประเทศไทยเทอญฯ
.
(ผู้นาสวด) ปัญญาวุฒิกเร เต เต ทินโนวาเท นมามิหัง
.
ความหมาย
.
ปาเจราจริยาโหนติ คุณุตตรานุสาสกา  แปลว่า ครูอาจารย์เป็นผู้ทรงคุณอันประเสริฐยิ่ง เป็นผู้พร่าสอนศิลปวิทยากร
.
ปัญญาวุฒิกเร เต เต ทินโนวาเท นมามิหัง  แปลว่า ข้าพเจ้าขอนอบน้อมเหล่านั้น ผู้ให้โอวาท ผู้ทาให้ปัญญาเจริญ ข้าพเจ้าขอกราบไหว้ครู อาจารย์เหล่านั้น ด้วยความเคารพ
.
.
.
เพลงพระคุณที่สาม
ครูบาอาจารย์ ที่ท่านประทานความรู้มาให้
อบรมจิตใจ ให้รู้ผิดชอบ ชั่วดี
ก่อนจะนอนสวดมนต์อ้อนวอนทุกที
ขอกุศลบุญบารมีส่งเสริมครูนี้ให้ร่มเย็น
ครูมีบุญคุณจะต้องเทิดทูลเอาไว้เหนือเกล้า
ท่านสั่งสอนเรา อบรมให้เราไม่เว้น
ท่านอุทิศ ไม่คิดถึงความยากเย็น
สอนให้รู้จัดเจน เฝ้าแนะ เฝ้าเน้น มิได้อาพราง
* พระคุณที่สาม งดงามแจ่มใส
แต่ว่าใครหนอใคร เปรียบเปรยครูไว้ว่าเป็นเรือจ้าง
ถ้าหากจะคิด ยิ่งคิดยิ่งเห็นว่าผิดทาง
มีใครไหนบ้างแนะนาแนวทางอย่างครู
บุญเคยทามาตั้งแต่ปางใด เรายกให้ท่าน
ตั้งใจกราบกราน เคารพคุณท่าน กตัญญู
โรคและภัย อย่ามาแผ้วพานคุณครู
ขอกุศลผลบุญค้าชู ให้ครูมีสุขชั่วนิรันดร...
ร้องซ้า * ให้ครูมีสุขชั่วนิรันดร...
.
ที่มา sites.google
.
คำไหว้ครู-ปาเจราจริยาโหนติ
https://www.youtube.com/watch?v=s83ntWreSfs&feature=emb_logo (https://www.youtube.com/watch?v=s83ntWreSfs&feature=emb_logo)
โพสโดย
TumNongSaNoa - ทำนองเสนาะ
26 ก.ย. 2011
.
ปาเจรา จะริยา โหนติ คุณุตะรา นุสาสะกา
ข้าขอประณตน้อมสักการ บูรพคณาจารย์ ผู้กอปรเกิดประโยชน์ศึกษา ทั้งท่านผู้ประสาทวิชา อบรมจริยา แก่ข้าในกาลปัจจุบัน
ข้าขอเคารพอภิวันท์ ระลึกคุณอนันต์ ด้วยใจนิยมบูชา ขอเดชกตเวทิตา อีกวิริยะพา ปัญญาให้เกิดแตกฉาน ศึกษาสำเร็จทุกประการ อายุยืนนาน อยู่ในศีลธรรมอันดี ให้ได้เป็นเกียรติเป็นศรี ประโยชน์ทวี แก่ชาติและประเทศไทยเทอญ ปัญญาวุฒิ กะเรเตเต ทินโนวาเท นะมามิหัง
.
ที่มา เรื่องของคน ๕ แผ่นดิน ท่านผู้หญิงดุษฏี มาลากุล
.
.
.
ปาเจรา จริยาโหนติ l บทไหว้ครู Sub ENG l คำกล่าวไหว้ครู l คาราโอเกะ ข้าขอประณตน้อมสักการ บูรพคณาจารย์
https://www.youtube.com/watch?v=ddu7nMYSwZQ (https://www.youtube.com/watch?v=ddu7nMYSwZQ)
โพสโดย
รู้ชีวิต กําหนดชีวิต
9 ส.ค. 2018
.
ที่มาของคลิป
mv คาราโอเกะ เพลงรางวัลของครู
https://www.youtube.com/watch?v=lgjBJ5gkAS4 (https://www.youtube.com/watch?v=lgjBJ5gkAS4)
บุญวิชญ์ สัมนา
เผยแพร่เมื่อ 4 ก.ค. 2013
.
เพลงพระคุณที่สาม แด่คุณครูทุกๆท่าน
https://www.youtube.com/watch?v=7Izwbh2fLn4 (https://www.youtube.com/watch?v=7Izwbh2fLn4)
ROONG168
เผยแพร่เมื่อ 15 ม.ค. 2015
เพลงพระคุณที่สามนี้ เป็นผลงานการประพันธ์คำร้อง ทำนอง โดย "ครูสุเทพ โชคสกุล"
ซึ่งเป็นท่านเดียวกับที่ได้เคยฝากผลงานไว้กับเพลง แม่พิมพ์ของชาติ
.
ครูในดวงใจ - อรวี สัจจานนท์【UNOFFICIAL Lyrics Version】
https://www.youtube.com/watch?v=HIp2lj4ROOI (https://www.youtube.com/watch?v=HIp2lj4ROOI)
SPCH Channel
เผยแพร่เมื่อ 11 มิ.ย. 2016
.

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 21, 2021, 10:31:33 am
.
หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
.
โลกุตตะโร ปัญจะมหาเถโร อะหังวันทามิ ตังสะทา
เมตตาลาโภ นะโสมิยะ อะหะพุทโธ
.
.
.
มีใครหลายๆคนที่รู้จักหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร (หลวงปู่เทพโลกอุดร) เป็นอย่างดี
แต่มีอีกหลายๆคนที่ไม่เคยรู้จักหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
.
ผมขอมาเล่าให้ฟังโดยย่อ จากประสบการณ์ตรงที่ได้รับมา
.
สมัยก่อนผมเองเป็นคนที่ชอบถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจ  ชอบถึงขนาดที่ต้องพกกล้องถ่ายรูป (กล้องใหญ่ที่ใช้ฟิล์ม) มาที่ทำงานทุกวัน  และในวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ที่ออกไปที่ไหนก็ตาม ก็พกกล้องไปด้วยเสมอ
.
เมื่อประมาณปี 2538  ตอนนั้นผมทำงานในสถานที่แห่งหนึ่ง  มีอยู่วันหนึ่งที่รุ่นพี่ได้รับรูปพระสงฆ์จากลูกค้า  โดยลูกค้าท่านนั้นแจ้งว่า รูปนี้คือ รูปหลวงปู่เทพโลกอุดร
.
วันนั้น  ผมจึงได้ขอถ่ายรูป จากรูปที่พี่ท่านนั้นได้รับมา
ตอนที่ผมนำรูปขึ้นไปบนดาดฟ้า  ปรากฎว่า ฟ้าครึ้มมาก  (ตอนอยู่ในสำนักงาน ผมเองไม่ได้ดูท้องฟ้าว่า ฝนกำลังจะตกลงมา
ผมนำรูปขึ้นไปยังดาดฟ้า เพื่อที่จะถ่ายรูป โดยใช้แสงแดดช่วยในการถ่ายรูปให้ชัด แต่เมื่อขึ้นไปแล้ว ฟ้าครึ้มมาก ไม่สามารถถ่ายรูปได้เลย  ผมจึงยกมือขึ้นพนม แล้วอธิษฐานว่า หากหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดรมีจริง ขอให้ฟ้าเปิด เพื่อผมจะขอถ่ายรูปหลวงปู่ฯไว้บูชา
.
หลังจากที่อธิษฐานจบ  ปรากฎว่า ฟ้าเปิด เมฆแหวกในบริเวณที่ดวงอาทิตย์อยู่  เมื่อผมเห็นดังนั้น ผมจึงได้รีบดำเนินการถ่ายรูป (ถ่ายไว้หลายรูป) จนเสร็จเรียบร้อย เมื่อผมแกะรูปออกจากผนัง  เมฆได้ขยายตัวปิดดวงอาทิตย์ทันที และเมื่อผมเก็บรูปและเดินเข้าไปในอาคาร  ฝนก็ได้ตกลงมาอย่างนัก
.
หลังจากวันนั้น ผมได้ตามหาข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร  ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเล่มไหนๆ ผมหาซื้อมาอ่านจนหมด และมีความพยายามค้นหาว่า ผมสามารถไปกราบหลวงปู่ฯได้ที่ไหนบ้าง แต่ก็ยังหาข้อมูลที่คิดว่า "ใช่" ไม่ได้เลย
.
ต่อมาเมื่อปี 2548  น้องชายผม ได้ชวนผมไปหา ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร โดยบอกผมว่า ท่านอาจารย์ประถม ท่านเก่งในเรื่องของพระกรุวัดพระแก้ว ผมจึงตอบตกลง และไปหาท่านอาจารย์ประถมฯ  เมื่อไปพบท่านอาจารย์ประถมฯแล้ว ผมจึงได้ขออนุญาตท่านว่า ผมจะกลับมาหาท่านใหม่
.
ต่อมาผมก็ได้ไปหาท่านอาจารย์ประถมฯ อีก ท่านจึงได้ให้หนังสือประวัติหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร มาให้ท่าน และผมจึงได้เริ่มศึกษาในเรื่องประวัติของหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร และ เรื่องพระวังหน้า ว่ามีความเป็นมาอย่างไร และเรียนรู้พระวังหน้า (ในช่วงแรกๆ ท่านได้นำพระวังหน้าของท่านมาให้ผมได้เห็น ได้ศึกษา ต่อมาผมจึงได้ไปหาพระวังหน้า แล้วนำมาให้ท่านช่วยสอนให้ ส่วนสถานที่ที่ผมไปหาพระวังหน้าที่ผมได้มาจากใคร ผมขอปิดไว้เป็นความลับ )
.
เมื่อผมได้พบกับท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร  ผมจึงได้เรียนรู้ในเรื่องที่ถูกต้อง เรื่องประวัติหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร และ พระวังหน้า  ส่วนข้อมูลอื่นที่เคยได้อ่านมาจากในหนังสือที่เคยได้ซื้อมาก่อนหน้า(ที่จะได้พบกับอาจารย์ประถมฯ) ผมก็ไม่ได้นำมาใช้ในการเผยแพร่ประวัติของหลวงปู่ฯและพระวังหน้า อีกเลย
.
ต่อมาเมื่อประมาณเดือน มกราคม 2550 ผมเองได้รับการยืนยันในเรื่องที่เกี่ยวกับการสร้างพระวังหน้า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ อัศจรรย์ และ มหัศจรรย์ สำหรับตัวผมเอง  โดยท่านผู้ให้สร้างก็คือ กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ท่านมาหาผม ณ สถานที่แห่งหนึ่ง  ท่านมาในรูปของ พระภิกษุ  ท่านมายืนยันในเจตนาที่ท่านให้สร้างพระวังหน้าขึ้น (เรื่องนี้ผมเคยเล่าไปแล้ว)
.
ความรู้เดิมที่ผมเคยได้รับทราบมา เวลาที่กราบไหว้หลวงปู่ฯ จะใช้คำไหว้ ดังนี้
โลกุตตะโร จะมหาเถโร อะหังวันทามิ ตังสะทา
เมตตาลาโภ นะโสมิยะ อะหะพุทโธ
.
แต่ท่านอาจารย์ประถมฯ ท่านบอกผมว่า หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร ท่านไม่ได้มาองค์เดียว แต่ท่านมาเป็นคณะ นั่นก็คือ คณะพระธรรมทูต คณะโสณะอุตระ ที่เป็นคณะพระธรรมทูตที่มาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิเป็นคณะแรก และแกนหลักของคณะโสณะอุตระ มีพระภิกษูสงฆ์ 5 รูป  ดังนั้น เวลาที่กราบไหว้หลวงปู่ฯ  ให้กราบหลวงปู่ฯที่เป็นแกนหลักทั้ง 5 รูป จะดีที่สุด
.
พระเจ้าอโศกมหาราช  ได้ทรงกระทำตติยสังคายนาพระไตรปิฎก แล้วอาราธนาพระมหาโมคคัลลีปุตตติสสเถระเป็นประธานคัดเลือกพระธรรมทูต และได้เลือกพระโสณะ พระอุตระ พระมูนิยะ พระฌาณิยะ พระภูริยะ อีกทั้งพรามณ์ , อุบาสก และอุบาสิกา รวม 38 คน เป็นคณะพระธรรมทูตมายังสุวรรณภูมิประเทศ
.
ผมจึงใช้คำไหว้หลวงปู่ ตามคำไหว้ ดังนี้
โลกุตตะโร ปัญจะมหาเถโร อะหังวันทามิ ตังสะทา
เมตตาลาโภ นะโสมิยะ อะหะพุทโธ
.
หลังจากที่ผมได้พบกับท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ที่ผมเคารพท่านเป็นญาติผู้ใหญ่ และ เป็นครูบาอาจาย์ ผมการันตีได้ว่า ท่านเป็นผู้ที่รู้เรื่องประวัติที่ถูกต้องของ หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร และ ท่านเป็นผู้ที่รู้เรื่องพระวังหน้ามากที่สุด ที่ผมการันตีได้ว่า ท่านเป็นผู้รู้อันดับ 1 ของโลกในปัจจุบันนี้ และท่านได้เสียชีวิตไปแล้ว)  ทำให้ผมได้พบกับ บุคคลที่ผมนับถือเป็นครูบาอาจาย์ ที่ผมสามารถการันตีได้ว่า ท่านเป็นผู้รู้อันดับ 2 ของโลกในปัจจุบัน (ปัจจุบันท่านยังมีชีวิตอยู่ แต่ขอไม่เปิดเผยชื่อ)
.
ผมได้พบกับ พระภิกษุ 2 รูป ที่ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
.
รูปแรก คือ พระอาจารย์ณริชธันร์ ศรีอิทธิมนต์ (ปัจจุบันท่านเป็นเจ้าอาวาส วัดป่าภัทรปิยาราม ต.โคกตูม อ.เมือง จ.ลพบุรี)  ตอนที่ผมรู้จักท่านครั้งแรก ท่านเป็นฆราวาส  แต่ต่อมาท่านได้บวชเป็นพระภิกษุ  ผมเองได้ติดตามและร่วมทำบุญในวาระงานบุญต่างๆของท่านอยู่เสมอ อีกทั้งถ้ามีโอกาส ผมเดินทางไปกราบท่านอยู่บ่อยครั้ง
.
รูปที่สอง คือ พระอาจารย์ธวัชชัย ชาครธมฺโม (หลวงพี่นิล) (ปัจจุบันท่านอยู่ที่ อาศรมศรีชัยรัตนโคตร ต.พังขว้าง อ.เมืองสกลนคร จ.สกลนคร  ตอนที่ผมรู้จักท่านครั้งแรก  ท่านไปหาผมที่บ้านท่านอาจารย์ประถมฯ  ท่านไป 2 ครั้ง แต่ก็ไม่ได้เจอกับผม เนื่องจากวันที่ท่านไป  ผมไม่ได้ไปหาท่านอาจารย์ประถมฯ  แต่ท่านได้อธิษฐานขอให้ได้พบกับผม  ในครั้งที่ 3 ผมได้พบกับหลวงพี่นิล ที่บ้านท่านอาจารย์ประถมฯ  ท่านบอกว่า ให้ผมไปช่วยบอกบุญในวาระการสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ต.ตลาดแร้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ  ผมจึงได้ไปช่วยท่านบอกบุญ และร่วมทำบุญ จนกระทั่งการสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งจนเสร็จ
.
แต่ในระหว่างที่บอกบุญการสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง  ได้มีงานบุญอื่นๆ ที่ผมได้ช่วยท่านบอกบุญ  เช่น งานกฐินตกค้างพระราชทาน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ งานกฐินพระราชทาน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้  ที่เป็นงานบุญที่ใหญ่มาก โดยงานครั้งแรกเริ่มในปี 2553  จนถึงปี 2559  (และโอกาสที่ไม่สามารถหาได้อีกแล้วในชีวิต คือ ปี 2557 , 2558 และ 2559 ผมได้มีโอกาสถือผ้าไตรพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (หรือ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช) ) เป็นต้น
.
ต่อมาเมื่อประมาณเดือนเมษายน 2558 ผมได้ไปช่วยหลวงพี่นิล ในการสร้างอาศรมศรีชัยรัตนโคตร  ที่ปัจจุบัน ผมยังคงช่วยบอกบุญและร่วมทำบุญในวาระงานบุญต่างๆของอาศรมศรีชัยรัตนโคตร
.
อีกเรื่องที่สำคัญก็คือ  ผมได้พบกับ กัลยาณมิตรที่ดี ที่ร่วมทำบุญกันในหลายๆงานบุญ  ที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันตลอดมา และ ได้ร่วมกันเผยแพร่ประวัติที่ถูกต้องของหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร และ พระวังหน้า
.
ผมและกัลยาณมิตร  ได้ร่วมกันตั้งชมรมพระวังหน้าขึ้น เพื่อเผยแพร่ความรู้ที่ถูกต้องในเรื่องราวที่ถูกต้องของพระวังหน้า โดยตั้งชมรมพระวังหน้าขึ้นเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2553
.
sithiphong
Noom Wangna
20 กุมภาพันธ์ 2564
.
#พระอุตระเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ดำ
.
#พระโสณะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ตีนโต
.
#พระมูนียะเถระเจ้า  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เทพโลกอุดร  หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เดินหน  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ในดง  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่โพรงโพธิ์
.
#พระฌาณียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี
.
#พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
.
#หลวงปู่เทพโลกอุดร
.
#คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ
.
#หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ
.
#อาจารย์ประถมอาจสาคร
.
#ชมรมพระวังหน้า
.
#พระวังหน้า
.
ที่มาของรูป
รูปคณะพระธรรมทูต คณะโสณะอุตระ ผู้วาดคือ คุณสุกิจ เยี่ยงอร่ามกุล
รูป(วาด)หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ผู้วาดไม่ทราบชื่อ เป็นลูกศิษย์ท่านหนึ่งของพันเอกชม สุคันธรัตน์
ขอขอบพระคุณท่านผู้วาดทั้งสองท่าน
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 28, 2021, 08:56:55 pm
ควันหลงจากทริปงานบุญ 3 วัด ในวันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2564
.
ทริปงานบุญนี้ ผมได้นำคำถามที่ได้จัดเตรียมไว้ก่อนหน้า  ที่นำไปขอความรู้ในทางธรรมะ  กับ พระสงฆ์ 
ที่แต่เดิม  ผมใช้การตั้งคำถามที่นั้นเลย 
ผมจะเขียนมาเฉพาะที่ผมลงแล้วจะได้ประโยชน์กับท่านผู้อ่านเป็นสำคัญ
.
การสนทนาธรรมะกับพระอาจารย์ชนินทร์ วัดป่าถ้ำเสือ (จ.ลพบุรี)
.
เรื่องแรก การที่คนเราเกิดมาในภพชาตินี้แล้วได้มาพบกัน  เป็นเรื่องที่เราได้เคยพบกันมาก่อนในอดีตชาติ  สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้ในเรื่อง อภิณหปัจจเวกขณ์ คนเรามีกรรมเป็นแดนเกิด , มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ , มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมใดไว้ต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้น 
.
หมายเหตุ อภิณหปัจจเวกขณ์  อธิบายเพิ่มเติม (เพิ่มจากในส่วนที่พระอาจารย์ชนินทร์ท่านให้ธรรมะมา)
ชราธัมโมมหิ  ชะรัง อะนะติโต เรามีความแก่เป็นธรรมดา  จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้
พะยาธิธัมโมมหิ  พะยาธิง  อะนะตีโต เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา  จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้
มะระณะธัมโมมหิ  มะระณัง  อะนะตีโต เรามีความตายเป็นธรรมดา  จะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้
สัพเพหิ  เม  ปิเยหิ  มะนาเปหิ  นานาภาโว  วินาภาโว เราจักพลัดพรากจากของที่รัก ของชอบใจทั้งหลาย
กัมมัสสะโกมหิ  กัมมะทายาโท เรามีกรรมเป็นของๆตน  เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น
กัมมะโยนิ   กัมมะพันธุ เรามีกรรมเป็นแดนเกิด  เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธ์
กัมมะปะฏิสะระโน   ยัง กัมมัง กะริสสามิ เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย  เราทำกรรมอันใดไว้
กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา เป็นกรรมดีก็ตาม  เป็นกรรมชั่วก็ตาม
ตัสสะ  ทายาโท  ภะวิสสามิ เราจักต้องเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น
เอวัง  อัมเหหิ  อะภิณหัง  ปัจจะเวกขิตัพพัง เราทั้งหลายพึงพิจารณาเนืองๆอย่างนี้แล.
จบอธิบายเพิ่มเติมในส่วน อภิณหปัจจเวกขณ์ (เพิ่มจากในส่วนที่พระอาจารย์ชนินทร์ท่านให้ธรรมะมา)
.
ในการรู้จักกับบุคคลใดก็ตาม หากยิ่งมีคุณธรรมมากเท่าไหร่  แสดงว่า เรายิ่งมีความผูกพันธ์กับบุคคลนั้นมาก และ ต้องรู้จักกันในอดีตชาติ  ยกตัวอย่าง  เช่น ผู้ชาย กับ ผู้หญิง ที่แต่ละคนอยู่กันคนละสถานที่ ได้มาพบกัน  มาแต่งงานกัน  นั่นคือ ทั้งสองคน ต้องมีความผูกพันธ์กันมาในอดีตชาติ จึงส่งผลมาให้ได้พบกัน  เมื่อแต่งงานแล้ว มีลูก  หากมีลูกหลายๆคน   ลูกแต่ละคนก็มีนิสัยไม่เหมือนกัน  ทั้งๆที่มีพ่อแม่คนเดียวกัน  แต่เนื่องจากมนุษย์มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์  จึงต้องมาเจอกัน มาเป็นพ่อแม่พี่น้อง  ส่วนนิสัยของแต่ละคน  เป็นเรื่องของความละเอียดปราณีตในกรรมของแต่ละคนที่สร้างมาไม่เท่ากัน จึงส่งผลให้การประพฤติของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ลูกบางคนช่วยพ่อแม่ตนเองอย่างเต็มที่ ลูกบางคนมาล้างผลาญพ่อแม่  การกระทำเหล่านี้ เกิดจากกรรมของแต่ละคน
.
เรื่องที่สอง  คนที่ไปด่าพ่อแม่ของคนอื่น
คนในปัจจุบันนี้ มีการผิดในเรื่องของวาจากันมาก  เหตุที่เกิดมา  มาจากจิต(ความคิด)ของตนเอง เปลี่ยนมาเป็นพฤติกรรม  จากพฤติกรรมที่ทำซ้ำๆจนเป็นอุปนิสัย  จากอุปนิสัยที่ทำซ้ำๆจนเป็นสันดาน  ทุกอย่างเกิดจากความคิดทั้งนั้น 
คนที่ไปด่าพ่อแม่ของคนอื่น ในขณะที่กระทำ  กระทำด้วยจิตที่เศร้าหมอง  ตนเองก็ร้อน(อยู่ในใจ)  และคนที่กระทำเป็นคนที่จิตไม่บริสุทธิ์  อีกทั้งเป็นการกระทำพร้อมด้วย กาย วาจา ใจ  ครบองค์ประกอบในการกระทำกรรมที่จะส่งผลบริบูรณ์ในภายภาคหน้า
ส่วนคนที่ถูกด่าพ่อมแม่แล้วไม่ด่ากลับไป  เป็นคนที่มีสติมากกว่า
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า คนที่ด่าเราแล้วเราด่ากลับ เราเลวกว่าคนที่ด่าเราอีก
.
อธิบายเพิ่มเติม (เพิ่มจากในส่วนที่พระอาจารย์ชนินทร์ท่านให้ธรรมะมา)
ถ้ามีคนด่าเรา แล้วเราไม่รับคำด่า แล้วจะให้ผลเช่นไร?
ในสมัยพุทธกาลมีพราหมณ์ผู้หนึ่งที่แค้นเคืองพระพุทธองค์ เมื่อพบหน้าก็ตรงเข้าด่าทอ
พระองค์ทันที เมื่อพราหมณ์พูดจบ พระองค์ตรัสว่า
“พราหมณ์เอ๋ย ท่านมีผองเพื่อน หรือญาติมิตรหรือไม่”
“มีซิ เราไม่ใช่คนไร้ญาติขาดมิตร”พราหมณ์ตอบ
พระพุทธองค์ “แล้วท่านให้อะไรต้อนรับผู้มาเยือน”
“ก็เอานำดื่มและของกินต้องนรับ” พราหมณ์ตอบ
พระพุทธองค์ “ถ้าแขกของท่านไม่ทาน ของเหล่านั้นจะตกเป็นของใคร”
“ก็เรานะซิ” พราหมณ์ตอบ
พระพุทธองค์”เฉกเช่นเดียวกัน ท่านด่าทอเรา เราไม่รับคำด่าท่าน คำ
พูดนั้นย่อมตกเป็นของท่านเอง”
พราหมณ์สำนึกผิดว่าตนด่าผู้ไม่สมควรด่าจึงได้รับพระรัตนตรัยและทูลขอ
บวชในพระพุทธศาสนาในที่สุด
ผู้โกรธตอบคนด่า…นับว่าแย่ยิ่งกว่าคนด่าเสียอีก
ผู้ไม่โต้ตอบคนด่า…นับว่าชนะสงครามที่ชนะยากที่สุด
เพราะฉะนั้นเมื่อเราเจอเหตุการณ์แบบนี้ จึงต้องรู้จักคำว่า”ให้อภัย”คิดเสีย
ว่าเขายังไม่เข้าใจและลืมไปเสีย หากเราทำเช่นนี้ได้โดยไม่ติดขัดใด ๆ
ในใจอย่างสิ้นเชิง แม้จะเจอคนที่ด่าเราก็ไม่มีความคิดโกรธแค้นใดๆผุด
ขึ้นมา เช่นนี้ จึงว่าเป็น”บุคคลผู้สูงค่าและน่าถือยิ่งนัก”
ที่มา dhamma.serichon.us
จบคำอธิบายเพิ่มเติม (เพิ่มจากในส่วนที่พระอาจารย์ชนินทร์ท่านให้ธรรมะมา)
.
การกระทำของบุคคลที่ทำนั้น จิตของผู้กระทำเก็บข้อมูลที่กระทำไว้ทั้งหมด  (เหมือนกับการบันทึกเทป)  เช่น สมัยเด็ก อาจจะเคยขโมยเงินพ่อแม่มา  พอผ่านมาหลายปี ทั้งๆที่เราเองได้ลืมไปแล้ว  แต่อยู่ดีๆก็ผุดเรื่องนั้นขึ้นมา (ทำไมไม่ลืม) เพราะจิตใต้สำนึกเก็บข้อมูลไว้หมด
เวลาก่อนตาย  หากยังไม่เป็นพระอรหันต์  จิตใต้สำนึกที่เคยบันทึกการกระทำไว้  ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว  จิตใต้สำนึกนั้นเป็นผู้ที่พาคนที่ตาย  ไปในภพภูมิตามที่ตนกระทำไว้เสมอ
.
ส่วนจิตของคนที่ยังไม่ได้ตาย  ในแต่ละช่วงขณะ  ถึงแม้ว่ายังไม่ตาย สามารถเป็นได้ทุกอย่างตามในแต่ละวัน อยู่ที่การกระทำของตนเอง
เป็นสัตว์เดรัชฉานก็ได้ เช่น พ่อข่มขืนลูก , อาจารย์ข่มขืนลูกศิษย์  เหมือนกับหมา  เมื่อหมาคลอดลูกออกมาแล้ว เลี้ยงลูกจนโต  เมื่อลูกมันโตแล้ว มันก็กลับไปผสมพันธ์กับพ่อหรือแม่ของมัน 
เป็นเปรต หรือ อสูรกายก็ได้  เช่น การมีความโลภอย่างไม่สิ้นสุด
เป็นมนุษย์ก็ได้ จิตของมนุษย์สูงกว่าจิตของสัตว์เดรัชฉาน รู้ผิดชอบชั่วดี
เป็นเทวดาก็ได้  เพราะเทวดามีหิริโอตัปปะเป็นคุณธรรมประจำตัว (หิริ คือ ความละอายแก่ใจในการทำบาป ส่วน โอตัปปะ หรือ ความเกรงกลัวต่อบาป)
เป็นพรหมก็ได้  เพราะ พรหมมีพรหมวิหาร 4 เป็นคุณธรรมประจำตัว (พรหมวิหาร แปลว่า ธรรมของพรหมหรือของท่านผู้เป็นใหญ่  มี 4 ข้อคือ 1. เมตตา หมายถึง ความปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับสุข 2.กรุณา หมายถึง ความปราถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ 3.มุทิตา หมายถึง ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี และ 4.อุเบกขา หมายถึง การรู้จักวางเฉย
.
บุคคลเลือกว่าจะเป็นอะไรก็ตาม (ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เดรัชฉาน , เปรต , อสูรกาย , มนุษย์(คน) , เทวดา หรือพรหม)  จิตใต้สำนึกเป็นผู้ที่บันทึกข้อมูลที่กระทำไว้ทั้งหมด  ถ้าบุคคลใดที่มีความเข้าใจ ก็สามารถที่จะเตือนตนเอง ว่า อย่าเผลอให้ความไม่ดีเข้ามาในใจ  แต่อย่างไรก็ตาม  บุคคลปกติที่ไม่มีสติ และ สัมปชัญญะ  ในบางวันจิตก็แพ้ความไม่ดีได้
เมื่อจิตของเรามี สติ(ความระลึกได้ ความนึกขึ้นได้ ความไม่เผลอ ฉุกคิดขึ้นได้ การคุมจิตไว้ในกิจ) และ สัมปชัญญะ(ความระลึกรู้ตัวอยู่เสมอ, ความไม่เผลอตัว) มากพอ  ตัวเราเองสามารถชนะกิเลสได้  แต่เมื่อใดที่จิตของเราอ่อนแอ  เราแพ้กิเลสได้เช่นกัน 
ดังนั้น เราต้องระมัดระวังจิตของตนเอง  ให้จะทำอะไรก็ช่างเขา  แต่เราปฎิบัติตัวเราให้ดีขึ้น
.
เรื่องที่สาม เรื่องของการพิจารณาการขึ้นเงินเดือนและการจ่ายโบนัส ของหน่วยงานต่างๆ ทั้งหน่วยงานราชการ , รัฐวิสาหกิจ และ บริษัทห้างร้านต่างๆ
.
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสอนในเรื่อง อคติ 4 (อธิบายไว้ด้านล่างของเรื่องนี้)  คนที่มีกิเลส และ ความไม่ยุติธรรม เป็นคนที่มีอคติ 4 เป็นพื้นฐาน
ผลที่ได้รับคือ คุณธรรมของตนเองไม่สูง วาสนาไม่เจริญก้าวหน้า จะเป็นอยู่ในลักษณะนี้ และเป็นมาหลายๆภพชาติแล้ว  อีกทั้งปัญญาน้อย และ มีคุณธรรมน้อย
ถ้าคนที่มีสติปัญญามาก มีคุณธรรมมาก เป็นคนที่วางจิตให้เป็นกลางได้ดี ตามงานที่เกิดขึ้นจริง โดยเป็นไปตามหลักธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
.
ส่วนผลที่ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ได้รับผลจากการพิจารณาในการขึ้นเงินเดือนและการจ่ายโบนัสที่ไม่เป็นธรรม  คือ มีความน้อยใจ , ความโกรธ และ ประชด  ในเรื่องของการน้อยใจ หรือ โกรธ สามารถเกิดได้กับทุกคน แต่อย่าให้ถึงกับการประชด (อย่าขาดสติ) เพราะการประชดนั้น บางครั้งอาจจะถึงกับการฆ่าตัวตาย หรือ ไปฆ่าบุคคลที่เกี่ยวข้องได้  ในเรื่องนี้จำเป็นมากสำหรับ การมีสติและสัมปชัญญะให้มาก
.
อีกเรื่องก็คือ คนที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นผู้บังคับบัญชา หรือ ผู้ใต้บังคับบัญชา  ผลของการกระทำทุกอย่าง จิตเก็บบันทึกข้อมูลไว้ทั้งหมด และ จิตเป็นผู้ที่นำพาตนเองไปตามวิบากกรรมที่ได้กระทำไว้นั่นเอง
ในเรื่องของการกระทำของบุคคล  มีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท คือ
1.เคยกระทำกรรมต่อกันมาในอดีต
2.มากระทำกรรมใหม่ในปัจจุบัน
.
หมายเหตุ อคติ 4   อธิบายเพิ่มเติม (เพิ่มจากในส่วนที่พระอาจารย์ชนินทร์ท่านให้ธรรมะมา)
อคติ 4 ประการ และแนวทางการละอคติ
อคติ 4 หมายถึง วิถีในทางที่ผิดหรือการดำเนินไปในทางที่ผิด ทั้งนี้ อันเกิดจากทัศนะหรือความคิดเห็นในทางที่ผิด ซึ่งต่อมาจึงใช้คำให้เข้าใจง่ายเป็น ความลำเอียง หรือ ความไม่เที่ยงธรรม ประกอบด้วย 4 ประการ คือ
1. ฉันทาคติ คือ ความลำเอียงเพราะชอบพอ
2. โทสาคติ คือ ความลำเอียงเพราะโกรธหรือชิงชัง
3. โมหาคติ คือ ความลำเอียงเพราะหลง หรือ ความลำเอียงเพราะความเขลา
4. ภยาคติ คือ ความลำเอียงเพราะกลัว
อคติ 4 เป็นธรรมสำหรับปุถุชนทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่เป็นผู้นำ เป็นหัวหน้า ผู้ที่ทำหน้าที่ฝ่ายปกครอง หรือเป็นข้าราชการ เพราะธรรมเหล่านี้ เป็นสัจจะความจริงที่มักเกิดขึ้นกับบุคคลเหล่านี้ และมีผลอย่างมากต่อการบริหารงาน ต่อการปกครอง และความสงบสุขของสังคม
ผู้นำ หัวหน้างานหรือฝ่ายปกครองที่ละเว้นจากอคติ 4 ประการนี้ได้ ย่อมทำให้ลูกน้อง ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือประชาชนเกิดความสุข อันส่งผลต่อความเจริญของสังคม และความสงบสุขของสังคมตามมา
อคติ มาจากภาษาบาลี คำว่า
อะ หมายถึง ผิด, ไม่, ไม่ถูกต้อง, ไม่ดีงาม, ไม่สมควร
คติ หมายถึง วิถี, แนวทาง, สิ่งที่เป็นไป, การดำเนินไป, ความเป็นไป, การตอบสนอง, การแสดงออก
คติ มีความแตกต่างกับ ทัศนะ คือ
ทัศนะ หมายถึง ความเห็น, ความคิดเห็น, มุมมอง ส่วน คติ หมายถึง ดังข้างต้น ดังนั้น ทัศนคติ จึงหมายถึง การแสดงออก หรือ วิถีที่ดำเนินไปอันเกิดจากความคิดหรือความเห็น
ความหมายที่ครอบคลุมของอคติ
– วิถีในทางที่ผิด
– แนวทางที่ผิด
– สิ่งที่เป็นไปในทางที่ไม่ดีงาม
– การดำเนินไปในทางที่ผิด
– ความลำเอียง
– ความไม่เที่ยงธรรม
– ความไม่เป็นกลาง
ความหมายของอคติแต่ละประการ
1. ฉันทาคติ คือ ความลำเอียงเพราะชอบพอ
ฉันทาคติ มาจากคำว่า ฉันทะ + อคติ
ฉันทะ หมายถึง ความชอบใจ หรือ ความพอใจ
2. โทสาคติ คือ ความลำเอียงเพราะโกรธหรือชิงชัง
โทสาคติ มาจากคำว่า โทสะ + อคติ
โทสะ หมายถึง ความโกรธ
ปัจจัยที่ก่อเกิดความโกรธหรือชิงชังในคัมภีร์ปริวาร
– โกรธเพราะได้ทำแล้วซึ่งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์หรือก่อโทษแก่ตนเอง
– โกรธเพราะกำลังทำซึ่งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์หรือก่อโทษแก่ตนเอง
– โกรธเพราะคิดจะทำซึ่งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์หรือก่อโทษแก่ตนเอง
– โกรธเพราะได้ทำแล้วซึ่งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์หรือก่อโทษแก่คนที่ตนรัก
– โกรธเพราะกำลังทำซึ่งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์หรือก่อโทษแก่คนที่ตนรัก
– โกรธเพราะคิดจะทำซึ่งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์หรือก่อโทษแก่คนที่ตนรัก
– โกรธเพราะได้ทำแล้วซึ่งประโยชน์ต่อผู้ที่ตนชิงชัง
– โกรธเพราะกำลังทำซึ่งประโยชน์ต่อผู้ที่ตนชิงชัง
– โกรธเพราะคิดจะทำซึ่งประโยชน์ต่อผู้ที่ตนชิงชัง
3. โมหาคติ คือ ความลำเอียงเพราะหลง หรือ ความลำเอียงเพราะความเขลา
โมหาคติ มาจากคำว่า โมหะ + อคติ
โมหะ หมายถึง ความหลง ความลุ่มหลง
4. ภยาคติ คือ ความลำเอียงเพราะกลัว
ภยาคติ มาจากคำว่า ภยะ + อคติ
ภยะ หมายถึง ความกลัว ความหวาดหวั่น หรือ มักเรียกกลายเป็นศัพท์ว่า ภัย
แนวทางการละอคติ 4
1. ไม่คบคนพาล
2. จักกสูตร 4 ประการ
– อยู่ในประเทศอันสมควร หมายถึง อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเป็นคนดี
– การคบสัตบุรุษ
– การตั้งตนไว้ชอบ คือ ยึดมั่นในการประพฤติตนให้เป็นคนดีอย่างสม่ำเสมอ
– ความเป็นผู้มีบุญที่ทำไว้ในปางก่อน คือ เชื่อถือในความดีงามที่ทำมาว่าจะเกิดกุศลกรรมที่ดีงามต่อเราในภพนี้ และภพหน้า
3. สัมมาทิฏฐิ คือ ตั้งมั่นในความเห็นชอบ
4. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ พิจารณาสภาพจิตของตนเอง
5. กุศลวิตก 3 คือ การตรึกตรองถึงสิ่งที่เป็นกุศล 3 อย่าง คือ
– การตรึกตรองที่เว้นจากกาม
– การตรึกตรองที่เว้นจากพยาบาท
– การตึกตรองที่เว้นจากการเบียดเบียน
6. สาราณียธรรม 6
7. พรหมวิหาร 4
ที่มา thaihealthlife
จบอธิบายเพิ่มเติม (เพิ่มจากในส่วนที่พระอาจารย์ชนินทร์ท่านให้ธรรมะมา)
.
รักษาธรรม ธรรมรักษา
Noom Wangna
Noom Sithiphong Wangna
ผู้เขียน ที่ได้เรียบเรียงจากการสนทนาธรรมะกับพระอาจารย์ชนินทร์ วัดป่าถ้ำเสือ จ.ลพบุรี
บทความ ไม่สงวนลิขสิทธิ์
#พระอาจารย์ชนินทร์เขมจาโร
#วัดป่าถ้ำเสือ
#ชมรมพระวังหน้า
#คณะพระวังหน้า
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 05, 2021, 05:16:07 pm
.
สวัสดียามเย็น ในวันเสาร์สุขสันต์
.
มาชมพระที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย (อายุพระประมาณ 3 - 400 ปี)
.
พิมพ์นี้ เป็นพิมพ์พระพุทธประทับบนสัตว์
.
ทางวังหน้า และ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค นำพิมพ์ไปใช้ในการสร้างพระของท่าน
#หลวงพ่อปานวัดบางนมโค
.
ตามลิงค์ ครับ
https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/photos/a.1504006849889912/2757409404549644/ (https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/photos/a.1504006849889912/2757409404549644/)
.
https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/photos/pcb.2757355237888394/2757353404555244/ (https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/photos/pcb.2757355237888394/2757353404555244/)
.
.
.
.
รูปสงวนลิขสิทธิ์
.
ผมอนุญาตเฉพาะการนำข้อมูลไปใช้เพื่อการศึกษาเท่านั้น
.
ผมไม่อนุญาตให้นำข้อมูลไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการซื้อขายพระวังหน้า , พระสมเด็จวังหลวง , พระสมเด็จวัดระฆัง และ ซื้อขายพระเครื่องต่างๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อมโดยเด็ดขาด
.
ผมไม่อนุญาตให้นำข้อมูลไปใช้เพื่อโชว์ว่า ตนเองเป็นกูรู ทั้งๆที่เป็น #กูรูเก๊
.
ผมไม่อนุญาตให้คัดลอกด้วยวิธีการต่างๆ และไม่อนุญาตให้แชร์ไปยังสื่อออนไลน์ทุกประเภท
.
#หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ดำ
.
#หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ตีนโต
.
#หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เทพโลกอุดร หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เดินหน หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ในดง หรืออีกชื่อ #หลวงปู่โพรงโพธิ์
.
#หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี
.
#หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์
.
#หลวงปู่เทพโลกอุดร
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
.
#คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ
.
#สมเด็จพระพุฒาจารย์โตพรหมรังสี
.
#หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ
.
#ชมรมพระวังหน้า
.
#พระวังหน้า
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มิถุนายน 06, 2021, 03:06:29 pm
.
⭐ ⭐ ⭐ ขอเรียนเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพ ⭐ ⭐ ⭐
.
⭐ ก่อสร้างส่วนองค์เจดีย์เหนืออุโบสถวัดป่าภัทรปิยาราม ⭐
.
???? ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้สิทธิ์ผู้ที่จองและชำระเงินก่อน ????
.
???? รับวัตถุมงคลที่ระลึก ได้วันอาทิตย์ที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๖๔ ????
???? ???? ????
.
ตามลิงค์ ด้านล่าง ครับ
.
https://www.facebook.com/aruno.lokuttara/posts/1787392401440397 (https://www.facebook.com/aruno.lokuttara/posts/1787392401440397)
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 03, 2021, 07:19:39 am
.
ศีลเสมอกัน..จึงคบกันยืนยาว คบคนแบบไหน.. ก็เป็น คนแบบนั้น
.
โพสโดย บุรุษ นิรนาม
โพสลงกลุ่ม ชีวิตคิดบวก แบบธรรมดา
.
30 มิถุนายน 2564 เวลา 18:11 น.  ·
.
“ #ศีลเสมอกัน..จึงคบกันยืนยาว ”
คบคนแบบไหน..
ก็เป็น “ คนแบบนั้น ”
.
...“ ผึ้ง ”... ????
ก็ไม่เคยชวนแมลงวัน
..ไปตอมดอกไม้
.
และ...“ แมลงวัน ”...
ก็ไม่เคยไปกินน้ำหวาน
..ในดอกไม้กับผึ้ง
.
.,, “ แมลงวัน ”,..
ตอมของเสีย
ก็ไม่เคยกินใบไม้
.., เหมือนผีเสื้อ ..,
.
ถ้าคุณ..อยู่กับ “ คนใจกว้าง ”
คุณ..จะมี “ สังคมที่กว้างมากยิ่งขึ้น ”
.
ถ้าคุณ..อยู่กับ “ นักปราชญ์ ”
คุณ..จะมี “ ความรู้มากยิ่งขึ้น ”
.
ถ้าคุณ..อยู่กับ “ คนบุญ ”
คุณ..จะเกิด “ จิตเมตตามากยิ่งขึ้น ”
.
ถ้าคุณ..อยู่กับ “ คนกล้าหาญ ”
คุณ..จะ “ แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ”
.
ถ้าคุณ..อยู่กับ “ คนมองโลกในแง่ดี ”
คุณ..จะ “ มีความสุขมากยิ่งขึ้น ”
.
ถ้า “ ศีล ” ไม่เสมอกัน ก็..อยู่ร่วมกันไม่ได้
ต้องพวกเดียวกัน คุยเรื่องเดียวกัน
.
ถึงอยู่กันได้ คนแบบเดียวกัน..
.., ดึงดูดพวกเดียวกัน .. ,
.
“ ชอบแว้น ” เขา..ก็ไปจับกลุ่มซิ่งรถ
“ ชอบเข้าวัด ” ก็ชวนกันไป..
นุ่งขาวห่มขาว ปฎิบัติธรรม
.
ทำเรื่อง .. ที่ชอบเหมือนกัน
คุยเรื่อง .. ที่ชอบเหมือนกัน
เราสนิทชิดเชื้อ.. กับคนแบบไหน..?
นั่น..!! แปลว่า “ เราเป็นคนแบบนั้น ”
เราคุย, เราคบ กับคนแบบไหน..?
แล้ว “ สบายใจ ” ไม่อึดอัดใจ ...
.
ให้รู้ไว้เลยว่า ...
เรา..กำลังจะกลายเป็นพวกเดียวกับเขา
.
“ แมลงวัน ” มันไม่ชวนกัน..ไปกินน้ำหวาน
กินเกสรดอกไม้สวยๆ หรอก ...
.
มัน..ชวนกันไปกิน แต่ของเหม็น-เน่าเสีย
พวกเดียวกัน..!! มัน..จะชวนกันทำในสิ่ง
... ที่มันชอบเหมือนกัน, คิดเหมือนกัน
ไม่มีใคร “ ตักเตือน ” กันได้
.
เพราะ... ชอบเหมือนกัน
.
ถ้าอยากรู้ว่า “ ใครเป็นคนแบบไหน..?
ให้ดูคนที่เขาคุยด้วย..คบด้วยสนิทด้วยก็รู้ ”
เพราะ...ถ้าไม่ใช่พวกเดียวกัน..!!
.
“ ศีลไม่เสมอกัน มันคบกันไม่ได้หรอก ”
เชื่อไหมว่า .....
.
“ คุณคือค่าเฉลี่ยคน 5 คน ที่คุณคลุกคลี
และ..ใช้เวลาอยู่ร่วมด้วยมากที่สุด ”
.
ลองมองดู 5 คน...ในชีวิต
ที่คุณ..ใช้เวลาอยู่ด้วยมากที่สุด ในแต่ละวันซิ
คุณ “ ได้รับอิทธิพล” มาจากพวกเขา ไม่มากก็น้อย
.
ถ้าคุณอยู่กับใคร คุณ..ก็จะได้เป็นสิ่งนั้น
อยากเป็น “ ผึ้ง ” หรือ “ แมลงวัน ”
.
???? คุณ...เป็นคนเลือกเอง
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 26, 2021, 01:41:29 pm
.
หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร ( คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตตระ ที่มาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ จากการที่ พระเจ้าอโศกมหาราช ได้อาราธนามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ) ในสายที่ 8 จาก 9 สายของคณะพระธรรมทูตที่พระเจ้าอโศกมหาราชได้อาราธนามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆ  ข้อมูลจาก หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย เขียนโดย พระราชกวี (อ่ำ ธมมทตโต) วัดโสมนัสวิหาร กรุงเทพมหานคร
.
หมายเหตุ  ในหนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย เขียนโดย พระราชกวี (อ่ำ ธมมทตโต) วัดโสมนัสวิหาร กรุงเทพมหานคร เขียนคำว่า สุวัณณภูมิ  แต่ในที่นี้ ผมขอใช้คำว่า สุวรรณภูมิ แทน เนื่องจากน่าจะเข้าใจกันได้ง่ายกว่า)
.
พระอุปัชฌาย์ของคณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตตระ คือ พระมหาโมคคัลลีปุตตติสสเถร ที่ท่านเป็นผู้เลือกคณะโสณะอุตตระ มาเป็นคณะพระธรรมทูตมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ
(พระมหาโมคคัลลีปุตตติสสเถร เป็นพระอุปัชฌาย์ของ พระโสณะเถระเจ้า , พระอุตตระเถระเจ้า , พระมูนียะเถระเจ้า , พระฌาณียะเถระเจ้า และ พระภูริยะเถระเจ้า)
(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 428)
.
คณะคณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตตระ เดินทางมาโดยทางเรือ  มาถึงถิ่นสุวรรณภูมิที่เมืองทอง (ไม่ทราบว่า อยู่ในจังหวัดไหน) เมื่อเดือนอ้าย ขึ้น 14 ค่ำ ปีพุทธกาล 235 (ปีไทยฉลู)  โดยอยู่ที่วัดปุณณาราม
(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 439)
.
พระโสณะเถระเจ้า ท่านมรณภาพ (นิพพาน) วันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 6 ปีพุทธกาล 264
เข้าชุมไฟ (การประชุมเพลิง) วันแรม 8 ค่ำ เดือน 6 ปีพุทธกาล 264
มีการเก็บธาตุ ด้านหน้าพระพุทธรูป ที่ พระอุโบสถ วัดศรีมหาธาตุแดนลว้า
(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 497)
.
พระฌาณียะเถระเจ้า ท่านมรณภาพ (นิพพาน)  วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 8 ปีพุทธกาล 278
เข้าชุมไฟ (การประชุมเพลิง) วันแรม 15 ค่ำ เดือน 8 ปีพุทธกาล 278
มีการเก็บธาตุ ที่ วัดศรีมหาธาตุแดนลว้า
(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 506 - 507)
.
พระอุตตระเถระเจ้า ท่านมรณภาพ (นิพพาน)  วันขึ้น 11 ค่ำ เดือน 12 ปีพุทธกาล 287
เข้าชุมไฟ (การประชุมเพลิง) วันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 1 ปีพุทธกาล 288
มีการเก็บธาตุ ที่ วัดศรีมหาธาตุแดนลว้า
(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 510)
หมายเหตุ ปีพุทธกาล 288 ผมนับจากวันที่พระอุตตระเถระเจ้า ท่านมรณภาพ(นิพพาน) คือ อยู่ในเดือน 1 ครับ
.
พระภูริยะเถระเจ้า ท่านมรณภาพ (นิพพาน)  วันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 3 ปีพุทธกาล 295
เข้าชุมไฟ (การประชุมเพลิง) วันขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5 ปีพุทธกาล 295
มีการเก็บธาตุ ที่ วัดศรีมหาธาตุแดนลว้า
(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 511)
.
พระมูนียะเถระเจ้า ท่านมรณภาพ (นิพพาน)  วันขึ้น 4 ค่ำ เดือน 5 ปีพุทธกาล 298
เข้าชุมไฟ (การประชุมเพลิง) วันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 6 ปีพุทธกาล 298
มีการเก็บธาตุ ที่ วัดศรีมหาธาตุแดนลว้า
(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 511)
.
พระโสณะเถระเจ้า ได้บวชให้กับ พระญาณจรเถระเจ้า (ดี หรือ ทองดี) ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนยี่ ปี 236 โดยมี พระโสณะเถระเจ้า เป็นพระอุปัชฌาย์  พระอุตตระเถระเจ้า เป็นผู้สวดญัตติจตุุถกัมวาจา และ พระฌาณียะเถระเจ้า เป็นผู้สอนอนุสาสน
(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 440)
.
พระญาณจรเถระเจ้า (ดี หรือ ทองดี) (ธัมมปาโมกขสังฆราช) ท่านมรณภาพ (นิพพาน)  วันขึ้น 4 ค่ำ เดือน 5 ปีพุทธกาล 313
เข้าชุมไฟ (การประชุมเพลิง) วันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 3 ปีพุทธกาล 314
มีการเก็บธาตุ ที่ วัดศรีมหาธาตุแดนลว้า
(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 539)
.
ชื่อ พระญาณจรเถระเจ้า (ดี หรือ ทองดี)
ญาณจรโณ ดี (หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 440)
ญาณจรโณ ทองดี (หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 539)
.
ชื่อ วัดศรีมหาธาตุแดนลว้า
โลกกนลว เมืองสุวัณณภูมิ ผู้โปรสเห้าหม่อมเมีย(ก้านตาเทวี) เป็นผู้ให้สร้างวัดศรีมหาธาตุแดนลว้า เมื่อวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ปีพุทธกาล 238
(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 443-444)
.
Sithiphong (Noom Wangna) ผู้เรียบเรียง โดยเรียบเรียงมาจากหนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย เขียนโดย พระราชกวี (อ่ำ ธมมทตโต) วัดโสมนัสวิหาร กรุงเทพมหานคร
.
.
.
.
.
.
หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร ( คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตตระ ที่มาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ จากการที่ พระเจ้าอโศกมหาราช ได้อาราธนามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ) ข้อมูลจาก หนังสือบรมครูพระเทพโลกอุดร ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ผู้เขียน
.
พระอุตรเถระเจ้า
รูปร่างสันทัดผิวกายค่อนข้างดำคล้ำ มีจิตเยี่ยงพระโพธิสัตว์เจ้า บรรลุอภิญญาหก และปฎิสัมภิทาญาณ  ใจดีประกอบด้วยเมตตา มีอารมณ์ขัน มีสภาวะจิตที่รวดเร็วมาก มีความเชี่ยวชาญในวิชาแพทย์และเภสัชกรรม เป็นพี่ชายของพระโสณะเถระเจ้า
.
พระโสณะเถระเจ้า
รูปกายสูงใหญ่ผิวดำ ทรงคุณสมบัติเหมือนกับ พระอุตรเถระเจ้า เว้นวิชาแพทย์ ใจดี เยือกเย็น ประกอบด้วยเมตตาธรรม ชอบผาดโผนเหินฟ้านภาลัยโขดเขินเนินไศลเป็นที่สัญจร และเป็นน้องชายของพระอุตรเถระจ้า
.
พระมูนียะเถระเจ้า
มีบุคลิกภาพสง่างาม มีความเชี่ยวชาญในวิชาแปรธาตุ เป็นผู้คงแก่เรียน ชอบเจริญอสุภกรรมฐาน 10 (ภาพในนิมิตร มักจะปรากฎเส้นเกสายาวจรดเอว)
.
พระฌาณียะเถระเจ้า
มีรูปกายค่อยข้างสูงใหญ่ ขนตาดกยาว มีอำนาจ แต่ขี้เล่นใจดี
.
พระภูริยะเถระเจ้า
สำเร็จปรอท ล่องหนย่นระยะทางเก่ง
.
(หนังสือบรมครูพระเทพโลกอุดร หน้าที่ 23 - 25)
.
คณะคณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตตระ เดินทางมาโดยทางเรือ  มาถึงถิ่นสุวรรณภูมิ โดยได้มาพักที่ วัดช้างค่อม (นครศรีธรรมราช) เมื่อวันขึ้น 14 คำ เดือน 1 พุทธศักราช 235
(หนังสือบรมครูพระเทพโลกอุดร หน้าที่ 10)
.
พระอุตรเถระเจ้า เป็นพี่ชายของพระโสณะเถระเจ้า
พระโสณะเถระเจ้า เป็นน้องชายของพระอุตรเถระจ้า
(หนังสือบรมครูพระเทพโลกอุดร หน้าที่ 11)
.
Sithiphong (Noom Wangna) ผู้เรียบเรียง โดยเรียบเรียงมาจากหนังสือบรมครูพระเทพโลกอุดร ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ผู้เขียน
.
.
.
.
.
ผม Sithiphong (Noom Wangna) ขอนำเรื่องราวของ หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร ( คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตตระ ที่มาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ จากการที่ พระเจ้าอโศกมหาราช ได้อาราธนามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ)
.
มายืนยันว่า หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร ( คณะพระธรรมทูต คณะโสณะอุตตระ ที่ประกอบด้วยแกนหลัก คือ พระโสณะเถระเจ้า , พระอุตตระเถระเจ้า , พระมูนียะเถระเจ้า , พระฌาณียะเถระเจ้า และ พระภูริยะเถระเจ้า) ได้มรณภาพกันไปทั้งหมดแล้ว และกายที่ท่านมีในปัจจุบันคือ อทิสมานกาย  ไม่มีตัวตนที่แท้จริง  แต่เนื่องจากการที่คณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร มีการฝึกฤทธิ์มามาก ส่งผลให้สามารถทำให้อทิสมานกาย ปรากฎเป็นกายเนื้อได้
.
อีกเรื่องก็คือ ปัจจุบันมีรูป พระภิกษุที่เป็นรูปโครงกระดูก  ที่ระบุเป็นรูปของหลวงปู่เดินหน (พระมูนียะเถระเจ้า)  โครงกระดูกที่ปรากฎนั้น เป็นสิ่งที่หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า ท่านทำให้ปรากฎขึ้น เพื่อให้คนทั้งหลายที่ได้เห็น  จะได้ระลึกถึงเรื่อง อสุภกรรมฐาน ส่วนกายของหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า  ได้มีการประชุมเพลิง(ฌาปนกิจ) ไปเมื่อปีพุทธกาล 298 (ตามข้อมูลด้านบนที่ผมนำมาให้อ่าน) แล้ว
.
ขอกราบในพระคุณของหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร ( คณะพระธรรมทูต คณะโสณะอุตตระ ที่ประกอบด้วยแกนหลัก คือ พระโสณะเถระเจ้า , พระอุตตระเถระเจ้า , พระมูนียะเถระเจ้า , พระฌาณียะเถระเจ้า และ พระภูริยะเถระเจ้า) ที่ทำให้ดินแดนสุวรรณภูมิ มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาหลัก ที่ทำให้ผู้คนได้มีหลักปฎิบัติตามหลักธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อความหลุดพ้นในวัฏสงสาร มุ่งสู่แดนพระนิพพาน
.
โลกุตตะโร ปัญจะมหาเถโร อะหัง วันทามิ ตัง สะทา เมตตาลาโภ นะโสมิยะ อะหะพุทโธ
.
กราบ กราบ กราบ กราบ กราบ
Sithiphong (Noom Wangna)
.
.
#หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ดำ
.
#หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ตีนโต
.
#หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เทพโลกอุดร หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เดินหน หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ในดง หรืออีกชื่อ #หลวงปู่โพรงโพธิ์
.
#หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี
.
#หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์
.
#หลวงปู่เทพโลกอุดร
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
.
#คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ
.
#สมเด็จพระพุฒาจารย์โตพรหมรังสี
.
#หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ
.
#พระเจ้าอโศกมหาราช
.
#ชมรมพระวังหน้า
.
#พระวังหน้า
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 08, 2021, 01:00:29 pm
.
วันนี้ (8 สิงหาคม 2564)
และ วันที่ 8 สิงหาคม 2564
ผมไปที่ไปรษณีย์ไทย  ผมไปส่งหนังสือ หนังสือพุทธศาสนสุวัณณภูมิปกรณ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย (ผู้เขียน เจ้าคุณพระราชกวี วัดโสมนัสวิหาร)
.
ถวายพระอาจารย์ณริชธันร์ (วัดป่าภัทรปิยาราม) โดยส่ง EMS (ส่งในวันที่ 8 สิงหาคม 2564)
และ ถวายพระอาจารย์นิล (อาศรมศรีชัยรัตนโคตร) โดยส่ง EMS (ส่งในวันที่ 1 สิงหาคม 2564)
.
ทางไปรษณีย์ไทย แจ้งว่า การจัดส่งอาจล่าช้า เนื่องจากสถานการณ์โควิด19
.
ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่านที่ได้ร่วมกันจัดซื้อหนังสือฯ ด้วยครับ
.
หมายเหตุ ผมขออนุญาตเป็นตัวแทนทุกท่านที่ร่วมทำบุญในครั้งนี้ ในการกรวดน้ำในงานบุญที่ได้ส่งหนังสือฯไปถวายพระอาจารย์ณริชฯ และ พระอาจารย์นิล ครับ
.
.
.
.
.
นโม 3 จบ
.
 ข้าพเจ้าทั้งหลาย / ขอพระบรมพุทธานุญาต / อาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า   /    ทุกๆพระองค์ทั่วทุกจักรวาล   /    พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ทั่วทุกจักรวาล  / พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ทั่วทุกจักรวาล  / พระมหาโพธิสัตว์และพระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ทั่วทุกจักรวาล / พระสงฆ์ที่ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบทุกๆองค์ / องค์เทพเทวาทั้ง 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน / พระแม่ธรณี / พระแม่คงคา / พระแม่โพสพ / พระเพลิง / พระพาย / พระพิรุณ  /   องค์พยามัจจุราชเจ้า  /  นายนิริยบาลทุกๆท่าน  /  ท่านยมทูตทุกๆท่าน /
.
พระมหาฤาษีและพระฤาษีทุกๆตน / ท้าวเวสสุวรรณและบริวาร /  ท้าววิรุฬหกและบริวาร / ท้าวธตรฐและบริวาร    /   ท้าววิรูปักษ์และบริวาร   /  เหล่าเทพนพเคราะห์และบริวาร  / แม่นางกวัก  / ศิริพุทธอำมาตย์ / ชั้นจาตุมะหาราชิกาเบื้องบนจนถึงที่สุด /
.
พรหมาเบื้องต่ำตั้งแต่มนุษย์โลก / โดยรอบสุดขอบจักรวาลอนันตะจักรวาล /
.
และเทพยดาทั้งหลาย / ตลอดทั้งพระอินทร์ พระพรหม / เหล่ายมยักษ์ เหล่าคนธรรพ์ / เหล่าพยาครุฑและบริวาร /  เหล่าพญานาคและบริวาร /
.
พระแม่ธรณีในต่างประเทศ / ทุกๆประเทศทุกๆองค์ /
.
องค์เทพเทวาในต่างประเทศ / ทุกประเทศทุกๆองค์ /
.
มาเป็นสักขีพยาน / และมาร่วมโมทนาบุญ / ในการทำบุญของเหล่าข้าพเจ้าทั้งหลายด้วยเทอญ
.
.
ข้าพเจ้าทั้งหลาย   /   ขอน้อมถวาย หนังสือพุทธศาสนสุวัณณภูมิปกรณ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย (ผู้เขียน เจ้าคุณพระราชกวี วัดโสมนัสวิหาร) แด่ #พระอาจารย์นิล #อาศรมศรีชัยรัตนโคตร และ #พระอาจารย์ณริชธันร์ #วัดป่าภัทรปิยาราม
.
ถวายเป็นพุทธบูชา /  ธรรมะบูชา /   สังฆะบูชา /   และขอดำเนินรอยตามเจตนาของ / หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ / อุปราชวังหน้าในสมัยรัชกาลที่ 5 /  ทุกประการ / เพื่อถวายไว้ในพระพุทธศาสนา   /  เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ  /   คือบุคคลในชาติ / ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับพระวังหน้า   /    หรือผู้ที่ทำประโยชน์ให้กับพระพุทธศาสนา    / และเพื่อประโยชน์ของพระพุทธศาสนา
.
การทำบุญในทุกบุญในครั้งนี้ / ข้าพเจ้าทั้งหลายขออธิษฐานว่า / ความไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ / จงเกิดกับตัวข้าพเจ้า / ความไม่มีอื่นๆจงอย่าได้เกิดกับข้าพเจ้า / จนกว่าข้าพเจ้าทั้งหลาย / จะถึงซึ่งพระนิพพาน / ขอให้พบแต่กัลยาณมิตรที่ดี / และขอให้ข้าพเจ้าทั้งหลาย /
.
จงมีดวงตาที่เห็นในธรรมะ / ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า / อย่างง่ายและรวดเร็ว
.
.
.
ข้าพเจ้าทั้งหลาย / ขอน้อมถวายบุญที่ทำในครั้งนี้ / แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า / ทุกๆพระองค์ทั่วทุกจักรวาล / พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ทั่วทุกจักรวาล /
.
พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ทั่วทุกจักรวาล /
.
พระมหาโพธิสัตว์และพระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ทั่วทุกจักรวาล /
.
พระสงฆ์ที่ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ  /  ทุกๆองค์ทุกๆรูป 
.
.
ขอถวายบุญที่กระทำในครั้งนี้ แด่ /  องค์เทพเทวาทั้ง 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน / พระแม่ธรณี / พระแม่คงคา / พระแม่โพสพ / พระเพลิง / พระพาย / พระพิรุณ / องค์พยามัจจุราชเจ้า / นายนิริยบาลทุกๆท่าน  /  ท่านยมทูตทุกๆท่าน  /  ท้าวเวสสุวรรณและบริวาร  /
.
ท้าววิรุฬหกและบริวาร / ท้าวธตรฐและบริวาร / ท้าววิรูปักษ์และบริวาร  /
.
เหล่าเทพนพเคราะห์และบริวาร / เทวดาประจำตัวของข้าพเจ้าทั้งหลาย  /
.
พระอินทร์ พระพรหม / พระแม่ธรณีในต่างประเทศ / ทุกๆประเทศทุกๆองค์  /
.
องค์เทพเทวาในต่างประเทศ / ทุกประเทศทุกๆองค์  /  ศิริพุทธอำมาตย์   /
.
ชั้นจาตุมะหาราชิกาเบื้องบนจนถึงที่สุด / พรหมาเบื้องต่ำตั้งแต่มนุษย์โลก  /
.
โดยรอบสุดขอบจักรวาลอนันตะจักรวาล
.
.
ขออุทิศบุญที่กระทำในครั้งนี้ แก่ บิดา มารดา  /  ในทุกๆชาติของข้าพเจ้าทั้งหลาย /
.
ญาติของข้าพเจ้าทั้งหลาย  /  เจ้ากรรมนายเวร  /  ในทุกๆชาติของข้าพเจ้าทั้งหลาย  /
.
ครูบาอาจารย์ทุกท่านของข้าพเจ้าทั้งหลาย  /
.
สมเด็จพระบูรพมหากษัตราธิราชเจ้า  /  ของประเทศไทยทุกพระองค์  /
.
บรรพบุรุษของคนไทยที่เสียสละชีวิตและเลือดเนื้อเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย
.
พระมหาฤาษีและพระฤาษีทุกๆตน  / 
.
เหล่าพยาครุฑและบริวาร  / เหล่าพญานาคและบริวาร  / 
.
ตลอดทั้ง / เหล่ายม เหล่ายักษ์ เหล่าคนธรรพ์  /
.
ท่านผู้สร้างพระวังหน้า  /  ช่างสิบหมู่แห่งวังหน้า  /  ช่างสิบหมู่แห่งวังหลวง  /
.
และช่างสิบหมู่ชาวจีน / ด้วยเทอญ
.
.
.
หมายเหตุ และขอดำเนินรอยตามเจตนาของ  หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ  อุปราชวังหน้าในสมัยรัชกาลที่ 5 /  ทุกประการ  ผมหมายถึง เจตนาของหลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ที่มีเจตนาในการเผยแพร่ความรู้ของพระพุทธศาสนา และ ความรู้ในเรื่องของคณะคณะพระธรรมทูต คณะโสณะอุตระ ที่เผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ และ ในเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องที่แล้วแต่เจตนาของหลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ครับ
.
.
.
#หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ดำ
.
#หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ตีนโต
.
#หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เทพโลกอุดร  หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เดินหน  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ในดง  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่โพรงโพธิ์
.
#หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี
.
#หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์
.
#หลวงปู่เทพโลกอุดร
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
.
#คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ
.
#สมเด็จพระพุฒาจารย์โตพรหมรังสี
.
#หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ
.
#พระเจ้าอโศกมหาราช
.
#ชมรมพระวังหน้า
.
#พระวังหน้า
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 14, 2021, 11:19:29 am
.
สำหรับ วาระงานบุญอาศรมศรีชัยรัตนโคตร
.
เท่าที่ทราบ ในวันนี้มี #งานกฐินที่อาศรมศรีชัยรัตนโคตร
.
ขออนุญาต มาเรียนกับทุกท่านว่า
.
หากมีวาระงานบุญที่ #อาศรมศรีชัยรัตนโคตร
.
ถ้า #พี่แอ๊ว หรือ #หลวงพี่นิล ท่านแจ้งมาให้ผมทราบถึงงานบุญนั้นๆ
.
ผมจะร่วมทำบุญ และ บอกบุญในงานบุญนั้นๆ
.
แต่ถ้าพี่แอ๊ว หรือ หลวงพี่นิล ท่านไม่ได้แจ้งมาให้ผมทราบถึงงานบุญนั้นๆ
.
ถึงแม้ว่า ผมจะทราบถึงงานบุญจากช่องทางอื่นๆ  ผมถือว่า ผมไม่รับทราบในวาระงานบุญนั้น
และไม่ร่วมทำบุญและบอกบุญในวาระงานบุญนั้นๆ
.
ผมกับ หลวงพี่นิล ไม่ได้มีประเด็นปัญหาอะไรกัน
ผมยังให้ความเคารพหลวงพี่นิลท่านเหมือนเดิม
.
แต่ถ้าในงานบุญที่อาศรมศรีชัยรัตนโคตรนั้น
ถ้ามีพระสงฆ์ ( ที่เคยบอกว่า #หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดรมีชีวิตอยู่เป็นพันปี เนื่องจากท่าน #เจริญอิทธิบาท4 ) มาร่วมงาน
.
ผมไม่ไปร่วมงานด้วย แน่นอน (และอาจจะไม่มีการบอกบุญและร่วมทำบุญด้วย)
.
เพราะว่า การเจริญอิทธิบาท 4 ไม่สามารถที่จะทำให้มีชีวิตยืนยาวเป็นพันปีได้แน่นอน
ต้องไปหาอ่านเรื่อง การเจริญ #อิทธิบาท4 ใหม่
.
ที่สำคัญก็คือ
เหตุ หากมีการสอน(หรือบอกกล่าว)ที่ไม่ถูกต้อง
ผล คือ มุสาวาท
.
แต่ เหตุ ถ้ามีการสอน(หรือบอกกล่าว) โดยอ้างว่า รู้ได้จาก #ฌาน หรือ #ญาณ
ผล คือ อาจจะถึง #ปาราชิก (#อวดอุตริมนุสธรรม)
.
อีกประการหนึ่งที่สำคัญมาก ก็คือ พระสงฆ์ที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ต้องไม่เก่งกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างแน่นอน
.
ผมไม่ยินยอมในการ #ต่อตีนโจร แน่นอน
.
เรื่องของ ประวัติหลวงปู่เทพโลกอุดร   ในเรื่องของอายุของคณะพระธรรมทูต คณะโสณะอุตระ มีบอกไว้ทั้งหมด รวมถึงวันที่มรณภาพ  โดยอยู่ในหนังสือ พุทธศาสนสุวรรณภูมิปกรณ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย
.
หมายเหตุ ความหมายของ #การต่อตีนโจร หมายถึง  การที่โจรจะเข้าปล้นบ้าน  แต่บ้านหลังนั้น ยากต่อการปล้น  คนภายในบ้านจึงเข้าช่วยเหลือโจร ในการที่โจรเข้าปล้นบ้าน  ทำให้โจรปล้นบ้านหลังนั้นได้สำเร็จ
.
หมายเหตุ เรื่อง อิทธิบาท 4
.
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)
ที่มา เว็บไซด์ 84000
.
[213] อิทธิบาท 4 (คุณเครื่องให้ถึงความสำเร็จ, คุณธรรมที่นำไปสู่ความสำเร็จแห่งผลที่มุ่งหมาย - path of accomplishment; basis for success)
.
       1. ฉันทะ (ความพอใจ คือ ความต้องการที่จะทำ ใฝ่ใจรักจะทำสิ่งนั้นอยู่เสมอ และปรารถนาจะทำให้ได้ผลดียิ่งๆ ขึ้นไป - will; aspiration)
.
       2. วิริยะ (ความเพียร คือ ขยันหมั่นประกอบสิ่งนั้นด้วยความพยายาม เข้มแข็ง อดทน เอาธุระไม่ท้อถอย - energy; effort; exertion)
.
       3. จิตตะ (ความคิด คือ ตั้งจิตรับรู้ในสิ่งที่ทำและสิ่งนั้นด้วยความคิด เอาจิตฝักใฝ่ไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านเลื่อนลอยไป - thoughtfulness; active thought)
.
       4. วิมังสา (ความไตร่ตรอง หรือ ทดลอง คือ หมั่นใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญตรวจตราหาเหตุผลและตรวจสอบข้อยิ่งหย่อนในสิ่งที่ทำนั้น มีการวางแผน วัดผล คิดค้นวิธีแก้ไขปรับปรุง เป็นต้น - investigation; examination; reasoning; testing)
.
หมายเหตุ ตัวอย่างในเรื่อง อวดอุตริมนุสธรรม
.
อรรถกถา
จตุตถปาราชิกสิกขาบท
สิกขาบทวิภังค์และบทภาชนีย์               
[สวิภงฺคสิกฺขาปทวณฺณนา]                             
.
ที่มา เว็บไซด์ 84000
.
บทว่า อนภิชานํ ได้แก่ ไม่รู้เฉพาะ. ก็เพราะเหตุที่ภิกษุนี้ไม่รู้จริง กล่าวอวดอยู่, อุตริมนุสธรรมนั้นไม่เกิดขึ้นในสันดานของเธอ ทั้งเธอก็มิได้ทำให้แจ้งด้วยญาณ จึงชื่อว่าไม่มีจริง; เพราะฉะนั้นในวาระแจกบทว่า อนภิชานํ นั้น ท่านพระอุบาลีกล่าวว่า (อุตริมนุสธรรม) ไม่มีจริง ไม่เป็นจริง หาไม่ได้แล้ว จึงกล่าวว่า (ภิกษุ) ไม่รู้อยู่ ดังนี้.
.
               บทว่า อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํ แปลว่า ธรรมของมนุษย์ผู้ยวดยิ่งคือท่านผู้ได้ฌาน และพระอริยเจ้าทั้งหลาย.
.
               บทว่า อตฺตูปนายิกํ มีอรรถวิเคราะห์ว่า ภิกษุย่อมน้อมอุตริมนุสธรรมนั้นเข้ามาในตน หรือว่า ย่อมน้อมตนเข้าไปในอุตริมนุสธรรมนั้น; เพราะเหตุนั้น อุตริมนุสธรรมนั้นจึงชื่อว่า อัตตูปนายิกะ. (ภิกษุกล่าวอวด) อุตริมนุสธรรมนั้น เป็นที่น้อมเข้ามาในตน หรือว่าเป็นที่น้อมตนเข้าไปหา. เชื่อมความว่า ภิกษุทำอย่างนี้กล่าวอวด แต่ในวาระแจกบท เพราะเหตุที่ท่านพระอุบาลีกล่าวธรรมหลายประการมีฌานเป็นต้นไว้ อย่างนี้ว่า ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ ญาณทัสสนะ ฯลฯ (การยังมรรคให้เจริญ การทำให้แจ้งซึ่งผล การละกิเลส ความที่จิตปราศจากนิวรณ์) ความยินดียิ่งในเรือนว่างเปล่า ชื่อว่าอุตริมนุสธรรม ดังนี้; เพราะฉะนั้น เมื่อท่านจะแสดงความที่อุตริมนุสธรรมนั้นเป็นธรรมที่น้อมเข้ามาในตน ด้วยอำนาจแห่งธรรมเหล่านั้นทั้งหมด จึงได้กระทำนิเทศเป็นพหุวจนะว่า ภิกษุย่อมน้อมกุศลธรรมเหล่านั้นเข้ามาในตนก็ดี.
.
               ในบรรดาการน้อม ๒ อย่างนั้น เมื่อภิกษุอวดว่า ธรรมเหล่านี้ย่อมปรากฏในข้าพเจ้า พึงทราบว่า ชื่อว่าน้อม (ธรรมเหล่านั้น) เข้ามาในตน, เมื่ออวดว่า ข้าพเจ้าย่อมปรากฏในธรรมเหล่านี้ พึงทราบว่า ชื่อว่าน้อมตนเข้าไปในธรรมเหล่านั้น.
.
               พึงทราบตามเชื่อมอรรถแห่งบทในคำว่า อลมริยญาณทสฺสนํ นี้อย่างนี้ คือปัญญาทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตระ ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้, ชื่อว่าทัสสนะ เพราะอรรถว่าเห็น เพราะกระทำซึ่งธรรมให้เป็นประดุจเห็นด้วยจักษุ; เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่าญาณทัสสนะ. ญาณทัสสนะอย่างประเสริฐ คืออย่างบริสุทธิ์อย่างสูงสุด; เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่าอริยญาณทัสสนะ. ญาณทัสสนะอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ คือแกล้วกล้า สามารถกำจัดกิเลสมีอยู่ในอุตริมนุสธรรมต่างประเภทมีฌานเป็นต้นนี้ หรือว่าญาณทัสสนะอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ เป็นของแห่งอุตริมนุสธรรมนั้น; เพราะเหตุนั้น อุตริมนุสธรรมนั้นจึงชื่อว่ามีความรู้เห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ. ภิกษุไม่รู้จริง กล่าวอวดอุตริมนุสธรรม อันมีความรู้เห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถนั้น.
.
               ในบทภาชนะนั้น อุตริมนุสธรรมนั้น ท่านเรียกว่า อลมริยญาณทัสสนา ด้วยญาณทัสสนะใด, เพื่อแสดงญาณทัสสนะนั้นนั่นแล ท่านพระอุบาลีจึงกล่าวบทภาชนะ ด้วยวิชชาเป็นใหญ่ว่า ญาณ นั้นได้แก่ วิชชา ๓, ทัสสนะนั้น คือญาณอันใด ทัสสนะก็อันนั้น ทัสสนะอันใด ญาณก็อันนั้น. แต่ในบทว่า ญาณํ นี้ ปัญญาแม้ทั้งหมดที่เป็นมหัคคตและโลกุตระ พึงทราบว่า ญาณ.
.
               บทว่า สมุทาจเรยยฺ ความว่า พึงอวดอุตริมนุสธรรมมีประการดังกล่าวแล้ว ทำให้น้อมเข้ามาในตน. ส่วนบทว่า อิตฺถิยา ว่า เป็นต้น ชี้ถึงบุคคลที่ภิกษุจะพึงอวด. จริงอยู่ เมื่ออวดอุตริมนุสธรรมแก่บุคคลเหล่านี้ ย่อมเป็นอันอวด. เมื่ออวดแก่เทวดา มาร พรหมหรือแม้แก่เปรต ยักษ์และสัตว์ดิรัจฉาน หาเป็นอันอวดไม่แล.
.
               คำว่า อิติ ชานามิ อิติ ปสฺสามิ นี้แสดงอาการอวด. แต่ในบทภาชนะแห่งบทว่า อิติ ชานามิ อิติ ปสฺสามิ นั้น คำว่า ข้าพเจ้ารู้ธรรมเหล่านี้ ข้าพเจ้าเห็นธรรมเหล่านี้ นี้แสดงถึงความเป็นไปแห่งความรู้และความเห็นในธรรมมีฌานเป็นต้นเหล่านั้น. คำว่า และธรรมเหล่านี้มีแก่ข้าพเจ้าเป็นต้น แสดงความน้อมเข้ามาในตน.
.
               คำว่า โดยสมัยอื่นแต่สมัยนั้น นี้แสดงถึงสมัยที่ปฏิญญาว่าเป็นอาบัติ. แต่ภิกษุนี้ต้องปาราชิกในขณะที่อวดทีเดียว. และเธอต้องอาบัติแล้ว ถูกภิกษุอื่นโจทก็ตาม ไม่ถูกโจทก็ตาม ย่อมปฏิญญา; เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เธออันผู้ใดผู้หนึ่ง เชื่อก็ตาม ไม่เชื่อก็ตาม.
.
.
.
#หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ดำ
.
#หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ตีนโต
.
#หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เทพโลกอุดร  หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เดินหน  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ในดง  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่โพรงโพธิ์
.
#หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี
.
#หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์
.
#หลวงปู่เทพโลกอุดร
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
.
#คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ
.
#สมเด็จพระพุฒาจารย์โตพรหมรังสี
.
#หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ
.
#พระเจ้าอโศกมหาราช
.
#ชมรมพระวังหน้า
.
#พระวังหน้า
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 14, 2021, 12:20:08 pm
.
.
ผมน่าจะดูผิด และ จำผิดวัน
.
วันงาน #กฐินที่อาศรมศรีชัยรัตนโคตร
ที่ถูกต้อง เป็นวันที่ 6 พฤศจิกายน 2564 ครับ
.
จึงแจ้งมาเพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้อง
.
.
.
.
.
สำหรับ วาระงานบุญอาศรมศรีชัยรัตนโคตร
.
เท่าที่ทราบ ในวันนี้มี #งานกฐินที่อาศรมศรีชัยรัตนโคตร
.
ขออนุญาต มาเรียนกับทุกท่านว่า
.
หากมีวาระงานบุญที่ #อาศรมศรีชัยรัตนโคตร
.
ถ้า #พี่แอ๊ว หรือ #หลวงพี่นิล ท่านแจ้งมาให้ผมทราบถึงงานบุญนั้นๆ
.
ผมจะร่วมทำบุญ และ บอกบุญในงานบุญนั้นๆ
.
แต่ถ้าพี่แอ๊ว หรือ หลวงพี่นิล ท่านไม่ได้แจ้งมาให้ผมทราบถึงงานบุญนั้นๆ
.
ถึงแม้ว่า ผมจะทราบถึงงานบุญจากช่องทางอื่นๆ  ผมถือว่า ผมไม่รับทราบในวาระงานบุญนั้น
และไม่ร่วมทำบุญและบอกบุญในวาระงานบุญนั้นๆ
.
ผมกับ หลวงพี่นิล ไม่ได้มีประเด็นปัญหาอะไรกัน
ผมยังให้ความเคารพหลวงพี่นิลท่านเหมือนเดิม
.
แต่ถ้าในงานบุญที่อาศรมศรีชัยรัตนโคตรนั้น
ถ้ามีพระสงฆ์ ( ที่เคยบอกว่า #หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดรมีชีวิตอยู่เป็นพันปี เนื่องจากท่าน #เจริญอิทธิบาท4 ) มาร่วมงาน
.
ผมไม่ไปร่วมงานด้วย แน่นอน (และอาจจะไม่มีการบอกบุญและร่วมทำบุญด้วย)
.
เพราะว่า การเจริญอิทธิบาท 4 ไม่สามารถที่จะทำให้มีชีวิตยืนยาวเป็นพันปีได้แน่นอน
ต้องไปหาอ่านเรื่อง การเจริญ #อิทธิบาท4 ใหม่
.
ที่สำคัญก็คือ
เหตุ หากมีการสอน(หรือบอกกล่าว)ที่ไม่ถูกต้อง
ผล คือ มุสาวาท
.
แต่ เหตุ ถ้ามีการสอน(หรือบอกกล่าว) โดยอ้างว่า รู้ได้จาก #ฌาน หรือ #ญาณ
ผล คือ อาจจะถึง #ปาราชิก (#อวดอุตริมนุสธรรม)
.
อีกประการหนึ่งที่สำคัญมาก ก็คือ พระสงฆ์ที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ต้องไม่เก่งกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างแน่นอน
.
ผมไม่ยินยอมในการ #ต่อตีนโจร แน่นอน
.
เรื่องของ ประวัติหลวงปู่เทพโลกอุดร   ในเรื่องของอายุของคณะพระธรรมทูต คณะโสณะอุตระ มีบอกไว้ทั้งหมด รวมถึงวันที่มรณภาพ  โดยอยู่ในหนังสือ พุทธศาสนสุวรรณภูมิปกรณ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย
.
หมายเหตุ ความหมายของ #การต่อตีนโจร หมายถึง  การที่โจรจะเข้าปล้นบ้าน  แต่บ้านหลังนั้น ยากต่อการปล้น  คนภายในบ้านจึงเข้าช่วยเหลือโจร ในการที่โจรเข้าปล้นบ้าน  ทำให้โจรปล้นบ้านหลังนั้นได้สำเร็จ
.
หมายเหตุ เรื่อง อิทธิบาท 4
.
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)
ที่มา เว็บไซด์ 84000
.
[213] อิทธิบาท 4 (คุณเครื่องให้ถึงความสำเร็จ, คุณธรรมที่นำไปสู่ความสำเร็จแห่งผลที่มุ่งหมาย - path of accomplishment; basis for success)
.
       1. ฉันทะ (ความพอใจ คือ ความต้องการที่จะทำ ใฝ่ใจรักจะทำสิ่งนั้นอยู่เสมอ และปรารถนาจะทำให้ได้ผลดียิ่งๆ ขึ้นไป - will; aspiration)
.
       2. วิริยะ (ความเพียร คือ ขยันหมั่นประกอบสิ่งนั้นด้วยความพยายาม เข้มแข็ง อดทน เอาธุระไม่ท้อถอย - energy; effort; exertion)
.
       3. จิตตะ (ความคิด คือ ตั้งจิตรับรู้ในสิ่งที่ทำและสิ่งนั้นด้วยความคิด เอาจิตฝักใฝ่ไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านเลื่อนลอยไป - thoughtfulness; active thought)
.
       4. วิมังสา (ความไตร่ตรอง หรือ ทดลอง คือ หมั่นใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญตรวจตราหาเหตุผลและตรวจสอบข้อยิ่งหย่อนในสิ่งที่ทำนั้น มีการวางแผน วัดผล คิดค้นวิธีแก้ไขปรับปรุง เป็นต้น - investigation; examination; reasoning; testing)
.
หมายเหตุ ตัวอย่างในเรื่อง อวดอุตริมนุสธรรม
.
อรรถกถา
จตุตถปาราชิกสิกขาบท
สิกขาบทวิภังค์และบทภาชนีย์               
[สวิภงฺคสิกฺขาปทวณฺณนา]                             
.
ที่มา เว็บไซด์ 84000
.
บทว่า อนภิชานํ ได้แก่ ไม่รู้เฉพาะ. ก็เพราะเหตุที่ภิกษุนี้ไม่รู้จริง กล่าวอวดอยู่, อุตริมนุสธรรมนั้นไม่เกิดขึ้นในสันดานของเธอ ทั้งเธอก็มิได้ทำให้แจ้งด้วยญาณ จึงชื่อว่าไม่มีจริง; เพราะฉะนั้นในวาระแจกบทว่า อนภิชานํ นั้น ท่านพระอุบาลีกล่าวว่า (อุตริมนุสธรรม) ไม่มีจริง ไม่เป็นจริง หาไม่ได้แล้ว จึงกล่าวว่า (ภิกษุ) ไม่รู้อยู่ ดังนี้.
.
               บทว่า อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํ แปลว่า ธรรมของมนุษย์ผู้ยวดยิ่งคือท่านผู้ได้ฌาน และพระอริยเจ้าทั้งหลาย.
.
               บทว่า อตฺตูปนายิกํ มีอรรถวิเคราะห์ว่า ภิกษุย่อมน้อมอุตริมนุสธรรมนั้นเข้ามาในตน หรือว่า ย่อมน้อมตนเข้าไปในอุตริมนุสธรรมนั้น; เพราะเหตุนั้น อุตริมนุสธรรมนั้นจึงชื่อว่า อัตตูปนายิกะ. (ภิกษุกล่าวอวด) อุตริมนุสธรรมนั้น เป็นที่น้อมเข้ามาในตน หรือว่าเป็นที่น้อมตนเข้าไปหา. เชื่อมความว่า ภิกษุทำอย่างนี้กล่าวอวด แต่ในวาระแจกบท เพราะเหตุที่ท่านพระอุบาลีกล่าวธรรมหลายประการมีฌานเป็นต้นไว้ อย่างนี้ว่า ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ ญาณทัสสนะ ฯลฯ (การยังมรรคให้เจริญ การทำให้แจ้งซึ่งผล การละกิเลส ความที่จิตปราศจากนิวรณ์) ความยินดียิ่งในเรือนว่างเปล่า ชื่อว่าอุตริมนุสธรรม ดังนี้; เพราะฉะนั้น เมื่อท่านจะแสดงความที่อุตริมนุสธรรมนั้นเป็นธรรมที่น้อมเข้ามาในตน ด้วยอำนาจแห่งธรรมเหล่านั้นทั้งหมด จึงได้กระทำนิเทศเป็นพหุวจนะว่า ภิกษุย่อมน้อมกุศลธรรมเหล่านั้นเข้ามาในตนก็ดี.
.
               ในบรรดาการน้อม ๒ อย่างนั้น เมื่อภิกษุอวดว่า ธรรมเหล่านี้ย่อมปรากฏในข้าพเจ้า พึงทราบว่า ชื่อว่าน้อม (ธรรมเหล่านั้น) เข้ามาในตน, เมื่ออวดว่า ข้าพเจ้าย่อมปรากฏในธรรมเหล่านี้ พึงทราบว่า ชื่อว่าน้อมตนเข้าไปในธรรมเหล่านั้น.
.
               พึงทราบตามเชื่อมอรรถแห่งบทในคำว่า อลมริยญาณทสฺสนํ นี้อย่างนี้ คือปัญญาทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตระ ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้, ชื่อว่าทัสสนะ เพราะอรรถว่าเห็น เพราะกระทำซึ่งธรรมให้เป็นประดุจเห็นด้วยจักษุ; เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่าญาณทัสสนะ. ญาณทัสสนะอย่างประเสริฐ คืออย่างบริสุทธิ์อย่างสูงสุด; เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่าอริยญาณทัสสนะ. ญาณทัสสนะอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ คือแกล้วกล้า สามารถกำจัดกิเลสมีอยู่ในอุตริมนุสธรรมต่างประเภทมีฌานเป็นต้นนี้ หรือว่าญาณทัสสนะอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ เป็นของแห่งอุตริมนุสธรรมนั้น; เพราะเหตุนั้น อุตริมนุสธรรมนั้นจึงชื่อว่ามีความรู้เห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ. ภิกษุไม่รู้จริง กล่าวอวดอุตริมนุสธรรม อันมีความรู้เห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถนั้น.
.
               ในบทภาชนะนั้น อุตริมนุสธรรมนั้น ท่านเรียกว่า อลมริยญาณทัสสนา ด้วยญาณทัสสนะใด, เพื่อแสดงญาณทัสสนะนั้นนั่นแล ท่านพระอุบาลีจึงกล่าวบทภาชนะ ด้วยวิชชาเป็นใหญ่ว่า ญาณ นั้นได้แก่ วิชชา ๓, ทัสสนะนั้น คือญาณอันใด ทัสสนะก็อันนั้น ทัสสนะอันใด ญาณก็อันนั้น. แต่ในบทว่า ญาณํ นี้ ปัญญาแม้ทั้งหมดที่เป็นมหัคคตและโลกุตระ พึงทราบว่า ญาณ.
.
               บทว่า สมุทาจเรยยฺ ความว่า พึงอวดอุตริมนุสธรรมมีประการดังกล่าวแล้ว ทำให้น้อมเข้ามาในตน. ส่วนบทว่า อิตฺถิยา ว่า เป็นต้น ชี้ถึงบุคคลที่ภิกษุจะพึงอวด. จริงอยู่ เมื่ออวดอุตริมนุสธรรมแก่บุคคลเหล่านี้ ย่อมเป็นอันอวด. เมื่ออวดแก่เทวดา มาร พรหมหรือแม้แก่เปรต ยักษ์และสัตว์ดิรัจฉาน หาเป็นอันอวดไม่แล.
.
               คำว่า อิติ ชานามิ อิติ ปสฺสามิ นี้แสดงอาการอวด. แต่ในบทภาชนะแห่งบทว่า อิติ ชานามิ อิติ ปสฺสามิ นั้น คำว่า ข้าพเจ้ารู้ธรรมเหล่านี้ ข้าพเจ้าเห็นธรรมเหล่านี้ นี้แสดงถึงความเป็นไปแห่งความรู้และความเห็นในธรรมมีฌานเป็นต้นเหล่านั้น. คำว่า และธรรมเหล่านี้มีแก่ข้าพเจ้าเป็นต้น แสดงความน้อมเข้ามาในตน.
.
               คำว่า โดยสมัยอื่นแต่สมัยนั้น นี้แสดงถึงสมัยที่ปฏิญญาว่าเป็นอาบัติ. แต่ภิกษุนี้ต้องปาราชิกในขณะที่อวดทีเดียว. และเธอต้องอาบัติแล้ว ถูกภิกษุอื่นโจทก็ตาม ไม่ถูกโจทก็ตาม ย่อมปฏิญญา; เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เธออันผู้ใดผู้หนึ่ง เชื่อก็ตาม ไม่เชื่อก็ตาม.
.
.
.
#หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ดำ
.
#หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ตีนโต
.
#หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เทพโลกอุดร  หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เดินหน  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ในดง  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่โพรงโพธิ์
.
#หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี
.
#หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์
.
#หลวงปู่เทพโลกอุดร
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
.
#คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ
.
#สมเด็จพระพุฒาจารย์โตพรหมรังสี
.
#หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ
.
#พระเจ้าอโศกมหาราช
.
#ชมรมพระวังหน้า
.
#พระวังหน้า
.
.
.
ผมน่าจะดูผิด และ จำผิดวัน
.
วันงาน #กฐินที่อาศรมศรีชัยรัตนโคตร
ที่ถูกต้อง เป็นวันที่ 6 พฤศจิกายน 2564 ครับ
.
จึงแจ้งมาเพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้อง
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 01, 2022, 08:46:48 am
สวัสดีปีใหม่
ไม่มีทุกข์ ไม่มีโศก
ไม่มีโรค ไม่มีภัย
เงินทองเหลือใช้ ร่างกายแข็งแรง
กันทุกท่าน ครับ
ด้วยรัก
Sithiphong
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 09, 2022, 07:24:04 pm
.
รำลึกนึกถึงพระคุณของ #พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช) ที่พระองค์ท่าน มีพระเนตรที่กว้างไกลมาก ทรงกระทำเรื่องต่างๆ เพื่อประชาชนชาวไทย
.
.
.
ด้วยพระราชดำริที่ลึกซึ้งทรงจัดตั้งบริษัทผลิตยา และบริษัทจำหน่ายยาอย่างครบวงจร ในนามว่า "บริษัท สยามไบโอโซ เอนซ์ จํากัด (Siam Bioscience)
ดำเนินการวิจัย พัฒนา และผลิตยา เครื่องมือแพทย์ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่างๆ โดยภารกิจสำคัญ คือการผลิตตั้งแต่ตัวยาสำคัญและสารออกฤทธิ์
จนถึงผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป และ บริษัท เอเพ็กซ์เซลา จำกัด” (Apexcela) ตั้งขึ้นในปี ๒๕๕๓ เพื่อดำเนินกิจกรรมทางการตลาด และการขายทั้งในประเทศและส่งออก
รวมทั้งการ พัฒนาธุรกิจสร้างเครือข่ายพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศ
(ที่มา phralan)
.
.
.
.
.
#พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร
#พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
#วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า
#AstraZeneca
#สยามไบโอไซเอนซ์
#บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์จำกัด
#SiamBioscience
#บริษัทเอเพ็กซ์เซลาจำกัด
#เอเพ็กซ์เซลา
.
.
.
#คนต้องเท่าเทียมกัน
#อภิสิทธิ์ชน
#วัคซีนVIP
#ถ่มน้ำลายรดฟ้า
#เอาเปรียบแย่งวัคซีนคนในพื้นที่
#แย่งคนชราฉีดแอสตร้าเซนเนก้า
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 16, 2022, 03:09:07 pm
.
“ปาเจราจริยาโหนติ คุณุตตรานุสาสกา”
ครูบาอาจารย์เป็นผู้มีคุณยิ่ง เป็นผู้พร่ำสอนศิลปวิทยา
.
“ปัญญาวุฒิกเร เต เต ทินโนวาเท นมามิหัง”
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมครูบาอาจารย์ผู้ให้โอวาทเหล่านั้น
.
.
ปาเจราจริยาโหนติ คุณุตตรานุสาสกา
ข้าขอประณตน้อมสักการ บูรพาคณาจารย์
ผู้กอรปประโยชน์ศึกษา
ทั้งท่านผู้ประสาทวิชา อบรมจริยา
แก่ข้าในกาลปัจจุบัน
ข้าขอเคารพอภิวันท์ ระลึกคุณอนันต์
ด้วยใจนิยมบูชา
ขอเดชกตเวทิตา อีกวิริยะพา
ปัญญาให้เกิดแตกฉาน
ศึกษาสาเร็จทุกประการ อายุยืนนาน
อยู่ในศีลธรรมอันดี
ให้ได้เป็นเกียรติเป็นศรี ประโยชน์ทวี
แก่ชาติและประเทศไทยเทอญฯ
ปัญญาวุฒิกเร เต เต ทินโนวาเท นมามิหัง
.
ขอกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์ท่านเป็นครูผู้สอนธรรมะที่เป็นหลักการในการดำรงชีวิตและสอนหนทางในการดับทุกข์ที่ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร
.
ขอกราบหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร (คณะพระธรรมทูต คณะโสณะ-อุตระ) ที่พระองค์ท่านเป็นคณะพระธรรมทูตคณะแรกที่มายังสุวรรณภูมิ และได้มีเมตตานำหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเผยแพร่ในสุวรรณภูมิ เป็นครูให้พระสงฆ์ , คนไทยและคนในสุวรรณภูมิได้รู้จักและปฏิบัติติตามหลักธรรมะ
.
ขอกราบสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี , หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ , พระสงฆ์กลุ่มหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ และ พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติติชอบทุกรูป ที่พระองค์ท่านได้นำหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สอนให้กับคนไทย และคนที่มีนับถือในศาสนาพุทธ
.
ขอกราบหลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ที่มีพระเมตตามาให้โดยตลอด
.
ขอกราบ คุณพ่อ คุณแม่ ที่เป็นครูคนแรกในชีวิต
.
ขอกราบครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ได้อดทน  และมีเมตตาในการนำองค์ความรู้ให้กับลูกศิษย์  เพื่อลูกศิษย์ทั้งหลายจะได้นำความรู้ไปดำรงตนในทางที่ดี
.
ขอเพิ่มเติม  ขอขอบคุณในมิตรภาพของกัลยาณมิตรที่ดี  ที่ยังคงช่วยเหลือเกื้อกูลกันและร่วมในการทำบุญในวาระงานบุญต่างๆ ครับ
.
.
.******************************.
.
.
บทสวดไหว้ครู
.
(ผู้นาสวด)
ปาเจราจริยาโหนติ คุณุตตรานุสาสกา
.
สวดทานองสรภัญญะ
.
สวดพร้อมกัน
ข้าขอประณตน้อมสักการ บูรพาคณาจารย์
ผู้กอรปประโยชน์ศึกษา
ทั้งท่านผู้ประสาทวิชา อบรมจริยา
แก่ข้าในกาลปัจจุบัน
ข้าขอเคารพอภิวันท์ ระลึกคุณอนันต์
ด้วยใจนิยมบูชา
ขอเดชกตเวทิตา อีกวิริยะพา
ปัญญาให้เกิดแตกฉาน
ศึกษาสาเร็จทุกประการ อายุยืนนาน
อยู่ในศีลธรรมอันดี
ให้ได้เป็นเกียรติเป็นศรี ประโยชน์ทวี
แก่ชาติและประเทศไทยเทอญฯ
.
(ผู้นาสวด) ปัญญาวุฒิกเร เต เต ทินโนวาเท นมามิหัง
.
ความหมาย
.
ปาเจราจริยาโหนติ คุณุตตรานุสาสกา  แปลว่า ครูอาจารย์เป็นผู้ทรงคุณอันประเสริฐยิ่ง เป็นผู้พร่าสอนศิลปวิทยากร
.
ปัญญาวุฒิกเร เต เต ทินโนวาเท นมามิหัง  แปลว่า ข้าพเจ้าขอนอบน้อมเหล่านั้น ผู้ให้โอวาท ผู้ทาให้ปัญญาเจริญ ข้าพเจ้าขอกราบไหว้ครู อาจารย์เหล่านั้น ด้วยความเคารพ
.
.
.
เพลงพระคุณที่สาม
ครูบาอาจารย์ ที่ท่านประทานความรู้มาให้
อบรมจิตใจ ให้รู้ผิดชอบ ชั่วดี
ก่อนจะนอนสวดมนต์อ้อนวอนทุกที
ขอกุศลบุญบารมีส่งเสริมครูนี้ให้ร่มเย็น
ครูมีบุญคุณจะต้องเทิดทูลเอาไว้เหนือเกล้า
ท่านสั่งสอนเรา อบรมให้เราไม่เว้น
ท่านอุทิศ ไม่คิดถึงความยากเย็น
สอนให้รู้จัดเจน เฝ้าแนะ เฝ้าเน้น มิได้อาพราง
* พระคุณที่สาม งดงามแจ่มใส
แต่ว่าใครหนอใคร เปรียบเปรยครูไว้ว่าเป็นเรือจ้าง
ถ้าหากจะคิด ยิ่งคิดยิ่งเห็นว่าผิดทาง
มีใครไหนบ้างแนะนาแนวทางอย่างครู
บุญเคยทามาตั้งแต่ปางใด เรายกให้ท่าน
ตั้งใจกราบกราน เคารพคุณท่าน กตัญญู
โรคและภัย อย่ามาแผ้วพานคุณครู
ขอกุศลผลบุญค้าชู ให้ครูมีสุขชั่วนิรันดร...
ร้องซ้า * ให้ครูมีสุขชั่วนิรันดร...
.
ที่มา sites.google
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 16, 2022, 08:07:31 am
.
วันมาฆบูชา และ วันกตัญญูแห่งชาติ
.
.
.

