(http://www.b.yimwhan.com/board/data_user/windchimedream/photo/cate_4/r30_27.jpg)
คนเรารู้จักแต่ผูกแต่ไม่รู้จักแก้
(หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
บุญกรรมธรรมชาติอันมีตัณหา อวิชชาเป็นสมุฏฐาน นำให้คนเราได้เกิดมาเป็นมนุษย์มีขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ ไว้เป็นเครื่องใช้ แล้วก็ของเหล่านั้นแหละเป็นเครื่องผูกมัดอยู่ในตัวอีกด้วย มีภพทั้งสามเป็นเรือนจำคุมขังตลอดชีวิตอีกด้วย พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า กมฺมํ เขตฺตํ กรรมเปรียบเหมือนพื้นที่สำหรับปลูกพืช วิญฺญาณํ พีชํ วิญญาณเปรียบเหมือนหน่อพืชของมนุษย์ที่จะเกิดมาเป็นมนุษย์ ตณฺหา สิเนโห ตัณหาเป็นน้ำหล่อเลี้ยงพืชนั้นไว้ที่จะไม่ให้พืชแห้ง มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ถ้ายังมีของทั้งสามอย่างนี้อยู่ในจิตใจแล้วตราบใด ก็จะต้องมีความเกิดอยู่ตราบนั้น
พระพุทธเจ้าพิจารณาเห็นว่า คนเราในโลกนี้รู้จักแต่ผูกมัดตัวเองแต่ไม่รู้จักแก้ จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารจักรไม่รู้จักจบจักสิ้นเป็นอเนกชาติ พระองค์ทรงเห็นแล้วเกิดความสลดสังเวชพระทัยเป็นอันมาก จึงได้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเพื่อโปรดสัตว์เหล่านั้นให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวง เมื่อพระพุทธองค์ได้บำเพ็ญบารมีมาครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แล้วตรัสเทศนาสั่งสอนพุทธบริษัทอยู่ ๔๕ พรรษา จึงเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน คำสอนของพระองค์นั้นนับเป็นอเนกอนันต์เหลือที่จะคณานับ ล้วนแต่เป็นอุบายเครื่องแก้ของผูกมัดทั้งนั้น ดังพระองค์ทรงสอนให้ทำ ทาน เป็นการสละขี้ตระหนี่เหนียวแน่นออกจากหัวใจ แล้วใจจะได้ปลอดโปร่งจากความถือว่าของกู ๆ เมื่อคนอื่นได้รับของของเราที่สละไปแล้วนั้นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนทั้งสิ้น เมื่อเขาได้บริโภคใช้สอยแล้ว เราก็เกิดความสุขอิ่มใจ
