ใต้ร่มธรรม
แสงธรรมนำใจ => จิตวิวัฒน์ กระบวนการนิวเอจ นิเวศแนวลึก => ข้อความที่เริ่มโดย: มดเอ๊กซ ที่ ธันวาคม 23, 2010, 09:27:33 am
-
(http://www.treehugger.com/Fukuoka-Masanobu-Photo.jpg)
๔.๑
ความสับสนเกี่ยวกับอาหาร
ชายหนุ่มที่มาอาศัยอยู่ในกระท่อมบนเขาแห่งนี้มาเป็นเวลา ๓ ปีแล้ว ได้กล่าวกับผมในวันหนึ่งว่า "คุณรู้ไหม เวลาคนพูดถึง อาหารธรรมชาติ ผมไม่รู้เลยว่าเขาหมายถึงอะไร"
ถ้าคุณลองคิดดู คนทุกคนจะคุ้นเคยกับศัพท์คำว่า "อาหารธรรมชาติ" แต่มักไม่เข้าใจอย่างแจ่มชัดว่า อาหารธรรมชาติคืออะไรจริง ๆ มีคนจำนวนมากคิดว่าอาหารทีไม่มีสารเคมี หรือสารเจือปนอื่น ๆ ก็คืออาหารธรรมชาติ และก็ยังมีคนอีกส่วนหนึ่งที่คิดอย่างคลุมเครือว่า อาหารธรรมชาติก็คือการกินอาหารอย่างที่พบในธรรมชาติ
ถ้าคุณถามว่าการใช้ไฟและเกลือในการประกอบอาหาร เป็นวิธีธรรมชาติหรือไม่เป็นธรรมชาติ คำตอบจะเป็นได้ทั้งสองทาง ถ้าอาหารของคนในยุคบรรพกาล ซึ่งได้แก่ พืช และสัตว์ที่หาได้ในป่า คือ "ธรรมชาติ" อาหารที่ใช้เกลือและไฟก็ไม่อาจเรียกว่าเป็นอาหารธรรมชาติได้ แต่ว่ามีการโต้แย้งว่าความรู้ที่ได้มาในสมัยโบราณเกี่ยวกับการใช้ไฟและเกลือ เป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นกับมนุษยชาติอยู่แล้วโดยธรรมชาติ การปรุงอาหารก็ต้องจัดว่าเป็นธรรมชาติอย่างไม่ต้องสงสัย เราจะถือว่าอาหารที่ปรุงขึ้นจากเทคนิคต่าง ๆ ของมนุษย์เป็นสิ่งดี หรือว่าอาหารที่ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเดิมของมันเป็นสิ่งดีกันแน่ พืชผลที่ได้จากการเพาะปลูกจะเรียกว่าเป็นธรรมชาติได้หรือไม่ เส้นแบ่งระหว่างธรรมชาติกับไม่เป็นธรรมชาติของคุณอยู่ที่ไหน
อาจจะกล่าวได้ว่า คำว่า "อาหารธรรมชาติ" ในญี่ปุ่นเกิดขึ้นจากคำสอนของชาเกน อิชิซูกะ ในสมัยเมจิ ทฤษฎีของเขาได้รับการปรับปรุงและเพิ่มเติมรายละเอียดโดยนายซากูราซาว่า* และนายนิกิ โภชนาการที่รู้จักกันในประเทศตะวันตกว่า โภชนศาสตร์เพื่ออายุวัฒนะ (Macrobiotic) มีพื้นฐานอยู่บนทฤษฎีอทวิลักษณะ และความคิดเกี่ยวกับยิน-หยัง ของอิจิง เนื่องจากว่าในศาสตร์แขนงนี้มักจะเน้นให้กินอาหารเช่นข้าวกล้อง ดังนั้นจึงทำให้คิดกันโดยทั่วไปว่า "อาหารธรรมชาติ" ก็คือ การกินธัญพืชอย่างเต็มรูป ไม่ขัดสี (whole grains) และพืชผัก อย่างไรก็ตามอาหารธรรมชาติไม่อาจจะสรุปลงอย่างง่าย ๆว่าเป็นเรื่องการกินข้าวกล้องและมังสวิรัติเท่านั้น
ถ้ายังงั้น มันคืออะไรล่ะ?
เหตุผลแห่งความสับสนทั้งมวลก็คือ มีความรู้ของมนุษย์อยู่ ๒ ประเภท ได้แก่ความรู้แบบแบ่งแยก และความรู้แบบไม่แบ่งแยก** คนโดยทั่วไปเชื่อกันว่าจะสามารถรับรู้และเข้าใจโลกได้อย่างไม่ผิดพลาด โดยอาศัยเพียงความรู้แบบแบ่งแยกเท่านั้น ดังนั้น คำว่า "ธรรมชาติ" ที่พูดกันโดยทั่วไป หมายถึงธรรมชาติที่รับรู้ได้ด้วยปัญญาแบบแบ่งแยกชนิดนี้
ผมปฏิเสธสภาพอันว่างเปล่าของธรรมชาติที่สร้างขึ้นจากพุทธิปัญญาของมนุษย์ ผมแยกมันออกอย่างชัดเจนจากตัวธรรมชาติเอง ที่รับรู้ได้โดยความเข้าใจอันไม่แบ่งแยก ถ้าเรากำจัดความคิดที่ผิดพลาดเกี่ยวกับธรรมชาติ ผมเชื่อว่ารากเหง้าของปัญหาในโลกจะปลาสนาการไป
ในตะวันตก วิทยาศาสตร์ธรรมชาติพัฒนามาจากความรู้แบบแบ่งแยกส่วน ปรัชญายิน-หยังและอิจิงทางตะวันออกพัฒนามาจากต้นกำเนิดเดียวกัน แต่ความจริงทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถเข้าถึงสัจจะอันสมบูรณ์ได้ และปรัชญาในที่สุดแล้วก็มิใช่อะไรอื่น นอกจากเป็นเรื่องการตีความเกี่ยวกับโลกเท่านั้น ธรรมชาติที่เรารับรู้ด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เป็นธรรมชาติที่ได้ถูกทำลายไปแล้วเปรียบได้กับภูติผีที่มีเพียงโครงกระดูกอันปราศจากวิญญาณ ธรรมชาติที่ถูกรับรู้ด้วยความรู้ทางปรัชญาเป็นทฤษฎีที่เกิดจากการคิดของมนุษย์ เป็นภูติผีที่มีวิญญาณแต่ปราศจากโครงร่าง
ไม่มีวิธีการใดที่จะเข้าใจความรู้อันไม่แบ่งแยกนี้ได้ เว้นเสียแต่จะผ่านทางญาณทัศนะโดยตรง (direct intuition) แต่ก็มีคนพยายามจัดให้มันอยู่ในกรอบโครงอันคุ้นเคยโดยการเรียกมันว่า "สัญชาติญาณ" แท้ที่จริงแล้วมันเป็นความรู้จากแหล่งกำเนิดอันไร้ชื่อ ละทิ้งจิตแห่งการแบ่งแยก และไปพ้นจากโลกแห่งสัมพัทธภาพ ถ้าคุณปรารถนาจะรู้จักภาพปรากฏที่แท้ของธรรมชาติ ในตอนเริ่มแรกจะไม่มีตะวันออกหรือตะวันตก ไม่มีฤดูกาลทั้งสี่ และไม่มียิน-หยัง
เมื่อผมพูดมาถึงแค่นี้ คนหนุ่มก็ถามขึ้นว่า "ถ้างั้นคุณก็ไม่ได้ปฏิเสธเพียงแค่วิทยาศาสตร์ธรรมชาติเท่านั้นน่ะซิ แต่ยังปฏิเสธปรัชญาตะวันออกบนพื้นฐานของยิน-หยัง และอิจิงอีกด้วย"
ผมตอบว่าถ้าในฐานะของหนทางชั่วคราว หรือเครื่องหมายบอกทิศทางละก็ ก็ถือได้ว่ามันเป็นสิ่งที่มีคุณค่า แต่ไม่ควรเห็นว่ามันเป็นความสำเร็จอันสูงสุด ความจริงทางวิทยาศาสตร์และปรัชญาเป็นบัญญัติของโลกแห่งสัมพัทธภาพ และมันก็ถูกยึดถือว่าเป็นความจริง คุณค่าของมันก็ได้รับการยอมรับ ตัวอย่างเช่น สำหรับคนสมัยใหม่ที่อาศัยอยู่ในโลกแห่งสัมพัทธภาพ และได้ทำลายกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ทั้งทำให้ร่างกายและจิตใจของตนต้องป่วยไข้ ระบบของยิน-หยัง สามารถใช้เป็นตัวบ่งชี้ ในการฟื้นฟูแก้ไขระเบียบกฎเกณฑ์อย่างถูกต้องเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