วันมาฆบูชา

ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓

.

"มาฆะ" เป็นชื่อของเดือน ๓ มาฆบูชานั้น ย่อมาจากคำว่า"มาฆบุรณมี" แปลว่าการบูชาพระในวันเพ็ญ เดือน ๓ วันมาฆบูชาจึงตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ แต่ถ้าปีใดมีเดือน อธิกมาส คือมีเดือน ๘ สองครั้ง วันมาฆบูชาก็จะเลื่อนไปเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ เป็นวันสำคัญวันหนึ่ง ในวันพุทธศาสนา คือวันที่มีการประชุมสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพุทธศาสนา ที่เรียกว่า "จาตุรงคสันนิบาต" และเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปฎิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวกเป็นครั้งแรก ณ เวฬุวันวิหาร กรุงราชคฤห์ เพื่อให้พระสงฆ์นำไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อจะยังพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป

.

โอวาทปาฏิโมกข์

.

โอวาทปาฏิโมกข์ - หลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา หรือคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระพุทธพจน์ ๓ คาถากึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ผู้ไปประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ พระเวฬุ วนาราม ในวันเพ็ญเดือน ๓ ที่เราเรียกกันว่าวันมาฆบูชา (ถรรถกถากล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ นี้ แก่ที่ประชุมสงฆ์ตลอดมา เป็นเวลา ๒๐ พรรษา ก่อนที่จะโปรดให้สวดปาฏิโมกข์อย่างปัจจุบันนี้แทนต่อมา),

.

คาถา โอวาทปาฏิโมกข์ มีดังนี้ (โอวาทปาติโมกข์ ก็เขียน)

.

สพฺพปาปสฺส อกรณํกุสลสฺสูปสมฺปทา

สจิตฺตปริโยทปนํเอตํ พุทธาน สาสนํฯ

ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา

นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา

น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี

สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ

อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร

มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ

อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ

.

แปล :

.

การไม่ทำความชั่วทั้งปวง, การบำเพ็ญแต่ความดี, การทำจิตของตนให้ผ่องใส นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง,

พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่านิพพาน เป็นบรมธรรม,

ผู้ทำร้ายคนอื่นไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต,

ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ

การไม่กล่าวร้าย, การไม่ทำร้าย, ความสำรวมในปาฏิโมกข์,

ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร, ที่นั่งนอนอันสงัด, ความเพียรในอธิจิต นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

.

ที่เข้าใจกันโดยทั่วไป และจำกันได้มาก ก็คือ ความในคาถาแรกที่ว่า

.

"ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส"

.

คำว่า "จาตุรงคสันนิบาต" แยกศัพท์ได้ดังนี้ คือ "จาตุร" แปลว่า ๔ "องค์" แปลว่า ส่วน "สันนิบาต" แปลว่า ประชุม ฉะนั้นจาตุรงคสันนิบาตจึงหมายความว่า "การประชุมด้วยองค์ ๔" กล่าวคือมีเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นพร้อมกันในวันนี้ คือ

.

๑. เป็นวันที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันที่เวฬุวันวิหารในกรุงราชคฤห์ โดยมิได้นัดหมาย

.

๒. พระภิกษุสงฆ์เหล่านี้ล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" คือเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบทโดยตรงจาก พระพุทธเจ้าทั้งสิ้น

.

๓. พระภิกษุสงฆ์ทุกองค์ที่ได้มาประชุมในครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นผุ้ได้บรรลุพระอรหันต์แล้วทุก ๆองค์

.

๔. เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงกำลังเสวยมาฆฤกษ

.

การปฎิบัติตนสำหรับพุทธศาสนาในวันนี้ก็คือ

.

การทำบุญตักบาตรในตอนเช้า หรือไม่ก็จัดหาอาหารคาวหวานไปทำบุญฟังเทศน์ที่วัด ตอนบ่ายฟังพระแสดงพระธรรมเทศนา

.

ในตอนกลางคืน จะพากันนำดอกไม้ ธูปเทียน ไปที่วัดเพื่อชุมนุมกันทำพิธีเวียนเทียนรอบพระอุโบสถพร้อมกับพระภิกษุสงฆ์ โดยเจ้าอาวาสจะนำว่า นะโม ๓ จบ จากนั้นกล่าวคำถวายดอกไม้ธูปเทียน ทุกคนว่าตาม จบแล้วเดินเวียนขวา ตลอดเวลาให้ระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ จนครบ ๓ รอบ แล้วนำดอกไม้ ธูปเทียนไปปักบูชาตามที่ทางวัดเตรียมไว้เป็นอันเสร็จพิธี

.ที่มา dhammathai


.
.
.

วันกตัญญูแห่งชาติ

.

#ว่าด้วยเรื่องความกตัญญู

คณะรัฐมนตรี ในปีพ.ศ.2549 กำหนดให้วันมาฆะบูชา เป็นวันกตัญญูแห่ง่ชาติเพิ่มเติมขึ้นมาอีกวัน

.

.

.***************************************.

.

.

รัตนะที่หาได้ยาก

.

เจ้าลิจฉวีทั้งหลาย !  ความปรากฏขึ้นแห่งรัตนะ ๕ ประการ หาได้ยากในโลก.

๕ ประการ อย่างไรเล่า ? คือ :-

.

(๑) ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ

(๒) บุคคลผู้แสดงธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว

(๓) บุคคลผู้รู้แจ้งธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว อันผู้อื่นแสดงแล้ว

(๔) บุคคลผู้รู้แจ้งธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว อันผู้อื่นแสดงแล้ว ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม

(๕) กตัญญูกตเวทีบุคคล

.

เจ้าลิจฉวีทั้งหลาย !  ความปรากฏขึ้นแห่งรัตนะ ๕ ประการนี้แล หาได้ยากในโลก.

.

-บาลี ปญฺจก. อํ. ๒๒/๒๖๖/๑๙๕.

.

.

.***************************************.

.

.

[๒๗๗]

.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เราจักแสดงภูมิอสัตบุรุษและสัตบุรุษแก่เธอทั้งหลาย  เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว

.

 ภิกษุทั้งหลายนั้น ทูลรับพระดำรัสพระผู้มีพระภาคแล้ว

.

 พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภูมิอสัตบุรุษเป็นไฉน  อสัตบุรุษย่อมเป็นคนอกตัญญูอกตเวที  ก็ความเป็นคนอกตัญญูอกตเวทีนี้  อสัตบุรุษทั้งหลายสรรเสริญ

.

 ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ความเป็นคนอกตัญญูอกตเวทีนี้  เป็นภูมิอสัตบุรุษทั้งสิ้น

.

 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนสัตบุรุษย่อมเป็นคนกตัญญูกตเวที ก็ความเป็นคนกตัญญูกตเวทีนี้  สัตบุรุษทั้งหลายสรรเสริญ . ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ความเป็นคนกตัญญูกตเวทีทั้งหมดนี้ เป็นภูมิสัตบุรุษ ฯ

.

 พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับหลวง

เล่มที่ ๒๐ หน้าที่ ๕๘ ข้อที่ ๒๗๗.

.

.

.***************************************.

.

.

ความกตัญญู

.

โพสโดย Baan Ananya บ้านอนัญญา

.

11 เมษายน 2019

.

#ความกตัญญู คือ การรู้สึกสำนึกในคุณ ด้วยแสดงความเคารพ นับถือ เชื่อฟัง และช่วยเหลือในกิจการงานต่าง ๆ การกระทำเช่นนี้ ย่อมนำมาซึ่งความสุข ความเจริญ และเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตและหน้าที่การงาน

.

#ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี

.

การที่เยาวชนไทยได้รับการปลูกฝังคุณลักษณะที่ดีในเรื่องของความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณถือเป็นเรื่องที่ดี เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้สังคม การเลี้ยงดูของครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยอบรมและส่งเสริมพฤติกรรมของเยาวชนให้มีคุณลักษณะของการเป็นคนมีความกตัญญู ความตระหนักรู้ในคุณของบุคคล สัตว์ และสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อตนเองทั้งโดยตรงและโดยอ้อม

.

ปัจจุบันมีกระแสความเจริญทางเทคโนโลยีอย่างไร้ขีดจำกัด สิ่งยั่วยุให้เกิดการเบี่ยงเบนของพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของเยาวชน ตลอดจนการสร้างความเจริญทางวัตถุที่มากไป จนลืมคำนึงถึงความเจริญทางด้านจิตใจ ตลอดจนความต้องการทางด้านวัตถุเพื่อมาสนองความต้องการทางกาย ทางใจในการดำรงชีวิตประจำวันของสมาชิกในสังคมนั้น ทำให้เกิดการแย่งชิงโอกาส เพื่อการประกอบการเลี้ยงชีพ โดยลืมคำนึงเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมในจิตใจ ลืมคำนึงถึงวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของคนไทยที่มีความกตัญญู รู้จักตอบแทนบุญคุณ ซึ่งความกตัญญูเป็นคุณธรรมที่สำคัญอย่างยิ่ง ที่จะช่วยรักษาและพยุงสังคมไทย

.

ผู้ที่มีความกตัญญู คือ มีจิตสำนึกในคุณท่านและคิดตอบแทน ส่วนผู้ที่ไม่มีความกตัญญูคือคนอกตัญญู ไม่รู้คุณ ย่อมถูกประณามว่า เป็นคนไม่ดี ไม่น่าคบหา ความกตัญญูเป็นคุณธรรมพื้นฐานของมนุษย์ในสังคมมนุษย์ต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้อื่นและสิ่งอื่น ชีวิตด้านกายภาพดำรงอยู่ได้เพราะได้รับการอุปการะเลี้ยงดูจากบุคคลต่างๆ มีพ่อแม่ ครูอาจารย์ ญาติพี่น้อง เป็นต้น

.

ความกตัญญูนี้เป็นคุณธรรมที่มนุษย์ควรปฏิบัติไม่เฉพาะต่อมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น แต่รวมไปถึงต่อสัตว์และพืชด้วย ผู้ที่มีความกตัญญูย่อมจะทำตนเองให้มีความสุขและทำผู้อื่นให้มีความสุขด้วย

.