ศีล พระพุทธเจ้าสอนให้เรางดเว้นจากการทำชั่วต่าง ๆ ต่อกันด้วยกายและวาจา มีการฆ่าสัตว์ เป็นต้น เมื่อเรางดเว้นจากการทำชั่วต่าง ๆ เราก็ต้องไม่ผูกมัดกังวลกับความชั่วนั้นอีกต่อไป ใจเราก็เบิกบานรื่นรมย์อยู่กับความดีอันนั้น เมื่อพระพุทธองค์ทรงสอนให้ทำความดีทั้งทานและรักษาศีล อันเป็นเหตุให้ได้รับผลคือความดีเบิกบานใจทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ในโลกหน้านั้นมีความสุขทั้งกายและจิตอันมีอิฏฐารมณ์เป็นที่น่าพอใจทุกประการ เป็นต้นว่า อาหารการบริโภคทุกอย่างเป็นของทิพย์ เกิดเองเป็นเองไม่ต้องไปแสวงหา มีนางฟ้ามาขับกล่อมให้ฟังตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน นึกอยากได้สิ่งใดย่อมเทมาไหลมาไม่อดไม่อยาก
มนุษย์ผู้ชอบผูกมัดตัวเอง พอได้ฟังสุขในสวรรค์ แทนที่จะพอใจความสุขในมนุษยชาตินี้ซึ่งตนกำลังทำอยู่ กลับไปหลงความสุขในอนาคต เอามาผูกมัดในจิตใจของตน ดังโบราณท่านว่า "หวังน้ำบ่อหน้า" น่าเห็นใจมนุษย์คนเราที่เกิดมาในโลกนี้ ดูแทบทุก ๆ คนล้วนแล้วแต่เป็นทุกข์ทั้งนั้น ผู้มีความสุขแทบจะไม่มีสักกี่คน ดังจะเห็นได้ในเมื่อทำความดีทุก ๆ ครั้ง จะต้องปรารถนาว่าขอให้ข้าพเจ้าได้รับความสุขทั้งในชาตินี้และชาติหน้าเถิด ยังไม่แน่ใจว่าชาตินี้จะได้รับผลหรือไม่ จึงปรารถนาไว้ในอนาคตอีกด้วย เหตุนั้น สุขในสวรรค์ในอนาคตจึงชอบนัก จนลืมสุขในชาตินี้อันตนกำลังทำอยู่
ลองมาฟังพุทธพจน์อีกนัยหนึ่ง ที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้ละภพทั้งสามทั้งสิ้นแก้การผูกมัดโดยไม่เหลือหลอ ก่อนที่จะละภพทั้งสามได้ พระพุทธองค์ทรงสอนให้ฝึกหัด สมาธิ ให้เข้าถึงจิตใจของตนเองเสียก่อน เพราะจิตใจเป็นผู้ก่อภพก่อชาติ เมื่อยังไม่รู้เรื่องของจิตหมดทุกอย่างเสียก่อนจึงต้องเกิดอีก จิตกับใจต้องแยกออกจากกันเสียก่อนจึงจะเห็นจิตกับใจชัด
จิต เป็นผู้ปรุง ผู้แต่งให้เกิดกิเลสทั้งหลายมีภพชาติเป็นต้น เมื่อปัญญาเข้าไปรู้เรื่องของจิตทุกแง่ทุกมุมหมดแล้ว จิตก่อนถอนออกจากกองกิเลสเหล่านั้นทั้งหมด แล้วเข้ามาอยู่เป็นกลาง ๆ ไม่มีอาการคิดนึกปรุงแต่งอะไรทั้งสิ้น เฉย ๆ อยู่ รู้แต่ว่าเป็นกลาง ๆ เฉย ๆ นั่นเรียกว่า ใจ
จิต กับ ใจ ความจริงก็อันเดียวกันนั่นแหละ แต่จิตเป็นผู้คิดนึกปรุงแต่งให้เกิดกิเลสสารพัดทั้งปวง เมื่อปัญญาเข้าไปรู้เท่าเรื่องของจิตทั้งหมดแล้ว จิตก็หยุดนิ่งไม่มีอาการอีก จึงเรียกว่าใจ อีกนัยหนึ่งเรียกให้เข้าภาษาชาวบ้านว่า ของกลาง ๆ ก็เรียกว่าใจ