ในหนทางเช่นนั้นอาจกล่าวได้ว่ามันเป็นทฤษฎีที่มีประโยชน์ ที่ช่วยให้ผู้คนสามารถได้รับโภชนาการที่เข้มข้นหนักแน่นด้วยคุณค่า แต่ถ้าคุณตระหนักว่าเปัาหมายสุดท้ายของมนุษย์คือการไปพ้นโลกแห่งสัมพัทธภาพ เพื่ออยู่ในอาณาจักรแห่งอิสรภาพ การเฝ้ายึดติดในทฤษฎีก็จะเป็นความโชคร้าย เมื่อไรก็ตามที่บุคคลสามารถเข้าถึงโลกที่ยินและหยังกลับสู่เอกภาพเดิมแท้ของมัน หน้าที่ของสัญลักษณ์เหล่านี้ก็จะสิ้นสุดลง
คนหนุ่มที่เพิ่งมาอยู่เมื่อเร็ว ๆ นี้พูดขึ้นว่า "ถ้ายังงั้นก็หมายความว่า ถ้าคุณเข้าถึงความเป็นธรรมชาติ คุณก็กินอะไรก็ได้ที่ต้องการซิ"
ถ้าคุณคาดหวังโลกอันสว่างสดใส ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของอุโมงค์ ความมืดมิดในอุโมงค์ก็จะคงอยู่อย่างยาวนานยิ่งกว่า เมื่อไรก็ตามที่คุณเลิกต้องการจะได้กินของที่มีรสอร่อย เมื่อนั้นคุณจะได้ลิ้มรสที่แท้จริงของสิ่งที่คุณกิน เป็นเรื่องง่ายที่จะนำอาหารธรรมชาติที่เรียบง่ายมาขึ้นโต๊ะ แต่คนที่จะพอใจอาหารเช่นนั้นจริง ๆ มีน้อยมาก
--------------------------------------------------------------------------------
* ยอร์ช โอซาว่า
** นี่คือความแตกต่างที่จำแนกโดยบรรดาปราชญ์เมธีทางตะวันออก ความรู้แบบแบ่งแยกเกิดจากปัญญาที่วิเคราะห์แยกแยะ และอย่างมีเจตจำนงที่จะจัดระเบียบประสบการณ์เข้าสู่กรอบโครงทางตรรก ฟูกูโอกะเชื่อว่าในกระบวนการเช่นนี้ ปัจเจกชนจะแยกตัวเองออกจากธรรมชาติ นี้คือความจำกัดของเกณฑ์วินิจฉัยและความจริงทางวิทยาศาสตร์
ความรู้แบบไม่แบ่งแยกจะเกิดขึ้นโดยปราศจากความพยายามอย่างมีเจตนาของบุคคล แต่จะเกิดขึ้นเมื่อประสบการณ์นั้นได้รับการยอมรับอย่างที่มันเป็น โดยปราศจากการตีความด้วยความรู้ทางพุทธิปัญญา
แม้ว่าความรู้แบบแบ่งแยกจะมีความจำเป็นต่อการวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นในโลก ฟูกูโอกะก็เชื่อว่า ในท้ายที่สุดแล้ว ความรู้ชนิดนี้จะให้ทัศนะการมองที่แคบเกินไป
-
๔.๒
มณฑลอาหารของธรรมชาติ
ความคิดของผมเกี่ยวกับอาหารธรรมชาติ ก็เป็นเช่นเดียวกับเกษตรกรรมธรรมชาติ ด้วยเหตุที่เกษตรกรรมธรรมชาติได้คล้อยตามธรรมชาติอย่างที่มันเป็น ซึ่งก็คือธรรมชาติที่เข้าใจได้ด้วยจิตที่ไม่แบ่งแยก ด้วยเหตุนี้อาหารธรรมชาติก็คือวิธีการกินอาหารที่ได้จากป่า หรือพืชผลทีได้จากการทำเกษตรกรรมแบบธรรมชาติ และปลาที่จับด้วยวิธีการธรรมชาติ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ได้มาจากการกระทำอันปราศจากเจตนา ซึ่งเป็นผลมาจากจิตที่ไม่แบ่งแยก
แม้ว่าผมจะพูดถึงการกระทำอันปราศจากเจตนา และปราศจากวิธีก็ตามแต่ปัญญาที่เกิดขึ้นในวิถีทางแห่งชีวิตประจำวัน ก็เป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับด้วยเช่นกัน การใช้เกลือและไฟในการปรุงอาหารสามารถถูกวิพากษ์วิจารณได้ว่าเป็นก้าวแรกของการแยกห่างจากธรรมชาติของมนุษย์แต่มันก็เป็นสติปัญญาตามธรรมชาติ ที่มนุษยในสมัยบรรพกาลสามารถจะรับรู้เข้าใจได้ แล้วควรถือได้ว่าเป็นปัญญาที่สวรรค์ประทานให้
พืชผลที่ค่อย ๆ วิวัฒนาการมาเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ ปีด้วยการอยู่กับมนุษย์มิใช่เป็นผลผลิตที่เกิดขึ้นจากความรู้แบบแบ่งแยกของเกษตรกรโดยสิ้นเชิง และก็สามารถจัดว่าเป็นอาหารที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติได้ด้วย แต่ภายหลังเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านพันธุ์พืช ซึ่งไม่ได้เกิดจากวิวัฒนาการภายในสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ แต่เกิดจากการพัฒนาโดยอาศัยวิทยาศาสตร์เกษตรกรรมซึ่งได้ถอยห่างออกจากธรรมชาติ นี้รวมถึง ปลา สัตว์จำพวกกุ้ง หอย ปู และสัตว์เลี้ยงอื่น ๆทีเลี้ยงกันแบบอุตสาหกรรม ซึ่งทำให้มันผันแปรจากชนิดพันธุ์ของมันที่มีมาแต่เดิม
เกษตรกรรม การประมง การปศุสัตว ปัจจัยจำเป็นในชีวิตประจำวัน อันได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย จริตทางจิตวิญญาณ ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติ
ผมได้เขียนแผนผังต่อไปนี้เพื่อช่วยอธิบายโภชนาการธรรมชาติ ซึ่งอยู่เหนือวิทยาศาสตร์และปรัชญา แผนผังแรกเป็นการรวบรวมอาหารที่สามารถหาได้ง่ายและรายชื่อเหล่านี้ได้พยายามจัดให้เป็นหมวดหมู่ไม่มากก็น้อย แผนผังที่ ๒ แสดงอาหารที่หาได้ในเเต่ละเดือนของปี แผนผังดังกล่าวประกอบด้วยมณฑลอาหารของธรรมชาติ*
(http://olddreamz.com/bookshelf/onestraw/images/NFS2.jpg)
จากมณฑลอาหารนี้จะเห็นได้ว่า แหล่งกำเนิดของอาหารที่มีอยู่บนผิวโลก เกือบจะไม่มีขีดจำกัด หากคนเราจะแสวงหาอาหารโดย "จิตว่าง"** แม้ว่าเขาจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับยิน-หยัง เขาก็สามารถได้รับอาหารธรรมชาติที่สมบูรณ์ได้