ลักษณะของคนมีความกตัญญูตามหลักพระพุทธศาสนา มี 2 ลักษณะ ได้แก่

.

1. #กตัญญูชั้นสามัญ คือ กตัญญูอย่างสามัญทั่วไป หมายถึง รู้อุปการคุณที่บุคคลอื่นทำให้เรา ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดกตเวที คือ การตอบแทนคุณ ซึ่งเด็กจะยอมรับว่าใครมีคุณก็ต่อเมื่อเขาทำอะไรให้กับตนเท่านั้น เช่น ยอมรับว่าพ่อแม่มีพระคุณ เพราะได้เลี้ยงดูมา ยอมรับว่าครูมีพระคุณ เพราะได้อบรมสั่งสอน ยอมรับว่าญาติพี่น้องมีบุญคุณ เพราะเคยให้ข้าวให้ขนม

.

2.#กตัญญูชั้นสัตบุรุษ เป็นความกตัญญูชั้นสูง หมายถึง การรู้จักคุณธรรมความดีที่มีอยู่ในตัวบุคคลอื่น ใครมีความดีก็รู้ว่าเขาเป็นคนดี ไม่ว่าจะทำอะไรให้เราหรือไม่ก็ตาม ไม่ยึดเอาตัวเองเป็นเครื่องวัดความดีของคนอื่น เป็นการตัดสินความดีด้วยความดี และรู้จนกระทั่งว่าธรรมทั้งหลายมีคุณค่าอย่างไร และพยายามถ่ายทอดคุณลักษณะที่ดีนั้นมาใส่ตัวเรา เพื่อจะได้ทำความดีเป็นแบบอย่างที่ดีเหมือนเขา

.

ส่วนการแสดงออกต่อผู้มีพระคุณมีลักษณะ ดังนี้

.

- ประกาศคุณท่าน คือ การประกาศว่าผู้มีพระคุณของเราดีอย่างไรบ้าง เช่น ถ้าผู้มีพระคุณเป็นพ่อแม่ ทำโดยพูดถึงพ่อแม่ให้คนอื่นฟังได้ว่า ท่านดีกับเราอย่างไร กิจกรรมที่นิยมทำกันมากคือ การทำบัตรอวยพรวันพ่อและวันแม่ แต่วิธีที่ดีที่สุดคือ ประกาศที่ตัวเอง เพราะเป็นลูกและได้รับการอบรมมาจากพ่อแม่ ฉะนั้น ความประพฤติของเด็กจะเป็นตัวประกาศคุณพ่อแม่ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

.

ตอบแทนคุณท่าน คือ เมื่อรู้ว่าท่านมีคุณหรือมีอุปการะ ต้องตอบแทน เช่น ถ้าผู้มีพระคุณเป็นพ่อแม่ ก็ต้องตอบแทนคุณ โดยกระทำตนเป็นบุตร ธิดาที่ดี

.

#ความกตัญญูมีความสำคัญอย่างไร?

.

ความกตัญญูกตเวทีเป็นคุณธรรมที่สำคัญสำหรับมนุษยชาติ เป็นคุณธรรมพื้นฐานของมนุษย์ ทำให้มีความสัมพันธ์กันในสังคมมนุษย์และเป็นบ่อเกิดแห่งความรับผิดชอบต่อความเป็นมนุษย์ และเป็นคุณธรรมเบื้องตนของมนุษยธรรมทั้งหลาย เพราะเป็นเครื่องทำลายความเห็นแก่ตัวซึ่งเป็นศัตรูสำคัญของความดี เป็นเหตุให้เกิดความสุขุม รอบคอบ ความสำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบ จำแนกความสำคัญของความกตัญญูกตเวทีได้ดังนี้

.

ความกตัญญูกตเวทีเป็นวัฒนธรรมที่ดีงาม ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมไทยได้สอดแทรกความกตัญญูกตเวทีไว้เกือบทุกเรื่อง เช่น การทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ตาย การบวช วันขึ้นปีใหม่ วันสงกรานต์ วันลอยกระทง เป็นต้น

.

ความกตัญญูกตเวที ทำให้สถาบันครอบครัวและสังคมมั่นคง ซึ่งนับว่าเป็นหลักธรรมพื้นฐานที่ทำให้มนุษย์รู้จักการกระทำหน้าที่อันเหมาะสมของตนเอง โดยเริ่มจากความรับผิดชอบต่อตนเอง ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ในสถาบันครอบครัว โดยบิดามารดาทำหน้าที่ในฐานะบุพการี และบุตรธิดาปฏิบัติหน้าที่ต่อบิดามารดาในฐานะผู้มีความกตัญญูกตเวที อันจะขยายผลในระดับสังคมที่กว้างออกไป ความกตัญญูช่วยให้โลกอยู่รอดไม่มีปัญหา ปัญหาคนชราไม่มีคนเลี้ยง ปัญหาสงคราม ปัญหาความโหดร้ายทารุณ ปัญหาการเมือง ปัญหาเศรษฐกิจ ฯลฯ ก็จะหมดไป

.

สภาวะสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติจะสมดุลไม่ถูกทำลาย คนมีความกตัญญูย่อมระลึกถึงบุญคุณของป่าไม้ ทุ่งนา แม่น้ำ ลำธาร ถนนหนทาง และสิ่งสาธารณประโยชน์อื่นๆ ฯลฯ ช่วยกันอนุรักษ์ บำรุง รักษาให้สิ่งเหล่านั้นคงอยู่ร่วมกับมนุษย์อย่างสมดุลและกลมกลืน

.

ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี

.

ความกตัญญูทำให้สถาบันครอบครัวและสังคมมั่นคง ซึ่งนับว่าเป็นหลักธรรมพื้นฐานที่ทำให้มนุษย์รู้จักการกระทำหน้าที่อันเหมาะสมของตนเอง โดยเริ่มจากมีความรับผิดชอบต่อตนเอง ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ในสถาบันครอบครัว โดยพ่อแม่ทำหน้าที่เป็นบุพการี และลูกปฏิบัติหน้าที่ต่อพ่อแม่ในฐานะผู้มีความกตัญญู ซึ่งจะขยายผลในระดับสังคมที่กว้างออกไป

.

ความกตัญญูช่วยให้โลกอยู่รอดปลอดภัย ปัญหาสังคม เช่น ปัญหาคนชราไม่มีคนเลี้ยง ปัญหาสงคราม ปัญหาความโหดร้ายทารุณ ปัญหาการเมือง ปัญหาเศรษฐกิจจะหมดไป สภาวะสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติจะไม่ถูกทำลาย เพราะคนมีความกตัญญูย่อมระลึกถึงบุญคุณของป่าไม้ ทุ่งนา แม่น้ำ ลำธาร ถนนหนทาง และสิ่งสาธารณประโยชน์อื่นๆ ช่วยกันอนุรักษ์ บำรุง รักษาให้สิ่งเหล่านั้นคงอยู่ร่วมกับมนุษย์อย่างสมดุล การที่เด็กเป็นคนกตัญญูกตเวที ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อตัวเด็กมีดังนี้

.

- ได้รับคำสรรเสริญจากสังคมส่วนรวม

.

- กระทำการใดๆที่ดีก็จะสำเร็จเนื่องจากได้รับการช่วยเหลือจากสังคม

.

- ได้รับการยกย่องจากสังคม

.

- เป็นคนที่สังคมต้องการและยอมรับ

.

#ประโยชน์ของความกตัญญู และโทษของการไม่มีความกตัญญูทั้งต่อตนเองและต่อสังคม

.

บุคคลผู้มีความกตัญญูเป็นคนดีและรักษาความดีไว้ได้ เป็นผู้น่าคบค้าสมาคม ได้รับการยกย่องสรรเสริญ ความกตัญญูยังทำให้คนในสังคมช่วยเหลือกัน พึ่งพาอาศัยอยู่กันด้วยดี มีความร่มเย็นเป็นสุข

.

ส่วนโทษของการไม่มีความกตัญญู ย่อมทำให้ตนเองและสังคม มีแต่ความทุกข์ ความเดือดร้อน ความเสื่อม หาคนคบค้าสมาคมได้ยาก เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งตนเองและสังคม ย่อมจะได้รับโทษของการไม่มีความกตัญญู

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 28, 2022, 08:50:18 pm
.
วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม 2565 ผมเปิดการให้ร่วมทำบุญบูชา รูปหล่อลอยองค์พยามัจจุราชเจ้า
.
แต่หากท่านใดมีความประสงค์ที่จะร่วมทำบุญแต่ไม่รับองค์พยามัจจุราชเจ้า
สามารถร่วมทำบุญได้ตามที่แจ้งไว้ด้านล่าง
.
ให้ร่วมทำบุญบูชาองค์ละ 500 บาท
.
เริ่มต้นการร่วมทำบุญ วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม 2565 เวลาปัจจุบัน
.
สิ้นสุดการร่วมทำบุญ วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม 2565 เวลา 12.00 น.
.
เงินที่ทุกท่านร่วมทำบุญมาทั้งหมด ผมจะแบ่งเป็น 3 ส่วน เพื่อทำบุญทั้ง 3 ส่วน
.
ส่วนที่ 1 ร่วมทำบุญการจัดซื้อโคมไฟฯ ถวายวัดป่าภัทรปิยาราม จ.ลพบุรี
.
ส่วนที่ 2 ถวายปัจจัยส่วนตัวแด่หลวงพ่อสนอง วัดนครไทยวราราม จ.พิษณุโลก
.
ส่วนที่ 3 ถวายปัจจัยแด่แม่รุ่งนภา บ้านแสงแห่งธรรม จ.พิษณุโลก
เพื่อร่วมสมทบทุนการจัดตั้งโรงทาน ณ สถานที่ต่างๆ
.
ผมปิดรับการร่วมทำบุญในวันจันทร์ที่ 28 มีนาคม 2565
.
.
.
และในวันจันทร์ที่ 28 มีนาคม 2565
.
สมาชิกไลน์กลุ่มพระวังหน้า
สมาชิกไลน์กลุ่มพระวังหน้าโลกอุดร
สมาชิกชมรมพระวังหน้า
.
ได้ร่วมทำบุญดังนี้
.
1.ร่วมทำบุญสมทบทุนในการจัดซื้อโคมไฟ เพื่อประดิษฐานบนเพดานพระอุโบสถวัดป่าภัทรปิยาราม จ.ลพบุรี จำนวน 4,500 บาท
.
2.ถวายปัจจัยส่วนตัวแด่ หลวงพ่อสนอง วัดนครไทยวราราม จ.พิษณุโลก จำนวน 4,500 บาท
.
3.ร่วมสมทบทุนการออกโรงทาน ของคณะบ้านแสงแห่งธรรม จ.พิษณุโลก จำนวน 4,500 บาท
.
ขอโมทนาบุญกับทุกท่าน
.
มาโมทนาบุญร่วมกัน ครับ
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 08, 2022, 12:27:29 pm
.
เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2563 ทางชมรมพระวังหน้า , สมาชิกชมรมพระวังหน้า , สมาชิกไลน์กลุ่มพระวังหน้า ได้ร่วมกันจัดทำป้าย(สแตนเลส) ประวัติของหลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า และ ประวัติหลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า และนำไปถวายไว้ที๋วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร บริเวณที่ประดิษฐาน รูปหล่อองค์หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า และ รูปหล่อองค์หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า
.
ปัจจุบันนี้ ผมกำลังจะดำเนินเตรียมการจัดทำป้าย(สแตนเลส) ประวัติของหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า เพื่อนำไปตั้งไว้ที่ วัดบ่อเงินบ่อทอง (ต.หนองแหน ตำบล หนองแหน อำเภอพนมสารคาม ฉะเชิงเทรา 24120 เดิมชื่อ สำนักสงฆ์บ่อเงินบ่อทอง) จำนวน 2 ป้าย
.
ป้ายแรก จะนำไปตั้งไว้ที่ศาลาสวดมนต์ ที่จะมีรูปหล่อลอยองค์หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า (หลวงปู่เทพโลกอุดรนั่งบัลลังก์พญานาคคู่ ที่หลวงพ่อแผน ท่านทำหนังสือขอไปที่วัดป่าภัทรปิยาราม และหลวงพ่อแผน ท่านจะเดินทางไปอัญเชิญรูปหล่อลอยองค์หลวงปู่ฯ กลับไปตั้งบูชาในศาลาสวดมนต์ที่วัดบ่อเงินบ่อทอง )
.
ป้ายที่สอง จะนำไปตั้งไว้บริเวณที่รูปปั้นองค์หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า ที่วัดบ่อเงินบ่อทอง กำลังดำเนินการสร้างอยู่ในเวลานี้
.
ประวัติของหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า ที่กำลังจะดำเนินการสร้างขึ้น จะมีลักษณะเดียวกันกับ ป้าย(สแตนเลส) ประวัติของหลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า และ ประวัติหลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า ครับ
.
.
.
.
.
#หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ดำ
.
#หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ตีนโต
.
#หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เทพโลกอุดร หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เดินหน หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ในดง หรืออีกชื่อ #หลวงปู่โพรงโพธิ์
.
#หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี
.
#หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์
.
#หลวงปู่เทพโลกอุดร
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
.
#คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ
.
#สมเด็จพระพุฒาจารย์โตพรหมรังสี
.
#หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ
.
#พระอาจารย์ณริชธันร์ #วัดป่าภัทรปิยาราม
#หลวงปู่เทพโลกอุดรนั่งบัลลังก์พญานาคคู่
.
#หลวงพ่อแผน #วัดบ่อเงินบ่อทอง #สำนักสงฆ์บ่อเงินบ่อทอง
.
#ชมรมพระวังหน้า
.
#พระวังหน้า
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 24, 2022, 03:13:33 pm
.
เก็บตก
.
เมื่อวานนี้ (วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม 2565) ผมและหมู่คณะ
.
มากราบและมาร่วมทำบุญกับ พระอาจารย์ณริชธันร์ ที่วัดป่าภัทรปิยาราม
.
มาร่วมโมทนาบุญกันครับ บุญเสมอกัน
.
ขอบคุณ
 ภาพบางส่วนจากพี่หวาน ครับ
.
.
.
.
.
#หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ดำ
.
#หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ตีนโต
.
#หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เทพโลกอุดร  หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เดินหน  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ในดง  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่โพรงโพธิ์
.
#หลวงปู่พระฌานียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี (เดิมที่พิมพ์ไว้ #หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า เป็นการพิมพ์ผิด)
.
#หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์
.
#หลวงปู่เทพโลกอุดร
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
.
#คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ
.
#สมเด็จพระพุฒาจารย์โตพรหมรังสี
.
#หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ
.
#พระพุทธยมกปาฎิหาริย์
.
#พระพุทธมณีรัตนอัมรินทรถสถิต (พระประธาน พระอุโบสถเจดีย์ จักรรัตนอุโบสถ โลหะสัมฤทธิ์เจดีย์ บรมพิมาน พระพุทธมณีรัตนอัมรินทรถสถิต อัมพรสุวรรณนพรัตนมณีโชติจรัสสุริเยนทร์ วัดป่าภัทรปิยาราม)
.
#พระอุโบสถเจดีย์จักรรัตนอุโบสถโลหะสัมฤทธิ์เจดีย์ บรมพิมานพระพุทธมณีรัตนอัมรินทรถสถิตอัมพรสุวรรณนพรัตนมณีโชติจรัสสุริเยนทร์
.
#พระบรมธาตุเจดีย์ศรีอิทธิมนต์ทิพยสถานอรุโณโลกุตตระ
.
#พระอาจารย์ณริชธันร์  #วัดป่าภัทรปิยาราม
.
#ถ้าสุวรรณคูหามัฆวานวินิจฉัย
.
#พญานาคราชศีลวิสุทธิโลกาธิบดี
.
#ศาลาศรีอิทธิมนต์ (#ศาลาเคียงอุโบสถวัดป่าภัทรปิยาราม)
.
#วัดป่าถ้ำเสือ
.
#ชมรมพระวังหน้า
.
#พระวังหน้า
.
รูปสงวนลิขสิทธิ์
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 14, 2022, 09:24:28 am
.
มาย้ำกันครับว่า หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้าท่านมรณภาพไปแล้ว
.
เรื่องของอิทธิบาท 4  ที่มีพระสงฆ์หลายรูป และ ฆารวาสหลายคน บอกว่า  หลวงปู่ท่านทรงอิทธิบาท 4 แล้วมีชีวิตยืนยาวมาเป็นพันปี
อย่าไปหลงเชื่อ ครับ
.
 - ถ้าเป็นพระสงฆ์บอกมาว่า หลวงปู่ท่านยังมีชีวิตอยู่  โดยพระสงฆ์รูปนั้นบอกเพิ่มว่า รู้ด้วยญาณ หรือ ฌาณ  นั่นหมายความว่า พระสงฆ์รูปนั้น อาบัติปาราชิก ในเรื่อง กล่าวอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่จริง อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้าในตัวเองว่า เรารู้อย่างนี้ เราเห็นอย่างนี้ (ไม่รู้จริง แต่โอ้อวดความสามารถของตัวเอง) ยกเว้นเข้าใจตัวเองผิด
.
 - แต่ถ้าเป็นพระสงฆ์ที่บอกมาว่า หลวงปู่ท่านยังมีชีวิตอยู่จากการอ่านหนังสือ  นั่นหมายความว่า พระสงฆ์รูปนั้น กำลังกระทำกรรม มุสาวาท และ ต่อตีนโจร
.
 - ถ้าเป็นฆราวาสบอกมาว่า หลวงปู่ท่านยังมีชีวิตอยู่จากการอ่านหนังสือหรือ การฟังไม่ว่าจะฟังจากพระสงฆ์ หรือ ฟังจากฆรวาสคนอื่น  นั่นหมายความว่า ฆราวาสคนนั้น กำลังกระทำกรรม มุสาวาท และ ต่อตีนโจร
.
เรื่องที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบอกว่า หากใครปฏิบัติ อิทธิบาท 4 แล้ว จะมีชีวิตอยู่เป็นกัปป์  เรื่องนี้ต้องไปอ่านและทำความเข้าใจให้ดีๆว่า หมายถึงเรื่องอะไร
.
.
พระมูนียะเถระเจ้า ท่านมรณภาพ (นิพพาน) วันขึ้น 4 ค่ำ เดือน 5 ปีพุทธกาล 298
เข้าชุมไฟ (การประชุมเพลิง) วันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 6 ปีพุทธกาล 298
มีการเก็บธาตุ ที่ วัดศรีมหาธาตุแดนลว้า
(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 511)
.
.
.
หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร ( คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตตระ ที่มาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ จากการที่ พระเจ้าอโศกมหาราช ได้อาราธนามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ) ในสายที่ 8 จาก 9 สายของคณะพระธรรมทูตที่พระเจ้าอโศกมหาราชได้อาราธนามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆ ข้อมูลจาก หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย เขียนโดย พระราชกวี (อ่ำ ธมมทตโต) วัดโสมนัสวิหาร กรุงเทพมหานคร
.
หมายเหตุ ในหนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย เขียนโดย พระราชกวี (อ่ำ ธมมทตโต) วัดโสมนัสวิหาร กรุงเทพมหานคร เขียนคำว่า สุวัณณภูมิ แต่ในที่นี้ ผมขอใช้คำว่า สุวรรณภูมิ แทน เนื่องจากน่าจะเข้าใจกันได้ง่ายกว่า)
.
พระอุปัชฌาย์ของคณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตตระ คือ พระมหาโมคคัลลีปุตตติสสเถร ที่ท่านเป็นผู้เลือกคณะโสณะอุตตระ มาเป็นคณะพระธรรมทูตมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ
(พระมหาโมคคัลลีปุตตติสสเถร เป็นพระอุปัชฌาย์ของ พระโสณะเถระเจ้า , พระอุตตระเถระเจ้า , พระมูนียะเถระเจ้า , พระฌาณียะเถระเจ้า และ พระภูริยะเถระเจ้า)
(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 428)
.
คณะคณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตตระ เดินทางมาโดยทางเรือ มาถึงถิ่นสุวรรณภูมิที่เมืองทอง (ไม่ทราบว่า อยู่ในจังหวัดไหน) เมื่อเดือนอ้าย ขึ้น 14 ค่ำ ปีพุทธกาล 235 (ปีไทยฉลู) โดยอยู่ที่วัดปุณณาราม
(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 439)
.
พระมูนียะเถระเจ้า ท่านมรณภาพ (นิพพาน) วันขึ้น 4 ค่ำ เดือน 5 ปีพุทธกาล 298
เข้าชุมไฟ (การประชุมเพลิง) วันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 6 ปีพุทธกาล 298
มีการเก็บธาตุ ที่ วัดศรีมหาธาตุแดนลว้า
(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 511)
.
รูปสงวนลิขสิทธิ์
.
.
.
.
.
#หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ดำ
.
#หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ตีนโต
.
#หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เทพโลกอุดร หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เดินหน หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ในดง หรืออีกชื่อ #หลวงปู่โพรงโพธิ์
.
#หลวงปู่พระฌานียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี (เดิมที่พิมพ์ไว้ #หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า เป็นการพิมพ์ผิด)
.
#หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์
.
#หลวงปู่เทพโลกอุดร
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
.
#คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ
.
#สมเด็จพระพุฒาจารย์โตพรหมรังสี
.
#หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ
.
#พระเจ้าอโศกมหาราช
.
#ชมรมพระวังหน้า
.
#พระวังหน้า
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 28, 2022, 02:52:11 pm
.
สวัสดียามบ่าย วันอาทิตย์หรรษา
.
ที่มา https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/photos/a.1504006849889912/3081965762094005/ (https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/photos/a.1504006849889912/3081965762094005/)
.
.
วันนี้มาชมของที่หาได้ยากมาก
.
หาได้ยากกว่า พระสมเด็จ(วังหน้า)เนื้อทองคำ
หาได้ยากว่า พระกริ่งปวเรศ(ที่ องค์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ อธิษฐานจิตในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่) ทุกรุ่น
.
นั่นคือ รูปแกะเป็นรูปสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี
.
ที่ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี อธิษฐานจิตไว้ ขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
.
ครูบาอาจารย์ผมที่ท่านเคยตรวจดูทั้ง รูป (เนื้อหาทรงพิมพ์) และ นาม (พลังอิทธิคุณขององค์ผู้อธิษฐานจิต)
ท่านบอกกับผมมาว่า ให้นำพระสมเด็จทุกองค์ (ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี อธิษฐานจิตไว้ ขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่) รวมกัน ไว้ด้านข้างด้านหนึ่ง และ นำรูปแกะนี้ ไว้อีกด้านหนึ่ง
รูปแกะรูปนี้ ดีกว่า พระสมเด็จทุกองค์ฯรวมกัน ครับ
.
ผมแจ้งรายละเอียดเพียงเท่านี้
.
รูปสงวนลิขสิทธิ์
.

.
.
.
#หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ดำ
.
#หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ตีนโต
.
#หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เทพโลกอุดร หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เดินหน หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ในดง หรืออีกชื่อ #หลวงปู่โพรงโพธิ์
.
#หลวงปู่พระฌานียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี (เดิมที่พิมพ์ไว้ #หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า เป็นการพิมพ์ผิด)
.
#หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์
.
#หลวงปู่เทพโลกอุดร
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
.
#คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ
.
#สมเด็จพระพุฒาจารย์โตพรหมรังสี
.
#หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ
.
#พระเจ้าอโศกมหาราช
.
#ชมรมพระวังหน้า
.
#พระวังหน้า
.
#รูปแกะเป็นรูปสมเด็จพระพุฒาจารย์โตพรหมรังสี
#รูปแกะสมเด็จพระพุฒาจารย์โตพรหมรังสี
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 09, 2022, 08:59:54 pm
.
วันนี้ (วันศุกร์ที่ 9 กันยายน 2565)  ทางผม , ผู้บัญชาการที่บ้าน , สมาชิกไลน์กลุ่มพระวังหน้า , สมาชิกไลน์กลุ่มพระวังหน้าโลกอุดร และ สมาชิกชมรมพระวังหน้า
.
ได้ร่วมกันทำบุญ ในวาระงานบุญ 2 งาน
.
.
.
งานแรก  ร่วมทำบุญในการจัดสร้างป้ายสแตนเลสประวัติหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า จำนวน 2 ป้าย
ถวายหลวงพ่อแผน วัดบ่อเงินบ่อทอง จ.ฉะเชิงเทรา
.
เพื่อให้ผู้ที่ไปทำบุญ รวมทั้ง พระสงฆ์ และ สามเณร ที่วัด จะได้ทราบถึงประวัติ(ที่ถูกต้อง)โดยย่อขององค์หลวงปู่ฯ
.
ค่าจัดทำป้ายฯ จำนวน 44,800 บาท
.
.
.
งานบุญที่สอง  ร่วมกันทำบุญกับกลุ่ม บ้านแสงแห่งธรรม จ.พิษณุโลก
ร่วมทำบุญทั้งหมด 41,229.02 บาท
.
ตามรายละเอียดดังนี้
.
รายละเอียดงานบุญของบ้านแสงแห่งธรรม
.
ขอเชิญพี่น้องบ้านแสงฯ ที่เกิด เดือน กย. ร่วมเป็นเจ้าภาพงานบุญคนเกิดเดือน กย   ที่บ้านแสงแห่งธรรม. มีกิจกรรม ตักบาตร พระ 100 รูป แจกทานข้าวสารพร้อมชุด 100 ชุด เลี้ยงเพล เณร 200รู ปที่วัดตากฟ้าพระอารามหลวง บวชพระ 2 รูปที่วัดน้ำหนาว เริ่มงาน 17 -​20 ก.ย. นี้
.
17 ก.ย.65 แจกทาน 100 ชุดที่สำนักขุนไผ่
.
18 ก.ย.65 ตักบาตรข้าวสารอาหารแห้งพระสงฆ์ 100 รูปที่บ้านแสงแห่งธรรม
.
19 ก.ย.65 ถวายอาหารเพลพระ,เณร 300 รูปที่วัดตากฟ้า
.
20-21 ก.ย.65 รวมกำลังบุญบวชพระ 2 รูปส่งบุญให้เจ้ากรรมนายเวรเลย จบกำลังบุญอันยิ่งใหญในครั้งนี้
.
.
.
ขอโมทนาบุญกับทุกท่าน
.
มาโมทนาบุญร่วมกัน บุญเสมอกัน ครับ
.
.
.
#หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ดำ
.
#หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ตีนโต
.
#หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เทพโลกอุดร  หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เดินหน  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ในดง  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่โพรงโพธิ์
.
#หลวงปู่พระฌานียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี (เดิมที่พิมพ์ไว้ #หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า เป็นการพิมพ์ผิด)
.
#หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์
.
#หลวงปู่เทพโลกอุดร
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
.
#คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ
.
#สมเด็จพระพุฒาจารย์โตพรหมรังสี
.
#หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ
.
#บ้านแสงแห่งธรรม
#บ้านแสงแห่งธรรมทุ่งนาผางาม
.
#ชมรมพระวังหน้า
.
#พระวังหน้า
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 11, 2022, 09:55:00 am
.
สำหรับรายละเอียดของป้ายสแตนเลสประวัติหลวงปู่อิเกสาโร ที่จะดำเนินการจัดทำขึ้นฯ จำนวน 2 ป้าย
และ นำไปถวาย หลวงพ่อแผน ที่วัดบ่อเงินบ่อทอง ต.หนองแหน อ.มหาสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา
.
รายละเอียดในป้าย จะมีลักษณะนี้
เพียงแต่ป้ายแรกที่ดำเนินการจัดทำนั้น รายละเอียดตามรูป
ส่วนอีกป้าย รายละเอียดจะแตกต่างกันตรงบทสวดเท่านั้น ครับ
.
.
.
#หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ดำ
.
#หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ตีนโต
.
#หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เทพโลกอุดร หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เดินหน หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ในดง หรืออีกชื่อ #หลวงปู่โพรงโพธิ์
.
#หลวงปู่พระฌานียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี (เดิมที่พิมพ์ไว้ #หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า เป็นการพิมพ์ผิด)
.
#หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์
.
#หลวงปู่เทพโลกอุดร
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
.
#คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ
.
#สมเด็จพระพุฒาจารย์โตพรหมรังสี
.
#หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ
.
#พระเจ้าอโศกมหาราช
.
#ชมรมพระวังหน้า
.
#พระวังหน้า
.
หมายเหตุ ท่านสามารถนำรูปไปใช้ได้  โดยห้ามไม่ให้แต่งเติมเรื่องใดๆลงในรูป
รูปที่นำไปใช้ ต้องเป็นรุปเดิมๆเท่านั้น
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 17, 2022, 09:42:52 pm
.
วันนี้ (วันที่ 17 กันยายน 2565)
ผมมาเล่าสู่กันฟัง จากประสบการณ์ตรงที่ผมเคยผ่านการตายมาแล้ว
.
ชีวิตคนเราไม่เคยมีอะไรแน่นอน
อย่ามัวแต่ไปหลงอยู่กับ ทรัพย์สิน ชื่อเสียง เงินทอง เกียรติยศ
แต่ต้องทำความดี หมั่นทำบุญตามหลักธรรมะที่ถูกต้อง
นั่น คือ บุญกิริยาวัตถุ10 ที่เป็นวิธีการทำบุญที่ถูกต้อง
.
บุญกิริยาวัตถุ 10 มีดังนี้
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต))
บุญกิริยาวัตถุ 10 (ที่ตั้งแห่งการทำบุญ, ทางทำความดี — bases of meritorious action)
1. ทานมัย (ทำบุญด้วยการให้ปันสิ่งของ — meritorious action consisting in generosity; merit acquired by giving)
2. สีลมัย (ทำบุญด้วยการรักษาศีลหรือประพฤติดี — by observing the precepts or moral behavior)
3. ภาวนามัย (ทำบุญด้วยการเจริญภาวนาคือฝึกอบรมจิตใจ — by mental development)
4. อปจายนมัย (ทำบุญด้วยการประพฤติอ่อนน้อม — by humility or reverence)
5. เวยยาวัจจมัย (ทำบุญด้วยการช่วยขวนขวายรับใช้ — by rendering services)
6. ปัตติทานมัย (ทำบุญด้วยการเฉลี่ยส่วนแห่งความดีให้แก่ผู้อื่น — by sharing or giving out merit)
7. ปัตตานุโมทนามัย (ทำบุญด้วยการยินดีในความดีของผู้อื่น — by rejoicing in others’ merit)
8. ธัมมัสสวนมัย (ทำบุญด้วยการฟังธรรมศึกษาหาความรู้ — by listening to the Doctrine or right teaching)
9. ธัมมเทสนามัย (ทำบุญด้วยการสั่งสอนธรรมให้ความรู้ — by teaching the Doctrine or showing truth)
10. ทิฏฐุชุกัมม์ (ทำบุญด้วยการทำความเห็นให้ตรง — by straightening one’s views or forming correct views)
ข้อ 4 และข้อ 5 จัดเข้าในสีลมัย; 6 และ 7 ในทานมัย; 8 และ 9 ในภาวนามัย; ข้อ 10 ได้ทั้งทาน ศีล และภาวนา
.
.
.
เพราะเมื่อเสียชีวิตไปแล้ว ไม่สามารถที่จะทำบุญได้อีก (ยกเว้นแต่ พระสงฆ์ หรือ ฆารวาส ที่ปฏิบัติธรรมมาจนได้อริยบุคคล อนาคามี ที่จะไปปฏิบัติต่อที่พรหมชั้นสุทธาวาส เพื่อบรรลุอรหันต์ ที่พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด)
.
มาเริ่มกันเลย จากประสบการณ์ตรงของตัวผมเอง ครับ
.
เมื่อวันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม 2546 วันนั้นเป็นวันหยุดงาน แต่เนื่องจากงานผมเองมีมาก ผมจึงเข้าไปทำงาน ผมถึงที่ทำงานประมาณ 9 โมงเข้า(กว่าๆ) ผมเองก็นั่งทำงานไปเรื่อยๆ จนกระทั่งตอนบ่าย ผมรู้สึกหิวข้าว แต่เนื่องจากความขี้เกียจเดินไปซื้อข้าว ผมก็เลยเข้าไปที่ มินิมาร์ท ใกล้ๆที่ทำงาน เข้าไปซื้อไส้กรอกมา 2 อัน ตอนนั้น ผมเห็นพนักงานหยิบไส้กรอกออกมาจากตู้เย็น ที่ไส้กรอกมีคราบสีขาว พนักงานก็นำไปล้างทำความสะอาด แล้วนำมาอบให้ความร้อน ผมเองก็ไม่ได้คิดอะไร พอซื้อเสร็จก็กลับมากินในที่ทำงาน พร้อมกับ กินกาแฟร้อน 1 แก้ว
.
ให้หลังไปประมาณ 45 นาที ผมมีความรู้สึกว่า ร้อนมาก มีเหงื่อออก พะอืดพะอมมวนท้องมาก และปวดท้อง ผมเองคิดว่า สงสัยไส้กรอกที่กินน่าจะเสีย ผมก็เลยไปเข้าห้องน้ำ(ไปถ่าย) พอออกมาจากห้องน้ำ ผมก็เลยล้วงคอ เพื่อเอาไส้กรอกที่กินเข้าไป(ทำให้อ้วก)ออกมา แต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น มีอาการที่เพิ่มขึ้นก็คือ หมดแรง
.
ตอนนั้น ผมคิดว่า จะไปโรงพยาบาล แต่ เนื่องด้วยไม่มีแรงเลย ผมก็เลยโทร.ไปหาเพื่อนผม (คือ คิม) ให้มาหาผม และ ขอให้รับผมไปโรงพยาบาล พอเพื่อนผมมาถึงที่ทำงาน เพื่อนผมก็ปิดที่ทำงานให้ และ พาผมไปโรงพยาบาล (มาขอบคุณเพื่อนคิม ที่วันนั้นมาช่วยเหลือในการส่งผมเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง)
.
เพื่อนคิม นำผมไปส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่ทำงาน(มาก) ผมไปถึงโรงพยาบาลกรุงธน น่าจะประมาณ 3 - 4 โมงเย็น พยาบาลก็ได้นำตัวผมเข้าไปอยู่ในห้องพิเศษ และ ได้แจ้งกับทางครอบครัวผม ทางครอบครัวก็ได้มาหาผมที่โรงพยาบาล
.
ในคืนแรกที่นอนในโรงพยาบาล ผมเองก็ไม่ค่อยรู้สึกตัวเท่าไหร่ น้องชายผม (น้องตุ้ย) ได้นอนอยู่เป็นเพื่อน น้องตุ้ยได้เล่าให้ฟังว่า ทางพยาบาลได้เข้ามาฉีดยาให้ผมหลายครั้ง จนกระทั่งเมื่อเวลาประมาณ 5 ทุ่ม ผมเกิดอาการช็อก หัวใจหยุดเต้น ทางน้องชายผมก็ได้รีบแจ้งพยาบาลให้เข้ามาดูอาการ ทางพยาบาลได้เข้ามาปั๊มหัวใจผม และนำตัวผมเข้าไปในห้อง ICU (ในขณะนั้น ผมไม่รู้สึกตัวแล้ว)
.
ในช่วง 2 วันแรกที่อยู่ในห้อง ICU ผมไม่รู้สึกตัวเลย แต่เหมือนกับผมฝันไปว่า ผมไปเดินรอบ วอร์ดพยาบาล ไปดูพยาบาลนั่งทำงาน แต่พยาบาลก็ไม่ได้เงยหน้ามาหาผม แล้วผมก็เดินวนไปเวียนมา ไม่รู้ว่าจะไปไหนดี พอเดินได้สักพัก ความรู้สึกนั้นก็หายไป
ในช่วงนั้น มีหลายคนมาเยี่ยมผม รวมทั้ง ภรรยา(ในตอนนั้นยังไม่ได้แต่งงานกัน) และ แม่ยาย ทางแม่ยายผม เล่าให้ผมฟัง(ทีหลัง) ว่า ขาผมเย็นมาถึงหัวเข่าแล้ว และ มีหลายคนที่ไปบนกับศาลพระพรหมที่โรงพยาบาล (แม่ยาย , ภรรยา และ คนในครอบครัว) ขอให้ผมหายจากอาการป่วย มีเพื่อนผมคนหนึ่ง คือ ปุ้ย ปุ้ยได้ไปบนกับ รูปองค์พยามัจจุราช(ที่ผมตั้งไว้ไหว้ในที่ทำงาน) ว่า ถ้าผมหายจากอาการป่วย จะให้ผมไปแก้บนเอง
.
ในวันที่ 3 ของการอยู่ในห้อง ICU ผมฟื้นขึ้นมา ตัวผมเต็มไปด้วยสายที่ต่อจากอุปกรณ์ทางการแพทย์ , สายน้ำเกลือ และ ผมใส่ท่อช่วยหายใจอีกด้วย ในวันนี้ ผมยังมีอาการสลึมสลืออยู่บ้าง แต่ก็พอที่จะคุยได้บ้าง (จากคำบอกเล่าของภรรยาผม และ คนในครอบครัว)
.
พอเข้าวันที่ 4 ในห้อง ICU ผมเริ่มกลับมาเป็นปกติ และในวันนี้ ผมได้ถอดเ(ท่อ)ครื่องช่วยหายใจออก(ในช่วงเช้า ถ้าจำไม่ผิด) วันนี้ เริ่มหัดเดิน ผมรู้ว่า คนที่เดินไม่เป็น เป็นอย่างไร เพราะไม่รู้ว่า จะก้าวขาออกไปอย่างไร
ตอนที่หัดเดิน ผมได้ออกไปนอกห้องเป็นครั้งแรก ได้ไปเห็นวอร์ดพยาบาล พอเห็นเท่านั้น ผมรู้เลยว่า ผมเคยมาเดินรอบวอร์ดพยาบาล นี้แล้ว วอร์ดพยาบาล ที่เห็นนั้น เหมือนกับ วอร์ดพยาบาล ที่ผมฝันเห็นเลยครับ
.
ในวันที่ 5 ผมได้ย้ายไปอยู่ในห้องพิเศษ จนกระทั่ง วันที่ 10 ของการอยู่โรงพยาบาล ผมจึงได้ออกจากโรงพยาบาลแล้วมาพักฟื้นต่อที่บ้าน
.
ในช่วงพักฟื้น ทางแม่ยาย(และภรรยา)ผมได้มาหาผม มาเล่าให้ฟังว่า ผมเองได้ตายไปแล้ว แต่เนื่องจากยังมีบุญอยู่ รวมทั้งมีหลายคนที่ไปบนบานกันไว้ ทำให้ผมรอดตายมาได้ ที่สำคัญก็คือ พระภูมิที่ทำงานผม จะเล่นงานผมให้ถึงตาย ผมจึงเล่าให้แม่ยายฟังว่า มีอยู่ช่วงหนึ่งก่อนหน้านี้ ที่ทำงานผมได้มีการทำความสะอาดในที่ทำงาน ผมไปเห็นศาลพระภูมิ สกปรก มีใบไม้ร่วงหล่นที่ศาลเยอะ ผมก็เลยให้ลูกน้องไปทำความสะอาด ผมไปขอขมาก่อนที่จะให้ลูกน้องไปทำความสะอาด โดยการนำใบไม้ออก นำตุ๊กตานางรำ ออกมาทำความสะอาด แต่บังเอิญผมไปเห็นในศาลพระภูมิสกปรก ผมจึงยกมือไหว้ขอขมา แล้วให้ลูกน้องอัญเชิญ องค์พระภูมิออกมาจากศาล แต่ไม่มีใครกล้า ผมจึงเป็นคนที่อัญเชิญองค์พระภูมิออกมาจากศาล แล้วให้ลูกน้องทำความสะอาดภายในศาล จนสะอาด หลังจากนั้น ผมจึงอัญเชิญ พระภูมิเข้าไปตั้งภายในศาลใหม่
.
ทางแม่ยายผม จึงได้บอกว่า พระภูมิท่านโกรธมาก ที่ไปจับต้ององค์ท่าน แต่ผมบอกแม่ยายไปว่า ผมมีเจตนาดีที่จะทำความสะอาดภายในศาลให้ แม่ยายผมบอกต่อไปว่า พระภูมิท่านไม่ชอบให้ใครไปแตะต้ององค์ท่าน
.
วันที่ผมไปทำงานวันแรก ผมเข้าไปที่ศาลพระภูมิ (แต่ผมไม่ได้ยกมือไหว้) ผมไปบอกว่า ผมมีเจตนาดีที่จะทำความสะอาดภายในศาลให้ ไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดีเลย แต่มาทำกับผมแบบนี้ ผมไม่พอใจเช่นกัน หลังจากนี้ไป ต่างคนต่างอยู่ และ ผมไม่ไหว้พระภูมิอีกเลย
.
หลังจากนั้น เวลาที่ผมทำงาน ผมมักจะเห็นเงาดำๆ มายืนในบริเวณใกล้เคียงกับที่ผมทำงานอยู่บ่อยครั้ง จนกระทั่ง ผมได้พระขรรค์ด้ามองค์ท้าวเวสสุวรรณ (เป็นพระขรรค์ของวังหน้า) ผมจึงไปบอกกับพระภูมิอีกครั้งว่า ต่อไปนี้ ต่องคนต่างอยู่ อย่ามารบกวนกัน อย่ามายุ่งเกี่ยวกันอีก ไม่อย่างนั้น ผมจะขังพระภูมิไว้ที่ตรงนี้ ไปตลอดกาล จนกว่าจะมี อริยบุคคล มาแก้ไขให้
.
ต่อมา เวลาที่ผมมาทำงาน ผมก็ไม่เคยเห็นเงาดำๆมายืนบริเวณใกล้เคียงกับที่ผมนั่งทำงานอีกเลย
.
หลังจากที่ผมไปทำงาน ผมก็หาเวลาไปแก้บนตามสถานที่ต่างๆ จนครบถ้วน และ ไม่ติดเรื่องการบน ครับ
เท่าที่จำได้ในตอนนี้ ผมไปแก้บนที่ศาลพระพรหม(ที่โรงพยาบาลกรุงธน) และ ศาลพระพรหม(ที่สี่แยกราชประสงค์)
.
ผมเคยนำเรื่องนี้ ไปคุยกับ ครูบาอาจารย์ของผม ท่านก็บอกผมในลักษณะนี้เช่นกัน ว่า พระภูมิไม่พอใจผมมาก หรือ ผมอาจจะโดนพวกยาสั่งก็ได้
.
ผมขอเพิ่มเติมก็คือ เรื่องอาหารการกิน ต้องมีความระมัดระวังกันให้มากๆด้วยเช่นกัน
.
หลังจากที่ผมไปทำงานแล้ว ผมยังคงต้องไปพบแพทย์อีก (แต่จำไม่ได้แล้วว่า ไปอีกกี่ครั้ง) แต่ในครั้งสุดท้ายที่ไปพบแพทย์ ผมได้ถามว่า สรุปแล้วที่ผมไม่สบายในครั้งนี้ เนื่องจากสาเหตุอะไร ทางแพทย์ผู้รักษาผม ตอบกับผมมาว่า หาสาเหตุที่ผมไม่สบายไม่เจอ เพราะการตรวจหาสาเหตุ ตรวจกันหลายเรื่อง ทั้งเรื่องของการตรวจเลือด , ตรวจปัสสาวะ และ อื่นๆ และ ไม่ต้องรู้แล้วว่า ป่วยเป็นอะไร ให้รู้แค่ว่า ที่ป่วยนั้น ทางหมอรักษาให้หายป่วยแล้ว และ ไม่ต้องมาหากันอีก
.
.
.
สุดท้ายที่ขอฝากบอกกัน ก็คือ อย่าประมาทในชีวิต
เรื่องใดที่เป็นเรื่องที่ดี และ เป็นการสร้างบุญกุศลให้กับตนเอง ให้รีบทำกันครับ
ชีวิตคนเราไม่แน่นอน
ไม่มีใครที่กำหนดวันตายได้ (ยกเว้นคนที่ฆ่าตัวตาย)
ไม่มีใครที่รู้วันที่ตายได้ (ยกเว้นอริยบุคคลที่เป็นอรหันต์ หรือ อนาคามี)
.
.
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
.
คาถาธรรมบท อัปปมาทวรรคที่ ๒
.
[๑๒] ความไม่ประมาท เป็นทางเครื่องถึงอมตนิพพาน ความประมาท เป็นทางแห่งความตาย ชนผู้ไม่ประมาทย่อมไม่ตาย ชนเหล่าใดประมาทแล้วย่อมเป็นเหมือนคนตายแล้ว
.
บัณฑิตทั้งหลายตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ทราบเหตุนั่นโดยความแปลกกันแล้ว ย่อมบันเทิงในความไม่ประมาท ยินดีแล้วในธรรมอันเป็นโคจรของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านเหล่านั้น เป็นนักปราชญ์ เพ่งพินิจ มีความเพียรเป็นไปติดต่อมีความบากบั่นมั่นเป็นนิตย์ ย่อมถูกต้องนิพพานอันเกษมจากโยคะ หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ ยศย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มีความหมั่น มีสติ มีการงานอันสะอาด ผู้ใคร่ครวญแล้วจึงทำผู้สำรวมระวัง ผู้เป็นอยู่โดยธรรม และผู้ไม่ประมาท ผู้มีปัญญาพึงทำที่พึ่งที่ห้วงน้ำท่วมทับไม่ได้ ด้วยความหมั่นความไม่ประมาท ความสำรวมระวัง และความฝึกตน
.
ชนทั้งหลายผู้เป็นพาลมีปัญญาทราม ย่อมประกอบตามความประมาท
ส่วนนักปราชญ์ย่อมรักษาความไม่ประมาท เหมือนทรัพย์อันประเสริฐสุด
.
ท่านทั้งหลายอย่าประกอบตามความประมาทอย่าประกอบการชมเชยด้วยสามารถความยินดีในกามเพราะว่าคนผู้ไม่ประมาทแล้ว เพ่งอยู่ ย่อมถึงสุขอันไพบูลย์เมื่อใด บัณฑิตย่อมบรรเทาความประมาทด้วยความไม่ประมาทเมื่อนั้นบัณฑิตผู้มีความประมาทอันบรรเทาแล้วนั้น ขึ้นสู่ปัญญาดุจปราสาท ไม่มีความโศก ย่อมพิจารณาเห็นหมู่สัตว์ผู้มีความโศก นักปราชญ์ย่อมพิจารณาเห็นคนพาล เหมือนบุคคลอยู่บนภูเขามองเห็นคนผู้อยู่ที่ภาคพื้น
.
ฉะนั้น ผู้มีปัญญาดี เมื่อสัตว์ทั้งหลายประมาทแล้ว ย่อมไม่ประมาทเมื่อสัตว์ทั้งหลายหลับ ย่อมตื่นอยู่โดยมาก ย่อมละบุคคลเห็นปานนั้นไป ประดุจม้ามีกำลังเร็วละม้าไม่มีกำลังไป
.
ฉะนั้นท้าวมัฆวานถึง ความเป็นผู้ประเสริฐ ที่สุดกว่า เทวดาทั้งหลายด้วยความไม่ประมาท บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญความไม่ประมาท ความประมาทบัณฑิตติเตียนทุกเมื่อ ภิกษุยินดีแล้วในความไม่ประมาท หรือเห็นภัยในความประมาท เผาสังโยชน์น้อยใหญ่ไป ดังไฟไหม้เชื้อน้อยใหญ่ไป
.
ฉะนั้นภิกษุผู้ยินดีแล้วในความไม่ประมาทหรือเห็นภัยใน ความประมาทเป็นผู้ไม่ควรเพื่อจะเสื่อมรอบ ย่อมมีในที่ใกล้นิพพานทีเดียว ฯ
.
จบอัปปมาทวรรคที่ ๒
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กันยายน 19, 2022, 09:09:33 pm
.
.
.
มาเล่าต่อ ที่ทำงานเก่า (ที่เกิดเหตุที่ผมไปนอนที่โรงพยาบาลกรุงธน)
.
วันนั้นทำงานตอนมืด พี่ทำงานชั้นล่าง
ที่ทำงานมีชั้นลอย  และ ชั้น 2 กับ ชั้น 3
.
ปรากฎว่า วันนั้น ได้ยินเสียงคนเดิน เป็นเสียงรองเท้าแตะ เดินจากชั้นลอย ลงมาชั้นล่าง
ได้ยินชัดมาก
.
พอเสียงเดินลงมาถึงชั้นล่างแล้ว
.
ผมก็เลยตะโกนไปว่า งั้นก็กลับบ้านแล้ว
ตะโกนเสร็จ ก็เซฟงาน ปิดเครื่อง ปิดแบงค์ กลับบ้านเลย ครับ
.
แต่ก็ไม่ได้กลัวอะไร
.
อีกครั้ง วันรุ่งขึ้นจะทำบุญแบงค์
วันนั้นอยู่ค่ำมาก ถ้าจำไม่ผิด น่าจะประมาณ 1 - 2 ทุ่ม
.
กำลังจะกลับบ้าน มาปิดประตูด้านหลัง  (จะมีประตู 2 ชั้น  ชั้นแรก เป็นประตูที่เป็นเหล็กซี่ๆ  ต้องเลื่อนมาแล้วล็อคกุญแจ  ส่วนประตูอีกชั้น เป็นบานประตูเหล็ก)
.
มีประตูที่ชั้นลอย ที่อยู่ด้านหลัง (สามารถเดินลงมา เพื่อกลับบ้านได้  ลักษณะประตู เป็นเหล็กซี่ที่ต้องเลื่อนลงมาเพื่อล็อคกุญแจ)
.
พอปิดประตูเหล็ก กำลังจะเดินออกไป ปรากฎว่า มีเสียงเขย่าประตู(ที่เป็นเหล็กซี่ๆ) ที่อยู่ชั้นลอย เสียงนั้นชัดมาก
.
ตอนนั้น ตกใจ กลัวว่า จะมีคนแอบอยู่ข้างใน รอเวลาจะงัดแบงค์
.
ก็เลยเปิดประตูเข้าไป  ไปเดินดูตั้งแต่ชั้น 3 , ชั้น 2 , ชั้นลอย , ห้องน้ำทุกห้อง , ชั้นล่าง และในห้องผู้จัดการด้วย
.
ปรากฎว่า ไม่มีอะไรผิดสังเกตุเลย
.
สุดท้ายก็เลยมาล็อคประตูด้านหลัง
.
พอล็อกประตูเสร็จ ก็ตะโกนไปว่า พรุ่งนี้ จะไปบอกกับพี่ ให้จัดเตรียมอาหาร แล้วจะนำมาให้กิน
.
วันรุ่งขึ้น ก็ไปเล่าให้พี่เขาฟัง  ตอนแรกพี่เขาจะไม่ทำ บอกเพ้อเจ้อ
.
ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร  แต่อีกสักพัก  พี่เขาก็นำอาหารมาให้  บอกว่า ให้ผมไปถวายเอง
.
.
.
.
.
วันนี้ (วันที่ 17 กันยายน 2565)
ผมมาเล่าสู่กันฟัง จากประสบการณ์ตรงที่ผมเคยผ่านการตายมาแล้ว
.
ชีวิตคนเราไม่เคยมีอะไรแน่นอน
อย่ามัวแต่ไปหลงอยู่กับ ทรัพย์สิน ชื่อเสียง เงินทอง เกียรติยศ
แต่ต้องทำความดี หมั่นทำบุญตามหลักธรรมะที่ถูกต้อง
นั่น คือ บุญกิริยาวัตถุ10 ที่เป็นวิธีการทำบุญที่ถูกต้อง
.
บุญกิริยาวัตถุ 10 มีดังนี้
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต))
บุญกิริยาวัตถุ 10 (ที่ตั้งแห่งการทำบุญ, ทางทำความดี — bases of meritorious action)
1. ทานมัย (ทำบุญด้วยการให้ปันสิ่งของ — meritorious action consisting in generosity; merit acquired by giving)
2. สีลมัย (ทำบุญด้วยการรักษาศีลหรือประพฤติดี — by observing the precepts or moral behavior)
3. ภาวนามัย (ทำบุญด้วยการเจริญภาวนาคือฝึกอบรมจิตใจ — by mental development)
4. อปจายนมัย (ทำบุญด้วยการประพฤติอ่อนน้อม — by humility or reverence)
5. เวยยาวัจจมัย (ทำบุญด้วยการช่วยขวนขวายรับใช้ — by rendering services)
6. ปัตติทานมัย (ทำบุญด้วยการเฉลี่ยส่วนแห่งความดีให้แก่ผู้อื่น — by sharing or giving out merit)
7. ปัตตานุโมทนามัย (ทำบุญด้วยการยินดีในความดีของผู้อื่น — by rejoicing in others’ merit)
8. ธัมมัสสวนมัย (ทำบุญด้วยการฟังธรรมศึกษาหาความรู้ — by listening to the Doctrine or right teaching)
9. ธัมมเทสนามัย (ทำบุญด้วยการสั่งสอนธรรมให้ความรู้ — by teaching the Doctrine or showing truth)
10. ทิฏฐุชุกัมม์ (ทำบุญด้วยการทำความเห็นให้ตรง — by straightening one’s views or forming correct views)
ข้อ 4 และข้อ 5 จัดเข้าในสีลมัย; 6 และ 7 ในทานมัย; 8 และ 9 ในภาวนามัย; ข้อ 10 ได้ทั้งทาน ศีล และภาวนา
.
.
.
เพราะเมื่อเสียชีวิตไปแล้ว ไม่สามารถที่จะทำบุญได้อีก (ยกเว้นแต่ พระสงฆ์ หรือ ฆารวาส ที่ปฏิบัติธรรมมาจนได้อริยบุคคล อนาคามี ที่จะไปปฏิบัติต่อที่พรหมชั้นสุทธาวาส เพื่อบรรลุอรหันต์ ที่พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด)
.
มาเริ่มกันเลย จากประสบการณ์ตรงของตัวผมเอง ครับ
.
เมื่อวันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม 2546 วันนั้นเป็นวันหยุดงาน แต่เนื่องจากงานผมเองมีมาก ผมจึงเข้าไปทำงาน ผมถึงที่ทำงานประมาณ 9 โมงเข้า(กว่าๆ) ผมเองก็นั่งทำงานไปเรื่อยๆ จนกระทั่งตอนบ่าย ผมรู้สึกหิวข้าว แต่เนื่องจากความขี้เกียจเดินไปซื้อข้าว ผมก็เลยเข้าไปที่ มินิมาร์ท ใกล้ๆที่ทำงาน เข้าไปซื้อไส้กรอกมา 2 อัน ตอนนั้น ผมเห็นพนักงานหยิบไส้กรอกออกมาจากตู้เย็น ที่ไส้กรอกมีคราบสีขาว พนักงานก็นำไปล้างทำความสะอาด แล้วนำมาอบให้ความร้อน ผมเองก็ไม่ได้คิดอะไร พอซื้อเสร็จก็กลับมากินในที่ทำงาน พร้อมกับ กินกาแฟร้อน 1 แก้ว
.
ให้หลังไปประมาณ 45 นาที ผมมีความรู้สึกว่า ร้อนมาก มีเหงื่อออก พะอืดพะอมมวนท้องมาก และปวดท้อง ผมเองคิดว่า สงสัยไส้กรอกที่กินน่าจะเสีย ผมก็เลยไปเข้าห้องน้ำ(ไปถ่าย) พอออกมาจากห้องน้ำ ผมก็เลยล้วงคอ เพื่อเอาไส้กรอกที่กินเข้าไป(ทำให้อ้วก)ออกมา แต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น มีอาการที่เพิ่มขึ้นก็คือ หมดแรง
.
ตอนนั้น ผมคิดว่า จะไปโรงพยาบาล แต่ เนื่องด้วยไม่มีแรงเลย ผมก็เลยโทร.ไปหาเพื่อนผม (คือ คิม) ให้มาหาผม และ ขอให้รับผมไปโรงพยาบาล พอเพื่อนผมมาถึงที่ทำงาน เพื่อนผมก็ปิดที่ทำงานให้ และ พาผมไปโรงพยาบาล (มาขอบคุณเพื่อนคิม ที่วันนั้นมาช่วยเหลือในการส่งผมเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง)
.
เพื่อนคิม นำผมไปส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่ทำงาน(มาก) ผมไปถึงโรงพยาบาลกรุงธน น่าจะประมาณ 3 - 4 โมงเย็น พยาบาลก็ได้นำตัวผมเข้าไปอยู่ในห้องพิเศษ และ ได้แจ้งกับทางครอบครัวผม ทางครอบครัวก็ได้มาหาผมที่โรงพยาบาล
.
ในคืนแรกที่นอนในโรงพยาบาล ผมเองก็ไม่ค่อยรู้สึกตัวเท่าไหร่ น้องชายผม (น้องตุ้ย) ได้นอนอยู่เป็นเพื่อน น้องตุ้ยได้เล่าให้ฟังว่า ทางพยาบาลได้เข้ามาฉีดยาให้ผมหลายครั้ง จนกระทั่งเมื่อเวลาประมาณ 5 ทุ่ม ผมเกิดอาการช็อก หัวใจหยุดเต้น ทางน้องชายผมก็ได้รีบแจ้งพยาบาลให้เข้ามาดูอาการ ทางพยาบาลได้เข้ามาปั๊มหัวใจผม และนำตัวผมเข้าไปในห้อง ICU (ในขณะนั้น ผมไม่รู้สึกตัวแล้ว)
.
ในช่วง 2 วันแรกที่อยู่ในห้อง ICU ผมไม่รู้สึกตัวเลย แต่เหมือนกับผมฝันไปว่า ผมไปเดินรอบ วอร์ดพยาบาล ไปดูพยาบาลนั่งทำงาน แต่พยาบาลก็ไม่ได้เงยหน้ามาหาผม แล้วผมก็เดินวนไปเวียนมา ไม่รู้ว่าจะไปไหนดี พอเดินได้สักพัก ความรู้สึกนั้นก็หายไป
ในช่วงนั้น มีหลายคนมาเยี่ยมผม รวมทั้ง ภรรยา(ในตอนนั้นยังไม่ได้แต่งงานกัน) และ แม่ยาย ทางแม่ยายผม เล่าให้ผมฟัง(ทีหลัง) ว่า ขาผมเย็นมาถึงหัวเข่าแล้ว และ มีหลายคนที่ไปบนกับศาลพระพรหมที่โรงพยาบาล (แม่ยาย , ภรรยา และ คนในครอบครัว) ขอให้ผมหายจากอาการป่วย มีเพื่อนผมคนหนึ่ง คือ ปุ้ย ปุ้ยได้ไปบนกับ รูปองค์พยามัจจุราช(ที่ผมตั้งไว้ไหว้ในที่ทำงาน) ว่า ถ้าผมหายจากอาการป่วย จะให้ผมไปแก้บนเอง
.
ในวันที่ 3 ของการอยู่ในห้อง ICU ผมฟื้นขึ้นมา ตัวผมเต็มไปด้วยสายที่ต่อจากอุปกรณ์ทางการแพทย์ , สายน้ำเกลือ และ ผมใส่ท่อช่วยหายใจอีกด้วย ในวันนี้ ผมยังมีอาการสลึมสลืออยู่บ้าง แต่ก็พอที่จะคุยได้บ้าง (จากคำบอกเล่าของภรรยาผม และ คนในครอบครัว)
.
พอเข้าวันที่ 4 ในห้อง ICU ผมเริ่มกลับมาเป็นปกติ และในวันนี้ ผมได้ถอดเ(ท่อ)ครื่องช่วยหายใจออก(ในช่วงเช้า ถ้าจำไม่ผิด) วันนี้ เริ่มหัดเดิน ผมรู้ว่า คนที่เดินไม่เป็น เป็นอย่างไร เพราะไม่รู้ว่า จะก้าวขาออกไปอย่างไร
ตอนที่หัดเดิน ผมได้ออกไปนอกห้องเป็นครั้งแรก ได้ไปเห็นวอร์ดพยาบาล พอเห็นเท่านั้น ผมรู้เลยว่า ผมเคยมาเดินรอบวอร์ดพยาบาล นี้แล้ว วอร์ดพยาบาล ที่เห็นนั้น เหมือนกับ วอร์ดพยาบาล ที่ผมฝันเห็นเลยครับ
.
ในวันที่ 5 ผมได้ย้ายไปอยู่ในห้องพิเศษ จนกระทั่ง วันที่ 10 ของการอยู่โรงพยาบาล ผมจึงได้ออกจากโรงพยาบาลแล้วมาพักฟื้นต่อที่บ้าน
.
ในช่วงพักฟื้น ทางแม่ยาย(และภรรยา)ผมได้มาหาผม มาเล่าให้ฟังว่า ผมเองได้ตายไปแล้ว แต่เนื่องจากยังมีบุญอยู่ รวมทั้งมีหลายคนที่ไปบนบานกันไว้ ทำให้ผมรอดตายมาได้ ที่สำคัญก็คือ พระภูมิที่ทำงานผม จะเล่นงานผมให้ถึงตาย ผมจึงเล่าให้แม่ยายฟังว่า มีอยู่ช่วงหนึ่งก่อนหน้านี้ ที่ทำงานผมได้มีการทำความสะอาดในที่ทำงาน ผมไปเห็นศาลพระภูมิ สกปรก มีใบไม้ร่วงหล่นที่ศาลเยอะ ผมก็เลยให้ลูกน้องไปทำความสะอาด ผมไปขอขมาก่อนที่จะให้ลูกน้องไปทำความสะอาด โดยการนำใบไม้ออก นำตุ๊กตานางรำ ออกมาทำความสะอาด แต่บังเอิญผมไปเห็นในศาลพระภูมิสกปรก ผมจึงยกมือไหว้ขอขมา แล้วให้ลูกน้องอัญเชิญ องค์พระภูมิออกมาจากศาล แต่ไม่มีใครกล้า ผมจึงเป็นคนที่อัญเชิญองค์พระภูมิออกมาจากศาล แล้วให้ลูกน้องทำความสะอาดภายในศาล จนสะอาด หลังจากนั้น ผมจึงอัญเชิญ พระภูมิเข้าไปตั้งภายในศาลใหม่
.
ทางแม่ยายผม จึงได้บอกว่า พระภูมิท่านโกรธมาก ที่ไปจับต้ององค์ท่าน แต่ผมบอกแม่ยายไปว่า ผมมีเจตนาดีที่จะทำความสะอาดภายในศาลให้ แม่ยายผมบอกต่อไปว่า พระภูมิท่านไม่ชอบให้ใครไปแตะต้ององค์ท่าน
.
วันที่ผมไปทำงานวันแรก ผมเข้าไปที่ศาลพระภูมิ (แต่ผมไม่ได้ยกมือไหว้) ผมไปบอกว่า ผมมีเจตนาดีที่จะทำความสะอาดภายในศาลให้ ไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดีเลย แต่มาทำกับผมแบบนี้ ผมไม่พอใจเช่นกัน หลังจากนี้ไป ต่างคนต่างอยู่ และ ผมไม่ไหว้พระภูมิอีกเลย
.
หลังจากนั้น เวลาที่ผมทำงาน ผมมักจะเห็นเงาดำๆ มายืนในบริเวณใกล้เคียงกับที่ผมทำงานอยู่บ่อยครั้ง จนกระทั่ง ผมได้พระขรรค์ด้ามองค์ท้าวเวสสุวรรณ (เป็นพระขรรค์ของวังหน้า) ผมจึงไปบอกกับพระภูมิอีกครั้งว่า ต่อไปนี้ ต่องคนต่างอยู่ อย่ามารบกวนกัน อย่ามายุ่งเกี่ยวกันอีก ไม่อย่างนั้น ผมจะขังพระภูมิไว้ที่ตรงนี้ ไปตลอดกาล จนกว่าจะมี อริยบุคคล มาแก้ไขให้
.
ต่อมา เวลาที่ผมมาทำงาน ผมก็ไม่เคยเห็นเงาดำๆมายืนบริเวณใกล้เคียงกับที่ผมนั่งทำงานอีกเลย
.
หลังจากที่ผมไปทำงาน ผมก็หาเวลาไปแก้บนตามสถานที่ต่างๆ จนครบถ้วน และ ไม่ติดเรื่องการบน ครับ
เท่าที่จำได้ในตอนนี้ ผมไปแก้บนที่ศาลพระพรหม(ที่โรงพยาบาลกรุงธน) และ ศาลพระพรหม(ที่สี่แยกราชประสงค์)
.
ผมเคยนำเรื่องนี้ ไปคุยกับ ครูบาอาจารย์ของผม ท่านก็บอกผมในลักษณะนี้เช่นกัน ว่า พระภูมิไม่พอใจผมมาก หรือ ผมอาจจะโดนพวกยาสั่งก็ได้
.
ผมขอเพิ่มเติมก็คือ เรื่องอาหารการกิน ต้องมีความระมัดระวังกันให้มากๆด้วยเช่นกัน
.
หลังจากที่ผมไปทำงานแล้ว ผมยังคงต้องไปพบแพทย์อีก (แต่จำไม่ได้แล้วว่า ไปอีกกี่ครั้ง) แต่ในครั้งสุดท้ายที่ไปพบแพทย์ ผมได้ถามว่า สรุปแล้วที่ผมไม่สบายในครั้งนี้ เนื่องจากสาเหตุอะไร ทางแพทย์ผู้รักษาผม ตอบกับผมมาว่า หาสาเหตุที่ผมไม่สบายไม่เจอ เพราะการตรวจหาสาเหตุ ตรวจกันหลายเรื่อง ทั้งเรื่องของการตรวจเลือด , ตรวจปัสสาวะ และ อื่นๆ และ ไม่ต้องรู้แล้วว่า ป่วยเป็นอะไร ให้รู้แค่ว่า ที่ป่วยนั้น ทางหมอรักษาให้หายป่วยแล้ว และ ไม่ต้องมาหากันอีก
.
.
.
สุดท้ายที่ขอฝากบอกกัน ก็คือ อย่าประมาทในชีวิต
เรื่องใดที่เป็นเรื่องที่ดี และ เป็นการสร้างบุญกุศลให้กับตนเอง ให้รีบทำกันครับ
ชีวิตคนเราไม่แน่นอน
ไม่มีใครที่กำหนดวันตายได้ (ยกเว้นคนที่ฆ่าตัวตาย)
ไม่มีใครที่รู้วันที่ตายได้ (ยกเว้นอริยบุคคลที่เป็นอรหันต์ หรือ อนาคามี)
.
.
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
.
คาถาธรรมบท อัปปมาทวรรคที่ ๒
.
[๑๒] ความไม่ประมาท เป็นทางเครื่องถึงอมตนิพพาน ความประมาท เป็นทางแห่งความตาย ชนผู้ไม่ประมาทย่อมไม่ตาย ชนเหล่าใดประมาทแล้วย่อมเป็นเหมือนคนตายแล้ว
.
บัณฑิตทั้งหลายตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ทราบเหตุนั่นโดยความแปลกกันแล้ว ย่อมบันเทิงในความไม่ประมาท ยินดีแล้วในธรรมอันเป็นโคจรของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านเหล่านั้น เป็นนักปราชญ์ เพ่งพินิจ มีความเพียรเป็นไปติดต่อมีความบากบั่นมั่นเป็นนิตย์ ย่อมถูกต้องนิพพานอันเกษมจากโยคะ หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ ยศย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มีความหมั่น มีสติ มีการงานอันสะอาด ผู้ใคร่ครวญแล้วจึงทำผู้สำรวมระวัง ผู้เป็นอยู่โดยธรรม และผู้ไม่ประมาท ผู้มีปัญญาพึงทำที่พึ่งที่ห้วงน้ำท่วมทับไม่ได้ ด้วยความหมั่นความไม่ประมาท ความสำรวมระวัง และความฝึกตน
.
ชนทั้งหลายผู้เป็นพาลมีปัญญาทราม ย่อมประกอบตามความประมาท
ส่วนนักปราชญ์ย่อมรักษาความไม่ประมาท เหมือนทรัพย์อันประเสริฐสุด
.
ท่านทั้งหลายอย่าประกอบตามความประมาทอย่าประกอบการชมเชยด้วยสามารถความยินดีในกามเพราะว่าคนผู้ไม่ประมาทแล้ว เพ่งอยู่ ย่อมถึงสุขอันไพบูลย์เมื่อใด บัณฑิตย่อมบรรเทาความประมาทด้วยความไม่ประมาทเมื่อนั้นบัณฑิตผู้มีความประมาทอันบรรเทาแล้วนั้น ขึ้นสู่ปัญญาดุจปราสาท ไม่มีความโศก ย่อมพิจารณาเห็นหมู่สัตว์ผู้มีความโศก นักปราชญ์ย่อมพิจารณาเห็นคนพาล เหมือนบุคคลอยู่บนภูเขามองเห็นคนผู้อยู่ที่ภาคพื้น
.
ฉะนั้น ผู้มีปัญญาดี เมื่อสัตว์ทั้งหลายประมาทแล้ว ย่อมไม่ประมาทเมื่อสัตว์ทั้งหลายหลับ ย่อมตื่นอยู่โดยมาก ย่อมละบุคคลเห็นปานนั้นไป ประดุจม้ามีกำลังเร็วละม้าไม่มีกำลังไป
.
ฉะนั้นท้าวมัฆวานถึง ความเป็นผู้ประเสริฐ ที่สุดกว่า เทวดาทั้งหลายด้วยความไม่ประมาท บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญความไม่ประมาท ความประมาทบัณฑิตติเตียนทุกเมื่อ ภิกษุยินดีแล้วในความไม่ประมาท หรือเห็นภัยในความประมาท เผาสังโยชน์น้อยใหญ่ไป ดังไฟไหม้เชื้อน้อยใหญ่ไป
.
ฉะนั้นภิกษุผู้ยินดีแล้วในความไม่ประมาทหรือเห็นภัยใน ความประมาทเป็นผู้ไม่ควรเพื่อจะเสื่อมรอบ ย่อมมีในที่ใกล้นิพพานทีเดียว ฯ
.
จบอัปปมาทวรรคที่ ๒
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ตุลาคม 16, 2022, 10:36:26 am
.
.
.
เมื่อวานนี้ (วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม 2565)
ไปงานบุญที่ #วัดบ่อเงินบ่อทอง
.
#หลวงพ่อโสธร ที่ #วัดโสธรวรารามวรวิหาร
.
หลังจากนั้น ผมเดินทางต่อไปที่ วัดบ่อเงินบ่อทอง
.
ไปทำบุญหลายงานบุญ
.
- ถวายเพลพระภิกษุสงฆ์ และ สามเณร
.
- ถวายป้าย(สแตนเลส)ประวัติหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า จำนวน 2 ป้าย
.
- ถวายปัจจัยร่วมงาน #กฐินสามัคคีของวัดบ่อเงินบ่อทอง
เพื่อซื้อที่ดินถวายให้แก่วัด ถวายให้“เป็นที่ธรณีสงฆ์”
.
- ถวายปัจจัยร่วมสร้างรูปหล่อหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า
.
- ถวายปัจจัยสำหรับใช้ในการจัดซื้อภัตตาหาร , อาหารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอาหารสด หรือ อาหารแห้ง
เพื่อถวายเป็นภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์และสามเณรที่วัดบ่อเงินบ่อทอง
.
- ถวายพระวังหน้า และ พระใหม่ (ที่บรรจุในกล่องสแตนเลส) เพื่อบรรจุไว้ที่วัดบ่อเงินบ่อทอง
.
การทำบุญทั้งหมด เป็นการร่วมทำบุญของ สมาชิกชมรมพระวังหน้า , สมาชิกไลน์กลุ่มพระวังหน้า และ สมาชิกไลน์กลุ่มพระวังหน้าโลกอุดร
.
ขอโมทนาบุญกับทุกท่าน
มาร่วมโมทนาบุญกัน บุญเสมอกัน ครับ
.
.
.
หากต้องการทราบประวัติ(โดยย่อ)หลวงปู่อิเกสาโร หรืออีกชื่อคือ หลวงปู่เดินหน
.
ไปอ่านได้ที่วัดบ่อเงินบ่อทอง
.
ผม , สมาชิกชมรมพระวังหน้า , สมาชิกไลน์กลุ่มพระวังหน้า และ สมาชิกไลน์กลุ่มพระวังหน้าโลกอุดร เป็นผู้ดำเนินการจัดสร้างขึ้น และ เมื่อวานนี้ได้นำไปถวายหลวงพ่อแผน ที่วัดบ่อเงินบ่อทองเรียบร้อยแล้ว
.
เดิมข้อความทั้งสองป้ายที่ไม่เหมือนกันคือ ชื่อหลวงปู่ฯ และ คำไหว้
แต่ไม่ทราบจากสาเหตุใด
ผู้ดำเนินการจัดทำป้ายฯ ทำข้อความมาเหมือนกันทั้งสองป้ายฯ ครับ
.
อยากทราบว่า เหมือนกันอย่างไร  ต้องไปเห็นกับตาตนเอง ครับ
.
.
.
หมายเหตุ ผมเคยบอกบุญในเรื่องการจัดสร้างป้าย(สแตนเลส)ประวัติหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า หากมีเงินเหลือจากการจัดสร้างป้ายฯ ผมจะโอนไปร่วมทำบุญกับกลุ่มบ้านแสงแห่งธรรม โดยผมนำวัตถุมงคลที่เป็นทั้งพระวังหน้า และวัตถุมงคลอื่นๆ ไปมอบให้ผู้ร่วมทำบุญ (โดยผมบอกบุญไปประมาณ 4 ครั้ง) อีกทั้งมีหลายท่านที่ร่วมทำบุญโดยไม่รับพระวังหน้าและวัตถุมงคล
.
เมื่อบอกบุญไปแล้ว มีผู้ร่วมทำบุญมาหลายท่าน รวมเงิน 86,029.02 บาท
ผมโอนเงินไปเป็นค่าจัดสร้างป้าย(สแตนเลส)ประวัติหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า จำนวน 44,800 บาท
ส่วนที่เหลือ ผมโอนไปทำบุญกับกลุ่มบ้านแสงแห่งธรรม จำนวน 41,229.02 บาท
.
งานบุญที่กลุ่มบ้านแสงแห่งธรรม ไปทำบุญ มีรายละเอียด(แบบคร่าวๆ) ดังนี้
.
- เลี้ยงพระสงฆ์และสามเณร..วัดตากฟ้าพระอารามหลวง อ.ตากฟ้า จ.นครสวรรค์
- รอบแรก แจกลูกชิ้นปิ้ง 300 ชุดที่ รพ.เนินมะปราง
และ รอบสองเป็นข้าวกับผัดไทย (ผัดไทย 200 กล่อง , ข้าวผัดหมูยอทอด100 กล่อง รวม 300 กล่อง)
- บวชพระภิกษุ 1 รูป และ สามเณร 1 รูป
เป็นต้น
.
ขอโมทนาบุญกับทุกท่าน
มาร่วมโมทนาบุญกัน บุญเสมอกัน ครับ
.
.
.
.
.
#หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ดำ
.
#หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ตีนโต
.
#หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เทพโลกอุดร หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เดินหน หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ในดง หรืออีกชื่อ #หลวงปู่โพรงโพ (เดิมที่พิมพ์ว่า #หลวงปู่โพรงโพธิ์ เป็นการที่ผมพิมพ์ผิด)
.
#หลวงปู่พระฌานียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี (เดิมที่พิมพ์ไว้ #หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า เป็นการพิมพ์ผิด)
.
#หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์
.
#หลวงปู่เทพโลกอุดร
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
.
#คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ
.
#หลวงปู่แจ้งฌาณ
.
#สมเด็จพระพุฒาจารย์โตพรหมรังสี
.
#หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ
.
#ชมรมพระวังหน้า
.
#พระวังหน้า
.
รูปสงวนลิขสิทธิ์
.
.
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 27, 2022, 03:21:26 pm
.
พระธรรมทูต องค์ที่ 4 ในคณะพระธรรมทูต คณะโสณะอุตตระ
ที่มาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ ปี พุทธศักราช 235
.
นั่นคือ
.
หลวงปู่พระฌานียะเถระเจ้า (หรืออีกชื่อ หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา จ.ลพบุรี)
.
ไม้เท้าที่ผมลงให้ชม เป็นไม้เท้าที่มีท่านที่ให้จัดสร้างขึ้น แล้วนำไปถวายหลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า
หลังจากนั้น หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า ได้นำไม้เท้าอันนี้ วางไว้บนตักของท่านเอง
ปัจจุบัน ไม้เท้าอันนี้ อยู่ที่บ้านผม ครับ
.
.
.
พระฌาณียะเถระเจ้า ท่านมรณภาพ (นิพพาน) วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 8 ปีพุทธกาล 278
เข้าชุมไฟ (การประชุมเพลิง) วันแรม 15 ค่ำ เดือน 8 ปีพุทธกาล 278
มีการเก็บธาตุ ที่ วัดศรีมหาธาตุแดนลว้า
(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 506 - 507)
.
Sithiphong (Noom Wangna) ผู้เรียบเรียง โดยเรียบเรียงมาจากหนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย เขียนโดย พระราชกวี (อ่ำ ธมมทตโต) วัดโสมนัสวิหาร กรุงเทพมหานคร
.
พระฌาณียะเถระเจ้า
มีรูปกายค่อยข้างสูงใหญ่ ขนตาดกยาว มีอำนาจ แต่ขี้เล่นใจดี
.
(หนังสือบรมครูพระเทพโลกอุดร หน้าที่ 23 - 25)
.