จิตนี้ไม่มีที่อยู่ จะอยู่ในกายก็ได้หรือนอกกายก็ได้ สุดแท้แต่จะเอาไปไว้ที่ไหนเพราะเป็นของไม่มีตัวตน เป็นแต่นามธรรมอันหนึ่งเท่านั้น ถ้าเราเอาไปไว้ที่ต้นเสาหรือฝาผนังก็จะมีความรู้สึกว่ารู้อยู่ที่นั้น นั่นแลคือจิต หากมีคนเอาค้อนไปตีที่ต้นเสานั้นดังโป๊กขึ้น จิตเราตกใจบางทีถึงกับสะดุ้งก็ได้ เพราะเอาจิตไปจดจองอยู่ในที่นั้น สิ่งทั้งปวงหมดถ้าพูดให้เป็นกลางแล้วก็ต้องชี้ลงในจุดเดียว สิ่งนอกนั้นเป็นอันหมดไปไม่ต้องพูดถึง ดังพูดถึงเรื่องใจของคน เช่น เจ็บใจ แค้นใจ เสียใจ ทุกข์ใจ เศร้าใจ น้อยใจ ดีใจ อิ่มใจ พอใจ ใจเบิกบาน ใจกว้างขวาง สว่างใจ ฯลฯ เป็นต้น จะต้องชี้เข้ามาที่ท่ามกลางหน้าอก หรือทำมือคล้ายกับคำพูดนั้นที่หน้าอกของตนอยู่วับ ๆ แวม ๆ นั่นแสดงว่าหมายถึงใจตัวกลางตัวเดียว เมื่อพูดถึงใจแล้วก็หมดเรื่องพูดถึงสิ่งอื่น เพราะใจแท้มีอันเดียว นอกนั้นไม่ใช่ใจ (คือธรรม)
มีคนเอาใจเป็นกลางนี้ไปวิพากษ์วิจารณ์ เขาบอกว่าถ้าพูดกันทางโลกแล้วความเป็นกลางไม่มี มีแต่อดีตกับอนาคต จริงอย่างเขาว่า แต่ที่ผู้เขียนพูดนี้ไม่ได้พูดกันทางโลก แต่พูดกันทางธรรม เขาอุปมาเหมือนรถไฟที่กำลังวิ่ง-อยู่ กิโลเมตรที่ยังไม่ถึงนั้นเรียกว่าอนาคต กิโลเมตรที่ห่างออกไปนั้นเรียกว่าอดีต ตัวปัจจุบันไม่มี ปัญหานี้ผู้เขียนเคยได้ยินมาจนชินหูเสียแล้ว โบราณท่านว่า โลกกับธรรมเถียงกันไม่รู้แพ้ชนะกันสักที เมื่อพูดถึงธรรมก็เอาโลกมาคัดค้าน เมื่อพูดถึงโลกก็เอาธรรมมาคัดค้าน เหตุนั้นโลกนี้จึงวุ่นวายไม่รู้จักจบเสียที พระพุทธเจ้าทรงยอมแพ้โลกจึงอยู่เป็นสุข สมภาษิตว่า แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร ดังนี้
ในที่นี้จะพูดถึงเรื่องรถไฟวิ่งเพื่อให้เข้าใจถึงธรรมสักนิด รถไฟวิ่งนั้นกำลังวิ่งอยู่ คำว่า กำลังวิ่งอยู่ นั่นแหละคือตัวกลาง ถ้าตัวกลางไม่มีเสียแล้ว อดีตอนาคตจะเอาอะไรมากำหนดเป็นเครื่องหมาย ถ้ารถไฟมันหยุด-นิ่ง อดีตอนาคตก็ไม่มีจะพอเข้ากันได้ไม่ขัดธรรมบ้างหรือเปล่า ถ้าจิตหยุด-นิ่ง เป็นกลางที่เรียกว่าใจแล้ว ก็เป็นอันว่าคิดนึกปรุงแต่ง ตลอดถึงบาป บุญ คุณ โทษ หยาบ ละเอียด ดี ชั่ว สมมติบัญญัติทั้งหมดเป็นไม่มีในที่นั้น
เขาผู้นี้ช่างพูดเก่งจริง ๆ เขาได้รับประทานพรสวรรค์ให้มาเกิด ไปพูดธัมมะธัมโมหรือทางโลกก็ตาม เขาพูดมีเหตุมีผลน่าฟังจริง ๆ ผู้เขียนขอชมเชยเขามาก