ชาวประมงและเกษตรกรในหมู่บ้านของญี่ปุ่น ไม่ได้สนใจในตรรกของแผนผังนี้เป็นการพิเศษ พวกเขาเพียงดำเนินตามเงื่อนไขของธรรมชาติ ด้วยการเลือกอาหารตามฤดูกาลที่หาได้ในท้องถิ่นของตนเอง
ต้นฤดูใบไม้ผลิ เมื่อสมุนไพร ๗ ชนิดเริ่มงอกต้นอ่อนจากผืนดิน เกษตรกรก็จะได้ลิ้มรสทั้ง ๗ ชนิด สมุนไพรเหล่านี้สามารถกินร่วมกับหอยทากน้ำจืด หอยกาบทะล เละหอยทากทะเลที่มีรสอร่อยพวกนี้
ฤดูกาลอันเขียวขจีเริ่มต้นขึ้นในเดือนมีนาคม พืชผักสมุนไพร เช่น หญ้าถอดปล้อง ผักกูด มักเวิรท์ ออสมันด้าและพืชผักบนภูเขาชนิดต่าง ๆ รวมทั้งยอดอ่อนของต้นพลับ ต้นท้อ และต้นอ่อนของมันป่า ล้วนกินได้ทั้งสิ้น เนื่องจากพืชผักเหล่านี้มีรสจืดและกลมกล่อม จึงเหมาะที่จะนำมาทำเทมปุระ*** ทั้งยังสามารถใช้เป็นเครื่องปรุงรสอีกด้วย สาหร่ายทะเล เช่น เคล็พ โนริ และร้อควีด**** ก็มีรสอร่อย และมีเป็นจำนวนมากในระหว่างฤดูใบไม้ผลิ
เมื่อต้นไผ่แตกหน่ออ่อน ปลาค็อด ปลาอีคุดและปลาสีกรุด จะอยู่ในระยะที่อร่อยที่สุด ฤดูดอกไอริชบานจะฉลองด้วยปลาสเลนเดอร์ ริบบอน และปลาดิบทำจากปลาอินทรีย์ ถั่วลันเตา ถั่วลันเตาใหญ่ ถั่วราชมาษและถั่วฟาวา แกะจากฝักกินสด ๆ ได้อร่อย หรือต้มกับธัญพืชที่ไม่ขัดขาว เช่น ข้าวกล้อง ข้าวสาลีหรือข้าวบาร์เลย์
เมื่อสิ้นสุดฤดูฝน***** บ๊วยญี่ปุ่นจะถูกนำมาดองเค็ม ส่วนสตรอเบอรีและแรสเบอรี่จะหาได้มากมาย พอถึงเวลานี้จะเป็นธรรมชาติของร่างกายที่เริ่มอยากกินต้นหอมทอดกรอบกับผลไมรสฉ่ำเช่น ปี่แป้ ลูกแอบปริคอท และลูกท้อ ลูกปี่แปัมิใช่เพียงส่วนเดียวของต้นที่กินได้ เมล็ดสามารถเอามาบดเป็น "กาแฟ" และใบของมันก็สามารถนำมาชงเป็นชาสมุนไพรที่ดีมากที่สุดชนิดหนึ่ง ใบแก่ของต้นท้อและต้นพลับนำมาทำเป็นยาอายุวัฒนะ
ภายใต้แสงอาทิตย์อันเจิดจ้าในกลางฤดูร้อน การได้กินแตงเทศกับน้ำผึ้งภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ไหญ่ ถือเป็นการพักผ่อนหย่อนใจที่น่าโปรดปราน พืชผักจำนวนมากในฤดูร้อนเช่น แครอท ผักป๋วยเล้ง หัวไชเท้า และแตงกวา จะเริ่มสุกและพร้อมที่จะเก็บเกี่ยวได้ ร่างกายจะต้องการพืชผักและน้ำมันงาด้วย เพื่อจะขจัดความเกียจคร้านเฉื่อยชาจากความร้อนในฤดูนี้
(http://olddreamz.com/bookshelf/onestraw/images/NFS1.jpg)
ถ้าคุณเรียกมันว่าความลึกลับ ความลึกลับนั้นก็คือการเก็บเกี่ยวผลผลิตที่เป็นธัญพืชฤดูหนาวในฤดูใบไม้ผลินั้น เข้ากันได้ดีกับความเจริญอาหารที่ลดลงในฤดูร้อน และด้วยเหตุนี้เส้นก๋วยเตี่ยวหลายประเภทและหลายขนาด ซึ่งทำจากข้าวบาร์เลย์จึงนิยมทำกันมากในฤดูร้อน ข้าวบั๊ควีทก็เก็บเกี่ยวในฤดูร้อน มันเป็นพืชป่าในสมัยก่อน และเป็นอาหารที่ดีในฤดูกาลนี้
ต้นฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูกาลอันรื่นรมย์มีความสุข ถั่วเหลือง ถั่วแดงอาซูกิ ผลไม้ชนิดต่าง ๆ พืชผัก และธัญญาหารสีเหลืองหลากชนิด ล้วนเต่สุกในเวลาเดียวกัน ขนมเด็กทำจากข้าวมิลเล็ทให้ความพึงพอใจในระหว่างการชมจันทรในเทศกาลไหว้พระจันทร์ ถั่วเหลืองต้มกึ่งดิบกึ่งสุกไว้กินร่วมกับเผือก พอถึงปลายฤดูใบไม้ร่วง ข้าวโพดและข้าวเจ้าที่นึ่งพร้อมกับถั่วแดง เห็ดมัทซูทาเกะ ลูกเกาลัด จะเป็นอาหารที่ทำกินกันบ่อย ๆ และเป็นที่พึงพอใจของทุกคน ที่สำคัญที่สุดคือข้าวเจ้าที่ดูดซับเอาแสงแดดตลอดฤดูร้อน จะเริ่มสุกในฤดูใบไม้ร่วง นี้หมายความว่าอาหารหลักที่สามารถหาได้มากมายและยังอุดมด้วยแคลอรี่นั้น เป็นอาหารที่เตรียมไว้สำหรับเดือนแห่งความหนาวเย็น
เมื่อน้ำเริ่มจับตัวแข็ง เราจะรู้สึกนึกอยากไปเลียบเคียงเตาย่างปลา ปลาน้ำลึก เช่น ปลากะพงแดง และปลาโอ สามารถจับได้ในฤดูนี้ ที่น่าสนใจคือ หัวไชเท้าญี่ปุ่นและผักกินใบที่มีมากมายในฤดูนี้ เหมาะที่จะกินร่วมกับปลาพวกนี้
การปรุงอาหารในวันปีใหม่จะเตรียมอย่างมโหฬาร ตั้งแต่อาหารซึ่งได้หมักดองเกลือเอาไว้เพื่อการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่นี้ ปลาแซลมอนดองเกลือ ไข่ปลาแฮร์ริ่ง ปลาอีคุดแดง กุ้งมังกร สาหร่ายทะเล และถั่วดำ จะถูกนำมาเสิร์ฟในเทศกาลนี้ทุกปีเป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้ว
การขุดหัวไชเท้า และผักกาดหัว จากใต้ดินซึ่งปกคลุมด้วยหิมะในฤดูหนาวเป็นประสบการณ์อันน่าเพลิดเพลินใจ ธัญพืชและถัวต่าง ๆ ที่ปลูกในระหว่างปี เต้าเจี้ยว และซีอิ๊วทำจากถั่วเหลือง เป็นอาหารหลักที่มีใช้ประจำ กะหล่ำปลี หัวไชเท้า น้ำเต้า และมันเทศที่เก็บไว้ตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงทำให้มีอาหารหลายชนิดบริโภคในระหว่างเดือนหนาวจัดที่แสนทรมาน กระเทียมต้นและต้นหอมมีรสชาติดีเมื่อกินร่วมกับหอยนางรม และปลิงทะเลที่หาได้ในระยะนั้น
ในระหว่างรอให้ฤดูใบไม้ผลิมาถึง คนจะเฝ้ารอดูหน่ออ่อนของต้นโคลทฟุตและใบที่กินได้ของเถาสตรอเบอรรี่ เจอราเนี่ยมค่อย ๆ โผล่ออกมาจากหิมะ พร้อม ๆกับการกลับมาของผักกาดน้ำ เชพเพิดส์เพิส ชิควีด และสมุนไพรอื่น ๆ สวนผักธรรมชาติในฤดูใบไม้ผลิที่อยู่ใต้หน้าต่างครัวก็พร้อมที่จะให้เก็บได้