Sithiphong (Noom Wangna) ผู้เรียบเรียง โดยเรียบเรียงมาจากหนังสือบรมครูพระเทพโลกอุดร ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ผู้เขียน
.
.
.
พระอุปัชฌาย์ของคณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตตระ คือ พระมหาโมคคัลลีปุตตติสสเถร ที่ท่านเป็นผู้เลือกคณะโสณะอุตตระ มาเป็นคณะพระธรรมทูตมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ
(พระมหาโมคคัลลีปุตตติสสเถร เป็นพระอุปัชฌาย์ของ พระโสณะเถระเจ้า , พระอุตตระเถระเจ้า , พระมูนียะเถระเจ้า , พระฌาณียะเถระเจ้า และ พระภูริยะเถระเจ้า)
(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 428)
.
คณะคณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตตระ เดินทางมาโดยทางเรือ มาถึงถิ่นสุวรรณภูมิที่เมืองทอง (ไม่ทราบว่า อยู่ในจังหวัดไหน) เมื่อเดือนอ้าย ขึ้น 14 ค่ำ ปีพุทธกาล 235 (ปีไทยฉลู) โดยอยู่ที่วัดปุณณาราม
(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 439)
.
.
.
ประวัติโดยย่อ หลวงปู่พระฌานียะเถระเจ้า (หรืออีกชื่อ หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา จ.ลพบุรี)
.
พระธรรมทูต องค์ที่ 4 ในคณะพระธรรมทูต คณะโสณะอุตตระ
ที่มาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ ปี พุทธศักราช 235
.
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02AZWq9V4T3wqHcvFuVubZkNLUpLsmxGnrT8XVHyXU8u2jJ6XFRn6CxzgrYKB79WGsl&id=100081560750868&mibextid=Nif5oz (https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02AZWq9V4T3wqHcvFuVubZkNLUpLsmxGnrT8XVHyXU8u2jJ6XFRn6CxzgrYKB79WGsl&id=100081560750868&mibextid=Nif5oz)
.
.
.
ประวัติ(บางส่วน) ของ หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
ที่มา https://www.facebook.com/1503999719890625/posts/3068881583402423/ (https://www.facebook.com/1503999719890625/posts/3068881583402423/)
.
ประวัติ (บางส่วน) ของ คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตตระ
ที่มา https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02TkVbLQPvJGjuZvQeTb2p4JWygvxqpdECNRNnKpfuaFjdtQMTPbnFPfw5QtTWjJHel&id=100081560750868&mibextid=Nif5oz (https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02TkVbLQPvJGjuZvQeTb2p4JWygvxqpdECNRNnKpfuaFjdtQMTPbnFPfw5QtTWjJHel&id=100081560750868&mibextid=Nif5oz)
.
ประวัติ พระมหากัสสปะ (ไม่ใช่หลวงปู่เทพโลกอุดร หรือ คณะพระธรรมทูต คณะโสณะอุตระ)
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid031WS19qPt2A8UFpzmUTPVCfyJ4obLQamvcV7FajrYKJG4Q9cQaBByiLTmvsZH6FZil&id=100081560750868&mibextid=Nif5oz (https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid031WS19qPt2A8UFpzmUTPVCfyJ4obLQamvcV7FajrYKJG4Q9cQaBByiLTmvsZH6FZil&id=100081560750868&mibextid=Nif5oz)
.
.
.
.

รูปสงวนลิขสิทธิ์

.

.

.

#หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ดำ

.

#หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ตีนโต

.

#หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เทพโลกอุดร หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เดินหน หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ในดง หรืออีกชื่อ #หลวงปู่โพรงโพ (เดิมพิมพ์ว่า #หลวงปู่โพรงโพธิ์ เป็นการพิมพ์ผิด)

.

#หลวงปู่พระฌานียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี (เดิมที่พิมพ์ไว้ #หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า เป็นการพิมพ์ผิด)

.

#หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ

.

#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์

.

#หลวงปู่เทพโลกอุดร

.

#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร

.

#คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ

.

#สมเด็จพระพุฒาจารย์โตพรหมรังสี

.

#หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ

.

#พระเจ้าอโศกมหาราช

.

#ชมรมพระวังหน้า

.

#พระวังหน้า

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 28, 2022, 09:27:31 pm
.
.
พระธรรมทูต องค์ที่ 5 ในคณะพระธรรมทูต คณะโสณะอุตตระ
ที่มาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ ปี พุทธศักราช 235
.
นั่นคือ
.
หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า ( หรืออีกชื่อ หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ หลวงพ่อโอภาสี วัดโอภาสี กรุงเทพ )
.
.
.
พระภูริยะเถระเจ้า ท่านมรณภาพ (นิพพาน) วันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 3 ปีพุทธกาล 295
เข้าชุมไฟ (การประชุมเพลิง) วันขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5 ปีพุทธกาล 295
มีการเก็บธาตุ ที่ วัดศรีมหาธาตุแดนลว้า
(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 511)
.
Sithiphong (Noom Wangna) ผู้เรียบเรียง โดยเรียบเรียงมาจากหนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย เขียนโดย พระราชกวี (อ่ำ ธมมทตโต) วัดโสมนัสวิหาร กรุงเทพมหานคร
.
พระภูริยะเถระเจ้า
สำเร็จปรอท ล่องหนย่นระยะทางเก่ง
.
(หนังสือบรมครูพระเทพโลกอุดร หน้าที่ 23 - 25)
.
Sithiphong (Noom Wangna) ผู้เรียบเรียง โดยเรียบเรียงมาจากหนังสือบรมครูพระเทพโลกอุดร ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ผู้เขียน
.
.
.
พระอุปัชฌาย์ของคณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตตระ คือ พระมหาโมคคัลลีปุตตติสสเถร ที่ท่านเป็นผู้เลือกคณะโสณะอุตตระ มาเป็นคณะพระธรรมทูตมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ
(พระมหาโมคคัลลีปุตตติสสเถร เป็นพระอุปัชฌาย์ของ พระโสณะเถระเจ้า , พระอุตตระเถระเจ้า , พระมูนียะเถระเจ้า , พระฌาณียะเถระเจ้า และ พระภูริยะเถระเจ้า)
(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 428)
.
คณะคณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตตระ เดินทางมาโดยทางเรือ มาถึงถิ่นสุวรรณภูมิที่เมืองทอง (ไม่ทราบว่า อยู่ในจังหวัดไหน) เมื่อเดือนอ้าย ขึ้น 14 ค่ำ ปีพุทธกาล 235 (ปีไทยฉลู) โดยอยู่ที่วัดปุณณาราม
(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 439)
.
.
.
ประวัติโดยย่อ หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า ( หรืออีกชื่อ หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ หลวงพ่อโอภาสี วัดโอภาสี กรุงเทพ )
.
พระธรรมทูต องค์ที่ 5 ในคณะพระธรรมทูต คณะโสณะอุตตระ
ที่มาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ ปี พุทธศักราช 235
.
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02aNUfagxoxw96w4gu9SfXvW3bgGftUmBKNaqYzuZyBk64BGcUoKeQJUv7kkDDQn7Kl&id=100081560750868&mibextid=Nif5oz (https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02aNUfagxoxw96w4gu9SfXvW3bgGftUmBKNaqYzuZyBk64BGcUoKeQJUv7kkDDQn7Kl&id=100081560750868&mibextid=Nif5oz)
.
.
.
ประวัติ(บางส่วน) ของ หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
ที่มา https://www.facebook.com/1503999719890625/posts/3068881583402423/ (https://www.facebook.com/1503999719890625/posts/3068881583402423/)
.
ประวัติ (บางส่วน) ของ คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตตระ
ที่มา https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02TkVbLQPvJGjuZvQeTb2p4JWygvxqpdECNRNnKpfuaFjdtQMTPbnFPfw5QtTWjJHel&id=100081560750868&mibextid=Nif5oz (https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02TkVbLQPvJGjuZvQeTb2p4JWygvxqpdECNRNnKpfuaFjdtQMTPbnFPfw5QtTWjJHel&id=100081560750868&mibextid=Nif5oz)
.
ประวัติ พระมหากัสสปะ (ไม่ใช่หลวงปู่เทพโลกอุดร หรือ คณะพระธรรมทูต คณะโสณะอุตระ)
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid031WS19qPt2A8UFpzmUTPVCfyJ4obLQamvcV7FajrYKJG4Q9cQaBByiLTmvsZH6FZil&id=100081560750868&mibextid=Nif5oz (https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid031WS19qPt2A8UFpzmUTPVCfyJ4obLQamvcV7FajrYKJG4Q9cQaBByiLTmvsZH6FZil&id=100081560750868&mibextid=Nif5oz)
.
.
.
.
รูปสงวนลิขสิทธิ์
.
.
.
#หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ดำ
.
#หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ตีนโต
.
#หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เทพโลกอุดร หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เดินหน หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ในดง หรืออีกชื่อ #หลวงปู่โพรงโพ (เดิมพิมพ์ว่า #หลวงปู่โพรงโพธิ์ เป็นการพิมพ์ผิด)
.
#หลวงปู่พระฌานียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี (เดิมที่พิมพ์ไว้ #หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า เป็นการพิมพ์ผิด)
.
#หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์
.
#หลวงปู่เทพโลกอุดร
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
.
#คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ
.
#สมเด็จพระพุฒาจารย์โตพรหมรังสี
.
#หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ
.
#พระเจ้าอโศกมหาราช
.
#ชมรมพระวังหน้า
.
#พระวังหน้า
.
#ต่อตีนโจร
.

.

.

.

#ไม่เคยนำปืนไปจ่อหัวบังคับใครให้กระทำ

#การกระทำเป็นการกระทำด้วยกายวาจาใจของตนเองทั้งสิ้น

.

.

.

#กระทำถูกกฎระเบียบหน่วยงานราชการและบริษัทแต่ผิดกฎหมายต้องถูกดำเนินคดี

#กระทำถูกต้องตามกฎหมายแต่ผิดกฎแห่งกรรมต้องไปใช้กรรมเสมอ

.

.

.

#ต่อให้ไปไหว้พระพุทธรูปทั่วโลก

#ต่อให้ไปไหว้พระอริยสงฆ์ทั่วโลก

#ต่อให้ไปไหว้เทวรูปเทวดาทั่วโลก

#ไม่มีใครช่วยให้หนีกรรมพ้น

.

.

.

#ไม่ว่าใหญ่แค่ไหน

#ไม่ว่ารวยล้นฟ้าเพียงใด

#ไม่มีใครหนีกรรมพ้น

#แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังหนีกรรมไม่พ้น

.

.

.

#ต่อให้ใหญ่แค่ไหน

#ต่อให้รวยล้นฟ้าเพียงใด

#ไม่เคยมีใครหนีกรรมพ้น

#แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังต้องชดใช้กรรม

#บุพกรรมพระพุทธเจ้า

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 12, 2022, 09:58:11 am
.
ผม Sithiphong (Noom Wangna) ขอนำเรื่องราวของ พระมูนียะเถระเจ้า นำมาให้อ่านกันอีกครั้ง
ผมเองเคยนำลงไปแล้วในการนำเรื่องราวของ คณะพระธรรมทูต คณะโสณะอุตตระ มาลงให้อ่านกัน
แต่ในครั้งนี้  ผมจะนำเรื่องราวเฉพาะองค์หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า นำมาลงให้อ่านกันอีกครั้ง ครับ
.
มายืนยันว่า หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร ( คณะพระธรรมทูต คณะโสณะอุตตระ ที่ประกอบด้วยแกนหลัก คือ พระโสณะเถระเจ้า , พระอุตตระเถระเจ้า , พระมูนียะเถระเจ้า , พระฌาณียะเถระเจ้า และ พระภูริยะเถระเจ้า) ได้มรณภาพกันไปทั้งหมดแล้ว และกายที่ท่านมีในปัจจุบันคือ อทิสมานกาย ไม่มีตัวตนที่แท้จริง แต่เนื่องจากการที่คณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร มีการฝึกฤทธิ์มามาก ส่งผลให้สามารถทำให้อทิสมานกาย ปรากฎเป็นกายเนื้อได้
.
อีกเรื่องก็คือ ปัจจุบันมีรูป พระภิกษุที่เป็นรูปโครงกระดูก ที่ระบุเป็นรูปของหลวงปู่เดินหน (พระมูนียะเถระเจ้า) โครงกระดูกที่ปรากฎนั้น เป็นสิ่งที่หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า ท่านทำให้ปรากฎขึ้น เพื่อให้คนทั้งหลายที่ได้เห็น จะได้ระลึกถึงเรื่อง อสุภกรรมฐาน ส่วนกายของหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า ได้มีการประชุมเพลิง(ฌาปนกิจ) ไปเมื่อปีพุทธกาล 298 (ตามข้อมูลด้านล่างที่ผมนำมาให้อ่านกันอีกครั้ง) ครับ
.
ขอกราบในพระคุณของหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร ( คณะพระธรรมทูต คณะโสณะอุตตระ ที่ประกอบด้วยแกนหลัก คือ พระโสณะเถระเจ้า , พระอุตตระเถระเจ้า , พระมูนียะเถระเจ้า , พระฌาณียะเถระเจ้า และ พระภูริยะเถระเจ้า) ที่ทำให้ดินแดนสุวรรณภูมิ มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาหลัก ที่ทำให้ผู้คนได้มีหลักปฎิบัติตามหลักธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อความหลุดพ้นในวัฏสงสาร มุ่งสู่แดนพระนิพพาน
.
โลกุตตะโร ปัญจะมหาเถโร อะหัง วันทามิ ตัง สะทา เมตตาลาโภ นะโสมิยะ อะหะพุทโธ
.
กราบ กราบ กราบ กราบ กราบ
Sithiphong (Noom Wangna)
.
.
หมายเหตุ  ให้ระวังเรื่องของการเผยแพร่องค์ความรู้ที่ไม่ถูกต้อง  ที่มีความเสี่ยงในเรื่องของการกระทำกรรม "มุสาวาท" ที่เป็นกรรมที่ไม่สามารถแก้ไขได้บนโลกออนไลน์ เพราะว่า จะไม่ทราบได้เลยว่า เรื่องที่นำเสนอที่เป็นเรื่องมุสาวาท มีใครเชื่อและเผยแพร่กันต่อๆไป และการนำเสนอและเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเรื่องมุสาวาท จะเป็นเรื่องของการ "ต่อตีนโจร" ที่ผมเคยนำมาลงให้อ่านกันแล้ว ครับ
.
#ต่อตีนโจร
#มุสาวาท
.
.
.
.
.
หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร ( คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตตระ ที่มาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ จากการที่ พระเจ้าอโศกมหาราช ได้อาราธนามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ) ในสายที่ 8 จาก 9 สายของคณะพระธรรมทูตที่พระเจ้าอโศกมหาราชได้อาราธนามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆ ข้อมูลจาก หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย เขียนโดย พระราชกวี (อ่ำ ธมมทตโต) วัดโสมนัสวิหาร กรุงเทพมหานคร
.
หมายเหตุ ในหนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย เขียนโดย พระราชกวี (อ่ำ ธมมทตโต) วัดโสมนัสวิหาร กรุงเทพมหานคร เขียนคำว่า สุวัณณภูมิ แต่ในที่นี้ ผมขอใช้คำว่า สุวรรณภูมิ แทน เนื่องจากน่าจะเข้าใจกันได้ง่ายกว่า)
.
.
พระอุปัชฌาย์ของคณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตตระ คือ พระมหาโมคคัลลีปุตตติสสเถร ที่ท่านเป็นผู้เลือกคณะโสณะอุตตระ มาเป็นคณะพระธรรมทูตมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ
(พระมหาโมคคัลลีปุตตติสสเถร เป็นพระอุปัชฌาย์ของ พระโสณะเถระเจ้า , พระอุตตระเถระเจ้า , พระมูนียะเถระเจ้า , พระฌาณียะเถระเจ้า และ พระภูริยะเถระเจ้า)
(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 428)
.
คณะคณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตตระ เดินทางมาโดยทางเรือ มาถึงถิ่นสุวรรณภูมิที่เมืองทอง (ไม่ทราบว่า อยู่ในจังหวัดไหน) เมื่อเดือนอ้าย ขึ้น 14 ค่ำ ปีพุทธกาล 235 (ปีไทยฉลู) โดยอยู่ที่วัดปุณณาราม
(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 439)
.
.
พระมูนียะเถระเจ้า ท่านมรณภาพ (นิพพาน) วันขึ้น 4 ค่ำ เดือน 5 ปีพุทธกาล 298
เข้าชุมไฟ (การประชุมเพลิง) วันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 6 ปีพุทธกาล 298
มีการเก็บธาตุ ที่ วัดศรีมหาธาตุแดนลว้า
(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 511)
.
.
ชื่อ วัดศรีมหาธาตุแดนลว้า
โลกกนลว เมืองสุวัณณภูมิ ผู้โปรสเห้าหม่อมเมีย(ก้านตาเทวี) เป็นผู้ให้สร้างวัดศรีมหาธาตุแดนลว้า เมื่อวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ปีพุทธกาล 238
(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 443-444)
.
Sithiphong (Noom Wangna) ผู้เรียบเรียง โดยเรียบเรียงมาจากหนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย เขียนโดย พระราชกวี (อ่ำ ธมมทตโต) วัดโสมนัสวิหาร กรุงเทพมหานคร
.
.
.
.
.
.
หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร ( คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตตระ ที่มาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ จากการที่ พระเจ้าอโศกมหาราช ได้อาราธนามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ) ข้อมูลจาก หนังสือบรมครูพระเทพโลกอุดร ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ผู้เขียน
.
.
พระมูนียะเถระเจ้า
มีบุคลิกภาพสง่างาม มีความเชี่ยวชาญในวิชาแปรธาตุ เป็นผู้คงแก่เรียน ชอบเจริญอสุภกรรมฐาน 10 (ภาพในนิมิตร มักจะปรากฎเส้นเกสายาวจรดเอว)
.
(หนังสือบรมครูพระเทพโลกอุดร หน้าที่ 23 - 25)
.
.
คณะคณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตตระ เดินทางมาโดยทางเรือ มาถึงถิ่นสุวรรณภูมิ โดยได้มาพักที่ วัดช้างค่อม (นครศรีธรรมราช) เมื่อวันขึ้น 14 คำ เดือน 1 พุทธศักราช 235
(หนังสือบรมครูพระเทพโลกอุดร หน้าที่ 10)
.
.
Sithiphong (Noom Wangna) ผู้เรียบเรียง โดยเรียบเรียงมาจากหนังสือบรมครูพระเทพโลกอุดร ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ผู้เขียน
.
.
.
#หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ดำ 
.
#หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ตีนโต
.
#หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เทพโลกอุดร  หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เดินหน  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ในดง  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่โพรงโพ (เดิมพิมพ์ว่า #หลวงปู่โพรงโพธิ์ เป็นการพิมพ์ผิด)
.

#หลวงปู่พระฌานียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี (เดิมที่พิมพ์ไว้ #หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า เป็นการพิมพ์ผิด)
.
#หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์
.
#หลวงปู่เทพโลกอุดร
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
.
#คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ
.
#สมเด็จพระพุฒาจารย์โตพรหมรังสี
.
#หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ
.
#ชมรมพระวังหน้า
.
#พระวังหน้า
.
.
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02F3LL76jCbUhkQskAPDmQsCRJmRjnGHoKteKq4uk6q5hFaWXZb8L2tcRiEeDAUGVKl&id=100081560750868&mibextid=Nif5oz
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 17, 2022, 09:34:14 pm
.
ของขลัง ของคูล EP.8 l จะพา YOU ไปที่ "วัดป่าภัทรปิยาราม" ต.โคกตูม อ.เมือง จ.ลพบุรี
.
https://www.youtube.com/watch?v=qMtNxh15LZE (https://www.youtube.com/watch?v=qMtNxh15LZE)
.
ที่มา ของขลัง ของคูล
วันที่ 17 ธันวาคม 2565
.
.
#พระครูสังฆรักษ์ #วัดป่าภัทรปิยาราม #ภาพวาดพุทธศิลป์บนผนังถ้ำ
.
ของขลัง ของคูล EP.8 l จะพา YOU ไปที่ "วัดป่าภัทรปิยาราม"
ต.โคกตูม อ.เมือง จ.ลพบุรี เที่ยวชม วัดป่า
ภายใต้แนวคิดที่ว่า “ธรรมะกับธรรมชาติย่อมสามารถอยู่คู่กันอย่างยั่งยืน”
ที่ได้ วิจิตรบรรจงสร้างศาสนสถานถาวรวัตถุ
.
#พระครูสังฆรักษ์ #วัดป่าภัทรปิยาราม 
#ภาพวาดพุทธศิลป์บนผนังถ้ำ #สายมู 
#ของขลัง #วัดป่าจังหวัดลพบุรี
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 18, 2022, 12:04:02 pm
.
สำหรับการเรียนรู้ เรื่องราวประวัติของ หลวงปู่เทพโลกอุดร 
.
ผมเรียนตามหนังสือ 2 เล่มนี้(เท่านั้น) คือ
 - หนังสือบรมครูพระเทพโลกอุดร
ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ผู้เขียน
และ
 - หนังสือหนังสือ พุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย
พระราชกวี (อ่ำ ธมมทตโต ป.ธ.6) วัดโสมนัสราชวรวิหาร
.
และ ผมเรียนรู้จาก ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ที่ท่านได้เล่าให้ฟังนอกเหนือจากข้อมูลในหนังสือ
รวมทั้ง ได้รับฟังข้อมูลจาก พระภิกษุสงฆ์รูปหนึ่ง
.
.
.
ส่วนเรื่อง พระวังหน้า ที่ผมเรียนรู้จากหนังสือฯ  ผมเรียนรู้จากหนังสือ 2 เล่มนี้(เท่านั้น) คือ
 - หนังสือวิเคราะห์พระพิมพ์สมเด็จฯและสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า
ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ผู้เขียน
และ
 - หนังสือปู่เล่าให้ฟัง
ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ผู้เขียน
.
และ ผมเรียนรู้จาก ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร และ ฆารวาสอีก 1 ท่าน โดยการเรียนรู้จากพระวังหน้าองค์จริงๆ
การเรียนรู้นั้น เรียนทั้ง รูป (เนื้อหาทรงพิมพ์) และ นาม (พลังอิทธิคุณขององค์ผู้อธิษฐานจิต)
ผมได้เห็นพระวังหน้า ผ่านสายตาผมมา น่าจะไม่ต่ำกว่าเป็นหมื่นองค์
.
หมายเหตุ ผมเคยอธิบายไปหลายรอบแล้วว่า ทำไมผมใช้คำว่า พลังอิทธิคุณ
ลองไปหาอ่านกันดู ครับ
.
ส่วนหนังสืออื่นๆ ที่ผมเคยไปซื้อมาศึกษาในสมัยเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้  ผมเก็บลงลังไปทั้งหมดแล้ว
ในหนังสือเหล่านั้น  เพิ่มเติม และ แต่งเติม เป็นนวนิยาย มีการเพิ่มเรื่องราวของปาฏิหาริย์จนมากเกินไป
.
.
.
ผมมาบอกเพิ่มเติม
.
หลวงปู่เทพโลกอุดร ท่านคือ คณะพระธรรมทูต คณะโสณะอุตระ ที่มาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ
ดังนั้น คำสอนของหลวงปู่เทพโลกอุดร ก็คือ นำ พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม พระโคตมพุทธเจ้า ( หรืออีกชื่อ พระสมณโคดมพุทธเจ้า) มาสอนให้กับผู้คนทั่วไป ครับ
.
.
.

.

หลวงปู่เทพโลกอุดร คือ คณะพระธรรมทูต คณะโสณะอุตตระ ที่มาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ ปี พ.ศ.235

.

คำบูชา (บทสวด) ของ หลวงปู่เทพโลกอุดร (คือ คณะพระธรรมทูต คณะโสณะอุตตระ ที่มาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ ปี พ.ศ.235)

โลกุตตะโร ปัญจะมหาเถโร อะหัง วันทามิ ตัง สะทา เมตตาลาโภ นะโสมิยะ อะหะพุทโธ

.

.

องค์ที่ 1 คือ #พระอุตตระเถระเจ้า หรือ พระอุตระเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ดำ

.

รูปร่างสันทัดผิวกายค่อนข้างดำคล้ำ มีจิตเยี่ยงพระโพธิสัตว์เจ้า บรรลุอภิญญาหก และปฎิสัมภิทาญาณ ใจดีประกอบด้วยเมตตา มีอารมณ์ขัน มีสภาวะจิตที่รวดเร็วมาก มีความเชี่ยวชาญในวิชาแพทย์และเภสัชกรรม เป็นพี่ชายของพระโสณะเถระเจ้า

.

พระอุตตระเถระเจ้า ท่านมรณภาพ (นิพพาน) วันขึ้น 11 ค่ำ เดือน 12 ปีพุทธกาล 287

เข้าชุมไฟ (การประชุมเพลิง) วันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 1 ปีพุทธกาล 288

มีการเก็บธาตุ ที่ วัดศรีมหาธาตุแดนลว้า

(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 510)

หมายเหตุ ปีพุทธกาล 288 ผมนับจากวันที่พระอุตตระเถระเจ้า ท่านมรณภาพ(นิพพาน) คือ อยู่ในเดือน 1 ครับ

.

.

องค์ที่ 2 คือ #พระโสณะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ตีนโต  และเป็นหัวหน้าคณะพระธรรมทูต คณะโสณะอุตตระ

.

รูปกายสูงใหญ่ผิวดำ ทรงคุณสมบัติเหมือนกับ พระอุตรเถระเจ้า เว้นวิชาแพทย์ ใจดี เยือกเย็น ประกอบด้วยเมตตาธรรม ชอบผาดโผนเหินฟ้านภาลัยโขดเขินเนินไศลเป็นที่สัญจร และเป็นน้องชายของพระอุตระเถระจ้า

.

พระโสณะเถระเจ้า ท่านมรณภาพ (นิพพาน) วันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 6 ปีพุทธกาล 264

เข้าชุมไฟ (การประชุมเพลิง) วันแรม 8 ค่ำ เดือน 6 ปีพุทธกาล 264

มีการเก็บธาตุ ด้านหน้าพระพุทธรูป ที่ พระอุโบสถ วัดศรีมหาธาตุแดนลว้า

(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 497)

.

.

องค์ที่ 3 คือ #พระมูนียะเถระเจ้า  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เทพโลกอุดร  หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เดินหน  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ในดง  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่โพรงโพ (เดิมพิมพ์ว่า #หลวงปู่โพรงโพธิ์ เป็นการพิมพ์ผิด)

.

มีบุคลิกภาพสง่างาม มีความเชี่ยวชาญในวิชาแปรธาตุ เป็นผู้คงแก่เรียน ชอบเจริญอสุภกรรมฐาน 10 (ภาพในนิมิตร มักจะปรากฎเส้นเกสายาวจรดเอว)

.

พระมูนียะเถระเจ้า ท่านมรณภาพ (นิพพาน) วันขึ้น 4 ค่ำ เดือน 5 ปีพุทธกาล 298

เข้าชุมไฟ (การประชุมเพลิง) วันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 6 ปีพุทธกาล 298

มีการเก็บธาตุ ที่ วัดศรีมหาธาตุแดนลว้า

(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 511)

.

.

องค์ที่ 4 คือ #พระฌานียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี (เดิมที่พิมพ์ไว้ #หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า เป็นการพิมพ์ผิด)

.

มีรูปกายค่อยข้างสูงใหญ่ ขนตาดกยาว มีอำนาจ แต่ขี้เล่นใจดี

.

พระฌาณียะเถระเจ้า ท่านมรณภาพ (นิพพาน) วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 8 ปีพุทธกาล 278

เข้าชุมไฟ (การประชุมเพลิง) วันแรม 15 ค่ำ เดือน 8 ปีพุทธกาล 278

มีการเก็บธาตุ ที่ วัดศรีมหาธาตุแดนลว้า

(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 506 - 507)

.

.

องค์ที่ 5 คือ #พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ

.

สำเร็จปรอท ล่องหนย่นระยะทางเก่ง

.

พระภูริยะเถระเจ้า ท่านมรณภาพ (นิพพาน) วันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 3 ปีพุทธกาล 295

เข้าชุมไฟ (การประชุมเพลิง) วันขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5 ปีพุทธกาล 295

มีการเก็บธาตุ ที่ วัดศรีมหาธาตุแดนลว้า

(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 511)

.

.

.

.

.

หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร ( คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตตระ ที่มาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ จากการที่ พระเจ้าอโศกมหาราช ได้อาราธนามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ) ในสายที่ 8 จาก 9 สายของคณะพระธรรมทูตที่พระเจ้าอโศกมหาราชได้อาราธนามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆ ข้อมูลจาก หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย เขียนโดย พระราชกวี (อ่ำ ธมมทตโต) วัดโสมนัสวิหาร กรุงเทพมหานคร

.

หมายเหตุ ในหนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย เขียนโดย พระราชกวี (อ่ำ ธมมทตโต) วัดโสมนัสวิหาร กรุงเทพมหานคร เขียนคำว่า สุวัณณภูมิ แต่ในที่นี้ ผมขอใช้คำว่า สุวรรณภูมิ แทน เนื่องจากน่าจะเข้าใจกันได้ง่ายกว่า)

.

พระอุปัชฌาย์ของคณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตตระ คือ พระมหาโมคคัลลีปุตตติสสเถร ที่ท่านเป็นผู้เลือกคณะโสณะอุตตระ มาเป็นคณะพระธรรมทูตมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ

(พระมหาโมคคัลลีปุตตติสสเถร เป็นพระอุปัชฌาย์ของ พระโสณะเถระเจ้า , พระอุตตระเถระเจ้า , พระมูนียะเถระเจ้า , พระฌาณียะเถระเจ้า และ พระภูริยะเถระเจ้า)

(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 428)

.

คณะคณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตตระ เดินทางมาโดยทางเรือ มาถึงถิ่นสุวรรณภูมิที่เมืองทอง (ไม่ทราบว่า อยู่ในจังหวัดไหน) เมื่อเดือนอ้าย ขึ้น 14 ค่ำ ปีพุทธกาล 235 (ปีไทยฉลู) โดยอยู่ที่วัดปุณณาราม

(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 439)

.

พระโสณะเถระเจ้า ท่านมรณภาพ (นิพพาน) วันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 6 ปีพุทธกาล 264

เข้าชุมไฟ (การประชุมเพลิง) วันแรม 8 ค่ำ เดือน 6 ปีพุทธกาล 264

มีการเก็บธาตุ ด้านหน้าพระพุทธรูป ที่ พระอุโบสถ วัดศรีมหาธาตุแดนลว้า

(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 497)

.

พระฌาณียะเถระเจ้า ท่านมรณภาพ (นิพพาน) วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 8 ปีพุทธกาล 278

เข้าชุมไฟ (การประชุมเพลิง) วันแรม 15 ค่ำ เดือน 8 ปีพุทธกาล 278

มีการเก็บธาตุ ที่ วัดศรีมหาธาตุแดนลว้า

(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 506 - 507)

.

พระอุตตระเถระเจ้า ท่านมรณภาพ (นิพพาน) วันขึ้น 11 ค่ำ เดือน 12 ปีพุทธกาล 287

เข้าชุมไฟ (การประชุมเพลิง) วันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 1 ปีพุทธกาล 288

มีการเก็บธาตุ ที่ วัดศรีมหาธาตุแดนลว้า

(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 510)

หมายเหตุ ปีพุทธกาล 288 ผมนับจากวันที่พระอุตตระเถระเจ้า ท่านมรณภาพ(นิพพาน) คือ อยู่ในเดือน 1 ครับ

.

พระภูริยะเถระเจ้า ท่านมรณภาพ (นิพพาน) วันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 3 ปีพุทธกาล 295

เข้าชุมไฟ (การประชุมเพลิง) วันขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5 ปีพุทธกาล 295

มีการเก็บธาตุ ที่ วัดศรีมหาธาตุแดนลว้า

(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 511)

.

พระมูนียะเถระเจ้า ท่านมรณภาพ (นิพพาน) วันขึ้น 4 ค่ำ เดือน 5 ปีพุทธกาล 298

เข้าชุมไฟ (การประชุมเพลิง) วันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 6 ปีพุทธกาล 298

มีการเก็บธาตุ ที่ วัดศรีมหาธาตุแดนลว้า

(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 511)

.

พระโสณะเถระเจ้า ได้บวชให้กับ พระญาณจรเถระเจ้า (ดี หรือ ทองดี) ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนยี่ ปี 236 โดยมี พระโสณะเถระเจ้า เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอุตตระเถระเจ้า เป็นผู้สวดญัตติจตุุถกัมวาจา และ พระฌาณียะเถระเจ้า เป็นผู้สอนอนุสาสน

(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 440)

.

พระญาณจรเถระเจ้า (ดี หรือ ทองดี) (ธัมมปาโมกขสังฆราช) ท่านมรณภาพ (นิพพาน) วันขึ้น 4 ค่ำ เดือน 5 ปีพุทธกาล 313

เข้าชุมไฟ (การประชุมเพลิง) วันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 3 ปีพุทธกาล 314

มีการเก็บธาตุ ที่ วัดศรีมหาธาตุแดนลว้า

(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 539)

.

ชื่อ พระญาณจรเถระเจ้า (ดี หรือ ทองดี)

ญาณจรโณ ดี (หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 440)

ญาณจรโณ ทองดี (หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 539)

.

ชื่อ วัดศรีมหาธาตุแดนลว้า

โลกกนลว เมืองสุวัณณภูมิ ผู้โปรสเห้าหม่อมเมีย(ก้านตาเทวี) เป็นผู้ให้สร้างวัดศรีมหาธาตุแดนลว้า เมื่อวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ปีพุทธกาล 238

(หนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้าที่ 443-444)

.