มาพูดถึงเรื่องฝึกหัดสมาธิเพื่อให้เห็นตัวจิตกันต่อ วิธีฝึกหัดสมาธิมีหลายอย่างดังที่ทราบกันดีอยู่แล้ว แต่ในที่นี้จะเอาอานาปานสติเป็นบริกรรม เพราะอานาปานสติสงเคราะห์เข้ากันกรรมฐานหลายอย่างเช่น กายคตาสติ อสุภ จตุธาตุววัฏฐาน และมรณสติ เป็นต้น ถึงแม้พระพุทธเจ้าก็ใช้อานาปานสติพิจารณาจึงได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะอานาปานสติเป็นยอดแห่งกรรมฐานทั้งหลาย เมื่อพิจารณาอานาปานสติกรรมฐานแล้วจิตยังไม่รวมเป็นสมาธิ ก็สุดที่จะสอนให้พิจารณาอะไรอีกแล้ว
อานาปานสติกรรมฐานเป็นของดีเลิศ แล้วมิใช่จะบริกรรมเฉย ๆ ให้มันดีไปเองก็หาไม่ ต้องบริกรรมไปพิจารณาไปด้วย พิจารณาให้เห็นความตายแตกดับสลายไปของร่างกายอันนี้ หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตาย หายใจออกแล้วไม่สูดเข้าก็ต้องตาย พิจารณาไปพร้อม ๆ กับคำบริกรรมจึงจะได้ผล จะบริกรรมว่าอานาปานสติ ๆ ๆ เฉย ๆ ไม่ได้ผลหรอก ถึงจะได้ผลก็กินเวลานานทีเดียว ภาวนาอานาปานสตินี้บางท่านบางอาจารย์ให้นับ หนึ่ง หายใจเข้าก็ให้รู้สึกว่าหายใจเข้า สอง หายใจออกก็ให้รู้ว่าหายใจออก หนึ่ง หายใจเข้ายาวก็ให้รู้ว่าหายใจเข้ายาว สอง หายใจออกยาวก็ให้รู้ว่าหายใจออกยาว ให้หัดเหมือนกันไปเรื่อย ๆ แล้วจิตจะค่อยรวมลงเป็นสมาธิ
บางท่านบางอาจารย์ให้เอาลมไปไว้ที่ปลายจมูกหรือทรวงอก แล้วจับลมให้อยู่ ณ ที่นั้น ๆ ดังนี้ เท่าที่ฝึกหัดมาไม่ค่อยได้ผล ถึงได้ผลก็เป็นไปในทางลบ เช่น แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก หรือเจ็บขมับ ปวดศีรษะ เป็นต้น แล้วก็ท้อแท้เสียไม่อยากทำอีกเลย เป็นที่น่าเสียดายมาก นับว่าเสียคนที่ตั้งใจปฏิบัติกันจริง ๆ จัง ๆ ไปอีกคนหนึ่ง ถ้าผู้ภาวนาอานาปานสติเอาลมเป็นคำบริกรรมว่า อานาปานสติ ๆ ๆ กลั้นลมหายใจแล้วค่อย ๆ ระบายลมนั้นออกมา แล้วกลั้นลมหายใจนั้นใหม่ แล้วค่อยผ่อนลมหายใจออกช้า ๆ ดังนี้ สักสองสามหน แล้วกำหนดเอาต้นลมที่มันจะหายใจออกนั้น ก็จะจับเอาจิตของตนได้เลย แล้วจะปล่อยวางอาการทุกอย่างของลม จับเอาแต่จิตตัวเดียว เป็นอันว่าฝึกหัดอานาปานสติกรรมฐานได้แล้ว
สรุปได้ว่า มนุษย์เกิดมาในกามโลก ได้สมบัติเป็นกามโลก มีธาตุ ขันธ์ อายตนะ ผัสสะ เป็นเครื่องใช้ให้นึกคิดปรุงแต่งไปในกามคุณทั้งห้า มี รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส หลงติดผูกมัดอยู่กับอารมณ์ทั้งห้านี้ทั้งนั้น ไปไม่พ้น จมดิ่งอยู่ในภพทั้งสามนี้ไม่มีที่สิ้นสุดได้ กามภพนั้นไม่ว่าจะกระทำการงานใด ๆ ทั้งสิ้น นึกคิดปรุงแต่งใด ๆ ทั้งหมดต้องมีตัวกามเป็นต้นเหตุ มีความใคร่ความพอใจในสิ่งนั้น ๆ เมื่อสำเร็จมาแล้วก็มีความใคร่ความพอใจติดสุขในผลสำเร็จนั้น เมื่อไม่สำเร็จก็เดือดร้อนระทมทุกข์อย่างยิ่ง เป็นวิสัยของกามภูมิต้องเป็นอย่างนั้น