การปฏิบัติตามหลักโภชนาการอันเรียบง่าย โดยเก็บหาอาหารในแต่ละฤดูกาลจากที่ใกล้มือ และลิ้มรสอาหารที่เต็มไปด้วยคุณประโยชน์ และถูกอนามัยเหลานั้น นี่คือวิถีทางที่ชาวบ้านในแต่ละท้องถิ่นยอมรับสิ่งที่ธรรมชาติจัดหาไว้ไห้
ชาวบ้านรู้จักรสชาติอร่อยของอาหาร แต่เขาไม่สามารถรู้รสอันลึกลับมหัศจรรย์ของธรรมชาติ อันที่จริงเขาได้รับรู้รสของมัน แต่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดมากกว่า
อาหารธรรมชาตินั้นได้เรียงรายอยู่รอบตัวเรา ขอเพียงแต่มองดูเท่านั้น
--------------------------------------------------------------------------------
* แผนผังรูปวงกลมในศิลปะและศาสนาของตะวันออก เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความเป็นหนึ่งและทั้งหมดของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
** ศัพท์ทางพุทธศาสนาซึ่งอธิบายถึงสภาวะที่ไร้การแบ่งแยกระหว่างปัจเจกบุคคลกับโลกภายนอก
*** อาหารชุบแป้งทอด กินกับน้ำจิ้มผสมด้วยหัวไชเท้าขูดเป็นฝอย : ผู้แปล
**** เคล็พ ร้อควีด เป็นสาหร่ายทะเลสีน้ำตาล โนริเป็นสาหร่ายทะเสสีแดง : ผู้แปล
***** ฤดูฝนในญี่ปุ่นเกือบทุกภาคจะเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน-กลางเดือนกรกฎาคม
-
(http://www.motherearthnews.com/uploadedImages/articles/issues/1978-07-01/052-080-01.jpg)
๔.๓
วัฒนธรรมของอาหาร
เมื่อถูกถามว่าทำไมเราจึงกินอาหาร มีน้อยคนที่จะคิดไปมากกว่าข้อเท็จจริงที่ว่า อาหารมีความจำเป็นในการหล่อเลี้ยงชีวิตและการเจริญเติบโตของร่างกายมนุษย์ อย่างไรก็ตามเมื่อพ้นจากข้อเท็จจริงเหล่านี้ ยังมีคำถามที่ลึกกว่านั้นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างอาหารกับจิตของมนุษย์ สำหรับสัตว์อื่น เพียงแค่กินเล่น นอน ก็นับว่าเพียงพอแล้ว สำหรับมนุษย์ก็เช่นกัน จะเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ทีเดียว ถ้าหากมนุษย์สามารถพึงพอใจกับอาหารที่มีคุณประโยชน์ การใช้ชีวิตประจำวันที่เรียบง่าย และการนอนหลับที่สงบสุข
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "รูปคือความว่าง และความว่างคือรูป" เพราะว่า "รูป" ในความหมายของชาวพุทธ หมายถึง วัตถุ หรือสิ่งของ และความว่างก็คือจิต พระองค์ตรัสว่าวัตถุกับจิตคือสิ่งเดียวกัน วัตถุมีสีสัน รูปทรง และรสแตกต่างกัน จิตของคนจะเคลื่อนจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ถูกดึงดูดด้วยคุณสมบัติอันหลากหลายของวัตถุ แต่แท้ที่จริงแล้ววัตถุและจิตคือสิ่งเดียวกัน
สีสัน
ในโลกนี้มีสีพื้นฐานอยู่ ๗ สี แต่เมื่อไรที่สีทั้ง ๗ นี้ผสมกัน มันจะกลายเป็นสีขาว ถ้าแยกแสงสีขาวด้วยแท่งปริซึม มันจะกลายเป็น ๗ สี เมื่อมนุษย์มองดูโลกด้วย "จิตว่าง" สีสันในสีจะหายไป มันจะไม่มีสี ต่อเมื่อมันถูกมองด้วยจิตแห่งสีสันทั้ง ๗ ของการแบ่งแยกเมื่อใด เมื่อนั้นสีสันทั้ง ๗ ก็จะปรากฏขึ้น
กระแสน้ำประสบกับการเปลี่ยนแปลงนับครั้งไม่ถ้วน แต่น้ำก็ยังคงเป็นน้ำเช่นเดียวกัน แม้ว่าจิตในระดับสำนึกจะมีความเปลี่ยนแปลงหลายครั้งหลายหน แต่จิตเดิมแท้อันไม่เคลื่อนไหวนั้นไม่เปลี่ยนแปลง บุคคลที่หลงใหลกับสีสันทั้ง ๗ จิตของเขาจะถูกทำให้เขวได้ง่าย เรามองเห็นสีสันของใบไม้ กิ่งไม้และผลไม้ แต่สีอันเป็นฐานเดิมแท้มักถูกมองผ่านเลยไป
อาหารก็เป็นอย่างเดียวกัน ในโลกนี้มีวัตถุตามธรรมชาติที่เหมาะจะเป็นอาหารของมนุษย์อยู่มากมาย อาหารเหล่านี้ถูกแบ่งแยกโดยจิตด้วยการคิดว่ามันมีคุณภาพทีดีบ้างเลวบ้าง คนเราก็เลยตั้งใจเลีอกสิ่งที่เขาคิดว่าเขาจะต้องกิน กระบวนการในการคัดเลือกนี้ ได้ขัดขวางการรับรู้ถึงหลักการพื้นฐานของอาหารที่บำรุงเลี้ยงมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่สวรรค์ได้กำหนดให้โดยสถานที่และฤดูกาล
สีสันของธรรมชาติเปรียบได้กับดอกไฮเดรนเยียที่แปรเปลี่ยนง่ายดาย เนื้อแท้ของธรรมชาติมีความเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ที่อาจจะเรียกว่าเป็นการเคลื่อนไหวอันไม่สิ้นสุด หรืออาจจะเรียกว่าการเคลื่อนไหวอันไม่เคลื่อนไหวก็ได้ เมื่อเหตุผลถูกนำมาใช้กับการคัดเลือกอาหาร ความเข้าใจของคนเกี่ยวกับธรรมชาติจะหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว และความเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวของธรรมชาติซึ่งเป็นการแปรเปลี่ยนของฤดูกาลก็ถูกละเลยไป
เป้าหมายของโภชนาการธรรมชาติไม่ใช่เพื่อจะสร้างผู้รู้ที่สามารถให้คำอธิบายที่น่าฟัง และคัดเลือกอาหารหลายชนิดได้อย่างชำนาญ แต่เพื่อสร้างผู้ไม่รู้ที่จะกินอาหารได้โดยปราศจากการจงใจแบ่งแยก สิ่งนั้นย่อมไม่ขัดแย้งกับธรรมชาติ ด้วยการประจักษ์ใน "จิตว่าง" โดยไม่หลงติดในรูปอันละเอียด ยอมรับสีสันแห่งความไร้สีว่าเป็นสี โภชนาการที่ถูกต้องก็จะเริ่มต้นขึ้น
รสชาติ