Sithiphong (Noom Wangna) ผู้เรียบเรียง โดยเรียบเรียงมาจากหนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย เขียนโดย พระราชกวี (อ่ำ ธมมทตโต) วัดโสมนัสวิหาร กรุงเทพมหานคร

.

.

.

หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร ( คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตตระ ที่มาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ จากการที่ พระเจ้าอโศกมหาราช ได้อาราธนามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ) ข้อมูลจาก หนังสือบรมครูพระเทพโลกอุดร ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ผู้เขียน

.

พระอุตรเถระเจ้า

รูปร่างสันทัดผิวกายค่อนข้างดำคล้ำ มีจิตเยี่ยงพระโพธิสัตว์เจ้า บรรลุอภิญญาหก และปฎิสัมภิทาญาณ ใจดีประกอบด้วยเมตตา มีอารมณ์ขัน มีสภาวะจิตที่รวดเร็วมาก มีความเชี่ยวชาญในวิชาแพทย์และเภสัชกรรม เป็นพี่ชายของพระโสณะเถระเจ้า

.

พระโสณะเถระเจ้า

รูปกายสูงใหญ่ผิวดำ ทรงคุณสมบัติเหมือนกับ พระอุตรเถระเจ้า เว้นวิชาแพทย์ ใจดี เยือกเย็น ประกอบด้วยเมตตาธรรม ชอบผาดโผนเหินฟ้านภาลัยโขดเขินเนินไศลเป็นที่สัญจร และเป็นน้องชายของพระอุตรเถระจ้า

.

พระมูนียะเถระเจ้า

มีบุคลิกภาพสง่างาม มีความเชี่ยวชาญในวิชาแปรธาตุ เป็นผู้คงแก่เรียน ชอบเจริญอสุภกรรมฐาน 10 (ภาพในนิมิตร มักจะปรากฎเส้นเกสายาวจรดเอว)

.

พระฌาณียะเถระเจ้า

มีรูปกายค่อยข้างสูงใหญ่ ขนตาดกยาว มีอำนาจ แต่ขี้เล่นใจดี

.

พระภูริยะเถระเจ้า

สำเร็จปรอท ล่องหนย่นระยะทางเก่ง

.

(หนังสือบรมครูพระเทพโลกอุดร หน้าที่ 23 - 25)

.

คณะคณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตตระ เดินทางมาโดยทางเรือ มาถึงถิ่นสุวรรณภูมิ โดยได้มาพักที่ วัดช้างค่อม (นครศรีธรรมราช) เมื่อวันขึ้น 14 คำ เดือน 1 พุทธศักราช 235

(หนังสือบรมครูพระเทพโลกอุดร หน้าที่ 10)

.

พระอุตรเถระเจ้า เป็นพี่ชายของพระโสณะเถระเจ้า

พระโสณะเถระเจ้า เป็นน้องชายของพระอุตรเถระจ้า

(หนังสือบรมครูพระเทพโลกอุดร หน้าที่ 11)

.

Sithiphong (Noom Wangna) ผู้เรียบเรียง โดยเรียบเรียงมาจากหนังสือบรมครูพระเทพโลกอุดร ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ผู้เขียน

.

.

.

.

.

ผม Sithiphong (Noom Wangna) ขอนำเรื่องราวของ หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร ( คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตตระ ที่มาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ จากการที่ พระเจ้าอโศกมหาราช ได้อาราธนามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ)

.

มายืนยันว่า หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร ( คณะพระธรรมทูต คณะโสณะอุตตระ ที่ประกอบด้วยแกนหลัก คือ พระโสณะเถระเจ้า , พระอุตตระเถระเจ้า , พระมูนียะเถระเจ้า , พระฌาณียะเถระเจ้า และ พระภูริยะเถระเจ้า) ได้มรณภาพกันไปทั้งหมดแล้ว และกายที่ท่านมีในปัจจุบันคือ อทิสมานกาย ไม่มีตัวตนที่แท้จริง แต่เนื่องจากการที่คณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร มีการฝึกฤทธิ์มามาก ส่งผลให้สามารถทำให้อทิสมานกาย ปรากฎเป็นกายเนื้อได้

.

อีกเรื่องก็คือ ปัจจุบันมีรูป พระภิกษุที่เป็นรูปโครงกระดูก ที่ระบุเป็นรูปของหลวงปู่เดินหน (พระมูนียะเถระเจ้า) โครงกระดูกที่ปรากฎนั้น เป็นสิ่งที่หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า ท่านทำให้ปรากฎขึ้น เพื่อให้คนทั้งหลายที่ได้เห็น จะได้ระลึกถึงเรื่อง อสุภกรรมฐาน ส่วนกายของหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า ได้มีการประชุมเพลิง(ฌาปนกิจ) ไปเมื่อปีพุทธกาล 298 (ตามข้อมูลด้านบนที่ผมนำมาให้อ่าน) แล้ว

.

ขอกราบในพระคุณของหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร ( คณะพระธรรมทูต คณะโสณะอุตตระ ที่ประกอบด้วยแกนหลัก คือ พระโสณะเถระเจ้า , พระอุตตระเถระเจ้า , พระมูนียะเถระเจ้า , พระฌาณียะเถระเจ้า และ พระภูริยะเถระเจ้า) ที่ทำให้ดินแดนสุวรรณภูมิ มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาหลัก ที่ทำให้ผู้คนได้มีหลักปฎิบัติตามหลักธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อความหลุดพ้นในวัฏสงสาร มุ่งสู่แดนพระนิพพาน

.

โลกุตตะโร ปัญจะมหาเถโร อะหัง วันทามิ ตัง สะทา เมตตาลาโภ นะโสมิยะ อะหะพุทโธ

.

กราบ กราบ กราบ กราบ กราบ

Sithiphong (Noom Wangna)

.

รูปและเนื้อหา  สงวนลิขสิทธิ์ 

แต่อนุญาตให้นำไปลงยังเพจ.อื่นๆ หรือ นำไปลงในสื่อออนไลน์ทุกประเภท

และต้องระบุที่มาของ รูปและเนื้อหา

ดังนี้  ที่มาของรูปและเนื้อหา โดย Sithiphong (Noom Wangna) ชมรมพระวังหน้า

.

.

#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์

.

#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร

.

#คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ

.

#สมเด็จพระพุฒาจารย์โตพรหมรังสี

.

#หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ

.

#พระเจ้าอโศกมหาราช

.

#ชมรมพระวังหน้า

.

#พระวังหน้า

.
.
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=166285946100096&id=100081560750868&mibextid=Nif5oz
.
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 01, 2023, 01:14:08 pm
.
สวัสดีปีใหม่ทุกท่าน
วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม 2566
.
.
มาเล่าสู่กันฟัง นำมาให้อ่านกัน
.
ผมและหมู่คณะ  ได้จัดตั้งชมรมขึ้นมา โดยชมรมที่จัดตั้งขึ้นมานั้น
ครั้งแรก ผมตั้งชื่อชมรมคือ ชมรมรักษ์พระวังหน้า
แต่มีปัญหาภายในกันมากพอสมควร
มีกติกาและเงื่อนไขของชมรมรักษ์พระวังหน้า
แต่มีสมาชิกบางท่าน ไม่ได้สนใจในกติกาและเงื่อนไขของขมรมฯ
ผมจึงยุบชมรมรักษ์พระวังหน้า
.
ต่อมาผมมาตั้งชมรมใหม่  นั่นก็คือ ชมรมพระวังหน้า
โดยมีการจัดตั้งชมรมพระวังหน้าขึ้นในวันเสาร์ที่  11 ธันวาคม พุทธศักราช 2553
.
ชมรมพระวังหน้า จะมีผู้ที่ดำเนินการ(ที่เป็นหลัก)
1.ประธานชมรมพระวังหน้า
2.รองประธานชมรมพระวังหน้า
3.เลขานุการชมรมพระวังหน้า
.
และ ชมรมพระวังหน้า ก็ยังคงดำเนินการในงานบุญต่างๆมาจนถึงทุกวันนี้
เพียงแต่จะไม่ได้ออกสื่อมากนัก ครับ
.
.
อีกเรื่องที่เป็นเรื่องของความภาคภูมิใจของ ผมและสมาชิกชมรมพระวังหน้า นั่นก็คือ
.
ผมและคณะ ได้ค้นพบ พระกริ่งปวเรศ (รุ่น 2) ที่สร้างขึ้นในปี 2433
โดยมีการสร้างขึ้นในทวีปยุโรป และ สร้างในประเทศไทย
.
ในช่วงก่อนหน้าที่ผมและคณะได้ค้นพบพระกริ่งปวเรศ (รุ่น 2) ที่สร้างขึ้นในปี 2433 
ไม่ปรากฎข้อมูลพระกริ่งปวเรศ (รุ่น 2) ที่สร้างขึ้นในปี 2433 ในที่ไหนเลย
.
ท่านผู้ให้สร้าง คือ กลุ่มลูกศิษย์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ (สมเด็จพระสังฆราชไทย พระองค์ที่ 8 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์)
.
 - ในการจัดสร้างขึ้นในทวีปยุโรป มวลสาร(หลัก)ที่นำมาใช้ในการจัดสร้างคือ  เงินสเตอร์ลิง (Sterling Silver) (ที่เป็นโลหะเงินของทวีปยุโรป)
.
 - ในการจัดสร้างขึ้นในประเทศไทย มวลสารที่นำมาใช้ในการจัดสร้างคือ ทองคำ , เงิน , นาค และ โลหะผสม
.
มีการนำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวง ในวาระสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชไทย พระองค์ที่ 8 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในปี พ.ศ.2434
.
พระกริ่งปวเรศ รุ่น 2 (ปี 2434) บางองค์หลวงปู่กรมพระยาปวเรศ ท่านจารที่องค์พระ
และมีบางองค์ที่พระสงฆ์(ที่เป็นพระผู้ช่วยของหลวงปู่ฯ)เป็นผู้จารที่องค์พระ
.
ผมได้นำพระกริ่งปวเรศ รุ่น 2 (ปี2434) นำไปให้ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร และ อาจารย์(อีกท่าน)ของผม
ตรวจสอบทั้ง รูป (เนื้อหาทรงพิมพ์) และ นาม (พลังอิทธิคุณขององค์ผู้อธิษฐานจิต) 
อาจารย์ของผมทั้งสองท่าน ยืนยันว่า พระกริ่งปวเรศที่ผมนำไปให้ท่านทั้งสองดู เป็นพระกริ่งปวเรศ รุ่น 2 (ปี2434)
.
ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ท่านเคยบอกกับกลุ่มลูกศิษย์ว่า พระกริ่งปวเรศ(รุ่น ปี 2434)
เป็นพระกริ่งปวเรศ รุ่น 2 พลังอิทธิคุณครบทุกด้าน
.
ส่วนพระกริ่งปวเรศ รุ่นที่ 1 ใช้สำหรับการทำน้ำมนต์เพียงอย่างเดียว
.
.
การค้นพบเนื้อ เงินสเตอร์ลิง (Sterling Silver) ของพระกริ่งปวเรศ รุ่น 2 (ปี 2434)
เนื่องจาก สมาชิกชมรมพระวังหน้าท่านหนึ่งที่ได้จากผมไป นำไปใช้ครีมขัดองค์พระ
ปรากฎว่า เนื้อภายในเป็นสีเงิน  แต่ต่อมาทิ้งไว้(ขอไม่แจ้งระยะเวลา) ผลปรากฎว่า เนื้อสีเงินกลับเป็นสีทอง
.
ต่อมาเมื่อผมทราบเรื่อง ก็เลยนำไปคุยกับพี่ท่านหนึ่ง  พี่ท่านนี้นำแก้วไวน์(เนื้อ เงินสเตอร์ลิง (Sterling Silver)) ที่ซื้อมาจากประเทศอิตาลี
นำมาให้ผมชม และ ผมได้ใช้ครีมขัดแก้วไวน์ ผลปรากฎว่า สีของแก้วจากเดิมเป็นสีเหลืองทอง กลายเป็นสีเงิน
.
ขอเล่าสู่กันฟัง เขียนมาให้อ่านเพียงเท่านี้
.
หมายเหตุ ปัจจุบันนี้  มีข้อมูลที่เกี่ยวกับพระกริ่งปวเรศอย่างมากมาย  ให้ระมัดระวังกันให้มากที่สุด
หากไปศึกษาข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแล้วนำไปเผยแพร่กันต่อ
เป็นการร่วมกันทำกรรม มุสาวาท และ ต่อตีนโจร อย่างที่ผมเคยบอกไว้ ครับ
.
หมายเหตุ รูปและเนื้อหา สงวนลิขสิทธิ์
.
#สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
#สมเด็จพระสังฆราชไทยพระองค์ที่8แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ในปี2434
#พระกริ่งปวเรศรุ่น2
#พระกริ่งปวเรศรุ่นปี2434
#เงินสเตอร์ลิง
#SterlingSilver
.
.
ผมนำบทความเรื่อง เงินสเตอร์ลิง (Sterling Silver) มาให้ได้อ่านกัน
.
เงิน...โลหะมีค่าที่ไม่ควรมองผ่าน
.
เงินจัดเป็นโลหะมีค่าที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งในวงการอัญมณีและเครื่องประดับ แต่มีราคาถูกกว่าทองคำโดยประมาณถึง 70 เท่า คุณสมบัติของเงินคล้ายทองคำ คือมีโครงสร้างผลึกแบบ FCC ทำให้สามารถแปรรูปได้ง่าย และมีสีขาวเงิน หรือเรียกว่า Silver White ซึ่งส่วนนี้ทำให้โลหะเงินมีผิวมันเงา และสามารถนำมาขัดมันได้อย่างดี ซึ่งคุณสมบัตินี้เพิ่มคุณค่าให้กับผลิตภัณฑ์ด้านศิลปะกรรมต่างๆ มีความเหนียวสูง และความสามารถในการตี้ขึ้นรูปได้ดี เมื่อเทียบกับโลหะชนิดอื่น ยกเว้นทองคำ มีการนำไฟฟ้าดีเยี่ยม จึงเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดีที่สุด มีคุณสมบัติทนต่อการกัดกร่อนได้ดีพอควร แต่เครื่องใช้และเครื่องประดับเงินนั้นก็มีข้อเสียคือ ผิวเงินเมื่อสัมผันกับอากาศเป็นเวลานานจะสามารถเปลี่ยนเป็นสีดำ ได้เนื่องจากทำปฏิกิริยากับกำมะถันในอากาศ (ธาตุซัลเฟอร์ หรือ สารประกอบที่มีซัลเฟอร์เป็นองค์ประกอบ) ทำให้เกิดความหมอง เงินนั้นมักพบเป็นผลพลอยได้จากการถลุงโลหะชนิดอื่นๆ เช่น ทองคำ ตะกั่ว ทองแดง เป็นต้น และเงินที่ใช้ในปัจจุบันก็มีหลากหลายประเภท ซึ่งผู้ที่ชื่นชอบโลหะชนิดนี้ควรทำความเข้าใจกันไว้สักนิด
.
ในอุตสาหกรรมเครื่องประดับปัจจุบันโลหะเงินถูกใช้เป็นโลหะหลักในการผสมในเครื่องประดับเงินประเภทต่างๆ หรือถูกใช้เป็นโลหะผสมในการผลิตเครื่องประดับทองคำ สำหรับการบอกความบริสุทธิ์ของเงินนั้นจะไม่ใช่หน่วยกะรัต เหมือนทองคำ แต่จะเรียกโดยใช้ค่าปริมาณ เนื้อเงินที่อยู่ในเครื่องประดับนั้น เช่นมีปริมาณเงินอยู่ 92.50 % เรียกกันในตลาดว่า Sterling Silver
.
เงินสเตอร์ลิง (Sterling Silver) โลหะมีเงินผสมชนิดนี้ยังเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เงินมาตรฐาน (Standard Silver) มีการใช้งานอย่างกว้างขวางมานานกว่า 800 ปี แล้ว ซึ่งกำเนิดของการใช้โลหะชนิดนี้มาจากสมัยโรมัน และเหรียญเงินเพนนี ของอังโกลแซคซอน (Anglo-Saxon) ก็ทำมาจากโลหะผสมนี้ คำว่า “สเตอร์ลิง” มีการใช้กันมาตั้งแต่ยุคศตวรรษ ที่ 12 ในสมัยพระเจ้าเฮนรีที่ 2 ที่นำช่องหลอมและช่องทำเหรียญจากเมือง อีสเสตอร์ลิง ประเทศเยอรมันตะวันออกมาปรับปรุงและทำมาตรฐานของเหรียญของเหรียญเครือจักรภพ
ดังนั้นคำว่า สเตอร์ลิง จึงมีที่มาจากว่าว่า “อีสเตอร์ลิง” นั่นเอง ซึ่งธาตุผสมที่สำคัญที่ใช้ผสมกับเนื้อเงิน คือ ทองแดงผสมในเนื้อเงินสเตอร์ลิงนิยมทำกันมาก และต่อเนื่อง เพราะทองแดงมีคุณสมบัติทำให้โลหะผสมแข็งแรงขึ้น แต่เงินสเตอร์ลิงประเภทนี้จะหมองง่าย ดังนั้นการพัฒนาในปัจจุบันจึงได้มีการนำธาตุอื่นมาใช้ผสมด้วยเพื่อให้ได้คุณสมบัติพิเศษอื่นๆ เช่น นิกเกิล เพื่อผลิตเงินสปริง หรือ ผสมสังกะสี อินเดียม ซิลิคอน เจอร์มาเนียม เพื่อเพิ่มความสามารถในการต้านทางการหมอง
.
เงินเหรียญ (Coin Silver) ในยุคสมัยก่อน ค.ศ.1966 โลหะผสมที่ใช้ทำเงินเหรียญ โดยปกติในประเทศอื่นๆ ยกเว้นสหราชอาณาจักร จะมีส่วนผสมของเนื้อโลหะเงินอยู่ประมาณ 90 % และทองแดง 10% โดยน้ำหนัก หรือเรียกว่า เงิน 900 (Silver 900 fine) อุณหภูมิหลอมเหลวอยุ่ประมาณ 1615 องศาฟาเรนไฮน์ ปัจจุบันโลหะที่ใช้ทำเหรียญทำจากแผ่นโลหะของโลหะนิกเกิลและทองแทนที่จะใช้โลหะเงิน
.
เงินแผ่น (Silver Plate) เงินแผ่นที่ใช้กันทั่วไป ยกเว้นในสหราชอาณาจักร มักจะใช้ดลหะเงินผสมที่มีความบริสุทธิ์ของเนื้อเงินอยู่ในช่วงระหว่าง 800 ถึง 950 (80-95%)
.
เงินบริตทานเนีย (Britannia Silver) โลหะเงินผสมชนิดนี้เป็นโลหะมาตรฐานตามระยยของสหราชอาณาจักร ซึ่งใช้กับแผ่นโลหะเงินและมีการใช้ระบบนี้มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1696 โดยเนื้อโลหะจะมีปริมาณเงินอยู่ที่ 95.83% และเรียกขื่อว่า เงินบริตทานเนีย เนื่องจากเมื่อนำโลหะไปตรวจสอบวิเคราะห์หาปริมาณธาติและทำเครื่องหมายทางการ (Hallmark) ไว้บนโลหะชนิดนี้ด้วยการปั๊มเป็นตรารูปภาพนั่งของผุ้หญิงที่รุ้จักกันดี ชื่อว่า บริตทานเนีย แทนการใช้รูปสิงโตเหมือนกับเงินสเตอร์ลิง การใช้งานโลหะประเภทนี้ถือได้ว่ามีไม่มากนัก เพราะโลหะชนิดนี้จะมีความแข็.ต่ำและไม่ทนทานเท่าเงินสเตอร์ลิง อย่างไรก็ตาม ในวงการเครื่องประดับบางแห่งจะผลิตเครื่องประดับตามส่วนผสมนี้หรือาจจะเติมปริมาณเงินมากกว่า หรือใช้เงินบริสุทธ์อย่างเดียวเพื่อผลิตเป็นเครื่องประดับ เพื่อต้องลดปัญหาต่างๆ ที่มีผลจากอิทธิพลของธาตุทองแดง และต้องการผ่านการตรวจสอบปริมาณเนื้อเงิน
.
เงินเมกซิกัน (Mexican Silver) โลหะเงินชนิดนี้มีชื่อเรียกว่า เงินเมกซิกัน เนื่องจากเป็ฯโลหะเงินที่ถูกใช้โดยชาวเมกซิกันและชาวอเมริกันอินเดียนเป็นส่วนมาก โดยเนื้อเงินที่อยู่ในโลหะทั่วไปมีสูงกว่า 90%
.
เงินสปริง (Spring Silver) โลหะชนิดนี้เป็นเงินสเตอร์ลิงที่นำมาลดขนาดความหนาลงถึง 10 เท่า จากขนาดความหนาเดิมของโลหะในสภาพอบอ่อน (Last annealed thickness) การลดความหนานี้อาจจะทำได้โดยการขึ้นรูป (Rolling) หรือการลากขึ้นรูป (Drawing) เพื่อทำให้โลหะแข็งขึ้น ดังนั้นจึงใช้ในงานหรือผลิตภัณฑ์ที่ต้องการความแข็งและความเป็ฯสปริงสูงเช่น คลิปหนียเน็คไท หรือเป็นโลหะเงินผสมทองแดงและนิกเกิล โดยปริมาณเนื้องเงินในโลหะทำสปริงนี้จะมีประมาณ 83-85% อย่างไรก็ตามในปัจจุบันมีความพยายามที่จะผลิตโลหะสปริงที่มีปริมาณเนื้องเนสูงเท่าเกรดเงินสเตอร์ลิง แต่ยังคงความเป็นสปริงเหมือนเดิม
.
โลหะเงินนั้นมีการใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวางไม่เพียงเฉพาะการทำเครื่องประดับเท่านั้น แต่ยังมีใช้ในอุตสาหกรรมเคมี และเครื่องไฟฟ้าหลายชนิด อีกด้วย
.
ที่มา https://www.git.or.th/g20131120.html (https://www.git.or.th/g20131120.html)
.
.
.***************************************
.
.
#พระเก๊สนิทศิษย์ส่ายหน้า
#เก๊สนิทศิษย์ส่ายหน้า
#พระเก๊จี๊ดจ๊าด
#เก๊จี๊ดจ๊าด
.
การเรียนรู้ ต้องมี สุ(ฟัง) จิ(คิด) ปุ(ถาม) ลิ(เขียน)
.
พาหุสัจจะ แปลว่า ความเป็นผู้ได้สดับมาก
หนังสือบางฉบับเรียกว่า หัวใจนักปราชญ์
.
สุ ย่อมาจาก สุตะ แปลว่า ฟัง
จิ ย่อมาจาก จินตะ แปลว่า คิด
ปุ ย่อมาจาก ปุจฉา แปลว่า ถาม
ลิ ย่อมาจาก ลิขิต แปลว่า จด
.
#อย่าไปเรียนกับกลุ่มเก๊สนิทศิษย์ส่ายหน้า
.
#เรียนรู้ของเก๊จี๊ดจ๊าดแทนของแท้   #เก็บสะสมของเก๊สนิทศิษย์ส่ายหน้าแทนของแท้
.
#หลงทางหลงป่าเข้าพงลงเหว จาก #กลุ่มกูรูเก๊
.
ระวังให้มากสำหรับ เก๊สนิทศิษย์ส่ายหน้า และ เก๊จี๊ดจ๊าด กัน
.
 #อย่าไปเข้าป่าเข้าพงลงเหว #ไม่หลงทิศหลงทางลงนรก #อย่าตกเป็นเหยื่อ
.
ในเรื่อง #มุสาวาท และ #ปรามาสผู้มีธรรม จากกลุ่ม #กูรูเก๊
.
#โง่จริงแบบว่าไม่โง่จริงทำไม่ได้
.
รูปสงวนลิขสิทธิ์
.
.
.----------------------------------.
.
.

สองคน ยลตามช่อง คนหนึ่ง มองเห็นโคลนตม คนหนึ่ง ตาแหลมคม มองเห็นดาวอยู่พราวแพรว
บทกวีของท่านเช็คสเปียร์  "Two folks look through same hole, one sees mud, one sees star.
ถอดเป็นภาษาไทยโดยท่านภราดา ฟ. ฮีแรห์ แห่งอัสสัมชัญ
.
“สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อีกคนตาแหลมคม เห็นดวงดาวอยู่พราวพราย”
แปลโดยเจษฏาจารย์ ฟ. ฮีแลร์ (F. Hilaire)
สุภาษิตนี้แปลมาจากภาษาอังกฤษ
Two men look out through the same bars; One sees the mud, and one the stars
โดย Frederick Longbridge
.
.

                "สองคน ยลตามช่อง
                คนหนึ่ง มองเห็นโคลนตม
                คนหนึ่ง ตาแหลมคม
                มองเห็นดาวอยู่พราวแพรว"
.
.....ต่อมาเมื่อได้ค้นคว้าเพิ่มเติมก็ได้ทราบว่าต้นแบบเป็นบทกวีของท่านเช็คสเปียร์ ที่ว่า "Two folks look through same hole, one sees mud, one sees star." ถอดเป็นภาษาไทยโดยท่านภราดา ฟ. ฮีแรห์ แห่งอัสสัมชัญ เมื่อกว่า 50 ปีที่แล้ว (ข้อมูลจาก ไทยโพสต์ 25 พ.ย. 2547 โดยคุณสุวรรณ) ความหมายก็คือมุมมองของคนหลายคนในเรื่องเดียว อาจมีความแตกต่างกันได้ ไม่จำเป็นว่าคนหนึ่งต้องมองว่าบวกอีกคนต้องมองว่าลบเสมอไป อาจจะมองทางบวกทั้งคู่ หรือลบทั้งคู่ก็ได้ ถ้าแตกต่างกันในความคิดเห็นก็จัดว่าเป็นสองคนยลตามช่องได้ทั้งสิ้น
.
#สองคนยลตามช่อคนหนึ่งมองเห็นโคลนตม
#คนหนึ่งตาแหลมคมมองเห็นดาวอยู่พราวแพรว
.
ที่มา https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/posts/pfbid02BxMHsWdQWKe7rQh3ykQLVXxKwMUNx9fMC7jizDZXHysH8pFktJsRZifqZMfQHiW1l (https://www.facebook.com/Noom.Wangna11122553/posts/pfbid02BxMHsWdQWKe7rQh3ykQLVXxKwMUNx9fMC7jizDZXHysH8pFktJsRZifqZMfQHiW1l)
.
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=169784005750290&id=100081560750868&mibextid=Nif5oz (https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=169784005750290&id=100081560750868&mibextid=Nif5oz)
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 10, 2023, 09:14:35 pm
.
.
การนำบทความของผู้อื่นที่มีการเขียนที่ต้องผ่านการค้นคว้ามาอย่างถูกต้อง
โดยที่ผู้เขียนไม่ได้อนุญาตให้นำบทความนั้นๆ
ไปลงยังสื่อออนไลน์ประเภทต่างๆ
เมื่อนำบทความไปลงยังสื่อออนไลน์แล้ว
นั่นก็คือ เป็นความผิดสำเร็จตามเจตนาของผู้กระทำแล้ว
.
เรียกผู้ที่มีพฤติกรรมนั้นได้เลยว่า เป็นการลักทรัพย์
.
โทษทางกฎหมาย  เรียกว่า เป็นการลักทรัพย์ (ละเมิดลิขสิทธิ์)
โทษทางกฎแห่งกรรม เรียกว่า การลักทรัพย์
.
อีกเรื่อง ความสำนึกในการที่ตนเองได้กระทำผิดไป ยังไม่มีในสันดาน
เมื่อมีคนไปเตือนแล้ว บอกแต่เพียงว่า จะลบโพสต์
ไม่มีการแสดงถึงความสำนึกในการกระทำผิด
ไม่มีการแสดงคำขอโทษ
แต่ถ้ามีความสำนึกในสันดาน  สามารถฝากคำขอโทษที่แสดงถึงความจริงใจในการสำนึกในการกระทำผิด
.
ตามโคลงโลกนิติที่ลงให้อ่านด้านล่าง
.
ก้านบัวบอกลึกตื้น ชลธาร
มารยาทส่อสันดาน ชาติเชื้อ
โฉดฉลาดเพราะคำขาน ควรทราบ
หย่อมหญ้าเหี่ยวแห้งเรื้อ บอกร้ายแสลงดิน
(ผู้แต่ง - สมเด็จกรมพระยาเดชาดิศร - หนังสือ - โคลงโลกนิติ)
สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล
.
แต่ที่แน่นอน  ยืนยัน นั่งยัน นอนยัน ฟันธง คอนเฟิร์ม การันตี และ รับรอง ได้ว่า ผู้ที่กระทำกรรมในเรื่องของ การลักทรัพย์  ต้องไปชดใช้กรรม แน่นอน
.
.
.
ขอเพิ่มเติมในส่วนที่เคยเห็นมา ก็คือ โชว์พระเก๊จี๊ดจ๊าดเยอะ แถมเล่านิยายเก๊สนิทศิษย์ส่ายหน้าใหัอ่านอีก
.
กรรมในส่วนนี้ คือ การกระทำในเรื่องของ มุสาวาท
.
ใครทำอะไร ต้องได้เช่นนั้นเสมอ
.
ของจริงต้องพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง
.
.
.
.
.
#ลักทรัพย์ #ขโมย
#ละเมิดลิขสิทธิ์
#มุสาวาท
.
.
.
.
.

“ก้านบัวบอกลึกตื้น ชลธาร…” การสื่อความและเจตนารมณ์ใน “โคลงโลกนิติ”
.
ที่มา ศิลปวัฒนธรรม
โพสโดย ผู้เขียน     เด็กชายผักอีเลิด
เผยแพร่  วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ.2565
.
    “ก้านบัวบอกลึกตื้น   ชลธาร
    มารยาทส่อสันดาน   ชาติเชื้อ
    โฉดฉลาดเพราะคำขาน   ควรทราบ
    หย่อมหญ้าเหี่ยวแห้งเรื้อ  บอกร้ายแสลงดิน”
.
ถอดความหมายบทประพันธ์นี้ได้ว่า กิริยามารยาทบอกได้ถึงชาติตระกูลและอุปนิสัยของบุคคล เช่นเดียวกับความสั้น-ยาวของก้านบัวย่อมบอกระดับความลึกของหนองบึงนั้น คำพูดสามารถแสดงระดับสติปัญญาของบุคคลได้ เปรียบเหมือนหญ้าที่เหี่ยวแห้งย่อมบอกถึงคุณภาพหรือความอุดมสมบูรณ์ของดินบริเวณนั้น กล่าวโดยสรุปว่า การแสดงออกทางพฤติกรรมและคำพูดสามารถบอกตัวตนของบุคคลนั้นได้
.
บทประพันธ์ดังกล่าวอยู่ใน “โคลงโลกนิติ” (อ่านว่า โคลง-โลก-กะ-นิด) ประพันธ์โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร ระหว่าง พ.ศ. 2374-2378 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) สืบเนื่องจากมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพลวิมลมังคลาราม และมีพระราชประสงค์ให้รวบรวมสรรพวิชาความรู้ของไทยมาจารึกบนแผ่นศิลาประดับไว้ในวัดพระเชตุพลฯ
.
รัชกาลที่ 3 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร ซึ่งขณะนั้นดำรงพระยศเป็นพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนเดชอดิศร รวบรวมและชำระโคลงโลกนิติสำนวนเก่าแล้วนำมาจารึกบนแผ่นศิลา เพื่อเป็นโอวาทสอนใจประชาชน ดังปรากฏในโคลงบทแรกว่า
.
    “อัญขยมบรมเรศน์เรื้อง   รามวงศ์
    พระผ่านแผ่นไผททรง   สืบไท้
    แสวงยิ่งสิ่งสดับองค์   โอวาท
    หวังประชาชนให้   อ่านแจ้งคำโคลง”
.
โคลงโลกนิติสำนวนของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร เมื่อรวมสำนวนเดิมที่นำมาปรับปรุง และส่วนที่ประพันธ์ขึ้นใหม่ รวมเป็นทั้งสิ้น 593 บท สำหรับสำนวนเดิมนั้น สันนิษฐานว่ามีการแต่งขึ้นก่อนสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สืบเนื่องจากเนื้อความในบท 2 ที่ว่า
.
    “ครรโลงโลกนิตินี้   นมนาน
    มีแต่โบราณกาล   เก่าพร้อง
    เป็นสุภษิตสาร   สอนจิต
    กลดั่งสร้อยสอดคล้อง  เวี่ยไว้ในกรรณ”
.
โคลงโลกนิติใช้ฉันทลักษณ์หรือรูปแบบการประพันธ์แบบ “โคลง” โดยคำว่า “โลกนิติ” หมายถึง “ระเบียบแบบแผนของโลก” เนื้อหาของโคลงโลกนิติมุ่งเน้นการกล่าวถึงสัจธรรมหรือความเป็นจริงของโลก ความไม่เที่ยงของสิ่งทั้งปวง หรือความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์ และสอนเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตหรือการประพฤติตน เช่น การพูด การคบคน การใฝ่หาความรู้ ฯลฯ
.
ดังโคลงบท “ก้านบัวบอกลึกตื้น   ชลธาร…” ที่กล่าวถึงแต่แรกนั้น คือการเสนอความจริงเกี่ยวกับมนุษย์ว่า อากัปกิริยาที่แสดงออกทั้งหลายเป็นเครื่องสะท้อนชาติกำเนิด การเลี้ยงดู อบรมสั่งสอน อุปนิสัย และสติปัญญาของแต่ละบุคคล สิ่งเหล่านี้เป็น “นามธรรม” แต่ผู้ประพันธ์หยิบยก “รูปธรรม” จากธรรมชาติ คือ บึงน้ำ – บัว และ ผืนดิน – หญ้า มาเปรียบเทียบให้เห็นภาพได้อย่างแยบคาย
.
การเปรียบเทียบดังกล่าวนอกจากจะสอนเรื่องการมองโลกหรือมองคนแล้ว ยังช่วยกระตุ้นเตือนบุคคลให้ระมัดระวังการแสดงออกของตนทั้งคำพูดและการกระทำ อันก่อประโยชน์ในเรื่องการได้รับการยอมรับจากบุคคลอื่นและการอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสุขด้วย
.
อ้างอิง :
.
ราชบัณฑิตยสถาน. (2557). กวีวัจน์วรรณนา วรรคทองในวรรณคดีไทยพร้อมประวัติและคำอธิบาย. กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน
.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 19 กันยายน 2565
.
.
.
.
.
#ก้านบัวบอกลึกตื้นชลธาร
#มารยาทส่อสันดานชาติเชื้อ
#โฉดฉลาดเพราะคำขานควรทราบ
#หย่อมหญ้าเหี่ยวแห้งเรื้อบอกร้ายแสลงดิน
(ผู้แต่ง - สมเด็จกรมพระยาเดชาดิศร - หนังสือ - โคลงโลกนิติ)
#สำเนียงส่อภาษา #กิริยาส่อสกุล
#สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุล
.
.
.
.
.
#ไม่เคยนำปืนไปจ่อหัวบังคับใครให้กระทำ
#การกระทำเป็นการกระทำด้วยกายวาจาใจของตนเองทั้งสิ้น
.
.
.
#กระทำถูกกฎระเบียบหน่วยงานราชการและบริษัทแต่ผิดกฎหมายต้องถูกดำเนินคดี
#กระทำถูกต้องตามกฎหมายแต่ผิดกฎแห่งกรรมต้องไปใช้กรรมเสมอ
.
.
.
#ต่อให้ไปไหว้พระพุทธรูปทั่วโลก
#ต่อให้ไปไหว้พระอริยสงฆ์ทั่วโลก
#ต่อให้ไปไหว้เทวรูปเทวดาทั่วโลก
#ไม่มีใครช่วยให้หนีกรรมพ้น
.
.
.
#ไม่ว่าใหญ่แค่ไหน
#ไม่ว่ารวยล้นฟ้าเพียงใด
#ไม่มีใครหนีกรรมพ้น
#แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังหนีกรรมไม่พ้น
.
.
.
#ต่อให้ใหญ่แค่ไหน
#ต่อให้รวยล้นฟ้าเพียงใด
#ไม่เคยมีใครหนีกรรมพ้น
#แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังต้องชดใช้กรรม
#บุพกรรมพระพุทธเจ้า
.
.
.
#พระเก๊สนิทศิษย์ส่ายหน้า
#เก๊สนิทศิษย์ส่ายหน้า
#พระเก๊จี๊ดจ๊าด
#เก๊จี๊ดจ๊าด
#ต่อตีนโจร
.
.
ที่มา https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=171859462209411&id=100081560750868&mibextid=Nif5oz
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 14, 2023, 11:02:50 am
.
สวัสดีในวันเด็ก ของปี พ.ศ.2566
.
เด็กๆคือ อนาคตของชาติ ต้องได้รับการอบรมในเรื่องที่ถูกต้อง
.
ไม่ว่าจะได้รับการอบรมมาจาก พ่อ แม่
ไม่ว่าจะได้รับการอบรมมาจาก ครูบาอาจารย์
ไม่ว่าจะได้รับการอบรมจากผู้ใหญ่รอบข้าง
.
อนาคตประเทศชาติ จะได้มีควาาเจริญรุ่งเรือง
ที่เจริญทั้งวัตถุ และจิตใจ
ที่เจริญทั้งทางโลก และทางธรรม
.
.
..*****************************..
.
.
ผมขออัญเชิญ คำขวัญ พระราชทานพระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 10) สำหรับลงพิมพ์ในหนังสือวันเด็กแห่งชาติ ปี 2566
.
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราโชวาท ลงหนังสือวันเด็กแห่งชาติ 2566
.
ที่มา mgronline
.
วันนี้ (1 ม.ค.) น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราโชวาท สำหรับลงพิมพ์ในหนังสือวันเด็กแห่งชาติ ปี 2566 ดังนี้
.
“เด็กทุกคนเติบโตขึ้นได้ ด้วยอาศัยการโอบอุ้มช่วยเหลือ ทั้งจากผู้ใหญ่และสังคม. การรู้และเห็นความดีของผู้ที่ได้โอบอุ้มช่วยเหลือนั้น นับเป็นคุณธรรมสำคัญประการหนึ่ง ชื่อว่าความกตัญญู. เด็ก ๆ จึงควรเรียนรู้ และสร้างสมอบรมคุณธรรมข้อนี้ ให้บริบูรณ์.”
.
พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต วันที่ 23 ธันวาคม พุทธศักราช 2565
.
.
.*****************************.
.
.
เพลง ค่านิยม 12 ประการ พร้อมเนื้อร้อง
.
.
https://www.youtube.com/watch?v=DrrJ7sKFqJI (https://www.youtube.com/watch?v=DrrJ7sKFqJI)
.
โพสโดย Dek-Geng
.
3 ธ.ค. 2557
.
บทเพลงค่านิยมหลักคนไทย 12 ประการ
.
คำร้อง โดย พันเอก สมศักดิ์ เตียสุวรรณ
.
ทำนอง/เรียบเรียงเสียงประสาน โดย ร้อยเอก สุระชัย ถวิลไพร
.
ขับร้อง โดย นางสาว กฤติญา สาริกา
.
จัดทำโดย กองดุริยางค์ทหารบก
.
หนึ่งรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
.
สองซื่อสัตย์ เสียสละ อดทนได้
.
สามกตัญญู พ่อแม่ สุดหัวใจ
.
สี่มุ่งใฝ่ เล่าเรียน เพียรวิชา
.
ห้ารักษา วัฒนธรรม ประจำชาติ
.
หกไม่ขาด ศีลธรรม ศาสนา
.
เจ็ดเรียนรู้ อธิปไตย ของประชา
.
แปดรักษา วินัย กฏหมายไทย
.
เก้าปฏิบัติ ตามพระ ราชดำรัส
.
สิบไม่ขาด พอเพียง เลี้ยงชีพได้
.
สิบเอ็ดต้อง เข้มแข็ง ทั้งกายใจ
.
สิบสองไซร้ คิดอะไร ให้ส่วนรวม
.
.-------------------------------------------------.
.
เพลง หน้าที่เด็ก ( เด็กเอ๋ย เด็กดี )
.
https://www.youtube.com/watch?v=BBfg1choSm4 (https://www.youtube.com/watch?v=BBfg1choSm4)
.
โพสโดย Sattahip Today
.
9 ธ.ค. 2561
.
เพลง หน้าที่เด็ก (เด็กเอ๋ย เด็กดี)
.
คำร้อง : ชอุ่ม ปัญจพรรค์
.
ทำนอง : เอื้อ สุนทรสนาน
.
.
เด็กเอ๋ยเด็กดี ต้องมีหน้าที่สิบอย่างด้วยกัน
.
เด็กเอ๋ยเด็กดี ต้องมีหน้าที่สิบอย่างด้วยกัน
.
หนึ่ง นับถือศาสนา
.
สอง รักษาธรรมเนียมมั่น
.
สาม เชื่อพ่อแม่ครูอาจารย์
.
สี่ วาจานั้นต้องสุภาพอ่อนหวาน
.
ห้า ยึดมั่นกตัญญู
.
หก เป็นผู้รู้รักการงาน
.
เจ็ด ต้องศึกษาให้เชี่ยวชาญ
.
ต้องมานะบากบั่นไม่เกียจไม่คร้าน
.
แปด รู้จักออมประหยัด
.
เก้า ต้องซื่อสัตย์ตลอดกาล
.
น้ำใจนักกีฬากล้าหาญ
.
ให้เหมาะกับกาลสมัยชาติพัฒนา
.
สิบ ทำตนให้เป็นประโยชน์
.
รู้บาปบุญคุณโทษสมบัติชาติต้องรักษา
.
เด็กสมัยชาติพัฒนา
.
จะเป็นเด็กที่พาชาติไทยเจริญ
.
เด็กเอ๋ยเด็กดี ต้องมีหน้าที่สิบอย่างด้วยกัน
.
เด็กเอ๋ยเด็กดี ต้องมีหน้าที่สิบอย่างด้วยกัน
.
สำหรับเพลง "หน้าที่ของเด็ก" หรือเพลง "เด็กเอ๋ยเด็กดี" นี้ ประพันธ์คำร้องโดย ชอุ่ม ปัญจพรรค์ นักเขียนนวนิยายชื่อดังคนหนึ่งของไทย ซึ่งท่านเป็นพี่สาวของอาจินต์ ปัญจพรรค์ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ พ.ศ. 2534
.
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มกราคม 27, 2023, 09:23:02 pm
.
.
เพลง วัดป่าภัทรปิยาราม จ.ลพบุรี / by Tong Aim
.
https://www.youtube.com/watch?v=S_iUGXI0jOg (https://www.youtube.com/watch?v=S_iUGXI0jOg)
.
ธรรมมะสบายใจ / by Tong Aim
14 ก.ค.2564
.
.
ขอนมัสการ จากอรุโณ โลกุตตระ
/ ประพันธ์โดย พระครูสังฆรักษ์ ณริชธันร์ อรุโณ วัดป่าภัทรปิยาราม จ.ลพบุรี
.
https://www.youtube.com/watch?v=R_zeVfI3oYQ (https://www.youtube.com/watch?v=R_zeVfI3oYQ)
.
ธรรมมะสบายใจ / by Tong Aim
19 ก.ค.2564
.
.
.
.
.
#พระพุทธยมกปาฎิหาริย์
.
#พระพุทธมณีรัตนอัมรินทรถสถิต (พระประธาน พระอุโบสถเจดีย์ จักรรัตนอุโบสถ โลหะสัมฤทธิ์เจดีย์ บรมพิมาน พระพุทธมณีรัตนอัมรินทรถสถิต อัมพรสุวรรณนพรัตนมณีโชติจรัสสุริเยนทร์ วัดป่าภัทรปิยาราม)
.
#พระอุโบสถเจดีย์จักรรัตนอุโบสถโลหะสัมฤทธิ์เจดีย์ บรมพิมานพระพุทธมณีรัตนอัมรินทรถสถิตอัมพรสุวรรณนพรัตนมณีโชติจรัสสุริเยนทร์
.
#พระบรมธาตุเจดีย์ศรีอิทธิมนต์ทิพยสถานอรุโณโลกุตตระ
.
#พระอาจารย์ณริชธันร์  #วัดป่าภัทรปิยาราม
.
#ถ้าสุวรรณคูหามัฆวานวินิจฉัย
.
#พญานาคราชศีลวิสุทธิโลกาธิบดี
.
#ศาลาศรีอิทธิมนต์ (#ศาลาเคียงอุโบสถวัดป่าภัทรปิยาราม)
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2023, 03:55:10 pm
.
.
สืบเนื่องจากที่ผมลงประวัติของ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ
.
มาแอบกระซิบกัน ว่า การสร้าง #พระวังหน้า ในช่วงนั้น แม่พิมพ์หลายๆพิมพ์ เป็นการออกแบบแม่พิมพ์โดย พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ
.
#แม่พิมพ์พระสมเด็จ นั้น
ผมเคยบอกมาก่อนหน้านี้แล้วว่า พระสมเด็จ มีการสร้างกันมาตั้งแต่ยุคศรีสัชนาลัย ที่ทางกลุ่มลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร มีการค้นพบแม่พิมพ์พระสมเด็จในสมัยนั้น
ปัจจุบัน แม่พิมพ์พระสมเด็จอันนั้น อยู่ในกลุ่มลูกศิษย์ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร
.
พระสมเด็จที่ผมได้พบที่มีการสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา(เกือบ)ตอนปลาย
.
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา(เกือบ)ตอนปลาย มีการสร้างพระสมเด็จขึ้นมา
คาดว่า น่าจะมีการสร้างขึ้นมาในช่วงสมัย สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม (หรือ สมเด็จพระบรมราชาที่ 1 หรือ สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงธรรมอันมหาประเสริฐ) ถึง สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
.
ดังนั้น แม่พิมพ์พระสมเด็จ ไม่มีการสร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์แน่นอน
.
ผมลงรูป #พระสมเด็จที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาเกือบตอนปลาย นำมาให้ชม
.
ส่วนหลวงวิจารณ์เจียรนัย เป็นช่างสิบหมู่เช่นกัน เพียงแต่เป็นช่างที่ทำงานด้านการทำเพชรพลอย
.
รูปสงวนลิขสิทธิ์
.
.
.
.
หนังสือทั้ง 3 เล่ม
เป็นความรู้เบื้องต้นเท่านั้น
ในการเรียนรู้เรื่อง #พระวังหน้า
.
เพราะว่า มีอีกหลายเรื่องมากที่ไม่มีในหนังสือทั้ง 3 เล่ม ที่ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ได้สอนลูกศิษย์และผู้ที่ไปหาท่าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง #รูป (คือ #เนื้อหาทรงพิมพ์ และ #นาม (คือ #พลังอิทธิคุณขององค์ผู้อธิษฐานจิต) ครับ
.
.
.
#หนังสือบรมครูพระเทพโลกอุดร
#ท่านอาจารย์ประถมอาจสาครผู้เขียน
.
#หนังสือวิเคราะห์พระพิมพ์สมเด็จฯและสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า
#ประถมอาจสาคร ผู้เขียน
#ปรัชนีประชากร
.
#หนังสือปู่เล่าให้ฟัง
#ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ผู้เขียน
.
#ถ้ายังไม่ได้อ่านหนังสืออย่าริเป็นเซียน
.
.
.*******************************************.
.
.
ประวัติของ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02RppDfpueNY5p4h1uRkHdyV7CZn6n1pgnJFbmycyF2j7AmDXNesy7FK7AHSSXbejXl&id=100081560750868&mibextid=Nif5oz
.
.
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ
.
ที่มา thestatestimes
เรื่อง: สถาพร บุญนาจเสวี Content Manager
ที่มาของภาพ สถาพร บุญนาจเสวี Content Manager
07 JANUARY , 2023
.
.
เจ้าชายนักประดิษฐ์ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ ผู้สร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง
.
.
เมื่อช่วงปีใหม่ผมมีโอกาสได้ไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามวิถีของชาวพุทธ โดยได้ไปสักการะ 'พระพุทธอังคีรส' ประธานพระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม คำว่า 'อังคีรส' มีความหมายว่า 'มีพระรัศมีเปล่งออกมาจากพระวรกาย'
.
พระพุทธรูปองค์นี้ หล่อขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ต่อต้นรัชกาลที่ 5 ด้วยกะไหล่ทองคำเนื้อแปดหนัก 180 บาท เป็นทองที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้เมื่อยังทรงพระเยาว์ เดิมพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะทรงนำไปประดิษฐานที่พระปฐมเจดีย์ แต่สิ้นรัชกาลเสียก่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้นำมาประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดราชบพิธ เมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2415 ซึ่งใต้ฐานบัลลังก์ของ 'พระพุทธอังคีรส' นั้น เป็นที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิของพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ได้แก่ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมสรีรางคารของ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
.
พุทธลักษณะของ 'พระพุทธอังคีรส' ประกอบด้วยพระพักตร์ค่อนข้างกลม ขมวดพระเกศาเล็ก ไม่มีอุษณีษะ (ปุ่มด้านบนศรีษะ) มีพระรัศมีขนาดใหญ่เป็นเปลว พระกรรณสั้นเหมือนมนุษย์ปกติ ไม่ยาวเหมือนพระพุทธรูปทั่วไป การครองจีวรห่มเฉียง มีริ้วแบบธรรมชาติ สังฆาฏิเป็นแผ่นใหญ่เหมือนผ้าสังฆาฏิที่ใช้จริงแบบพระสงฆ์ทั่วไป นักวิชาการให้ความเห็นกันไว้ว่านี่คือพระพุทธรูปที่มีลักษณะ 'เทวดาครึ่งมนุษย์' ที่งดงาม ไร้ที่ติ ถึงตรงนี้ใครกันหนอ ? คือผู้ปั้นและหล่อ 'พระพุทธอังคีรส' องค์นี้
.
'พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ' พระองค์คือช่างปั้นและช่างหล่อท่านที่ผมสงสัยนั่นเอง พระองค์ทรงเป็นพระโอรสของ 'พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นณรงค์หริรักษ์' ต้นราชสกุล 'ดวงจักร' เมื่อแรกประสูติ ทรงพระนามว่า 'หม่อมเจ้าดิศ' พระบิดาของพระองค์นั้น ทรงกำกับ 'กรมช่างหล่อ' (เป็น DNA จากพ่อสู่ลูกแน่ ๆ อันนี้ผมคิดเองนะ) ในรัชสมัยของ 'พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว' โดย 'ช่างหล่อ' เป็นหนึ่งในกลุ่ม 'ช่างหลวง' ที่เรียกกันว่า 'ช่างสิบหมู่'
.
โดย 'ช่างหล่อ' มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการหล่อโลหะ เช่น การหล่อกลองมโหระทึก หล่อพระพุทธรูปขนาดใหญ่ การหล่อพระพุทธรูปโลหะทำได้โดยการใช้ขี้ผึ้งทำเป็นหุ่นแล้วละลายขี้ผึ้งจนเกิดที่ว่างในแม่พิมพ์ แล้วจึงเทโลหะหรือทองที่กำลังหลอมละลายเข้าแทนที่ จะได้เป็นรูปหล่อโลหะสำริด เรียกวิธีนี้ว่า 'ไล่ขี้ผึ้ง' ซึ่งก็คืองานวิจิตรศิลป ประเภทงานประติมากรรมนั่นเอง ซึ่งนับว่ามีความสำคัญมาก ๆ ในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ จึงเชื่อได้ว่า 'พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ' คงจะได้เรียนรู้ ศึกษา และสั่งสมประสบการณ์ จาก 'พระบิดา' ของพระองค์นั่นเอง
.
ผมคงไม่เล่าพระประวัติของพระองค์มากนัก แต่จะเล่าถึงความสามารถของพระองค์และงานปั้นที่พระองค์ได้ทรงปั้นไว้ดีกว่า
.
เริ่มต้นในรัชสมัยของ 'พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว' รัชกาลที่ 4 ซึ่งในช่วงนั้น ฝรั่งเศสและอังกฤษ พยายามหาทางจะยึดครองสยามให้ได้ แต่เมื่อถึงช่วงเวลาวิกฤติก็เกิดเหตุพลิกผันที่ทำให้ผ่านพ้นวิกฤติไปได้อย่างอัศจรรย์ พระองค์จึงทรงดำริว่า เป็นไปได้ว่าน่าจะมีเทพยดาคอยพิทักษ์รักษาสยามอยู่ จึงสมควรจะสร้างรูปสมมติของเทพยดาองค์นั้นขึ้นเพื่อสักการบูชา จึงได้มีพระบรมราชโองการ ให้ 'พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ' เมื่อครั้งดำรงพระยศเป็น 'หม่อมเจ้าดิศ' รับราชการในกรมช่างสิบหมู่ ได้เป็นนายช่างเอกออกแบบเทพยดาองค์หนึ่ง ตามพระราชดำริของพระองค์ ซึ่งใช้คติ 'มเหศักดิ์' หรือเทวดาผู้คุ้มครองบ้านเมืองมาจินตนาการแล้วปั้นขึ้นเป็น 'เทวรูปยืน' ทรงเครื่องต้น พระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายยกเสมอพระอุระในท่าประทานพร มีขนาดสูง 8 นิ้ว หรือ 20 เซนติเมตร เป็นที่พอพระราชหฤทัยของ ร.4 เป็นอย่างยิ่ง จึงโปรดเกล้าฯ ให้หล่อขึ้นแล้วถวายพระนามว่า 'พระสยามเทวาธิราช'
.
ช่วงปลายรัชกาลที่ 4 'พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ' ก็ได้ใช้ประสบการณ์ด้านงานปั้นและงานหล่อที่ฝึกฝนมายาวนานจนชำนาญในงานแขนงนี้มากกว่าใคร จนถือได้ว่าศิลปินเอกแห่งยุคนั้น มาปั้นพระพุทธรูปที่ใช้คติ 'เทวดาครึ่งมนุษย์' ที่สวยงามแตกต่าง ก่อนจะนำไปหล่อด้วย กะไหล่ทองคำเนื้อแปดหนัก 180 บาท ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้เมื่อคราวพระราชพิธีโสกันต์ เกิดเป็นพระพุทธรูปที่มีพระวรรณะเปล่งปลั่งงดงามที่สุด สมกับพระนามว่า
.
'พระพุทธอังคีรส' ซึ่งผมได้กล่าวไว้ในข้างต้น
.
พระพุทธรูปอีกองค์หนึ่งซึ่งมาจากฝีมือของ 'พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ' ที่จะไม่กล่าวถึงคงไม่ได้คือ พระประธานในพระอุโบสถของ 'วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ' โดยพุทธลักษณะแบบผสมผสานระหว่างประเพณีนิยมและตะวันตก รับกับตัวอุโบสถที่มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบกอธิกของยุโรป โดยพุทธลักษณะมีความใกล้เคียงกับมนุษย์ จากขมวดพระเกศาไม่มีพระเกตุมาลา มีแต่พระรัศมี ครองจีวร อย่างพระสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย ริ้วจีวร เลียนแบบธรรมชาติ นิ้วพระหัตถ์ยาวเท่ากัน ฐานพระเป็นฐานกลีบบัวหลายบนฐานสิงห์ประดับลวดลายอย่างวิจิตร ซึ่ง ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพอพระราชหฤทัยมาก โดยถวายพระนามว่า 'พระพุทธนฤมลธรรโมภาส'
.
ย้อนกลับไปตอนต้นรัชกาล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมช่างสิบหมู่ และได้สร้างผลงานสำคัญซึ่งปัจจุบันประดิษฐานไว้ ณ ปราสาทพระเทพบิดร นั่นก็คือพระบรมรูป 4 รัชกาล โดยพระบรมรูปรัชกาลที่ 1 - 3 นั้นเป็นการปั้นขึ้นมาใหม่ โดยใช้ความทรงจำของเจ้านายที่ทันเห็นในหลวงทั้ง 3 รัชกาลมาสร้างงานปั้น โดยปั้นไป แก้ไป ซึ่งต้องนับว่า พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ ทรงมีความอดทนและความสามารถเป็นอย่างมาก เมื่อปั้นเสร็จก็ได้แก้ไขข้อบกพร่องของพระบรมรูปรัชกาลที่ 4 ที่ได้มีแบบปั้นอยู่แล้ว เมื่อเสร็จก็หล่อพระบรมรูปทั้งหมดในบริเวณวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยแรกเริ่มนั้นได้ประดิษฐานไว้ในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ก่อนที่จะย้ายมาประดิษฐานไว้ ณ ปราสาทพระเทพบิดรในรัชสมัย 'พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว' รัชกาลที่ 6
.
ส่วนงานที่ 'พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ' ยังดำเนินการไม่สำเร็จ แต่ได้ส่งต่อร่างต้นแบบที่สวยงามอัศจรรย์ใจ และยังปรากฏอยู่จนถึงวันนี้ นั่นก็คือการออกแบบภายนอกพระอุโบสถของ 'วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม' ที่ผมได้เข้าไปสักการะ 'พระพุทธอังคีรส' นั่นเอง โดย 'พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ' ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นแม่กองอำนวยการสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2412 แต่ยังไม่แล้วเสร็จพระองค์ก็ประชวรด้วย 'พระโรคคันธสูตปลายปัตฆาฏ' ซึ่งน่าจะเกิดจากการที่พระองค์ทรงนั่งปั้นงานอย่างต่อเนื่องยาวนาน พระองค์สิ้นพระชนม์ในวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2428 สิริพระชันษา 68 ปี เมื่อ 'พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ' สิ้นพระชนม์ลง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้ 'พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ' เป็นแม่กองอำนวยการสร้างต่อ
.
แม้พระประวัติของ 'พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ' จะมีไม่มาก แต่ฝีมือเชิงช่างของพระองค์ยังคงเฉิดฉายและงดงาม ควรค่าแก่การสักการะ จวบจนปัจจุบันนี้ ผมขอก้มกราบฝีมือเชิงช่างของพระองค์อย่างหมดหัวจิตหัวใจ
.
กราบ...
.
.
เรื่อง: สถาพร บุญนาจเสวี Content Manager
.
.
.
.
.**********************************.
.
.
ว่าด้วยเรื่อง หลวงวิจารณ์เจียรนัย
โพสโดย Paisal Puechmongkol
วันที่ 2 กรกฎาคม 2020
.
หลวงวิจารณ์เจียรนัย!!!
.
กองเชียร์ของเซียนพระบางท่าน ที่ปฏิเสธการมีอยู่ของพระสมเด็จเวอร์ชั่นงานหลวงทั้งหมด กล่าวอ้างว่าหลวงวิจารณ์เจียรนัย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้แกะแบบพิมพ์พระสมเด็จเวอร์ชั่นงานหลวง ว่าไม่มีตัวตนอยู่จริง โดยอ้างเหตุผล 3 ประการคือ
.
ก. ไม่พบประกาศการแต่งตั้งในราชกิจจานุเบกษา
ข.ไม่มีหลักฐานการขอนามสกุลพระราชทาน และไม่มีประกาศตั้งบรรดาศักดิ์ ในราชกิจจานุเบกษาด้วย
ค.ไม่เคยได้ยินประวัติหลวงวิจารณ์เจียรนัยมาก่อน และไม่มีทายาท ให้ปรากฏ!!
.
ข้อกล่าวอ้าง 3 ประการนี้ไม่เพียงพอที่จะสรุป ว่าหลวงวิจารณ์เจียรนัยไม่มีตัวตน เพราะ
.
1 ราชกิจจานุเบกษานั้นเริ่มมีในสมัยรัชกาลที่ 4 แต่ตีพิมพ์เพียงบางส่วน และมาตีพิมพ์เป็นส่วนใหญ่ในกลางรัชกาลที่ 5 ดังนั้นพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 จึงทรงโปรดให้นำราชกิจจานุเบกษาฉบับสำคัญในรัชกาลที่ 4 มาพิมพ์ใหม่เป็นบางฉบับ ดังนั้นขุนนางข้าราชการ เกือบทั้งหมด จึงไม่มีการประกาศแต่งตั้งในราชกิจจานุเบกษาในขณะนั้น
ผมมีการศึกษาไม่มากนัก แต่ผมก็ประกาศได้ว่า ผมเป็นคนหนึ่งในไม่กี่คนของประเทศไทยที่ได้อ่านและศึกษาราชกิจจานุเบกษาทุกฉบับที่มีการตีพิมพ์ในสมัยรัชกาลที่ 5
.
2 นามสกุลพระราชทานนั้น เป็นค่านิยมที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 ส่วนในรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 ยังไม่มีพระราชนิยมในเรื่องนี้ แม้ในสมัยรัชกาลที่ 6 ก็มีขุนนางข้าราชการที่ได้รับนามสกุลพระราชทาน ไม่ถึง 300 ตระกูล
.
3 การพระราชทานบรรดาศักดิ์ก่อนสมัยรัชกาลที่ 6 เป็นแบบแผนแต่โบราณ ไม่ได้มีการวางระบบพระราชทานเป็นนามชุด ที่สอดคล้องกัน เหมือนสมัยรัชกาลที่ 6 ดังเช่น บรรดาศักดิ์ชั้น"พระ" ที่มีนามว่า พระดุลยพากษ์สุวมัณฑ์ พระดุลยฑัณฑ์ชนาณัติ พระดุลยทัศน์ปฏิภาณ
หรือชั้นหลวง เช่น หลวงสุทธิมลนฤนาท หลวงสุทธิวาทนฤพุฒิ เป็นต้น
.
4 หลวง วิจารณ์เจียรนัยมีชีวิตอยู่ในยุครัชกาลที่ 4 ถึงกลางรัชกาลที่ 5 เป็นข้าราชการในสังกัดกรมช่างสิบหมู่ ในสังกัดของกระทรวงวัง ซึ่งในช่วงที่มีการสร้างพระสมเด็จ เวอร์ชั่นงานหลวงของวังหลวงนั้นอยู่ในบังคับบัญชาของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลากรมพระยาบำราบปรปักษ์ เสนาบดีกระทรวงวัง ซึ่งท่านก็มีทายาทสืบสายสกุลลงนาจนถึงวันนี้ และได้รับพระราชทาน หรือมีพระสมเด็จวังหลวงอยู่มากแบบ
.
ส่วนหลวงวิจารณ์เจียรนัยท่านก็มีทายาทสืบทอดลงมาจนถึงปัจจุบันนี้
.
ผมรู้จักเชื้อสายพระทายาทรุ่นปัจจุบันของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์นั้น และท่านก็เมตตามอบพระสมเด็จให้ผม มาแล้ว และผมรู้จักทายาทของหลวงวิจารณ์เจียรนัยด้วย
.
ความจริงเป็นเช่นนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเชื่อของใคร
.
.
.***********************************************
.
.
.
.
การเรียนรู้ ต้องมี สุ(ฟัง) จิ(คิด) ปุ(ถาม) ลิ(เขียน)
.
พาหุสัจจะ แปลว่า ความเป็นผู้ได้สดับมาก
หนังสือบางฉบับเรียกว่า หัวใจนักปราชญ์
.
สุ ย่อมาจาก สุตะ แปลว่า ฟัง
จิ ย่อมาจาก จินตะ แปลว่า คิด
ปุ ย่อมาจาก ปุจฉา แปลว่า ถาม
ลิ ย่อมาจาก ลิขิต แปลว่า จด
.
#อย่าไปเรียนกับกลุ่มเก๊สนิทศิษย์ส่ายหน้า
.
#เรียนรู้ของเก๊จี๊ดจ๊าดแทนของแท้ #เก็บสะสมของเก๊สนิทศิษย์ส่ายหน้าแทนของแท้
.
#หลงทางหลงป่าเข้าพงลงเหว จาก #กลุ่มกูรูเก๊
.
ระวังให้มากสำหรับ เก๊สนิทศิษย์ส่ายหน้า และ เก๊จี๊ดจ๊าด กัน
.
#อย่าไปเข้าป่าเข้าพงลงเหว #ไม่หลงทิศหลงทางลงนรก #อย่าตกเป็นเหยื่อ
.
ในเรื่อง #มุสาวาท และ #ปรามาสผู้มีธรรม จากกลุ่ม #กูรูเก๊
.
#โง่จริงแบบว่าไม่โง่จริงทำไม่ได้
.
.
#พระเก๊สนิทศิษย์ส่ายหน้า
#เก๊สนิทศิษย์ส่ายหน้า
#พระเก๊จี๊ดจ๊าด
#เก๊จี๊ดจ๊าด
#ต่อตีนโจร
.
.
.
.----------------------------------.
.
.
สองคน ยลตามช่อง คนหนึ่ง มองเห็นโคลนตม คนหนึ่ง ตาแหลมคม มองเห็นดาวอยู่พราวแพรว
บทกวีของท่านเช็คสเปียร์ "Two folks look through same hole, one sees mud, one sees star.
ถอดเป็นภาษาไทยโดยท่านภราดา ฟ. ฮีแรห์ แห่งอัสสัมชัญ
.
“สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อีกคนตาแหลมคม เห็นดวงดาวอยู่พราวพราย”
แปลโดยเจษฏาจารย์ ฟ. ฮีแลร์ (F. Hilaire)
สุภาษิตนี้แปลมาจากภาษาอังกฤษ
Two men look out through the same bars; One sees the mud, and one the stars
โดย Frederick Longbridge
.
.
"สองคน ยลตามช่อง
คนหนึ่ง มองเห็นโคลนตม
คนหนึ่ง ตาแหลมคม
มองเห็นดาวอยู่พราวแพรว"
.
.....ต่อมาเมื่อได้ค้นคว้าเพิ่มเติมก็ได้ทราบว่าต้นแบบเป็นบทกวีของท่านเช็คสเปียร์ ที่ว่า "Two folks look through same hole, one sees mud, one sees star." ถอดเป็นภาษาไทยโดยท่านภราดา ฟ. ฮีแรห์ แห่งอัสสัมชัญ เมื่อกว่า 50 ปีที่แล้ว (ข้อมูลจาก ไทยโพสต์ 25 พ.ย. 2547 โดยคุณสุวรรณ) ความหมายก็คือมุมมองของคนหลายคนในเรื่องเดียว อาจมีความแตกต่างกันได้ ไม่จำเป็นว่าคนหนึ่งต้องมองว่าบวกอีกคนต้องมองว่าลบเสมอไป อาจจะมองทางบวกทั้งคู่ หรือลบทั้งคู่ก็ได้ ถ้าแตกต่างกันในความคิดเห็นก็จัดว่าเป็นสองคนยลตามช่องได้ทั้งสิ้น
.
#สองคนยลตามช่อคนหนึ่งมองเห็นโคลนตม
#คนหนึ่งตาแหลมคมมองเห็นดาวอยู่พราวแพรว
.
.
ที่มา https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=178927421502615&id=100081560750868&mibextid=Nif5oz
.
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2023, 04:01:24 pm
.
.
หนังสือทั้ง 3 เล่ม
เป็นความรู้เบื้องต้นเท่านั้น
ในการเรียนรู้เรื่อง #พระวังหน้า
.
เพราะว่า มีอีกหลายเรื่องมากที่ไม่มีในหนังสือทั้ง 3 เล่ม ที่ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ได้สอนลูกศิษย์และผู้ที่ไปหาท่าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง #รูป (คือ #เนื้อหาทรงพิมพ์ และ #นาม (คือ #พลังอิทธิคุณขององค์ผู้อธิษฐานจิต) ครับ
.
.
.
#หนังสือบรมครูพระเทพโลกอุดร
#ท่านอาจารย์ประถมอาจสาครผู้เขียน
.
#หนังสือวิเคราะห์พระพิมพ์สมเด็จฯและสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า
#ประถมอาจสาคร ผู้เขียน
#ปรัชนีประชากร
.
#หนังสือปู่เล่าให้ฟัง
#ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ผู้เขียน
.
#ถ้ายังไม่ได้อ่านหนังสืออย่าริเป็นเซียน
.
.
.
.
.
การเรียนรู้ ต้องมี สุ(ฟัง) จิ(คิด) ปุ(ถาม) ลิ(เขียน)
.
พาหุสัจจะ แปลว่า ความเป็นผู้ได้สดับมาก
หนังสือบางฉบับเรียกว่า หัวใจนักปราชญ์
.
สุ ย่อมาจาก สุตะ แปลว่า ฟัง
จิ ย่อมาจาก จินตะ แปลว่า คิด
ปุ ย่อมาจาก ปุจฉา แปลว่า ถาม
ลิ ย่อมาจาก ลิขิต แปลว่า จด
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 13, 2023, 08:33:14 pm
.
"หลวงพ่อกวย ชุตินธโร" อดีตเจ้าอาวาสวัดโฆสิตาราม ครับ
.
หลวงพ่อกวย ท่านเก่งมากครับ
.
ประสบการณ์ส่วนตัว
.
เมื่อก่อนมีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมจะเดินทางไปกราบหลวงพ่อสนอง วัดนครไทยวราราม (พิษณุโลกฉ)
.
ผมไปแวะกราบหลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข สิงห์บุรี
.
พอกราบหลวงปู่บุดดาเรียบร้อยแล้ว ผมตั้ง Google Map ไปที่ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่)  จ.พิษณุโลก
.
ผมขับรถมาตาม Google Map ที่ตั้งไว้  ขับมาได้สักพัก ปรากฎว่า ผมเห็นป้ายวัดโฆสิตาราม
.
ผมก็เลยแวะเข้าไปกราบ หลวงพ่อกวย ชุตินธโร พอกราบหลวงพ่อกวยเสร็จเรียบร้อย
.
ผมก็ตั้ง Google Map ไปที่ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่)  จ.พิษณุโลก
.
ปรากฎว่า เส้นทางใน Google Map ให้ย้อนกลับไปทางเดิม  ไปได้สักพัก ก็มีทางแยก (ให้เลี้ยวขวา)
.
พอเลี้ยวขวาแล้ว ขับตามเส้นทางมาได้สักพัก ก็ออกมาสู่ถนนสายเอเซีย แล้วก็เดินทางต่อไปยังวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่)  จ.พิษณุโลก 
.
ในความเห็นของผม กับ อีกหลายท่าน บอกมาตรงกันว่า หลวงพ่อกวย ท่านให้ไปกราบท่านก่อน
หากเดินทางไปโดยไม่ไปแวะกราบท่าน อาจจะประสบกับอุบัติเหตุก็ได้ ครับ
.
หลวงพ่อกวย ท่านเปลี่ยนเส้นทางใน Google Map ในมือถือผม ครับ
.

หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กุมภาพันธ์ 17, 2023, 08:54:52 pm
.
.
สืบเนื่องจากเมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม 2566) ผมและคณะไปร่วมงานบุญที่วัดป่าภัทรปิยาราม
.
.
.
ผมนำแผ่นทองเหลือง จำนวน 3 แผ่น
(ที่ผมเคยนำไปขอพระเมตตา หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด อธิษฐานจิตแผ่นทองเหลืองชุดนี้ที่วัดแค (วัดราชานุวาส) จ.พระนครศรีอยุธยา
.
นำไปใส่ในเตาหลอม (เป็นส่วนหนึ่งของมวลสาร) ในการสร้างพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช" ทั้ง 2 องค์
.
ผมนำรูปพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร และ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จากพระอาจารย์ณริชธันร์ มาให้ชมกัน
.
พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร และ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช  สวยงามมาก ครับ
.
.**************************************************.
.
รายละเอียดของงานบุญในวันนั้น ด้านล่าง ครับ
.
.
.**************************************************.
.
.
รายละเอียดของงานบุญ
.
ที่มา และโพสโดย อรุโณ โลกุตตระ
วันที่ 8 มกราคม 2566 เวลา 05:18 น.
.
เรียนเชิญร่วมงาน
.
วันอาทิตย์ที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๖” (ขึ้น ๑ ค่ำ เดือนสาม ปีขาล)
.
ณ วัดป่าภัทรปิยาราม ต.โคกตูม อ.เมืองลพบุรี จ.ลพบุรี
.
~ ยกช่อฟ้า, ปั้นลม, หน้าบัน ศาลาเคียงอุโบสถ วัดป่าภัทรปิยาราม
~ หล่อพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช”
~ ประดิษฐานศาลาเคียงอุโบสถวัดป่าภัทรปิยาราม
~ ประดิษฐานหน้าเสาธงโรงเรียนบ้านวังเพลิง
~ หล่อพระบรมรูป สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
~ ประดิษฐานหน้าเสาธงโรงเรียนบ้านวังเพลิง
.
.
มาร่วมโมทนาบุญกันครับ
.
.
.
#สมเด็จเจ้าพระราชมุนีสามีรามคุณูปรมาจารย์
#หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด
#หลวงปู่ทวดวัดช้างไห้
#พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร
#สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
#วัดแค #วัดแคอยุธยา
#วัดราชานุวาส #วัดราชานุวาสอยุธยา
#วัดป่าภัทรปิยาราม
.
#หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ดำ
.
#หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ตีนโต
.
#หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เทพโลกอุดร หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เดินหน หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ในดง หรืออีกชื่อ #หลวงปู่โพรงโพ (เดิมที่พิมพ์ไว้ #หลวงปู่โพรงโพธิ์ เป็นการพิมพ์ผิด)
.
#หลวงปู่พระฌานียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี (เดิมที่พิมพ์ไว้ #หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า เป็นการพิมพ์ผิด)
.
#หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์
.
#หลวงปู่เทพโลกอุดร
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
.
#คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ
.
#สมเด็จพระพุฒาจารย์โตพรหมรังสี
.
#หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ
.
#พระพุทธยมกปาฎิหาริย์
.
#พระพุทธมณีรัตนอัมรินทรถสถิต (พระประธาน พระอุโบสถเจดีย์ จักรรัตนอุโบสถ โลหะสัมฤทธิ์เจดีย์ บรมพิมาน พระพุทธมณีรัตนอัมรินทรถสถิต อัมพรสุวรรณนพรัตนมณีโชติจรัสสุริเยนทร์ วัดป่าภัทรปิยาราม)
.
#พระอุโบสถเจดีย์จักรรัตนอุโบสถโลหะสัมฤทธิ์เจดีย์ บรมพิมานพระพุทธมณีรัตนอัมรินทรถสถิตอัมพรสุวรรณนพรัตนมณีโชติจรัสสุริเยนทร์
.
#พระบรมธาตุเจดีย์ศรีอิทธิมนต์ทิพยสถานอรุโณโลกุตตระ
.
#พระอาจารย์ณริชธันร์ #วัดป่าภัทรปิยาราม
.
#ถ้าสุวรรณคูหามัฆวานวินิจฉัย
.
#พญานาคราชศีลวิสุทธิโลกาธิบดี
.
#ศาลาศรีอิทธิมนต์ (#ศาลาเคียงอุโบสถวัดป่าภัทรปิยาราม)
.
#ชมรมพระวังหน้า
.
#พระวังหน้า
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ มีนาคม 04, 2023, 05:00:28 pm
.
.
หลวงพ่อสนอง วัดนครไทยวราราม ท่านมรณภาพแล้วในวันที่ 2 มีนาคม 2566 ประมาณ 11.30 น.ด้วยอาการติดเชื้อในกระแสเลือด
.
ขอกราบส่งดวงจิตหลวงพ่อและกราบด้วยความเคารพอย่างสูง ครับ
.
คุณปู (ภรรยาคุณดาว ที่เป็นคนดูแลหลวงพ่อสนองฯ) ได้จัดตั้งโรงทานขึ้น
ผมได้ร่วมทำบุญในการจัดตั้งโรงทานในงานศพฯด้วย
มาร่วมโมทนาบุญกันครับ
หมู่คณะของผมในไลน์กลุ่มพระวังหน้า และ ไลน์กลุ่มพระวังหน้าโลกอุดร หลายๆท่าน ได้ร่วมทำบุญโรงทานด้วย
ผมขอโมทนาบุญกับทุกท่านที่ได้ร่วมทำบุญโรงทานในครั้งนี้ด้วย ครับ
.
.
.
ส่วนตัว ถือว่า ตนเองโชคดีมาก ที่ได้มีโอกาสไปกราบและได้ร่วมทำบุญกับหลวงพ่อสนองในหลายงานบุญ ครับ
.
.
หมายเหตุ พระสงฆ์รูปหนึ่ง ที่ทางครูบาอาจารย์ผม ได้สั่งให้ผมต้องไปกราบท่าน
เพราะ ปัจจุบัน หาพระสงฆ์ที่ท่านปฎิบัติดีปฎิบัติชอบที่ดีมากขนาดนี้ ที่ไปกราบได้สนิทใจนั้น หาได้ยาก
.
พระสงฆ์รูปนั้นก็คือ หลวงพ่อสนอง วัดนครไทยวราราม ครับ
.
ผมได้มีโอกาสไปกราบท่านมาหลายครั้งแล้ว
แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ได้รับโอกาสพิเศษ
.
มีงานบุญงานหนึ่งที่วัดนครไทยฯ คือ งานตักบาตรเทโว
ผมและหมู่คณะไปร่วมงาน แต่ไปก่อนงาน 1 วัน (วันที่ 12-13 ตุลาคม 2560)
วันนั้น ผมได้รับเส้นเกสา(หลวงพ่อสนอง) ที่ผมได้เคยขอเส้นเกสาจากพี่ทวีป
และ ได้รับเส้นเกสาของหลวงพ่อมาไว้เพื่อสักการะบูชา
ในคืนวันที่ 12 ตุลาคม 2560 (ถ้าจำไม่ผิด)
ผมและหมู่คณะ ได้ไปนั่งฟังหลวงพ่อสวดมนต์ในห้องของท่าน
หลังจากที่หลวงพ่อสวดมนต์เสร็จแล้ว ผมและหมู่คณะได้นั่งสมาธิกับหลวงพ่อฯด้วย
.
หลวงพ่อสนอง ท่านเป็นอริยบุคคลแล้ว โดยเป็นอริยบุคคล ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกแล้ว ครับ
.
หมายเหตุ ในกรณีที่พระสงฆ์มรณภาพ ห้ามใช้คำว่า สาธุ
.
หมายเหตุ รูปสงวนลิขสิทธิ์
.
.
.
คำสอนที่หลวงพ่อสนอง วัดนครไทยวราราม ได้สอนลูกศิษย์เสมอก็คือ “หนัก คือ ยึด ว่าง คือ วาง สว่าง คือ ปัญญา รู้จักพอก่อสุขทุกสถาน ความสุขสงบที่แท้จริง จึงจะปรากฏ”
.
.
.
ชาติภูมิหลวงพ่อสนอง
ที่มา เว็บไซด์ คมชัดลึก
.
“สนอง ขำคง” เป็นชื่อและสกุลเดิมของหลวงพ่อสนอง เกิดที่ บ้านนาบัว ต.นาบัว อ.นครไทย เมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๔๗๘ อุปสมบทที่พัทธสีมาวัดนาบัว เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๔๙๘ โดยมี พระครูประพัฒน์สรศีล (ชม) วัดหัวร้อง เจ้าคณะอำเภอนครไทย เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ศึกษาพระธรรมวินัยจนสอบได้นักธรรมโท ในปี พ.ศ.๒๕๐๑ และดำรงตำแหน่งเลขานุการเจ้าคณะอำเภอนครไทย
.
เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๕ พระครูประพัฒน์สรศีล ได้ลาสิกขา หลวงพ่อสนอง ขณะนั้นอายุได้ ๒๗ ปี พรรษา ๗ จึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นรักษาการเจ้าคณะอำเภอนครไทย ต่อมา พ.ศ.๒๕๐๙ ได้รับพระราชทานสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอชั้นโท ที่พระครูนครบุราณานุรักษ์
.
พ.ศ.๒๕๑๑ เป็น พระอุปัชฌาย์ และใน พ.ศ.๒๕๑๗ เป็นพระครูเจ้าคณะอำเภอชั้นเอก จนในพ.ศ.๒๕๒๒ จึงลาออกจากตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอนครไทย เพื่อมุ่งปฏิบัติธรรม เจริญสมาธิภาวนา แสวงหาความสงบ ในสมณเพศอย่างแท้จริง ดังพุทธพุจน์ที่ว่า นตฺถิ สนฺติ ปรมํสุขขํ สุขใดยิ่งกว่าใจสงบไม่มี
.
.
.
.
.
#พระครูนครบุราณานุรักษ์
#หลวงพ่อสนอง #อตฺตทโป
#หลวงพ่อสนองอตฺตทโป
#วัดนครไทยวราราม หรือ #วัดหัวร้อง (#วัดใต้)
#วัดนครไทยวรารามอำเภอนครไทยจังหวัดพิษณุโลก
.
#ชมรมพระวังหน้า
#ไลน์พระวังหน้า
#ไลน์พระวังหน้าโลกอุดร
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 14, 2023, 08:24:50 pm
.
.
หลวงพ่อกวย ท่านเปลี่ยนเส้นทางใน Google Map ในโทรศัพท์ผม
เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2562
.
.
ผมและคณะ ได้เดินทางขึ้นไปที่ อ.นครไทย จังหวัดพิษณุโลก ในวันที่ 16 มีนาคม 2562
เพื่อไปกราบ หลวงพ่อสนอง อตตทโม  (พระครูนครบุราณานุรักษ์)  วัดนครไทยวราราม หรือวัดหัวร้อง อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก
.
ระหว่างการเดินทาง ก็คุยกันไปว่า จะแวะไปกราบสรีระ หลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข จังหวัดสิงห์บุรี  เมื่อถึงวัดกลางชูศรีเจริญ ก็ได้เข้าไปกราบสรีระ หลวงปู่บุดดา ถาวโร  เมื่อกราบท่านเรียบร้อยแล้ว ผมก็ได้ตั้ง Google Map เพื่อมุ่งหน้าขึ้นไปกราบ พระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก
.
ผมเองก็ได้ขับรถตามเส้นทางที่ Google Map ได้บอกมา
.
ผมขับรถมาเรื่อยๆ  ปรากฎว่า ทางข้างหน้า มีป้ายวัดโฆสิตาราม ผมก็เลยบอกเพื่อนที่ร่วมเดินทางว่า เรามาถึงวัดโฆสิตารามแล้ว เราแวะเข้าไปกราบ หลวงพ่อกวย ชุตินธโร วัดโฆสิตาราม อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท กัน
.
พอผมกราบท่านเสร็จเรียบร้อย ผมก็ตั้ง เส้นทางใน Google Map ใหม่ เพื่อเดินทางไปพิษณุโลก. ปรากฎว่า ....
เส้นทางใน Google Map ให้ผมขับรถย้อนกลับไปทางเดิม ครับ
.
พอขับมาตามเส้นทางเดิม(ที่ผมขับมาครั้งแรก)ได้สักพัก เส้นทางใน Google Map ให้ผมเลี้ยวขวา ผมขับตามเส้นทางใน Google Map มาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงถนนพหลโยธิน ผมขับตามเส้นทางใน Google Map จนถึง วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร ไปกราบพระพุทธชินราช แล้วก็เดินทางต่อไปกราบ หลวงพ่อสนอง อตตทโม วัดนครไทยวราราม ครับ
.
หลวงพ่อกวย ชุตินธโร ท่านเปลี่ยนเส้นทางใน Google Map ให้ผมและคณะไปกราบท่านก่อนที่จะเดินทางต่อไปที่พิษณุโลก ครับ
.
.
.
#หลวงพ่อสนองอตตทโม  (#พระครูนครบุราณานุรักษ์)  #วัดนครไทยวราราม หรือ #วัดหัวร้อง
#วัดนครไทยวรารามหรือวัดหัวร้อง
#หลวงปู่บุดดาถาวโร  #วัดกลางชูศรีเจริญสุข
#หลวงปู่บุดดาถาวโรวัดกลางชูศรีเจริญสุข
#หลวงพ่อกวยชุตินธโร #วัดโฆสิตาราม
#หลวงพ่อกวยชุตินธโรวัดโฆสิตาราม
#พระพุทธชินราช  #วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร
#พระพุทธชินราชวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร
.
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 15, 2023, 08:01:59 pm
.
.
.
พระศรีอาริยเมตไตรย
.
.
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๓
ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
.
.
[๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี เด็กหญิงมีอายุ ๕๐๐ ปี จึงจักสมควรมีสามีได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ๘๐,๐๐๐ ปี จักเกิดมีอาพาธ ๓ อย่าง คือ ความอยากกิน ๑ ความไม่อยากกิน ๑ ความแก่ ๑
.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ชมพูทวีปนี้จักมั่งคั่งและรุ่งเรือง มีบ้านนิคมและราชธานีพอชั่วไก่บินตก
.
ดูกรภิกษุทั้งหลายในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ชมพูทวีปนี้ประหนึ่งว่าอเวจีนรก จักยัดเยียดไปด้วยผู้คนทั้งหลาย เปรียบเหมือนป่าไม้อ้อ หรือป่าสาลพฤกษ์ฉะนั้น ฯ
.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี เมืองพาราณสีนี้ จักเป็นราชธานีมีนามว่า เกตุมดี เป็นเมืองที่มั่งคั่งและรุ่งเรืองมีพลเมืองมาก มีผู้คนคับคั่ง และมีอาหารสมบูรณ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปีในชมพูทวีปนี้จักมีเมือง ๘๔,๐๐๐ เมือง มีเกตุมดีราชธานีเป็นประมุข ฯ
.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี จักมีพระเจ้าจักรพรรดิ์ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังขะ ทรงอุบัติขึ้น ณ เกตุมดีราชธานี เป็นผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขตทรงชนะแล้ว มีราชอาณาจักรมั่นคงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือจักรแก้ว ๑ ช้างแก้ว ๑ ม้าแก้ว ๑ แก้วมณี ๑ นางแก้ว ๑ คฤหบดีแก้ว ๑ ปริณายกแก้วเป็นที่ ๗ พระราชบุตรของพระองค์มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์สามารถย่ำยีเสนาของข้าศึกได้ พระองค์ทรงชำนะโดยธรรมมิต้องใช้อาชญา มิต้องใช้ศัสตรา ครอบครองแผ่นดินมีสาครเป็นขอบเขต ฯ
.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่าเมตไตรย์ จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถี ฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม เหมือนตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกในบัดนี้ เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ไปดีแล้ว รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม
.
พระผู้มีพระภาคพระนามว่า เมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลกพรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณ พราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม เหมือนตถาคตในบัดนี้ ทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลกมารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตถาคตเองแล้ว สอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตามอยู่
.
พระผู้มีพระภาคพระนามว่า เมตไตรย์พระองค์นั้นจักทรงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิงเหมือนตถาคตในบัดนี้ แสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลางงามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงบริหารภิกษุสงฆ์หลายพัน เหมือนตถาคตบริหารภิกษุสงฆ์หลายร้อย ในบัดนี้ฉะนั้น ฯ
.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น พระเจ้าสังขะจักทรงให้ยกขึ้นซึ่งปราสาทที่พระเจ้ามหาปนาทะทรงสร้างไว้ แล้วประทับอยู่ แล้วจักทรงสละ จักทรงบำเพ็ญทาน แก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทาง วณิพก และยาจกทั้งหลาย จักทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์ เสด็จออกจากเรือน ทรงผนวชเป็นบรรพชิต ในสำนักของพระผู้มีพระภาคพระนามว่า เมตไตรย์อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
.
ท้าวเธอทรงผนวชอย่างนี้แล้ว ทรงปลีกพระองค์อยู่แต่ผู้เดียวไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้ว ไม่ช้านักก็จักทรงทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์อันยอดเยี่ยมที่กุลบุตรทั้งหลาย พากันออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการ อันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เอง ในทิฐธรรมเทียว เข้าถึงอยู่ ฯ
.
.
.
รูป สงวนลิขสิทธิ์
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ เมษายน 22, 2023, 03:19:31 pm
.
.
มหาเดช มหาบารมี มหาโภคทรัพย์
๒๘๘ ปีประสูติ “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช”
.
https://www.facebook.com/100002065568979/videos/943128073550636 (https://www.facebook.com/100002065568979/videos/943128073550636)
.
ที่มา พระอาจารย์ณริชธันร์ ศรีอิทธิมนต์
22 เมษายน 2566
.
จากงานสมโภช พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
และ พระบรมรูปปั้น สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ในวันจันทร์ที่ 17 เมษายน 2566
.
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤษภาคม 06, 2023, 10:26:53 am
.
.
วันนี้(วันที่ 6 พฤษภาคม 2566) ผมนำรูปพระวังหน้า นำมาให้ชมกัน
.
ท่านผู้อ่าน จะได้ทราบว่า พระวังหน้า เนื้อทองคำ และ พระวังหน้า เนื้อทองเหลือง
มีรูปแบบและลักษณะเป็นอย่างไร
จะได้ไปตกเป็นเหยื่อ ของกูรูเก๊ ได้
.
อย่างที่ผมบอกไป การเรียนรู้เรื่องของพระวังหน้า
ต้องเรียนรู้ทั้ง #รูป ( #เนื้อหาทรงพิมพ์ ) และ #นาม ( #พลังอิทธิคุณขององค์ผู้อธิษฐานจิต )
ต้องเรียนรู้กับผู้ที่รู้จริง สามารถดูได้ทั้ง รูป และ นาม
.
.
เรื่องของ รูป (เนื้อหาทรงพิมพ์)
เรื่องของพิมพ์(พระวังหน้า) จะมีอยู่ด้วยกันมากมาย หากดูองค์จริงจากพระวังหน้าที่เป็นเนื้อผง
ก็จะพอทราบได้ว่า พิมพ์ที่เป็นเนื้อทองคำ จะมีรูปร่างลักษณะเป็นอย่างไร
ส่วนเรื่องเนื้อทองคำ  ผมเองได้นำไปพิสูจน์เนื้อมาจากสถานที่หนึ่ง
เครื่องที่ตรวจเนื้อทองคำ เมื่อสมัยประมาณ 16 ปีที่ผ่านมา (ประมาณปี พ.ศ.2550)
มูลค่าของเครื่องตรวจโลหะ มีมูลค่าไม่น้อยกว่าเป็น 10 ล้านบาท และ เป็นเครื่องตรวจโลหะที่มีคุณภาพสูง
ผมขอไม่แจ้งเปอร์เซ็นของทองคำในองค์พระที่ผมนำมาลงในวันนี้
.
.
เรื่องของ นาม (พลังอิทธิคุณขององค์ผู้อธิษฐานจิต)
ผมเองมีครูบาอาจารย์ที่เก่งมาก อีกทั้งรองประธานชมรมพระวังหน้า
มีความสามารถในเรื่องการดูพระพิมพ์ต่างๆ ทั้ง รูป และ นาม
และสามารถใช้จิตไปดูถึงงานพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงที่พระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส (พระอุโบสถประจำวังหน้า)
ผมนำเรื่องที่ผมเคยเขียนไว้ และ ที่เคยนำมาลงในเพจ.Facebookหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร&พระวังหน้า นำมาลงให้อ่านกันอีกครั้ง
ผมขอไม่แจ้งองค์ผู้อธิษฐานจิตของรูปพระที่ผมนำมาลงในวันนี้
.
.*************************************.
.*************************************.
.
เรื่องของ “นาม”  (การตรวจดูพลังอิทธิคุณขององค์ผู้อธิษฐานจิต)
.
.
เรื่องของการจับพลังพระพิมพ์(ผมเคยลงไว้เมื่อ 21 สิงหาคม 2549 ที่กระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้ เว็บไซด์พลังจิต) นั้น  มีปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่หลายประการ    อาทิเช่น
.
1.พระพิมพ์บางองค์  เวลาที่กดพระพิมพ์นั้น  อาจกดไปโดนฤกษ์ดอกลูกพิษ  ถ้าพระพิมพ์องค์ไหน  กดโดนฤกษ์ดอกลูกพิษ  ไม่ว่าพระองค์ไหน  ก็เสกไม่เข้าทั้งสิ้น  ฤกษ์ดอกลูกพิษนั้น  มีทุกวัน  แต่ว่ามีเป็นช่วงๆ  บางครั้งในหนึ่งวัน  มีช่วงเดียว  บางครั้งในหนึ่งวัน อาจมีหลายช่วงก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น
.
2.ในการจับพลังองค์พระพิมพ์นั้น  บางวัน พระผู้เสกท่านอาจปิดกระแสขององค์พระพิมพ์ก็เป็นได้  การปิดกระแสนั้น  พระผู้เสกย่อมทำได้เนื่องจากว่า ระดับของญาณหรืออภิญญาสูงกว่าผู้จับพลังองค์พระพิมพ์  มีเพื่อนผมคนหนึ่ง  สามารถจับพลังขององค์พระพิมพ์ได้  มีอยู่วันหนึ่ง  เพื่อนผมผู้นี้ได้นำพระพิมพ์องค์หนึ่ง  ไปให้อาจารย์ของเขาตรวจพลังให้  แต่ปรากฏว่า อาจารย์ของเขาได้บอกว่า  พระพิมพ์องค์นี้  ไม่มีพลัง  ไม่มีอะไรเลย  แต่เพื่อนผมได้นำพระพิมพ์องค์เดิมไปให้เพื่อนของเขาจับ  ปรากฎว่าเพื่อนของเขาจับพลังได้  และยังบอกอีกว่า พลังขององค์พระพิมพ์นั้น แรงมากด้วย  ในเรื่องนี้  ความคิดเห็นส่วนตัวผม ผมเห็นว่า  พระผู้เสกท่านอาจปิดกระแสไม่ให้อาจารย์ของเพื่อนตรวจพลัง  นะครับ
.
3.ในบางวัน  พระผู้เสก  ท่านอาจปิดกระแสขององค์พระพิมพ์ ก็เป็นไปได้เช่นเดียวกัน
.
4.และในบางวัน  ผู้ที่ตรวจพลังของพระพิมพ์  เป็นวันที่เบื้องบนไม่ให้ตรวจพลังขององค์พระพิมพ์ ก็เป็นไปได้เช่นเดียวกัน
.
5.พิมพ์ทุกองค์นั้น  เวลาที่ผ่านการปลุกเสกแล้ว  จะมีเทวดารักษาองค์พระพิมพ์ทุกองค์  บางครั้งเทวดาที่รักษาองค์พระพิมพ์อาจจะปิดกระแสก็เป็นไปได้อีกเช่นกัน
.
6.ในบางครั้งพระปลอมก็มีพลังเช่นเดียวกัน  ถ้าผู้ทำพระปลอมได้นำพระไปเข้าพิธีพุทธาภิเษก
.
7.หรือบางครั้งผู้ทำพระปลอมได้นำเศษพระแท้ผสมลงไป  ก็สามารถมีพลังได้เหมือนกัน เพียงแต่พลังอาจจะน้อยกว่าพระแท้ครับ
.
8.การนำพระแท้ไปไว้ในที่ไม่สมควร  เทวดาที่รักษาองค์พระพิมพ์  ท่านอาจจะไม่อยู่ครับ  และทำให้พลังขององค์พระพิมพ์นั้นเสื่อมได้ครับ  ตามหลัก มีเกิดได้ก็มีดับได้นะครับ
.
ในเรื่องของรังสีของคณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรให้ฟังหลายครั้ง  อีกทั้งลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถมหลายท่าน  ก็สามารถตรวจสอบพลังขององค์พระพิมพ์ได้  เช่นการนั่งดูว่าใครเสก  ,การนั่งดูพิธีเสก  ,การจับพลังขององค์พระพิมพ์  เป็นต้นครับ
.
การตรวจสอบพลังอิทธิคุณขององค์พระพิมพ์นั้น  ผมแนะนำให้ไปหาผู้ทรงฌานหรือผู้ทรงญาณ หลายๆท่าน(ควรไม่ต่ำว่า 3 ท่าน) นะครับ  และผลที่ตรวจได้นั้น  ต้องตรงกัน
.
บทความนี้ เขียนโดย sithiphong ชมรมพระวังหน้า หรือ NooMWangnA
.
สงวนลิขสิทธิ์
.
.
.
สำหรับท่านใดที่ต้องการจะเผยแพร่รูปพระวังหน้าที่ผมลง หรือเนื้อหาที่ผมแจ้งเรื่องการสงวนลิขสิทธิ์ ให้คนอื่นได้เห็น สามารถทำได้ แต่ต้องระบุที่มาของรูปและเนื้อหาทุกครั้ง และให้มาขออนุญาตใน"เฟส หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร & พระวังหน้า" ด้วย เมื่อผมอนุญาตแล้ว ถึงนำไปลงได้และลงข้อความในโพสที่ลงรูปด้วยครับ
.
....."รูปที่ผมลงที่ผมแจ้งว่า เป็นรูปของผม หากจะนำไปลงในเว็บไซด์อื่นๆ หรือ เฟสบุ๊ค หรือสื่อออนไลน์ตามที่ต่างๆ ให้ลงท้ายรูปตามนี้ครับ
รูปของ Sithiphong ชมรมพระวังหน้า สงวนลิขสิทธิ์".....
บทความของ Sithiphong ชมรมพระวังหน้า สงวนลิขสิทธิ์".....
.
หากต้องการนำไปเผยแพร่ ให้มาแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรในเฟสฯหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร & พระวังหน้า และลงตามที่ผมได้แจ้งไว้ด้านบนข้อความนี้
.
เรื่องของการสงวนลิขสิทธิ์
.
ผมขอแจ้งการเปลี่ยนแปลงเรื่องที่ผมสงวนลิขสิทธิ์รูปภาพ และเนื้อหาที่ผมนำมาลงในเรื่องราวของพระวังหน้า หรือ พระวังหลวง หรือ พระพิมพ์ต่างๆ ที่ผมเป็นผู้ที่เขียนขึ้นในเฟสฯหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร & พระวังหน้า ในวันที่ 20 มกราคม 2561 เวลา 7.35 น.
.
ข้าพเจ้า ขอบรมพุทธานุญาต ขออาราธนาพระบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ มาเป็นประธาน ขออาราธนาพระบารมีองค์พระปัจเจกพุทธเจ้า , พระมหาโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ , พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ มาเป็นรองประธาน ขออาราธนาองค์พยามัจจุราชเจ้าองค์ปัจจุบัน และองค์พยามัจจุราชเจ้าที่จะมาเป็นองค์พยามัจจุราชในอนาคตทุกๆองค์ , นายนิริยบาลองค์ปัจจุบัน และนายนิริยบาลที่จะมาเป็นนายนิริยบาลในอนาคตทุกองค์ , พระแม่ธรณี พระแม่คงคา พระแม่โพสพ ทุกๆองค์ทั่วโลก และพระแม่ธรณี พระแม่คงคา พระแม่โพสพ ทุกๆองค์ทั่วโลกที่จะมาเป็นพระแม่ธรณี พระแม่คงคา พระแม่โพสพ ในอนาคตทุกๆองค์ทั่วโลก และเทพเทวาชั้น 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดินทั่วโลก และองค์พระเยซูคริสต์ และองค์อัลลอฮ์ และองค์นบีมุฮัมมัด (หรือมุหัมมัด หรือพระมะหะหมัด) โปรดมาเป็นสักขีพยานในการอธิษฐานในครั้งนี้
.
ข้าพเจ้าขออธิษฐานว่า รูปภาพทุกรูปภาพที่ข้าพเจ้าถ่ายรูปเองหรือรูปที่ข้าพเจ้าแจ้งสงวนลิขสิทธิ์และทุกเนื้อหาที่ข้าพเจ้าอธิบายลงในFacebookหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร & พระวังหน้า และในสื่อออนไลน์ทุกประเภทที่มีอยู่ในปัจจุบัน และมี่ขึ้นในอนาคต ทุกประเภท
.
หากมีผู้หนึ่งผู้ใดที่นำรูปภาพหรือเนื้อหาดังกล่าว นำไปใช้ในสถานที่อื่นๆ หรือลงในสื่อออนไลน์ทุกประเภทในปัจจุบันและอนาคต โดยไม่แจ้งที่มา และ/หรือนำไปใช้ในเรื่องของพุทธพาณิชย์หรือการซื้อขายพระเครื่อง,พระพิมพ์และวัตถุมงคลต่างๆ รวมทั้งการปลอมแปลงพระวังหน้า หรือพระวังหลวงตามรูปและเนื้อหาที่ผมนำมาลงในFacebookหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร & พระวังหน้า ยกเว้นเพื่อการศึกษาหาความรู้และต้องแจ้งที่มาของรูปและเนื้อหาที่ผมลงในFacebookหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร & พระวังหน้า
.
ข้าพเจ้าคิดเป็นค่าเสียหายต่อครั้งต่อหนึ่งวันต่อหนึ่งรูปภาพและหรือต่อหนึ่งเรื่องราว เป็นวันละ 10,000,000 บาท(สิบล้านบาทถ้วน) (โดยคำนวนเป็นค่าเงินของประเทศไทยในวันปัจจุบันที่ลง ถึงแม้ในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงค่าเงินต่างๆในประเทศต่างๆไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงในทุกลักษณะ) พร้อมด้วยดอกเบี้ยสูงสุดของประเทศนั้นๆ และเพิ่มขึ้นทุกปีในวันขึ้นปีใหม่(หรือวันในลักษณะที่เหมือนกับวันขึ้นปีใหม่)ของทุกประเทศและทุกลักษณะ โดยเป็นไปตามเรื่องของประเทศในเบื้องต้น โดยเพิ่มจำนวนเงินขึ้นปีละ 100,000,000 บาท(หนึ่งร้อยล้านบาทถ้วย) โดยการคำนวณค่าเงินเป็นไปตามข้างต้น
.
ในการใช้หนี้ข้าพเจ้า ไม่ต้องนำมาให้ข้าพเจ้า แต่ให้นำไปใช้หนี้ข้าพเจ้าในลักษณะให้นำเงินทั้งหมดไปทำบุญดังนี้ ให้แบ่งยอดเงินทั้งหมดออกเป็นสี่ส่วนเท่าๆกัน ในสองส่วนแรกให้นำไปใช้หนี้ให้ข้าพเจ้าในทุกๆเรื่องของงานบุญในพระพุทธศาสนา(ไม่ว่าจะมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ไหนก็ตาม) ในส่วนที่สามให้นำไปใช้หนี้ให้ข้าพเจ้าในทุกๆเรื่องในงานบุญของศาสนาคริสต์ และในส่วนที่สี่ส่วนสุดท้ายให้นำไปใช้หนี้ให้ข้าพเจ้าในทุกๆเรื่องงานบุญของศาสนาอิสลาม ในการแจ้งที่มา ให้แจ้งตามข้อความในอัญประกาศดังนี้
.
“ที่มาของรูปและเนื้อหา รูปและเนื้อหาโดยsithiphong : Facebookหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร & พระวังหน้า”
หรือ
“ที่มาของรูป รูปโดยsithiphong : Facebookหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร & พระวังหน้า”
หรือ
“ที่มาของเนื้อหา เนื้อหาโดยsithiphong : Facebookหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร & พระวังหน้า”
กราบ กราบ กราบ กราบ กราบ
สาธุ สาธุ สาธุ
.
#สงวนลิขสิทธิ์
#การสงวนลิขสิทธิ์
#นำรูปไปใช้ไม่แจ้งที่มา
#ลักทรัพย์
#พยามัจจุราช
#พระแม่ธรณี
#พระแม่คงคา
#พระแม่โพสพ
#พระวังหน้า
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
#Facebookหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร&พระวังหน้า
.
.
#พระเก๊สนิทศิษย์ส่ายหน้า
#เก๊สนิทศิษย์ส่ายหน้า
#พระเก๊จี๊ดจ๊าด
#เก๊จี๊ดจ๊าด
#ต่อตีนโจร
.
การเรียนรู้ ต้องมี สุ(ฟัง) จิ(คิด) ปุ(ถาม) ลิ(เขียน)
.
พาหุสัจจะ แปลว่า ความเป็นผู้ได้สดับมาก
หนังสือบางฉบับเรียกว่า หัวใจนักปราชญ์
.
สุ ย่อมาจาก สุตะ แปลว่า ฟัง
จิ ย่อมาจาก จินตะ แปลว่า คิด
ปุ ย่อมาจาก ปุจฉา แปลว่า ถาม
ลิ ย่อมาจาก ลิขิต แปลว่า จด
.
#อย่าไปเรียนกับกลุ่มเก๊สนิทศิษย์ส่ายหน้า
.
#เรียนรู้ของเก๊จี๊ดจ๊าดแทนของแท้   #เก็บสะสมของเก๊สนิทศิษย์ส่ายหน้าแทนของแท้
.
#หลงทางหลงป่าเข้าพงลงเหว จาก #กลุ่มกูรูเก๊
.
ระวังให้มากสำหรับ เก๊สนิทศิษย์ส่ายหน้า และ เก๊จี๊ดจ๊าด กัน
.
 #อย่าไปเข้าป่าเข้าพงลงเหว #ไม่หลงทิศหลงทางลงนรก #อย่าตกเป็นเหยื่อ
.
ในเรื่อง #มุสาวาท และ #ปรามาสผู้มีธรรม จากกลุ่ม #กูรูเก๊
.
#โง่จริงแบบว่าไม่โง่จริงทำไม่ได้
.
รูปสงวนลิขสิทธิ์
.
.
.----------------------------------.
.
.
สองคน ยลตามช่อง คนหนึ่ง มองเห็นโคลนตม คนหนึ่ง ตาแหลมคม มองเห็นดาวอยู่พราวแพรว
บทกวีของท่านเช็คสเปียร์  "Two folks look through same hole, one sees mud, one sees star.
ถอดเป็นภาษาไทยโดยท่านภราดา ฟ. ฮีแรห์ แห่งอัสสัมชัญ
.
“สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อีกคนตาแหลมคม เห็นดวงดาวอยู่พราวพราย”
แปลโดยเจษฏาจารย์ ฟ. ฮีแลร์ (F. Hilaire)
สุภาษิตนี้แปลมาจากภาษาอังกฤษ
Two men look out through the same bars; One sees the mud, and one the stars
โดย Frederick Longbridge
.
.