สรุปได้ว่าคนโลกนี้ทั้งสิ้น ผู้ดีมีหน้า ขี้ข้าทุกข์จนล้วนแล้วแต่ติดอยู่ในกามสุขซึ่งมีขันธ์ ๕ อายตนะ ในตัวเรานี้เป็นเครื่องใช้ ได้ผัสสะแล้วเสวยอารมณ์นั้น ๆ
รูปภูมิ ต้องฝึกหัดทำสมาธิให้ได้ฌานเสียก่อน จึงจะพูดกันรู้เรื่อง เอาเถอะถึงจะรู้หรือไม่รู้ เมื่อพูดถึงภูมิสามแล้วก็จำเป็นจะต้องพูดถึงรูปภูมิต่อไป รูปภูมินั้นผู้ฝึกหัดทำสมาธิได้อุคคหนิมิต ปฏิภาคนิมิตแล้ว เมื่อภาวนาไป ๆ มันต้องละทิ้งรูปกายภายนอกที่เราเห็นกันนี้เสียก่อน แล้วจึงเห็นรูปภายในใจด้วยตนของตนเอง แล้วจึงพิจารณารูปภายในนั้น แล้วก็เกิดรูปนั้นเป็นไปต่าง ๆ เป็นต้นว่าเห็นกายนี้เป็นของเปื่อยเน่า ยังเหลือแต่กระดูก หรือขาดวิ่นเป็นชิ้นเป็นอันไป หรือพองใหญ่ หรือแฟบลง หรือเห็นเป็นรูปเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมไป สุดแท้แต่จะจินตนาการไป บางคนตกอกตกใจถึงร้องไห้ร้องห่มเข้าใจว่าเป็นสิ่งนั้นจริง ๆ ก็มี แล้วจิตก็ไปจดจ้องอยู่แต่ภาพนิมิตนั้น จิตก็ปล่อยวางกามารมณ์เป็นบางครั้งบางคราวไป นับว่าดีไปอย่างที่สละปล่อยวางอารมณ์หยาบ ๆ ได้ แต่ติดอารมณ์อันละเอียดเข้าอีก(คือรูปภายใน)
อรูปภูมิ ต่อจากรูปภูมิ คือฝึกหัดจิตให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนปล่อยวางรูปภายใน (อุคคหนิมิต ปฏิภาคนิมิต) ยังเหลือแต่จิตว่างอันเดียว จิตนั้นจึงถือเอาแต่อารมณ์อันเดียว ไม่ว่าพิจารณาไปด้านไหนก็มีแต่ความว่างไปหมด (ความจริงแล้วรูปจิตมีอยู่ ผู้ที่ถือเอาอารมณ์นั้นแลเป็นรูปของจิต แต่ท่านไม่เรียกว่ารูป ) นี้คือเครื่องผูกมัดอย่างละเอียดของท่านผู้ดี ติดอยู่นานนับเป็นหลายร้อยล้านปี กว่าจะหลุดพ้นไปได้
ทั้งหมดที่อธิบายมานี้ล้วนแต่เป็นเครื่องผูกมัดของสัตว์โลก คือ กามโลก รูปโลก และอรูปโลก ธรรมชาติคือบุญกรรมนำให้มาเกิดเป็นมนุษย์ เมื่อสร้างความดี จิตใจก็ค่อยเจริญขึ้นไปโดยลำดับจนเข้าขั้นรูปภูมิ อรูปภูมิ พอเสื่อมจากนั้นก็ตกลงมาเป็นกามภูมิอีก วนเวียนอยู่ในภูมิทั้งสามหรือภพทั้งสามตลอดกาลนาน เรียกว่าเกิดมาแล้วสร้างภพสร้างชาติผูกมัดตัวเองเหมือนกับตัวไหมทำรังหุ้มห่อไว้ไม่ให้ไปไหน