คนพูดกันว่า "คุณไม่รู้รสอาหารจนกว่าจะได้ลิ้มรสนั้นเสียเอง" แต่แม้ว่าคุณได้ลองลิ้มรสดูแล้วก็ตาม รสของอาหารก็อาจจะแตกต่าง ซึ่งขึ้นอยู่กับเวลา สภาพเวดล้อม และสภาพจิตของบุคคลผู้ลิ้มรสนั้น ถ้าคุณถามนักวิทยาศาสตรว่าอะไรคือเนื้อแท้ของรส เขาก็จะพยายามให้คำจำกัดความ ด้วยการแบ่งแยกองค์ประกอบอันหลากหลาย และด้วยการกำหนดสัดส่วนของ รสหวาน เปรี้ยว ขม เค็ม และเผ็ด แต่เราไม่อาจให้คำจำกัดความรสชาติ ด้วยการวิเคราะห์แยกแยะหรือแม้แต่การชิมด้วยลิ้น แม้ว่าลิ้นจะรับรู้รสทั้ง ๕ ได้ แต่จิตต่างหากที่เป็นตัวรับความรู้สึกและให้ความหมาย
บุคคลที่เข้าถึงความเป็นธรรมชาติ สามารถเข้าถึงโภซนาการที่ถูกต้องได้เพราะสัญชาติญาณของเขาทำงานได้อย่างมีระเบียบถูกต้อง เขาพอใจอาหารพื้น ๆ มันมีคุณค่าทางโภชนาการ รสดี และเป็นยาที่มีประโยชน์ต่อชีวิตประจำวัน อาหารและจิตของมนุษย์จะรวมเป็นหนึ่ง
คนสมัยใหม่ได้สูญเสียสัญชาติญาณอันบริสุทธิ์หมดจดของตนไป และเพราะเหตุนี้เขาจึงไม่สามารถที่จะเก็บสมุนไพรทั้ง ๗ ชนิดในฤดูใบไม้ผลิ และชื่นชมรสชาติของมันได้ พวกเขาเสาะแสวงหาแต่รสต่าง ๆ ที่หลากหลาย โภชนาการของเขายุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ ช่องว่างระหว่างชอบกับไม่ชอบขยายกว้างขื้น และสัญชาติญาณของเขาก็สับสนยิ่งขึ้นทุกที มาถึงจุดนี้ คนจะใช้เครื่องปรุงรสอาหารเข้มข้นขื้น และใช้เทคนิคการปรุงอาหารที่พิสดาร ซึ่งทำให้ความสับสนยิ่งหนักเข้าไปอีก อาหารและจิตของมนุษย์ก็จะยิ่งห่างเหินกันออกไปอีก
คนส่วนใหญ่ในเวลานี้ได้ถูกแยกขาดออกจากรสของข้าวด้วยซ้ำ เมล็ดธัญพืชถูกขัดสี และผ่านกระบวนการต่าง ๆ จนเหลือแต่เพียงแป้งที่ไร้รสชาติเท่านั้น ข้าวที่ถูกขัดสีจะขาดรสชาติและกลิ่นหอมเฉพาะของข้าวทั้งเมล็ดที่ไม่ถูกขัดสี ด้วยเหตุนี้มันจึงต้องการเครื่องชูรสและเพิ่มเติมด้วยเครื่องเคียงหรือราดด้วยซอส มีคนคิดอย่างผิด ๆ ว่าคุณค่าทางอาหารของข้าวจึงจะต่ำก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่เรายังกินไวตามินเสริม หรืออาหารประเภทอื่นเช่นเนื้อหรือปลามาเสริมธาตุอาหารที่ขาดไป
อาหารรสอร่อยไม่ใช่อร่อยในตัวของมันเอง อาหารไม่อร่อยถ้าคนคิดว่ามันไม่อร่อย แม้ว่าคนส่วนใหญ่คิดว่าเนื้อ และไก่เป็นอาหารอร่อย แต่มันจะเป็นสิ่งน่ารังเกียจสำหรับคนที่ตัดสินใจจะปฏิเสธมัน ด้วยเหตุผลทางกายภาพหรือจิตวิญญาณ
เด็ก ๆ จะมีความสุข ถ้าปล่อยให้เล่น หรือไม่ต้องทำอะไรเลย แต่สำหรับผู้ใหญ่ด้วยจิตที่แบ่งแยก เขาจะตัดสินใจว่าอะไรที่ทำให้เขามีความสุข และเมื่อเงื่อนไขดังกล่าวเป็นไปตามนั้น เขาจะรู้สึกพึงพอใจ หากเขาจะรู้สึกว่าอาหารมีรสชาติดี ก็ไม่จำเป็นเสมอไปว่านั่นเป็นเพราะอาหารนั้นมีรสชาติสุขุมอย่างธรรมชาติ และสามารถบำรุงเลี้ยงร่างกาย หากเพราะว่ารสนิยมชองเขาถูกกำหนดโดยความคิดว่าอาหารมีรสอร่อย
บะหมี่ที่ทำจากข้าวสาลีมีรสอร่อย แต่บะหมี่สำเร็จรูปมีรสชาติแย่มากแต่การโฆษณาได้เปลี่ยนแปลงความคิดว่ามันมีรสชาติดี และสำหรับคนจำนวนมาก แม้แต่บะหมี่ที่ไร้รสชาติพวกนี้ก็ยังกลายเป็นของอร่อยได้
มีเรื่องเล่ากันว่า คนกินขี้ม้าเพราะถูกหมาจิ้งจอกหลอก นี่ไม่ใช่เรื่องน่าหัวเราะ คนสมัยนี้กินอาหารด้วยใจไม่ใช่ด้วยร่างกาย คนจำนวนมากไม่สนใจว่าจะมีผงชูรสในอาหารของเขาหรือไม่ เขาลิ้มรสอาหารโดยใช้ปลายลิ้นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงถูกหลอกลวงได้ง่าย
เมื่อแรกคนเรากินเพียงเพราะเขามีชีวิตอยู่ และเพราะอาหารมีรสอร่อย คนสมัยใหม่คิดกันว่าถ้าเขาไม่ปรุงอาหารด้วยเครื่องปรุงอันพิสดาร อาหารจะไม่มีรสชาติ ถ้าคุณไม่ "พยายาม" ทำอาหารให้อร่อย คุณจะพบว่าธรรมชาติได้ทำให้มันอร่อยอยู่แล้ว
ข้อพิจารณาข้อแรกควรจะเป็นว่า มีชีวิตอยู่ในวิถีทางที่ให้อาหารมีรสอร่อยในตัวมันเอง แต่ปัจจุบันคนกลับใช้ความพยายามทุกทางในการ "เพิ่ม" รสชาติให้กับอาหาร รสชาติที่อร่อยของอาหารเลยสูญหายไปหมด
คนพยายามทำขนมปังให้อร่อย และแล้วขนมปังที่อร่อยก็สูญหายไป เมื่อคนเราพยายามปรุงอาหารให้หรูหราฟุ่มเฟือย อาหารที่ไร้ประโยชน์ก็เกิดขึ้นมาและความพึงพอใจในอาหารของคนปัจจุบันก็หมดไป
วิธีเตรียมอาหารที่ดีที่สุดจะรักษารสชาติอันกลมกล่อมของธรรมชาติไว้ได้ ปัญญาในชีวิตประจำวันของคนสมัยก่อน ช่วยให้เราสามารถทำอาหารหมักดองได้หลากชนิด และรสชาติของพืชผักเองได้รับการรักษาไว้ด้วย เช่น การตากแห้ง การดองเกลือ การดองหมักด้วยรำข้าว และการดองเต้าเจี้ยว
ศิลปะการปรุงอาหารเริ่มด้วยเกลือทะเล และการย่าง คนทำอาหารที่ละเอียดอ่อนต่อหลักการปรุงอาหาร อาหารที่ปรุงขึ้นนั้นจะรักษารสชาติตามธรรมชาติไว้ได้ อาหารที่ปรุงขื้นให้มีรสชาติแปลก ๆ และมีจุดมุ่งหมายเพียงเพื่อให้ถูกปาก เป็นการปรุงอาหารที่ผิด
คนมักคิดกันว่าวัฒนธรรมเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ถูกสร้างขึ้น และได้รับการสงวนรักษา ตลอดจนพัฒนาขึ้นโดยความพยายามของมนุษย์เท่านั้น แต่วัฒนธรรมมักเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ร่วมกันระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ เมื่อความเป็นเอกภาพของสังคมมนุษย์และธรรมชาติได้รับการตระหนัก วัฒนธรรมจะก่อกำเนิดขื้น วัฒนธรรมมักจะมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับวิถีชีวิตประจำวัน และส่งผ่านไปสู่คนรุ่นต่อ ๆ ไป และได้รับการสงวนรักษามาจนถึงปัจจุบัน