                "สองคน ยลตามช่อง

                คนหนึ่ง มองเห็นโคลนตม

                คนหนึ่ง ตาแหลมคม

                มองเห็นดาวอยู่พราวแพรว"

.
.....ต่อมาเมื่อได้ค้นคว้าเพิ่มเติมก็ได้ทราบว่าต้นแบบเป็นบทกวีของท่านเช็คสเปียร์ ที่ว่า "Two folks look through same hole, one sees mud, one sees star." ถอดเป็นภาษาไทยโดยท่านภราดา ฟ. ฮีแรห์ แห่งอัสสัมชัญ เมื่อกว่า 50 ปีที่แล้ว (ข้อมูลจาก ไทยโพสต์ 25 พ.ย. 2547 โดยคุณสุวรรณ) ความหมายก็คือมุมมองของคนหลายคนในเรื่องเดียว อาจมีความแตกต่างกันได้ ไม่จำเป็นว่าคนหนึ่งต้องมองว่าบวกอีกคนต้องมองว่าลบเสมอไป อาจจะมองทางบวกทั้งคู่ หรือลบทั้งคู่ก็ได้ ถ้าแตกต่างกันในความคิดเห็นก็จัดว่าเป็นสองคนยลตามช่องได้ทั้งสิ้น
.
#สองคนยลตามช่อคนหนึ่งมองเห็นโคลนตม
#คนหนึ่งตาแหลมคมมองเห็นดาวอยู่พราวแพรว
.
.
ที่มา https://www.facebook.com/100081560750868/posts/221059333956090/?mibextid=Nif5oz (https://www.facebook.com/100081560750868/posts/221059333956090/?mibextid=Nif5oz)
.
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 28, 2023, 09:12:01 am
.
.
.
เรื่องในโลกเสมือนจริง หรือ โลกอินเตอร์เน็ต
มีหลายเรื่องที่บิดเบือนจากข้อเท็จจริง
เพื่อหาผลประโยชน์ให้กับพวกของตัวเอง
มีบางประเทศที่มีเจตนาในการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์
มีกลุ่มคนในประเทศบางกลุ่มที่มีเจตนาในการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์
เพราะ เมื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ได้แล้ว
กลุ่มคนเหล่านี้จะเข้าไปปล้นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้อย่างสะดวก
.
.
ส่วนตัว ผมและหมู่คณะ เคยไปกราบพระภิกษุสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ผมเคยบอกกับท่านว่า เมื่อก่อนนี้ ผมเกลียดพระเจ้าเอกทัศน์มาก
เพราะ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้กรุงศรีอยุธยาเสียทีกับพม่า
และ ในครั้งแรกที่ผมไปเที่ยวที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ความรู้สึกของผมในขณะที่ขับรถไปนั้น คือ มีความรู้สึกว่า กำลังกลับบ้าน
แต่ปัจจุบันนี้ (ในปีที่ผมไปกราบและสนทนากับท่าน คือ ปี 2564)
ผมมีความเกลียดพระเจ้าเอกทัศน์น้อยลง
เนื่องจาก หากไม่มีพระเจ้าเอกทัศน์ ก็คงไม่น่าจะมี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ที่ได้กอบกู้แผ่นดินจากพม่า และ รวบรวมแผ่นดินไทยให้ยิ่งใหญ่ที่สุดของประวัติศาสตร์ชาติไทย
พระภิกษุสงฆ์รูปนี้ ท่านบอกกับผมว่า คนเราในเรื่องส่วนตัว มีทั้งส่วนดีและส่วนไม่ดีของตนเอง
หากในส่วนที่ดีมีมาก  ก็ให้มองข้ามในส่วนที่ไม่ดีไปบ้าง
และ หากมีการกระทำที่ดีต่อแผ่นดิน  เรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องที่ต้องเชิดชูบุคคลที่กระทำความดีต่อแผ่นดิน
อย่าไป #เนรคุณ
.
.
เพราะฉะนั้น ................................
ให้ระมัดระวังความคิดและการกระทำของตนเอง
ไม่ว่าทั้ง กาย , วาจา และ ใจ
#อย่าตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มคนเหล่านั้น
#คิด #วิเคราะห์ #แยกแยะ
#คิดวิเคราะห์แยกแยะ
#อย่าตกเป็นเหยื่อ
.
.
.*****************************.
.
.
พระราชประวัติ ในหลวงรัชกาลที่ 10 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เป็นพระราชโอรสพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นสยามมกุฎราชกุมารพระองค์ที่ 3 ของไทย และเมื่อเวลาประมาณ 10.20 น. วันที่ 29 พฤศจิกายน 2559 คณะรัฐมนตรี (ครม.) และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้จัดประชุมร่วมกันในวาระพิเศษเรื่อง การมีพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ และมีมติแจ้งไปยังประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้อัญเชิญองค์พระรัชทายาท (สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร) ขึ้นครองราชสมบัติ สืบเป็นรัชกาลที่ 10
พระราชประวัติ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระนามเมื่อแรกประสูติว่า “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ บรมจักรยาดิศรสันตติวงศ เทเวศรธำรงสุบริบาล อภิคุณูประการมหิตลาดุลเดช ภูมิพลนเรศวรางกูร กิตติสิริสมบูรณ์สวางควัฒน์ บรมขัตติยราชกุมาร” เป็นพระราชโอรสพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชสมภพ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต เมื่อวันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2495 เวลา 17:45 น.
ซึ่งพระนาม “วชิราลงกรณ” นั้น สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ทรงตั้งถวาย มาจาก “วชิรญาณ” พระนามฉายาขณะผนวชในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ผนวกกับ �”อลงกรณ์”� จากพระนามในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5)
พี่น้อง
มีพระเชษฐภคินี 1 พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี และพระขนิษฐภคินี 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี
ระดับอนุบาล รร.จิตรลดา
ต่อมาในปี พ.ศ. 2499 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงสำเร็จการศึกษาขั้นต้นในระดับอนุบาล รุ่นที่ 2 จากโรงเรียนจิตรลดา แล้วจึงเสด็จฯ ไปทรงศึกษาต่อในระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนคิงส์มีด แคว้นซัสเซกส์ และศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนมิลฟิลด์ แคว้นซอมเมอร์เซทประเทศอังกฤษ หลังจากนั้น ทรงศึกษาต่อวิชาทหารที่โรงเรียนคิงส์สกูล ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เสร็จแล้ว ทรงการศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีสาขาอักษรศาสตร์ (ด้านการทหาร) จากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อ พ.ศ. 2519
โรงเรียนเสนาธิการทหารบก รุ่นที่ 46
นอกจากนี้ ยังทรงศึกษาต่อที่โรงเรียนเสนาธิการทหารบก รุ่นที่ 46 เมื่อปี พ.ศ. 2520 ทรงเข้าศึกษาในสาขาวิชานิติศาสตร์ รุ่นที่ 2 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เมื่อ พ.ศ.2525 ทรงสำเร็จการศึกษานิติศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับ 2)  และปี พ.ศ. 2533 ทรงได้รับการศึกษา ณ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรแห่งสหราชอาณาจักร
พระราชพิธีสถาปนาเฉลิมพระนามาภิไธย
สมเด็จพระยุพราช
เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2515 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งการพระราชพิธีสถาปนาเฉลิมพระนามาภิไธย สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ ให้ดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร� ตามโบราณขัตติยราชประเพณี เพื่อรับราชสมบัติปกครองราชอาณาจักรสืบสนองพระองค์ โดยมีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร สิริกิติยสมบูรณสวางควัฒน์ วรขัตติยราชสันตติวงศ์ มหิตลพงศอดุลยเดช จักรีนเรศยุพราชวิสุทธ สยามมกุฎราชกุมาร
พระโอรส-พระธิดา
    พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา
    หม่อมเจ้าจุฑาวัชร มหิดล หรือ จุฑาวัชร วิวัชรวงศ์
    หม่อมเจ้าวัชรเรศร มหิดล หรือ วัชรเรศร วิวัชรวงศ์
    หม่อมเจ้าจักรีวัชร มหิดล หรือ จักรีวัชร วิวัชรวงศ์
    หม่อมเจ้าวัชรวีร์ มหิดล หรือ วัชรวีร์ วิวัชรวงศ์
    พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์
    พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ
พระราชกรณียกิจ
1. ด้านการบิน
เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2537 ทรงปฏิบัติหน้าที่ครูการบินเครื่องบินขับไล่แบบเอฟ-5 อี/เอฟ และพ.ศ. 2552 ทรงปฏิบัติหน้าที่นักบินที่ 1 เครื่องบินโบอิ้ง 737 – 400 ในเที่ยวบินสายใยรักแห่งครอบครัว ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย และจัดหาอุปกรณ์ด้านการแพทย์ สำหรับโรงพยาบาลใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (เที่ยวบินที่ ทีจี 8870 กรุงเทพมหานครถึงจังหวัดเชียงใหม่ และเที่ยวบินที่ ทีจี 8871 จังหวัดเชียงใหม่ถึงกรุงเทพมหานคร)
2. ด้านการทหาร
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมที่ตั้งกองทหารหน่วยต่างๆ อยู่เสมอ จากการที่ได้ทรงศึกษาด้านวิชาทหารมานาน ทรงมีความรู้เชี่ยวชาญอย่างมาก และได้พระราชทานความรู้เหล่านั้นให้แก่ทหาร 3 เหล่าทัพ ทรงปฏิบัติพระองค์เป็นแบบอย่างแก่นายทหาร เอาพระทัยใส่ในความเป็นอยู่ทุกข์สุขของทหารผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาอย่างทั่วถึง รวมทั้งพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เป็นทุนการศึกษาแก่บุตรของทหาร สิ่งเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดความเทิดทูนและความจงรักภักดีแก่เหล่าทหารเป็นอย่างยิ่ง
ซึ่งในปัจจุบันทรงดำรงพระยศทางทหารของ 3 เหล่าทัพ ได้แก่ พลเอก พลเรือเอก และพลอากาศเอก ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้านการทหาร และทรงเข้าร่วมปฏิบัติการรบในการต่อต้านการก่อการร้ายในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย รวมทั้งการคุ้มกันพื้นที่ในบริเวณรอบค่ายผู้อพยพชาวกัมพูชา ที่เขาล้าน จังหวัดตราด อีกด้วย
3. ด้านการศึกษา
พระองค์พระราชทานพระราชานุญาตให้ใช้อาคารของกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ เป็นที่ตั้งของโรงเรียนอนุบาลชื่อว่า โรงเรียนอนุบาลทหารมหาดเล็กราชวัลลภ โดยในระยะแรกได้จัดการเรียนการสอนเฉพาะชั้นอนุบาล ต่อมาโรงเรียนได้ย้ายไปที่จังหวัดนนทบุรี และได้รับพระราชทานชื่อใหม่ว่า “โรงเรียนอนุราชประสิทธิ์”
นอกจากนี้ ยังพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สมทบเป็นค่าก่อสร้างโรงเรียนมัธยมศึกษาที่ตั้งอยู่ในชนบทห่างไกลคมนาคมไม่สะดวก กระทรวงศึกษาธิการได้สนองพระราชประสงค์ด้วยการน้อมเกล้าฯ ถวายโรงเรียนในระดับมัธยมศึกษาจำนวน 6 โรงเรียน เป็นโรงเรียนในพระราชูปถัมภ์ ได้แก่
    โรงเรียนมัธยมพัชรกิติยาภา อ.ปลาปาก จ.นครพนม (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนมัธยมพัชรกิติยาภา 1)
    โรงเรียนมัธยมจุฑาวัชร อ.ลานกระลือ จ.กำแพงเพชร (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนมัธยมพัชรกิติยาภา 2)
    โรงเรียนมัธยมวัชเรศร อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนมัธยมพัชรกิติยาภา 3)
    โรงเรียนมัธยมจักรีวัชร อ.รัตนภูมิ จ.สงขลา (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี 2)
    โรงเรียนมัธยมวัชรวีร์ อ.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี 3)
    โรงเรียนมัธยมบุษย์น้ำเพชร อ.เมือง จ.อุดรธานี (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี 1)
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมเยาวชนในตำบลต่างๆ ทรงสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์เยาวชนตำบล รวมทั้งได้ทรงเป็นประธานงานวันเยาวชนแห่งชาติ วันที่ 20 กันยายน ของทุกปี และทรงเป็นประธานในพิธีปฏิญาณตนและสวนสนามของลูกเสือและเนตรนารี และสมาชิกผู้ทำประโยชน์
ทั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ได้อุปการะเด็กกำพร้า คือ จักรกฤษณ์ และอนุเดช ชูศรี ที่ครอบครัวเสียชีวิตจากภูเขาถล่มเมื่อปี พ.ศ. 2554 รวมทั้งครอบครัวของบูรฮาน และบุศรินทร์ หร่ายมณี ซึ่งบิดาถูกลอบสังหารจากเหตุความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยจะทรงอุปการะจนกว่าจะสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีหรือจนกว่าจะมีอาชีพสามารถเลี้ยงครอบครัวได้ เป็นต้น
4. ด้านการแพทย์และสาธารณสุข
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร  ทรงพระกรุณาโปรดฯ ให้สร้างโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชขึ้น เพื่อให้การรักษาพยาบาลผู้เจ็บป่วยในถิ่นทุรกันดาร พระองค์ทรงเป็นองค์นายกกิตติมศักดิ์ของมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช พระองค์มีพระราชปณิธานให้เอาใจใส่รักษาพยาบาลพสกนิกรของพระองค์ให้ปลอดภัยจากความเจ็บไข้โดยทั่วหน้าเสมอกัน
5. ด้านศาสนา
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ทรงประเคนผ้าไตร ประกาศนียบัตร และพัดยศ ในการตั้งภิกษุ และ สามเณรเปรียญ เนื่องในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล วิสาขบูชา ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรม มหาราชวัง พ.ศ. 2551
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงแสดงพระองค์เป็นพุทธมามกะที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2509 ก่อนเสด็จพระราชดำเนินไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ
นอกจากนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชศรัทธาทรงผนวชในพระพุทธศาสนา โดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชโปรดฯ ให้จัดการพระราชพิธีผนวช ณ พัทธสีมาวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2521 โดยมีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน) เป็นพระอุปัชฌาย์ สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ สมเด็จพระธีรญาณมุนี (ธีร์ ปุณฺณโก) ถวายอนุศาสน์ ได้รับถวายพระสมณนามว่า “วชิราลงฺกรโณ” และได้ประทับอยู่ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ตลอดจนทรงลาสิกขาในวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2521
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปปฏิบัติพระราชกิจทางพระพุทธศาสนาอย่างสม่ำเสมอ เช่น เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปทรงเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตามฤดูกาล เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา อาทิ วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และการถวายผ้าพระกฐินหลวงตามวัดต่างๆ เป็นต้น
6. ด้านการเกษตร
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เสด็จพระราชดำเนินไปทรงทำปุ๋ยหมักจากผักตบชวาและวัชพืชอื่นๆ เป็นปฐมฤกษ์ เพื่อพระราชทานแก่เกษตรกร สำหรับนำไปใช้ในการเพาะปลูกเป็นการเพิ่มผลผลิต ที่บ้านแหลมสะแก ต.เดิมบาง อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2528
7. ด้านการต่างประเทศ
วันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2554 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ โปรดให้ พล.อ.ท.ภักดี แสงชูโต นำผ้าห่มกันหนาว 20,000 ผืน ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในโทโฮะกุ พ.ศ. 2554 ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยมีนายกษิต ภิรมย์ เป็นผู้รับมอบ
ข้อมูล : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี และ thaigoodview
ภาพประกอบ : หนังสือ “๗๐ สัมพัจฉร์ฉลองรัชธรรมราชา” กวีนิพนธ์เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๗๐ ปี พิมพ์ครั้งที่ 1 พุทธศักราช 2559 โดยกรมศิลปากร
ที่มา เว็บไซด์ lifestyle.campus-star
ที่มาของรูปที่ลง สำนักพระราชวัง และ ไทยรัฐออนไลน์
-------------------------------------------------
พระราชประวัติ ร.๑๐
https://www.youtube.com/watch?v=eEEhLBtHvSM (https://www.youtube.com/watch?v=eEEhLBtHvSM)
ที่มา ผอ.สันติรักษ์ ลุสีดา
เผยแพร่เมื่อ 28 ก.ค. 2017
https://www.youtube.com/channel/UCSWUxpzYz_BplPccPeXlowQ (https://www.youtube.com/channel/UCSWUxpzYz_BplPccPeXlowQ)
.-------------------------. .-------------------------.
พระราชประวัติ “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ” รัชกาล ที่ 10
https://www.youtube.com/watch?v=9pVmMRooPiw (https://www.youtube.com/watch?v=9pVmMRooPiw)
ที่มา opt- tvnews
เผยแพร่เมื่อ 30 พ.ย. 2016
https://www.youtube.com/channel/UCYFmyycqdHKG97DRQVDh8LA (https://www.youtube.com/channel/UCYFmyycqdHKG97DRQVDh8LA)
-------------------------------------------------
เพลงสดุดีเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
https://www.youtube.com/watch?v=e2uE6YHgbp8 (https://www.youtube.com/watch?v=e2uE6YHgbp8)
SFMusic Channel
เผยแพร่เมื่อ 26 ก.ค. 2017
เพลงสดุดีเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
คำร้อง ทำนอง ร้องนำ : วาณี จูฑังคะ คีตศิลปินทักษะพิเศษ
เรียบเรียงเสียงประสาน :  มานิตย์ บูชาชนก  ดุริยางคศิลปินอาวุโส
ผู้อำนวยเพลง : วานิช  โปตะวนิช ดุริยางคศิลปินอาวุโส ศิลปินศิลปาธร ปีพุทธศักราช ๒๕๕๗
บรรเลง ขับร้อง  : ดุริยางคศิลปิน/คีตศิลปิน   สำนักการสังคีต กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม
บันทึกเสียง-ผลิตสื่อ : สุกฤตา  วาสกุล / ธีรยุทธ  ทับพรโรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์
----------------------------------------------
สดุดีจอมราชา
https://www.youtube.com/watch?v=nmTWXUoUcxo (https://www.youtube.com/watch?v=nmTWXUoUcxo)
Sattahip Today
เผยแพร่เมื่อ 5 ก.ค. 2018
เพลง สดุดีจอมราชา ใช้ทดแทนเพลงสดุดีมหาราชา สำหรับงานวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าหัว รัชกาลที่ 10  วันที่ 28 ก.ค.61
เพลงสดุดีจอมราชาในหลวง รัชกาลที่10
ผู้แต่ง : วิเชียร ตันติพิมลพันธ์
ทำนอง - เรียบเรียง : วิรัช อยู่ถาวร (ศิลปินแห่งชาติ)
วงดนตรี : เฉลิมราชย์
ห้องบันทึกเสียง : จาตุรงค์
นักร้อง : ภาสกรณ์ รุ่งเรืองเดชาภัทธ์
กตธิป อัครวิกรัย
ภัทรานิษฐ์ เพฑูริยาเวทย์
กนกวรรณ อินทรพัฒน์
เนื้อร้อง
"ถวายบังคมจอมราชา
พระบุญญาเกริกฟ้าไกล
ธ ทรงเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร
ศูนย์รวมใจชาวไทยสมัครสมาน
ถวายพระพรจอมราชัน
ธ อนันต์ปรีชาชาญ
ขอพระองค์ทรงเกษมสำราญ
งามตระการสมขัตติยะไทย
อุ่นไอรักจากฟ้าเรืองรอง
แสงทองส่องมา ไพร่ฟ้าต่างสดใส
มหาวชิราลงกรณ  มิ่งขวัญปวงชนชาวไทย
เทิดไท้พระภูวไนย ถวายใจสดุดี"
***หมายเหตุ  ในเนื้อร้องมีคำผิดที่ถูกต้องคือ "มหาวชิราลงกรณ"
----------------------------------------------
บทเพลงเทิดพระเกียรติ | เพลง รัชกาลที่ 10 ทรงพระเจริญ
https://www.youtube.com/watch?v=RY3Q4vBYylo (https://www.youtube.com/watch?v=RY3Q4vBYylo)
หนังลุง-โนรา วัฒนธรรมพื้นบ้านภาคใต้
เผยแพร่เมื่อ 29 ต.ค. 2017
เพลง รัชกาลที่ ๑๐ ทรงพระเจริญ
ศิลปิน : เอกชัย ศรีวิชัย
คำร้อง ทำนอง : เจษฎา เรืองนาม
ดนตรี : อ.กิตติศักดิ์ สายน้ำทิพย์
เนื้อเพลง :
ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนานมิ่งขวัญชาวไทย
พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่
เป็นศูนย์รวมใจของไทยทั่วหล้า
พระจักรีวงศ์ มั่นคงคู่ไทยนานมา
องค์พระสยามเทวา ปกปักรักษาชั่วกาลนิรันดร์
พระทัยหมายมั่น สืบปณิธานพระราชบิดา
ทศพิธราชธรรมนำหน้า
เพื่อปวงประชาชาติไทยเรานั่น
ทุกถิ่นใกล้ไกล พระทรงห่วงใยทั่วกัน
สยามมกุฎราชกุมาร
ถวายสัตย์ปฏิญาณ ครองราชย์โดยธรรม
 พระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ
บดินทร เทพยวรางกูร เป็นบุญไทยล้ำ
รัชกาลที่ 10 ประหนึ่งน้ำทิพย์ ผสมแสงธรรม
ขวานทองเมื่อมองแล้วงาม
ทั้งขวานและด้าม ด้วยน้ำพระทัย
 ทรงพระเจริญ คู่ฉัตรทองและผองปวงชน
เทวาอารักษ์เบื้องบน ต่างช่วยดล มนต์ทิพย์มาให้
เถลิงถวัลยราชสมบัตินานไกล
ปวงข้าถวายพรชัย ขอให้พระองค์ ทรงพระเจริญ
พระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ
บดินทร เทพยวรางกูร เป็นบุญไทยล้ำ
รัชกาลที่ 10 ประหนึ่งน้ำทิพย์ ผสมแสงธรรม
ขวานทองเมื่อมองแล้วงาม
ทั้งขวานและด้าม ด้วยน้ำพระทัย
ทรงพระเจริญ คู่ฉัตรทองและผองปวงชน
เทวาอารักษ์เบื้องบน ต่างช่วยดล มนต์ทิพย์มาให้
เถลิงถวัลยราชสมบัตินานไกล
ปวงข้าถวายพรชัย ขอให้พระองค์ ทรงพระเจริญ
----------------------------------------------
ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
sithiphong
.
.
.*****************************.
.
.
ที่มา และ โพสโดย Dhamarich Thunyhaboarvorn
โพสลงกลุ่ม เรารักสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธรฯ สยามบรมราชกุมารี
26 กรกฎาคม 2566
.
ทรงทำ
๐ ทรงทำตามกฎบัญญัติอยู่ทุกอย่าง
ไม่เคยอ้างเอานามความเป็นกษัตริย์
เพื่อแสวงผลกำไรในอานัติ
#ธรรมฤทธิ์
#ประชาสาส์น
#เรารักในหลวง
#เรารักพระเทพ
#เทิดทูนจักรีวงศ์
#เรารักพระราชินี
#เรารักราชวงศ์จักรี
#เรารักพระพันปีหลวง
.
.
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ กรกฎาคม 30, 2023, 10:31:35 am
.
.
วันนี้ (วันอาทิตย์ที่ 30 กรกฎาคม 2566)
.
ผมได้โอนเงิน จำนวน 159,547.39 บาท ให้กับ พี่หวาน
พี่หวาน เป็นเจ้าภาพการถวายโคมไฟระย้า (ที่ติดไว้ที่พระอุโบสถวัดป่าภัทรปิยาราม)
.
เงินที่ผมโอนให้พี่หวาน เป็นเงินของ สมาชิกไลน์กลุ่มพระวังหน้า , สมาชิกไลน์กลุ่มพระวังหน้าโลกอุดร , สมาชิกชมรมพระวังหน้า ที่ได้ร่วมกันทำบุญกันมาตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน 2564 จนถึง เดือน กุมภาพันธ์ 2565
.
และเงินจำนวนนี้ จะไปสมทบกับเงินของพี่หวาน ที่เป็นเจ้าภาพฯ ครับ
.
ขอกราบโมทนาบุญกับพี่หวาน และ ทุกท่านที่ได้ร่วมทำบุญกันมาด้วยครับ
.
.
.********************************.
.
.
#หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า (#หลวงปู่พระอุตตระเถระเจ้า) หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ดำ
.
#หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ตีนโต
.
#หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เทพโลกอุดร  หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เดินหน  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ในดง  หรืออีกชื่อ #หลวงปู่โพรงโพ (เดิมที่พิมพ์ไว้ #หลวงปู่โพรงโพธิ์ เป็นการพิมพ์ผิด)
.
#หลวงปู่พระฌานียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี (เดิมที่พิมพ์ไว้ #หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า เป็นการพิมพ์ผิด)
.
#หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์
.
#หลวงปู่เทพโลกอุดร
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
.
#คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ
.
#สมเด็จพระพุฒาจารย์โตพรหมรังสี
.
#หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ
.
#พระพุทธยมกปาฎิหาริย์
.
#พระพุทธมณีรัตนอัมรินทรถสถิต (พระประธาน พระอุโบสถเจดีย์ จักรรัตนอุโบสถ โลหะสัมฤทธิ์เจดีย์ บรมพิมาน พระพุทธมณีรัตนอัมรินทรถสถิต อัมพรสุวรรณนพรัตนมณีโชติจรัสสุริเยนทร์ วัดป่าภัทรปิยาราม)
.
#พระอุโบสถเจดีย์จักรรัตนอุโบสถโลหะสัมฤทธิ์เจดีย์ บรมพิมานพระพุทธมณีรัตนอัมรินทรถสถิตอัมพรสุวรรณนพรัตนมณีโชติจรัสสุริเยนทร์
.
#พระบรมธาตุเจดีย์ศรีอิทธิมนต์ทิพยสถานอรุโณโลกุตตระ
.
#พระอาจารย์ณริชธันร์  #วัดป่าภัทรปิยาราม
.
#ถ้าสุวรรณคูหามัฆวานวินิจฉัย
.
#พญานาคราชศีลวิสุทธิโลกาธิบดี
.
#ศาลาศรีอิทธิมนต์ (#ศาลาเคียงอุโบสถวัดป่าภัทรปิยาราม)
.
#ชมรมพระวังหน้า
.
#พระวังหน้า
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 01, 2023, 10:27:52 am
วันอาสาฬหบูชา
วันอาสาฬหบูชา (บาลี: อาสาฬหปูชา; อักษรโรมัน: Asalha Puja) เป็นวันสำคัญทางศาสนาพุทธนิกายเถรวาทและวันหยุดราชการในประเทศไทย[1] คำว่า อาสาฬหบูชา ย่อมาจาก "อาสาฬหปูรณมีบูชา" แปลว่า "การบูชาในวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ" อันเป็นเดือนที่สี่ตามปฏิทินของประเทศอินเดีย ตรงกับวันเพ็ญ เดือน 8 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย ซึ่งมักจะตรงกับเดือนมิถุนายนหรือเดือนกรกฎาคม แต่ถ้าในปีใดมีเดือน 8 สองหน ก็ให้เลื่อนไปทำในวันเพ็ญเดือน 8 หลังแทน
วันอาสาฬหบูชาได้รับการยกย่องเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เนื่องจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ 45 ปี ก่อนพุทธศักราช ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 คือวันอาสาฬหปุรณมีดิถี หรือวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ[2] ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นมคธ อันเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาเป็นครั้งแรกเป็นปฐมเทศนา คือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แก่ปัญจวัคคีย์[3]
การแสดงธรรมครั้งนั้นทำให้พราหมณ์โกณฑัญญะ 1 ใน 5 ปัญจวัคคีย์ เกิดความเลื่อมใสในพระธรรมของพระพุทธเจ้า จนได้ดวงตาเห็นธรรมหรือบรรลุเป็นพระอริยบุคคลระดับโสดาบัน ท่านจึงขออุปสมบทในพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา พระอัญญาโกณฑัญญะจึงกลายเป็นพระสงฆ์องค์แรกในโลก และด้วยเหตุที่ท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคล (อนุพุทธะ) เป็นคนแรก จึงทำให้ในวันนั้นมีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์เป็นครั้งแรกในโลก คือ มีทั้งพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้วันนี้ถูกเรียกว่า "วันพระธรรม" หรือ วันพระธรรมจักร อันได้แก่วันที่ล้อแห่งพระธรรมของพระพุทธเจ้าได้หมุนไปเป็นครั้งแรก และ "วันพระสงฆ์" คือวันที่มีพระสงฆ์เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก อีกด้วย
เดิมนั้นไม่มีการประกอบพิธีการบูชาในเดือน 8 หรือวันอาสาฬหบูชาในประเทศพุทธเถรวาทมาก่อน จนมาในปี พ.ศ. 2501 การบูชาในเดือน 8 หรือวันอาสาฬหบูชาจึงได้เริ่มมีขึ้นในประเทศไทย ตามที่คณะสังฆมนตรี ได้กำหนดให้วันนี้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาของประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. 2501 โดยคณะสังฆมนตรีได้มีมติให้เพิ่มวันอาสาฬหบูชาเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาในประเทศไทย ตามคำแนะนำของ พระธรรมโกศาจารย์ (ชอบ อนุจารี)[4] โดยคณะสังฆมนตรีได้ออกเป็นประกาศสำนักสังฆนายกเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2501[5] กำหนดให้วันอาสาฬหบูชาเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาพร้อมทั้งกำหนดพิธีอาสาฬหบูชาขึ้นอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยมีพิธีปฏิบัติเทียบเท่ากับวันวิสาขบูชาอันเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาสากล
อย่างไรก็ตาม วันอาสาฬหบูชาถือเป็นวันสำคัญที่กำหนดให้กับวันหยุดของรัฐเพียงแต่ในประเทศไทยเท่านั้น ส่วนในต่างประเทศที่นับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาทอื่น ๆ ยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับวันอาสาฬหบูชาเทียบเท่ากับวันวิสาขบูชา
ความสำคัญ
พระพุทธรูปปางปฐมเทศนา ทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตรแก่ปัญจวัคคีย์ในวันอาสาฬหบูชา
วันอาสาฬหบูชา หรือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมที่ตรัสรู้เป็นครั้งแรก จึงถือได้ว่าวันนี้เป็นวันเริ่มต้นประกาศพระพุทธศาสนาแก่ชาวโลก และด้วยการที่พระพุทธเจ้าทรงสามารถ แสดง เปิดเผย ทำให้แจ้ง แก่ชาวโลก ซึ่งพระธรรมที่ตรัสรู้ได้ จึงถือได้ว่าพระองค์ได้ทรงกลายเป็นสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยสมบูรณ์ คือทรงสำเร็จภารกิจแห่งการเป็นพระพุทธเจ้าผู้เป็น "สัมมาสัมพุทธะ" คือเป็นพระพุทธเจ้าผู้สามารถแสดงสิ่งที่ตรัสรู้ให้ผู้อื่นรู้ตามได้ ซึ่งแตกต่างจาก "พระปัจเจกพุทธเจ้า" ที่แม้จะตรัสรู้เองได้โดยชอบ แต่ทว่าไม่สามารถสอนหรือเปิดเผยให้ผู้อื่นรู้ตามได้ ด้วยเหตุนี้วันอาสาฬหบูชาจึงมีชื่อเรียกว่า "วันพระธรรม"
วันอาสาฬหบูชา เป็นวันที่ท่านโกณฑัญญะได้บรรลุธรรมสำเร็จพระโสดาบันเป็นพระอริยบุคคลคนแรก และได้รับประทานเอหิภิกขุอุปสมบทเป็นพระสงฆ์องค์แรกในพระศาสนา และด้วยการที่ท่านเป็นพระอริยสงฆ์องค์แรกในโลกดังกล่าว พระรัตนตรัยจึงครบองค์สามบริบูรณ์เป็นครั้งแรกในโลก ด้วยเหตุนี้วันอาสาฬหบูชาจึงมีชื่อเรียกว่า "วันพระสงฆ์"[6]
ดังนั้น วันอาสาฬหบูชาจึงถูกจัดขึ้นเพื่อเป็นการระลึกถึงวันคล้ายวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญของพระพุทธศาสนาดังกล่าว ซึ่งควรพิจารณาเหตุผลโดยสรุปจากประกาศสำนักสังฆนายกเรื่องกำหนดพิธีอาสาฬหบูชา ที่ได้สรุปเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในวันอาสาฬหบูชาไว้โดยย่อ ดังนี้
{{คำพูด|
    เป็นวันแรกที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระพุทธศาสนา
    เป็นวันแรกที่พระบรมศาสดาทรงแสดงพระธรรมจักร์ ประกาศสัจจธรรม อันเป็นองค์แห่งพระสัมมาสัมโพธิญาณ
    นโลก คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้รับประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทา ในวันนั้น
    เป็นวันแรกที่บังเกิดสังฆรัตนะ สมบูรณ์เป็นพระรัตนตรัย คือ พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ|ประกาศสำนักสังฆนายก เรื่อง กำหนดพิธีอาสาฬหบูชา
    ลงวันที่ 14 กรกฎาคม 2501[7] ว่า
    ... บัดนี้ ไม่สมควรที่เราจะประกาศธรรมที่เราตรัสรู้ เพราะธรรมที่เราตรัสรู้นั้นเป็นสิ่งที่คนทั่วไป ที่ถูกราคะ โทสะครอบงำอยู่จะไม่สามารถมองเห็นได้โดยง่าย, คนที่ถูกราคะย้อมไว้ ถูกกองมืด (คืออวิชชา) หุ้มไว้มิดทั้งหลาย ย่อมไม่สามารถที่จะเข้าใจธรรมะของเราที่เป็นสิ่งทวนกระแส (อวิชชา) ที่มีสภาพลึกซึ้ง ละเอียดเช่นนี้ได้เลย...
ที่มา https://sites.google.com/site/prawatiwanxasalhbucha/ (https://sites.google.com/site/prawatiwanxasalhbucha/)
--------------------------------------------------------
ที่มา ของ คลิป
เพลงลงวันอาสาฬหบูชา  โดย MultiThamma
https://www.youtube.com/watch?v=NqJk39K51Dk (https://www.youtube.com/watch?v=NqJk39K51Dk)
MultiThamma
เผยแพร่เมื่อ 5 พ.ค. 2013
--------------------------------------------------------
เพลงอาสาฬหบูชา
https://www.youtube.com/watch?v=hR_05l12XnY (https://www.youtube.com/watch?v=hR_05l12XnY)
NONGORN23
เผยแพร่เมื่อ 30 ม.ค. 2012
--------------------------------------------------------
เพลงวันอาสาฬหบูชา
https://www.youtube.com/watch?v=wWwNynKMF3w (https://www.youtube.com/watch?v=wWwNynKMF3w)
2012medkanoon
เผยแพร่เมื่อ 5 มิ.ย. 2016
--------------------------------------------------------
วันอาสาฬหบูชา MV
https://www.youtube.com/watch?v=0bfjJ9MHEUo (https://www.youtube.com/watch?v=0bfjJ9MHEUo)
nurnnamkam
เผยแพร่เมื่อ 17 ธ.ค. 2012
.-----------------------------------------------------------
เรื่องราว วันอาสาฬหบูชา
วันอาสาฬหบูชา วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
https://www.youtube.com/watch?v=TGJODadFM04 (https://www.youtube.com/watch?v=TGJODadFM04)
ที่มา เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์
https://www.youtube.com/channel/UCjjn2rmjEGZWnpJCv-XC9VA (https://www.youtube.com/channel/UCjjn2rmjEGZWnpJCv-XC9VA)
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 06, 2023, 01:05:56 pm
.
.
วงการพระเครื่องของเมืองไทย มักจะเรียกพลังของพระพิมพ์ หรือ เครื่องรางต่างๆ ว่า พุทธคุณ
คำว่า พุทธคุณ  ในความหมายของภาษาไทย คือ พระคุณของพระพุทธเจ้า ที่ผมได้นำมาลงให้อ่านกันด้านล่าง
.
แต่ส่วนตัวผม เรียกพลังของพระพิมพ์ หรือ เครื่องรางต่างๆ ว่า อิทธิคุณ
โดยเรียกตามที่ผมได้รับคำสอนมาจาก ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร
และ พยายามใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง ครับ
.
บทความ #เรื่องของคุณ ผมเคยขออนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร (ตั้งแต่ที่ท่านยังมีชีวิตอยู่)
ขอนำบทความฯไปลงในกระทู้  พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....  ในเว็บพลังจิต ซึ่งท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ได้อนุญาตไว้เรียบร้อยแล้ว
และ ผมเคยขออนุญาตจากพี่จิ๋ว (บุตรชายท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ผู้ถือลิขสิทธิ์คนปัจจุบัน) ขอนำมาลงใน เพจ.หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร & พระวังหน้า และ ในเพจ.ส่วนตัวของผม และ พี่จิ๋วได้อนุญาตไว้เรียบร้อยแล้ว
.
ขอกราบขอบพระคุณ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร และ พี่จิ๋ว ไว้ ณ โอกาสนี้ ครับ
.
ที่มา https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=273521125376577&id=100081560750868&mibextid=Nif5oz
.
.*************************************.
.

พุทธคุณ
.
ที่มา เว็บไซด์ 84000
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)
.
.
[303] พุทธคุณ 9 (คุณของพระพุทธเจ้า — virtues or attributes of the Buddha)
.
       อิติปิ โส ภควา (แม้เพราะอย่างนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น — thus indeed is he, the Blessed One,)
.
       1. อรหํ (เป็นพระอรหันต์ คือ เป็นผู้บริสุทธิ์ ไกลจากกิเลส ทำลายกำแห่งสังสารจักรได้แล้ว เป็นผู้ควรแนะนำสั่งสอนผู้อื่น ควรได้รับความเคารพบูชา เป็นต้น — holy; worthy; accomplished)
.
       2. สมฺมาสมฺพุทฺโธ (เป็นผู้ตรัสรู้ชอบเอง — fully self-enlightened)
.
       3. วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน (เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชา คือความรู้ และจรณะ คือความประพฤติ — perfect in knowledge and conduct)
.
       4. สุคโต (เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว คือ ทรงดำเนินพระพุทธจริยาให้เป็นไปโดยสำเร็จผลด้วยดี พระองค์เองก็ได้ตรัสรู้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพุทธกิจก็สำเร็จประโยชน์ยิ่งใหญ่แก่ชนทั้งหลายในที่ที่เสด็จไป และแม้ปรินิพพานแล้ว ก็ได้ประดิษฐานพระศาสนาไว้เป็นประโยชน์แก่มหาชนสืบมา — well-gone; well-farer; sublime)
.
       5. โลกวิทู (เป็นผู้รู้แจ้งโลก คือ ทรงรู้แจ้งสภาวะอันเป็นคติธรรมดาแห่งโลกคือสังขารทั้งหลาย ทรงหยั่งทราบอัธยาศัยสันดานแห่งสัตวโลกทั้งปวง ผู้เป็นไปตามอำนาจแห่งคติธรรมดาโดยถ่องแท้ เป็นเหตุให้ทรงดำเนินพระองค์เป็นอิสระ พ้นจากอำนาจครอบงำแห่งคติธรรมดานั้น และทรงเป็นที่พึ่งแห่งสัตว์ทั้งหลายผู้ยังจมอยู่ในกระแสโลกได้ — knower of the worlds)
.
       6. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ (เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ฝึกได้ ไม่มีใครยิ่งไปกว่า คือ ทรงเป็นผู้ฝึกคนได้ดีเยี่ยม ไม่มีผู้ใดเทียมเท่า — the incomparable leader of men to be tamed)
.
       7. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ (เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย — the teacher of gods and men)
.
       8. พุทฺโธ (เป็นผู้ตื่นและเบิกบานแล้ว คือ ทรงตื่นเองจากความเชื่อถือและข้อปฏิบัติทั้งหลายที่ถือกันมาผิดๆ ด้วย ทรงปลุกผู้อื่นให้พ้นจากความหลงงมงายด้วย อนึ่ง เพราะไม่ติด ไม่หลง ไม่ห่วงกังวลในสิ่งใดๆ มีการคำนึงประโยชน์ส่วนตน เป็นต้น จึงมีพระทัยเบิกบาน บำเพ็ญพุทธกิจได้ถูกต้องบริบูรณ์ โดยถือธรรมเป็นประมาณ การที่ทรงพระคุณสมบูรณ์เช่นนี้ และทรงบำเพ็ญพุทธกิจได้เรียบร้อยบริบูรณ์เช่นนี้ ย่อมอาศัยเหตุคือความเป็นผู้ตื่นและย่อมให้เกิดผลคือทำให้ทรงเบิกบานด้วย — awakened)
.
       9. ภควา (ทรงเป็นผู้มีโชค คือ จะทรงทำการใด ก็ลุล่วงปลอดภัยทุกประการ หรือ เป็นผู้จำแนกแจกธรรม — blessed; analyst)
.
       พุทธคุณ 9 นี้ เรียกอีกอย่างว่า นวารหาทิคุณ (คุณของพระพุทธเจ้า 9 ประการ มีอรหํ เป็นต้น) บางทีเลือนมาเป็น นวรหคุณ หรือ นวารหคุณ แปลว่า คุณของพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ 9 ประการ
.
M.I.37;
A.III.285.
ม.มู. 12/95/67
องฺ.ฉกฺก. 22/281/317.
.
.
.
[304] พุทธคุณ 2 (virtues, qualities or attributes of the Buddha)
.
       1. อัตตหิตสมบัติ (ความถึงแห่งประโยชน์ตน, ทรงบำเพ็ญประโยชน์ส่วนพระองค์เอง เสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว — to have achieved one’s own good; accomplishment of one’s own welfare) พระคุณข้อนี้มุ่งเอาพระปัญญาเป็นหลัก เพราะเป็นเครื่องให้สำเร็จพุทธภาวะ คือ ความเป็นพระพุทธเจ้า และความเป็นอัตตนาถะ คือ พึ่งตนเองได้
.
       2. ปรหิตปฏิบัติ (การปฏิบัติเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น, ทรงบำเพ็ญพุทธจริยาเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น — practice for the good or welfare of others) พระคุณข้อนี้มุ่งเอาพระกรุณาเป็นหลัก เพราะเป็นเครื่องให้สำเร็จพุทธกิจ คือ หน้าที่ของพระพุทธเจ้า และความเป็นโลกนาถ คือ เป็นที่พึ่งของชาวโลกได้
.
       พุทธคุณ 9 ในข้อก่อน [303] ย่อลงแล้วเป็น 2 อย่างดังแสดงมานี้ คือ
ข้อ 1-2-3-5 เป็นส่วนอัตตหิตสมบัติ
 ข้อ 6-7 เป็นส่วนของปรหิตปฏิบัติ
ข้อ 4-8-9 เป็นทั้งอัตตหิตสมบัติ และปรหิตปฏิบัติ
.
DAT.I.8
 วิสุทธิ.ฎีกา. 1/258/381; 246/338
.
.
.
[305] พุทธคุณ 3 (virtues, qualities or attributes of the Buddha)
.
       1. ปัญญาคุณ (พระคุณคือพระปัญญา — wisdom)
       2. วิสุทธิคุณ (พระคุณคือความบริสุทธิ์ — purity)
       3. กรุณาคุณ (พระคุณคือพระมหากรุณา — compassion)
.
       ในพระคุณ 3 นี้ ข้อที่เป็นหลักและกล่าวถึงทั่วไปในคัมภีร์ต่างๆ มี 2 คือ ปัญญา และกรุณา
ส่วนวิสุทธิ เป็นพระคุณเนื่องอยู่ในพระปัญญาอยู่แล้ว เพราะเป็นผลเกิดเองจากการตรัสรู้
คัมภีร์ทั้งหลายจึงไม่แยกไว้เป็นข้อหนึ่งต่างหาก
.
นัย. วิสุทธิ.
ฎีกา 1/1.
.
.*************************************.
.
พุทธคุณ หมายถึง/ความหมาย
โดย อ.เปลื้อง ณ.นคร
ที่มา online-english-thai-dictionary
.
พุทธคุณ เป็น คำนาม
คุณของพระพุทธเจ้า ๓ ประการ คือ พระบริสุทธิคุณ พระปัญญาคุณและพระกรุณาคุณ,
คำว่า คุณ มี ๒ ความหมาย คือ คุณความดี หมายถึงความดีของท่าน
กับคุณประโยชน์ หมายถึงอุปการะที่ท่านมีต่อเรา,
.
คำว่า พุทธคุณ ก็อาจหมายถึงทั้ง ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง,
.
ส่วนความดีของพระพุทธเจ้า นั้นมี ๙ ประการ เรียกว่า พระพุทธคุณ ๙ หรือนวหรคุณ คือ ๑. อรหัง เป็นผู้สิ้นกิเลส ไม่มีความคิดร้ายใดๆ ในพระทัยเลย ๒. สัมมาสัมพุทโธ เป็นผู้ตรัสรู้ธรรมอย่างถูกต้องด้วยพระองค์เอง ๓. วิชชาจรณสัมปันโน ทรงพร้อมด้วยความรู้พิเศษ ๘ ประการ
.
ทั้งมีความประพฤติดีครบ ๑๕ อย่าง ๔. สุคโต เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว คือเสด็จไปยังแห่งใดก็มีแต่ทรงทำสิริมงคลแก่มหาชนไม่เบียดเบียนใคร ๕. โลกวิทู ทรงรู้แจ้งโลก คือ
ทรงรู้จักโลกเป็นอย่างดี ๖. อนุตตโร ปุริสทัมมสารถิ
ทรงสามารถฝึกอบรมคนที่ควรฝึกได้ดีเยี่ยม ๗. สัตถา เทวมนุสสานัง
ทรงเป็นครูทั้งมนุษย์และเทวดา ๘. พุทโธ เป็นผู้เบิกบานแล้ว
ทรงถึงซึ่งความสุขสุดยอดแล้ว ไม่มีทุกข์ ๙. ภควา
ทรงเป็นผู้จำแนกธรรมคือทรงสามารถอย่างยอดเยี่ยมในการหยิบยื่นธรรมให้แก่บุคคลต่างเพศ ต่างวัย และต่างนิสัยใจคอ.
.
.*************************************.
.

คำนามคืออะไรและชนิดของ คำนาม?
ที่มา twinkl
.
.
คำนาม คือ คำชนิดหนึ่งในไวยากรณ์ภาษาไทย ใช้สำหรับเรียกคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ สภาวะ และลักษณะต่าง ๆ
โดยสามารถแบ่งได้เป็น 5 ประเภท สามานยนาม (คำนามไม่ชี้เฉพาะ) วิสามานยนาม (คำนามเฉพาะ) สมุหนาม (คำนามรวมหมู่) ลักษณนาม และอาการนาม (แสดงอาการ) เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับคำนามได้ในบทความนี้
.
สรุปข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับคำนาม

    คำนามคืออะไร? คำนาม หมายถึง คำที่ทำหน้าที่เพื่อเรียกคน สัตว์ สิ่งของ สภาพ อาการ และลักษณะต่าง ๆ
    คํานามมีกี่ชนิด? คำนามสามารถแบ่งได้เป็น 5 ชนิด ได้แก่ สามานยนาม (คำนามทั่วไป), วิสามานยนาม (คำนามเฉพาะ), สมุหนาม (บอกหมวดหมู่), ลักษณนาม (บอกลักษณะหลังจำนวน) และอาการนาม (บอกอาการ)
    การบอกว่าคำนามเป็นคำนามชนิดไหนนั้นต้องอาศัยบริบทและการดูใจความในประโยคที่กำหนดเป็นสำคัญ

.
คำนามคืออะไร
คำนาม คือ คำชนิดหนึ่งในไวยากรณ์ในภาษาไทย ที่ใช้สำหรับเรียกคน สัตว์ สิ่งของ สภาพ อาการ และลักษณะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม โดยสามารถแบ่งได้เป็น 5 ชนิด สามานยนาม วิสามานยนาม สมุหนาม ลักษณนาม และอาการนาม
.
ชนิดของคำนามมีอะไรบ้าง
ชนิดของคำนามอาจแบ่งได้เป็น 5 ชนิด ได้แก่

    สามานยนาม (คำนามไม่ชี้เฉพาะ)
    วิสามานยนาม (คำนามเฉพาะ)
    สมุหนาม (คำนามรวมหมู่)
    ลักษณนาม (คำนามบอกลักษณะ)
    อาการนาม (คำนามแสดงอาการ)

สามานยนาม
.
สามานยนาม คือ คำนามที่เป็นชื่อทั่วไปของคน สัตว์ และสิ่งของ หรือคำเรียกสิ่งต่าง ๆ โดยทั่วไป แบบไม่ชี้เฉพาะเจาะจง หรืออาจเรียกว่า คำนามสามัญ/คำนามทั่วไป
.
ทั้งนี้ สามานยนามบางคำมีคำย่อยเพื่อบอกชนิดย่อย ๆ เรียกว่า สามานยนามย่อย เพื่อบอกชื่อที่แคบลง เช่น คนญี่ปุ่น รถจักรยาน หนังสือเรียน
.
ตัวอย่างคำสามานยนาม เช่น ครู นักเรียน พ่อ แม่ แมว ปลา ดินสอ โรงเรียน สมุด ประเทศ คอมพิวเตอร์ ฯลฯ
.

    นักเรียนไปโรงเรียนทุกวัน
    พ่อและแม่ไปตลาด
    น้องซื้อดินสอและสมุดเล่มใหม่

.
วิสามานยนาม
.
วิสามานยนาม คือ คำนามที่เป็นชื่อเฉพาะ ตั้งขึ้นสำหรับเรียกคน สัตว์ สิ่งของ และสถานที่ เพื่อให้รู้ชัดเจนว่าเป็นใครหรืออะไร หรืออาจเรียกว่า คำนามเฉพาะ เช่น ชื่อคน ชื่อสัตว์ ชื่อสถานที่ เป็นต้น
.
ตัวอย่างวิสามานยนาม เช่น กรุงเทพมหานคร อังกฤษ สุนทรภู่ วันเสาร์ กระทรวงสาธารณสุข ฯลฯ
.

    พ่อของเธอทำงานที่กระทรวงสาธารณสุข
    แก้วจะไปเที่ยววันเสาร์นี้
    ยายแดงเกิดที่จังหวัดเชียงราย

.
สมุหนาม
.
สมุหนาม คือ คำนามรวมหมู่ ที่บอกลักษณะของคน สัตว์ และสิ่งของที่รวมกันอยู่เป็นหมวด เป็นหมู่ เป็นพวก โดยจะต้องทำหน้าที่เป็นประธาน กรรม หรือส่วนขยายของประโยค ดูตัวอย่างเพิ่มเติมได้ในหัวข้อข้อแนะนำการระบุชนิดของคำนามด้านล่าง
.
ตัวอย่างสมุหนาม เช่น หมู่ คณะ ฝูง พวก โขลง กอง บริษัท ฯลฯ
.

    กองทหารเตรียมตัวออกรบ
    รัฐบาลไทยส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุม
    ฝูงนกกำลังบินกลับรัง

.
ลักษณนาม
.
ลักษณนาม คือ คำนามที่ทำหน้าที่บอกลักษณะของคน สัตว์ และสิ่งของที่รวมกันอยู่เป็นหมวด เป็นหมู่ เป็นพวกเพื่อให้แสดงลักษณะ ขนาด หรือการประมาณของนามนั้น ๆ ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
.
ข้อสังเกต: คำสะกดที่ถูกต้อง คือ ลักษณนาม โดยมักมีการสะกดผิดเป็น ลักษณะนาม
.
ตัวอย่างลักษณนาม เช่น เล่ม ลำ ตัว ฝูง สาย ต้น สาย คัน ฟอง ลูก ใบ ฯลฯ
.

    ประเทศไทยมีแม่น้ำที่สำคัญหลายสาย
    แม่ซื้อไข่มา 6 ฟอง
    หน้าบ้านของเขามีต้นไม้ 2 ต้น

.
อาการนาม
.
อาการนาม คือ คำนามที่บอกกิริยาอาการหรือสภาวะต่าง ๆ ของคน สัตว์ และสิ่งของ ซึ่งมักจะมีคำ "ความ" หรือ "การ" นำหน้าคำกริยาหรือคำวิเศษณ์
.
ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่า คำว่า "ความ" และ "การ" ที่นำหน้าคำประเภทอื่นนอกจากคำกริยาและคำวิเศษณ์ ไม่นับว่าเป็นอาการนาม เช่น การบ้าน ความแพ่ง การไฟฟ้า เป็นต้น
.
ตัวอย่างอาการนาม เช่น การเรียน การเดิน การสอน การกิน การเล่น การนอน ความรัก ความสวย ความคิด ความรวย ความจน ฯลฯ
.

    เราควรทำความดีอย่างสม่ำเสมอ
    การเรียนเป็นพื้นฐานที่สำคัญ
    การออกกำลังกายช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

.
หน้าที่ของคำนาม
.
คำนามมีหน้าที่ในประโยคได้หลากหลายดังต่อไปนี้
.

    ทำหน้าที่เป็นประธาน เช่น นักเรียนไปโรงเรียน
    ทำหน้าที่เป็นกรรม เช่น ฉันกินข้าว
    ใช้บอกรายละเอียด เช่น สถานที่ เวลา ทิศทาง หรือเพิ่มความชัดเจน เช่น นักเรียนไปโรงเรียน เราจะไปเที่ยวเชียงใหม่วันเสาร์นี้
    ทำหน้าที่ขยายนาม เพื่อทำให้คำนามที่ถูกขยายชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น แม่ของเขาเป็นข้าราชการครู
    ทำหน้าที่เป็นส่วนเติมเต็มประโยค เช่น สมศรีเป็นพยาบาล
    ใช้แทนคำเรียกขาน เช่น แม่จ๋า ช่วยเปิดประตูให้หนูหน่อย

.
ข้อแนะนำการระบุชนิดของคำนาม
.
การระบุว่าคำนามเป็นคำนามชนิดไหนนั้น ต้องอาศัยบริบทและการดูใจความในประโยคที่กำหนดเป็นสำคัญ ทั้งนี้เพราะคำหนึ่ง ๆ อาจทำหน้าที่แตกต่างกันไปในประโยคต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น
.

    คุณพ่อปลูกต้นไม้ 3 ต้นที่หน้าบ้าน (ต้น ในประโยคนี้เป็นลักษณนาม)
    ต้นเพิ่งเริ่มเข้าโรงเรียน (ต้น ในประโยคนี้เป็นวิสามานยนาม)
    ฝูงปลากำลังแหวกว่ายในแม่น้ำ (ฝูง ในประโยคนี้เป็นสมุหนาม)
    นกหลายฝูงกำลังย้ายถิ่นไปยังประเทศเขตร้อน (ฝูง ในประโยคนี้เป็นลักษณนาม)
    โขลงช้างเดินอยู่ในป่าใหญ่ (โขลง ในประโยคนี้เป็นสมุหนาม)
    ช้างโขลงหนึ่งเดินอยู่ในป่าใหญ่ (โขลง ในประโยคนี้เป็นลักษณนาม)
    สมชายเป็นครูสอนที่โรงเรียน (โรงเรียน ในประโยคนี้เป็นสามานยนาม)
    โรงเรียนออกใบรับรองให้นักเรียนที่จบการศึกษา (โรงเรียน ในประโยคนี้เป็นสมุหนาม)

.
.
.
.
.
.
#หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ดำ
.
#หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ตีนโต
.
#หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เทพโลกอุดร หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เดินหน หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ในดง หรืออีกชื่อ #หลวงปู่โพรงโพ (เดิมที่พิมพ์ไว้ #หลวงปู่โพรงโพธิ์ เป็นการพิมพ์ผิด)
.
#หลวงปู่พระฌานียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี (เดิมที่พิมพ์ไว้ #หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า เป็นการพิมพ์ผิด)
.
#หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์
.
#หลวงปู่เทพโลกอุดร
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
.
#คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ
.
#สมเด็จพระพุฒาจารย์โตพรหมรังสี
.
#หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ
.
#อาจารย์ประถมอาจสาคร
#ประถมอาจสาคร
#ปู่เล่าให้ฟัง
#หนังสือปู่เล่าให้ฟัง
.
#ชมรมพระวังหน้า
.
#พระวังหน้า
.
.
.
รูปและบทความเรื่องของคุณ สงวนลิขสิทธิ์
.
.
.