พระพุทธเจ้าผู้เลิศด้วยพระปัญญาพิจารณาเห็นแจ้งชัดด้วยความจริงว่า โลกทั้งโลกเป็นเครื่องห่อหุ้มด้วยอวิชชา โมหะ มีภูมิทั้งสามเป็นเสมือนเรือนจำเป็นเครื่องอยู่ มีตัณหา อุปทานเป็นเครื่องสัญจรไปมา มีกามารมณ์ รูปารมณ์และอรูปารมณ์เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง พระองค์ทรงรู้อย่างนี้แล้ว จึงทรงเบื่อหน่ายคลายความใคร่ความยินดีในภูมิทั้งสามนั้นด้วยวิปัสนาญาณ เห็นภูมิทั้งสามนั้นเป็นเรื่องส่งนอกด้วยจิตของพระองค์เอง (ส่งนอกในที่นี้หมายถึงส่งนอกด้วยกามารมณ์ รูปารมณ์ และอรูปารมณ์) มีแต่ไหลไปในอนาคตไม่เข้าถึงปัจจุบันสักที พระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งชัดอย่างนี้แล้ว จึงทรงสละปล่อยวางจิตที่เป็นอดีตและอนาคตที่ปรุงแต่งภพทั้งสามเข้ามาอยู่เป็นกลาง ๆ คือตัวใจ และรู้อยู่ว่าเป็นกลาง ๆ ภพชาติก็หมดไป
การประพฤติกิจในพระพุทธศาสนานี้ทั้งหมด มีการรักษาศีล ฝึกหัดทำสมาธิและวิปัสสนา เป็นต้น ก็คือ ต้องการค้นคว้าหาเหตุและผล สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ ดีและชั่ว สิ่งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมในสิ่งนั้น ๆ ให้เห็นรู้เห็นตามเป็นจริงของสิ่งนั้น ๆ เท่านั้น แต่สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดมันก็ไม่เป็นจริงสักที เพราะเราพิจารณาส่งออกไปข้างนอก เห็นของไม่จริงจังแปรปรวนอยู่ร่ำไป การค้นคว้าส่งออกไปภายนอกพิจารณาของไม่เที่ยงแปรปรวนนี้แล จึงต้องเป็นทุกข์ไม่รู้จักจบจักสิ้นสักที การพิจารณาของภายนอกนอกจากตัวของเราจึงไม่ใช่ตัวของเราและไม่เห็นตัวของเรา จึงรักษาตัวของเราให้อยู่ในอำนาจไม่ได้ ปราชญ์ผู้ฉลาดจึงปล่อยวางทิ้งสิ่งที่มิใช่ของตัวไม่มีแก่นสาร วางสิ่งที่เป็นอดีตและอนาคตเสีย แล้วเข้าอยู่ตรงกลาง วางเฉย แล้วรู้ตัวอยู่ว่าเราวางเฉย เมื่อใจเข้ามาอยู่ตรงกลาง วางเฉยและรู้ตัวว่าวางเฉยแล้ว มันจะมีอะไรเหลือหลอ ภารกิจในพระพุทธศาสนาที่กระทำมาแต่ต้นก็เห็นจะสิ้นสุดลงเท่านี้
สมกับคำคมคายของปราชญ์โบราณในภาคอีสานว่า "ของเหล่านี้จา (พูด)แล้วเล่าบ่มี"
http://www.thewayofdhamma.org/page2/2_17.htm
miracle of love
Credit by : http://agaligohome.fix.gs/index.php?topic=1801.msg7121;topicseen#msg7121
Pic by : Google * สุขใจดอทคอม
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