สิ่งที่เกิดจากทิฏฐิมานะและเพื่อสนองความพอใจ ไม่อาจนับว่าเป็นวัฒนธรรมที่แท้ วัฒนธรรมที่แท้เกิดขึ้นภายในธรรมชาติ มีลักษณะเรียบง่าย อ่อนน้อมและบริสุทธิ์ หากขาดวัฒนธรรมที่แท้ มนุษย์ชาติจะสูญสิ้น
เมื่อผู้คนปฏิเสธอาหารธรรมชาติ และรับเอาอาหารที่ปรุงแต่งไว้แทน สังคมก็ได้มุ่งหน้าไปสู่ความพินาศ นี่เป็นเพราะว่าอาหารดังกล่าวไม่ใช่ผลิตผลจากวัฒนธรรมที่แท้ อาหารคือชีวิต และชีวิตต้องไม่เดินถอยห่างจากธรรมชาติ
-
๔.๔
มีชีวิตอยู่ด้วยอาหารเพียงอย่างเดียว
ไม่มีอะไรดีกว่าการได้กินอาหารรสอร่อย แต่สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วการกินเป็นเพียงหนทางในการหล่อเลี้ยงร่างกายให้มีกำลังในการทำงาน และเพื่ออายุยืนนาน แม่มักจะบอกลูก ๆ ให้กินอาหาร เพราะว่ามัน "ดี" สำหรับเขา แม้ว่าพวกเด็ก ๆ จะไม่ชอบรสของมันก็ตาม
แต่โภชนาการไม่อาจแยกขาดจากการรับรู้ในเรื่องรส อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ มีทั้งประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์ กระตุ้นความเจริญอาหารและมีรสอร่อยในตัวมันเอง คุณค่าทางโภชนาการที่ดีไม่แยกขาดจากรสชาติที่ดี
ไม่นานมานี้อาหารประจำวันของเกษตรกรในถิ่นนี้ ประกอบด้วยข้าวเจ้า และข้าวบาร์เลย์ เต้าเจี้ยว และผักดอง อาหารนี้ช่วยให้อายุยืนยาว ร่างกายแข็งแรง และมีอนามัยดี ผักต้มและข้าวนึ่งถั่วแดงเป็นอาหารที่กินกันเดือนละครั้งอาหารที่เรียบง่ายเช่นนี้สามารถบำรุงร่างกายอันกำยำ และแข็งแรงของเกษตรกร
อาหารพื้นบ้านของชาวตะวันออกที่ประกอบด้วยข้าวกล้องและพืชผัก ซึ่งแตกต่างจากอาหารในสังคมของชาวตะวันตกส่วนใหญ่ วิทยาศาสตร์ทางอาหารของตะวันตกเชื่อว่าถ้าขาดคาร์โบไฮเดรท ไขมัน โปรตีน เกลือแร่ และไวตามินในจำนวนที่แน่นอนในแต่ละวัน จะทำให้ได้อาหารไม่ครบถ้วน และไม่อาจมีสุขภาพจิตที่ดีได้ ความเชื่อดังกล่าวทำให้แม่ต้องพยายามป้อนอาหาร "ที่มีคุณค่า" ใส่ปากลูกของตน
คนอาจคิดว่าโภชนาการแบบตะวันตกที่มีทฤษฎีและการคำนวณมาประกอบจะทำให้ได้อาหารที่มีคุณค่าเหมาะสมอย่างไม่ต้องสงสัย ความเป็นจริงคือมันสร้างปัญหามากกว่าจะแก้ไข
ปัญหาข้อหนึ่งของวิทยาศาสตร์ทางอาหารของตะวันตกก็คือ ไม่มีความพยายามที่จะปรับอาหารให้เข้ากับวงจรตามธรรมชาติ อาหารที่จัดสรรขื้นนั้นได้แยกมนุษย์ออกจากธรรมชาติ ความกลัวธรรมขาติ และความรู้สึกไม่มั่นคงจะเป็นผลลัพธ์ที่เกิดขื้นตามมา
ป้ญหาอีกประการหนึ่งคือคุณค่าทางจิตวิญญาณและอารมณ์ถูกละเลยไปอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าอาหารจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับจิตและอารมณ์ของมนุษย์แต่ถ้ามองมนุษย์ว่าเป็นเพียงองค์ประกอบทางวัตถุเท่านั้น ย่อมไม่อาจทำให้เกิดความเข้าใจในเรื่องของอาหารได้ เมื่อข้อมูลที่รวบรวมเป็นส่วน ๆ ถูกนำมาประกอบกันเข้าอย่างไม่ถูกต้อง ผลที่ได้ก็คือแบบแผนอาหารที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งจะดึงมนุษย้ให้ออกห่างจากธรรมชาติ
"ในหนึ่งมีทั้งหมด แต่ถ้าเอาทั้งหมดมารวมกัน ก็ไม่สามารถทำให้เกิดสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้" วิทยาศาสตร์ตะวันตกไม่สามารถเข้าใจปรัชญาตะวันออกในข้อนี้ได้ คนเราสามารถวิเคราะห์แยกแยะศึกษาผีเสื้อให้ลึกซึ้งกว้างไกลแค่ไหนได้ตามที่ปรารถนา แต่เขาไม่อาจสร้างผีเสื้อขึ้นมาได้
ถ้าวิทยาศาสตร์ทางอาหารแบบตะวันตกถูกนำมาใช้ในระดับกว้าง ลองคิดดูว่าในทางปฏิบัติจะมีปัญหาอะไรบ้างเกิดขื้น เนื้อวัวคุณภาพสูง ไข่ นม พืชผัก ขนมปัง และอาหารอื่นจะต้องมีอยู่ตลอดปี การผลิตขนาดใหญ่และการสะสมอาหารในระยะยาว จะกลายเป็นสิ่งจำเป็น ในญี่ปุ่นได้รับเอาแบบแผนอาหารแบบนี้มา ซึ่งทำให้เกษตรกรต้องปลูกพืชผักฤดูร้อน เช่นผักกาดหอม แตงกวา มะเขือยาว และมะเขือเทศในฤดูหนาว อีกไม่นานเกษตรกรคงจะต้องปลูกพลับในฤดูใบไม้ผลิ และท้อในฤดูใบไม้ร่วง
เป็นสิ่งไร้เหตุผลที่คิดว่า อาหารที่สมดุลและถูกอนามัยจะได้มาจากอาหารหลากชนิดโดยไม่คำนึงถึงฤดูกาล พืชผักและผลไม้ที่ปลูกนอกฤดูกาลในสภาพที่ไม่เป็นธรรมชาติมีไวตามินและเกลือแร่น้อย เมื่อเทียบกับพืชผลที่สุกเองตามธรรมชาติ ไม่น่าแปลกใจที่พืชผักในฤดูร้อน ซึ่งปลูกในฤดูใบไม้ร่วงหรือฤดูหนาวจะไม่มีรสชาติและกลิ่นหอมเหมือนพืชผักที่ปลูกภายใต้แสงแดด ด้วยวิธีอินทรีย์และธรรมชาติ
การวิเคราะห์ทางเคมี สัดส่วนทางโภชนาการ และข้อพิจารณาอื่น ๆ ในทำนองนี้ คือสาเหตุหลักของความผิดพลาด อาหารที่ถูกกำหนดโดยวิทยาศาสตร์สมัยใหม่นั้น ห่างไกลจากอาหารพื้นบ้านของคนตะวันออก และก็เป็นสิ่งที่บ่อนทำลายสุขภาพของชาวญี่ปุ่น
-
(http://wwje.files.wordpress.com/2010/12/one-straw.jpg?w=610&h=367)
๔.๕
สรุปประเภทโภชนาการ
ในโลกนี้มีโภชนาการหลัก ๆ อยู่ ๔ ประเภท คือ
๑) โภชนาการเฟ้อ คือ การกินที่เป็นไปตามความอยากอันเคยชิน และความพึงพอใจในรสชาติ คนที่เลือกโภชนาการในลักษณะนี้จะแกว่งไปแกว่งมาเอาแน่ไม่ได้ เป็นไปเพื่อตอบสนองความอยากชั่วคราว โภชนาการประเภทนี้เรียกว่า การกินตามใจอยากที่ไร้คุณประโยชน์