.
#หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ดำ
.
#หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ตีนโต
.
#หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เทพโลกอุดร หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เดินหน หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ในดง หรืออีกชื่อ #หลวงปู่โพรงโพ (เดิมที่พิมพ์ไว้ #หลวงปู่โพรงโพธิ์ เป็นการพิมพ์ผิด)
.
#หลวงปู่พระฌานียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี (เดิมที่พิมพ์ไว้ #หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า เป็นการพิมพ์ผิด)
.
#หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์
.
#หลวงปู่เทพโลกอุดร
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
.
#คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ
.
#สมเด็จพระพุฒาจารย์โตพรหมรังสี
.
#หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ
.
#อาจารย์ประถมอาจสาคร
#ประถมอาจสาคร
#ปู่เล่าให้ฟัง
#หนังสือปู่เล่าให้ฟัง
.
#ชมรมพระวังหน้า
.
#พระวังหน้า
.
รูปและบทความเรื่องของคุณ สงวนลิขสิทธิ์
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 06, 2023, 08:26:55 pm
.
.
ธรณีนี่นี้ เป็นพยาน  เราก็ศิษย์มีอาจารย์ หนึ่งบ้าง
เราผิดท่านประหาร เราชอบ  เราบ่ผิดท่านมล้าง ดาบนี้คืนสนอง
.
.
ศรีปราชญ์
ยอดกวีแห่งกรุงศรีอยุธยา
ที่มา เว็บไซด์ identity.bsru
มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
.
จากคำนำ ที่ท่านผู้เขียนได้ปรารภไว้ว่า
.
“ประวัติของศรีปราชญ์ฉบับนี้  เขียนขึ้นจากความทรงจำที่ได้เล่าเรียนมา เมื่อข้าพเจ้าได้เล่าประวัติของศรีปราชญ์ให้สมาชกที่ร่วมเดินทางไปทัศนศึกษาด้วยกันฟัง  หลายท่านอยากได้ประวิติของศรีปราชญ์ และขอร้องให้เขียนไว้ให้ด้วย พบกันครั้งไร ก็ทวงถามอยู่เสมอ ผู้เขียนไม่มีตำหรับตำรับตำราจะค้นคว้า เพราะได้บริจาคหนังสือทั้งหมดให้ห้องสมุดมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง และห้องสมุดของวัดในต่างจังหวัดไปแล้ว ประวัติของศรีปราชญ์ฉบับนี้คงไม่สมบูรณ์แน่นอน หากท่านได้รับความพอใจ ความเพลิดเพลิน ขออานิสงส์นี้จงนำสู่เพื่อนสมาชิที่เคยร่วมทัศนศึกษาด้วยกันมาเป็นเวลายาวนาน  ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ และล่วงลับไปแล้วด้วยเทอญ
.
รักจากใจ
ไกรนุช  ศิริพูล
๑๖ มกราคม ๒๕๕๓
.
.
ศรีปราชญ์เป็นปฏิภาณกวีแห่งกรุงศรีอยุธยา  สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. ๒๑๙๙ – ๒๒๓๑ ทรงพระนามว่า พระรามธิบดีที่ ๓
.
          สมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นยุคทองของวรรณคดีไทย ซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งกวีในสมัยนั้น จึงอุดมไปด้วยกวีที่สำคัญๆ หลายท่าน อาทิ
.
 พระมหาราชครู แต่ง
.
๑. สมุทโฆษคำฉันท์ ยังไม่จบ ถึงแก่อนิจกรรมเสียก่อน สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงพระราชนิพนธ์ต่อ ยังไม่ทันจบ  ก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน พระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมนุชิโนรสแห้งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงนิพนธ์ต่อจนจบ
.
๒. เสือโคคำฉันท์
.
๓. จินดามณี เป็นตำราเรียนเล่มแรกของไทย
.
พระศรีมโหสถ  แต่ง
.
๑. กาพย์ห่อโคลง เล่าถึงความสนุกสนานของประชาชนในแผ่ดินสมเด็จพระนารยาณ์มหาราช
.
๒. โคลงเฉลิมพระเกียรติ์สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
.
ขุนเทพกวี พราหมณ์ชาวเมืองสุโขทัย แต่ง คำฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้าง
.
พระเยาวราช จากเมืองเชียงใหม่  แต่ง ทวาทศมาส โดยมีขุนพรพมมนตรี ขุนศรีกวีราช ขุนสารประเสริฐ ช่วยแต่งเกลาแก้สำนวนกลอน
.
.
ศรีปราชญ์       บุตรพระมหาราชครู บาตำราว่าเป็นบุครพระโหราธิบดี สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นคนคนเดียวกัน คือพระโหราธิบคีรับราชการในตำแหน่งมายาวนาน และเป็นพระอาจารย์ถวายอักษรแก้สมเด็จพระนารายณ์ด้วย จึงได้ชื่อว่าพระมหาราชครูอีกชื่อหนึ่ง
.
ศรีปราชญ์คงได้รับการอบรม หล่อหลอมความรู้ต่างๆ ด้านวรรณคดีไทยอย่างดีจากบิดา สำนวนภาษา โค กลอน ฉันท์ต่างๆ ของศรีปราชญ์ยังทันสมัย เป็นอมตะมาจนทุกวันนี้
.
          สันนิษฐานกันว่า ศรีปราชญ์ เดิมชื่อ ศรี มีความสามรถแต่งโคลง ฉันท์ กาพย์  กลอนได้ ตั้งแด่ยังเยาว์วัย
.
          มีเรื่องเล่าว่า  เมื่อเด็กอายุประมาณ ๙ ขวบหรือ ๑๐ ขวบ บังอาจแต่งต่อโคลงพระราชนิพนธ์ของสมด็จพระนารายณ์ฯ ที่ทรงค้างไว้สองบาท โดยโคลงพระราชนิพนธ์นี้ สมเด็จพระนารายร์ฯ ทรงพระกรุณาพราชทานให้พระมหาราชครูเอามาแต่งให้จบทั้งบท คือ
.
อันใดย้ำแก้มแม่                หมองหมาย
ยุงเหลือบฤๅริ้นพราย            ลอบกล้ำ
.
          พระมหาราชครูผู้เฒ่า รับเอามาแล้วยังมิทันได้แต่ต่อก็เก็บไว้  รุ่งเช้านึกขึ้นได้จึงไปหยิบดูก็พบว่ามีผู้แต่งเสร็จแล้วอีก ๒ บาท คือ
.
ผิวชนแต่จักกราย                ยังยาก
ใครจะอาจให้ช้ำ                  ชอกเนื้อเรียมสงวน
.
จนครบสี่บาทของโคลงสี่สุภาพ
.
โดยที่เป็นเวลากะทันหัน แบทโคลงนั้นก็ดีแล้วคือ
.
อันใดย้ำแก้มแม่                 หมองหมาย
ยุงเหลือบฤๅริ้นพราย                      ลอบกล้ำ
ผิวชนแต่จักกราย                          ยังยาก
ใครจะอาจให้ช้ำ                            ชอกเนื้อเรียมสงวน
.
          สมเด็จพระนารายณ์ฯ รงคุ้นเคยกับพระมหาราชครูดีและชราแล้ว คงจะไม่แต่งข้อความพาดพิงเข้าถึงเรื่องของพระองค์อย่างแหลมคมดังเช่นข้อความในบาทที่สี่นั้นเป็นแน่  จึงมีพระราชดำรัสถาม ก็ทรงทราบว่าผู้แต่งเป๊นบุตรพระมหาราชครู อายะพียงสิบขวบก็ทรงพอพระทัยนัก  ถึงกับทรงขอชมตัว และเมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นหน่วยก้านชั้นเชิงหนูน้อยนักเลงกลอน  ก็ทรงพระกรุณาขอไว้เป็นมหาดเล็ก   พระมหาราชครู หรือพระโหราธิบดีคงจะรู้ด้วยวิชาโหร ว่า “ศรี”ลูกของตนจะอายุสั้นด้วยอาญาแผ่นดิน จึงกราบทูลว่า บุตรของตนยังเป็นเด็ก จะทำผิดด้วยไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ จึงขอพระกรุณาพระราชทานอภัยโทษ แม้วาจะมีผิดถึงตาย ก็ขอให้ยกโทษประหารเป็นเนรเทศแทน ก็ทรงพระกรูราพรราชทานโทษประหารแก่พระมหาราชครู ศรีปราชญ์จึงได้เป็นมหาดเล็กในพระราชวังของสมเด็จพระนารายณ์ฯ แต่นั้นมา
.
          ในการทรงพระอักษร หรือในโอกาสโปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชบริพารแต่งบทประพันธ์ถวาย ก็มีพระราชดำรัสให้ศรีปราชญ์อยู่ด้วยทุกครั้ง ทำให้ชื่อเสียงของศรีปราชญ์แพร่ออกไปโดยเร็ว
.
          ความหนุ่มแก่วัยและความจัดจ้านในคารมของศรีปราชญ์ คงจะได้เป็นที่รู้จักในหมู่ประชาชนทั้งในวัง และนอกวัง
.
          ในครั้งหนึ่งในราชสำนัก มีกวีสำคัญคือ  “เจ้าเชียงใหม่”  สันนิษฐานว่าอยู่ในฐานะตัวจำนำ  ศรีปราชญ์ได้โต้ฝีปากกับกวีผู้นี้อยู่เสมอ การโต้ตอบหรือประกวดกัน ศรีปราชญ์มักจะเป็นฝ่ายชนะอยู่เสมอ
.
          มีอยู่ครั้งหนึ่ง  เกิดมีเสียงอึกทึกครึกโครม        สมเด็จพระนารายณ์ ทรงตรัสถามถึงต้นเหตุของเสียงว่าเป็นด้วยเหตุประการใด ด้วยความเป็นปฏิภาณกวีของศรีปราชญ์ จึงกราบทูลเป็นโคงว่า
.
ครื้นครื้นสนั่นพื้น                       ปฐพี
เสียงตะขาบขับตี                              เร่งร้น
ภูธรภูเรศตี                                        สุรสั่ง     เองแฮ
ร้องสำทับช้างต้น                             เทิดแก้วมาเมือง
.
          ครั้งสมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระราชวังลพบุรี ในฤดูร้อน เสด็จประพาส “ป่าแก้ว” โปรดให้ข้าราชบริพารแต่งโคลงที่มีความหมายแสดงถึงความรักประกวดกัน
.
  คู่แข่งคนสำคัญของศรีปราชญ์คือพระเยาวราชแห่งเชียงใหม่ โดยพระเยาวราชขึ้นบทก่อนว่า
.
ครืนครืนใช่ฟ้ร้อง                     เรียมครวญ
หึ่งหึ่งใช่ลมหวน                               พีไหม้
ฝนตกใช่ฝนนวล                              พี่ทอด     ใจนา
ร้อนใช่ร้อนไฟไหม้                          พีร้อนรนกาม
.
เป็นการแสดงความคิดแบบกวี  ศรีปราชญ ก็โต้กลับโดยทวนคำคร่ำครวญว่า
.
เรียมร่ำน้ำเนตรถ้วม                ถึงพรหม
พาหมู่สัตว์ตกจม                             จ่อมม้วย
พระสุเมรุเปื่อยเป็นตม                    ทบท่าว    ลงแฮ
.
                   สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงขัดขึ้นว่า  ศรีปราชญืร้องไห้มากมาย จนน้ำท่วมถึงพรหมโลก ชั้น ๑๕ เขาพระสุมรุซึ่งเป็นหลักของโลกพังทลายหมดแล้ว     จะอยู๋อย่างไร
.
ศรีปราชญ์ก็แก้ด้วยปฏิภาณ และความรู้ด้านวรรณคดีว่า
.
หากอักนิฐพรหมฉ้วย                       พี่ไว้จึ่งคง
.
สมเด็จพระนารายณ์ฯ โปรดมาก  จึงตรัสว่า
.
“ศรีเอ๋ยเจ้าจงเป็นศรีปราชญ์เถิด”  พรอมกับพระราชทานพระธำรงให้ ๑ วง
.
          ข่าวที่ได้รับแต่งตั้งเป็น “ศรีปราชญ์” และได้รับพระราชทานแหวน คงเป็นที่เลื่องลือทั้งในวัง นอกวัง    โดยเฉพาะพระเจ้าเชียงใหม่ เห็นว่าชื่อไม่เหมาะสมกับรูป กล่าวตอบโต้เป็นโคลงกันว่า
.
พระเจ้าเชียงใหม่    :  ศรีเอยพระเจ้าฮื่อ   ปางใด
ศรีปราชญ์          :  ฮื่อเมื่อเสด็จไป      ป่าแก้ว
พระเจ้าเชียงใหม่    :  รัวลีบ่สดใส          สักหยาด
ศรีปราชญ์           :   ดำแต่นอกในแผ้ว     ผ่องเนื้อนพคุณ
.
          นับเป็นการแก้ได้อย่างงดงาม ทำนองยกย่องตนเองว่า ถึงจะรูปชั่วตัวดำ แต่จิตใจประดุจทองเนื้อเก้า  สำนวนนี้ยังทันสมัยใช้กันมาจนทุกวันนี้        แม้เวลาจะผ่านมากว่า  ๓๐๐  ปี
.
          ชื่อเสียงของศรีปราชญ์คงโด่งดังไปทั่ว แม้กระทั่งนายประตูก็ทักศรีปราชญ์ว่า
.
นายประตู            :  แหวนนี้ท่านได้แต่    ใดมา
ศรีปราชญ์           :  เจ้าพิภพโลกา         ท่านให้
นายประตู            :  ทำชอบสิ่งใดนา      วานบอก
ศรีปราชญ์           :  เราแต่กลอนถวายไท้   ท่านให้รางวัล
.
          ความหนุ่มคะนอง ความจัดจ้านทางคารม ความทนงตนว่าเป็นเลิศทาการประพันธ์  ปฏภาณดี  ความรู้ดี  แต่ขาดสติ ทำให้ศรีปราชญ์ ต้องรับชะตากรรมอันหลกเลี่ยงมิได้
.   
คืนวันลอยกระทง ศรีปราชญ์กล่าวชมกระทงของท้าวศรีจุฬาลักษณ์ว่า
.
มลักเห็นใบจากเจ้า                  นิรมิต
เป็นสำเภาไพจิตร                             แปดโล้
จักลงระวางวิด                               จวนแก่    อกเอย
แม้หนุ่มวันนั้นโอ้                              พี่เลี้ยงโดยสาร
.
          “ท้าวศรีจุฬาลักษณ์” ตำแหน่งสนมเอกของสมเด็จพระนารายณ์ฯ เป็นธิดาเจ้าแม่วัดดุสิต หรือ กรมพระเทพามาตร พระนมของสมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงสมรสกับหม่อมเจ้าเจิดอำไพ มีบุตร ๓ คน  คือ
.
๑. เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) แม่ทัพใหญ่สมัยพระนารายณ์ฯ
.
๒. เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ราชทูตในสมัยพระนารายณ์ฯ
.
๓. ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ พระสมนเอกของพระนารายณ์ฯ
.
ตระกูลนี้สืบทอดมาจากพระยารามขุนนางมอญที่อพยพมาไทยในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ มีบุตรหลานรับราชการสืบทอดกันมาจน ถึงสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ ซึ่งตระกูลดังกล่าวเป็นต้นตระกูลของ “ราชวงศ์จักรี”(สายเจ้าพระยาโกษาธิบดี – ปาน)
.
          “ท้าวศรีจุฬาลักษณ์”พระสนมเอก นัยว่าอายุแก่กว่าสมเด็จพระนารายณ์ฯ เมื่อศรีปราชญ์ไปจี้จุดอ่อนเข้า จึงกล่าวโต้ตอบเชิงดูถูกศรีปราชญ์ว่า
.
หะหายกระต่ายเต้น                 ชมจันทร์
มันบ่เจียมตัวมัน                              ต่ำต้อย
นกยูงหากกระสัน                            ถึงเมฆ
มันบ่เจียมตัวน้อย                            ต่ำต้อยเดรัจฉาน
.
          ด้วยนิสัยของศรีปราชญ์ไม่ยอมแพ้ใครอยู่แล้ว มิได้คิดว่าอะไรควรมิควร จึงกล่าวโต้ตอบกลับไปทำนองว่า
.
หะหายกระต่ายเต้น                 ขมแข
สูงส่งสุดตาแล                                 สู่ฟ้า
ฤดูฤดีแด                                         สัตว์สู่    กันนา
อย่าว่าเราเจ้าข้า                              อยู่พื้นเดียวกัน
.
          พระสนมโกรธนำความไปกราบทูลสมเด็จพระนารายณ์ฯ ที่ศรีปราชญ์บังอาจกล่าวเกี้ยวประมาทพระสนม ทรงพิจารณาว่า
.
แม้จะไม่เกี่ยวข้องต้องโทษในส่วนพระองค์ ก็ต้องลงโทษตามกฎมณเฑียรบาล  จึงโปรดให้ศรีปราชญ์ไปทำงานหนัก ขนเลนในพระราชวังถ่ายโทษ  ขณะขนเลนอยู่ บังเอิญพระสนมเดินผ่านไป หรือเจตนาจะไปเยาะเย้ยก็ได้ เรื่องจึงเกิดขึ้นอีกตามเคย  จนต้องโทษหนักเป็นครั้งที่สอง และกระทำผิดในพระราชวัง มีโทษถึงประหารชีวิต แต่โทษประหารได้ยกให้ ตามที่พระมหาราชครูผู้เป็นบิดาได้ขอไว้  จึงให้เนรเทศไปฝากไว้กับพระยานครศรีธรรมราชเป็นการชั่วคราว
.
          ศรีปราชญ์ขณะนั้นเป็นหนุ่มเต็มตัว ประกอบกับพระยานครฯ กำลังฟื้นฟูด้านกวีอยู่ทางปักษ์ใต้  ศรีปราชญ์จึงได้ใกล้ชิดกับพระยานครฯ  ในฐานะกวีเอกจากกรุงศรีอยุธยา  ในประวัติกล่าวว่าศรีปราชญ์ได้ไปติดต่อเชิงชู้สาวกับนางในของพระยานครฯ  พระยานครฯ จึงพาลหาเหตุจับศรีปราชญ์ประหารชีวิตเสีย  ก่อนประหาร ศรีปราชญ์ได้แต่โคลงไว้บทหนึ่งว่า
.
ธรณีนี่นี้                    เป็นพยาน
เราก็ศิษย์มีอาจารย์                 หนึ่งบ้าง
เราผิดท่านประหาร                 เราชอบ
เราบ่ผิดท่านมล้าง                  ดาบนี้คืนสนอง
.
ตำราหลายฉบับเขียนว่า ศรีปราชญ์ใช้เท้าเขียนไว้บนพื้นทราย ก่อนทีเพชฌฆาตจะลงดาบ เป็นการแช่งพระยานครฯ ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้    เพราะนักโทษประหารจะต้องถูกพันธนาการอย่างหนาแน่น จะเอาเท้อเขียนได้อย่างไร
.
          เมื่อขาดศรีปราชญ์ การกวีในราชสำนักคงเงียบเหงาไป จึงสมเด็จพระนารายณ์ฯ จึงโปรดให้เรียกตัวกลับ ครั้นทรงทราบว่าพระนครฯ ได้ประหารศรีปราชญ์เสียแล้ว ก็ทรงพระพิโรธ จึงให้ประหารชีวิตพระยานครฯ ในที่สุด
.
          บทนิพนธ์ของศรีปราชญ์
.
๑. อนิรุทธคำฉันท์  สร้างขึ้นเพราะบิดาประมาทว่า แต่ดีแต่โคลง ศรีปราชญ์จึงมุมานะจนสำเร็จ
.
๒. กำศรวลศรีปราชญ์ แต่งขณะที่เดินทางไปนครศรีธรรมราช ตามพระราชอาญา
.
๓. โคลงบทอื่นๆ เช่น
.
เจ้าอย่าย้ายคิ้วให้                   เรียมเหงา
ดูดุจนายพรานเขา                         ล่อเนื้อ
จะยิงก็ยิงเอา                                  อกพี่   ราแม่
เจ็บไป่ปานเจ้าเงื้อ                          เงือดแล้วราถอย
.
โคลงกระทู้ที่ไม่มีความหมาย เช่น
.
โก    มลเดียรดาษพื้น              สินธู
วา     ลุกาประดับดู                          ดั่งแก้ว
ปา    รังระบัดปู                                ปุยนุ่น    เปรียบฤๅ
เปิด    จอกกระจับแผ้ว                    ผ่องน้ำเห็นปลา
.
.
ทะ  เลแม่ว่าห้วย                       เรียมฟัง
ลุ่ม   ว่าดอนเรียมหวัง                     ว่าด้วย
ปุ่ม   เปลือกว่าปะการัง                    เรียมร่วม   คำแม่
ปู     ว่าหอยแม้กล้วย                       ว่ากล้ายเรียมตาม
.
รองศาสตราจารย์ ไกนุช  ศิริพูน  คำขอบคุณทุกท่านที่อ่านและนำออกเผยแพร่  ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย
.
*    อ่านเถิดอ่านนะแหม้             อย่าแคลน
อ่านเพิ่มอ่านพูนแสน               สิริล้ำ
อ่านนิดอ่านหน่อยแค่น             อ่านก็    ดีเฮย
อ่านอ่านยิ่งอ่านซ้ำ                  ซาบซึ้งทรวงเกษม*
.
*ชวลิต  ผู้ภักดี ประพันธ์
.
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 14, 2023, 04:15:32 pm
.
.
.
ไม่ได้ชื่อ "ครูกายแก้ว" อาจารย์พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งเขมรโบราณไม่มีชื่อนี้
.
.
ที่มา เว็บไซด์ thebetter
Aug, 13 2023
.
.
ตามหลักฐานประวัติศาสตร์ไม่มีบุคคลที่ชื่อ "กายแก้ว" แต่มีคนอื่นที่กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเขมรโบราณถือเป็นครูบาอาจารย์ .
เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม การจราจรบน ถ.รัชดาภิเษก ขาเข้า กลายเป็นอัมพาต เพราะมีการเคลื่อนย้ายรูปปั้นของบุคคลที่ถูกเรียกว่า "ครูกายแก้ว" เป็นบุคคลที่มีร่างกายเป็นมนุษย์สีดำทั้งร่าง มีปีกที่ด้านหลัง มีเขี้ยวงอกจากปาก มีดวงตาและเล็บสีแดง รูปั้นนี้ถูกนำไปติดตั้งที่เทวาลัยพระพิฆเนศห้วยขวาง แต่ระหว่างทางรูปปั้นขนาดใหญ่ดันไปติดกับท้องสะพานลอยจนขยับไม่ได้ ทำให้รถติดเป็นทิวแถว

หลังจากที่เป็นข่าวฮือฮา ทำให้มีกรเผยแพร่ประวัติของ "ครูกายแก้ว" ตามสื่อต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่รายงานราวกับลอกข่าวกันมาโดยไม่การตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยเฉพาะข้อมูลที่ระบุว่าครูกายแก้วเป็นผู้วิเศษที่ "เป็นอาจารย์พระเจ้าชัยวรมันที่ 7" และ "ถือเป็นครูของศาสตร์ศิลป์ทั้งหลายในยุคของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ของกัมพูชา" สื่อเกือบทุกแห่งรายงานตรงกันหมดในลักษณะนี้ มิหนำซ้ำยังมีสื่อบางรายเพิ่มเติมสรรพคุณเขาไปอีกว่า ที่เหตุที่รูปปั้นไปติดสะพานลอยจนรถติด เพราะเป็นการ "ป่าวประกาศมากรุง"
 
หลังจากมีการประโคมว่าครูกายแก้วเป็นอาจารย์ของพระเจ้าชัยวรมัที่ 7 ทำให้ผู้สนใจประวัติศาสตร์ออกมาโต้อย่างต่อเนื่อง โดยชี้ว่า จากหลักฐานศิลาจารึก ซึ่งเป็นหลักฐานที่มีตัวตนอ้างอิงได้ และใช้เป็นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ระบุว่า ครูของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มีแค่บุคคลที่ชื่อ "ศรี ชัยมังคลารถะเทวะ" และ "ศรี ชัยกีรติเทวะ" เท่านั้น โดยมีชื่อในจารึกปราสาทตาพรหม ในเมืองพระนครธม ไม่เคยมีบุคคลที่ "กายแก้ว" เลย 

นอกจากนี้ พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ยังทรงศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างมาก ทรงสร้างพระพุทธรูปประดิษฐานตามห้วเมืองจักรวรรดิเขมรโบราณต่างๆ ในจารึกยังระบุถึงการประดิษฐานพระพุทธรูปในเมืองที่ปัจจุบันเป็นจังหวัดของไทย เช่น วัชรปุระ (เพชรบุรี) ชัยราชปุระ (ราชบุรี) สุวรรณปุระ (สุพรรณบุรี) เป็นต้น ไม่มีหลักฐานระบุว่าทรงมีความเชื่อในไสยศาสตร์ที่มีครูเป็นบุคคลรูปร่างเป็นอมนุษย์อย่างครูกายแก้ว

ในจารึกโบราณ เช่น จารึกพระขรรค์ได้เล่าว่าพระองค์ทรงสร้างพระพุทธรูปและวิหาร ในเมืองทั่วอาณาจักร รวมถึงเมืองเพชรบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี ละโวทัยปุระ (ละโว้หรือลพบุรี) ศรีชยสิงหปุระ (เมืองสิงห์ ในจังหวัดกาญจนบุรี) เพื่อประดิษฐาน "พระชยพุทธมหานาถ" ซึ่งเป็นพระพุทธรูปในพุทธศาสนา ที่พระนามมีความหมายว่า "พระพุทธเจ้าที่เป็นที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่และเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่" พร้อมกับระบุว่า "พระราชาทรงสร้างพระชยพุทธมหานาถที่ทำให้เกิดมีความสุขขึ้น"

นั่นหมายความว่า ทรงศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างมาก จนส่งเสริมให้ประชาชนในดินแดนหัวเมืองกราบไหว้บูชาพระพุทธเจ้า และให้พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งให้เกิดความสำเร็จจหรือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ หลักฐานเหล่านี้บางชี้ว่า พระองค์มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ (ที่พึ่ง) ไม่ได้มีครูไสยศาสตร์เป็นที่พึ่งเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าครูไสยศาสตร์ผู้นั้นมีรูปกายที่กึ่งคนกึ่งสัตว์

การสร้างเรื่องเล่าที่ไม่มีหลักฐานรองรับเกี่ยวกับ "ครูกายแก้ว" ยังไปไกลถึงขนาดอ้างภาพแกะสลักที่ปราสาทนครวัด ซึ่งเป็นภาพบุคคลที่นั่งชันเข่าถือวัตถุบางอย่างในมือ ซึ่งย้อยลงไปที่ด้านข้างไหล่ทำให้ดูเหมือนเป็นปีก ผู้ที่มีเจตนาโฆษณาเรื่องครูกายแก้วจึงอ้างว่านี่คือรูปครูกายแก้วที่มีปีก แต่แท้จริงแล้ว สิ่งที่เห็นไม่ใช่ปีก เพราะมีด้ามจับในมือ ที่สำคัญภาพนี้แกะสลักหลังยุคพระเจ้าชัยวรมันนานเกือบ 300 ปี

ประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มักเกี่ยวกับการทำบุญทำทาน สร้างวัดและพุทธสถาน สร้างสถานรักษาพยาบาลให้ประชาชนโดยอาศัยยารักษาโรคและพลังจากพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะการประดิษฐานพระไภษัชยคุรุ ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าที่มีพลังในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บตามคำสอนของพุทธศาสนามหายาน เพราะพระองค์ตั้งปณิธานที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ด้วยวิธีนี้ ทำให้การบูชาพระไภษัชยคุรุแพร่หลาย และนิยมเรียกกันว่า "พระหมอ"

"พระกริ่ง" ที่นิยมบูชาในไทยก็เป็นพระพุทธรูปแทนองค์พระไภษัชยคุรุนั่นเอง จึงเรียกว่า "พระหมอยา" และพระกริ่งรุ่นแรกที่เข้ามาไทยคือ "พระกริ่งปทุมสุริยวงศ์" ซึ่งนำมาจากกัมพูชา ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะนั้นกัมพูชาเป็นประเทศราชของไทย

รายงานโดย ทีมข่าว The Better
.
.
Photo -  Jean-Pierre Dalbéra, CC BY 2.0)
.
.
TAGS: #ครูกายแก้ว #ชัยวรมัน #กัมพูชา #มู
.
.
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: DeadEyes ที่ สิงหาคม 23, 2023, 07:33:12 am
http://www.tairomdham.net/index.php/topic,10105.0.html (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,10105.0.html)

ขอความร่วมมือ ไม่มีการเผยแพร่เว็บไซด์ที่เกี่ยวกับการพนันทุกประเภท

ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางตรง และ ทางอ้อม

เช่น การใส่ลิงค์ในคำพูด หรือ ใส่ไว้ที่ลายเซ็น



http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7231.0.html (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,7231.0.html)
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 23, 2023, 09:15:57 pm
ไม่เคยมีใครรวยจากการพนัน

ยกเว้น เจ้ามือ

https://www.youtube.com/watch?v=-F-O5outYPE (https://www.youtube.com/watch?v=-F-O5outYPE)



https://www.youtube.com/watch?v=M3U5XhdhqzY (https://www.youtube.com/watch?v=M3U5XhdhqzY)

https://www.youtube.com/watch?v=Esbrusj8XRU (https://www.youtube.com/watch?v=Esbrusj8XRU)

https://www.youtube.com/watch?v=ZirKNWRO6iM (https://www.youtube.com/watch?v=ZirKNWRO6iM)



หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 28, 2023, 09:30:09 pm
.
.
วัดป่าภัทรปิยาราม
.
โพสโดย เฟซบุ๊ก เที่ยวเมืองลิง : เช็คอินลพบุรี
วันที่ 28 สิงหาคม 2566
.
https://fb.watch/mIpkvpxLuI/
.
พาเที่ยววัดป่าภัทรปิยาราม สายมูและแรงศรัทธา ตอนนี้กระแสดังมาก ผู้คนจากทั่วทิศแห่กันมาที่วัดมากมาย พญานาคสีขาว อุโบสถพระหินหยก พระขาวที่เชิงเขาเสาหลักศาสนา และถ้ำสีทอง อยู่ต.โคกตูม อ.เมือง จ.ลพบุรี
.
.
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=624708596439102&id=100066999024096&mibextid=Nif5oz
.
แรงศรัทธา วัดป่าภัทรปิยาราม ต.โคกตูม อ.เมือง จ.ลพบุรี พุทธศาสนิกชนหลั่งไหลไม่ขาดสาย คนต่างจังหวัดรู้แล้วคนลพบุรีรู้ยัง แวะมากราบไหว้ขอพรกันจ้า #วัดป่าภัทรปิยาราม #พญานาคสีขาว
.
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ สิงหาคม 29, 2023, 04:51:11 am
.
สวัสดียามเช้า วันอังคารรื่นเริง
วันอังคารที่ 29 สิงหาคม 2566
.
มาชม #พระสมเด็จวังหน้าเนื้อทองคำ กัน
.
เนื้อทองคำแท้ มีลักษณะแบบนี้
.
แต่ที่เคยเห็นมา ที่บอกว่าเป็นเนื้อทองคำนั้น เก๊ทั้งหมด
.
ส่วนจะเชื่อผมหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็น
เพราะ เลือกที่จะเชื่อได้ตามที่ต้องการ
ที่สำคัญ ไม่ใช่ตัวผมและหมู่คณะของผม
.
ยืนยัน นั่งยัน นอนยัน ฟันธง
คอนเฟิร์ม การันตี และ รับรอง ว่า ถูกต้อง
.
ที่มา https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=285472024181487&id=100081560750868&mibextid=Nif5oz
.
.
.
.
#เรียนรู้ของเก๊แทนของแท้ #เก็บสะสมของเก๊แทนของแท้
.
#หลงทางหลงป่าเข้าพงลงเหว จาก #กลุ่มกูรูเก๊
ระวังให้มากสำหรับ #เก๊สนิทศิษย์ส่ายหน้า และ #เก๊จี๊ดจ๊าด กัน
.
จะได้ #ไม่หลงทิศหลงทางลงนรก
#อย่าไปเข้าป่าเข้าพงลงเหว
#อย่าตกเป็นเหยื่อ
.
ในเรื่อง #มุสาวาท และ #ปรามาสผู้มีธรรม จากกลุ่ม #กูรูเก๊
.
รูปสงวนลิขสิทธิ์
.
ผมอนุญาตเฉพาะการนำข้อมูลไปใช้เพื่อการศึกษาเท่านั้น
.
ผมไม่อนุญาตให้นำข้อมูลไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการซื้อขายพระวังหน้า , พระสมเด็จวังหลวง , พระสมเด็จวัดระฆัง และ ซื้อขายพระเครื่องต่างๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อมโดยเด็ดขาด
.
ผมไม่อนุญาตให้นำข้อมูลไปใช้เพื่อโชว์ว่า ตนเองเป็นกูรู ทั้งๆที่เป็นกูรูเก๊
.
ผมไม่อนุญาตให้คัดลอกด้วยวิธีการต่างๆ และไม่อนุญาตให้แชร์ไปยังสื่อออนไลน์ทุกประเภท
.
#หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า (#หลวงปู่พระอุตตระเถระเจ้า) หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ดำ
.
#หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ตีนโต
.
#หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เทพโลกอุดร หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เดินหน หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ในดง หรืออีกชื่อ #หลวงปู่โพรงโพ (เดิมพิมพ์ว่า #หลวงปู่โพรงโพธิ์ เป็นการพิมพ์ผิด)
.
#หลวงปู่พระฌานียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี (เดิมที่พิมพ์ไว้ #หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า เป็นการพิมพ์ผิด)
.
#หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์
.
#หลวงปู่เทพโลกอุดร
.
#หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
.
#คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ
.
#สมเด็จพระพุฒาจารย์โตพรหมรังสี
.
#หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ
.
#พระเจ้าอโศกมหาราช
.
#ชมรมพระวังหน้า
.
#พระวังหน้า
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ พฤศจิกายน 19, 2023, 07:16:56 pm
.
สำหรับท่านใดอยากเห็น พระวังหน้า พิมพ์เจ้าสัว
.
ตามไปดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย ครับ
.
มาชม #พระวังหน้าพิมพ์เจ้าสัว ( #พิมพ์เจ้าสัว บางส่วน) กันครับ
ท่านผู้ให้ดำเนินการจัดสร้าง คือ #กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ (อุปราชวังหน้าในรัชกาลที่ 5)
ท่านผู้สร้าง คือ #ช่างสิบหมู่แห่งวังหน้า
แม่พิมพ์ เท่าที่ทราบ ผู้คิดค้นแบบพิมพ์และจัดทำแม่พิมพ์ คือ ช่างสิบหมู่แห่งวังหน้า
เนื้อปูนเพชร
นำเข้า #พระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวง ที่ #พระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส (#พระอุโบสถประจำวังหน้า)
.
หมายเหตุ สำหรับแบบพิมพ์ ทาง #หลวงปู่บุญวัดกลางบางแก้ว ท่านนำแบบพิมพ์ไปใช้ในการสร้างพระพิมพ์เจ้าสัว ที่ #วัดกลางบางแก้ว
.
ขอสงวนสิทธิ์ไม่แจ้งองค์ผู้อธิษฐานจิตให้ทราบ
ผมจะนำไปแจ้งในไลน์กลุ่มพระวังหน้า และ ไลน์กลุ่มพระวังหน้าโลกอุดร เท่านั้น
.
ที่มา https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=330383403023682&id=100081560750868&mibextid=Nif5oz
.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 05, 2023, 07:12:54 am
.

น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช)  พระองค์ท่านสร้างโครงการในพระราชดำริ มามากกว่า 4,000 โครงการ เพื่อประชาชนชาวไทย  เพื่อแผ่นดินไทย  อีกทั้งยังทำนุบำรุงพระศาสนาให้มั่นคงเจริญก้าวหน้า  รวมทั้งที่พระองค์ท่านได้ศึกษาความรู้ในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี

กราบ กราบ กราบ กราบ กราบ

.

.

.

.*****************************************.

.

.

ฝนหลวง  โพสโดย โบราณนานมา

.

โบราณนานมา

20 ตุลาคม 2563

.

ว่าด้วยเรื่อง “ฝนหลวง” ที่ถูกคนบางกลุ่มบิดเบือน

.

สืบเนื่องจากตอนนี้มีคนบางกลุ่มได้โพสต์บิดเบือนเกี่ยวกับเรื่อง “ฝนหลวง” ว่าในหลวง รัชกาลที่ ๙ ไม่ได้คิดขึ้นเอง ได้ “ก๊อป” แนวคิด “ฝนเทียม” ของต่างชาติมาแล้วเอามาจด “สิทธิบัตร”

ย้อนไปในปี ๒๔๘๙ วินเซนต์ เชฟเฟอร์ และเออร์วิง ลองมัวร์ เริ่มทดลอง “ฝนเทียม” โดยพวกเขาเชื่อว่าสามารถกระตุ้นให้เกิดฝนได้โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ พวกเขาเติม Silver Iodide แทนน้ำแข็งแห้งซึ่งเป็นอนุภาคขนาดเล็กทำให้เมฆเย็นเหนือจุดเยือกแข็ง และโปรยอนุภาคนี้ลงมาจากเครื่องบินหรือปล่อยให้ลมหอบขึ้นไปซึ่งสารนี้ก็จะไปทำให้เกิดการควบแน่นขึ้นและหนักมากพอจนตกลงมาเป็นฝน ซึ่งย่อยอย่างง่าย ๆ ก็คือเป็นการระหว่าง “ปล่อยให้ลมหอบไป” กับ “ลงไปปล่อยลงมา”

.

หลังจากการทดลองผ่านไป ก็ไม่มีการใช้งานจริงในเชิงเกษตรกรรม

จนเมื่อปี ๒๔๙๘ ในหลวง รัชกาลที่ ๙ เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกรในภาคอีสาน ได้ทรงรับทราบถึงความเดือดร้อนทุกข์ยากของราษฎรและเกษตรกรที่ขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคและการเกษตร

.

“...แต่มาเงยดูท้องฟ้ามีเมฆ ทำไมมีเมฆ อย่างนี้ทำไมจะดึงเมฆนี่ให้ลงมาได้ ก็เคยได้ยินเรื่องทำฝนก็มาปรารภกับคุณเทพฤทธิ์ ฝนทำได้ มีหนังสือ เคยอ่านหนังสือทำได้...”

พระราชดำรัสในหลวง รัชกาลที่ ๙ เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๒๙ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกร เมื่อปี ๒๔๙๘

.

ในตอนนั้นพระองค์จึงเกิดพระราชดำริว่าจะทำอย่างไรให้ “ฝนตกลงสู่พื้นที่แห้งแล้ง” แต่ไม่ใช่มีพระราชดำริแล้วทำและจดสิทธิบัตรทันที เพราะการทดลองครั้งแรกของการทำ “ฝนเทียม” ที่ชื่อโครงการ “ฝนหลวง” คือในปี ๒๕๑๒ โดยเริ่มที่จังหวัดนครราชสีมา โดยการโรยน้ำแข็งแห้งก็ปรากฏว่ามีฝนตก ต่อมาเปลี่ยนที่ทดลองไปที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

.

ทดลองโดยการพ่นละอองน้ำพร้อมโปรยน้ำแข็งแห้ง และใช้เครื่องบินอีกชุดพ่นจากพื้นดิน โดยพระองค์ใช้วิธีแบบที่กล่าวไปข้างต้นตอนแรกร่วมกัน ต่อมาพระองค์ยังได้ทำการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสูตรที่ใช้อีกหลายครั้งจนในปี ๒๕๑๖ พระองค์ก็คิดค้นวิธีการทำ “แซนด์วิช (Sandwich)” ได้สำเร็จ นั่นคือ คือ ก่อกวน เลี้ยงอ้วน และโจมตี เป็น ๓ ขั้นตอนในการทำให้ฝนไปตกในพื้นที่เป้าหมายอย่างหวังผลแม่นยำ แต่อย่างไรก็ตามพระองค์มีพระราชกระแสต่อว่าจำเป็นต้องพัฒนาต่อไปอีก เพราะการพัฒนาไม่มีที่สิ้นสุด

.

ซึ่งตรงนี้ควรกล่าวด้วยว่าประเทศไทยเราโชคดีที่สภาพภูมิอากาศมีความชื้นสูงและจะกลายเป็นเหตุผลอีกอย่างที่ทำให้เกิดการจดสิทธิบัตรสำเร็จเพราะมันทำได้ผลกว่า

.

ต่อมาหลังจากใช้เวลาพัฒนากว่า ๔๐ ปี ในปี ๒๕๔๒ เกิดภาวะแห้งแล้งรุนแรงในขั้นวิกฤติ โปรดเกล้าฯ ให้ทบทวนเทคนิคที่ทรงประดิษฐ์คิดค้นที่เคยใช้ปฏิบัติการที่ได้ผลมาแล้ว และพระราชทานให้ใช้เสริมการประยุกต์เทคโนโลยีฝนหลวงให้สัมฤทธิ์ผลยิ่งขึ้น โดยให้สภาวะแห้งคลายความรุนแรงลง จนคืนเข้าสู่สภาวะปกติได้อย่างสิ้นเชิงในระยะเวลาอันสั้น ในระหว่างการปฏิบัติการสู้ภัยแล้งนี้ ทรงประดิษฐ์คิดค้นเทคนิคควบคู่ไปด้วย

.

โดยโปรดเกล้าฯ ให้นำเทคโนโลยีการทำฝนในส่วนของเมฆเย็นที่ทดสอบได้ผลแล้ว ร่วมกับเทคโนโลยีฝนหลวงจากเมฆอุ่น พร้อมทั้งพัฒนาเทคนิคการโจมตีเมฆอุ่นและเมฆเย็นในขณะเดียวกันได้อย่างสัมฤทธิ์ผล สามารถชักนำฝนให้ตกลงสู่พื้นที่เป้าหมายหวังผลได้อย่างแม่นยำและเพิ่มปริมาณฝนสูงยิ่งขึ้น

.

โปรดเกล้าฯ ให้เรียกเทคนิคที่ทรงประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาใหม่ว่า เทคนิคการโจมตีแบบ “ซูเปอร์แซนด์วิช (Super Sandwich)” เทคโนโลยีฝนหลวงจึงได้รับการพัฒนาจาก ๓ ขั้นตอนเป็น ๖ ขั้นตอน

.

มีการพัฒนา “ฝนหลวง” มาเกือบ ๕๐ ปี พระองค์ทรงเห็นสมควรให้ขอจดสิทธิบัตรเทคโนโลยี “ฝนหลวง” ซึ่งรวมทั้งเทคนิคต่าง ๆ ที่ทรงประดิษฐ์คิดค้นและพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งเทคนิคในการโจมตีแบบ “ซูเปอร์แซนด์วิช (Super Sandwich)” นี่คือสิ่งที่พระองค์คิดค้นเองไม่ได้มีใครทำมาก่อนหน้านั้น

.

ดังนั้น การยื่นจดสิทธิบัตร “ฝนหลวง” ด้วยเทคนิค “ซูเปอร์แซนด์วิช (Super Sandwich)” จึงเริ่มในช่วงนั้น และได้รับในปี ๒๕๔๕ คำถาม คือ “ฝนเทียม” ที่มีมาก่อนหน้านี้เกือบ ๖๐ ปี แล้วทำไม “ฝนหลวง” ของพระองค์ถึงยื่นจดสิทธิบัตรได้ คำตอบก็คือ มันเป็น “กรรมวิธี” หรือ “เทคนิค” และกรรมวิธีนี้คือกรรมวิธีใหม่

.

หมายเลขการจัดสิทธิบัตร “ฝนหลวง” ในไทยคือ ๑๓๘๙๘ การดัดแปรสภาพอากาศเพื่อให้เกิดฝน (ฝนหลวง) จดในสหรัฐอเมริกา คือ Weather modification by royal rainmaking technology (รหัส US20050056705A1) และต่อมาสำนักสิทธิบัตรยุโรปก็ถวายสิทธิบัตรให้ รหัส EP1491088B1 เทคนิคของพระองค์ได้รับการเผยแพร่และเป็นที่ยอมรับในหมู่นักวิทยาศาสตร์ องค์กรและสถาบันที่มีกิจกรรมการดัดแปรสภาพอากาศวิทยาศาสตร์และอุตุนิยมวิทยาทั้งในระดับนานาชาติและระดับโลก และร่วมจัดแสดงในงานนิทรรศการ Brussels Eureka 2001

.

การยื่นคำขอจดสิทธิบัตรต่อสำนักงานสิทธิบัตรทั้งใน และต่างประเทศดังกล่าวต่างมีขั้นตอนและกระบวนการตรวจสอบ และค้นหากับสำนักงานสิทธิบัตรทั่วโลกว่ามีการซ้ำซ้อนหรือมีการจดสิทธิบัตรมาก่อนหรือไม่ เป็นนวัตกรรมใหม่หรือเป็นแนวคิดใหม่หรือไม่

.

ฉะนั้นสิทธิบัตรที่ได้รับจากสำนักงานสิทธิบัตรต่างประเทศ จึงได้รับการกลั่นกรองและเผยแพร่สู่การรับรู้ของสำนักงานสิทธิบัตรทั่วโลกโดยปริยาย โดยเฉพาะประเทศสมาชิกขององค์กรการอุตุตนิยมวิทยาโลก ๑๘๑ ประเทศ

.

ดังนั้น การพูดว่า “ก๊อป” คือคิดไปเอง โมเดลของพระองค์เพิ่มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายประเทศมาขอศึกษาและนำไปใช้เพราะวิธีของเรามค่อนข้างมีประสิทธิภาพ เช่น จอร์แดน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แอฟริกา

.

“ฝนหลวง” คือกรรมวิธีในการทำให้ฝนตก สิทธิบัตรคือ “กรรมวิธี” ไม่ได้บอกว่าพระองค์เป็นผู้คิดค้น “ฝนเทียม” คนแรก

.

ที่มา เว็บไซต์มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ

.

สถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ

และบทความจากเฟซบุ๊ก Jittra O. Tunho

.

.

.********************************************.

.

.

5 ธันวาคม วันดินโลก วันสำคัญที่สะท้อนพระปรีชาสามารถของ ร.9 ไปทั่วทั้งปฐพี

.

ที่มา kapook.com

.

วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันดินโลก ที่องค์การสหประชาชาติมีมติยอมรับให้วันนี้เป็นวันสำคัญสากล ซึ่งเราชาวไทยทุกคนก็ควรได้รู้ถึงประวัติวันดินโลกไว้เป็นความประทับใจที่ชีวิตนี้ได้เกิดในรัชกาลที่ 9

.

นอกจากวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี จะเป็นวันพ่อแห่งชาติมาตลอดในรัชกาลที่ 9 แล้ว ทั่วโลกยังให้ความสำคัญต่อวันนี้ในฐานะวันดินโลก ตามมติของ UN อีกด้วย ซึ่งวันนี้กระปุกดอทคอมจะพาทุกคนมาทราบถึงประวัติวันดินโลก และความสำคัญของวันดินโลก พร้อมด้วยโครงการพระราชดำริเกี่ยวกับดิน อันเป็นเหตุผลสำคัญยิ่งที่ทำให้มีวันดินโลก

.

ประวัติวันดินโลก

.

วันดินโลก (World Soil Day) ถูกกำหนดขึ้นตามมติขององค์การสหประชาชาติ ในระหว่างการประชุมคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจและการเงินของที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญที่ 68 ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2556 ให้วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันดินโลก (World Soil Day) และกำหนดให้ปี พ.ศ. 2558 เป็นปีดินสากล (International Year of Soils) โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นการส่งเสริมและสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความสำคัญของทรัพยากรดิน ต่อการพัฒนาด้านการเกษตร โภชนาการ และความมั่นคงทางอาหาร ทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ

.

ทั้งนี้สาเหตุที่กำหนดให้วันดินโลก ตรงกับวันที่ 5 ธันวาคมนั้น สืบเนื่องจากการประชุมสภาโลกแห่งปฐพีวิทยา (World Congress of Soil Science) ครั้งที่ 17 เมื่อปี พ.ศ. 2545 ทางสหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ (International Union of Soil Sciences) ได้ตระหนักถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในการพัฒนาทรัพยากรดิน โดยเฉพาะการพัฒนาด้านการเกษตร จึงได้เลือกวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ เป็นวันดินโลก เพื่อเทิดพระเกียรติพระวิริยอุตสาหะของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในด้านการปกป้องและพัฒนาทรัพยากรดิน ซึ่งถ้าให้กล่าวถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ด้านการพัฒนาทรัพยากรดิน เราก็ขออนุญาตพาคนไทยทุกคนมาทบทวนโครงการในพระราชดำริเกี่ยวกับดินของในหลวง รัชกาลที่ 9 ดังนี้กันค่ะ

.

1. โครงการศึกษาฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม (อันเนื่องมาจากพระราชดำริ)

.

ตั้งอยู่ที่บ้านเขาชะงุ้ม หมู่ที่ 2 ตำบลเขาชะงุ้ม อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี เป็นศูนย์ศึกษาวิจัยและสาธิตวิธีการฟื้นฟูปรับปรุงดินเสื่อมโทรมให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นรูปแบบและส่งเสริมอาชีพเกษตรกรที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่ โครงการ ได้เรียนรู้วิธีการจัดการดิน น้ำ และพืชอย่างถูกต้อง มีความยั่งยืนไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะทำให้เกษตรกรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

.

2. โครงการทดลองแก้ปัญหาดินเปรี้ยว

.

ด้วยพระปรีชาสามารถของในหลวง รัชกาลที่ 9 ที่มีพระราชดำริแก้ปัญหาดินเปรี้ยวในจังหวัดนครนายก ด้วยการใช้วิธีธรรมชาติอย่างการเปลี่ยนถ่ายดินจากแปลงหนึ่งสู่แปลงหนึ่ง เพื่อลดความเปรี้ยวของดิน อีกทั้งพระองค์ยังได้พระราชทานพระราชดำริให้ใช้ปูนมาร์ล และสาหร่ายในการปรับสภาพน้ำให้ดีขึ้น และต่อมาก็ได้พระราชทานพระราชดำริให้มูลนิธิชัยพัฒนาดำเนินการศึกษาผลกระทบ ของการใช้เถ้าลอยลิกไนท์ เพื่อแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยวเพิ่มเติมอีกด้วย

.

3. โครงการหญ้าแฝก

.

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงศึกษาเรื่องการใช้หญ้าแฝกในการอนุรักษ์ดินและน้ำจากเอกสารของธนาคารโลก ที่นาย Richard Grimshaw ได้ทูลเกล้าฯ ถวาย และพระองค์ได้พระราชทานพระราชดำริเกี่ยวกับหญ้าแฝก โดยให้ทรงทดลองปลูกหญ้าแฝกเพื่อป้องกันการพังทลายของดิน จนปัจจุบันมีหน่วยงานกว่า 50 หน่วยงาน ดำเนินงานสนองพระราชดำริการพัฒนาและรณรงค์การใช้หญ้าแฝก ส่งผลให้การดำเนินงานก้าวหน้ามากขึ้นตามลำดับ

.

4. โครงการแกล้งดิน

.

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงรับทราบความเดือดร้อนของพสกนิกรในภาคใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกรในจังหวัดนราธิวาส ที่ประสบปัญหาดินเปรี้ยวทำให้เพาะปลูกไม่ได้ผล พระองค์จึงมีพระราชดำริให้ทำการศึกษาวิจัยและพัฒนาดินพรุเพื่อแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยว ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง จังหวัดนราธิวาส โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการศึกษาและพัฒนาพื้นที่พรุ ซึ่งเป็นดินเปรี้ยวให้เป็นดินที่มีคุณภาพ สามารถทำการเพาะปลูกได้ ซึ่งพระองค์ทรงแนะนำให้ใช้วิธี "การแกล้งดิน" คือ เริ่มจากการแกล้งดินให้เปรี้ยวสุดขีด ด้วยการทำให้ดินแห้งและเปียกสลับกันเพื่อเร่งปฏิกิริยาทางเคมีของดินพรุที่มีสารประกอบของกำมะถันที่จะทำให้ดินมีสภาพเป็นกรดจัดเมื่อดินแห้ง จากนั้นจึงทำการปรับปรุงดินที่เป็นกรดจัดนั้นด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่จะลดความเป็นกรดลงมาให้อยู่ในระดับที่จะปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าว ได้

.

5. โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน

.

ตั้งอยู่ที่อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นพื้นที่ที่ราษฎรน้อมเกล้าฯ ถวายที่ดิน จำนวน 216 ไร่ และครั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทอดพระเนตรเห็นสภาพความทุรกันดารของผืนดิน จึงมีพระราชดำริให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งดิน น้ำ ป่าไม้ ณ พื้นที่ดังกล่าว รวมทั้งหมู่บ้านรอบ ๆ ศูนย์ โดยการวางแผนปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ ทั้งยังให้ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน เป็นแหล่งศึกษา ค้นคว้า และสนามทดลองทางด้านการเกษตร เพื่อให้เกษตรกรและผู้ที่สนใจเข้ามาดูงานและนำแนวพระราชดำริไปปฏิบัติตาม และพัฒนาอาชีพและพื้นที่ของตนเพื่อเพิ่มผลผลิต เพื่อให้ประชาชนมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พร้อมทั้งพระองค์ยังมีพระราชดำริให้ส่งเสริมศิลปาชีพและหัตถกรรมพื้นบ้าน เป็นอาชีพเสริมเพิ่มรายได้จากอาชีพหลักอีกทางหนึ่งด้วย

.

6. โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทราย

.

หนึ่งในโครงการพระราชดำริที่ตั้งอยู่ ณ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งพื้นที่แห่งนี้เคยอุดมสมบูรณ์ แต่ได้ถูกราษฎรเข้าบุกรุกทำลายป่าเพื่อประกอบอาชีพเกษตรกรรม จนไม่เหลือป่าไม้และสัตว์ป่า ทำให้พื้นที่แห้งแล้ง ฝนไม่ตกตามฤดูกาล และสภาพพื้นดินเสื่อมโทรมอย่างหนัก ทำการเกษตรกรรมไม่ได้ผล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 จึงได้พระราชทานพระราชดำริให้พัฒนาพื้นที่บริเวณห้วยทราย เป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนาด้านป่าไม้อเนกประสงค์ โดยยึดแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ให้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ให้สมดุลกับทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ และสามารถฟื้นฟูให้มีศักยภาพในการทำเกษตรกรรมและความเป็นอยู่ของประชากรได้อย่างต่อเนื่อง

.

7. โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้

.

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ แห่งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานพระราชดำริให้พัฒนาทรัพยากรธรรมชาติทั้งด้านทรัพยากรต้นน้ำ ด้านเกษตรกรรม ด้านปศุสัตว์และโคนม รวมทั้งด้านอุตสาหกรรม เนื่องมาจากมีพระราชประสงค์ที่จะให้ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ ทำหน้าที่เสมือนพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต ที่ประชาชนจะเข้าไปเรียนรู้และนำไปปฏิบัติได้

.

โดยในด้านดินและเกษตรกรรมมีพระราชดำริให้ศึกษาพัฒนาสภาพดินในพื้นที่ที่มีความลาดชัน ซึ่งนำไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ ให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างสูงสุด โดยได้ทำการทดลองปลูกพืชที่เหมาะสม ทดสอบประโยชน์ของดินชนิดนี้ในรูปแบบอื่น ๆ รวมทั้งศึกษาความยากง่ายในการชะล้างพังทลายของดินดังกล่าวไว้เพื่อหาวิธีป้องกัน และเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ส่งผลให้ประชากรได้มีพื้นที่ทำกินและอยู่อาศัยได้อย่างไม่ลำบากมากนัก

.

หวนนึกไปถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อใด เมื่อนั้นก็รู้สึกว่าเราช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นประชาชนของพระองค์ท่านนะคะ ซึ่งนอกจากวันดินโลกจะเกิดขึ้นเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระวิริยอุตสาหะ ของพ่อหลวง ร.9 แล้ว เราก็เชื่อว่าชาวไทยทุกคนคงทราบกันดีถึงความหมายของพระนามพระองค์ท่าน อันหมายถึง กำลังของแผ่นดิน...

.

"อันที่จริงเราชื่อ "ภูมิพล" ที่แปลว่า "กำลังของแผ่นดิน" แม่ก็อยากให้เธออยู่กับดิน เมื่อฟังคำพูดแล้วกลับมาคิด ซึ่งแม่คงจะสอนเราและมีจุดมุ่งหมายว่าอยากให้ติดดินและอยากให้ทำงานให้แก่ประชาชน"...พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

.

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

.

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

.

สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.)

.

มูลนิธิชัยพัฒนา

.

เรารักพระเจ้าอยู่หัว

.

เว็บไซด์ un ดอท org

.

kapook

.

.

.*************************************.

.

.

.

วันดินโลก 5 ธันวาคม

https://www.youtube.com/watch?v=UcZx8PQmDFg (https://www.youtube.com/watch?v=UcZx8PQmDFg)



กรมพัฒนาที่ดิน แชนแนล LDD Channel

9 เม.ย. 2018

ประชาสัมพันธ์ พระราชกรณียกิจด้านดิน เนื่องในวันดินโลก 5 ธันวาคม

.

.

.****************************

.

.

วีดิทัศน์ วันดินโลก

https://www.youtube.com/watch?v=zwknSf2fLJw (https://www.youtube.com/watch?v=zwknSf2fLJw)

สํานักงาน กปร.

13 พ.ย. 2018

วันดินโลก 5 ธันวาคมของทุกปี

ได้รับการสนับสนุน จากกรมพัฒนาที่ดิน

เผยแพร่โดยสำนักงาน กปร. 14 พฤศจิกายน 2561

.

.

.****************************

.

.

ชุดแสนสุดอาลัยพ่อหลวง เพลง World Soil Day วันดินโลก ศิลปิน เก้า กรุงเก่า

https://www.youtube.com/watch?v=_XtBesUiI18 (https://www.youtube.com/watch?v=_XtBesUiI18)

narupon pumchaivijit

8 ธ.ค. 2016

บทเพลงที่กล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิอดถลยเดช ที่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ FAO ได้กำหนดให้วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปีเป็น “วันดินโลก” เพื่อสดุดีพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงตระหนักในการพัฒนาดินอย่างต่อเนื่องและยาวนาน และมีหนึ่งประโยคที่ประชาชนคนไทยหลายคนยังไม่รู้ว่าครั้งหนึ่งในหลวงทรงเคยตรัสว่า “อย่าจำตัวฉัน แต่ให้จำประโยชน์ที่ฉันทำ” ซึ่งเราชาวไทยรู้ดีว่า พระองค์ทรงเป็นยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์

.
หัวข้อ: Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ ธันวาคม 16, 2023, 09:58:51 pm
.
#ให้มาเท่าไหร่ก็ให้ไปเท่านั้น
.
ผมนำมาจากคำพูดของขงเบ้งที่พูดกับเล่าปี่ ว่า
#นายท่านมีความกล้าเท่าใดข้าก็มีแผนการณ์เท่านั้น
.
เล่าปี่ : #ข้าขอมอบตราประจำตัวและกระบี่ให้ท่านบัญชาการรบ
ขงเบ้ง : #นายท่านจริงใจข้าขอน้อมรับ
.
จากภาพยนต์เรื่อง สามก๊ก 1994 ตอนที่ 28  #เผาทัพแฮหัวตุ้น
.
.
สามก๊ก 1994 | พากย์ไทย | TVB Thailand | ซีรีส์จีน | #EP28 เผาทัพแฮหัวตุ้น | Non-TVB
.
https://www.youtube.com/watch?v=l0PdcuaaF4k (https://www.youtube.com/watch?v=l0PdcuaaF4k)
.