๒) โภชนาการที่มีคุณภาพมาตรฐานสำหรับคนส่วนใหญ่ เกิดขึ้นจากข้อสรุปทางชีววิทยา อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการมีจุดมุ่งหมายเพื่อบำรุงเลี้ยงร่างกายสามารถเรียกได้ว่าเป็นโภชนาการแบบวัตถุนิยมวิทยาศาสตร์
๓) โภชนาการที่อยู่บนหลักเกณฑ์ทางจิตวิญญาณและปรัชญาเชิงอุดมคติ หากจำกัดขอบเขตของอาหาร อาหาร "ธรรมชาติ" ส่วนใหญ่จะอยู่ในโภชนาการประเภทนี้ อาจเรียกว่าโภชนาการตามหลักเกณฑ์
๔) โภชนาการธรรมชาติ เป็นไปตามเจตนาของสวรรค์ ละทิ้งความรู้ทั้งมวลของมนุษย์ โภชนาการประเภทนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นโภชนาการแห่งการไม่แบ่งแยก
คนเราจะเริ่มต้นจากการผละออกจากโภชนาการไร้คุณประโยชน์ ซึ่งเป็นบ่อเกิดของโรคภัยนานาชนิด ถัดมาจะเลิกหลงใหลในโภชนาการวิทยาศาสตร์ซึ่งมุ่งบำรุงรักษาแต่เพียงด้านชีววิทยา หลายคนจะมุ่งไปสู่โภชนาการตามหลักเกณฑ์ และในที่สุดเมี่อไปพ้นโภชนาการประเภทนี้ คนจะเริ่มเข้าสู่โภชนาการที่ไม่แบ่งแยกของบุคคลที่เข้าถึงความเป็นธรรมชาติ
โภชนาการแห่งการไม่แบ่งแยก
ชีวิตของมนุษย์มิได้ดำรงอยู่โดยตัวของมันเอง ธรรมชาติให้ชีวิตมนุษย์และหล่อเลี้ยงบำรุงให้คงอยู่ นี่คือสายสัมพันธ์ที่มนุษย์มีกับธรรมชาติ อาหารคือของขวัญจากสรวงสวรรค์ คนเรามิได้สร้างอาหารจากธรรมชาติ แต่สวรรค์ประทานอาหารนั้นมาให้
อาหารคืออาหาร และอาหารมิใช่อาหาร มันเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์และก็เป็นส่วนที่ต่างหากจากมนุษย์
เมื่ออาหาร ร่างกาย หัวใจ และจิตได้เชื่อมรวมเป็นหนึ่งเดียวอย่างสมบูรณ์ตามธรรมชาติ โภชนาการธรรมชาติจึงจะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ร่างกายที่เป็นอย่างที่มันเป็น เช่นเป็นไปตามสัญชาติญาณ กินสิ่งที่มีรสอร่อย หลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่อร่อย เป็นร่างกายที่อิสระ
เป็นไปไม่ได้ที่จะกำหนดกฎเกณฑ์หรือสัดส่วนให้กับโภชนาการธรรมชาติ โภชนาการชนิดนี้จะกำหนดตัวเองไปตามสภาพแวดล้อมของท้องถิ่น และความจำเป็นอื่น ๆ ตลอดจนองค์ประกอบทางร่างกายของแต่ละคน
โภชนาการตามหลักเกณฑ์
ทุกคนควรจะตระหนักรู้ว่าธรรมชาตินั้นมีความสมบูรณ์ มีสมดุลอย่างกลมกลืนภายในตัวมันเองอยู่เสมอ อาหารธรรมชาติมีความสมบูรณ์หนึ่งเดียวและภายในความสมบูรณ์เช่นนี้จะมีคุณภาพในการบำรุงหล่อเลี้ยง และรสชาติอันละเอียดสุขุม
รหัสหรือระบบที่แน่นอน ซึ่งใช้เลือกหรือกำหนดคำถามดังกล่าวอย่างเจาะจงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ธรรมชาติหรือเนื้อแท้ของมันสามารถใช้เป็นเพียงแนวทาง แต่แนวทางที่ละเอียดอ่อนนี้ มักจะผ่านโสตประสาทไปอย่างไม่มีใครสนใจ เนื่องมาจากความอึกทึกวุ่นวายของความทะยานอยาก และกิจกรรมที่เกิดจากจิตแห่งการแบ่งแยก
ถ้าใช้ระบบของยิน-หยัง เราจะสามารถอธิบายถึงต้นกำเนิดของจักรวาลและการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ทั้งยังดูเหมือนว่าความกลมกลืนของร่างกายมนุษย์สามารถกำหนดและรักษาไว้ได้อย่างมีเจตนา แต่ถ้าบุคคลได้ลงลึกไปในทฤษฎีดังกล่าวมากเกินไป (ซึ่งมีความจำเป็นในการศึกษาการแพทย์ตะวันออก) เขาจะเข้าไปในขอบเขตของวิทยาศาสตร์ และไม่อาจก้าวพ้นทัศนะแบ่งแยก ไปได้
ผู้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของโภขนาการประเภทนี้ หากไม่รู้ชัดถึงขีดจำกัดของความรู้ ก็อาจจะถูกความรู้อันละเอียดซับซ้อนชักพาไป จนหลงเกี่ยวข้องอยู่กับเรื่องต่าง ๆ อย่างแยกขาดจากเรื่องอื่น ๆ เมื่อเขาพยายามจะเข้าใจความหมายของธรรมชาติด้วยทัศนะที่กว้างไกล เขาก็ไม่อาจสังเกตเห็นสิ่งเล็กสิ่งน้อยที่เกิดต่อหน้าได้
โภชนาการแบบฉบับสำหรับคนป่วย
ความเจ็บไข้จะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลแยกห่างออกจากธรรมชาติ ความรุนแรงของโรคภัยเป็นสัดส่วนโดยตรงกับระดับของการแยกขาดจากธรรมขาติ ถ้าผู้ป่วยกลับไปหาสิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์บริสุทธื้ โรคภัยมักจะหายไป เมื่อความแปลกแยกกับธรรมชาติทวีความรุนแรงขื้น ปริมาณของคนป่วยก็จะเพิ่มมากขึ้นด้วย เมื่อนั้นความปรารถนาจะกลับคืนสู่ธรรมชาติก็ยิ่งทวีมากขึ้น แต่การค้นหาหนทางกลับสู่ธรรมชาตินั้น หากปราศจากความเข้าใจที่แจ่มชัดว่าธรรมชาติคืออะไร ความพยายามเหล่านั้นก็เปล่าประโยชน์
แม้ว่าบุคคลนั้นจะใช้ชีวิตแบบบรรพกาลอยู่หลังเขา เขาก็ยังอาจจะพลาดจากการเข้าใจสภาพที่เป็นจริงของสิ่งปรากฏนั้น เมื่อคุณพยายามทำอะไรสักอย่าง ความพยายามดังกล่าวก็จะไม่อาจส่งผลตามที่ปรารถนาได้
ผู้คนที่อาศยอยูในเมืองต้องประสบกับความยากลำบากอย่างยิ่งยวด ที่จะหาอาหารธรรมชาติมาบริโภค อาหารธรรมชาติเป็นสิ่งที่หาไม่ได้เพราะเกษตรกรเลิกปลูก แม้ว่าเขาจะสามารถหาซื้ออาหารธรรมชาติได้ แต่ร่างกายของเขาก็ต้องมีการปรับเพื่อจะย่อยอาหารแข็งเช่นนั้น
ในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าคุณพยายามที่จะกินอาหารที่ถูกอนามัยหรือได้รับอาหารที่มียิน-หยังสมดุล คุณต้องอาศัยวิธีการที่เหนือธรรมชาติและอำนาจในการวินิจฉัยที่สามารถปฏิบัติได้ อาหาร "ธรรมชาติ" ประเภทแปลก ๆ และซับซ้อนมีส่วนในการดืงผู้คนให้ถอยห่างออกจากธรรมชาติยิ่งขื้น ยิ่งกว่าจะเป็นวิธีกลับไปหาธรรมชาติ
ถ้าคุณลองเข้าไปดูในร้าน "อาหารสุขภาพ" ในปัจจุบัน คุณจะพบอาหารประเภทต่าง ๆ ที่ทำให้รู้สึกงวยงง ตั้งแต่ อาหารสด อาหารกล่อง ไวตามิน และอาหารเสริม ในหนังสือคุณจะพบอาหารลักษณะต่าง ๆ กันที่ปิดฉลากว่าเป็นอาหาร "ธรรมชาติ" ที่มีคุณค่าทางโภชนาการและดีที่สุดต่อสุขภาพ ถ้ามีคนบอกว่าการต้มอาหารรวมกันเป็นวิธีที่ถูกอนามัย ก็จะมีคนที่บอกว่า การต้มอาหารรวมกันจะทำให้คนกินเจ็บป่วย บ้างก็ให้ความสำคัญกับคุณค่าของเกลือในอาหาร บ้างบอกว่าใส่เกลือในอาหารมากเกินไปทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ ถ้ามีคนรังเกียจผลไม้ว่าเป็นยิน และว่าเป็นอาหารสำหรับลิง ก็จะมีอีกคนที่บอกว่าผลไม้และพืชผักเป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับช่วยให้ชีวิตยืนยาว และจิตใจเบิกบานผาสุก
ความคิดเหล่านี้ในเวลาและเหตุการณ์ที่แตกต่างกัน ก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่คนก็จะรู้สึกสับสน หรือมิฉะนั้นทฤษฎีทั้งหมดนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องที่ทำให้คนซึ่งสับสนอยู่แล้ว สับสนหนักยิ่งขึ้นไปอีก
ธรรมชาติมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา คนเราไม่สามารถเข้าใจปรากฏการณ์ที่แท้จริงของธรรมชาติได้ โฉมหน้าของธรรมชาติเป็นสิ่งที่ไม่อาจรู้ได้ การพยายามจะจับสิ่งที่ไม่อาจรู้ได้นี้มาใส่ในทฤษฎี และกำหนดเป็นหลักเกณฑ์ ก็เปรียบเหมือนกับการพยายามจับสายลม ด้วยสวิงจับผีเสื้อนั่นเอง
ถ้าคุณปาไปยังเป้าที่ผิด คุณก็พลาด
มนุษยชาติก็เหมือนกับคนตาบอดที่ไม่รู้ว่าตนกำลังเดินไปไหน เขาคลำทางไปด้วยไม้เท้าของความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ขื้นอยู่กับยิน-หยังในการกำหนดเส้นทางของ ตน
ดังนี้ผมต้องการจะพูดก็คือ อย่ากินอาหารด้วยสมอง และนั่นก็คือการพูดว่าให้กำจัดจิตแห่งการแบ่งแยกเสีย ผมหวังว่ามณฑลอาหารที่ผมทำไว้ก่อนหน้านี้จะช่วยทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ที่จะแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างอาหารชนิดต่าง ๆ และความสัมพันธ์กับมนุษย์ แต่คุณสามารถทิ้งมันไปได้เลย หากว่าคุณสามารถเห็นมันด้วยตัวคุณเองสักครั้งหนึ่ง
ข้อพิจารณาข้อแรกที่สำคัญที่สุดก็คือ เพื่อให้บุคคลสามารถพัฒนาประสาทสัมผัสที่ว่องไวที่จะปล่อยให้ร่างกายเลือกอาหารของมันเอง การคิดถึงแต่เพียงตัวอาหารโดยละเลยจิต ก็เหมือนกับการไปวัด อ่านพระสูตร แต่ทิ้งพระพุทธไว้ข้างนอก แทนที่จะศึกษาทฤษฎีทางปรัชญาเพื่อจะเข้าใจเรื่องอาหาร แต่ละคนควรจะเข้าถึงทฤษฎีจากโภชนาการประจำวันของตนจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า
แพทย์จะดูแลคนป่วย ส่วนคนที่มีสุขภาพสมบูรณ์ได้รับการดูแลจากธรรมชาติ แทนที่จะรอให้ป่วยแล้วกินอาหารธรรมชาติเพื่อรักษาตัว คนเราควรจะมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ เพื่อป้องกันไม่ให้โรคภัยไข้เจ็บเกิดขื้น
คนหนุ่มสาวที่มาอยู่อาศัยในกระท่อมบนภูเขา และใช้ชีวิตแบบบรรพกาลกินอาหารธรรมชาติ และทำเกษตรกรรมธรรมชาติ เป็นผู้ที่ตระหนักรู้ในเป้าหมายสูงสุดของมนุษย์ และเขาได้ตัดสินใจที่จะดำเนินชีวิตไปตามเป้าหมายเช่นนั้นด้วยหนทางที่ตรงที่สุด
-
๔.๖
อาหารและการเกษตร
หนังสือเกี่ยวกับเกษตรกรรมธรรมชาติเล่มนี้ มีความจำเป็นต้องผนวกเอาข้อพิจารณาเกี่ยวกับอาหารธรรมชาติเอาไว้ด้วย นี้เพราะว่า อาหารและการเกษตรก็คือหน้าและหลังของสิ่งเดียวกัน มันเป็นสิ่งที่ชัดเจนยิ่งว่าหากไมมีการทำเกษตรกรรมธรรมชาติ จะไม่มีอาหารธรรมชาติสำหรับสาธารณชน แต่ถ้าอาหารธรรมชาติมิได้รับการยอมรับ เกษตรกรก็จะยังคงสับสนต่อไปว่าควรจะปลูกอะไร
หากประชาชนมิได้เป็นบุคคลที่เข้าถึงธรรมชาติ จะไม่อาจมีทั้งเกษตรกรรมธรรมชาติและอาหารธรรมชาติ ในกระท่อมหลังหนึ่งบนเขา ผมสลักด้วยอักษรไว้บนแผ่นไม้วางอยู่เหนือเตาไฟว่า "สัมมาโภชนา สัมมากัมมันตะ สัมมาสติ" คำทั้ง 3 ไม่อาจแยกขาดจากกันและกัน ถ้าคำใดคำหนึ่งขาดหายไป คำที่เหลือก็ไม่อาจทำให้เป็นจริงได้ ถ้าคำใดคำหนึ่งได้รับการปฏิบัติ ทั้งหมดก็จะเป็นจริงได้
ผู้คนจำนวนมากมองอย่างมีความหวังว่า "ความก้าวหน้า" ของโลกนั้นจะเกิดขื้นมาท่ามกลางความวุ่นวายและความสับสน แต่การพัฒนาที่ไร้เป้าหมายและมีลักษณะทำลายนั้น เป็นตัวการที่เชื้อเชิญความสับสนทางความคิด และไม่มีอะไรมากไปกว่า ความเสื่อมโทรมและการพังทลายของมนุษยชาติหากปราศจากความเข้าใจอย่างแจ่มชัดถึงต้นกำเนิดอันไม่เคลื่อนไหว ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของกิจกรรมทุกชนิด นั่นคือความเข้าใจว่าธรรมชาติคืออะไร ก็จะเป็นไปไม่ได้ที่จะฟื้นฟูสุขภาพของเราให้กลับคืนมา
http://olddreamz.com/bookshelf/onestraw/onestraw.html
-
:13: อนุโมทนาครับ ขอบคุณครับพี่มด